00:00:00 → 00:00:02 มะเร็งเบาหวานความดันโลกหัวใจสตกเป็น
00:00:02 → 00:00:06 สถิติที่สูงมาก 100 คนเตายจากโรคเนี้ย 75
00:00:06 → 00:00:08 คนนะฮะก็ตายก่อน 70 ด้วยฮะต้องบอกว่ามี
00:00:08 → 00:00:10 งานวิจัยนึงน่าสนใจครับกลุ่มคนกลุ่มนึงนะ
00:00:11 → 00:00:13 ฮะหาหมอปฏิบัติตัวตามหมอตลอดเวลาเลยตอน
00:00:13 → 00:00:17 เริ่มงานวิจัยมีคนเป็นความนา 28% 12 ปี
00:00:17 → 00:00:20 ผ่านไปมีคนเป็นความดัน 56% ห้ะพวกที่หา
00:00:20 → 00:00:23 หมอเนี่ยพวกที่หาหมออันนี้เราต้องทำไงถ้า
00:00:23 → 00:00:25 เราไม่อยากตายก่อนวัยอันควร 6 หลักการ
00:00:25 → 00:00:27 ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราเนี่ยลดโอกาส
00:00:27 → 00:00:31 ตายก่อนวัยอันควรไปได้ 91% อะไรที่ไม่ควร
00:00:31 → 00:00:34 กินกินแล้วจะตายก่อนวอันปวดหมอซีเรียส
00:00:34 → 00:00:36 เรื่องน้ำตาลมั้ยเดี๋ยวนี้หมอเขารู้กัน
00:00:36 → 00:00:38 หมดทั่วโลกแล้วว่าน้ำตาลคือยาผิษครับ
00:00:38 → 00:00:40 เครียดนี่ตัวทำให้คนเป็นมะเร็งเลยมีงาน
00:00:40 → 00:00:42 ศึกษาเลยคนที่เครียดเนี่ยเป็นมะเร็งมาก
00:00:42 → 00:00:43 กว่าคนที่ไม่เครียดแล้วพอรู้ว่าเป็นยิ่ง
00:00:43 → 00:00:45 เครียดใหญ่ปัจจุบันเรามีช่วงเวลาที่เรา
00:00:45 → 00:00:47 ชอบเล่นมือถือดู iPad ดูทีวีเนี่ยก่อนนอน
00:00:48 → 00:00:50 เนี่ยสักชั่วโมงนึงเนี่ยไม่ควรละเพราะไอ้
00:00:50 → 00:00:52 แสงพวกเนี้ยมันเข้าตาเราสมองเราอ่ะมันนึก
00:00:52 → 00:00:54 ว่าเป็นเวลากลางวันเพราะฉะนั้นพวกฮอร์โมน
00:00:54 → 00:00:56 มันจะไม่ออกมาฝันเนี่ยแปลว่าหลับมั้ยฮะ
00:00:56 → 00:00:59 หลับครับคลืนสมองมันกลับเหมือนคล้ายๆตื่น
00:00:59 → 00:01:01 แต่ร่างกายจะถูกน็อคไม่ให้ขยับได้ช่วงนี้
00:01:01 → 00:01:04 แหละเป็นช่วงสำคัญของการนอนถ้าคนไม่มีเรม
00:01:04 → 00:01:06 Sleep คือไม่ฝันเลยเนี่ยสมองเขาจะเป็น
00:01:06 → 00:01:12 อัลไซเมอร์
00:01:12 → 00:01:16 เร็ววันนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจมากเป็น
00:01:16 → 00:01:18 เรื่องใกล้ตัวนี่แหละเพราะว่าคนเราเนี่ย
00:01:18 → 00:01:21 นะคะเราอยู่กับชีวิตเรามีแค่ไหนโรคไภยไข้
00:01:21 → 00:01:24 เจ็บเป็นโน่นเป็นนี่เจ็บป่วยแต่ละทีก็
00:01:25 → 00:01:28 ต้องพึ่งหมอทำงานหาเงินเกือบตายเราสังเกต
00:01:28 → 00:01:31 มว่าเราต้องเก็บเงินไว้เพื่อรักษาตัวแต่
00:01:31 → 00:01:34 เขาบอกว่าจะดีกว่าไหมถ้าเราไม่ต้องป่วย
00:01:34 → 00:01:38 ไม่ต้องหาหมอเลยมีเคล็ดลับง่ายๆเบอกว่า
00:01:38 → 00:01:42 ถ้าเราทำ 6 สิ่งนี้ไม่ต้องไปหาหมอตลอด
00:01:42 → 00:01:44 ชีวิตแล้วก็ไม่ตายก่อนวัยอันควรอยากรู้
00:01:45 → 00:01:48 มากถ้าอยากรู้ก็อย่าลืมนะคะกดไลค์กดแชร์
00:01:48 → 00:01:50 กด Subscribe และกดกระดิ่งเตือนด้วยทาง
00:01:50 → 00:01:53 ช่องไ doot ด้วยนะคะเป็นกำลังใจให้พี่
00:01:53 → 00:01:57 ตั๊กหมอฮะหลายคนเบอกว่าไม่อยากป่วยไม่
00:01:57 → 00:02:00 อยากไปหาหมอเนี่ยมีวิธีที่จะทำให้ไม่ต้อง
00:02:00 → 00:02:03 ไปด้วยเหรอทำยังไงคะหมอต้องบอกว่ามีงาน
00:02:03 → 00:02:07 วิจัยนึงน่าสนใจครับพี่ทักเค้าศึกษาในคน
00:02:07 → 00:02:10 กลุ่มคนกลุ่มหนึงนะฮะตามไปเบอกคนกลุ่ม
00:02:10 → 00:02:13 เนี้ยหาหมอปฏิบัติตัวตามหมอมาตลอดเวลาเลย
00:02:14 → 00:02:17 12 ปีผ่านไปในตอนเริ่มงานวิจัยมีคนเป็น
00:02:17 → 00:02:20 ความดัน 28% ค่ะพี่ตั๊กรู้มั้ยจบงานวิจัย
00:02:20 → 00:02:24 มีคนเป็นความดันเท่าไหร่ครับเท่าไหร่ 56%
00:02:24 → 00:02:27 ห้ะพวกที่หาหมอเนี่ยพวกที่หาหมอคือมัน
00:02:27 → 00:02:29 เป็นคำตอบที่ว่าการแพทย์แผนปัจจุบันเนี่ย
00:02:29 → 00:02:32 ค่ะไม่สามารถจะจัดการกับโรคที่มันเป็นโรค
00:02:32 → 00:02:35 ไม่ติดต่อเรื้อรังได้อ๋อนะครับเพราะ
00:02:35 → 00:02:37 ฉะนั้นใน 10 ปีที่แล้วเนี่ยมันมีงานวิจัย
00:02:37 → 00:02:40 อันนึงที่บอกว่าถ้าเราทำปรับเปลี่ยนวิถี
00:02:40 → 00:02:42 ชีวิตของเราเนี่ยนะครับการกินดีนอนดีออก
00:02:42 → 00:02:46 กำลังกายดีๆจัดการความเครียดเนี่ยสามารถ
00:02:46 → 00:02:49 ที่จะทำให้คนกลุ่มเนี้ยลดโอกาสตายก่อนให
00:02:49 → 00:02:52 อันควรไปได้ 91% เขาเรียกว่าเวชศาสตร์
00:02:52 → 00:02:55 วิถีชีวิตครับฮ่ะเป็นยังไงฮะคือเวชศาสตร์
00:02:55 → 00:02:57 วิถีชีวิตเนี่ยจริงๆมีที่อเมริกามานาน
00:02:57 → 00:03:00 แล้วะแต่เพิ่งจะมาเข้าไทยเนี่ยสัก 23 ปี
00:03:00 → 00:03:02 นี่เองครับพี่ตั๊กคือมันเป็นการแพทย์แบบ
00:03:02 → 00:03:04 นึงนี่แหละแต่มันต้องเป็นการแพทย์ที่เป็น
00:03:04 → 00:03:07 scientific นะอย่างเราไปดิบวิตามินดิบ
00:03:07 → 00:03:08 อะไรอย่างเงี้ยเรายังไม่ถือว่าเป็น
00:03:08 → 00:03:11 scientific นะครับแต่เวชศาสตร์วิถีชีวิต
00:03:11 → 00:03:13 เนี่ยคือการแพทย์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่มี
00:03:13 → 00:03:17 อ่า article อะไรต่างๆรองรับนะครับเคบอก
00:03:17 → 00:03:20 ว่ามีอยู่ 6 หลักการถ้าเราทำ 6 หลักการ
00:03:20 → 00:03:23 เนี่ยเราไม่ตายก่อนแวอันควรคือในสมัยก่อน
00:03:23 → 00:03:25 นะครับผมย้อนไปสมัยก่อนเนี่ยตอนที่ผมจบ
00:03:25 → 00:03:28 หมอใหม่ๆพี่ตั๊กคนที่เจ็บป่วยโดยทั่วไป
00:03:28 → 00:03:30 เนี่ยจะเป็นโรคติดเชื้อ
00:03:30 → 00:03:32 ถ้าเราไปตามโรงพยาบาลต่างๆตามวอดต่างๆ
00:03:32 → 00:03:35 เนี่ยเราจะเห็นคนป่วยเป็นโรคปอดติดเชื้อ
00:03:35 → 00:03:37 ในปอดติดเชื้อทางเดินอาหารอะไรประมาณนี้
00:03:37 → 00:03:40 ใช่มั้ครับแต่ปัจจุบันเนี่ยสัก 20 ปีที่
00:03:40 → 00:03:42 ผ่านมาเนี่ยปรากฏว่าโรคติดเชื้อเนี่ยไม่
00:03:42 → 00:03:45 ได้นอนโรงพลาแล้วนะถ้าใครสังเกตให้ดี
00:03:45 → 00:03:47 เนี่ยเราจะพบคนที่นอนโรงพยาบาลเป็นอะไรฮะ
00:03:47 → 00:03:51 เป็นโรคหัวใจเป็นโรคความดันเบาหวานเป็น
00:03:51 → 00:03:54 โรคมะเร็งคอ้าเป็นโรคอัมพฤกษ์อัมพาเห็น
00:03:54 → 00:03:56 มั้ยครับว่ามันเปลี่ยนไปะไอ้โรคที่ผมพูด
00:03:56 → 00:04:00 เนี่ยเขาเรียกว่าโรคไม่ติดต่อเรือรังโรค
00:04:00 → 00:04:02 ไม่ติดต่อเรื้อลังใช่ภาษาอังกฤษเใช้คว่า
00:04:03 → 00:04:06 ncds คือ non communicable diseases
00:04:06 → 00:04:09 โรคเหล่าเมันเพิ่งมาเจอว่ามันพีคขึ้นมาใน
00:04:09 → 00:04:13 ช่วง 20-30 ปีนี้เองฮะอ๋อเหตุผลเพราะอะไร
00:04:13 → 00:04:17 เพราะการกินการใช้ชีวิตความเครียดอืของ
00:04:17 → 00:04:20 เราเองกินไม่ดีนอนไม่ดีเพราะว่าสมัยก่อน
00:04:20 → 00:04:22 เนี่ยมะเร็งก็ไม่ได้เยอะขนาดนี้ถูกต้อง
00:04:22 → 00:04:24 ครับนะฮะเพราะงั้นมะเร็งเบาหวานความดัน
00:04:24 → 00:04:27 โลกหัวใจสโตรกเป็นอะไรต่างๆเหล่านี้ตอน
00:04:27 → 00:04:31 นี้ถือว่าเป็นสถิติที่สูงมากใช่แต่หมอ
00:04:31 → 00:04:34 กำลังจะบอกว่าถ้าเราดูแลบริหารตรงนี้เรา
00:04:34 → 00:04:37 ก็อาจจะไม่เป็นโรคเหล่านี้โอกาสเป็นลดลง
00:04:37 → 00:04:40 ไปเป็น 90% เลยครับลดลงไปอันนี้เราต้องทำ
00:04:40 → 00:04:43 ไงถ้าเราไม่อยากตายก่อนวัยอันควรใช่ผมขอ
00:04:43 → 00:04:46 พูดถึงตายก่อนไวัอันควรนิดเดียวคือพวกเรา
00:04:46 → 00:04:49 ที่ชมรายการเนี่ยนะฮะ 100 คนเี่จะบอกว่า
00:04:49 → 00:04:52 ตายจากโรคเนี้ย ncds ที่ผมพูดเนี่ย 75 คน
00:04:52 → 00:04:55 นะฮะ 75 คน 75 คนดูอยู่ 100 คนเนี่ยไม่
00:04:55 → 00:04:57 โรกได้ก็โรคนึที่ผมพูดนี่แหละแล้วก็ตาย
00:04:57 → 00:05:00 ก่อน 70 ด้วยฮะหืตายก่อนวัย 70 ค่ะครับผม
00:05:00 → 00:05:03 เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าเรามาปรับเพื่อไม่ให้
00:05:03 → 00:05:04 เราเป็นโรคเหล่าเนี้ยโรคไม่ติดต่อเรื้อ
00:05:04 → 00:05:06 รังเนี่ยครับเราจะมีชีวิตที่เเรียกว่าไม่
00:05:07 → 00:05:10 ตายก่อนวัยแนควนก็คือตายหลัง 70 ขึ้นไป
00:05:10 → 00:05:12 แล้วเราก็จะมีช่วงที่เราแข็งแรงอ่ะมี
00:05:12 → 00:05:16 Health span ที่ยาวขึ้นค่ะนะฮะนั้นเรา
00:05:16 → 00:05:20 ต้องทำอะไรบ้าง 1 คือกินดีค่ะ 2 คือออก
00:05:20 → 00:05:23 กำลังกาย 3 คือนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
00:05:24 → 00:05:26 ค่ะ 4 คือการจัดการความเครียดให้ได้นะ
00:05:26 → 00:05:29 ครับ 5 ก็คือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนร
00:05:29 → 00:05:32 ข้างและข้อที่ 6 ก็คือการหลีกเลี่ยงพวก
00:05:32 → 00:05:33 สาร
00:05:33 → 00:05:36 พิษอ่าเริ่มแรกคือเรื่องอาหารการกินเน้น
00:05:37 → 00:05:39 ไปที่การกิน Plant Base H Food ใช่
00:05:40 → 00:05:42 ครับก็เป็นอาหารพืชค่ะเป็นหลักนะครับไม่
00:05:42 → 00:05:44 ใช่ว่าไม่มีเนื้อสัตว์เลยนะฮะแต่อาจจะมี
00:05:44 → 00:05:47 เนื้อสัตว์ที่คุณภาพดีหน่อยเช่นเชอะไร
00:05:47 → 00:05:50 เช่นเนื้อไก่ที่รีนๆหน่อยเนื้อปลาเป็นต้น
00:05:50 → 00:05:52 อย่างเงี้ยครับแล้วก็หมูทำไมเราไม่รวมหมู
00:05:52 → 00:05:55 เข้าไปด้วยคือหมูเนี่ยก็ก็มีโปรตีนเเรียก
00:05:56 → 00:05:58 เป็น compete โปรตีนแต่เพียงแต่ว่าหมู
00:05:58 → 00:06:00 เนี่ยเป็นถือว่าเป็น Red Meat คือเป็น
00:06:00 → 00:06:03 เนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกกด้วยนมอ๋ออ๋อเแยก
00:06:03 → 00:06:05 อย่างงี้เหรอใช่ Red M บางคนบางคนจะเข้า
00:06:05 → 00:06:07 ใจว่าแปลว่าเนื้อสีแดงจริงๆไม่ใช่เนื้อสี
00:06:07 → 00:06:10 แดงนะ Red mid คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
00:06:10 → 00:06:12 ค่ะคือเนื้อของมันเนี่ยมันก่อให้เกิดการ
00:06:12 → 00:06:16 อักเสบในร่างกายเราอ๋อควรกินในปริมาณที่
00:06:16 → 00:06:18 พอเหมาะไม่ถึงกับว่าห้ามกินนะครับพอเหมาะ
00:06:18 → 00:06:20 นี่ให้ให้กินวันละมื้อหรือให้กินอาทิตย์
00:06:20 → 00:06:23 ละสัก 2 หนก็เอาจริงๆแล้วเนี่ยอาทิตย์นึง
