00:00:00 → 00:00:03 เราจะเจอคันที่เบสบ่อยอ่าคันเบสมันมีความ
00:00:03 → 00:00:06 แข็งมันมีความแห้งอืทำยังไงให้กินอร่อยทำ
00:00:06 → 00:00:10 ยังไงให้ทานอร่อยเอ่อถ้าคนที่ไม่ชอบ
00:00:10 → 00:00:13 เปลือกแข็งจริงๆอ่ะแต่อยากทาน country อ
00:00:13 → 00:00:17 ให้เลือกเอ่อ Country Love ที่ทำจากแป้ง
00:00:17 → 00:00:22 ที่โปรตีนต่ำเราจะลุ้นได้
00:00:22 → 00:00:24 ไง Direction EP นี้เรามาคุยความรู้
00:00:24 → 00:00:27 เบื้องต้นของขนมปังครับโดยเฉพาะขนมปัง
00:00:27 → 00:00:29 ซาวโดที่เป็นขนมปังแป้งหมักตอนตนี้เรามา
00:00:29 → 00:00:31 คุยกับลูกแก้วคนที่ทำขนมปังให้กับ
00:00:31 → 00:00:35 สารีAKเฮสก็จะคุยกันตั้งแต่วิธีการทำวิธี
00:00:35 → 00:00:37 การกินขนมปังซาวโดยังไงให้อร่อยแล้วก็
00:00:37 → 00:00:39 ประโยชน์ที่ได้จากการกินขนมปังซาวาโดครับ
00:00:39 → 00:00:41 ใครที่ชอบกินขนมปังหรืออยากรู้เรื่อง
00:00:41 → 00:00:44 ซาวโดมากขึ้นเนี่ยติดตามได้ใน EP นี้เลย
00:00:44 → 00:00:48 ครับ Eat Direction คุยกับคนในวงการ
00:00:48 → 00:00:53 อาหารว่าเราควรกินอะไรถึงจะ
00:00:53 → 00:00:57 ดีคือตอนเพี่รู้สึกว่าพอพูดถึงซาโดอ่ะมัน
00:00:57 → 00:00:59 จะมีภาพอยู่ในหัว
00:00:59 → 00:01:01 อธิบายก็คือพี่จะนึกถึงว่ามันจะเป็นขนม
00:01:01 → 00:01:05 ปังก้อนใหญ่ๆกลมๆเปลือกแข็งๆนะข้างในก็จะ
00:01:05 → 00:01:08 มีความหยุ่นแล้วก็มีรสเปรี้ยวนิดนึงซาวโด
00:01:08 → 00:01:11 จริงๆมันคืออะไรอย่างงี้ป่ะตามตัวเลยอ่ะ
00:01:11 → 00:01:14 ซาวเวอร์คือเปรี้ยวใช่มโดคือโดดังนั้นแน่
00:01:14 → 00:01:16 นอนว่ามันจะต้องมีความเปรี้ยวซาวโดดอ่ะ
00:01:16 → 00:01:19 มันคือขนมปังที่ถูกทำให้ขึ้นฟูด้วยสิ่ง
00:01:19 → 00:01:22 ที่เรียกว่าเอ่อ sado starter หรือ sado
00:01:22 → 00:01:26 livening มันคือการทำงานร่วมกันของยีส
00:01:26 → 00:01:28 แล้วก็แบคทีเรียมันเลยทำให้เราได้ขนมปัง
00:01:28 → 00:01:30 ปังที่ขึ้นฟูใช่มั้คะแล้วก็มีความเปรี้ยว
00:01:31 → 00:01:33 มันคือเรียกว่าเป็นพื้นฐานของขนมปังในโลก
00:01:33 → 00:01:35 นี้เลยได้มั้ยใช่ค่ะเหมือนที่เราเคยได้
00:01:35 → 00:01:36 ยินกันน่ะเนาะว่าโอ๊ประวัติศาสตของขนมปัง
00:01:36 → 00:01:39 มันมาจากการที่คนผสมผสมโดอียิปต์ใช่มผสม
00:01:39 → 00:01:42 ผสมโดไว้เดิมมันเป็นแฟลชเบสคือแบนเหมือนแ
00:01:42 → 00:01:45 เหมือนเหมือนอบแครกเกอร์อ่ะคือแป้งกับ
00:01:45 → 00:01:47 แป้งกับน้ำใช่เมื่อแป้งกับน้ำมันเจอการ
00:01:47 → 00:01:50 มันเกิดปฏิกิริยาทางไบโอเคมิสเนาะ
00:01:50 → 00:01:53 ชีวโมเลกุลนะคะทำให้เอ่อมีการทำงานของ
00:01:53 → 00:01:56 สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ายีสอืแต่แน่นอนว่า
00:01:56 → 00:01:58 ยีสเนี่ยมันอยู่ตามธรรมชาติใช่มั้คะมัน
00:01:58 → 00:02:01 ไม่ได้มาคนเดียวเอ่อมันมาพร้อมกับอีกอีก
00:02:01 → 00:02:03 สิ่งนึงก็คือแบคทีเรียซึ่งแบคทีเรียที่ทำ
00:02:03 → 00:02:06 งานได้ร่วมกับยีสได้ดีเนี่ยคือแบคทีเรีย
00:02:06 → 00:02:08 ในกลุ่มที่เรียกว่า LAP หรือว่า Lactic
00:02:08 → 00:02:11 Acid Bacียiaซึ่งก็คือแบคทีเรียที่สร้าง
00:02:12 → 00:02:14 เอ่อกรดแลคติและวงเล็บไว้ด้วยว่าอซิติก
00:02:14 → 00:02:17 ด้วยนะก็คือแบคทีเรียสร้างกรดไอ้ตัวเนี้ย
00:02:17 → 00:02:19 ที่ว่ามันทำให้เกิดรสเปรี้ยวถูกใช่ถูก
00:02:19 → 00:02:23 ต้องค่ะ
00:02:23 → 00:02:26 ทีนี้ขนมปังที่
00:02:26 → 00:02:28 คนไทยหรือเปล่าไม่แน่แน่ใจพี่ว่าบางคน
00:02:28 → 00:02:32 หลายๆคนแหละเข้าใจอ่ะมันก็คือขนมปังขาว
00:02:32 → 00:02:36 ที่อยู่ในเอ่อห้างหรือในในร้านต่างๆค่ะ
00:02:36 → 00:02:38 มันไม่มีความเปรี้ยวเลยอืมมีความหวานมี
00:02:38 → 00:02:41 ความนุ่มอฮะทำไมขนมปังแบบเนี้ยมันถึงแบบ
00:02:41 → 00:02:43 กลายร่างออกมาจากซาโดอ่าทำไมมันแบบจาก
00:02:43 → 00:02:45 ซาวโดมันอยู่ดีๆมันกลายมันเป็นน้องนุ่มๆ
00:02:45 → 00:02:48 สีขาวที่เราทานกันทุกวันใช่มั้ยเอ่อก็
00:02:48 → 00:02:51 ต้องบอกว่าคือเดิมทีอ่ะขนมปังแทบทุกอัน
00:02:51 → 00:02:53 เอาตั้งแต่ก่อนอยู่ปฏิวัติอุตสาหกรรมมัน
00:02:53 → 00:02:57 เป็นซาวาโดทั้งสิ้นอเอ่อคราวนี้พอมาถึง
00:02:57 → 00:02:59 จุดนึงแน่นอนว่าพอมาถึงยุคปฏิวัติ
00:02:59 → 00:03:03 อุตสาหกรรมเอ่อการผลิตที่เพิ่มขึ้นปากทอง
00:03:03 → 00:03:05 ให้ต้องเลี้ยงมากขึ้นคนเริ่มที่จะชิฟจาก
00:03:05 → 00:03:08 การเอ่อทำงานที่บ้านมาทำงานในโรงงานแน่
00:03:08 → 00:03:10 นอนว่าอาหารมันก็ต้องไปเร็วตามเพจสงการ
00:03:10 → 00:03:12 ใช้ชีวิตใช่มั้คะดังนั้นมันก็เลยเริ่มมี
00:03:12 → 00:03:16 การทำขนมปังในแบบmasสprodักชคือปริมาณ
00:03:16 → 00:03:18 ใหญ่ขึ้นเรายังไม่ได้พูดถึงอุตสาหกรรมนะฮ
00:03:18 → 00:03:21 แล้วสิ่งที่เข้ามาช่วยในการทำงานตรงเนี้ย
00:03:21 → 00:03:24 ก็คือยีสยีสอุตสาหกรรมอทีนี้ยีส
00:03:24 → 00:03:26 อุตสาหกรรมคืออะไรยีสอุตสาหกรรมอ่ะมันคือ
00:03:26 → 00:03:30 ยีสที่เค้าคัดเลือกสายพันธุ์ยีสในแลบนะคะ
00:03:30 → 00:03:32 โดยเลือกสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุดและ
00:03:32 → 00:03:35 สามารถที่จะผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้
00:03:35 → 00:03:37 เก่งที่สุดอนะคะซึ่งตัวนี้มันก็คือยีสที่
00:03:37 → 00:03:39 เราใช้กันทั่วไปก็คือ
00:03:39 → 00:03:45 SCOS เวิอเนาะซึ่งยีสตัวเนี้ยนะคะทำเอ่อ
00:03:45 → 00:03:47 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เก่งมากทำให้ขนมปัง
00:03:47 → 00:03:51 ที่เราทานกันในยุคใหม่นะคะมีความฟูและฟู
00:03:51 → 00:03:53 ได้เร็วอ๋อนะเพราะว่าอันนั้นมันเป็น
00:03:53 → 00:03:55 ลักษณะของเขาที่ถูกเขาถูกคัดมาใช้ก็คือ
00:03:55 → 00:03:58 พัฒนาเหมือนฝึกยถที่เราใช้ธรรมชาติถูก
00:03:59 → 00:04:01 ต้องค่ะขัดเกณฑมาใช่แล้วแล้วทำไมถึงไม่
00:04:01 → 00:04:05 เปรี้ยวเพราะว่า SC เนี่ยเป็นยีสเอ่อสาย
00:04:05 → 00:04:08 พันธุ์ธรรมชาติที่สามารถทนความเปรี้ยวได้
00:04:08 → 00:04:11 น้อยเขาจะชอบความเปรี้ยวอ่อนๆปกติค่าพี
00:04:12 → 00:04:14 เป็นกลางคือ 7 ใช่มั้คะ SC เนี่ยจะทำงาน
00:04:14 → 00:04:18 อยู่ที่ประมาณ 5.5 5.5
00:04:18 → 00:04:21 นิดเดียวดังนั้นมันไม่ใช่มันไม่ใช่เอ่อ
00:04:21 → 00:04:23 ความเปรี้ยวในแบบที่เราสามารถรับรู้ได้
00:04:23 → 00:04:26 แต่บางคนอย่างเวลาคนทำขนมปังอย่างเงี้ย
00:04:26 → 00:04:29 เอ่อใช้ยีสอุตสาหกรรมใช่มั้คะเอามาตอน
00:04:29 → 00:04:32 หมักโดบางคนดมคนที่ไวกับกลิ่นเปรี้ยวจะ
00:04:32 → 00:04:33 รู้สึกว่าเอ้ยได้กลิ่นเปรี้ยวมันจะมี
00:04:33 → 00:04:35 กลิ่นใช่มันมีกลิ่นเปรี้ยวใช่เพราะว่าการ
00:04:35 → 00:04:38 ทำงานยังไงมันก็เกิดกรดค่ะแต่คราวนี้แน่
00:04:38 → 00:04:42 นอนว่าหลังจากนั้นเอ่อ 1 โอเคเราพัฒนาสาย
00:04:42 → 00:04:45 พันธุ์ยีสให้ฟูเก่งเปรี้ยวเอ่อทนเปรี้ยว
00:04:45 → 00:04:49 น้อยแล้วต่อมาเราใส่เอ่อวัตถุดิบอื่นๆที่
00:04:49 → 00:04:53 ช่วยทำให้ shelf life ของขนมปังยาวขึ้นอ
00:04:53 → 00:04:56 คำว่า shelf life ยาวขึ้นคือเอ่อถ้าเป็น
00:04:56 → 00:04:57 เมืองนอกอ่ะเราจะไม่ได้พูดกันถึงราคือ
00:04:57 → 00:05:00 บ้านเราอ่ะอะไรก็พูดถึงราก่อนเลยเพราะว่า
00:05:00 → 00:05:02 มันมันร้อนชื้นราขึ้นเร็วของเมืองนอกก็
00:05:02 → 00:05:04 ไม่ได้มีปัญหานี้คือเมืองนอกมันมีค่ะ
00:05:04 → 00:05:07 เพียงแต่ว่าปัญหาที่เขาเจอก่อนรามันคือ
00:05:07 → 00:05:10 การที่ขนมปังแห้งอ๋อคือขนมปังเนี่ยมัน
00:05:10 → 00:05:13 เป็นของเอ่อมันเป็นสิ่งที่เมื่อเอาไปอบ
00:05:13 → 00:05:15 เสร็จปั๊บเอาออกจากเตาเมื่อไหร่ขนมปังจะ
00:05:15 → 00:05:17 เริ่มสูญเสียความชื้นชื้นทันทีเเรียกว่า
00:05:17 → 00:05:19 retrogradation เนาะคราวนี้การสูญเสีย
00:05:19 → 00:05:21 ความชื้นเนี้ยมันทำให้ขนมปังแห้งแล้วก็
00:05:21 → 00:05:25 ไม่อร่อยดังนั้นเอ่อพอที่พอเรามาทำในเอ่อ
00:05:25 → 00:05:28 ปริมาณที่มากขึ้นเ้าก็ต้องทำยังไงให้ขนม
00:05:28 → 00:05:31 ปังอ่ะมันสามารถที่จะเก็บความชื้นได้มาก
00:05:31 → 00:05:34 ขึ้นง่ายที่สุดคือเติมน้ำตาลอเติมน้ำตาล
00:05:34 → 00:05:36 ลงไปเพื่อเก็บความชื้นอ่าใช่เพราะว่าน้ำ
00:05:36 → 00:05:39 ตาลดึงความชื้นเข้าตัวเองค่ะใช่มต่อมาคือ
00:05:39 → 00:05:43 เติมไขมันครับอ่าไขมันก็ช่วยในการเอ่อ
00:05:43 → 00:05:46 รักษาความนุ่มเนาะเพียงแต่ไขมันแพงอืน้ำ
00:05:46 → 00:05:48 ตาลถูกกว่าก็เลือกน้ำตาลก็เลือกน้ำตาลดัง
00:05:48 → 00:05:51 นั้นขนมปังที่มีความหวานมันก็เลยเก็บความ
00:05:51 → 00:05:54 ชื้นได้ดีขึ้นและมันพัฒนาไปอีกคือมันไม่
00:05:54 → 00:05:57 ใช่น้ำตาลทรายมันอาจจะเป็นเอ่อพวกคอซรั
00:05:57 → 00:05:59 หรือ invert sugar หมายถึงน้ำตาลที่มัน
00:05:59 → 00:06:01 มีความชื้นในตัวอยู่แล้วพวกนั้นยิ่งเก็บ
00:06:01 → 00:06:04 ความชื้นได้ดีมันก็เลยเป็นการมันก็เลย
00:06:04 → 00:06:07 เป็นการคือเหมือนมันเริ่มพัฒนาแล้วก็ทำ
00:06:07 → 00:06:10 ยังไงให้มันเก็บได้นานผลิตได้เร็วนะคะมาก