00:06:23 → 00:06:26 ไม่ควรเกิน 400 กรัม 400 กรัม 400 กรัมก็
00:06:26 → 00:06:28 ครึ่งเกือบครึ่งกึ่งประมาณสักครึ่งกล
00:06:28 → 00:06:30 อาทิตย์นึงนะฮะอย่าอย่ามากไปกว่านั้นไป
00:06:30 → 00:06:34 สเต็กทีเดียวก็เรียบร้อยอเพราะงั้น Plant
00:06:34 → 00:06:37 Base ให้กินอาหารที่มาจากพืชหรืออกหรือ
00:06:37 → 00:06:40 อกไก่หรือโปรตีนอะไรต่างๆที่มาจากปลาถ้า
00:06:40 → 00:06:42 บางคนเนี่ยสายสุขภาพเลยจริงๆเนี่ยเขาก็
00:06:42 → 00:06:45 อาจจะเป็นนับแควใช่มั้ยครับพี่ซึ่งมันยาก
00:06:45 → 00:06:48 สำหรับบุคคลทั่วไปไงครับทีนี้เราผมจะแนะ
00:06:48 → 00:06:50 นำว่าถ้าเราจะกินง่ายๆเนี่ยเราใช้เป็นเ้า
00:06:50 → 00:06:53 เรียกว่าเพลตมเดลก็ได้ครับคือเป็นจานจาน
00:06:53 → 00:06:55 นึงนะเหมือนเพลตอันนึงเนี่ยนะฮะเราแบ่ง
00:06:55 → 00:06:58 เพลตอันนั้นเป็นครึ่งนึงครึ่งนึงก่อน
00:06:58 → 00:07:01 เนี่ยคือผักผลไม้ค่ะอ่าครึ่งแล้วนะครับ
00:07:01 → 00:07:05 อีกครึ่งนึงแบ่งอีกเป็น 1 ใน 4 ค่ะ 1 ใน 4
00:07:05 → 00:07:10 นั้นคือโปรตีนค่ะคุณภาพดีเช่นถั่วเต้าหู้
00:07:10 → 00:07:12 นะครับหรือเนื้อสัตว์ที่คุณภาพสูงอย่าง
00:07:12 → 00:07:14 ที่บอกไปก็ได้นะครับอีกส่วนหนึงเนี่ยก็
00:07:14 → 00:07:17 คือพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนค่ะอ่าพวกข้าว
00:07:17 → 00:07:21 ไม่ขัดสีขนมปังฮวดธัญพืชต่างๆเป็นต้นจริง
00:07:21 → 00:07:24 ๆเนี่ยการใส่จานเนี่ยเวิร์คมากนะหมอเพราะ
00:07:24 → 00:07:27 ว่าพี่เนี่ยบางทีพี่บางทีนะเรามีข้าวจาน
00:07:27 → 00:07:30 นึงเราตักกลับตักอะไเราไม่รรู้ว่าเรากิน
00:07:30 → 00:07:32 ไปเยอะแค่ไหนเพราะงั้นใส่ใน 1 จานเรารู้
00:07:32 → 00:07:34 อันนี้กระจุกนึงอันนี้กระจุกกระจุกเรารู้
00:07:34 → 00:07:36 ว่าเรากินเยอะขนาดไหนอ่ะเมื่อกี้ผมพูดถึง
00:07:36 → 00:07:39 สัดส่วนไปแล้วเนาะอันที่ 2 คือปริมาณครับ
00:07:39 → 00:07:42 ปริมาณเนี่ยก็ควรจะต้องเหมาะสมคือโดยปกติ
00:07:42 → 00:07:45 ผู้หญิงธรรมดาก็ประมาณสัก 1,400 - 1,600
00:07:45 → 00:07:49 แควแค่นั้นเองใช่ผู้ชายอาจะ 1, 6,8 -
00:07:49 → 00:07:52 2,000 แควแต่ก็อยู่ที่ลักษณะที่ต่างๆกัน
00:07:52 → 00:07:55 ด้วยนะฮะรูปร่างอายุอะไรอย่างเงี้ยแต่โดย
00:07:55 → 00:07:57 เฉลี่ยเนี่ยมันประมาณประมาณนั้นค่ะครับที
00:07:57 → 00:08:00 นี้มันยากที่จะไปนั่งคำนนแบบนั้นให้ใช้
00:08:00 → 00:08:02 วิธีนี้ก็ได้ครับให้เราเวลาที่เรารับ
00:08:02 → 00:08:06 ประทานเนี่ยก็ดูว่าเราอิ่มสัก 80% ไม่ไม่
00:08:06 → 00:08:09 เอาซะแอนไม่เอใช่ไม่จัดเต็มบางคนไม่ได้
00:08:09 → 00:08:11 อิ่มนะเอาซะแอ่นเลยโอ้โหจุกเสียดแน่นเฟ้อ
00:08:12 → 00:08:14 เลยเหม็นเปรี้ยวอะไรขนาดนั้นนะคะเอาว่า
00:08:14 → 00:08:17 สัก 80% โอเคแล้วก็ดื่มน้ำตามสักถ้วยนึง
00:08:17 → 00:08:19 นี่พอดีแล้วครับถ้าแบบนี้พอดีะอุอันนี้ดี
00:08:19 → 00:08:22 นะคือทานปุ๊บให้ทานน้ำเข้าไปอ่ะเต็มรอยพอ
00:08:22 → 00:08:25 ดีเต็มเราจะได้รู้แต่มันไม่ใช่อย่างงั้น
00:08:25 → 00:08:29 บางคนกินแล้วมันมันไงมันเอร็ดอร่อยเอาซะ
00:08:29 → 00:08:31 เต็มคราบเลยอันนี้อยู่ที่ตัวเองแล้วเนาะ
00:08:31 → 00:08:35 ใช่สักนานๆทีก็ได้ครับพี่ตนานๆทีไม่เป็น
00:08:35 → 00:08:38 ไรแต่โดยชีวิตประจำวันควรจะเป็นอย่างงี้
00:08:38 → 00:08:42 นะคะอะไรที่ไม่ควรกินกินแล้วจะตายก่อนวัย
00:08:42 → 00:08:45 อันควรแน่ๆเลยคือทราน Fat ซึ่งเดี๋ยวนี้
00:08:45 → 00:08:47 ไม่ค่อยมีะคแฟชสมัยก่อนมีเยอะที่เอามาทำ
00:08:47 → 00:08:50 เกอรี่มันยังมีนะเดี๋ยวนี้เนี่มันผิดกฎ
00:08:50 → 00:08:52 หมายถ้าไปซื้อแบบอิออาจจะมีอยู่บ้างแต่
00:08:52 → 00:08:55 ว่าแต่ว่าเดี๋ยวนี้กฎหมายควบคุมแล้วฮะควบ
00:08:55 → 00:08:57 คุมใช่มนี่การที่เราไปซื้ออะไรต่างๆแล้ว
00:08:57 → 00:09:01 เราดูข้างหลังสลากอันนี้ถือว่ามีผลแโอดี
00:09:01 → 00:09:03 มากต้องดูครับเค้าจะโกหกเรามั้ยไม่มีไข
00:09:03 → 00:09:06 มันซาแต่ดันใส่ลงไปอย่างเงี้ยผมคิดว่าอาจ
00:09:06 → 00:09:08 จะมีอยู่บ้างนะฮะแต่เราถ้าเราเลือกซื้อใน
00:09:08 → 00:09:11 ยี่ห้อที่มันมาตรฐานหน่อยเนี่ยผมคิดว่าเา
00:09:11 → 00:09:14 คงจะไม่หลอกเราเยอะจนเกินไปน้ำตาลหมอ
00:09:14 → 00:09:16 ซีเรียสเรื่องน้ำตาลมั้ยโหน้ำตาลเดี๋ยว
00:09:16 → 00:09:18 นี้หมอเขารู้กันหมดทั่วโลกแล้วว่าน้ำตาล
00:09:18 → 00:09:21 คือยาพิษครับมันทำให้ร่างกายอักเสบถูก
00:09:21 → 00:09:24 ต้องอืคือกินเยอะไม่ได้
00:09:24 → 00:09:27 ค่ะอย่างที่ 2 ออกกำลังกายออกกำลังายอ่า
00:09:27 → 00:09:29 ทำไงค่ะอังใช่ออกกำลังกายเนี่ยจริงๆแล้ว
00:09:29 → 00:09:32 มีอยู่ 4 ลักษณะของการออกกำลังกายนะครับ
00:09:32 → 00:09:34 อันที่ 1 เนี่ยคนรู้จักดีเค้าเรียกว่า
00:09:34 → 00:09:37 Aerobic Exercise ใช่มั้ยก็ยังไปวิ่งไป
00:09:37 → 00:09:39 เต้นฉีจักรยานว่ายน้ำหรือเล่นกีฬาที่มัน
00:09:39 → 00:09:41 เป็นแอโรบิเนี่ยคือการออกกำลังกายนั้นจะ
00:09:42 → 00:09:45 ใช้ออกซิเจนนะครับอันนี้คนรู้จักดีแบบที่
00:09:45 → 00:09:47 2 เเคเรียกว่า strengthening คืออันนี้
00:09:47 → 00:09:49 จะเป็นลักษณะของการฝึกกล้ามเนื้อให้มี
00:09:49 → 00:09:51 ความแข็งแรงขึ้นนะก็เป็นพวกเท Training
00:09:51 → 00:09:54 ต่างๆวิดพื้น squat อะไรอย่างงี้นะครับ
00:09:54 → 00:09:57 อันที่ 3 เเรียก stretching ก็คือการยืด
00:09:57 → 00:09:58 เหยียดทำให้กล้ามเนื้อเนี่ยไม่ไม่เกร็ง
00:09:58 → 00:10:01 ไม่แข็งจนเกินไปนะครับอันที่ 4 เเรียกว่า
00:10:01 → 00:10:04 อันนี้เหมาะกับคนแก่คือ balancing
00:10:04 → 00:10:07 balancing ก็คืออาจจะฝึกยืนขาเดียวแต่
00:10:07 → 00:10:09 ต้องมีระวังล้มนะถ้าจะฝึกต้องระวังล้ม
00:10:09 → 00:10:11 เดินถอยหลังได้มั้ยอันนี้ก็เป็น balancing
00:10:12 → 00:10:14 ถ้า Lunch ก็เป็น balancing อ๋อแสดงว่า
00:10:14 → 00:10:17 พี่ตั๊กฝึกอยู่แล้วเนี่ยแหละครับถ้าเรา
00:10:17 → 00:10:19 ฝึกทั้ง 4 อย่างเนี่ยเราจะโอกาสที่จะล้ม
00:10:20 → 00:10:22 เนี่ยมันน้อยแต่หลักๆที่คนควรทำเลยเนี่ย
00:10:22 → 00:10:25 ก็คือ 2 อันแรกโดยทั่วๆไปควรทำเลยคืออบิ
00:10:25 → 00:10:30 ค่ะแิเนี่ยเอาซักโซน 2 ร 150 นาทีต่อ
00:10:30 → 00:10:33 สัปดาห์คำว่าอบิของหมอคืออะไรอ่ะแล้วไม่
00:10:33 → 00:10:36 ไปเต้นตามโอ้โหเดี๋ยวนี้เไปยืนกันแถวห้าง
00:10:36 → 00:10:39 แถวอะไรอย่างเงี้มันไม่มีทำไงคะอ๋อแอโรบิ
00:10:39 → 00:10:40 ในที่นี่ไม่ได้หมายถึงเต้นแอโรบิกอย่าง
00:10:40 → 00:10:42 เดียวนะฮะพี่ตั๊กแอโรบิกที่เต้นอย่างงั้น
00:10:42 → 00:10:45 ใช้ได้ถูกต้องแต่มันมีแอโรบิเช่นเราเดิน
00:10:45 → 00:10:48 เร็วเดินเร็วอ่าให้หัวใจมันเต้นเดินเร็ว
00:10:48 → 00:10:50 ใช่หัวใจมันเต้นเพิ่มขึ้นสูบฉีดแรงขึ้นมา
00:10:50 → 00:10:55 หน่อยนึงว่ายน้ำอือ่าหรือวิ่งเหยาะๆค่ะ
00:10:55 → 00:10:57 อย่างงี้อย่างเงี้ยใช่ฉี่จักรยานอย่าง
00:10:57 → 00:11:01 เงี้ยครับเป็นอบิ Exercise
00:11:01 → 00:11:04 2 ข้อแล้วตนี้ข้อ 3 การนอนสำคัญมั้ยหมอ
00:11:04 → 00:11:08 โอนอนสำคัญมากค่ะการนอนเนี่ยถ้าวัยทำงาน
00:11:08 → 00:11:10 วัยรุ่นตอนนี้เชอบคิดว่าการนอนไม่สำคัญ
00:11:10 → 00:11:14 หรอกมีหลานๆนอนดึกมากเลยหมอ 1:00 2:00 น
00:11:14 → 00:11:17 แล้วก็ตื่น 99:00 นหรืออะไรก็สงสัยมากเลย
00:11:17 → 00:11:20 เค้าอยู่ได้ยังไงไม่ได้เลยครับคือคือการ
00:11:20 → 00:11:22 นอนเนี่ย 10 ปีที่ผ่านมาเนี่ยมีงานวิจัย
00:11:22 → 00:11:25 มากเลยครับค่ะที่บอกว่าการนอนเนี่ยมัน
00:11:25 → 00:11:29 สัมพันธ์กับการป่วยทุกโรคเลยเบาหวานความด
00:11:29 → 00:11:32 ไขมันอัลไซเมอร์โรคหัวใจคือคนที่นอนไม่
00:11:32 → 00:11:34 ได้คุณภาพเนี่ยมีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรค
00:11:34 → 00:11:37 เหล่านี้มากมายขึ้นเยวเลยแล้วเราจะรู้ได้
00:11:37 → 00:11:40 ไงเราได้คุณภาพมยครับคือการนอนเนี่ยมัน
00:11:40 → 00:11:42 ต้องวัดอยู่ 2 อย่างเนาะคือระยะเวลาที่
00:11:42 → 00:11:45 เรานอนกับคุณภาพของการนอนหลับนะครับซึ่ง
00:11:45 → 00:11:48 ระยะเวลาที่นอนเนี่ยตามหลักฐานปัจจุบัน
00:11:48 → 00:11:52 เนี่ยเอาประมาณสัก 7-9 ช่วโมง 7-9 ทุกว
00:11:52 → 00:11:54 มั้ยฮะ 7-9 อ่าจริงๆวัยเด็กักจะเยอะกว่า
00:11:54 → 00:11:57 นี้หน่อยเด็กๆเขาจะนอนเยอะกว่านี้นะครับ
00:11:57 → 00:11:59 ในวัยคนอายุมากเเขอาจจะนอนได้น้อยกกว่า
00:11:59 → 00:12:01 นี้หน่อยไม่เป็นไรแต่อยู่ใน Range เยนะ
00:12:01 → 00:12:05 ครับ 7-9 ชมนะครับนอนให้พอก่อนแต่บางคน
00:12:05 → 00:12:07 นอนน้อยเป็นลักษณะของเขาก็ไม่เป็นไรนะ
00:12:07 → 00:12:11 ครับนสดชื่นใช่เต้องตื่นมาแล้วสดชื่นกลาง
00:12:11 → 00:12:13 วันไม่เหงาง่วงเหงาอย่างเงี้ใช้ได้อันที่
00:12:13 → 00:12:17 2 คือคุณภาพคือการนอนเนี่ยมันจะต้องมี
00:12:17 → 00:12:20 Stage ของมันค่ะการนอนไม่ใช่การปิดสวิต
00:12:20 → 00:12:23 สมองนะฮะแต่มันเป็นการเปลี่ยนโหมดเปลี่ยน
00:12:24 → 00:12:26 โหมดนะการนอนนี่น่าสนใจมากนะตอนที่เรานอน
00:12:26 → 00:12:29 เนี่ยเราไม่ใช่แค่หยุดการทำงานสมองแต่
00:12:29 → 00:12:33 สมองทำงานดีขึ้นกว่าเดิมอีกในบางส่วนเช่น
00:12:33 → 00:12:35 อย่างอย่างเราเรียนรู้อะไรมาในวันนึง
00:12:35 → 00:12:38 เนี่ยถ้าเรานอนแล้วเราเรานอนไม่พอเนี่ย
00:12:38 → 00:12:40 ไอ้สิ่งที่เราเรียนเนี่ยมันจะไม่ประมวลผล
00:12:40 → 00:12:42 นะครับจริงๆแล้วเราประมวลผลตอนช่วงนอน
00:12:42 → 00:12:45 หลับฝันนะครับอเหรอคะแม้แต่การทำงานก็
00:12:45 → 00:12:48 เหอะใช่รวมทั้งหมดค่ะมันประมวลผลตอนนั้น
00:12:48 → 00:12:50 นะครับในช่วงที่นอนเนี่ยมันมีหลายสจไงสจ