00:06:10 → 00:06:12 ขึ้นเรื่อยๆแล้วก็มี shelf life ที่ยาว
00:06:12 → 00:06:14 ขึ้นเรื่อยๆเพื่อสามารถส่งขายได้ผลิตจาก
00:06:14 → 00:06:17 โรงงานใช่มเสร็จแล้วกว่าจะถึงเชลฟกว่าจะ
00:06:17 → 00:06:20 อยู่ที่บ้านของเอ่อผู้บริโภคเนี่ยเขาก็จะ
00:06:20 → 00:06:22 ต้องมีระยะเวลาอย่างน้อยๆอยู่กี่วันอื
00:06:22 → 00:06:25 เนาะเพราะว่าถ้าอยู่แค่วัน 2 วันมันก็ไม่
00:06:25 → 00:06:28 ได้นั่นสิก็อุตสาหกรรมก็ทำให้มันเกิดสิ่ง
00:06:28 → 00:06:33 นี้ขึ้นมาใช่อุตสาหกรรมค่ะ
00:06:33 → 00:06:36 แก้วแก้วจะบอกว่าเราไม่ต้องจำเป็นต้อง
00:06:36 → 00:06:39 กลัวยีสอุตสาหกรรมเสมอไปใช่เราไม่จำเป็น
00:06:39 → 00:06:42 ต้องกลัวยีสอุตสาหกรรมเสมอไปเราไม่ได้
00:06:42 → 00:06:45 จำเป็นต้องกลัวสารเสริมในขนมปังอือเสมอไป
00:06:45 → 00:06:48 เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จริงๆแล้วไม่ใช่สิ่ง
00:06:48 → 00:06:52 ที่คือมันไม่ใช่สิ่งที่ส่งผลเสียกับเรา
00:06:52 → 00:06:54 โดยตรงใช้คำว่าถ้าเราไม่ได้มีปัญหาเช่น
00:06:54 → 00:06:57 เรามีอาการเอ่อบางคนมีความมียีส overg
00:06:57 → 00:07:00 อย่างเงี้ยอ่ะอันนั้นน่ะโอเคคือคุณต้อง
00:07:00 → 00:07:02 ระวังเรื่องยีสซึ่งอันนี้หมายความว่า
00:07:02 → 00:07:04 ซาวโดก็ทานไม่ได้นะก็คือคุณไม่ต้องกินน้ำ
00:07:04 → 00:07:07 ปใช่ๆมันใช่คุณไม่ควรทานใช่มั้เออแล้วก็
00:07:07 → 00:07:09 เอ่ออย่างเรื่องสารเสริมเคือสารเสริม
00:07:10 → 00:07:12 เนี่ยต้องเข้าใจว่าจริงๆอ่ะถึงแม้เราจะ
00:07:12 → 00:07:13 บอกว่าเราไม่ได้ใส่สารเสริมในขนมปังนะบาง
00:07:14 → 00:07:16 ทีมันมาตั้งแต่ในแป้งอืสาเหตุเพราะว่าณ
00:07:16 → 00:07:19 โรกปัจจุบันที่มันเปลี่ยนไปอ่ะค่ะการเอ่อ
00:07:19 → 00:07:22 ผลิตผลทางผลิตผลทางการเกษตรแน่นอนว่ามัน
00:07:22 → 00:07:25 ก็ถูกปรับอ่ะให้มันสามารถเข้ากับระบอบ
00:07:25 → 00:07:28 อุตสาหกรรมได้เวลาที่เราอบขนมปังที่บ้าน
00:07:28 → 00:07:29 น่ะคุยกับนักเรียนอย่างเงี้ยเราก็จะบอก
00:07:30 → 00:07:33 ว่าเราต้องมีโดฟielนะจับโดนะมันไม่มีทาง
00:07:33 → 00:07:35 ที่จะเหมือนกันทุกวันแป้งแต่ละรอมันต่าง
00:07:35 → 00:07:37 กันอ๋อมันจะต่างกันใช่เพราะว่ามันมันต่าง
00:07:37 → 00:07:39 กันเพราะว่าเราทำงานกับวัตถุดิบทางการ
00:07:39 → 00:07:43 เกษตรอ่ะค่ะแป้งตัวนี้เอ่อโอเคโปรตีนมัน
00:07:44 → 00:07:46 อาจจะดูเท่ากันตามฉลากแต่แน่นอนว่าคุณภาพ
00:07:46 → 00:07:48 ของโปรตีนมันอาจจะไม่ได้เท่ากัน 100% ใช่
00:07:48 → 00:07:51 มั้คะหรือว่าคุณภาพของแป้งเองคุณภาพของ
00:07:51 → 00:07:53 โปรตีนมันก็อาจจะไม่ได้เหมือนกันหรือ
00:07:53 → 00:07:56 ปริมาณเอนไซม์แต่ซึ่งอันเนี้ยถ้ามันเป็น
00:07:56 → 00:07:58 โรงโม่ที่ผ่านระบบอุตสาหกรรมมีการควบคุม
00:07:59 → 00:08:02 ระดับนึงอ่ะมันก็จะเสถียรอืคราวเนี้ยมัน
00:08:02 → 00:08:04 เสถียรน่ะโฮมเบakเกอร์หรือเบรกเกอร์ที่มี
00:08:04 → 00:08:06 ประสบการณ์อาจจะไม่ได้จำเป็นแต่เวลาคุณ
00:08:06 → 00:08:08 เข้าโรงงานน่ะมันไม่ได้มีคนมาเช็คอ่ะทุก
00:08:08 → 00:08:10 อย่างมันใช้เครื่องจักรหมดไม่มานั่งคิด
00:08:10 → 00:08:13 ว่าอ๋อเอ๊วันนี้ต่อต้องเติมน้ำเพิ่มหน่อย
00:08:13 → 00:08:15 นะเดี๋ยววันนี้เราจะต้องพักโดยาวขึ้นมัน
00:08:15 → 00:08:18 ไม่ได้ดังนั้นทั้งระบบอ่ะมันถูกผลิตมาให้
00:08:18 → 00:08:20 เสถียรเพื่อสามารถที่จะผลิตในระบบ
00:08:20 → 00:08:23 อุตสาหกรรมได้แน่นอนมันหน้าตัวมันเอง
00:08:23 → 00:08:26 อย่างสารเสริมอย่างเงี้ยบางทีแป้งบางตัว
00:08:26 → 00:08:29 ใส่เอ่อวิตามินซีใส่กรดมาแล้วเพื่อช่วยทำ
00:08:29 → 00:08:32 ให้สามารถที่จะผสมโดได้เร็วขึ้นเออมันก็
00:08:32 → 00:08:35 ช่วยโครงสร้างแข็งแรงมากขึ้นใช่คือมันเอา
00:08:35 → 00:08:39 ตรงๆก็คือตามอย.มันไม่ได้มีผลเสียต่อ
00:08:39 → 00:08:44 สุขภาพอือแต่สิ่งที่ควรที่จะคิดถึงมากที่
00:08:44 → 00:08:47 สุดในเรื่องของอะไรที่มันจะส่งผลกระทบกับ
00:08:47 → 00:08:49 สุขภาพเราอ่ะค่ะก็คือต้องเข้าใจก่อนว่า
00:08:49 → 00:08:53 ขนมปังอ่ะมันเป็นผลผลิตของการหมักอืเนาะ
00:08:53 → 00:08:55 ดังนั้นการหมักเนี่ยมันมีสิ่งสำคัญอย่าง
00:08:55 → 00:08:57 นึงเลยก็คือเวลาครับอ่าที่คุณไม่สามารถ
00:08:57 → 00:09:00 ที่จะเวลามันทำยังไงอ่ะมันไม่สามารถที่จะ
00:09:00 → 00:09:03 โกงได้มันเออมันลดทอนไม่ได้ใช่มันคือมัน
00:09:03 → 00:09:06 มีบางอย่างที่มันช่วยได้แต่ว่าแน่นอนมัน
00:09:06 → 00:09:08 ไม่ได้ช่วยได้ทั้งหมดคราวเนี้ยสิ่งที่
00:09:08 → 00:09:11 เกิดขึ้นก็คือเอ่อโครงสร้างที่ทำให้ขนม
00:09:11 → 00:09:14 ปังมันจับแก๊สได้หรือว่ากลูเตนน่ะค่ะนะ
00:09:14 → 00:09:16 ที่เราเห็นเป็นโพรงๆอ่ะเนาะไอ้กลูเตน
00:09:16 → 00:09:18 เหล่าเนี้ยมันเป็นโครงสร้างที่แข็งแรงมาก
00:09:18 → 00:09:21 มันไม่ได้ย่อยง่ายอืดังนั้นระยะเวลาในการ
00:09:21 → 00:09:25 หมักเนี่ยมันช่วยทำให้กลูเตนน่ะมันสามารถ
00:09:25 → 00:09:28 ย่อยได้ง่ายขึ้นอยากให้อธิบายกลูเต็นให้
00:09:28 → 00:09:31 คนที่ไม่รู้จักโอเคกลูเต็นคืออะไรกลูเต็น
00:09:31 → 00:09:34 คืออย่างที่เราบอกค่ะว่าในแป้งสาลีมี
00:09:34 → 00:09:37 โปรตีนนะคะพอโปรตีนในแป้งเนี่ยพอเมื่อ
00:09:37 → 00:09:40 ไหร่ที่เจอน้ำก็คือเวลาเราผสมโดเนาะมันก็
00:09:40 → 00:09:43 จะเริ่มจับมือกันอืออือฮึพอจับมือกันปั๊บ
00:09:43 → 00:09:46 แล้วมันก็ผ่านการผสมโดไอ้ตรงเนี้ยมันก็จะ
00:09:47 → 00:09:49 จับกันแข็งแรงขึ้นแข็งแรงขึ้นนะพอจับกัน
00:09:49 → 00:09:52 แข็งแรงปั๊บนะคะเวลาที่เราพักโดไว้ให้ยีส
00:09:52 → 00:09:55 ทำงานแล้วยีสเริ่มปล่อยก๊าซอ่ะตัวเนี้ย
00:09:55 → 00:09:58 มันก็จะพองขึ้นเหมือนลูกโป่งลองทำที่บ้าน
00:09:58 → 00:10:01 ก็ได้ก็คือเอาแป้งสาลีเอ่อแบบไหนก็ได้นะ
00:10:01 → 00:10:05 คะผสมน้ำเนานวดๆให้มันเป็นก้อนโดอือนะคะ
00:10:05 → 00:10:07 เสร็จแล้วเอาก้อนโดเนี่ยไปล้างน้ำครับ
00:10:07 → 00:10:11 ล้างๆๆๆไปเราเริ่มจะเห็นแล้วน้ำอ่ะมันจะ
00:10:11 → 00:10:13 มันจะขุ่นๆก็คืออันเนี้ยสตาร์ชออกมาพอ
00:10:13 → 00:10:15 ล้างจนน้ำใสสิ่งที่เหลืออยู่ในมือเรา
00:10:15 → 00:10:18 อันเนี้คือกลูเต็นขนมปังแล้วถ้าเราเห็น
00:10:18 → 00:10:20 รูปขนมปังเนี่ยมันจะมีเส้นยืดยืดอยู่ตัว
00:10:20 → 00:10:26 นั้นคือกูเต็นใช่มใช่แล้วค่ะอ่าใช่
00:10:26 → 00:10:29 ประเด็นคือฉันติดขนมปังนุ่มๆแล้วอ่ะอติด
00:10:29 → 00:10:32 ขนมปังขาวแล้วอ่ะทำไมฉันต้องมาย้ายมากิน
00:10:32 → 00:10:34 ซาวโดด้วยแล้วแบบมันอร่อยตรงไหนมันอร่อย
00:10:35 → 00:10:39 ยังไงโอเคโอเคเอ่อข้อแรกคือว่าแบบนุ่มๆก็
00:10:39 → 00:10:42 มีนะคะมีใช่มั้ฮะมีๆค่ะมีแล้วก็จริงๆ
00:10:42 → 00:10:45 อย่างที่บอกว่าคืออ่ะมันคือภาษาอังกฤษเขา
00:10:45 → 00:10:47 จะเรียกว่าเอ่อ livening agent คือสิ่ง
00:10:48 → 00:10:51 ที่ทำให้ขึ้นฟูซึ่งแน่นอนว่าastเนี่ยมัน
00:10:51 → 00:10:53 ก็คือ livening agent เหมือนกันดังนั้น
00:10:53 → 00:10:57 ถ้าเอาไปใส่แทนยีสอุตสาหกรรมได้มยได้หมาย
00:10:57 → 00:11:02 ถึงเอาซาวโดค่ะไปใช้ในสูตรขนมปังที่เป็น
00:11:02 → 00:11:04 ยีสอุตสาหกรรมก็ได้เหมือนกันได้เหมือนกัน
00:11:04 → 00:11:06 แต่ว่าแน่นอนแน่นอนว่ามันก็จะมีข้อแม้ที่
00:11:06 → 00:11:09 เปลี่ยนไปเช่นเวลาที่จะต้องมากขึ้นการควบ
00:11:09 → 00:11:13 คุมเอ่อสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของ
00:11:13 → 00:11:15 ขนมปังที่เราต้องการใช่มั้คะดังนั้นโอเค
00:11:15 → 00:11:18 ถ้าไม่ชอบไม่ชอบขนมปังแข็งซาวาโดแบบนิ่ม
00:11:18 → 00:11:22 ก็ดีก็มีอืคือซาวโดเนี่ยเรียกว่ามันไม่
00:11:22 → 00:11:24 ใช่เป็นขนมปังเค้าเรียก country เบสใช่
00:11:24 → 00:11:26 มั้ยฮะใช่เบสไม่ใช่ไม่ใช่แบบนั้นซะอย่าง
00:11:26 → 00:11:28 เดียวมันอยู่ในทุกๆอย่างได้เพราะว่าบางที
00:11:28 → 00:11:30 เราก็เห็นแบบว่ามันจะมีทารที่ใช้แป้ง
00:11:31 → 00:11:34 ซาวาโดอ่าขนมปังนิ่มๆที่ใช้แป้งซาวาดโด
00:11:34 → 00:11:36 ใช่ค่ะไอ้คำว่าไอ้ Country Bad เนี่ย
00:11:36 → 00:11:39 จริงๆมันคือเป็นลักษณะเป็นชื่อเรียกขนม
00:11:39 → 00:11:41 ปังประเภทหนึ่งซึ่งไอ้ขนมปังประเภทเนี้ย
00:11:41 → 00:11:44 เป็นขนมปังที่มักมีเปลือกแข็งก็มีเปลือก
00:11:44 → 00:11:47 แข็งแหละจริงๆแล้วก็เอ่อตัวเนื้อขนมปังมี
00:11:47 → 00:11:49 การใช้แป้งโฮวีทและรายเข้าไปผสมด้วยเพราะ
00:11:50 → 00:11:51 ว่าใช่เพราะว่า Country Base จริงๆอ่ะ
00:11:52 → 00:11:55 มันคือตามชื่อเลยคือขนมปังบ้านนอกอ๋อดัง
00:11:55 → 00:11:56 นั้นก็คือสำหรับเอาจริงๆเมื่อก่อนคือ
00:11:56 → 00:12:00 สำหรับไพร่เดี๋ยวๆนิดนึงมีความแบบใช่ก็
00:12:00 → 00:12:02 คือมันสำหรับคนคนมันไม่ใช่ไม่มันใช่ขนม
00:12:02 → 00:12:04 ปังคนรวยอ่ะง่ายๆเมื่อก่อนแป้งขาวไม่ได้
00:12:04 → 00:12:06 หาง่ายแป้งขาวนี่หายากมากโอเคก็น่าจะ
00:12:06 → 00:12:09 เหมือนข้าวกล้องกับข้าวขาวใช่มใช่ใช่เลย
00:12:09 → 00:12:11 ค่ะใช่มันเป็นแบบนั้นแหละดังนั้นเขาก็เลย
00:12:11 → 00:12:13 เรียก country bra country ใช่ดังนั้น