00:12:50 → 00:12:52 สตที่เราหลับจริงๆเค้าเรียกหลับลึกเนี่ย
00:12:52 → 00:12:55 นะครับสัก 20% ของคืนนะครับแต่มันมีช่วง
00:12:55 → 00:12:58 ที่สำคัญอีกช่วงนึงคือช่วงหลับฝันที่เ
00:12:58 → 00:13:00 เรียกว่าเล็ม Sleep ฝันเนี่ยแปลว่าหลับ
00:13:00 → 00:13:04 มั้ยฮะหลับครับออเหรอหลับครับแต่ว่ามัน
00:13:04 → 00:13:09 เป็นหลับที่อ่าไม่ EP มันไม่ EP คือคลื่น
00:13:09 → 00:13:11 สมองมันกลับขึ้นมาคล้ายๆตื่นอืคลื่นสมอง
00:13:11 → 00:13:14 มันกลับเหมือคล้ายๆตื่นแต่ร่างกายจะถูก
00:13:14 → 00:13:16 น็อคไม่ให้ขยับได้เพราะถ้าหลับแล้วขยับ
00:13:16 → 00:13:19 ได้เราจะลุกขึ้นมาเตะต่อยกันอ่าใช่มั้ย
00:13:19 → 00:13:21 ครับเพราะฉนั้นช่วงหลับเนี่ยจะโดนน็อคไม่
00:13:21 → 00:13:23 ให้ไม่ให้ขยับนะครับช่วงนี้แหละเป็นช่วง
00:13:24 → 00:13:26 สำคัญของการนอนค่ะถ้าคนไม่มีเรม Sleep
00:13:26 → 00:13:29 คือไม่ฝันเลยเนี่ยสมองเขาจะเป็น
00:13:29 → 00:13:32 อัลไซเมอร์เร็วไม่ดีไม่ดีต้องมีโออย่าง
00:13:32 → 00:13:34 งั้นแสดงว่าเราคงดีเพราะเราฝันทุกวันแต่
00:13:34 → 00:13:38 มันฝันเป็นมชอบมาฝันแถวๆใกล้ใกล้สว่างใช่
00:13:38 → 00:13:41 ครับมันจะมันจะไปเยอะช่วงใกล้สว่างออมัน
00:13:41 → 00:13:42 เป็นแพทเทิร์นของเขาอยู่แล้วครับอ๋อเป็น
00:13:42 → 00:13:46 แพทเทิร์นของเขานะฮะนอนบางคนซึ่งในยุค
00:13:46 → 00:13:49 ปัจจุบันนี้เป็นมากเข้านอนแต่มันไม่หลับ
00:13:49 → 00:13:52 โอ้โหนี่ปัญหาเยอะมันทรมานมากโดยเฉพาะพวก
00:13:52 → 00:13:56 วัทองไวทองทั้งหลายยังไงะหมอทำไงดี
00:13:56 → 00:13:59 สุขลักษณะของการนอนที่ดีสุขอมการนอน Sleep
00:13:59 → 00:14:03 ไฮยีนนะครับเช่นเตียงนอนมีไว้นอนสำคัญ
00:14:03 → 00:14:05 อย่าเอางานไปทำคนเนี่ยชอบเอางานเอาการ
00:14:05 → 00:14:08 ขึ้นไปทำตอนที่บนที่นอนไปกินขนมอๆๆร่าง
00:14:08 → 00:14:11 กายมันจำครับค่ะมันจำว่าเตียงนอนมันเอา
00:14:11 → 00:14:13 ไว้กินไว้คิดงานเตียงนอนมีไว้นอนนะครับ
00:14:13 → 00:14:16 เท่านั้นห้องนอนไม่ควรดูทีวีห้องนอนไม่
00:14:16 → 00:14:18 ควรดูทีวีถูกต้องสำหรับคนที่นอนไม่หลับ
00:14:18 → 00:14:20 เนี่ยควรจะเอาทีวีออกไปจากห้องห้องนอนไม่
00:14:20 → 00:14:24 นอนอย่างเดียวแสงสว่างเสียงค่ะนะครับแล้ว
00:14:24 → 00:14:27 ก็ก่อนนอนเนี่ยสรน Time ปัจจุบันเรามี
00:14:27 → 00:14:29 ช่วงเวลาที่เราชอบเล่นมือถือดู iPad ค่ะ
00:14:29 → 00:14:32 ใช่มครับดูทีวีเนี่ยก่อนนอนเนี่ยสัก
00:14:32 → 00:14:34 ชั่วโมงนึงเนี่ยไม่ควรละเพราะไอ้แสงพวกเย
00:14:34 → 00:14:37 มันเข้าตาเราสมองเราอ่ะมันนึกว่าเป็นเวลา
00:14:37 → 00:14:39 กลางวันอืนะเพราะฉะนั้นพวกฮอร์โมนมันจะ
00:14:39 → 00:14:42 ไม่ออกมาครับค่ะแล้วนี้บางคนเนี่ยนอนไม่
00:14:42 → 00:14:46 หลับเขาก็ต้องพึ่งยาเนี่มันมียาหลายแบบ
00:14:46 → 00:14:49 ครับหมอมีความเห็นตรรงนี้งยาคลายเครียด
00:14:49 → 00:14:52 หรือเมลาโทนินหรืออะไรต่างๆยาช่วงนี้ถ้า
00:14:52 → 00:14:55 จะใช้ใช้ระยะสั้นๆเท่านั้นในช่วงที่มี
00:14:55 → 00:14:59 ปัญหาค่ะแต่กินไปเรื่อยๆไม่ได้นะครับยา
00:14:59 → 00:15:02 คายเครียดเนี่ยติดแน่ใช่ติดแน่นะแล้วก็พอ
00:15:02 → 00:15:04 ติดแล้วเราต้องเพิ่มปริมาณยาขึ้นไปเรื่อย
00:15:04 → 00:15:07 ๆนะครับเ่าเมลาโทนินเนี่ยเ่อมันเป็น
00:15:07 → 00:15:10 ฮอร์โมนธรรมชาติอย่างเมลาโทนินเนี่ยโอเค
00:15:11 → 00:15:13 ไม่ไม่ค่อยมีปัญหาในระยะยาวเท่าไหร่กิน
00:15:13 → 00:15:15 ได้แล้วตัวเมลาโทนินเองมันก็เป็นเ้าเรียก
00:15:15 → 00:15:18 ว่าเป็นแอนตี้ออกซินด้วยอือ่าคือมันเป็น
00:15:18 → 00:15:21 สันที่มันต้านอนุมูลอิสระได้ด้วยเพราะ
00:15:21 → 00:15:24 ฉะนั้นบางคนเนี่ยจะเทคเมลาโทนินอันนี้ไม่
00:15:24 → 00:15:26 ค่อยมีปัญหาแต่แต่แต่พี่ได้ยินว่าเก็ว่า
00:15:26 → 00:15:29 ไม่ควรซื้อทานไม่ไม่ทราบว่าที่อเมรกาเป็น
00:15:29 → 00:15:31 ไงเพราะเคยไปเค้าก็มีแล้วเมลาโทนินอันนี้
00:15:31 → 00:15:33 อันนี้อันนี้จากเท่าที่มีความรู้อยู่
00:15:33 → 00:15:37 เนี่ยนะฮะมันจะมี 3 มิลลิกรัมใช่มั้ยฮะ
00:15:37 → 00:15:40 ใช่หรือ 5 อะไรก็ตามเคยมีคนรู้จักกันกิน
00:15:40 → 00:15:43 กิน 5 มิลลิกรัมโอ้โหไม่ได้เลยบอกมันมัน
00:15:43 → 00:15:45 เหมือนมันเยอะไปเพราะงั้นเหล่านี้เนี่ย
00:15:45 → 00:15:48 เมลาโทนินอาจจะต้องให้หมอให้หมอสั่งดี
00:15:48 → 00:15:50 กว่าให้หมอสั่งเอ่อแต่ในประเทศไทยเนี่ย
00:15:50 → 00:15:53 ปัญหาคือเรามีอยู่ยี่ห้อเดียวแล้วขนาด 2
00:15:53 → 00:15:55 มิลลิกรัมแล้วค่อนข้างแพงขนาดราคาค่อน
00:15:55 → 00:15:59 ข้างแพงก็ก็หมอสั่งดีที่สุดแต่ว่าเมสนิน
00:15:59 → 00:16:01 ถ้าจะกินอย่ากินเกิน 3 มิลลิกรัมฮะแต่
00:16:01 → 00:16:04 ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรจะนอนหลับได้ด้วยตัว
00:16:04 → 00:16:07 เอง Sleep ไฮยีนสำคัญที่สุดนะฮะจะสวดมนต์
00:16:07 → 00:16:09 จะนั่งสมาที่ิอะไรก็เรื่องของคุณช่วยได้
00:16:09 → 00:16:10 มากเลยนะ
00:16:10 → 00:16:14 คะอีกเรื่องคือความเครียดความเครียดเนี่ย
00:16:14 → 00:16:16 มันเป็นเขาเรียกว่ามันเป็นปฏิกิริยาของ
00:16:16 → 00:16:20 ร่างกายและจิตใจที่ตอบสนองกับภาวะคุกคาม
00:16:20 → 00:16:22 ค่ะซึ่งมันมีมาตั้งแต่อดีตชาติแล้วอดีต
00:16:22 → 00:16:24 อดีตของมนุษย์น่ะนะฮะพี่เคยได้ยินว่าคน
00:16:25 → 00:16:27 ไหนไม่เครียดคนนั้นจะเป็นเอ๋อเขบอกว่าคน
00:16:27 → 00:16:29 เรามันต้องเครียดมากไม่ไม่ใช่ดีครับผม
00:16:29 → 00:16:32 เหมาะสมครับท่านตลอดเวลาก็ไม่ไหวคือความ
00:16:32 → 00:16:34 เครียดถ้ามองให้เป็นประโยชน์มันมี
00:16:34 → 00:16:35 ประโยชน์อยู่ครับคือคนไม่เครียดเลยมันก็
00:16:35 → 00:16:37 ไม่ได้เหมือนกันไม่ได้เนาะแต่ความเครียด
00:16:37 → 00:16:39 มีประโยชน์เพราะมันทำให้เราพัฒนาออมันทำ
00:16:39 → 00:16:42 ให้เกิดการแก้ปัญหาแลพัฒนาตัวเองเวลาเรา
00:16:42 → 00:16:44 นะฮะเพราะฉะนั้นความเครียดในระดับที่
00:16:44 → 00:16:47 เหมาะสมเนี่ยถือว่ามีประโยชน์แต่เครียดจน
00:16:47 → 00:16:50 แบบค้างจนเ่อเขาคเรียกว่าร่างกายเนี่ยมี
00:16:50 → 00:16:53 แต่ฮอร์โมนความเครียดมีคอร์ติซอลมากร่าง
00:16:53 → 00:16:55 กายมีแต่การกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ
00:16:55 → 00:16:59 าติที่มากเกินไปเนี่ยหัวใจมันเต้นเร็ว
00:16:59 → 00:17:01 ตลอดหลอดเลือดมันบีบมันก็มีโอกาสที่จะ
00:17:02 → 00:17:05 เป็นโรคหลอดเลือดเลือดมันก็แข็งง่ายมันจะ
00:17:05 → 00:17:08 กาเกากลุ่มกันง่ายนะครับกล้ามเนื้อมันก็
00:17:08 → 00:17:11 เกร็งคือมันมันไม่ดีถ้ามันปล่อยสภาวะนั้น
00:17:11 → 00:17:14 อยู่ค้างไปตลอดเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้โอ้โห
00:17:14 → 00:17:16 เครียดนี่ตัวตัวทำให้คนเป็นมะเร็งเลยมี
00:17:16 → 00:17:18 งานศึกษาเลยคนที่เครียดเนี่ยเป็นมะเร็ง
00:17:18 → 00:17:19 มากกว่าคนที่ไม่เครียดแล้วพอรู้ว่าเป็น
00:17:19 → 00:17:21 ยิ่งเครียดใหญ่ยิ่งเครียดหนักเข้าไปเฮผม
00:17:21 → 00:17:23 ว่าวิธีการที่เราจะดับความเครียดได้เนี่ย
00:17:24 → 00:17:27 มีอยู่ 2 วิธีวิธีที่ 1 ก็คือสติคือเรา
00:17:27 → 00:17:29 ต้องมีสติก่อนฮะต้องมีสติสติก่อนแต่วิธี
00:17:29 → 00:17:31 เจริญสติที่ทำให้เราหยุดความเครียดได้เลย
00:17:31 → 00:17:34 คือการมารู้ลมหายใจให้เราหายใจเข้าออกลึก
00:17:34 → 00:17:38 ๆสัก 5 นาทีนะครับการทำแบบเนี้ยมันทำให้
00:17:38 → 00:17:41 เส้นเลือดขยายระบบประสาทอัตโนมัติเนี่ยจะ
00:17:41 → 00:17:43 ถูกอ่าตัวาติที่ทำให้เราเครียดเนี่ยมันจะ
00:17:44 → 00:17:48 ถูกดาวลงลงตัวพิิคือพวกพักผ่อนตัวเบรก
00:17:48 → 00:17:50 เนี่ยจะเพิ่มขึ้นทันทีอันนี้เป็น
00:17:50 → 00:17:53 วิทยาศาสตร์นะฮะผมขอขยายความคำว่า
00:17:53 → 00:17:55 sympathetic กับพา sympathetic ให้ฟัง
00:17:55 → 00:17:58 นิดนึงนะครับคือระบบประสาทของเราเนี่ยมัน
00:17:58 → 00:18:00 จะมีระบบประสาทที่สั่งการที่เราควบคุมได้
00:18:00 → 00:18:02 เช่นหยิบมือไปยกมืออะไรอย่างเงี้ยอันนี้
00:18:03 → 00:18:05 คือสิ่งที่เราทำได้แต่มันจะมีระบบประสาท
00:18:05 → 00:18:06 ที่เราควบคุมไม่ได้เค้าเรียกระบบประสาท
00:18:06 → 00:18:09 อัตโนมัติเช่นหัวใจหัวใจเราเต้นเห็นมั้ย
00:18:09 → 00:18:12 ฮะระบบย่อยอาหารที่ย่อยอยู่อือันเนี้ยเรา
00:18:12 → 00:18:14 ควบคุมไม่ได้เราเราไปสั่งให้หัวใจหยุด
00:18:14 → 00:18:15 เต้นไม่ได้หรือสั่งให้เต้นเร็วก็ไม่ได้
00:18:16 → 00:18:18 สั่งให้เต้นช้าก็ไม่ได้ระบบประสาทอันนี้
00:18:18 → 00:18:20 เค้าเรียกกันว่าระบบประสาทอัตโนมัตินะ
00:18:20 → 00:18:23 ครับซึ่งมันแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งคือฝั่ง
00:18:23 → 00:18:26 เร่งกับฝั่งเบรกเอาง่ายๆอย่างงี้นะครับ
00:18:26 → 00:18:29 ฝั่งเร่งเนี่ยเราเรียกกันว่า S พติกค่ะ
00:18:29 → 00:18:32 คือมันจะทำให้เราหัวใจเต้นเร็วอ่ากล้าม
00:18:32 → 00:18:35 เนื้อแข็งเกร็งขึ้นมาอะไรรู้มั่นตาขยาย
00:18:35 → 00:18:37 เกิดภาวะเครียดประมาณนั้นน่ะนะครับกับอีก
00:18:37 → 00:18:39 ฝั่งนึงเเรียก parasympathetic ไอ้พวกนี้
00:18:39 → 00:18:42 เบรคครับทำตรงข้ามกันอ่ากล้ามเนื้อก็ผ่อน
00:18:42 → 00:18:46 คลายซะหัวใจเต้นช้าลงเรารู้สึกรีกขึ้นค่ะ
00:18:46 → 00:18:48 2 อย่างนี้ต้อง Balance กันอยู่ในภาวะ
00:18:48 → 00:18:50 ที่เหมาะสมนะครับแต่เวลาที่เราเครียดขึ้น
00:18:50 → 00:18:54 มาเนี่ย syic เนี่ยมันอวอขึ้นมาอือ่ามัน
00:18:54 → 00:18:56 ทำให้ร่างกายเป็นอย่างนั้นเพราะว่าเวลา
00:18:56 → 00:19:00 ที่เราไปทำสมาธิพาซิมันเด่นขึ้นมามันเลย
00:19:00 → 00:19:03 กดซาติลงได้ฝั่งเบรกมันเพิ่มขึ้นนั่นเองอ
00:19:03 → 00:19:07 ค่ะให้กำหนดลมหายใจแคลมหายใจเราสูดลึกๆโอ
00:19:07 → 00:19:09 อันนี้หลักธรรมะเลยใช่แต่แต่จริงๆมันถ้า
00:19:10 → 00:19:12 เป็นหลักจีวิยาสติเนี่ยเขาถือว่าไม่มีิสะ
00:19:12 → 00:19:15 ไม่ใช่ศาสนาละมันเป็นวิทยาศาสตร์ค่ะนะฮะ
00:19:15 → 00:19:20 ทำแบบเนี้ยแค่ 5 ทีนะอ่าระดับความฮอร์โมน
00:19:20 → 00:19:23 ความเครียดพาราซิมพาเทติกถูกกระตุ้นมติกน
00:19:23 → 00:19:25 กดชัดเจนนะฮะความเครียดในร่างกายเราหายไป
00:19:25 → 00:19:28 เยอะค่ะอันนี้คือสติแล้วเราถ้าเราเป็นไป
00:19:28 → 00:19:31 ได้เนี่ยเเราทำทำตลอดเราสังเกตลมหายใจของ
00:19:31 → 00:19:33 เราเนี่ยไปเรื่อยๆนะครับอันนี้คือสติคือ
00:19:34 → 00:19:37 มันมันหยุดความความโมโหความโกรดของเราไป
00:19:37 → 00:19:40 แล้วส่วนหนึ่งนะครับอันนี้คือสติอค่ะอีก
00:19:40 → 00:19:42 วิธีนึงคือปัญญาละส่วนใหญ่เราเครียดเพราะ
00:19:42 → 00:19:45 เราอยากครับเวลาที่เราเครียดเนี่ยเราลอง
00:19:45 → 00:19:47 นึกดูว่าเราอยากอะไรอยู่เราอยากไม่ให้
00:19:47 → 00:19:49 เค้าป่าดหน้าเราเราอยากจะแซงคันนั้นเ
00:19:49 → 00:19:51 เบียดไม่ให้เราแซงเราอยากอยู่คิดถึงตัว
00:19:51 → 00:19:55 เราอ่าเราเราอยากจะได้ตำแหน่งนั้นแต่เรา
00:19:55 → 00:19:57 ไม่ได้เเราก็เครียดคือความเครียดเนี่ยมัน
00:19:57 → 00:20:00 เกิดจากความอยากกระแสของความอยากกับกระแส
00:20:00 → 00:20:02 ความจริงเนี่ยถ้ามันสวนกันแบบตรงข้ามกัน
00:20:02 → 00:20:04 อย่างเงี้ยเครียดแน่เพราะฉะนั้นเรามีหน้า
00:20:04 → 00:20:07 ที่ปรับกระแสความอยากเนี่ยให้มันมาตรง
00:20:07 → 00:20:08 กระแสของความจริงไม่เครียดเลยครับพี่ตั๊ก
00:20:08 → 00:20:11 ลองนึกดูดีๆก็ได้ฝนตกเราไม่อยากให้ฝนตก
00:20:11 → 00:20:13 เราเครียดมั้ยอถ้าเราไม่อยากให้ฝนตกเรา
00:20:13 → 00:20:16 เครียดเครียดสิแต่ถ้าฝนตกก็ฝนตกก็ฝนตกบาง
00:20:16 → 00:20:19 คนเนิสัยเขาเป็นแบบนี้เราไปอยากให้เขา
00:20:19 → 00:20:21 เป็นอีกอย่างนึงเนี่ยมันขัดกันเห็นมั้ยฮะ
00:20:21 → 00:20:22 ความจริงกับความอยากของเรามันไม่ตรงกัน
00:20:22 → 00:20:25 แล้วไงอ่าใช่ใช่มั้ยฮะแต่ถ้าเราเราเข้าใจ
00:20:25 → 00:20:27 เค้าว่าเออเขาคเป็นแบบนี้แหละเเขาคเป็น
00:20:27 → 00:20:30 กล้วยเราอยากให้เาเป็นส้มอย่างเงี้ยออเรา
00:20:30 → 00:20:32 ก็เราเราก็เครียดเองอ่ะอพอเราผ่านกล้วย
00:20:32 → 00:20:34 แล้วออทั้งๆที่เคนไม่รู้เรื่องเลยเคไม่
00:20:34 → 00:20:36 ได้รู้เรื่องเลยก็เคก็พูดเยอะเยอะของเค้า
00:20:36 → 00:20:37 อย่างงี้อยู่แล้วอย่างเงี้ยเป็นต้นเอนะฮะ
00:20:37 → 00:20:40 ออกแนวปล่อยวางเนาะใช่นี่แหละคือปัญญาของ
00:20:40 → 00:20:43 สหลักธรรมะเลยใช่ครับถ้าคิดได้แบบนี้ไม่
00:20:43 → 00:20:47 ไม่เครียดครับอ่ะลองไปปรับใช้
00:20:47 → 00:20:51 ดูข้อที่ 5 การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ
00:20:51 → 00:20:55 คนรอบข้างคือมีงานวิจัยฮวดทำวิจัยมา 75
00:20:55 → 00:20:58 ปีเปลี่ยนนักวิจัยไป 4 รุ่นค่ะเขาบอกสิ่ง
00:20:58 → 00:21:01 ดีเดียวที่ทำให้คนมีความสุขที่สุดคือความ
00:21:01 → 00:21:04 สัมพันธ์ที่ดีเขาเจอเลยฮะไม่ใช่ลาภยศชื่อ
00:21:04 → 00:21:06 เสียงไม่ใช่เงินทองมีเงินเยอะก็ไม่ใช่นะ
00:21:06 → 00:21:09 ฮะตำแหน่งใหญ่โตก็ไม่ใช่เป็นคนที่มีคน
00:21:09 → 00:21:11 recognise มากก็ไม่ใช่แต่มันคือเรื่อง
00:21:11 → 00:21:14 ของความสัมพันธ์การสร้างความสัมพันธที่ดี
00:21:14 → 00:21:16 กับคนรอบข้างคนในครอบครัวคนในที่ร่วมงาน
00:21:16 → 00:21:19 เนี่ยสร้างความสุขให้เราแบบมหาศาลเพราะ
00:21:19 → 00:21:21 ฉะนั้นต้องฝึกวิธีฝึกก็คือเราต้องเมตตา
00:21:21 → 00:21:23 ครับคำนี้คำเดียวก็เกินพอแล้วสำหรับคความ
00:21:23 → 00:21:26 สัมพันธ์คือพระพุทธเจ้าบอกความเมตตาเนี่ย
00:21:26 → 00:21:31 คืออเวลอพยปปชาค่ะอนีคาค่ะสุขีอัตตานัง
00:21:31 → 00:21:34 ปะริหะรันตุทุกทีเราสวด 4 คำเนี่ยเราสวด
00:21:34 → 00:21:36 อยู่ในห้องพระค่ะอ่าเราแผลเมตตาคนนู้นคน
00:21:36 → 00:21:39 นี้อะไรอย่างเงี้ยจริงๆ 4 คำเนี้ยต้องเอา
00:21:39 → 00:21:42 มาใช้เวลาเจอสถานการณ์จริงๆอืคือเราเจอคน
00:21:42 → 00:21:45 เราไม่ก่อเวรนะเอาเวลานะเราไม่พยาบาทนะ
00:21:45 → 00:21:48 ไม่เบียดเบียนเค้านะอนิคเราไม่ทำร้ายร่าง
00:21:48 → 00:21:52 กายเค้านะเรามุ่งหวังให้เค้ามีความสุขนะ
00:21:52 → 00:21:55 สภาวะจิตใจ 4 อย่างเนี่ยมันทำให้คนที่มี
00:21:55 → 00:21:58 ความคิดแบบเนี้ยมีความสุขครับอืแล้วเราจะ
00:21:59 → 00:22:00 มีความสัมพันธ์ที่ดีแน่นอนกับคนรอบข้าง
00:22:00 → 00:22:04 กับคนรอบข้างเมตตาด้วใช่ต้องใช้หลักของ
00:22:04 → 00:22:07 ความเมตตา
00:22:07 → 00:22:11 ค่ะข้อ 6 ซึ่งตอนนี้มันหลีกเลี่ยงยากมาก
00:22:11 → 00:22:14 เลยหมออากาศมันไม่ดีเลยพี่เนี่ยแบบฟึดฟัด
00:22:14 → 00:22:17 ฟึฟัดตลอดเวลาตอนนี้สารพิษทั้งนั้นใช่เรา
00:22:17 → 00:22:19 หลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้าเราเจอพวกนี้บ่อยๆมัน
00:22:19 → 00:22:22 ก็ทำให้เราอาจจะเจ็บป่วยแต่ในส่วนที่เรา
00:22:22 → 00:22:24 พอทำได้เนี่ยก็คือเราต้องเช็คก่อนฮะเราจะ
00:22:24 → 00:22:26 ไปไหนเราต้องเช็คก่อนนะสภาพมันเป็นยังไง
00:22:26 → 00:22:29 นะตอนนี้เถ้าออกไปข้างนอกนะฮะเราอาจจะ
00:22:29 → 00:22:32 ต้องคอยป้องกันตัวเองอ่าต้องมีแสนะครับแส
00:22:32 → 00:22:35 อย่างน้อยก็แสผ้าก็ยังพอป้องกันได้ n95
00:22:35 → 00:22:38 ดีที่สุดแต่ว่าเราคงไม่ไม่ Comfort เท่า
00:22:38 → 00:22:40 ไหร่ที่จะไปใส่แบบนั้นตลอดเวลาเอ่อถ้า
00:22:40 → 00:22:42 อยู่ในบ้านเราก็เราต้องมีเครื่องกรอง
00:22:43 → 00:22:46 อากาศออเราต้องปิดทุกอย่างให้ให้สนิทถ้า
00:22:46 → 00:22:49 ถ้าเราเช็คแล้วว่ามันมีปัญหานี้นะครับ
00:22:49 → 00:22:51 หลีกเลี่ยงสารพิษที่ว่านอกเหนือจากฝุ่น PM
00:22:51 → 00:22:55 2.5 แล้วมันมีอะไรบ้างโอันนี้อันนี้ค
00:22:55 → 00:22:57 ต้องขอพูดว่าน่ากลัวมากคืออันนึงคือค
00:22:57 → 00:23:01 พอร์ตบุหรี่ไฟฟ้าโอหอันเนี้ยเป็นปัญหามัน
00:23:01 → 00:23:05 มีกลิ่นมั้ยครับหมอมี 17,000 กลิ่นห้ะคือ
00:23:05 → 00:23:07 ผมต้องเรียนตามตรงว่าผมอ่ะไม่เคยไปอยู่
00:23:07 → 00:23:09 ใกล้คนพวกนี้เลยเพราะฉะนั้นผมเนี่ยโดย
00:23:09 → 00:23:11 ส่วนตัวประสบการณ์เนี่ยผมไม่ไม่รู้เลยว่า
00:23:11 → 00:23:15 มีกลิ่นมั้ยแต่ว่าเค้าทำรสชาติกลิ่นของ
00:23:15 → 00:23:19 บุหรี่ไฟฟ้าไว้ 17,000 กลิ่นให้คนได้ลอง
00:23:19 → 00:23:24 ครับโเป็นจุดขายให้ตายเร็วจุดขายแล้วก็
00:23:24 → 00:23:26 รูปแบบของพอร์ตเนี่ยมันกลายเป็นรูปแบบที่
00:23:26 → 00:23:28 น่ารักดูเนลแล้วครับค่ะ
00:23:29 → 00:23:32 เจาะตลาดเด็กเจาะตลาดวัยรุ่นเจาะตลาดผู้
00:23:32 → 00:23:34 หญิงเวลาที่เราสูบบุหรี่ 1 มวลเนี่ยนะฮะ
00:23:34 → 00:23:37 เราจะได้นิโคตินประมาณสัก 1 มิลกรัมค่ะใน
00:23:37 → 00:23:41 ขณะที่บุหรี่ไฟฟ้าพัฟเดียวจัดไป 10 โอห
00:23:41 → 00:23:44 เพราะฉะนั้นนิโคตินทำลายสมองแบบมหาศาล
00:23:44 → 00:23:46 ครับค่ะเพราะนิโคตินเนี่ยมันจะไปจับตัว
00:23:46 → 00:23:49 รีปเปอร์ตัวจับในสมองแล้วมันทำลายสมอง
00:23:50 → 00:23:52 ครับเพราะฉะนั้นต่อไปเนี่ยถ้าเราไม่หยุด
00:23:52 → 00:23:54 ยั้งการสูบบุหรี่ไฟฟ้าตั้งแต่วัยรุ่นเด
00:23:54 → 00:23:57 ตั้งแต่เด็กเนี่ยค่ะพี่ตั๊กลองคิดดูอีก 10
00:23:57 → 00:23:59 ปีวัยรุ่นที่เขาสูบนี่โคตินเข้าไปขนาด
00:23:59 → 00:24:01 เนี้ยสมองเจะพังขนาดไหนแล้วเขาจะต้องไป
00:24:01 → 00:24:04 เป็นแม่ของคนใช่ใช่มั้เต้องไปเป็นอนาคต
00:24:04 → 00:24:07 ของชาติอย่างเงี้ยโอ้โหไม่ต้องพูดถึงเลย
00:24:07 → 00:24:09 แย่แน่คือเราก็รณรงค์กันในเรื่องของการ
00:24:09 → 00:24:12 ไม่สูบบุหรี่แต่กลายเป็นมีบุหรี่ไฟฟ้าโพล
00:24:12 → 00:24:14 มาให้หนักเข้าไปอีกใช่เเข้าใจผิดงั้นข้อ
00:24:14 → 00:24:19 นี้ถ้าเราตัดได้เราก็จะมีอายุยืที่คือไม่
00:24:19 → 00:24:22 เสี่ยงกับการตายเร็วใช่ครับใชใช่มั้ยฮะ
00:24:22 → 00:24:25 สรุปแล้วอยากให้คุณหมอสรุปว่าเราไม่อยาก
00:24:25 → 00:24:29 ป่วยไม่อยากหาหมอเราต้องดูแลตัวเองยังไง
00:24:29 → 00:24:31 บ้างหาหมอไม่ได้ทำให้เราอายุยืนขึ้นเท่า
00:24:31 → 00:24:34 ไหร่เห็นมนะฮะแต่การที่เราปฏิบัติตัวเอง
00:24:34 → 00:24:37 นี่แหละฮะสำคัญกว่าค่ะก็จำไว้หลักการหลัก
00:24:37 → 00:24:41 การง่ายๆกินดีออกกำลังกายนอนให้ดีจัดการ
00:24:42 → 00:24:44 ความเครียดให้ดีมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคน
00:24:44 → 00:24:47 รอบข้างแล้วก็เรื่องของสารพิษต่างๆที่เรา
00:24:47 → 00:24:51 ต้องสารพิษต่างๆถ้าเราทำ 6 สิ่งนี้ได้เรา
00:24:51 → 00:24:55 จะมีชีวิตที่ไม่ต้องตายก่อนวแอนควรและไม่
00:24:55 → 00:24:59 ต้องพึ่งหมอโอ้โหเท่าที่ดูเนี่ยพี่ตั๊กทำ
00:24:59 → 00:25:02 ได้หลายอย่างแล้วแล้วก็ยังอยากจะทำต่อไป
00:25:02 → 00:25:05 แล้วก็มั่นใจว่าคนอื่นน่าจะต้องทำด้วย
00:25:05 → 00:25:08 เพราะว่าเราคงจะไม่อยากมีเงินแล้วก็นั่ง
00:25:08 → 00:25:11 รักษาตัวเองเดี้ยงหรือว่านอนติดเตียงหรือ
00:25:11 → 00:25:13 ก็เจ็บป่วยหรือต้องไปหาหมอตลอดใช่เพราะ
00:25:13 → 00:25:17 ฉะนั้นหมอก็คือตัวเรานั่นเองนะคะวันนี้
00:25:17 → 00:25:20 ขอบคุณคุณหมอมากก็อย่าลืมนะคะนี่คือ
00:25:20 → 00:25:24 เรื่องราวดีๆกับตั๊ทอขอบคุณมากค่ะชมราย
00:25:24 → 00:25:27 การตัทแล้วก็อย่าลืมนะคะกดไลค์กดแชร์กด
00:25:27 → 00:25:31 Subscribe ทางช่องทั้งทางช่อง YouTube
00:25:31 → 00:25:34 และ Facebook ด้วยนะคะแล้วก็อย่าลืมกด
00:25:34 → 00:25:36 กระดิ่งแจ้งเตือนด้วยนะคะจะได้ไม่พลาด
00:25:36 → 00:25:43 สาระดีๆจากช่องไของเราอย่าลืมนะคะ
00:25:43 → 00:25:46 [เพลง]