00:12:13 → 00:12:16 country b เนี่ยใช้ก็ได้ใช้ยีส
00:12:16 → 00:12:19 อุตสาหกรรมก็ได้นะแล้วแต่เราเลยว่าจะใช้
00:12:19 → 00:12:21 อะไรเรียก country bสเหมือนกันคราวนี้
00:12:21 → 00:12:24 เอ่อโอเคแน่นอนถ้าไม่ชอบขนมปังเปลือกแข็ง
00:12:24 → 00:12:27 มีซาวโดเปลือกนิ่มค่ะเนาะต่อมาคนที่เจอ
00:12:27 → 00:12:30 ปัญหามากที่สุดคือไม่ชอบรสเปรี้ยวเออใช่
00:12:30 → 00:12:34 คืออันเนี้ยเป็นสิ่งที่เราเองก็เจอกับตัว
00:12:34 → 00:12:37 ว่าในอาหารไทยเนี่ยโดยเฉพาะอาหารไทย
00:12:37 → 00:12:40 เมนstreมอ่ะเราถูกตัดความเปรี้ยวออกไปจาก
00:12:41 → 00:12:42 การรับรู้เราจะมีความเปรี้ยวอยู่ในไม่กี่
00:12:43 → 00:12:44 อย่างและเป็นความเปรี้ยวโทนเดียวคือ
00:12:44 → 00:12:46 เปรี้ยวมะนาวใช่มันก็จะมีแบบเอาเปรี้ยว
00:12:46 → 00:12:48 เปรี้ยวในยำอ่ะยำเปรี้ยวได้ต้มยำเปรี้ยว
00:12:48 → 00:12:51 ได้หลังจากนี้เริ่มงงแล้วถ้ามันมีเปรี้ยว
00:12:51 → 00:12:53 เข้ามามันไม่ค่อยใช่แต่ทางที่แต่อันนี้
00:12:53 → 00:12:55 คือเราพูดถึงอาหารไทยเมนstreมนะเพราะว่า
00:12:55 → 00:12:57 จริงๆถ้าเป็นอาหารไทยจริงๆเรามีการใช้
00:12:57 → 00:13:00 เปรี้ยวหลากหลายมากๆคราวเนี้ยซาวโดเหมือน
00:13:00 → 00:13:03 กันมันเป็นเปรี้ยวที่เราไม่คุ้นอนะคะมัน
00:13:03 → 00:13:05 เป็นเปรี้ยวแบบเอ่อถ้าติก็จะเป็นเปรี้ยว
00:13:05 → 00:13:08 โยเกิร์ตมันเป็นเปรี้ยวที่คนบางคนเรียก
00:13:08 → 00:13:10 ว่าเปรี้ยวเสียเปรี้ยวบูดอ่ะใช่บางคน
00:13:10 → 00:13:13 เพราะว่าเา้าอาจจะเจอนมบูดเออเพราะจริงๆ
00:13:14 → 00:13:17 แล้วการทำงานของก็ต้องบอกว่าจริงๆนมเวลา
00:13:17 → 00:13:19 เสียถ้าเขาเสียเลยนะที่ไม่ได้มีการทำงาน
00:13:19 → 00:13:24 ของของกรดของของแบคทีเรียค่ะเขาจะขมอเหรอ
00:13:24 → 00:13:27 ใช่แต่ว่าที่เราเจอเปรี้ยวแบบนมนมเอ่อ
00:13:27 → 00:13:29 เสียแบบเปรี้ยวเนี่ยเพราะว่ามันมี
00:13:29 → 00:13:31 แบคทีเรียเข้าไปแล้วก็เกิดการผผลิตผลิต
00:13:31 → 00:13:33 กรดขึ้นมาอือใกล้เคียงกับการทำโยเกิร์ต
00:13:33 → 00:13:38 มั้คะใกล้เขียนมากๆใช่ดังนั้นก็คือถามว่า
00:13:38 → 00:13:41 โยเกิร์ตมันเหมือนนมบูดมั้ยก็ก็ไม่ไม่ผิด
00:13:41 → 00:13:44 ที่เขาจะเรียกอย่างงั้นเพราะว่ามันมีมัน
00:13:44 → 00:13:49 ใกล้เคียงกันน่ะ
00:13:49 → 00:13:52 เราจะเจอคันที่เบสบ่อยอ่าคันที่เบสมันมี
00:13:52 → 00:13:55 ความแข็งมันมีความแห้งอืทำยังไงให้กิน
00:13:55 → 00:13:58 อร่อยสำหรับพวกเราที่เจอๆกันน่ะขนมปังทาน
00:13:58 → 00:14:01 ให้อร่อยขึ้นก็เอาไปปิ้งก่อนอืมันช่วย
00:14:01 → 00:14:03 อะไรมั้ยฮะปิ้งก่อนเนี่ยเออพอปิ้งยิ่ง
00:14:03 → 00:14:04 ก่อนปั๊มแน่นอนว่ามันทำให้มันเกิดความแตก
00:14:05 → 00:14:07 ต่างกันของรสสัมผัสนะคะมีความกรอบนอกแล้ว
00:14:07 → 00:14:10 ก็ข้างในเนี่ยมันก็จะมีอาการการคืนสภาพมี
00:14:10 → 00:14:14 ความชุ่มฉ่ำกลับมากลิ่นที่หอมขึ้นรสชาติ
00:14:14 → 00:14:16 ที่มันคือ texture ที่มันต่างกันใช่มดัง
00:14:16 → 00:14:19 นั้นเอาไปปิ้งก็ช่วยได้นะคะทานกับอย่าง
00:14:19 → 00:14:23 อื่นเช่นอย่างส่วนตัวเนี่ยก็ชอบทานกับซุป
00:14:23 → 00:14:26 อืก็คือบิยิ่งบิแล้วก็โยนลงไปในซุปเลยมัน
00:14:26 → 00:14:29 ก็ดูดดูดน้ำซุปใช่มั้คะแล้วก็ทำให้มัน
00:14:29 → 00:14:33 นิ่มเออใช่วิธีนี้พี่ก็ทำคือปกติปกติเวลา
00:14:33 → 00:14:36 เอ่อแชทตัวมันจะแข็งขึ้นแล้วพี่ก็จะไปใส่
00:14:36 → 00:14:38 กระทะแล้วก็ตอกไข่ใส่เข้าไปเลยมันก็จะ
00:14:38 → 00:14:40 ช่วยทำให้มันนิ่มขึ้นใช่เพราะมันก็แอบ
00:14:40 → 00:14:44 ความชื้นจากไข่แล้วก็มีอีกอย่างนึงก็คือ
00:14:44 → 00:14:46 ถ้าคนที่ไม่ชอบเปลือกแข็งจริงๆอ่ะแต่อยาก
00:14:47 → 00:14:49 ทาน country Love อือให้เลือกเอ่อ
00:14:49 → 00:14:53 Country Love ที่ทำจากแป้งที่โปรตีนต่ำ
00:14:53 → 00:14:57 เราจะรู้ได้ไงอ่าเราจะรู้ได้ยังไง 1 คือ
00:14:57 → 00:14:59 ดูจากวิชualก่อนเลยถ้าเกิดยังไม่ได้ตัด
00:14:59 → 00:15:01 ยังไม่ได้ตัดขนมปังหูเขาอาจจะไม่ได้เด้ง
00:15:01 → 00:15:03 มากหูคือมันจะเป็นโหคือไอ้ตัวที่เขากรีด
00:15:03 → 00:15:07 แล้วมันเป็นแบบอธิบายไม่ถูกเชิดขึ้นมาใช่
00:15:07 → 00:15:10 คือมันอาจจะไม่ได้ตอบ 100% บอกก่อนแต่ว่า
00:15:10 → 00:15:13 มันเป็นสัญญาณที่บอกว่าเออคำว่าโปรตีนต่ำ
00:15:13 → 00:15:15 เนี่ยโครงสร้างโปรตีนมันก็จะไม่แข็งแรง
00:15:15 → 00:15:17 มากดังนั้นความสามารถในการดีดตัวมันอาจจะ
00:15:17 → 00:15:20 ไม่ได้เยอะอืดังนั้นโดมมันอาจจะดูแบบแป๊ด
00:15:20 → 00:15:24 ๆแบนๆนิดนึงเอ่อแต่ว่าก็คือไม่ใช่แบนจน
00:15:24 → 00:15:26 กระทั่งว่าเห็นว่าออฟนะเป็นจานบินมาไม่
00:15:26 → 00:15:29 ใช่ละใช่มก็คือโอเคมันอาจจะไม่ได้ดีดเด้ง
00:15:29 → 00:15:31 มากนะคะเออต่อ
00:15:31 → 00:15:36 โพรงถ้ามีโอกาสดูเห็นคล้ำและเอเห็นเนื้อ
00:15:36 → 00:15:38 เนี่ยก็คือโพรงไม่ใหญ่ต้องคือต้องบอกก่อน
00:15:38 → 00:15:40 ว่ายังไงขนมปังมันต้องมีโพรงมีฟองอากาศ
00:15:40 → 00:15:43 อยู่แล้วล่ะใช่มั้มันเป็นปกติจะเล็กจะ
00:15:43 → 00:15:45 ใหญ่อีกใช่มั้คะเออแต่คราวนี้ถ้าโพรง
00:15:45 → 00:15:48 ละเอียดสันนิษฐานไว้ก่อนได้ว่าอาจจะไม่
00:15:48 → 00:15:51 ได้ใช้แป้งโปรตีนสูงมากนักอือืดังนั้นก็
00:15:51 → 00:15:54 สันนิษฐานต่อไปได้ว่าอ๋อเปลือกอ่ะอาจจะ
00:15:54 → 00:15:57 ไม่ได้เหนียวหรือแข็งจนเกินไปนะคะก็คือ
00:15:57 → 00:16:00 เลือกขนมปังที่มีส่วนผสมของแป้งโฮวีหรือ
00:16:00 → 00:16:04 แป้งคือมีสีออไม่ใช่สีขาวไม่ใช่สีขาวใช่
00:16:04 → 00:16:06 เพราะว่ามันก็ไอ้ไอ้พวกเนี้ยโครงมันไม่
00:16:06 → 00:16:08 ได้ทำให้โครงสร้างแข็งแรงเหมือนแป้งขาว
00:16:08 → 00:16:11 ดังนั้นโอกาสที่คลัสมันจะเหนียวไปเก็จะลด
00:16:11 → 00:16:14 ลงไปอีกอ๋อคือถ้าแป้งขาวเนี่ยเวลาไปทำขนม
00:16:14 → 00:16:18 ปังมันจะแน่นมากเงี้ใช่คือคือถ้าแป้งขาว
00:16:18 → 00:16:20 เนี่ยต้องบอกว่าแป้งเอ่อแป้งขาวที่เป็น
00:16:20 → 00:16:22 แป้งขนมที่เราเรียกว่าแป้งขนมปังเนี่ยมัน
00:16:22 → 00:16:25 คือแป้งที่โปรตีนค่อนข้างสูงโปรตีนมัน
00:16:25 → 00:16:27 จำเป็นเพราะว่าขนมปังเราต้องการให้เขา้า
00:16:27 → 00:16:31 ฟูแล้วฟูเนี่ยแล้วก็มีโครงสร้างที่สามารถ
00:16:31 → 00:16:34 เก็บอากาศได้ใช่มั้ยคะโปรตีนน่ะเข้ามา
00:16:34 → 00:16:37 เอ่อช่วยตรงนั้นนะคะยิ่งโปรตีนสูงยิ่ง
00:16:37 → 00:16:39 สร้างโครงสร้างกลูเต็นได้เยอะอือแน่นอน
00:16:39 → 00:16:43 ว่าโอกาสที่ขนมปังจะฟูใหญ่มีโพรงใหญ่
00:16:43 → 00:16:47 เนี่ยก็มีโอกาสมากขึ้นอือเออดังนั้นเอ่อ
00:16:47 → 00:16:49 คราวนี้แต่ว่ามันก็เป็นเหมือนดับสังคมอ่ะ
00:16:49 → 00:16:51 เนาะคือด้วยความที่มันเป็นโครงสร้างที่
00:16:51 → 00:16:53 แข็งแรงมากอ่ะมันก็อาจจะเกิดทำให้โอเค
00:16:53 → 00:16:55 เปลือกมันเหนียวรู้สึกว่าทายแล้วเหนียว
00:16:56 → 00:16:58 หรืออบแล้วมันกรอบมากอือนะคะเออบางคนแบบ
00:16:58 → 00:17:01 ทิ่มปากอย่างเงี้ยอ่ามาแล้วก็ไปเลือกทาน
00:17:01 → 00:17:04 ขนมปังที่ทำจากแป้งที่โปรตีนต่ำลงมาแทน
00:17:04 → 00:17:07 อืออืเพราะว่าโปรตีนต่ำลงมาก็จริงหรือ
00:17:07 → 00:17:09 อย่างที่เราเรียกกันบางทีคือแป้ง
00:17:09 → 00:17:12 อเนกประสมอ่ะฮจริงๆก็คือใช้ทำขนมปังได้นะ
00:17:12 → 00:17:16 อืจริงๆแล้วแป้งมันมีส่วนสำคัญกับ texture
00:17:16 → 00:17:19 เหมือนกันแป้งเป็นหัวใจหลักเลยค่ะคือขนม
00:17:19 → 00:17:21 ปังเนี่ยสิ่งที่สำคัญที่สุดน่ะคือแป้ง
00:17:21 → 00:17:24 เพราะว่าอันนั้นคือส่วนประกอบหลักอือืดัง
00:17:24 → 00:17:28 นั้นแป้งมาเป็นแบบไหนถูกปฏิบัติแบบไหนมา
00:17:28 → 00:17:31 เนี่ยคุณก็จะได้ขนมปังแบบนั้น
00:17:31 → 00:17:34 [เพลง]
00:17:35 → 00:17:38 พอพูดถึงซาวโดมันจะคำว่าโฮวตามมาอย่างที่
00:17:38 → 00:17:41 แก้วพูดนั่นแหละการกินโฮวกับกับแป้ง
00:17:41 → 00:17:43 อเนกประสงค์แป้งแป้งขนมปังเนี่ยมันมีความ
00:17:43 → 00:17:47 ดีครับดีข้อดีข้อเสียต่างกันมั้ฮะอ่าโอเค
00:17:47 → 00:17:51 คือโฮวีทอ่ะค่ะตามชื่อของมันก็คือโฮวีทนะ
00:17:51 → 00:17:54 หวีดทั้งทางทั้งทางเกรนนะคะคราวเนี้ยส่วน
00:17:54 → 00:17:56 ประกอบของแป้งสาลีเนี่ยจริงๆแล้วอ่ะเขาก็
00:17:56 → 00:18:00 จะมีก็คือตัวแป้งใช่มั้คะตัวหวีดเจิมด้าน
00:18:00 → 00:18:02 บนน่ะเหมือนจมูกจมูกข้าวสาลีใช่มั้คะแล้ว
00:18:02 → 00:18:05 ก็ตัวแบรนด์ด้านนอกนะเอ่อเหมือนเป็นเยื่อ
00:18:05 → 00:18:07 ด้านนอกเหมือนเหมือนข้าวกล้องเออเหมือน
00:18:07 → 00:18:10 ข้าวกล้องแหละเอ่อโควิดเนี่ยเหมือนข้าว
00:18:10 → 00:18:12 กล้องก็คือเวลาเ้าโม่คือโม่ทั้งหมดมีทุก
00:18:12 → 00:18:16 ส่วนดังนั้นเอ่อวิตามินแร่ธาตุไขมันใน
00:18:16 → 00:18:19 จมูกข้าวมีไขมันเนาะเอ่อทุกอย่างเนี่ยก็
00:18:19 → 00:18:22 ถูกเอ่อนำไปใช้ในแป้งทั้งหมดแต่คราวนี้
00:18:22 → 00:18:26 ถ้าเป็นแป้งขาวโม่ในแบบต้องบอกก่อนว่าโม่
00:18:26 → 00:18:29 ในแบบบ้านเราคือบ้านเราคือไม่ว่าจะเป็น
00:18:29 → 00:18:32 บ้านเราเป็นญี่ปุ่นเป็นอเมริกาอย่างเงี้ย
00:18:32 → 00:18:34 เอ่อโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเ้ามีการขัดเอา
00:18:34 → 00:18:37 จมูกข้าวออกไปก่อนก็คือทิ้งส่วนที่ใช่
00:18:37 → 00:18:40 เพราะว่ามันมีสาเหตุคือตรงเนี้ยจมูกข้าว
00:18:40 → 00:18:42 อ่ะค่ะมันมีไขมันมันอาจจะทำให้แป้งเกิด
00:18:42 → 00:18:46 การเอ่อมีกลิ่นเกิดการแรนสิตได้ใช่ดัง
00:18:46 → 00:18:49 นั้นเพื่อรักษาเอ่อแป้งให้ได้นานที่สุดอ
00:18:50 → 00:18:51 นะคะดังนั้นเขาก็ต้องเอาในส่วนที่มีไข
00:18:51 → 00:18:54 หรือมีเอนไซม์ที่อาจจะทำให้แป้งเกิดการ
00:18:54 → 00:18:56 เสื่อมเสื่อมสภาพได้เนี่ยออกไปก่อนก็คือ
00:18:56 → 00:18:58 ต้องคือเก็บให้ใช่เพื่อให้เก็บไลฟนานที่
00:18:59 → 00:19:01 สุดอ่ะดังนั้นเนี่ยก็คืออ่าถ้าโฮวีทน่ะ
00:19:01 → 00:19:05 เราได้เต็มที่อแต่ถ้าเป็น White Wed มัน
00:19:05 → 00:19:08 ก็จะเหลือเอ่อStarชนะก็คือแป้งนะคะเป็น
00:19:08 → 00:19:11 ส่วนมากอืแต่ก็ต้องบอกก่อนว่ามันไม่ได้
00:19:12 → 00:19:14 หมายความว่าทานโควิดแล้วดีเสมอไปนะเหรอ
00:19:14 → 00:19:18 ครับเพราะว่าจริงๆแล้วเนี่ยเอ่อในในโฮวีท
00:19:18 → 00:19:20 อ่ะค่ะคือในแป้งสาลีในข้าวสาลีจะใช้คำนี้
00:19:20 → 00:19:24 มันมีเอ่อมันมีกฎที่เรียกว่ากฎไฟติกอยู่
00:19:25 → 00:19:28 กฎไฟติกเนี่ยเขาจะเป็นกฎที่เขาจะดึงอ่า
00:19:28 → 00:19:31 ธาตุสังกสิกกับธาตุเหล็กครับหมายความว่า
00:19:31 → 00:19:34 เอ่อถ้าเราทานขนมปังโคฮวีทไปปั๊บที่เป็น
00:19:34 → 00:19:37 โฮวีเฉยๆเนาะอือเอ่อไม่ได้ผ่านการหมักแบบ
00:19:37 → 00:19:40 ซาวโดนะคะร่างกายเราอ่ะพอมันมีไอ้ไอ้กรด
00:19:41 → 00:19:43 ไฟตีกเนี่ยมันก็เลยทำให้ร่างกายเราไม่
00:19:43 → 00:19:45 สามารถที่จะดูดซึมเอ่อธาตุเหล็กแล้วก็
00:19:45 → 00:19:48 สังกสีได้เพราะมันมีอยู่แล้วคือคือเหล็ก
00:19:48 → 00:19:50 กับสังกสีมันมีอยู่แล้วล่ะใช่มั้คะแต่
00:19:50 → 00:19:52 คราวเนี้ด้วยด้วยกรดตัวเนี้ยมันยึดไว้
00:19:52 → 00:19:54 แล้วก็ร่างกายเราไม่สามารถย่อยได้มันก็จะ
00:19:54 → 00:19:58 ถูกพาออกไปจากร่างกายเราคราวนี้สิ่งที่จะ
00:19:58 → 00:20:01 ช่วยทำลายกดไฟติกได้เนี่ยคือเอนไซม์ที่
00:20:01 → 00:20:03 เรียกว่าไฟเตโหเริ่มซึ่งซึ่งอันเนี้ยก็
00:20:04 → 00:20:05 คือมันเป็นเอนไซม์ที่เกิดจากการทำงานของ
00:20:05 → 00:20:09 แบคทีเรียที่อยู่ในซาวดโดออ่ะดังนั้นโอเค
00:20:09 → 00:20:11 อยากทานโฮวีตให้ได้ประโยชน์ที่สุดอือต้อง
00:20:11 → 00:20:15 ทานเป็นซาวโดฟค่ะอบังคับอันนี้อันนี้เป็น
00:20:15 → 00:20:19 ไฟท์บังคับเลยเพราะว่ามันจะมีขั้นตอนการ
00:20:19 → 00:20:22 ทำงานของเขาที่ช่วยทำลายไอ้กรดไฟติกเนี่ย
00:20:22 → 00:20:24 แล้วก็ปล่อยแร่ธาตุให้มันสามารถดูดซึม
00:20:24 → 00:20:26 เข้าร่างกายคุณได้โควิดที่ไม่ได้เป็นสาว
00:20:26 → 00:20:30 นี่มันเป็นยังไงก็เหมือนขนมปังทั่วไปที่
00:20:30 → 00:20:33 มีการส่ายแป้งโฮวีลงไปอืออ๋อก็คือไม่ได้
00:20:33 → 00:20:36 หมักใช่ไม่ได้ผ่านการไม่ได้หมักด้วยซาวโด
00:20:36 → 00:20:39 ค่ะไม่ได้หมักด้วยซาวโดใช่เพราะว่าที่
00:20:39 → 00:20:42 ต้องบอกว่าทำไมเอ่อต้องเป็นซาวโดเพราะว่า
00:20:42 → 00:20:44 เราไม่ได้พูดถึงยีสแล้วเราพูดถึงการทำงาน
00:20:44 → 00:20:47 ของแบคทีเรียอ่าดังนั้นเอ่อถ้าอยากกิน
00:20:47 → 00:20:51 โฮวีทให้มีประโยชน์ต้องทานขนมปังโฮวีทมี
00:20:51 → 00:20:53 การทำงานของแบคทีเรียอยู่ในโดก็คือซาโด
00:20:53 → 00:20:58 นั่นออโอเคแล้วฟังดูแล้วแบบมันมีมันมี
00:20:58 → 00:21:01 ระบบซับซ้อนอยู่ข้างในสาวนะมันใช่ใช่ค่ะ
00:21:01 → 00:21:05 เพราะว่าคือแล้วมันเป็นระบบซับซ้อนที่น่า
00:21:05 → 00:21:07 มหัศจรรย์มากเพราะว่ามันเกิดขึ้นเองใน
00:21:07 → 00:21:10 ธรรมชาติแล้วก็เลยกลับไปที่เดิมก็คือขนม
00:21:10 → 00:21:13 ปังอ่ะมันเป็นผลผลิตของการหมักเนาะเหมือน
00:21:13 → 00:21:16 กับหลายๆอย่างเอ่อ
00:21:16 → 00:21:20 วายชากาแฟช็อกโกแลตใช่มั้ยคะการหมักอ่ะ
00:21:20 → 00:21:23 มันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดรสชาติหรือเอ่อ
00:21:23 → 00:21:29 เอ่อความน่าพิศัยของโปรดักเหล่านี้ใช่ถูก
00:21:29 → 00:21:32 ต้องเอ่อดังนั้นน่ะแล้วเราก็อันนี้คือ
00:21:32 → 00:21:34 แล้วเรายังไม่พูดถึงผลประโยชน์เนาะที่มัน
00:21:34 → 00:21:37 มาจากการมันการหมักนะคะดังนั้นแน่นอนพอ
00:21:37 → 00:21:39 ขนมปังมันตัดเรื่องของการหมักไปให้มัน
00:21:39 → 00:21:41 สั้นลงเนี่ยผลประโยชน์เหล่านี้มันก็ลดลง
00:21:42 → 00:21:45 ไปอ
00:21:45 → 00:21:48 มันมีข้อดีในการกินขนมปังซาวาโดมั้ฮะแล้ว
00:21:48 → 00:21:51 ก็มันเหมาะกับทุกคนหรือเปล่าโอเคข้อดีใน
00:21:51 → 00:21:54 การทานเอ่อขนมปังซาวาโดนะคะก็ก็คือโอเค
00:21:54 → 00:21:57 เอ่อง่ายที่สุดเลยเนี่ยก็คือ 1 พอมันผ่าน
00:21:58 → 00:22:03 การหมักยาวอือค่าเอ่อ GLCIC Index ต่ำทำ
00:22:03 → 00:22:05 ให้พอมันเข้าไปในร่างกายปั๊บน้ำตาลไม่
00:22:05 → 00:22:08 พุ่งอืนะคะพอน้ำตาลไม่พุ่งเราก็ไม่เกิด
00:22:08 → 00:22:10 การโหยเนาะไม่เกิดการแบบเพราะว่าอะไร
00:22:10 → 00:22:13 เพราะว่ามันค่อยๆใช่เพราะว่าเอ่อมันผ่าน
00:22:13 → 00:22:17 การใช้น้ำตาลโดยยีสและแบคทีเรียคือยีสจัด
00:22:17 → 00:22:19 การย่อยย่อแล้วใช่ถูกต้องทั้งยีสและ
00:22:19 → 00:22:22 แบคทีเรียจัดการย่อยน้ำตาลไปแล้วบางส่วน
00:22:22 → 00:22:23 ดังนั้นพอมันไปถึงมันก็เลยเหลือไม่เยอะ
00:22:24 → 00:22:26 อันนี้ก็พูดถึงแค่หมักสั้นหมักยาวนะหมาย
00:22:26 → 00:22:28 ความว่าอันเนี้ยซาวโดก็ต้องหมักยาวเหมือน
00:22:28 → 00:22:29 กันนะ
00:22:29 → 00:22:33 ถ้าดังนั้นก็คือเอ่อถ้าหมักยาวมันมีการ
00:22:33 → 00:22:35 ช่วยใช้น้ำตาลไปแล้วเพราะเรากินเราก็รับ
00:22:36 → 00:22:38 น้ำตาลไม่เยอะใช่คำนี้อถ้าเปรียบเทียบกัน
00:22:38 → 00:22:40 สิ่งนี้เป็นข้าวกล้องกับข้าวขาวได้เหมือน
00:22:40 → 00:22:42 กันมั้ฮะข้าวกล้องจะเป็นหลักการเดียวกัน
00:22:42 → 00:22:45 เลยมั้ในการทำให้น้ำตาลขึ้นช้าใช่ค่ะใช่
00:22:45 → 00:22:48 หลักการเดียวกันเลยค่ะเพราะว่ามันใช้เวลา
00:22:48 → 00:22:50 ในการคือแต่อยากบอกก่อนว่าข้าวกล้องอ่ะ
00:22:50 → 00:22:53 มันใช้เวลาในการย่อยนานกว่าแต่ว่าอย่าง
00:22:53 → 00:22:58 ตัวsอเนี่ยมันผ่านการย่อยด้วยอ่าจากยีส
00:22:58 → 00:23:00 กับแบคทีเรียมาแล้วทำให้น้ำตาลมันเหลือ
00:23:00 → 00:23:03 น้อยกว่าโอเคแล้วมีอะไรอีกบ้างอ่ะเอ่อ
00:23:03 → 00:23:07 สำหรับคนที่มีการแพ้กลูเต็นในแบบอ่อนๆคือ
00:23:07 → 00:23:09 คำว่าในแบบอ่อนๆเนี่ยคือต้องบอกก่อนว่า
00:23:09 → 00:23:11 การแพ้กลูเตนบางทีเรายังวัดไม่ได้เนาะว่า
00:23:11 → 00:23:14 ใครแพ้ขนาดไหนครับอ่าดังนั้นแน่นอนว่าคน
00:23:14 → 00:23:17 ที่อาจจะแค่แพ้นิดหน่อยหรือแค่ย่อยได้อาจ
00:23:17 → 00:23:21 จะย่อยได้ไม่เยอะมากการทานขนมปังซาวโดที่
00:23:21 → 00:23:23 ผ่านการหมักเป็นระยะเวลานานเนี่ยโครง
00:23:23 → 00:23:26 สร้างกลูเต็นมันก็น้อยลงพอทานเข้าไปปั๊บ
00:23:26 → 00:23:29 ก็เอ่อไม่อาจจะเกิดไม่ไม่เกิดอาการท้อง
00:23:29 → 00:23:32 อืดหรือเกิดน้อยกว่าการทานขนมปังที่เป็น
00:23:32 → 00:23:34 ขนมปังที่หมักด้วยระยะเวลาปกติอย่างเงี้ย
00:23:34 → 00:23:37 คำถามต่อไปคือซาวโดมันดีกับกัดไมโครไบโอม
00:23:37 → 00:23:39 ของเราดีกับกัดไมโครไบโอมค่ะเพราะว่า
00:23:39 → 00:23:42 อย่างงี้ซาวโดเนี่ยด้วยความที่เ้ามีการทำ
00:23:42 → 00:23:45 งานของแบคทีเรียใช่มั้ยคะดังนั้นมันก็เลย
00:23:45 → 00:23:48 มีการย่อยโครงสร้างบางอย่างที่อยู่ในโด
00:23:48 → 00:23:50 ซึ่งไอ้พอพอย่อยมาปั๊บเนี่ยเอ่อสิ่งที่
00:23:50 → 00:23:53 หลงเหลืออยู่เนี่ยมันก็เป็นอาหารให้กับ
00:23:53 → 00:23:58 เอ่อตัวเอ่อกัดไมโครไบโอมอ่ะตัวจุลิใช่
00:23:58 → 00:24:02 ค่ะโดยที่อย่างเอ่ออาหารที่เราอาจจะอาจจะ
00:24:02 → 00:24:04 มีคนพูดถึงกันอยู่อย่างเช่นพวก Resistance
00:24:04 → 00:24:07 Starge ชื่อไทยทางการไม่แน่ใจแต่สตาร์ท
00:24:07 → 00:24:10 อดทนก็ได้อ่ะคือคือมันมันสามารถทนการย่อย
00:24:10 → 00:24:13 นะคะจนกระทั่งมันเข้าไปสู่เ่อลำไส้ใหญ่
00:24:13 → 00:24:16 ได้แล้วก็ตรงนั้นแหละมันก็เลยกลายไปเป็น
00:24:16 → 00:24:18 อาหารให้กับจุลินทรีย์ต่างๆสิ่งนี้อยู่ใน
00:24:18 → 00:24:21 ซาวโดสิ่งนี้อยู่ในซาวโดค่ะเออเออแต่มัน
00:24:21 → 00:24:23 อยู่ในขนมปังอุตสาหกรรมมั้ครับมันไม่อยู่
00:24:23 → 00:24:26 ในขนมปังอุตสาหกรรมเพราะว่ามันอาศัยการทำ
00:24:26 → 00:24:30 งานของแบคทีเรียอืคราวนี้สมมุติขนมปัง
00:24:30 → 00:24:33 อุตสาหกรรมที่ใส่แบคทีเรียลงไปเพราะมันทำ
00:24:33 → 00:24:35 ได้เออมันก็อยากใส่อะไรก็ใส่เข้าไปฮะใช่
00:24:35 → 00:24:37 ต่อมาก็คือใส่แบคทีเรียได้แต่ก็ต้องเอื้อ
00:24:38 → 00:24:40 เวลาให้เขาทำงานด้วยอือือฮึดังนั้นเนี่ย
00:24:40 → 00:24:42 คำว่าเอื้อเวลาให้เขาทำงานเนี่ยเพราะว่า
00:24:42 → 00:24:46 อธิบายสั้นๆก็คือเราเห็นขนมปังแบบนั้นน่ะ
00:24:46 → 00:24:48 เราพูดถึงแบคทีเรียอึ้งยีพูดถึงยีสใช่