00:00:00 → 00:00:02 มะเร็งเบาหวานความดันโลกหัวใจสตกเป็น
00:00:02 → 00:00:06 สถิติที่สูงมาก 100 คนเตายจากโรคเนี้ย 75
00:00:06 → 00:00:08 คนนะฮะก็ตายก่อน 70 ด้วยฮะต้องบอกว่ามี
00:00:08 → 00:00:10 งานวิจัยนึงน่าสนใจครับกลุ่มคนกลุ่มนึงนะ
00:00:11 → 00:00:13 ฮะหาหมอปฏิบัติตัวตามหมอตลอดเวลาเลยตอน
00:00:13 → 00:00:17 เริ่มงานวิจัยมีคนเป็นความนา 28% 12 ปี
00:00:17 → 00:00:20 ผ่านไปมีคนเป็นความดัน 56% ห้ะพวกที่หา
00:00:20 → 00:00:23 หมอเนี่ยพวกที่หาหมออันนี้เราต้องทำไงถ้า
00:00:23 → 00:00:25 เราไม่อยากตายก่อนวัยอันควร 6 หลักการ
00:00:25 → 00:00:27 ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราเนี่ยลดโอกาส
00:00:27 → 00:00:31 ตายก่อนวัยอันควรไปได้ 91% อะไรที่ไม่ควร
00:00:31 → 00:00:34 กินกินแล้วจะตายก่อนวอันปวดหมอซีเรียส
00:00:34 → 00:00:36 เรื่องน้ำตาลมั้ยเดี๋ยวนี้หมอเขารู้กัน
00:00:36 → 00:00:38 หมดทั่วโลกแล้วว่าน้ำตาลคือยาผิษครับ
00:00:38 → 00:00:40 เครียดนี่ตัวทำให้คนเป็นมะเร็งเลยมีงาน
00:00:40 → 00:00:42 ศึกษาเลยคนที่เครียดเนี่ยเป็นมะเร็งมาก
00:00:42 → 00:00:43 กว่าคนที่ไม่เครียดแล้วพอรู้ว่าเป็นยิ่ง
00:00:43 → 00:00:45 เครียดใหญ่ปัจจุบันเรามีช่วงเวลาที่เรา
00:00:45 → 00:00:47 ชอบเล่นมือถือดู iPad ดูทีวีเนี่ยก่อนนอน
00:00:48 → 00:00:50 เนี่ยสักชั่วโมงนึงเนี่ยไม่ควรละเพราะไอ้
00:00:50 → 00:00:52 แสงพวกเนี้ยมันเข้าตาเราสมองเราอ่ะมันนึก
00:00:52 → 00:00:54 ว่าเป็นเวลากลางวันเพราะฉะนั้นพวกฮอร์โมน
00:00:54 → 00:00:56 มันจะไม่ออกมาฝันเนี่ยแปลว่าหลับมั้ยฮะ
00:00:56 → 00:00:59 หลับครับคลืนสมองมันกลับเหมือนคล้ายๆตื่น
00:00:59 → 00:01:01 แต่ร่างกายจะถูกน็อคไม่ให้ขยับได้ช่วงนี้
00:01:01 → 00:01:04 แหละเป็นช่วงสำคัญของการนอนถ้าคนไม่มีเรม
00:01:04 → 00:01:06 Sleep คือไม่ฝันเลยเนี่ยสมองเขาจะเป็น
00:01:06 → 00:01:12 อัลไซเมอร์
00:01:12 → 00:01:16 เร็ววันนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจมากเป็น
00:01:16 → 00:01:18 เรื่องใกล้ตัวนี่แหละเพราะว่าคนเราเนี่ย
00:01:18 → 00:01:21 นะคะเราอยู่กับชีวิตเรามีแค่ไหนโรคไภยไข้
00:01:21 → 00:01:24 เจ็บเป็นโน่นเป็นนี่เจ็บป่วยแต่ละทีก็
00:01:25 → 00:01:28 ต้องพึ่งหมอทำงานหาเงินเกือบตายเราสังเกต
00:01:28 → 00:01:31 มว่าเราต้องเก็บเงินไว้เพื่อรักษาตัวแต่
00:01:31 → 00:01:34 เขาบอกว่าจะดีกว่าไหมถ้าเราไม่ต้องป่วย
00:01:34 → 00:01:38 ไม่ต้องหาหมอเลยมีเคล็ดลับง่ายๆเบอกว่า
00:01:38 → 00:01:42 ถ้าเราทำ 6 สิ่งนี้ไม่ต้องไปหาหมอตลอด
00:01:42 → 00:01:44 ชีวิตแล้วก็ไม่ตายก่อนวัยอันควรอยากรู้
00:01:45 → 00:01:48 มากถ้าอยากรู้ก็อย่าลืมนะคะกดไลค์กดแชร์
00:01:48 → 00:01:50 กด Subscribe และกดกระดิ่งเตือนด้วยทาง
00:01:50 → 00:01:53 ช่องไ doot ด้วยนะคะเป็นกำลังใจให้พี่
00:01:53 → 00:01:57 ตั๊กหมอฮะหลายคนเบอกว่าไม่อยากป่วยไม่
00:01:57 → 00:02:00 อยากไปหาหมอเนี่ยมีวิธีที่จะทำให้ไม่ต้อง
00:02:00 → 00:02:03 ไปด้วยเหรอทำยังไงคะหมอต้องบอกว่ามีงาน
00:02:03 → 00:02:07 วิจัยนึงน่าสนใจครับพี่ทักเค้าศึกษาในคน
00:02:07 → 00:02:10 กลุ่มคนกลุ่มหนึงนะฮะตามไปเบอกคนกลุ่ม
00:02:10 → 00:02:13 เนี้ยหาหมอปฏิบัติตัวตามหมอมาตลอดเวลาเลย
00:02:14 → 00:02:17 12 ปีผ่านไปในตอนเริ่มงานวิจัยมีคนเป็น
00:02:17 → 00:02:20 ความดัน 28% ค่ะพี่ตั๊กรู้มั้ยจบงานวิจัย
00:02:20 → 00:02:24 มีคนเป็นความดันเท่าไหร่ครับเท่าไหร่ 56%
00:02:24 → 00:02:27 ห้ะพวกที่หาหมอเนี่ยพวกที่หาหมอคือมัน
00:02:27 → 00:02:29 เป็นคำตอบที่ว่าการแพทย์แผนปัจจุบันเนี่ย
00:02:29 → 00:02:32 ค่ะไม่สามารถจะจัดการกับโรคที่มันเป็นโรค
00:02:32 → 00:02:35 ไม่ติดต่อเรื้อรังได้อ๋อนะครับเพราะ
00:02:35 → 00:02:37 ฉะนั้นใน 10 ปีที่แล้วเนี่ยมันมีงานวิจัย
00:02:37 → 00:02:40 อันนึงที่บอกว่าถ้าเราทำปรับเปลี่ยนวิถี
00:02:40 → 00:02:42 ชีวิตของเราเนี่ยนะครับการกินดีนอนดีออก
00:02:42 → 00:02:46 กำลังกายดีๆจัดการความเครียดเนี่ยสามารถ
00:02:46 → 00:02:49 ที่จะทำให้คนกลุ่มเนี้ยลดโอกาสตายก่อนให
00:02:49 → 00:02:52 อันควรไปได้ 91% เขาเรียกว่าเวชศาสตร์
00:02:52 → 00:02:55 วิถีชีวิตครับฮ่ะเป็นยังไงฮะคือเวชศาสตร์
00:02:55 → 00:02:57 วิถีชีวิตเนี่ยจริงๆมีที่อเมริกามานาน
00:02:57 → 00:03:00 แล้วะแต่เพิ่งจะมาเข้าไทยเนี่ยสัก 23 ปี
00:03:00 → 00:03:02 นี่เองครับพี่ตั๊กคือมันเป็นการแพทย์แบบ
00:03:02 → 00:03:04 นึงนี่แหละแต่มันต้องเป็นการแพทย์ที่เป็น
00:03:04 → 00:03:07 scientific นะอย่างเราไปดิบวิตามินดิบ
00:03:07 → 00:03:08 อะไรอย่างเงี้ยเรายังไม่ถือว่าเป็น
00:03:08 → 00:03:11 scientific นะครับแต่เวชศาสตร์วิถีชีวิต
00:03:11 → 00:03:13 เนี่ยคือการแพทย์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่มี
00:03:13 → 00:03:17 อ่า article อะไรต่างๆรองรับนะครับเคบอก
00:03:17 → 00:03:20 ว่ามีอยู่ 6 หลักการถ้าเราทำ 6 หลักการ
00:03:20 → 00:03:23 เนี่ยเราไม่ตายก่อนแวอันควรคือในสมัยก่อน
00:03:23 → 00:03:25 นะครับผมย้อนไปสมัยก่อนเนี่ยตอนที่ผมจบ
00:03:25 → 00:03:28 หมอใหม่ๆพี่ตั๊กคนที่เจ็บป่วยโดยทั่วไป
00:03:28 → 00:03:30 เนี่ยจะเป็นโรคติดเชื้อ
00:03:30 → 00:03:32 ถ้าเราไปตามโรงพยาบาลต่างๆตามวอดต่างๆ
00:03:32 → 00:03:35 เนี่ยเราจะเห็นคนป่วยเป็นโรคปอดติดเชื้อ
00:03:35 → 00:03:37 ในปอดติดเชื้อทางเดินอาหารอะไรประมาณนี้
00:03:37 → 00:03:40 ใช่มั้ครับแต่ปัจจุบันเนี่ยสัก 20 ปีที่
00:03:40 → 00:03:42 ผ่านมาเนี่ยปรากฏว่าโรคติดเชื้อเนี่ยไม่
00:03:42 → 00:03:45 ได้นอนโรงพลาแล้วนะถ้าใครสังเกตให้ดี
00:03:45 → 00:03:47 เนี่ยเราจะพบคนที่นอนโรงพยาบาลเป็นอะไรฮะ
00:03:47 → 00:03:51 เป็นโรคหัวใจเป็นโรคความดันเบาหวานเป็น
00:03:51 → 00:03:54 โรคมะเร็งคอ้าเป็นโรคอัมพฤกษ์อัมพาเห็น
00:03:54 → 00:03:56 มั้ยครับว่ามันเปลี่ยนไปะไอ้โรคที่ผมพูด
00:03:56 → 00:04:00 เนี่ยเขาเรียกว่าโรคไม่ติดต่อเรือรังโรค
00:04:00 → 00:04:02 ไม่ติดต่อเรื้อลังใช่ภาษาอังกฤษเใช้คว่า
00:04:03 → 00:04:06 ncds คือ non communicable diseases
00:04:06 → 00:04:09 โรคเหล่าเมันเพิ่งมาเจอว่ามันพีคขึ้นมาใน
00:04:09 → 00:04:13 ช่วง 20-30 ปีนี้เองฮะอ๋อเหตุผลเพราะอะไร
00:04:13 → 00:04:17 เพราะการกินการใช้ชีวิตความเครียดอืของ
00:04:17 → 00:04:20 เราเองกินไม่ดีนอนไม่ดีเพราะว่าสมัยก่อน
00:04:20 → 00:04:22 เนี่ยมะเร็งก็ไม่ได้เยอะขนาดนี้ถูกต้อง
00:04:22 → 00:04:24 ครับนะฮะเพราะงั้นมะเร็งเบาหวานความดัน
00:04:24 → 00:04:27 โลกหัวใจสโตรกเป็นอะไรต่างๆเหล่านี้ตอน
00:04:27 → 00:04:31 นี้ถือว่าเป็นสถิติที่สูงมากใช่แต่หมอ
00:04:31 → 00:04:34 กำลังจะบอกว่าถ้าเราดูแลบริหารตรงนี้เรา
00:04:34 → 00:04:37 ก็อาจจะไม่เป็นโรคเหล่านี้โอกาสเป็นลดลง
00:04:37 → 00:04:40 ไปเป็น 90% เลยครับลดลงไปอันนี้เราต้องทำ
00:04:40 → 00:04:43 ไงถ้าเราไม่อยากตายก่อนวัยอันควรใช่ผมขอ
00:04:43 → 00:04:46 พูดถึงตายก่อนไวัอันควรนิดเดียวคือพวกเรา
00:04:46 → 00:04:49 ที่ชมรายการเนี่ยนะฮะ 100 คนเี่จะบอกว่า
00:04:49 → 00:04:52 ตายจากโรคเนี้ย ncds ที่ผมพูดเนี่ย 75 คน
00:04:52 → 00:04:55 นะฮะ 75 คน 75 คนดูอยู่ 100 คนเนี่ยไม่
00:04:55 → 00:04:57 โรกได้ก็โรคนึที่ผมพูดนี่แหละแล้วก็ตาย
00:04:57 → 00:05:00 ก่อน 70 ด้วยฮะหืตายก่อนวัย 70 ค่ะครับผม
00:05:00 → 00:05:03 เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าเรามาปรับเพื่อไม่ให้
00:05:03 → 00:05:04 เราเป็นโรคเหล่าเนี้ยโรคไม่ติดต่อเรื้อ
00:05:04 → 00:05:06 รังเนี่ยครับเราจะมีชีวิตที่เเรียกว่าไม่
00:05:07 → 00:05:10 ตายก่อนวัยแนควนก็คือตายหลัง 70 ขึ้นไป
00:05:10 → 00:05:12 แล้วเราก็จะมีช่วงที่เราแข็งแรงอ่ะมี
00:05:12 → 00:05:16 Health span ที่ยาวขึ้นค่ะนะฮะนั้นเรา
00:05:16 → 00:05:20 ต้องทำอะไรบ้าง 1 คือกินดีค่ะ 2 คือออก
00:05:20 → 00:05:23 กำลังกาย 3 คือนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
00:05:24 → 00:05:26 ค่ะ 4 คือการจัดการความเครียดให้ได้นะ
00:05:26 → 00:05:29 ครับ 5 ก็คือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนร
00:05:29 → 00:05:32 ข้างและข้อที่ 6 ก็คือการหลีกเลี่ยงพวก
00:05:32 → 00:05:33 สาร
00:05:33 → 00:05:36 พิษอ่าเริ่มแรกคือเรื่องอาหารการกินเน้น
00:05:37 → 00:05:39 ไปที่การกิน Plant Base H Food ใช่
00:05:40 → 00:05:42 ครับก็เป็นอาหารพืชค่ะเป็นหลักนะครับไม่
00:05:42 → 00:05:44 ใช่ว่าไม่มีเนื้อสัตว์เลยนะฮะแต่อาจจะมี
00:05:44 → 00:05:47 เนื้อสัตว์ที่คุณภาพดีหน่อยเช่นเชอะไร
00:05:47 → 00:05:50 เช่นเนื้อไก่ที่รีนๆหน่อยเนื้อปลาเป็นต้น
00:05:50 → 00:05:52 อย่างเงี้ยครับแล้วก็หมูทำไมเราไม่รวมหมู
00:05:52 → 00:05:55 เข้าไปด้วยคือหมูเนี่ยก็ก็มีโปรตีนเเรียก
00:05:56 → 00:05:58 เป็น compete โปรตีนแต่เพียงแต่ว่าหมู
00:05:58 → 00:06:00 เนี่ยเป็นถือว่าเป็น Red Meat คือเป็น
00:06:00 → 00:06:03 เนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกกด้วยนมอ๋ออ๋อเแยก
00:06:03 → 00:06:05 อย่างงี้เหรอใช่ Red M บางคนบางคนจะเข้า
00:06:05 → 00:06:07 ใจว่าแปลว่าเนื้อสีแดงจริงๆไม่ใช่เนื้อสี
00:06:07 → 00:06:10 แดงนะ Red mid คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
00:06:10 → 00:06:12 ค่ะคือเนื้อของมันเนี่ยมันก่อให้เกิดการ
00:06:12 → 00:06:16 อักเสบในร่างกายเราอ๋อควรกินในปริมาณที่
00:06:16 → 00:06:18 พอเหมาะไม่ถึงกับว่าห้ามกินนะครับพอเหมาะ
00:06:18 → 00:06:20 นี่ให้ให้กินวันละมื้อหรือให้กินอาทิตย์
00:06:20 → 00:06:23 ละสัก 2 หนก็เอาจริงๆแล้วเนี่ยอาทิตย์นึง