00:24:48 → 00:24:50 มั้ยคะสิ่งเหล่านี้มันเล็กมากๆมันไม่ได้
00:24:50 → 00:24:54 สามารถกินแป้งแป้งได้แป้งเอ่อสำหรับเราดู
00:24:54 → 00:24:57 เล็กใช่มั้ยแต่สำหรับเอ่อพวกเอ่อไมโคร
00:24:57 → 00:24:59 จุลินทรีย์เนี่ยชิ้นเขาใหญ่มากดังนั้นเา
00:25:00 → 00:25:02 จะต้องผ่านการแป้งจะต้องผ่านการย่อยอให้
00:25:03 → 00:25:06 กลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวก่อนนะคะซึ่ง
00:25:06 → 00:25:08 การเอ่อจากแป้งก้อนใหญ่มันเป็นน้ำตาล
00:25:08 → 00:25:10 โมเลกุลเดี่ยวเนี่ยเขาต้องใช้การทำงานของ
00:25:10 → 00:25:13 เอนไซม์อืซึ่งเอนไซม์แน่นอนอยู่ในแป้ง
00:25:13 → 00:25:15 อยู่แล้วหรือบางทีมีการเติมเข้าไปเอนไซม์
00:25:15 → 00:25:19 ใช้น้ำอืและใช้เวลาดังนั้นมันก็จะเกิดว่า
00:25:19 → 00:25:21 โอเคอ่ะเอนไซม์ได้น้ำอ่ะตื่นแล้วตื่นแล้ว
00:25:22 → 00:25:25 เอาไปตัดแป้งแป๊บนึงนะตัดๆให้ได้แปให้ได้
00:25:25 → 00:25:27 น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวมาน้ำตาลโมเลกุล
00:25:27 → 00:25:29 เดี่ยวนี่แหละถึงจะเป็นอาหารให้กับเอ่อ
00:25:29 → 00:25:34 แบคทีเรีย
00:25:34 → 00:25:36 คิดว่าคนเรู้สึกว่าซาวโดมันก็มีส่วน
00:25:36 → 00:25:39 ประกอบที่ไม่ได้เยอะมากเนาะแล้วก็เอ่ออาจ
00:25:39 → 00:25:42 จะอยากปรับนู่นนี่ด้วยตัวเองมันก็มีการทำ
00:25:42 → 00:25:45 ซาวดเองกันเยอะขึ้นทุกวันนี้อะไรอย่าง
00:25:45 → 00:25:48 เงี้ยฮะเอ่อถ้าเราอยากทำซาโดเองเนี่ยเรา
00:25:48 → 00:25:51 ควรเข้าใจอะไรบ้างหรือรู้อะไรบ้างเอ่อ
00:25:51 → 00:25:55 อยากทำซาวโดเองการทำเอ่อการจริงๆการทำขนม
00:25:55 → 00:25:57 ปังซาวโดมีองค์ความรู้ 2 อย่างที่น่าจะ
00:25:57 → 00:26:00 เข้าใจคือ 1 คือพื้นฐานการทำขนมปังอืโดย
00:26:00 → 00:26:03 ที่ใช้ใช้ยีสอุตสาหกรรมหรือซาวโดก็ได้นะ
00:26:03 → 00:26:06 คะ 2 ก็คือเข้าใจธรรมชาติของซาวโดว่ามัน
00:26:06 → 00:26:09 มียีสกับแบคทีเรียทำงานร่วมกันดังนั้นใคร
00:26:09 → 00:26:12 ชอบอะไรเราก็ต้องจัดเอ่อเค้าเรียกว่าสิ่ง
00:26:12 → 00:26:14 แวดล้อมสภาวะแวดล้อมอ่ะให้เหมาะกับเขา
00:26:14 → 00:26:17 เนาะเอ่อถ้าเกิดว่าคุณเข้าใจ 2 อย่างนี้
00:26:17 → 00:26:20 คุณก็จะทำซาวโดได้แบบใช้คำว่าแบบแบบแก้
00:26:20 → 00:26:23 ปัญหาได้เกิดปัญหาอะไรก็แก้ได้แต่ถ้าอาจ
00:26:23 → 00:26:25 จะไม่ได้เข้าใจทั้งหมดมันก็อาจจะเกิดคือ
00:26:26 → 00:26:28 ทำแล้วมีปัญหาบ้างนิดๆหน่อยๆก็คือเรียน
00:26:28 → 00:26:31 รู้ไปเท่านั้นเองจริงๆการทำซาวโดไม่ได้
00:26:31 → 00:26:34 ยากค่ะเออมันแค่มันแค่คือถ้าคุณเคยทำขนม
00:26:34 → 00:26:37 ปังที่ใช้ยิสุอุตสาหกรรมมาก็แค่ว่าเออมัน
00:26:37 → 00:26:41 จะช้าหน่อยนะอืมันจะไม่ได้เร็วแล้วก็ที่
00:26:41 → 00:26:43 สำคัญก็คือมันก็อาจจะมีการทำงานของคนอื่น
00:26:43 → 00:26:46 ก็คือแบคทีเรียมีรสเปรี้ยวเข้ามานะอ่าดัง
00:26:46 → 00:26:49 นั้นถ้าคุณคุมอุณหภูมิได้ไม่ดีมันอาจจะ
00:26:49 → 00:26:51 เปรี้ยวไปอืหรือมันอาจจะบางคนอยากได้
00:26:51 → 00:26:55 เปรี้ยวๆหรือคุมคือได้ไม่ตามที่เขาชอบเ
00:26:55 → 00:26:57 อาจจะไม่เปรี้ยวเลยอันเนี้ก็คือสิ่งที่
00:26:57 → 00:26:59 วิทยาศาสตร์อ่ะเข้ามาช่วย
00:26:59 → 00:27:02 [เพลง]
00:27:02 → 00:27:06 อืถ้าให้แก้วอธิบายแบบเข้าใจง่ายสั้นๆใน
00:27:06 → 00:27:08 กระบวนการทำซาวโด 1 อันทำยังไงกันบ้างนะ
00:27:08 → 00:27:10 ถ้าเริ่มจากการเลี้ยงหัวเชื้อเลยก็คือ
00:27:10 → 00:27:14 โอเค 1 ขั้นตอนแรกก้อนแรกคือการทำหัว
00:27:14 → 00:27:16 เชื้อก่อนคำว่าทำหัวเชื้อเนี่ยผลลัพธ์ที่
00:27:16 → 00:27:18 เราอยากได้คือหัวเชื้อที่แคtiveทำงานใช่
00:27:18 → 00:27:21 อ่าดังนั้นก็คือเริ่มต้นจากการผสมแป้งกับ
00:27:21 → 00:27:25 น้ำคนให้เข้ากันแล้วก็ตั้งทิ้งไว้ในใน
00:27:25 → 00:27:29 อุณหภูมิห้องครับเอ่อแล้วก็พอตั้งทิ้งไว้
00:27:29 → 00:27:32 ในอุณหภูมิห้องอ่ะค่ะมันก็จะมีแบคทีเรีย
00:27:32 → 00:27:34 มียีสเข้ามาทำงานเราก็ต้องคอยให้อาหารมัน
00:27:34 → 00:27:37 ไปอย่างนั้นแหละจนกระทั่งมันเสถียรอส่วน
00:27:37 → 00:27:40 ใหญ่อ่ะเอ่อใช้เวลาประมาณ 7 วันมันก็
00:27:40 → 00:27:42 เริ่มทำงานได้แล้วล่ะแต่ว่าอย่างที่บอกทำ
00:27:42 → 00:27:45 งานได้อาจจะไม่ได้หมายความว่าเสถียรเนาะ
00:27:45 → 00:27:48 ดังนั้นโอเคอันเนี้คือก้อนแรกคือการทำหัว
00:27:48 → 00:27:51 เชื้อหรือสตาร์เตอร์นะคะโกงได้ด้วยการไป
00:27:51 → 00:27:53 ขอเพื่อน
00:27:53 → 00:27:55 ถ้าถามว่าจะทำสตาร์เตอร์ยังไงให้ง่ายที่
00:27:55 → 00:27:58 สุดนะไปขอเพื่อนเพราะว่าอะไรสตาร์เตอร์
00:27:58 → 00:28:00 ที่คนเเลี้ยงมานานๆน่ะมันเสถียรแล้วดัง
00:28:00 → 00:28:02 นั้นเราแค่เอามาอเออเอามาใช่มั้ยคือ
00:28:02 → 00:28:05 เหมือนไปยืมยืมแบบยืมโรนี่เ้ามายื้มมา
00:28:05 → 00:28:07 ปั๊บมันก็มีทั้งแบคทีเรียที่ดียีสที่ดี
00:28:07 → 00:28:10 อ่ะเสร็จแล้วเราเอามาบ้านเราใส่แป้งใส่
00:28:10 → 00:28:12 น้ำแน่นอนเดี๋เขาจะมีการเปลี่ยนนิดหน่อย
00:28:12 → 00:28:14 แหละแต่อย่างน้อยๆพวกนี้เขาแข็งแรงพอที่
00:28:14 → 00:28:17 เขาจะปกป้องตัวเองจากพาโทเจนจากเอ่อสิ่ง
00:28:17 → 00:28:20 อื่นนนะโอเคอ่ะเราได้หัวเชื้อหรือ
00:28:20 → 00:28:23 สตาร์เตอร์ที่แข็งแรงนะคะก้อนต่อมาคือ
00:28:23 → 00:28:27 ก้อนการทำขนมปังเออการทำขนมปังซาวโดใช้
00:28:27 → 00:28:32 เวลาสั้นสุดอุณหภูมิบ้านเรา 30 องศ 8 ชม.
00:28:32 → 00:28:36 อประมาณนะคะคืออันนี้ยังไม่อันนี้บอกก่อน
00:28:36 → 00:28:38 ว่าอันนี้เริ่มจากหัวเชื้อที่แคทีแล้วนะ
00:28:38 → 00:28:41 เออเพราะว่าอ่าเราทำผสมโดเสร็จแล้วพักให้
00:28:41 → 00:28:44 เค้าขึ้นนะคะขึ้นรูปพักให้เค้าขึ้นอีกรอบ
00:28:44 → 00:28:47 แล้วก็อบเนี่ยประมาณ 8 ชม.อือืนี่คือแบบ
00:28:47 → 00:28:49 สั้น
00:28:49 → 00:28:52 ถ้าถ้าแบบซึ่งอันเนี้ยต้องบอกว่า 8 ชม.
00:28:52 → 00:28:55 เนี่ยเราอาจจะยังไม่ได้เห็นผลลัพธ์ของ
00:28:55 → 00:28:59 เอ่อค่าไซemic index ต่ำน้ำอะไรพวกเนี้ย
00:28:59 → 00:29:01 อย่างชัดเจนเนาะก็คือมันเห็นแหละแต่มันก็
00:29:01 → 00:29:03 อาจจะไม่ได้ชัดเจนเพราะว่าอย่างที่บอกค่ะ
00:29:03 → 00:29:07 ซาวโดมันทำงานช้าเนาะเค้าทำงานช้าแต่คำ
00:29:07 → 00:29:10 ว่าทำงานช้าเนี่ยมันก็ได้ผลผลิตอื่นๆที่
00:29:10 → 00:29:11 ไม่ใช่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างเดียว
00:29:11 → 00:29:14 เนาะแล้วเสร็จแล้วถ้าโอเค 8 ช่โมงเร็ว
00:29:15 → 00:29:17 แล้วถ้าช้าล่ะเออช้าช้าได้ขนาดไหนตามแต่
00:29:17 → 00:29:20 ใจปรารถนาเลยค่ะเพราะว่าอะไรสิ่งที่มันมา
00:29:20 → 00:29:23 ควบคุมการทำงานของตัวซาวโดเนี่ยมันคือ
00:29:23 → 00:29:26 อุณหภูมิออืถ้าคุณเอาเค้าไปอยู่ใน
00:29:26 → 00:29:30 อุณหภูมิต่ำมันก็จะทำงานช้าลงนะคะซึ่งมัน
00:29:30 → 00:29:33 จะดีกว่ามั้ยมันดีกว่าถึงจุดนึงเพราะว่า
00:29:33 → 00:29:35 อย่างที่บอกว่าถ้าเราโอเคเรามองว่าเรา
00:29:35 → 00:29:37 อยากได้ขนมปังที่ย่อยง่ายทานแล้วน้ำตาล
00:29:37 → 00:29:41 ไม่พุ่งอ่ายิ่งยิ่งพักนานเว่านานเอาง่ายๆ
00:29:41 → 00:29:43 ข้ามคืนก็ได้แช่ตู้เย็นข้ามคืนสักคืนนึงอ
00:29:43 → 00:29:45 ต้องคุมอุณหภูมิแต่ต้องคุมอุณหภูมิใช่ค่ะ
00:29:46 → 00:29:48 เพราะว่าคือบ้านเรามันร้อนดังนั้นมันไม่
00:29:48 → 00:29:50 สามารถที่จะทำในอุณหภูมิห้องได้แต่ว่าถ้า
00:29:50 → 00:29:54 คุณย้ายไปอยู่เอ่อเมืองไหนอุณหภูมิซักมี
00:29:54 → 00:29:56 ช่วงนึงก็อยู่เชียงใหม่เอ่ออุณหภูมิตอน
00:29:56 → 00:29:59 นั้น 12 องศาโอสมัยไหนครับเนี่ยหลายค่ะ
00:29:59 → 00:30:01 อย่านับเลยว่ากี่ปีที่แล้วซึ่งอันนั้น
00:30:01 → 00:30:03 เนี่ยก็คือโอเคสามารถที่จะวางโดอ่ะกลาง
00:30:03 → 00:30:06 คืนข้ามคืนน่ะเออในอุณหภูมิห้องได้เลยนะ
00:30:06 → 00:30:09 คะเพราะว่าอุณหภูมิต่ำใช่มั้ยทำงานช้าๆ
00:30:09 → 00:30:11 ด้วยมันทำงานช้าๆด้วยอุณหภูมิต่ำอยู่
00:30:11 → 00:30:14 กรุงเทพฯอยู่ที่ร้อนอย่างเราก็ใส่ตู้เย็น
00:30:15 → 00:30:18 นะคะเอ่ออย่างต่ำเขาทำกันข้ามคืนบางคนอาจ
00:30:18 → 00:30:22 จะหมักไป 24 ชมง 48 ชมงอืก็ได้จนถึงจุด
00:30:22 → 00:30:24 นึงจุดนึงคือเท่าไหร่เพราะว่าจุดนึงเนี่ย
00:30:25 → 00:30:26 แล้วแต่อีกเพราะอย่างที่บอกทุกอย่างมัน
00:30:26 → 00:30:28 ถูกควบคุมด้วยอุณหภูมิหมดเนาะดังนั้นมัน
00:30:28 → 00:30:32 จะมีจุดนึงที่อาจจะกรดเริ่มเกิดเกินไป
00:30:32 → 00:30:35 เอ่อหรือว่าอ่ากดเริ่มเกิดมากเกินไปแล้ว
00:30:35 → 00:30:39 ก็ทำให้โครงสร้างของโดอ่ะค่ะเค้าเริ่มอ
00:30:39 → 00:30:43 ถูกสลายตัวอ๋อแล้วจะเกิดอะไรขึ้นสิ่งที่
00:30:43 → 00:30:47 เกิดขึ้นก็คือพอเราออกมาโดมันเหลวอืขึ้น
00:30:47 → 00:30:49 รูปไม่ได้หรือขึ้นรูปแล้วไม่มีแรงพยุงตัว
00:30:50 → 00:30:52 เองอนะคะเริ่มแบบเริ่มแป๊ดเป็นจานบินนะ
00:30:52 → 00:30:55 มันก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า overprof อ่า
00:30:55 → 00:30:58 อ่าก็คือหมักมากเกินไปใช่ดังนั้นเอ่อมัน
00:30:58 → 00:31:02 ดีอยู่ที่ระดับนึงนะคะแต่ซึ่งไอ้ระดับนึง