00:06:23 → 00:06:26 ไม่ควรเกิน 400 กรัม 400 กรัม 400 กรัมก็
00:06:26 → 00:06:28 ครึ่งเกือบครึ่งกึ่งประมาณสักครึ่งกล
00:06:28 → 00:06:30 อาทิตย์นึงนะฮะอย่าอย่ามากไปกว่านั้นไป
00:06:30 → 00:06:34 สเต็กทีเดียวก็เรียบร้อยอเพราะงั้น Plant
00:06:34 → 00:06:37 Base ให้กินอาหารที่มาจากพืชหรืออกหรือ
00:06:37 → 00:06:40 อกไก่หรือโปรตีนอะไรต่างๆที่มาจากปลาถ้า
00:06:40 → 00:06:42 บางคนเนี่ยสายสุขภาพเลยจริงๆเนี่ยเขาก็
00:06:42 → 00:06:45 อาจจะเป็นนับแควใช่มั้ยครับพี่ซึ่งมันยาก
00:06:45 → 00:06:48 สำหรับบุคคลทั่วไปไงครับทีนี้เราผมจะแนะ
00:06:48 → 00:06:50 นำว่าถ้าเราจะกินง่ายๆเนี่ยเราใช้เป็นเ้า
00:06:50 → 00:06:53 เรียกว่าเพลตมเดลก็ได้ครับคือเป็นจานจาน
00:06:53 → 00:06:55 นึงนะเหมือนเพลตอันนึงเนี่ยนะฮะเราแบ่ง
00:06:55 → 00:06:58 เพลตอันนั้นเป็นครึ่งนึงครึ่งนึงก่อน
00:06:58 → 00:07:01 เนี่ยคือผักผลไม้ค่ะอ่าครึ่งแล้วนะครับ
00:07:01 → 00:07:05 อีกครึ่งนึงแบ่งอีกเป็น 1 ใน 4 ค่ะ 1 ใน 4
00:07:05 → 00:07:10 นั้นคือโปรตีนค่ะคุณภาพดีเช่นถั่วเต้าหู้
00:07:10 → 00:07:12 นะครับหรือเนื้อสัตว์ที่คุณภาพสูงอย่าง
00:07:12 → 00:07:14 ที่บอกไปก็ได้นะครับอีกส่วนหนึงเนี่ยก็
00:07:14 → 00:07:17 คือพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนค่ะอ่าพวกข้าว
00:07:17 → 00:07:21 ไม่ขัดสีขนมปังฮวดธัญพืชต่างๆเป็นต้นจริง
00:07:21 → 00:07:24 ๆเนี่ยการใส่จานเนี่ยเวิร์คมากนะหมอเพราะ
00:07:24 → 00:07:27 ว่าพี่เนี่ยบางทีพี่บางทีนะเรามีข้าวจาน
00:07:27 → 00:07:30 นึงเราตักกลับตักอะไเราไม่รรู้ว่าเรากิน
00:07:30 → 00:07:32 ไปเยอะแค่ไหนเพราะงั้นใส่ใน 1 จานเรารู้
00:07:32 → 00:07:34 อันนี้กระจุกนึงอันนี้กระจุกกระจุกเรารู้
00:07:34 → 00:07:36 ว่าเรากินเยอะขนาดไหนอ่ะเมื่อกี้ผมพูดถึง
00:07:36 → 00:07:39 สัดส่วนไปแล้วเนาะอันที่ 2 คือปริมาณครับ
00:07:39 → 00:07:42 ปริมาณเนี่ยก็ควรจะต้องเหมาะสมคือโดยปกติ
00:07:42 → 00:07:45 ผู้หญิงธรรมดาก็ประมาณสัก 1,400 - 1,600
00:07:45 → 00:07:49 แควแค่นั้นเองใช่ผู้ชายอาจะ 1, 6,8 -
00:07:49 → 00:07:52 2,000 แควแต่ก็อยู่ที่ลักษณะที่ต่างๆกัน
00:07:52 → 00:07:55 ด้วยนะฮะรูปร่างอายุอะไรอย่างเงี้ยแต่โดย
00:07:55 → 00:07:57 เฉลี่ยเนี่ยมันประมาณประมาณนั้นค่ะครับที
00:07:57 → 00:08:00 นี้มันยากที่จะไปนั่งคำนนแบบนั้นให้ใช้
00:08:00 → 00:08:02 วิธีนี้ก็ได้ครับให้เราเวลาที่เรารับ
00:08:02 → 00:08:06 ประทานเนี่ยก็ดูว่าเราอิ่มสัก 80% ไม่ไม่
00:08:06 → 00:08:09 เอาซะแอนไม่เอใช่ไม่จัดเต็มบางคนไม่ได้
00:08:09 → 00:08:11 อิ่มนะเอาซะแอ่นเลยโอ้โหจุกเสียดแน่นเฟ้อ
00:08:12 → 00:08:14 เลยเหม็นเปรี้ยวอะไรขนาดนั้นนะคะเอาว่า
00:08:14 → 00:08:17 สัก 80% โอเคแล้วก็ดื่มน้ำตามสักถ้วยนึง
00:08:17 → 00:08:19 นี่พอดีแล้วครับถ้าแบบนี้พอดีะอุอันนี้ดี
00:08:19 → 00:08:22 นะคือทานปุ๊บให้ทานน้ำเข้าไปอ่ะเต็มรอยพอ
00:08:22 → 00:08:25 ดีเต็มเราจะได้รู้แต่มันไม่ใช่อย่างงั้น
00:08:25 → 00:08:29 บางคนกินแล้วมันมันไงมันเอร็ดอร่อยเอาซะ
00:08:29 → 00:08:31 เต็มคราบเลยอันนี้อยู่ที่ตัวเองแล้วเนาะ
00:08:31 → 00:08:35 ใช่สักนานๆทีก็ได้ครับพี่ตนานๆทีไม่เป็น
00:08:35 → 00:08:38 ไรแต่โดยชีวิตประจำวันควรจะเป็นอย่างงี้
00:08:38 → 00:08:42 นะคะอะไรที่ไม่ควรกินกินแล้วจะตายก่อนวัย
00:08:42 → 00:08:45 อันควรแน่ๆเลยคือทราน Fat ซึ่งเดี๋ยวนี้
00:08:45 → 00:08:47 ไม่ค่อยมีะคแฟชสมัยก่อนมีเยอะที่เอามาทำ
00:08:47 → 00:08:50 เกอรี่มันยังมีนะเดี๋ยวนี้เนี่มันผิดกฎ
00:08:50 → 00:08:52 หมายถ้าไปซื้อแบบอิออาจจะมีอยู่บ้างแต่
00:08:52 → 00:08:55 ว่าแต่ว่าเดี๋ยวนี้กฎหมายควบคุมแล้วฮะควบ
00:08:55 → 00:08:57 คุมใช่มนี่การที่เราไปซื้ออะไรต่างๆแล้ว
00:08:57 → 00:09:01 เราดูข้างหลังสลากอันนี้ถือว่ามีผลแโอดี
00:09:01 → 00:09:03 มากต้องดูครับเค้าจะโกหกเรามั้ยไม่มีไข
00:09:03 → 00:09:06 มันซาแต่ดันใส่ลงไปอย่างเงี้ยผมคิดว่าอาจ
00:09:06 → 00:09:08 จะมีอยู่บ้างนะฮะแต่เราถ้าเราเลือกซื้อใน
00:09:08 → 00:09:11 ยี่ห้อที่มันมาตรฐานหน่อยเนี่ยผมคิดว่าเา
00:09:11 → 00:09:14 คงจะไม่หลอกเราเยอะจนเกินไปน้ำตาลหมอ
00:09:14 → 00:09:16 ซีเรียสเรื่องน้ำตาลมั้ยโหน้ำตาลเดี๋ยว
00:09:16 → 00:09:18 นี้หมอเขารู้กันหมดทั่วโลกแล้วว่าน้ำตาล
00:09:18 → 00:09:21 คือยาพิษครับมันทำให้ร่างกายอักเสบถูก
00:09:21 → 00:09:24 ต้องอืคือกินเยอะไม่ได้
00:09:24 → 00:09:27 ค่ะอย่างที่ 2 ออกกำลังกายออกกำลังายอ่า
00:09:27 → 00:09:29 ทำไงค่ะอังใช่ออกกำลังกายเนี่ยจริงๆแล้ว
00:09:29 → 00:09:32 มีอยู่ 4 ลักษณะของการออกกำลังกายนะครับ
00:09:32 → 00:09:34 อันที่ 1 เนี่ยคนรู้จักดีเค้าเรียกว่า
00:09:34 → 00:09:37 Aerobic Exercise ใช่มั้ยก็ยังไปวิ่งไป
00:09:37 → 00:09:39 เต้นฉีจักรยานว่ายน้ำหรือเล่นกีฬาที่มัน
00:09:39 → 00:09:41 เป็นแอโรบิเนี่ยคือการออกกำลังกายนั้นจะ
00:09:42 → 00:09:45 ใช้ออกซิเจนนะครับอันนี้คนรู้จักดีแบบที่
00:09:45 → 00:09:47 2 เเคเรียกว่า strengthening คืออันนี้
00:09:47 → 00:09:49 จะเป็นลักษณะของการฝึกกล้ามเนื้อให้มี
00:09:49 → 00:09:51 ความแข็งแรงขึ้นนะก็เป็นพวกเท Training
00:09:51 → 00:09:54 ต่างๆวิดพื้น squat อะไรอย่างงี้นะครับ
00:09:54 → 00:09:57 อันที่ 3 เเรียก stretching ก็คือการยืด
00:09:57 → 00:09:58 เหยียดทำให้กล้ามเนื้อเนี่ยไม่ไม่เกร็ง
00:09:58 → 00:10:01 ไม่แข็งจนเกินไปนะครับอันที่ 4 เเรียกว่า
00:10:01 → 00:10:04 อันนี้เหมาะกับคนแก่คือ balancing
00:10:04 → 00:10:07 balancing ก็คืออาจจะฝึกยืนขาเดียวแต่
00:10:07 → 00:10:09 ต้องมีระวังล้มนะถ้าจะฝึกต้องระวังล้ม
00:10:09 → 00:10:11 เดินถอยหลังได้มั้ยอันนี้ก็เป็น balancing
00:10:12 → 00:10:14 ถ้า Lunch ก็เป็น balancing อ๋อแสดงว่า
00:10:14 → 00:10:17 พี่ตั๊กฝึกอยู่แล้วเนี่ยแหละครับถ้าเรา
00:10:17 → 00:10:19 ฝึกทั้ง 4 อย่างเนี่ยเราจะโอกาสที่จะล้ม
00:10:20 → 00:10:22 เนี่ยมันน้อยแต่หลักๆที่คนควรทำเลยเนี่ย
00:10:22 → 00:10:25 ก็คือ 2 อันแรกโดยทั่วๆไปควรทำเลยคืออบิ
00:10:25 → 00:10:30 ค่ะแิเนี่ยเอาซักโซน 2 ร 150 นาทีต่อ
00:10:30 → 00:10:33 สัปดาห์คำว่าอบิของหมอคืออะไรอ่ะแล้วไม่
00:10:33 → 00:10:36 ไปเต้นตามโอ้โหเดี๋ยวนี้เไปยืนกันแถวห้าง
00:10:36 → 00:10:39 แถวอะไรอย่างเงี้มันไม่มีทำไงคะอ๋อแอโรบิ
00:10:39 → 00:10:40 ในที่นี่ไม่ได้หมายถึงเต้นแอโรบิกอย่าง
00:10:40 → 00:10:42 เดียวนะฮะพี่ตั๊กแอโรบิกที่เต้นอย่างงั้น
00:10:42 → 00:10:45 ใช้ได้ถูกต้องแต่มันมีแอโรบิเช่นเราเดิน
00:10:45 → 00:10:48 เร็วเดินเร็วอ่าให้หัวใจมันเต้นเดินเร็ว
00:10:48 → 00:10:50 ใช่หัวใจมันเต้นเพิ่มขึ้นสูบฉีดแรงขึ้นมา
00:10:50 → 00:10:55 หน่อยนึงว่ายน้ำอือ่าหรือวิ่งเหยาะๆค่ะ
00:10:55 → 00:10:57 อย่างงี้อย่างเงี้ยใช่ฉี่จักรยานอย่าง
00:10:57 → 00:11:01 เงี้ยครับเป็นอบิ Exercise
00:11:01 → 00:11:04 2 ข้อแล้วตนี้ข้อ 3 การนอนสำคัญมั้ยหมอ
00:11:04 → 00:11:08 โอนอนสำคัญมากค่ะการนอนเนี่ยถ้าวัยทำงาน
00:11:08 → 00:11:10 วัยรุ่นตอนนี้เชอบคิดว่าการนอนไม่สำคัญ
00:11:10 → 00:11:14 หรอกมีหลานๆนอนดึกมากเลยหมอ 1:00 2:00 น
00:11:14 → 00:11:17 แล้วก็ตื่น 99:00 นหรืออะไรก็สงสัยมากเลย
00:11:17 → 00:11:20 เค้าอยู่ได้ยังไงไม่ได้เลยครับคือคือการ
00:11:20 → 00:11:22 นอนเนี่ย 10 ปีที่ผ่านมาเนี่ยมีงานวิจัย
00:11:22 → 00:11:25 มากเลยครับค่ะที่บอกว่าการนอนเนี่ยมัน
00:11:25 → 00:11:29 สัมพันธ์กับการป่วยทุกโรคเลยเบาหวานความด
00:11:29 → 00:11:32 ไขมันอัลไซเมอร์โรคหัวใจคือคนที่นอนไม่
00:11:32 → 00:11:34 ได้คุณภาพเนี่ยมีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรค
00:11:34 → 00:11:37 เหล่านี้มากมายขึ้นเยวเลยแล้วเราจะรู้ได้
00:11:37 → 00:11:40 ไงเราได้คุณภาพมยครับคือการนอนเนี่ยมัน
00:11:40 → 00:11:42 ต้องวัดอยู่ 2 อย่างเนาะคือระยะเวลาที่
00:11:42 → 00:11:45 เรานอนกับคุณภาพของการนอนหลับนะครับซึ่ง
00:11:45 → 00:11:48 ระยะเวลาที่นอนเนี่ยตามหลักฐานปัจจุบัน
00:11:48 → 00:11:52 เนี่ยเอาประมาณสัก 7-9 ช่วโมง 7-9 ทุกว
00:11:52 → 00:11:54 มั้ยฮะ 7-9 อ่าจริงๆวัยเด็กักจะเยอะกว่า
00:11:54 → 00:11:57 นี้หน่อยเด็กๆเขาจะนอนเยอะกว่านี้นะครับ
00:11:57 → 00:11:59 ในวัยคนอายุมากเเขอาจจะนอนได้น้อยกกว่า
00:11:59 → 00:12:01 นี้หน่อยไม่เป็นไรแต่อยู่ใน Range เยนะ
00:12:01 → 00:12:05 ครับ 7-9 ชมนะครับนอนให้พอก่อนแต่บางคน
00:12:05 → 00:12:07 นอนน้อยเป็นลักษณะของเขาก็ไม่เป็นไรนะ
00:12:07 → 00:12:11 ครับนสดชื่นใช่เต้องตื่นมาแล้วสดชื่นกลาง
00:12:11 → 00:12:13 วันไม่เหงาง่วงเหงาอย่างเงี้ใช้ได้อันที่
00:12:13 → 00:12:17 2 คือคุณภาพคือการนอนเนี่ยมันจะต้องมี
00:12:17 → 00:12:20 Stage ของมันค่ะการนอนไม่ใช่การปิดสวิต
00:12:20 → 00:12:23 สมองนะฮะแต่มันเป็นการเปลี่ยนโหมดเปลี่ยน
00:12:24 → 00:12:26 โหมดนะการนอนนี่น่าสนใจมากนะตอนที่เรานอน
00:12:26 → 00:12:29 เนี่ยเราไม่ใช่แค่หยุดการทำงานสมองแต่
00:12:29 → 00:12:33 สมองทำงานดีขึ้นกว่าเดิมอีกในบางส่วนเช่น
00:12:33 → 00:12:35 อย่างอย่างเราเรียนรู้อะไรมาในวันนึง
00:12:35 → 00:12:38 เนี่ยถ้าเรานอนแล้วเราเรานอนไม่พอเนี่ย
00:12:38 → 00:12:40 ไอ้สิ่งที่เราเรียนเนี่ยมันจะไม่ประมวลผล
00:12:40 → 00:12:42 นะครับจริงๆแล้วเราประมวลผลตอนช่วงนอน
00:12:42 → 00:12:45 หลับฝันนะครับอเหรอคะแม้แต่การทำงานก็
00:12:45 → 00:12:48 เหอะใช่รวมทั้งหมดค่ะมันประมวลผลตอนนั้น
00:12:48 → 00:12:50 นะครับในช่วงที่นอนเนี่ยมันมีหลายสจไงสจ
00:12:50 → 00:12:52 สตที่เราหลับจริงๆเค้าเรียกหลับลึกเนี่ย
00:12:52 → 00:12:55 นะครับสัก 20% ของคืนนะครับแต่มันมีช่วง
00:12:55 → 00:12:58 ที่สำคัญอีกช่วงนึงคือช่วงหลับฝันที่เ
00:12:58 → 00:13:00 เรียกว่าเล็ม Sleep ฝันเนี่ยแปลว่าหลับ
00:13:00 → 00:13:04 มั้ยฮะหลับครับออเหรอหลับครับแต่ว่ามัน
00:13:04 → 00:13:09 เป็นหลับที่อ่าไม่ EP มันไม่ EP คือคลื่น
00:13:09 → 00:13:11 สมองมันกลับขึ้นมาคล้ายๆตื่นอืคลื่นสมอง
00:13:11 → 00:13:14 มันกลับเหมือคล้ายๆตื่นแต่ร่างกายจะถูก
00:13:14 → 00:13:16 น็อคไม่ให้ขยับได้เพราะถ้าหลับแล้วขยับ
00:13:16 → 00:13:19 ได้เราจะลุกขึ้นมาเตะต่อยกันอ่าใช่มั้ย
00:13:19 → 00:13:21 ครับเพราะฉนั้นช่วงหลับเนี่ยจะโดนน็อคไม่
00:13:21 → 00:13:23 ให้ไม่ให้ขยับนะครับช่วงนี้แหละเป็นช่วง
00:13:24 → 00:13:26 สำคัญของการนอนค่ะถ้าคนไม่มีเรม Sleep
00:13:26 → 00:13:29 คือไม่ฝันเลยเนี่ยสมองเขาจะเป็น
00:13:29 → 00:13:32 อัลไซเมอร์เร็วไม่ดีไม่ดีต้องมีโออย่าง
00:13:32 → 00:13:34 งั้นแสดงว่าเราคงดีเพราะเราฝันทุกวันแต่
00:13:34 → 00:13:38 มันฝันเป็นมชอบมาฝันแถวๆใกล้ใกล้สว่างใช่
00:13:38 → 00:13:41 ครับมันจะมันจะไปเยอะช่วงใกล้สว่างออมัน
00:13:41 → 00:13:42 เป็นแพทเทิร์นของเขาอยู่แล้วครับอ๋อเป็น
00:13:42 → 00:13:46 แพทเทิร์นของเขานะฮะนอนบางคนซึ่งในยุค
00:13:46 → 00:13:49 ปัจจุบันนี้เป็นมากเข้านอนแต่มันไม่หลับ
00:13:49 → 00:13:52 โอ้โหนี่ปัญหาเยอะมันทรมานมากโดยเฉพาะพวก
00:13:52 → 00:13:56 วัทองไวทองทั้งหลายยังไงะหมอทำไงดี
00:13:56 → 00:13:59 สุขลักษณะของการนอนที่ดีสุขอมการนอน Sleep
00:13:59 → 00:14:03 ไฮยีนนะครับเช่นเตียงนอนมีไว้นอนสำคัญ
00:14:03 → 00:14:05 อย่าเอางานไปทำคนเนี่ยชอบเอางานเอาการ
00:14:05 → 00:14:08 ขึ้นไปทำตอนที่บนที่นอนไปกินขนมอๆๆร่าง
00:14:08 → 00:14:11 กายมันจำครับค่ะมันจำว่าเตียงนอนมันเอา
00:14:11 → 00:14:13 ไว้กินไว้คิดงานเตียงนอนมีไว้นอนนะครับ
00:14:13 → 00:14:16 เท่านั้นห้องนอนไม่ควรดูทีวีห้องนอนไม่
00:14:16 → 00:14:18 ควรดูทีวีถูกต้องสำหรับคนที่นอนไม่หลับ
00:14:18 → 00:14:20 เนี่ยควรจะเอาทีวีออกไปจากห้องห้องนอนไม่
00:14:20 → 00:14:24 นอนอย่างเดียวแสงสว่างเสียงค่ะนะครับแล้ว
00:14:24 → 00:14:27 ก็ก่อนนอนเนี่ยสรน Time ปัจจุบันเรามี
00:14:27 → 00:14:29 ช่วงเวลาที่เราชอบเล่นมือถือดู iPad ค่ะ
00:14:29 → 00:14:32 ใช่มครับดูทีวีเนี่ยก่อนนอนเนี่ยสัก
00:14:32 → 00:14:34 ชั่วโมงนึงเนี่ยไม่ควรละเพราะไอ้แสงพวกเย
00:14:34 → 00:14:37 มันเข้าตาเราสมองเราอ่ะมันนึกว่าเป็นเวลา
00:14:37 → 00:14:39 กลางวันอืนะเพราะฉะนั้นพวกฮอร์โมนมันจะ
00:14:39 → 00:14:42 ไม่ออกมาครับค่ะแล้วนี้บางคนเนี่ยนอนไม่
00:14:42 → 00:14:46 หลับเขาก็ต้องพึ่งยาเนี่มันมียาหลายแบบ
00:14:46 → 00:14:49 ครับหมอมีความเห็นตรรงนี้งยาคลายเครียด
00:14:49 → 00:14:52 หรือเมลาโทนินหรืออะไรต่างๆยาช่วงนี้ถ้า
00:14:52 → 00:14:55 จะใช้ใช้ระยะสั้นๆเท่านั้นในช่วงที่มี
00:14:55 → 00:14:59 ปัญหาค่ะแต่กินไปเรื่อยๆไม่ได้นะครับยา
00:14:59 → 00:15:02 คายเครียดเนี่ยติดแน่ใช่ติดแน่นะแล้วก็พอ
00:15:02 → 00:15:04 ติดแล้วเราต้องเพิ่มปริมาณยาขึ้นไปเรื่อย
00:15:04 → 00:15:07 ๆนะครับเ่าเมลาโทนินเนี่ยเ่อมันเป็น
00:15:07 → 00:15:10 ฮอร์โมนธรรมชาติอย่างเมลาโทนินเนี่ยโอเค
00:15:11 → 00:15:13 ไม่ไม่ค่อยมีปัญหาในระยะยาวเท่าไหร่กิน
00:15:13 → 00:15:15 ได้แล้วตัวเมลาโทนินเองมันก็เป็นเ้าเรียก
00:15:15 → 00:15:18 ว่าเป็นแอนตี้ออกซินด้วยอือ่าคือมันเป็น
00:15:18 → 00:15:21 สันที่มันต้านอนุมูลอิสระได้ด้วยเพราะ
00:15:21 → 00:15:24 ฉะนั้นบางคนเนี่ยจะเทคเมลาโทนินอันนี้ไม่
00:15:24 → 00:15:26 ค่อยมีปัญหาแต่แต่แต่พี่ได้ยินว่าเก็ว่า
00:15:26 → 00:15:29 ไม่ควรซื้อทานไม่ไม่ทราบว่าที่อเมรกาเป็น
00:15:29 → 00:15:31 ไงเพราะเคยไปเค้าก็มีแล้วเมลาโทนินอันนี้
00:15:31 → 00:15:33 อันนี้อันนี้จากเท่าที่มีความรู้อยู่
00:15:33 → 00:15:37 เนี่ยนะฮะมันจะมี 3 มิลลิกรัมใช่มั้ยฮะ
00:15:37 → 00:15:40 ใช่หรือ 5 อะไรก็ตามเคยมีคนรู้จักกันกิน
00:15:40 → 00:15:43 กิน 5 มิลลิกรัมโอ้โหไม่ได้เลยบอกมันมัน
00:15:43 → 00:15:45 เหมือนมันเยอะไปเพราะงั้นเหล่านี้เนี่ย
00:15:45 → 00:15:48 เมลาโทนินอาจจะต้องให้หมอให้หมอสั่งดี
00:15:48 → 00:15:50 กว่าให้หมอสั่งเอ่อแต่ในประเทศไทยเนี่ย
00:15:50 → 00:15:53 ปัญหาคือเรามีอยู่ยี่ห้อเดียวแล้วขนาด 2
00:15:53 → 00:15:55 มิลลิกรัมแล้วค่อนข้างแพงขนาดราคาค่อน
00:15:55 → 00:15:59 ข้างแพงก็ก็หมอสั่งดีที่สุดแต่ว่าเมสนิน
00:15:59 → 00:16:01 ถ้าจะกินอย่ากินเกิน 3 มิลลิกรัมฮะแต่
00:16:01 → 00:16:04 ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรจะนอนหลับได้ด้วยตัว
00:16:04 → 00:16:07 เอง Sleep ไฮยีนสำคัญที่สุดนะฮะจะสวดมนต์
00:16:07 → 00:16:09 จะนั่งสมาที่ิอะไรก็เรื่องของคุณช่วยได้
00:16:09 → 00:16:10 มากเลยนะ
00:16:10 → 00:16:14 คะอีกเรื่องคือความเครียดความเครียดเนี่ย
00:16:14 → 00:16:16 มันเป็นเขาเรียกว่ามันเป็นปฏิกิริยาของ
00:16:16 → 00:16:20 ร่างกายและจิตใจที่ตอบสนองกับภาวะคุกคาม
00:16:20 → 00:16:22 ค่ะซึ่งมันมีมาตั้งแต่อดีตชาติแล้วอดีต
00:16:22 → 00:16:24 อดีตของมนุษย์น่ะนะฮะพี่เคยได้ยินว่าคน
00:16:25 → 00:16:27 ไหนไม่เครียดคนนั้นจะเป็นเอ๋อเขบอกว่าคน
00:16:27 → 00:16:29 เรามันต้องเครียดมากไม่ไม่ใช่ดีครับผม
00:16:29 → 00:16:32 เหมาะสมครับท่านตลอดเวลาก็ไม่ไหวคือความ
00:16:32 → 00:16:34 เครียดถ้ามองให้เป็นประโยชน์มันมี
00:16:34 → 00:16:35 ประโยชน์อยู่ครับคือคนไม่เครียดเลยมันก็
00:16:35 → 00:16:37 ไม่ได้เหมือนกันไม่ได้เนาะแต่ความเครียด
00:16:37 → 00:16:39 มีประโยชน์เพราะมันทำให้เราพัฒนาออมันทำ
00:16:39 → 00:16:42 ให้เกิดการแก้ปัญหาแลพัฒนาตัวเองเวลาเรา
00:16:42 → 00:16:44 นะฮะเพราะฉะนั้นความเครียดในระดับที่
00:16:44 → 00:16:47 เหมาะสมเนี่ยถือว่ามีประโยชน์แต่เครียดจน
00:16:47 → 00:16:50 แบบค้างจนเ่อเขาคเรียกว่าร่างกายเนี่ยมี
00:16:50 → 00:16:53 แต่ฮอร์โมนความเครียดมีคอร์ติซอลมากร่าง
00:16:53 → 00:16:55 กายมีแต่การกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ
00:16:55 → 00:16:59 าติที่มากเกินไปเนี่ยหัวใจมันเต้นเร็ว
00:16:59 → 00:17:01 ตลอดหลอดเลือดมันบีบมันก็มีโอกาสที่จะ
00:17:02 → 00:17:05 เป็นโรคหลอดเลือดเลือดมันก็แข็งง่ายมันจะ
00:17:05 → 00:17:08 กาเกากลุ่มกันง่ายนะครับกล้ามเนื้อมันก็
00:17:08 → 00:17:11 เกร็งคือมันมันไม่ดีถ้ามันปล่อยสภาวะนั้น
00:17:11 → 00:17:14 อยู่ค้างไปตลอดเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้โอ้โห
00:17:14 → 00:17:16 เครียดนี่ตัวตัวทำให้คนเป็นมะเร็งเลยมี
00:17:16 → 00:17:18 งานศึกษาเลยคนที่เครียดเนี่ยเป็นมะเร็ง
00:17:18 → 00:17:19 มากกว่าคนที่ไม่เครียดแล้วพอรู้ว่าเป็น
00:17:19 → 00:17:21 ยิ่งเครียดใหญ่ยิ่งเครียดหนักเข้าไปเฮผม
00:17:21 → 00:17:23 ว่าวิธีการที่เราจะดับความเครียดได้เนี่ย
00:17:24 → 00:17:27 มีอยู่ 2 วิธีวิธีที่ 1 ก็คือสติคือเรา
00:17:27 → 00:17:29 ต้องมีสติก่อนฮะต้องมีสติสติก่อนแต่วิธี
00:17:29 → 00:17:31 เจริญสติที่ทำให้เราหยุดความเครียดได้เลย
00:17:31 → 00:17:34 คือการมารู้ลมหายใจให้เราหายใจเข้าออกลึก
00:17:34 → 00:17:38 ๆสัก 5 นาทีนะครับการทำแบบเนี้ยมันทำให้
00:17:38 → 00:17:41 เส้นเลือดขยายระบบประสาทอัตโนมัติเนี่ยจะ
00:17:41 → 00:17:43 ถูกอ่าตัวาติที่ทำให้เราเครียดเนี่ยมันจะ
00:17:44 → 00:17:48 ถูกดาวลงลงตัวพิิคือพวกพักผ่อนตัวเบรก
00:17:48 → 00:17:50 เนี่ยจะเพิ่มขึ้นทันทีอันนี้เป็น
00:17:50 → 00:17:53 วิทยาศาสตร์นะฮะผมขอขยายความคำว่า
00:17:53 → 00:17:55 sympathetic กับพา sympathetic ให้ฟัง
00:17:55 → 00:17:58 นิดนึงนะครับคือระบบประสาทของเราเนี่ยมัน
00:17:58 → 00:18:00 จะมีระบบประสาทที่สั่งการที่เราควบคุมได้
00:18:00 → 00:18:02 เช่นหยิบมือไปยกมืออะไรอย่างเงี้ยอันนี้
00:18:03 → 00:18:05 คือสิ่งที่เราทำได้แต่มันจะมีระบบประสาท
00:18:05 → 00:18:06 ที่เราควบคุมไม่ได้เค้าเรียกระบบประสาท
00:18:06 → 00:18:09 อัตโนมัติเช่นหัวใจหัวใจเราเต้นเห็นมั้ย
00:18:09 → 00:18:12 ฮะระบบย่อยอาหารที่ย่อยอยู่อือันเนี้ยเรา
00:18:12 → 00:18:14 ควบคุมไม่ได้เราเราไปสั่งให้หัวใจหยุด
00:18:14 → 00:18:15 เต้นไม่ได้หรือสั่งให้เต้นเร็วก็ไม่ได้
00:18:16 → 00:18:18 สั่งให้เต้นช้าก็ไม่ได้ระบบประสาทอันนี้
00:18:18 → 00:18:20 เค้าเรียกกันว่าระบบประสาทอัตโนมัตินะ
00:18:20 → 00:18:23 ครับซึ่งมันแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งคือฝั่ง
00:18:23 → 00:18:26 เร่งกับฝั่งเบรกเอาง่ายๆอย่างงี้นะครับ
00:18:26 → 00:18:29 ฝั่งเร่งเนี่ยเราเรียกกันว่า S พติกค่ะ
00:18:29 → 00:18:32 คือมันจะทำให้เราหัวใจเต้นเร็วอ่ากล้าม
00:18:32 → 00:18:35 เนื้อแข็งเกร็งขึ้นมาอะไรรู้มั่นตาขยาย
00:18:35 → 00:18:37 เกิดภาวะเครียดประมาณนั้นน่ะนะครับกับอีก
00:18:37 → 00:18:39 ฝั่งนึงเเรียก parasympathetic ไอ้พวกนี้
00:18:39 → 00:18:42 เบรคครับทำตรงข้ามกันอ่ากล้ามเนื้อก็ผ่อน
00:18:42 → 00:18:46 คลายซะหัวใจเต้นช้าลงเรารู้สึกรีกขึ้นค่ะ
00:18:46 → 00:18:48 2 อย่างนี้ต้อง Balance กันอยู่ในภาวะ
00:18:48 → 00:18:50 ที่เหมาะสมนะครับแต่เวลาที่เราเครียดขึ้น
00:18:50 → 00:18:54 มาเนี่ย syic เนี่ยมันอวอขึ้นมาอือ่ามัน
00:18:54 → 00:18:56 ทำให้ร่างกายเป็นอย่างนั้นเพราะว่าเวลา
00:18:56 → 00:19:00 ที่เราไปทำสมาธิพาซิมันเด่นขึ้นมามันเลย
00:19:00 → 00:19:03 กดซาติลงได้ฝั่งเบรกมันเพิ่มขึ้นนั่นเองอ