00:31:02 → 00:31:03 เนี้ยมันตอบแน่นอนไม่ได้หรอกเพราะว่ามัน
00:31:04 → 00:31:06 ขึ้นอยู่กับปริมาณของซาวโดที่มีอยู่
00:31:06 → 00:31:09 อุณหภูมิที่คุณเก็บลักษณะแป้งที่คุณใช้อ
00:31:09 → 00:31:12 ถ้าให้เลือกแป้งสำหรับเท้าซาวโดนเนี่ยใน
00:31:12 → 00:31:14 อุดมคติของแก้วเองแป้งมันควรเป็นแบบไหน
00:31:14 → 00:31:18 ยังไงถ้าเป็นในอุดมคตินะคะอุดมคติก็คือ
00:31:18 → 00:31:20 เป็นเอ่อเอ่อ
00:31:20 → 00:31:25 เป็น 1 โอเคไม่ว่าจะเป็นแป้งสาลีหรือแป้ง
00:31:25 → 00:31:28 รายหรือแป้งอื่นๆพวกเนชนหรืออะไรอย่าง
00:31:28 → 00:31:31 เงี้ยขอ 1 อย่างถ้าเป็นถ้าสิ่งที่ชอบที่
00:31:31 → 00:31:35 สุดก็คือเอ่อโม่หินเหรอเพราะเป็นคือโอเค
00:31:35 → 00:31:39 อันนี้อาจจะดูแบบนิดนึงคือคำว่าโม่หิน
00:31:39 → 00:31:42 เนี่ยคือถ้าเป็นเมืองนอกเนี่ยมีก็คือแป้ง
00:31:42 → 00:31:44 ที่โม่หินน่ะมันจะไม่ผ่านความร้อนเหมือน
00:31:44 → 00:31:47 ลูกโม่เหล็กดังนั้นพวกรสชาติอนเราก็อยาก
00:31:47 → 00:31:48 พูดถึงรสชาติใช่
00:31:48 → 00:31:51 กลิ่นทุกอย่างมันชัดกว่ามันยังอยู่มันยัง
00:31:51 → 00:31:53 อยู่มากกว่าแน่นอนว่าวิตามินอะไรอย่าง
00:31:53 → 00:31:55 เงี้ยโอเคมันไม่ไม่โดนความร้อนอ่ะมันก็
00:31:55 → 00:31:59 ยังอยู่ครบกว่าถ้ามั่วหินไม่ได้เอ่ออย่าง
00:31:59 → 00:32:03 น้อยๆก็คือไม่ฟอกสีคือการฟอกสีแป้งไม่ผิด
00:32:03 → 00:32:05 นะคะก็คือแล้วก็การฟอกสีแป้งเนี่ยมันก็จะ
00:32:05 → 00:32:09 ช่วยในการทำงานของแป้งบางอย่างเนาะเพียง
00:32:09 → 00:32:12 แต่ว่าถ้ามันเป็นขนมปังอ่ะรสชาติส่วนหลัก
00:32:12 → 00:32:15 ของเรามันมาจากแป้งดังนั้นแป้งที่มันไม่
00:32:15 → 00:32:18 ผ่านการฟอกสีเนี่ยเขาก็มีกลิ่นกลิ่นมีรส
00:32:18 → 00:32:22 มีโรงควัตถุนะคะคือพวกพวกของที่ทำให้มัน
00:32:22 → 00:32:24 เกิดสีในการอบอย่างเงี้ยมากกว่าดังนั้นพอ
00:32:24 → 00:32:28 แป้งไม่ฟอกอ่ะขนมปังที่อบออกมากลิ่นก็หอม
00:32:28 → 00:32:33 กว่าสีสวยกว่าเนาะเออแล้วก็จริงๆเนี่ยค่ะ
00:32:33 → 00:32:35 แบบเเป็นหลักเลยแล้วคราวนี้หลังจากนั้น
00:32:35 → 00:32:38 เนี่ยออร์แกนิคได้ก็จะขอบคุณมากแต่คือมัน
00:32:38 → 00:32:42 หายากมากเออแป้งถ้าโม่เอ่อโม่มาไม่นาน
00:32:43 → 00:32:45 เกินไปก็จะดีมากเพราะว่าแป้งเป็นสิ่งมี
00:32:45 → 00:32:48 ชีวิตอืเมีเอนไซม์มีทุกอย่างอยู่ดังนั้น
00:32:48 → 00:32:52 มันก็ถ้าเก่าไปใช่มั้มันก็เปลี่ยนสภาพค่ะ
00:32:52 → 00:32:54 สภาพก็คือเป็นแป้งที่โอเคไม่ผ่านความร้อน
00:32:55 → 00:32:58 ไม่ผ่านไม่ผ่านprocสเยอะมากๆเท่าไหร่แหละ
00:32:58 → 00:33:00 เพื่ออันนี้เพื่อรสชาติแล้วเพื่อรสชาติ
00:33:00 → 00:33:03 เลยเอจริงๆบอกเลยใช่คือเรามองง่ายๆอ่ะคือ
00:33:03 → 00:33:05 สุดท้ายแล้วเราก็อยากกินของอร่อยนะดัง
00:33:06 → 00:33:08 นั้นของอร่อยมันเริ่มต้นจากวัตถุดิบที่ดี
00:33:08 → 00:33:11 เบื้องต้นและได้รับการทรีทด้วยอ่าดังนั้น
00:33:11 → 00:33:13 แต่ว่าก็แน่นอนน่ะบางทีเราก็เข้าใจว่า
00:33:13 → 00:33:15 แป้งสาลีมันไม่ใช่ของที่เราผลิตได้ใน
00:33:15 → 00:33:18 ประเทศมันจำเป็นต้องเป็นแป้งสลีเท่านั้นม
00:33:18 → 00:33:21 ฮะเออไม่จำเป็นค่ะจริงๆแล้วเราสามารถที่
00:33:21 → 00:33:24 จะใช้แป้งอย่างอื่นเช่นเอ่อจริงๆแป้งข้าว
00:33:24 → 00:33:28 ก็ได้นะคะแป้งรายอย่างเงี้ยสเปลทุกอย่าง
00:33:28 → 00:33:30 ได้หมดเพียงแต่ว่า texture ที่คนเราคุ้น
00:33:30 → 00:33:32 กันน่ะ texture ที่คุ้นกันน่ะมันจะเป็น
00:33:32 → 00:33:35 สาลีซึ่งคือไอแก้วยังไปยังแบบทิ้งตรงนี้
00:33:36 → 00:33:38 ไม่ได้ยังอยู่กับฝั่งแป้งสาลีอยู่ก็ต้อง
00:33:38 → 00:33:41 บอกว่าเอ่อโปรเจคของของแก้วเนี่ยคือสาลี
00:33:41 → 00:33:44 เบเกอร์เนาะเออใช่ๆๆก็คือเป็นสาลีเพราะ
00:33:44 → 00:33:48 ว่าคือตอนที่ตั้งชื่อร้านตอนแรกแบบสารีเฮ
00:33:48 → 00:33:50 อ่ะก็เป็นเพราะว่าเราก็รู้สึกว่าอ๋อมันมา
00:33:50 → 00:33:53 จากสาลี is weed and weed is gold
00:33:53 → 00:33:57 ดังนั้นก็คือสาลีคือคำว่าแป้งสาลีมันก็
00:33:57 → 00:34:00 คือสาลีนะซึ่งมันคือทองสำหรับใช่เพราะว่า
00:34:00 → 00:34:02 มันคือเราให้ความสำคัญกับวัตถุดิบแล้วเรา
00:34:02 → 00:34:05 ไม่สามารถที่จะทำขนมปังที่อร่อยได้เลยถ้า
00:34:05 → 00:34:08 เกิดว่าเราไม่มีแป้งสาลีที่ดีอือืแต่เรา
00:34:08 → 00:34:11 ก็แต่ว่าอย่างที่บอกความเศร้านิดนึงก็คือ
00:34:11 → 00:34:14 มันดันไม่ใช่พืชพันธุ์ที่มันปลูกได้ใน
00:34:14 → 00:34:16 ประเทศนี้นะเท่านั่นเองอืออือมันอาจจะแพง
00:34:16 → 00:34:18 หน่อยเพราะมันต้องนำเข้าแบบยิ่งของดี
00:34:18 → 00:34:21 อย่างที่แก้วต้องการเนี่ยคือใช่คือมันมัน
00:34:21 → 00:34:23 ยากตรงนี้ด้วยค่ะเพราะว่าเราพูดถึงการนำ
00:34:23 → 00:34:25 เข้าก็จริงมันอาจจะนำเข้าได้แต่กว่าจะนำ
00:34:25 → 00:34:28 เข้าอายุมันเป็นยังไงมันก็จะใช้เวลาใช่
00:34:28 → 00:34:30 บางทีมันมันไม่ได้แอร์เฟสมาเอาของพวกนี้
00:34:30 → 00:34:32 มันหนักอ่ะโอเคมันมาทางเรือกว่าจะถึงจะ
00:34:32 → 00:34:34 ใช้เวลากี่เดือน 3 เดือนไปวนมาแล้วดัง
00:34:34 → 00:34:37 นั้นคุณภาพแป้งทำไมบอกว่าบางคนน่ะบอกว่า
00:34:37 → 00:34:40 ไปญี่ปุ่นไปฝรั่งเศสแล้วขนมปังเขาอร่อย
00:34:40 → 00:34:43 กว่าก็แน่นอนเขาผลิตแป้งได้เโม่ตรงนั้นเ
00:34:43 → 00:34:45 พักแป๊บนึงแล้วเก็ใช้ได้เลยใช่ใช่มั้คะ
00:34:45 → 00:34:47 แต่คือแป้งเนี่ยไม่ว่ามันจะดีขนาดไหนก่อน
00:34:47 → 00:34:50 จะถึงบ้านเรามันใช้เวลาแล้วบ้านเราชื้น
00:34:50 → 00:34:54 ร้อนเออเอ่อเอนไซม์ชอบมากดังนั้นหมายความ
00:34:54 → 00:34:57 ว่าพอเราเอามาเอาแป้งมาปั๊บถ้าเก็บไม่ดี
00:34:57 → 00:35:00 ก็คุณภาพมันก็ดรอปอืดังนั้นเนี่ยจะเห็น
00:35:00 → 00:35:02 ว่าบางทีเอ่อมันจะมีบางช่วงที่เรามีแป้ง
00:35:02 → 00:35:06 สาลีไทยให้ใช้อฮแป้งสาลีไทยหอมมากนะกลิ่น
00:35:06 → 00:35:08 ดีมากเพราะว่าอะไรเพราะว่าคือทุกอย่างมัน
00:35:08 → 00:35:12 ใหม่อือืเพียงแต่ว่าก็อย่างที่บอกว่ามัน
00:35:12 → 00:35:15 ไม่ใช่พืชที่ชอบอากาศร้อนชื้น
00:35:15 → 00:35:18 แป้งมานานแล้วก็ไม่ได้อยู่ในระบอบ
00:35:18 → 00:35:20 อุตสาหกรรมคีย์เวิร์ดคือความสดใหม่เลยเนา
00:35:20 → 00:35:23 ความสดใหม่ใช่เพราะว่าเข้าใจเลยแบบพอแก้ว
00:35:23 → 00:35:25 พูดก็เลยเข้าใจว่าเออทำไมเราเวลาเราไป
00:35:25 → 00:35:28 ญี่ปุ่นขนมปังมันดูอร่อยไปทุกร้านเลยวะ
00:35:28 → 00:35:31 อะไรมันถึงขนมปังที่ทำเองนะใช่อืคือเพราะ
00:35:31 → 00:35:33 ว่าเพราะคุณภาพแป้งตั้งต้นแล้วคือเวลาเรา
00:35:33 → 00:35:35 ทำขนมปังอ่ะถ้าไปดูตามเปอร์เซ็นต์จริงๆ
00:35:35 → 00:35:39 แป้งเนี่ยน่าจะเป็นวัตถุดิบที่อรวมน้ำ
00:35:39 → 00:35:42 ด้วยก็ได้ก็คือเกินครึ่งมันเป็นวัตถุดิบ
00:35:42 → 00:35:44 หลักอ่ะค่ะดังนั้นน่ะยังไงซะคุณภาพของมัน
00:35:44 → 00:35:47 น่ะส่งผลกับขนมปังอยู่แล้วอืโอเคอันนั้น
00:35:47 → 00:35:52 คือแป้งอาจจะบกน้ำด้วยเนาะน้ำเอ่อระดับ
00:35:52 → 00:35:55 นึงคือเอาจริงๆต้องบอกว่าคือแก้วเองก็ยัง
00:35:55 → 00:35:57 ลงไม่ได้ลึกขนาดนั้นแต่ว่าเหมือนเราจะเคย
00:35:58 → 00:36:00 ได้ยินกันว่าโอ๊ยเบเกิลที่นิวยอร์กอร่อย
00:36:00 → 00:36:02 มากเพราะน้ำที่นิวยอร์กมันไม่เหมือนเมือง
00:36:02 → 00:36:04 อื่นไม่เหมือนรัฐอื่นอะไรที่ทำให้มันดี
00:36:04 → 00:36:05 ขึ้นคืออันนี้ต้องบอกก่อนว่าความรู้เนี่ย
00:36:05 → 00:36:08 มาจากการอ่านการ์ตูนล้วนๆว่าแป้น้ำอ่ะมัน
00:36:08 → 00:36:11 มีมันมีน้ำอ่อนน้ำกระด้างมันมีแคลเซียม
00:36:11 → 00:36:13 คือมันมีเอางี้ง่ายๆมันมีแร่ธาตุฮะแล้ว
00:36:13 → 00:36:16 แร่ธาตุอ่ะมันส่งผลกับเนื้อขนมปังนะคะ
00:36:16 → 00:36:19 เหมือนลเม็งเลยเส้นลเมงอ่าใช่เพราะว่า
00:36:19 → 00:36:21 เส้นลเม็งมันก็คือแป้งสาลีแล้วถ้าเป็นน้ำ
00:36:21 → 00:36:24 ที่มันมีความด่างมากหน่อยมันก็จะมีความ
00:36:24 → 00:36:25 ใช่ใช่ก็เหมือนที่เราทำเส้นหมี่ต้องใช้
00:36:25 → 00:36:28 น้ำด่างใช่มั้ให้เพิ่มความหยุ่นเอ่อเอ่อ
00:36:28 → 00:36:31 texture ในการทำชูวี่ใช่ก็จะมีผลนิดนึง
00:36:31 → 00:36:33 ด้วยใช่มีผลนิดนึงแต่ว่าเอาจริงๆคือแก้ว
00:36:33 → 00:36:34 ก็ยังไม่ได้ไปถึงจุดนั้นแต่ถ้าเกิดเอา
00:36:34 → 00:36:37 เรื่องความหอมเนี่ยแป้งมันจะชัดเจนใช่ๆ
00:36:37 → 00:36:38 แป้งชัดเจนกว่าอีกตัวนึงสำคัญเลยคือตัว
00:36:39 → 00:36:42 ยีสเนาะยีสในอุดมคติของแก้วมันคือแบบไหน
00:36:42 → 00:36:45 ยีสในอุดมคติคือยีที่ทำงานได้ค่ะจริงๆ
00:36:45 → 00:36:49 อุตสาหกรรมหรือเศษในธรรมชาติก็ได้ขอให้ทำ
00:36:49 → 00:36:52 งานได้เออใช่คือคือแก้วก็ถึงโอเคเราเป็น
00:36:52 → 00:36:55 คนทำซาวโดก็จริงแต่ว่าเอาจริงๆแล้วในในใน
00:36:55 → 00:36:58 ขนมปังที่เราชอบทานน่ะขนมปังขาวอ่ะแก้วก็
00:36:58 → 00:37:03 ยังชอบทานขนมปังขาวแบบขนมปังปอนดนะเออเออ
00:37:03 → 00:37:05 คือมันมีความอร่อยบางอย่างที่เราก็คุ้นเช
00:37:05 → 00:37:07 คิดว่ามันเป็นความคุ้นเคยตั้งแต่เด็กมาก
00:37:07 → 00:37:10 กว่าที่เราแบบพอมันทำเป็นซาวโดมมันมีความ