00:19:03 → 00:19:07 ค่ะให้กำหนดลมหายใจแคลมหายใจเราสูดลึกๆโอ
00:19:07 → 00:19:09 อันนี้หลักธรรมะเลยใช่แต่แต่จริงๆมันถ้า
00:19:10 → 00:19:12 เป็นหลักจีวิยาสติเนี่ยเขาถือว่าไม่มีิสะ
00:19:12 → 00:19:15 ไม่ใช่ศาสนาละมันเป็นวิทยาศาสตร์ค่ะนะฮะ
00:19:15 → 00:19:20 ทำแบบเนี้ยแค่ 5 ทีนะอ่าระดับความฮอร์โมน
00:19:20 → 00:19:23 ความเครียดพาราซิมพาเทติกถูกกระตุ้นมติกน
00:19:23 → 00:19:25 กดชัดเจนนะฮะความเครียดในร่างกายเราหายไป
00:19:25 → 00:19:28 เยอะค่ะอันนี้คือสติแล้วเราถ้าเราเป็นไป
00:19:28 → 00:19:31 ได้เนี่ยเเราทำทำตลอดเราสังเกตลมหายใจของ
00:19:31 → 00:19:33 เราเนี่ยไปเรื่อยๆนะครับอันนี้คือสติคือ
00:19:34 → 00:19:37 มันมันหยุดความความโมโหความโกรดของเราไป
00:19:37 → 00:19:40 แล้วส่วนหนึ่งนะครับอันนี้คือสติอค่ะอีก
00:19:40 → 00:19:42 วิธีนึงคือปัญญาละส่วนใหญ่เราเครียดเพราะ
00:19:42 → 00:19:45 เราอยากครับเวลาที่เราเครียดเนี่ยเราลอง
00:19:45 → 00:19:47 นึกดูว่าเราอยากอะไรอยู่เราอยากไม่ให้
00:19:47 → 00:19:49 เค้าป่าดหน้าเราเราอยากจะแซงคันนั้นเ
00:19:49 → 00:19:51 เบียดไม่ให้เราแซงเราอยากอยู่คิดถึงตัว
00:19:51 → 00:19:55 เราอ่าเราเราอยากจะได้ตำแหน่งนั้นแต่เรา
00:19:55 → 00:19:57 ไม่ได้เเราก็เครียดคือความเครียดเนี่ยมัน
00:19:57 → 00:20:00 เกิดจากความอยากกระแสของความอยากกับกระแส
00:20:00 → 00:20:02 ความจริงเนี่ยถ้ามันสวนกันแบบตรงข้ามกัน
00:20:02 → 00:20:04 อย่างเงี้ยเครียดแน่เพราะฉะนั้นเรามีหน้า
00:20:04 → 00:20:07 ที่ปรับกระแสความอยากเนี่ยให้มันมาตรง
00:20:07 → 00:20:08 กระแสของความจริงไม่เครียดเลยครับพี่ตั๊ก
00:20:08 → 00:20:11 ลองนึกดูดีๆก็ได้ฝนตกเราไม่อยากให้ฝนตก
00:20:11 → 00:20:13 เราเครียดมั้ยอถ้าเราไม่อยากให้ฝนตกเรา
00:20:13 → 00:20:16 เครียดเครียดสิแต่ถ้าฝนตกก็ฝนตกก็ฝนตกบาง
00:20:16 → 00:20:19 คนเนิสัยเขาเป็นแบบนี้เราไปอยากให้เขา
00:20:19 → 00:20:21 เป็นอีกอย่างนึงเนี่ยมันขัดกันเห็นมั้ยฮะ
00:20:21 → 00:20:22 ความจริงกับความอยากของเรามันไม่ตรงกัน
00:20:22 → 00:20:25 แล้วไงอ่าใช่ใช่มั้ยฮะแต่ถ้าเราเราเข้าใจ
00:20:25 → 00:20:27 เค้าว่าเออเขาคเป็นแบบนี้แหละเเขาคเป็น
00:20:27 → 00:20:30 กล้วยเราอยากให้เาเป็นส้มอย่างเงี้ยออเรา
00:20:30 → 00:20:32 ก็เราเราก็เครียดเองอ่ะอพอเราผ่านกล้วย
00:20:32 → 00:20:34 แล้วออทั้งๆที่เคนไม่รู้เรื่องเลยเคไม่
00:20:34 → 00:20:36 ได้รู้เรื่องเลยก็เคก็พูดเยอะเยอะของเค้า
00:20:36 → 00:20:37 อย่างงี้อยู่แล้วอย่างเงี้ยเป็นต้นเอนะฮะ
00:20:37 → 00:20:40 ออกแนวปล่อยวางเนาะใช่นี่แหละคือปัญญาของ
00:20:40 → 00:20:43 สหลักธรรมะเลยใช่ครับถ้าคิดได้แบบนี้ไม่
00:20:43 → 00:20:47 ไม่เครียดครับอ่ะลองไปปรับใช้
00:20:47 → 00:20:51 ดูข้อที่ 5 การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ
00:20:51 → 00:20:55 คนรอบข้างคือมีงานวิจัยฮวดทำวิจัยมา 75
00:20:55 → 00:20:58 ปีเปลี่ยนนักวิจัยไป 4 รุ่นค่ะเขาบอกสิ่ง
00:20:58 → 00:21:01 ดีเดียวที่ทำให้คนมีความสุขที่สุดคือความ
00:21:01 → 00:21:04 สัมพันธ์ที่ดีเขาเจอเลยฮะไม่ใช่ลาภยศชื่อ
00:21:04 → 00:21:06 เสียงไม่ใช่เงินทองมีเงินเยอะก็ไม่ใช่นะ
00:21:06 → 00:21:09 ฮะตำแหน่งใหญ่โตก็ไม่ใช่เป็นคนที่มีคน
00:21:09 → 00:21:11 recognise มากก็ไม่ใช่แต่มันคือเรื่อง
00:21:11 → 00:21:14 ของความสัมพันธ์การสร้างความสัมพันธที่ดี
00:21:14 → 00:21:16 กับคนรอบข้างคนในครอบครัวคนในที่ร่วมงาน
00:21:16 → 00:21:19 เนี่ยสร้างความสุขให้เราแบบมหาศาลเพราะ
00:21:19 → 00:21:21 ฉะนั้นต้องฝึกวิธีฝึกก็คือเราต้องเมตตา
00:21:21 → 00:21:23 ครับคำนี้คำเดียวก็เกินพอแล้วสำหรับคความ
00:21:23 → 00:21:26 สัมพันธ์คือพระพุทธเจ้าบอกความเมตตาเนี่ย
00:21:26 → 00:21:31 คืออเวลอพยปปชาค่ะอนีคาค่ะสุขีอัตตานัง
00:21:31 → 00:21:34 ปะริหะรันตุทุกทีเราสวด 4 คำเนี่ยเราสวด
00:21:34 → 00:21:36 อยู่ในห้องพระค่ะอ่าเราแผลเมตตาคนนู้นคน
00:21:36 → 00:21:39 นี้อะไรอย่างเงี้ยจริงๆ 4 คำเนี้ยต้องเอา
00:21:39 → 00:21:42 มาใช้เวลาเจอสถานการณ์จริงๆอืคือเราเจอคน
00:21:42 → 00:21:45 เราไม่ก่อเวรนะเอาเวลานะเราไม่พยาบาทนะ
00:21:45 → 00:21:48 ไม่เบียดเบียนเค้านะอนิคเราไม่ทำร้ายร่าง
00:21:48 → 00:21:52 กายเค้านะเรามุ่งหวังให้เค้ามีความสุขนะ
00:21:52 → 00:21:55 สภาวะจิตใจ 4 อย่างเนี่ยมันทำให้คนที่มี
00:21:55 → 00:21:58 ความคิดแบบเนี้ยมีความสุขครับอืแล้วเราจะ
00:21:59 → 00:22:00 มีความสัมพันธ์ที่ดีแน่นอนกับคนรอบข้าง
00:22:00 → 00:22:04 กับคนรอบข้างเมตตาด้วใช่ต้องใช้หลักของ
00:22:04 → 00:22:07 ความเมตตา
00:22:07 → 00:22:11 ค่ะข้อ 6 ซึ่งตอนนี้มันหลีกเลี่ยงยากมาก
00:22:11 → 00:22:14 เลยหมออากาศมันไม่ดีเลยพี่เนี่ยแบบฟึดฟัด
00:22:14 → 00:22:17 ฟึฟัดตลอดเวลาตอนนี้สารพิษทั้งนั้นใช่เรา
00:22:17 → 00:22:19 หลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้าเราเจอพวกนี้บ่อยๆมัน
00:22:19 → 00:22:22 ก็ทำให้เราอาจจะเจ็บป่วยแต่ในส่วนที่เรา
00:22:22 → 00:22:24 พอทำได้เนี่ยก็คือเราต้องเช็คก่อนฮะเราจะ
00:22:24 → 00:22:26 ไปไหนเราต้องเช็คก่อนนะสภาพมันเป็นยังไง
00:22:26 → 00:22:29 นะตอนนี้เถ้าออกไปข้างนอกนะฮะเราอาจจะ
00:22:29 → 00:22:32 ต้องคอยป้องกันตัวเองอ่าต้องมีแสนะครับแส
00:22:32 → 00:22:35 อย่างน้อยก็แสผ้าก็ยังพอป้องกันได้ n95
00:22:35 → 00:22:38 ดีที่สุดแต่ว่าเราคงไม่ไม่ Comfort เท่า
00:22:38 → 00:22:40 ไหร่ที่จะไปใส่แบบนั้นตลอดเวลาเอ่อถ้า
00:22:40 → 00:22:42 อยู่ในบ้านเราก็เราต้องมีเครื่องกรอง
00:22:43 → 00:22:46 อากาศออเราต้องปิดทุกอย่างให้ให้สนิทถ้า
00:22:46 → 00:22:49 ถ้าเราเช็คแล้วว่ามันมีปัญหานี้นะครับ
00:22:49 → 00:22:51 หลีกเลี่ยงสารพิษที่ว่านอกเหนือจากฝุ่น PM
00:22:51 → 00:22:55 2.5 แล้วมันมีอะไรบ้างโอันนี้อันนี้ค
00:22:55 → 00:22:57 ต้องขอพูดว่าน่ากลัวมากคืออันนึงคือค
00:22:57 → 00:23:01 พอร์ตบุหรี่ไฟฟ้าโอหอันเนี้ยเป็นปัญหามัน
00:23:01 → 00:23:05 มีกลิ่นมั้ยครับหมอมี 17,000 กลิ่นห้ะคือ
00:23:05 → 00:23:07 ผมต้องเรียนตามตรงว่าผมอ่ะไม่เคยไปอยู่
00:23:07 → 00:23:09 ใกล้คนพวกนี้เลยเพราะฉะนั้นผมเนี่ยโดย
00:23:09 → 00:23:11 ส่วนตัวประสบการณ์เนี่ยผมไม่ไม่รู้เลยว่า
00:23:11 → 00:23:15 มีกลิ่นมั้ยแต่ว่าเค้าทำรสชาติกลิ่นของ
00:23:15 → 00:23:19 บุหรี่ไฟฟ้าไว้ 17,000 กลิ่นให้คนได้ลอง
00:23:19 → 00:23:24 ครับโเป็นจุดขายให้ตายเร็วจุดขายแล้วก็
00:23:24 → 00:23:26 รูปแบบของพอร์ตเนี่ยมันกลายเป็นรูปแบบที่
00:23:26 → 00:23:28 น่ารักดูเนลแล้วครับค่ะ
00:23:29 → 00:23:32 เจาะตลาดเด็กเจาะตลาดวัยรุ่นเจาะตลาดผู้
00:23:32 → 00:23:34 หญิงเวลาที่เราสูบบุหรี่ 1 มวลเนี่ยนะฮะ
00:23:34 → 00:23:37 เราจะได้นิโคตินประมาณสัก 1 มิลกรัมค่ะใน
00:23:37 → 00:23:41 ขณะที่บุหรี่ไฟฟ้าพัฟเดียวจัดไป 10 โอห
00:23:41 → 00:23:44 เพราะฉะนั้นนิโคตินทำลายสมองแบบมหาศาล
00:23:44 → 00:23:46 ครับค่ะเพราะนิโคตินเนี่ยมันจะไปจับตัว
00:23:46 → 00:23:49 รีปเปอร์ตัวจับในสมองแล้วมันทำลายสมอง
00:23:50 → 00:23:52 ครับเพราะฉะนั้นต่อไปเนี่ยถ้าเราไม่หยุด
00:23:52 → 00:23:54 ยั้งการสูบบุหรี่ไฟฟ้าตั้งแต่วัยรุ่นเด
00:23:54 → 00:23:57 ตั้งแต่เด็กเนี่ยค่ะพี่ตั๊กลองคิดดูอีก 10
00:23:57 → 00:23:59 ปีวัยรุ่นที่เขาสูบนี่โคตินเข้าไปขนาด
00:23:59 → 00:24:01 เนี้ยสมองเจะพังขนาดไหนแล้วเขาจะต้องไป
00:24:01 → 00:24:04 เป็นแม่ของคนใช่ใช่มั้เต้องไปเป็นอนาคต
00:24:04 → 00:24:07 ของชาติอย่างเงี้ยโอ้โหไม่ต้องพูดถึงเลย
00:24:07 → 00:24:09 แย่แน่คือเราก็รณรงค์กันในเรื่องของการ
00:24:09 → 00:24:12 ไม่สูบบุหรี่แต่กลายเป็นมีบุหรี่ไฟฟ้าโพล
00:24:12 → 00:24:14 มาให้หนักเข้าไปอีกใช่เเข้าใจผิดงั้นข้อ
00:24:14 → 00:24:19 นี้ถ้าเราตัดได้เราก็จะมีอายุยืที่คือไม่
00:24:19 → 00:24:22 เสี่ยงกับการตายเร็วใช่ครับใชใช่มั้ยฮะ
00:24:22 → 00:24:25 สรุปแล้วอยากให้คุณหมอสรุปว่าเราไม่อยาก
00:24:25 → 00:24:29 ป่วยไม่อยากหาหมอเราต้องดูแลตัวเองยังไง
00:24:29 → 00:24:31 บ้างหาหมอไม่ได้ทำให้เราอายุยืนขึ้นเท่า
00:24:31 → 00:24:34 ไหร่เห็นมนะฮะแต่การที่เราปฏิบัติตัวเอง
00:24:34 → 00:24:37 นี่แหละฮะสำคัญกว่าค่ะก็จำไว้หลักการหลัก
00:24:37 → 00:24:41 การง่ายๆกินดีออกกำลังกายนอนให้ดีจัดการ
00:24:42 → 00:24:44 ความเครียดให้ดีมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคน
00:24:44 → 00:24:47 รอบข้างแล้วก็เรื่องของสารพิษต่างๆที่เรา
00:24:47 → 00:24:51 ต้องสารพิษต่างๆถ้าเราทำ 6 สิ่งนี้ได้เรา
00:24:51 → 00:24:55 จะมีชีวิตที่ไม่ต้องตายก่อนวแอนควรและไม่
00:24:55 → 00:24:59 ต้องพึ่งหมอโอ้โหเท่าที่ดูเนี่ยพี่ตั๊กทำ
00:24:59 → 00:25:02 ได้หลายอย่างแล้วแล้วก็ยังอยากจะทำต่อไป
00:25:02 → 00:25:05 แล้วก็มั่นใจว่าคนอื่นน่าจะต้องทำด้วย
00:25:05 → 00:25:08 เพราะว่าเราคงจะไม่อยากมีเงินแล้วก็นั่ง
00:25:08 → 00:25:11 รักษาตัวเองเดี้ยงหรือว่านอนติดเตียงหรือ
00:25:11 → 00:25:13 ก็เจ็บป่วยหรือต้องไปหาหมอตลอดใช่เพราะ
00:25:13 → 00:25:17 ฉะนั้นหมอก็คือตัวเรานั่นเองนะคะวันนี้
00:25:17 → 00:25:20 ขอบคุณคุณหมอมากก็อย่าลืมนะคะนี่คือ
00:25:20 → 00:25:24 เรื่องราวดีๆกับตั๊ทอขอบคุณมากค่ะชมราย
00:25:24 → 00:25:27 การตัทแล้วก็อย่าลืมนะคะกดไลค์กดแชร์กด
00:25:27 → 00:25:31 Subscribe ทางช่องทั้งทางช่อง YouTube
00:25:31 → 00:25:34 และ Facebook ด้วยนะคะแล้วก็อย่าลืมกด
00:25:34 → 00:25:36 กระดิ่งแจ้งเตือนด้วยนะคะจะได้ไม่พลาด
00:25:36 → 00:25:43 สาระดีๆจากช่องไของเราอย่าลืมนะคะ
00:25:43 → 00:25:46 [เพลง]