00:37:10 → 00:37:13 หนึบบางอย่างที่เรารู้สึกมันไม่ไปกับกับ
00:37:13 → 00:37:17 กับเทสโนตของขนมปังขาวอ่ะก็ก็จริงคือที่
00:37:17 → 00:37:20 บอกตั้งแต่ตอนแรกว่าคนจะชินกับนขนมปังขาว
00:37:20 → 00:37:23 เนาะแต่ทีนี้เราก็ไม่ได้บอกว่าซาวโดหรือ
00:37:23 → 00:37:26 ขนมปังขำมันจะดีกว่ากันมันคือคนละแบบกัน
00:37:26 → 00:37:28 ใช่มันคือคนละแบบค่ะจริงๆคจริงๆอ่ะสิ่ง
00:37:28 → 00:37:31 สำคัญที่สุดน่าจะอยู่ที่แบบทางสายกลางอ่ะ
00:37:31 → 00:37:33 กินหลากหลายค่ะอยากกินอย่างใดอย่างหนึ่ง
00:37:33 → 00:37:36 เพราะว่าสุดท้ายแล้วร่างกายมันก็ต้องการ
00:37:36 → 00:37:38 หลายๆอย่างถ้าเราทานแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง
00:37:38 → 00:37:42 โอกาสที่มันจะขาดของบางอย่างเนาะหมายถึง
00:37:42 → 00:37:43 ว่าวิตามินแร่ธาตุอะไรบางอย่างมันก็มี
00:37:44 → 00:37:47 โอกาสเยอะดังนั้นก็ทานให้หลากหลายเอ่อก็
00:37:47 → 00:37:50 จะช่วยในตรงนั้นได้ทำไมที่ยีสทำงานได้
00:37:50 → 00:37:52 เนี่ยมันหมายความว่ายังไงยีสทำงานได้ก็
00:37:52 → 00:37:55 หมายถึงถ้าเป็นอุตสาหกรรมเอ่ออันนี้ไม่
00:37:55 → 00:37:57 น่าจะต้องกังวลอะไรเพราะว่าก็คือถ้าเก็บ
00:37:57 → 00:38:00 ดียีสยังไม่ยีสยังไม่เค้าเรียกเสื่อมสภาพ
00:38:00 → 00:38:04 นะคะเขาก็โอเคใช่มถ้าเป็นซาวโดหรือยีส
00:38:04 → 00:38:07 ธรรมชาติก็ต้องมั่นใจว่าเายังแคtiveคำว่า
00:38:07 → 00:38:09 active ก็คือยีสเนี่ยจะต้องผลิตเอ่อฟอง
00:38:09 → 00:38:12 อากาศได้ถ้าเห็นฟองอากาศหลายๆฟองหรือบาง
00:38:12 → 00:38:15 คนทำตัวเลี้ยงยีสแบบค่อนข้างแห้งอ่ะค่ะ
00:38:15 → 00:38:18 หั่นออกมาผ่าตัวโดที่เลี้ยงยีสออกมาก็จะ
00:38:18 → 00:38:21 เห็นเป็นเหมือนโครงสร้างที่มีเหมือนเอ่อ
00:38:21 → 00:38:24 เหมือนเป็นช่องอากาศเป็นโพรงๆอันนั้นน่ะ
00:38:24 → 00:38:27 ก็คือสัญญาณว่าโอเคยีสเรายังแคtiveอยู่
00:38:27 → 00:38:29 แต่ว่าถ้าเริ่มแบบเอ่อสมมุติเปิดตัว
00:38:29 → 00:38:32 สตาร์เตอร์ออกมาแล้วก็ไม่มีฟองอากาศแล้ว
00:38:32 → 00:38:34 แล้วเริ่มดูเหลวๆอ่าอันเนี้ยแสดงว่าไม่
00:38:34 → 00:38:36 active และก็คือไม่ควรจะเอาไปใช้ทำขนม
00:38:36 → 00:38:38 ปังในทันทีปลูกปลุกไม่ได้แล้วใช่มั้ยปลุก
00:38:38 → 00:38:42 ได้ค่ะอ๋อปลุกได้คือคำว่าปลูกปลุกก็คือ
00:38:42 → 00:38:45 เอ่ออย่างง่ายๆก็คือการปลูกก็คือเอาไปให้
00:38:45 → 00:38:48 อาหารก็คืออืให้อาหารใช่ให้อาหารปั๊บมัน
00:38:48 → 00:38:50 ก็จะเริ่มกลับขึ้นมาเริ่มสร้างเอ่อ
00:38:50 → 00:38:52 ประชากรของมันมากขึ้นนะคะออันนั้นก็จะเอา
00:38:52 → 00:38:55 ไปใช้ต่อได้เอาไปใช้ต่อได้ใช่แต่ถ้าเกิด
00:38:55 → 00:38:58 เอ่อเป็นยึดอุตสาหกรรมมันจะไม่มีเออถ้า
00:38:58 → 00:39:00 ยีสอุตสาหกรรมให้อาหารได้มั้ยไม่ได้ค่ะ
00:39:00 → 00:39:02 คือตายแล้วตายเลยออเหรอครับค่ะตายแล้วตาย
00:39:02 → 00:39:06 เลยเพราะว่ามันจะบอกว่ายังไงดีอ่ะ
00:39:06 → 00:39:09 เอ่ออ่ะแต่บอกก่อนไม่แน่มันอาจจะเลี้ยง
00:39:09 → 00:39:11 ได้อโดยการเอามาฟีดให้อาหารเพียงแต่ว่า
00:39:11 → 00:39:14 มันก็อาจจะไม่ได้อยู่ในสภาวะเดิมโอเคเนาะ
00:39:14 → 00:39:17 เออใช่ไม่ใช่แบบสิ่งที่แบบเราเลี้ยงตั้ง
00:39:17 → 00:39:19 แต่แรกใช่ๆเพราะว่าจริงๆมันมีนะคะบางคน
00:39:19 → 00:39:22 ที่ทำเอ่อเริ่มต้นทำโดสตารเตอร์ของตัวเอง
00:39:22 → 00:39:25 อ่ะด้วยการที่เอายีสอุตสาหกรรมเนี่ยแหละ
00:39:25 → 00:39:29 ใช่มาใส่มาใส่แป้งใส่น้ำแล้วก็คนให้มัน
00:39:29 → 00:39:31 เริ่มทำงานก่อนแล้วก็ฟีดมาเรื่อยๆอืซึ่ง
00:39:31 → 00:39:34 แน่นอนว่าเอ่อไอ้ครั้งแรกอ่ะมันก็มีแต่
00:39:34 → 00:39:37 ไอ้ยีสอุตสาหกรรมแหละแต่พอเริ่มให้อาหาร
00:39:37 → 00:39:40 หลายๆครั้งยีสในอากาศแบคทีเรียในอากาศอ่ะ
00:39:40 → 00:39:43 ค่ะเขาก็ลงไปจนถึงจุดนึงที่เขาเริ่มเ
00:39:43 → 00:39:46 เรียกว่า stabiliz ทำให้ตัวเองเสถียรได้ณ
00:39:46 → 00:39:48 จุดนั้นน่ะมันก็กลายเป็นซาวโดและเพียงแต่
00:39:48 → 00:39:51 ว่าใช้เวลาเท่าไหร่อันเนี้ยแล้วแต่มีครู
00:39:51 → 00:39:53 ที่แก้วเคยเรียนด้วยอ่ะเป็นมาสเตร์เบaker
00:39:53 → 00:39:56 บอกว่าคุณต้องใช้เวลาถึง 90 วันน่ะในการ
00:39:56 → 00:39:59 ฟีดสตารตจากเริ่มต้นเลยแป้งกับน้ำเฉยๆให้
00:39:59 → 00:40:02 อาหารมันทุกวันทุกวันทุกวัน 90 วันน่ะเขา
00:40:02 → 00:40:04 ถึงจะเสถียรแล้วคำว่าเสถียรก็คือหมายความ
00:40:04 → 00:40:07 ว่าถ้าคุณยังให้อาหารเ้าเหมือนเดิมทุก
00:40:07 → 00:40:09 ครั้งเก็บเหมือนเดิมทุกครั้งหมายความว่า
00:40:09 → 00:40:11 เวลาไปทำงานกับโดขนมปังเาก็จะทำงานได้
00:40:11 → 00:40:14 อย่างสม่ำเสมออือๆแล้วก็คาดเดาได้ทุก
00:40:14 → 00:40:18 ครั้งอืถามคนไม่รู้เลยยีสกับสตาร์ต่างกัน
00:40:18 → 00:40:22 มั้ยเอ่อยีสคือยีสค่ะก็คือก็คือตัวคือตัว
00:40:22 → 00:40:26 ยีสใช่ Starter เนี่ยก็คือเอ่อมันจริงๆ
00:40:26 → 00:40:28 แก้ว่ามันเป็นชื่อเรียกก็คือตัวที่เริ่ม
00:40:28 → 00:40:31 สตาร์ทการทำขนมปังอมันมีหลายๆชื่อเนาะบาง
00:40:31 → 00:40:34 ที่ก็อย่างซาด Starter ใช่ป่ะคะกับตัว
00:40:34 → 00:40:38 เริ่มมาตอตัวเป็นแม่ใช่มหรือว่าพาสต้ามา
00:40:38 → 00:40:41 ก็ก็ก็คือพาสต้าคือเพจแล้วก็ก็คือเหมือน
00:40:41 → 00:40:44 โดอ่ะมาก็คือแม่เหมือนกันก็คือเป็นตัว
00:40:44 → 00:40:45 เริ่มต้นน่ะใช้คำนี้แล้วกันซึ่งมันเกิด
00:40:45 → 00:40:50 จากตัวยีสมันเกิดจากเอ่อการผิดจากการทำ
00:40:50 → 00:40:55 งานร่วมกันของเอ่อยีสและแบคทีเรียนะคะ
00:40:55 → 00:40:58 แล้วมีอาหารก็คือแป้งกับน้ำอืคือเราไม่
00:40:58 → 00:41:00 ได้ใส่ยีสกับแป้งกับน้ำแค่นั้นแต่ว่าจริง
00:41:00 → 00:41:02 ๆมันต้องมีทำสตาร์เตอร์ให้เสร็จก่อนใช่
00:41:02 → 00:41:04 มันต้องมีการทำสตาร์เตอร์ให้เสร็จก่อน
00:41:04 → 00:41:07 เพราะว่าถ้าเราใส่เราใส่ยีสกับน้ำและแป้ง
00:41:07 → 00:41:10 แค่นั้นน่ะอืออมันก็จะเป็นเค้าเรียกว่า
00:41:10 → 00:41:12 ยังไงอ่ะมันยังไม่มีแบคทีเรียเข้ามาพอมัน
00:41:12 → 00:41:15 ยังไม่มีแบคทีเรียมันก็ไม่สามารถไม่ได้
00:41:15 → 00:41:17 เป็นซาวโดอ่า
00:41:17 → 00:41:19 [เพลง]
00:41:20 → 00:41:22 เบื้องต้นเนี่ยเราไปที่ร้านแล้วเบอกว่า
00:41:22 → 00:41:25 เค้าเค้าแบบเรียกว่าหมักเอาไว้สัก 24 ชมง
00:41:25 → 00:41:28 48 ชั่วโมงอค่ะก็ค่อนข้างที่แบบเออน่าจะ
00:41:28 → 00:41:32 โอเคกับเรื่องระดับน้ำตาลที่เราจะกินบ้าง
00:41:32 → 00:41:34 ใช่มั้ฮะแต่มันก็จะมีอย่างอื่นอีกที่แก้ว
00:41:34 → 00:41:38 บอกว่าควบอุณหภูมิยังไงบ้างปกติแล้วอ่ะ
00:41:38 → 00:41:40 มันไม่ค่อยมีใครมาทำซาวโดตั้งแต่ต้นจนจบ
00:41:40 → 00:41:43 ใน 8 ช่โมงหรอกเพราะว่ามันมีระยะเวลาที่
00:41:43 → 00:41:46 ต้องรอรออ่ะนานมากดังนั้นมันเสียเวลาดัง
00:41:46 → 00:41:49 นั้นส่วนใหญ่ก็แน่นอนว่าซาวโดที่ทำในร้าน
00:41:49 → 00:41:52 ที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อยผลิตเยอะหน่อยเนี่ยก็
00:41:52 → 00:41:54 คืออย่างน้อยๆมีการเก็บโดในตู้เย็นอื
00:41:54 → 00:41:56 เพื่อเป็นการมันเป็นช่วงที่ไม่มีคนเทำงาน
00:41:56 → 00:41:58 น่ะช่วงนั้นก็คือเอาให้เค้าอยู่ในตู้เย็น
00:41:58 → 00:42:00 ซะนะคะเพื่อเป็นการที่ไม่เสียเอ่อ
00:42:00 → 00:42:03 ทรัพยากรเนาะซึ่งก็ค่อนข้างจะมั่นใจได้
00:42:03 → 00:42:06 ระดับนึงแหละว่ามันผ่านการหมักยาวมาแต่
00:42:06 → 00:42:08 ยาวมากยาวน้อยก็แล้วแต่
00:42:08 → 00:42:12 อคราวนี้เนี่ยเอ่อดังนั้นถ้าเกิดว่าเอา
00:42:12 → 00:42:14 ง่ายๆว่าถ้าเราอยากรู้ว่าขนมปังซาวโดเรา
00:42:14 → 00:42:17 เนี่ยเหมักยาวจริงหรือเปล่าง่ายที่สุดคือ
00:42:17 → 00:42:19 วัดน้ำตาลต้องมีเครื่องวัดน้ำตาลคือมี
00:42:19 → 00:42:21 เครื่องวัดน้ำตาลอันนี้คือแบบอันนี้คือ
00:42:21 → 00:42:25 ซีเรียสมากแต่ว่าถ้าเกิดว่าเอาแค่สิ่งที่
00:42:25 → 00:42:27 สังเกตได้จากภายนอกนะคะหรือว่าการกินเข้า
00:42:27 → 00:42:30 ไปเนี่ยอย่างน้อยกลิ่นรสค่ะมันจะไม่
00:42:30 → 00:42:32 เหมือนกับขนมปังทั่วไปเนาะมันมีมันมีรส
00:42:32 → 00:42:35 เปรี้ยวมันมีกลิ่นหอมของซาวโดนะคนทานบ่อย
00:42:35 → 00:42:37 ๆก็จะชินอนะ
00:42:37 → 00:42:41 ต่อมาก็คือเนื้อของอ่ะค่ะตัวเนื้อขนมปัง
00:42:41 → 00:42:44 มันจะไม่แห้งเป็นปุยเหมือนขนมปังที่ไม่
00:42:44 → 00:42:47 ได้ใช้ซาวโดอ่ะอคือเพราะว่าการย่อยเป็น
00:42:47 → 00:42:49 ระยะเวลานานน่ะมันทำให้โครงสร้างของแป้ง
00:42:49 → 00:42:51 มันเปลี่ยนดังนั้นบางทีคนก็จะบอกว่า
00:42:51 → 00:42:55 ทานซาโดมันจะมีความแบบมันจะมีความหนึบบาง
00:42:55 → 00:42:57 อย่างนะนั่นแหละมันเกิดจากการหมักดังนั้น
00:42:57 → 00:43:01 น่ะถ้าสังเกตได้ว่าเนื้อมีคุณสมบัติแบบ
00:43:01 → 00:43:03 นั้นน่ะก็สันนิษฐานได้ว่ามันผ่านการหมัก
00:43:03 → 00:43:07 นานเออแล้วก็ดีที่สุดเลยก็ก็คือ know
00:43:07 → 00:43:10 your food ค่ะรู้ว่าใครรู้ว่าทำอย่างไร
00:43:10 → 00:43:13 หรือว่าใครเป็นคนทำเนาะดังนั้นก็ซื้อขนม
00:43:13 → 00:43:15 ปังจากเบรกเกอร์ที่คุณรู้จักดีกว่า
00:43:15 → 00:43:17 เบเกอร์ที่บ้านแถวบ้านคุณอะไรเงี้ยคือถ้า
00:43:17 → 00:43:19 เกิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้จักคนทำ
00:43:19 → 00:43:22 เราเข้าใจว่าเขาทำยังไงเนี่ยเราก็มั่นใจ
00:43:22 → 00:43:25 ได้มากกว่าว่าเอ่อของที่เราทานไปเนี่ยได้
00:43:25 → 00:43:27 อย่างที่เราต้องการจริงๆอือือซึ่ง
00:43:27 → 00:43:31 เบกเกอร์ที่ผมรู้จักแล้วบ้านผมคือสาลีนะ
00:43:31 → 00:43:34 สาลีพูดผุๆโผล่ๆมามั่งไม่มามั่งเออก็คือ
00:43:34 → 00:43:36 แก้วนี่แหละครับแก้วจะอยู่ตรงแถวแจ้งวัฒน
00:43:36 → 00:43:40 เลยใช่ค่ะตอนนี้ก็มีเอ่อมีร้านเพื่อนนะคะ
00:43:40 → 00:43:42 ที่อยู่จริงๆก็คืออยู่หน้าครัวสารีเก่า
00:43:43 → 00:43:45 เนี่ยแหละแล้วก็ยังมีแก้วก็ยังซัพพายขนม
00:43:45 → 00:43:48 ปังให้เขาอยู่ใช่อแต่สารีนี่ผมรู้จักมา
00:43:48 → 00:43:50 ตั้งนานแล้วนะเมื่อก่อนอยู่ตรงสุขุมวิทย
00:43:50 → 00:43:52 อยู่สุขุมวิทยเมื่อก่อนสาลีอยู่สุขุมวิทย
00:43:52 → 00:43:55 39 ค่ะแล้วก็เหมือนแบบช่วงโควิดอ่ะที่
00:43:55 → 00:43:58 เราย้ายไปแจ้งวัฒนะแล้วบวกกับเอ่อครัวที่
00:43:58 → 00:44:00 มันโตขึ้นด้วยแต่คราวนี้มันก็เนาะจังหวะ
00:44:00 → 00:44:04 โควิดจังหวะหลายๆอย่างอ่ะบวกกับเอ่อแก้ว
00:44:04 → 00:44:07 เองก็มีโอกาสได้ไปทำงานหลายอย่างมันก็เลย
00:44:07 → 00:44:09 กลายเป็นว่ามันไม่ได้รักษาครัวให้มันอยู่
00:44:09 → 00:44:11 ตลอด
00:44:11 → 00:44:13 บางทีจะโดนลูกค้าแซวว่าคือถ้าจะกินเนี่ย
00:44:13 → 00:44:16 ต้องมีบุญด้วยนะแต้มบุญหมดหรือยังอะไร
00:44:16 → 00:44:19 อย่างเงี้ยแต่ว่าเอาจริงๆก็คือยังพยายาม
00:44:19 → 00:44:23 กลับมาทำขนมปังอยู่ตลอดเพราะว่านอกจากคือ
00:44:23 → 00:44:26 นอกเราชอบขนมปังที่เราทำอ่ะออฮะอืแล้วเรา
00:44:26 → 00:44:30 ก็เลยบางทีอยากกินเองแล้วกลับมาทำบวกกับ
00:44:30 → 00:44:32 บางทีขนมปังรสชาติที่เราอยากกินมันไม่มี
00:44:32 → 00:44:35 ใครเยอมทำอเราก็เลยต้องทำเองอ๋อใช่แต่ก็
00:44:36 → 00:44:38 ถ้าจะไปที่ร้านเบกนะส่งแจ้งวัฒนะซอยอะไร
00:44:38 → 00:44:41 นะครับเอ่อแจ้งวัฒนะซอย 43 ค่ะซอยหมู่
00:44:41 → 00:44:44 บ้านการบินไทยค่ะก็ยังมีใช่ค่ะมีขนมปัง
00:44:44 → 00:44:47 ของแก้วแล้วก็มีขนมปังของเบเกอร์หลายๆ
00:44:47 → 00:44:50 ท่านซึ่งก็เป็นเหมือนแบบกลุ่มๆที่เราก็
00:44:50 → 00:44:52 รู้จักกันอยู่ดังนั้นน่ะเราก็มั่นใจได้
00:44:52 → 00:44:55 ว่าเอ่อเป็นขนมปังที่ผ่านการหมักนานทุก
00:44:56 → 00:44:59 อันจะเป็นซาวโดหมดเอ่อจะมีทั้งซาโดและไม่
00:44:59 → 00:45:02 ใช่ซาวโดค่ะค่ะอาจจะมีเป็นขนมปังขาวกับ
00:45:02 → 00:45:05 บอชที่ไม่ได้ใช้ซาวโด
00:45:05 → 00:45:07 เพราะว่าเอ่อเอาจริงๆคือมันก็แล้วแต่ความ
00:45:07 → 00:45:10 ชอบของแต่ละคนน่ะเราก็เข้าใจว่าบางทีเอ่อ
00:45:10 → 00:45:12 คนที่ทานขนมปังนิ่มหรือขนมปังหวานน่ะไม่
00:45:12 → 00:45:16 อยากได้เทสโน้ตของความเปรี้ยวเลยอืซึ่ง
00:45:16 → 00:45:19 อันนี้เราเข้าใจเราก็อ่าก็ถือว่าเป็นสิ่ง
00:45:19 → 00:45:22 ที่ feed your soul แล้วกันนะเออแต่ว่า
00:45:22 → 00:45:24 อย่างที่บอกค่ะรบกวนกินหลากหลายอย่ากิน
00:45:24 → 00:45:26 อย่างเดียวซ้ำๆก็กินซาวดอย่างเดียวก็ไม่
00:45:27 → 00:45:29 ได้มีผลดีเท่าไหร่กินซาวโดอย่างเดียวเอา
00:45:29 → 00:45:30 จริง
00:45:30 → 00:45:34 ๆได้แต่ว่าคุณก็ต้องทานอย่างอื่นด้วยแล้ว
00:45:34 → 00:45:37 คุณก็ต้องเอ่อบริบริโภคในปริมาณที่พอ
00:45:37 → 00:45:40 เหมาะนะอก็อยู่ที่ความพอดีนะใช่ๆอยู่ที่
00:45:40 → 00:45:44 ความแกลายค่ะแต่ว่าถ้าไปที่ร้านสาลีก็จะ
00:45:44 → 00:45:47 แบบมีหลากหลายมากมีทั้งเบเกิลผมชอบมากเลย
00:45:47 → 00:45:49 นะเบเกิลใช่เบเกิลเบเกิเป็นใช่ตอนเที่ยัง
00:45:49 → 00:45:52 ผลิตเอ่ออยู่ที่หน้าร้านเบกอ่ะค่ะก็จะมี
00:45:52 → 00:45:54 เป็นเบเกิกับซินamอน roll ก็จะเห็นว่า
00:45:54 → 00:45:58 เป็นขนมปังนิ่มทั้งสิ้นใช่เพราะว่าคือเอา
00:45:58 → 00:46:00 จริงๆแล้วอ่ะตอนที่เปิดสาลีตอนแรกเมื่อ
00:46:00 → 00:46:04 หลายปีที่แล้วอ่ะความตั้งใจของสาลีคือทำ
00:46:04 → 00:46:07 ขนมปังซาวโดที่ทานง่ายอืเออคือไม่ได้ไม่
00:46:07 → 00:46:09 ได้คิดเลยว่าจะต้องทำเป็นแบบ Country
00:46:09 → 00:46:11 Love หรือขนมปังเปลือกแข็งอือเพราะว่า
00:46:11 → 00:46:16 รู้สึกว่าคนไม่กินใช่อ่าใช่คนไม่กินดัง
00:46:16 → 00:46:18 นั้นเนี่ยเอ่อเรารู้สึกว่าเออมันเป็นทำ
00:46:18 → 00:46:21 ยังไงให้ขนมปังที่เราทานในทุกวันน่ะมัน
00:46:21 → 00:46:24 ทานได้มันมันเป็นมิตรมากขึ้นอืดังนั้น
00:46:24 → 00:46:27 สาลีเลยทำขนมปังนิ่มซะเยอะแล้วบางทีเรา
00:46:27 → 00:46:29 ไม่ได้ใช้ซาวโดอย่างเดียวด้วยเราทำสิ่ง
00:46:29 → 00:46:32 ที่เขาเรียกว่า Hybrid ก็คือการที่ใช้ซาด
00:46:32 → 00:46:35 Starter ครับแล้วก็สผสมยีสอุสาหกรรมด้วย
00:46:35 → 00:46:39 เพื่อที่เราแน่ใจว่าเนื้อมันยังมีความ
00:46:39 → 00:46:43 นุ่มฟูอยู่เออแต่ว่าในถึงแม้เราจะใช้ยีส
00:46:43 → 00:46:46 อุตสาหกรรมก็จริงแต่เรายังคงความหมักนาน
00:46:46 → 00:46:48 หมายถึงว่าโดทุกตัวก็มีการแช่ตู้เย็นข้าม
00:46:48 → 00:46:51 คืนน่ะง่ายๆหมักยาวเพื่อที่ทำให้มันเป็น
00:46:51 → 00:46:53 มิตรมากขึ้นในแง่ของการย่อยแล้วก็ในแง่
00:46:53 → 00:46:56 ของน้ำตาลอือซึ่งก็เรารู้สึกว่าเออตรง
00:46:56 → 00:47:00 นั้นน่ะมันเป็นจุดกึ่งกลางว่าเอ่อถึงแม้
00:47:00 → 00:47:03 ว่าคุณไม่ชอบทานขนมปังแข็งแข็งคุณก็ทาน
00:47:03 → 00:47:06 ขนมปังที่เป็นมิตรต่อร่างกายได้อย่าง
00:47:06 → 00:47:09 โดนัทอย่างเงี้ยค่ะเออตัวที่ที่จะเรียก
00:47:09 → 00:47:11 ว่าเป็นมิตรได้มั้มันมีน้ำตาลใช่แต่อย่าง
00:47:11 → 00:47:14 น้อยๆเราก็รู้สึกว่าอ๋อโอเคเอ่อมันครึ่ง
00:47:14 → 00:47:17 นึงเป็นแป้งที่แบบคืออย่างน้อยๆเนี่ยมัน
00:47:17 → 00:47:20 ก็มันก็ช่วยในเรื่องการย่อยนะคะแล้วก็ที่
00:47:20 → 00:47:23 สำคัญก็คือพอมันเป็นขนมปังหวานแล้วมันมี
00:47:23 → 00:47:25 หิ้นรสเปรี้ยวเปรี้ยวเข้ามาเนี่ยมันทำให้
00:47:25 → 00:47:28 ทานได้น่าอภิรมยมมากกว่ามันมันแบบมันมีรส
00:47:28 → 00:47:30 ชาติที่น่าสนใจแล้วก็คอมพล็กกว่าเนาะไม่
00:47:30 → 00:47:33 ใช่แค่แบบทานแล้วก็มันก็เป็นแค่เหมือน
00:47:33 → 00:47:35 แป้งทอดนะไม่มีรสชาติอะไรอะไรอย่างเงี้ย
00:47:35 → 00:47:39 อืแต่นอกจากขนมปังดูเหมือนแก้วจะสนใจ
00:47:39 → 00:47:42 เรื่องหมักดองมากเลยเนาะหมายถึงว่าเอมัน
00:47:42 → 00:47:44 มีเรื่องมากกว่านั้นน่ะมันเป็นความรู้
00:47:44 → 00:47:46 เรื่องการหมักดองแล้วครับใช่ค่ะเพราะว่า
00:47:46 → 00:47:48 เอาจริงๆคือต้องบอกว่าสาเหตุที่แก้วกลับ
00:47:48 → 00:47:51 มาทำขนมปังอ่ะคือแก้วไปไปทำงานที่
00:47:51 → 00:47:55 โคนไฮเกenใช่มั้คะแล้วก็เอ่อความโชคดีก็
00:47:55 → 00:47:57 คือเราได้ไปอยู่ในcาเจอร์ของการหมักดอง
00:47:57 → 00:48:00 ทั้งที่โคนไฮเกนแล้วก็ทั้งที่ซานฟานอืนะ
00:48:00 → 00:48:02 ดังนั้นตรงนั้นน่ะเออเออการหมักดองมัน
00:48:02 → 00:48:05 อยู่ในทุกอย่างแล้วรวมกับพอเราไปอยู่ในไฟ
00:48:05 → 00:48:08 Ding น่ะมันอยู่ในทุกไอเทมเลยอ่ะใช่มั้
00:48:08 → 00:48:11 คราวเนี้ยพอกลับมาเมืองไทยอ่ะ
00:48:11 → 00:48:15 เอ่อก็เลยตัดสินใจว่าเออเนี่ยถ้าพูดถึง
00:48:15 → 00:48:18 การหมากดองที่เรารู้สึกว่ามันโดนคือเรา
00:48:18 → 00:48:20 ทานง่ายที่สุดเจอง่ายที่สุดณตอนนั้นน่ะ
00:48:20 → 00:48:22 ที่เราคิดเนาะก็คือขนมปังอเลยตัดสินใจว่า
00:48:22 → 00:48:25 ทำไมเออเริ่มเปิดสาลีตอนกลับมาเมืองไทย
00:48:25 → 00:48:27 แล้วก็ทำไมถึงตั้งใจทำขนมปังที่มันเป็น
00:48:27 → 00:48:31 ขนมปังนิ่มอให้มันเป็นซาวโดเพราะให้คน
00:48:31 → 00:48:33 เพราะว่าให้คนใช่เข้าใง่ายทานง่ายแล้ว
00:48:33 → 00:48:36 ทำไมถึงแบบยังใช้วิธีการเอทำเป็นไฮbrid
00:48:36 → 00:48:38 เพราะว่าเราเองก็ยังอยากได้รถสัมผัสที่
00:48:38 → 00:48:42 มันคุ้นเคยอบวกกับเรื่องของโอเคเรื่องของ
00:48:42 → 00:48:44 ราคาเรื่องของค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่มัน
00:48:44 → 00:48:47 เหมาะสมด้วยนะที่มันสามารถจัดการได้ค่ะอื
00:48:47 → 00:48:50 โอเคคือเดาก็สนใจเรื่องพวกเนี้ยฮะสนใจ
00:48:50 → 00:48:54 เรื่องเอ่อจุลินทรีย์ในในระบบการย่อยเนาะ
00:48:54 → 00:48:57 แล้วก็เรื่องอาหารที่เกี่ยวข้องกับการกิน
00:48:57 → 00:48:59 แล้วร่างกายมันจะดีขึ้นอะไรเงี้ยรวมถึง
00:48:59 → 00:49:01 การหมักดองด้วยค่ะแต่ว่าเดี๋ยววันหลังไว้
00:49:01 → 00:49:03 ค่อยชวนแก้วได้ค่ะถ้าอยากถ้าอยากคุยแบบ
00:49:03 → 00:49:05 เนิๆ
00:49:05 → 00:49:08 ได้เดี๋ยวจะหากันทำการบ้านไว้ก่อนมันจะมี
00:49:08 → 00:49:11 อีกหลายเรื่องเลยเกี่ยวกับหมากดอกเดี๋ยว
00:49:11 → 00:49:13 ไว้ชวนแก้วมาคุยในคราวหน้านะครับวันนี้
00:49:13 → 00:49:15 แบบได้ความรู้เรื่องขนมปังสาโดและขนมปัง
00:49:15 → 00:49:18 อื่นๆเยอะมากเลยขอบคุณแก้วมากนะครับ
00:49:18 → 00:49:22 ขอบคุณพี่หมีเช่นกันค่ะขอบคุณค่ะ
00:49:22 → 00:49:27 [เพลง]