00:00:02 → 00:00:05 สวัสดีครับผมหมอพระเวทเป็นจิตแพทย์ครับ
00:00:05 → 00:00:09 เราพบกันทุกคืนวันอาทิตย์เวลา 20:00 น
00:00:09 → 00:00:12 สำหรับคืนวันนี้วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม
00:00:12 → 00:00:14 พุทธศักราช
00:00:14 → 00:00:20 2568 เรามีนัดกันในหัวข้อกินอย่างไรในปี
00:00:20 → 00:00:24 2025 7 คำแนะนำเรื่อง
00:00:24 → 00:00:27 อาหารสัปดาห์ที่แล้วเป็นไลฟ์ครั้งแรกของ
00:00:27 → 00:00:31 ปีผมนำเอาเรื่องความคิดและวิธีคิดมานั่ง
00:00:31 → 00:00:34 คุยกันนะครับสำหรับสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์
00:00:34 → 00:00:39 ที่ 2 ของปีนะครับผมคัดเลือกเนื้อหามาจาก
00:00:39 → 00:00:42 คลิปการให้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร
00:00:42 → 00:00:47 ของอังกฤษ 2 คนนะครับคนแรกเป็น
00:00:47 → 00:00:51 ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาที่ทำงานเรื่อง
00:00:51 → 00:00:56 อาหารนะครับชื่อทิมสเปคตนะครับซึ่งเขค
00:00:56 → 00:00:58 เขียนหนังสืออยู่หลายเล่มนะครับผมเองก็
00:00:58 → 00:01:01 ได้สั่งซื้อหนังสือของเคมานั่งดูด้วยเช่น
00:01:01 → 00:01:06 กันนะครับเอ่อขณะที่ท่านที่ 2 นะครับเป็น
00:01:06 → 00:01:10 สุภาพสตรีศาสตราจารย์ซาร่านะครับเอ่อ
00:01:10 → 00:01:12 ศาสตราจารย์ซาร่านี่เดี๋ยวดูหน่อยนึงนะ
00:01:12 → 00:01:17 ครับว่าเธอนำสกุลอะไรเนี่ยนะครับซาร่า
00:01:17 → 00:01:21 เบอร์รี่นะครับทั้ง 2 คนก็ให้ความรู้
00:01:21 → 00:01:25 ประจำอยู่ในช่อง YouTube ของบริษัทที่นัก
00:01:25 → 00:01:27 วิชาการกลุ่มนึงตั้งมาเพื่อให้ความรู้กับ
00:01:27 → 00:01:32 ประชาชนแล้วก็ทำงานงานวิจัยเพื่อพิสูจน์
00:01:32 → 00:01:35 เรื่องอาหารนะครับเบื้องหลังสำคัญก็คือ
00:01:35 → 00:01:39 งานวิจัยเรื่องอาหารจำนวนมากเนี่ยถูกขับ
00:01:39 → 00:01:42 เคลื่อนด้วยบริษัทหรืออุตสาหกรรมอาหารทำ
00:01:42 → 00:01:46 ให้การชี้นำด้วยผลประโยชน์ทางธุรกิจเนี่ย
00:01:46 → 00:01:49 มันพาคนใน
00:01:49 → 00:01:54 สังคมชี้นำรัฐบาลได้ทำให้มีคำแนะนำด้าน
00:01:54 → 00:01:57 อาหารที่ไม่ตรงกับหลักวิชาการนะครับและ
00:01:57 → 00:02:00 ที่สำคัญบางครั้งการจะสร้างความรู้มัน
00:02:00 → 00:02:02 ต้องผ่านงานวิจัยดังนั้นก็มีทีมวิชาการ
00:02:02 → 00:02:06 ทีมนี้แหละครับที่เค้าพยายามจะสร้างการทด
00:02:06 → 00:02:09 ลองเพื่อสาธิตให้เห็นว่าความรู้ที่เค้า
00:02:09 → 00:02:13 กำลังคุยกับคนในสังคมที่เกำลังสื่อสาร
00:02:13 → 00:02:17 เนี่ยมันผ่านการทดลองในระดับที่มีมาตรฐาน
00:02:17 → 00:02:20 ในงานวิจัยระดับสูงมาแล้วนะ
00:02:20 → 00:02:25 ครับผมก็นำคลิปความรู้นี้มาจากอ่าคลิปที่
00:02:25 → 00:02:30 ชื่อตอนว่า How to eat in 20
00:02:30 → 00:02:33 นะครับคือกินอย่างไรในปี 2025 ตรงชื่อ
00:02:33 → 00:02:36 ภาษาไทยเดะเลยนะครับภาษาอังกฤษชื่อรองก็
00:02:36 → 00:02:40 คือ S Science Back Tips ก็คือเกร็ดคำ
00:02:41 → 00:02:48 แนะนำ 7 ข้อที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
00:02:48 → 00:02:52 สนับสนุนเราก็จะมาเข้าเรื่องเลยนะ
00:02:52 → 00:02:56 ครับในภาพแรกเนี่ยมันเป็นเรื่องของการพูด
00:02:57 → 00:03:00 เรื่องความสำคัญของอาหารครับปัจจุบันัน
00:03:00 → 00:03:02 นี้เนี่ยข้อมูลมากมายที่แสดงให้เห็นว่า
00:03:03 → 00:03:05 รูปแบบการกินอาหารของคนเราโดยเฉพาะใน
00:03:05 → 00:03:08 สังคมตะวันตกเนี่ยมันก่อให้เกิดความเจ็บ
00:03:08 → 00:03:11 ป่วยมากนะครับแล้วก็การตัดสินใจว่าเราจะ
00:03:11 → 00:03:14 กินอะไรในแต่ละขณะเนี่ยกลายเป็นปัจจัย
00:03:14 → 00:03:18 สำคัญที่จะกำหนดผลทางสุขภาพของเราถ้าเรา
00:03:18 → 00:03:22 เลือกกินเป็นมันดีกับสุขภาพแม้จะทำในวัย
00:03:22 → 00:03:25 40 มันก็ยังช่วยเพิ่มอายุขขได้ 10 ปีอัน
00:03:25 → 00:03:27 นี้เป็นงานวิจัยที่เขาอ้างถึงนะครับหรือ
00:03:27 → 00:03:30 แม้แต่เราอายุ 70 แล้วมีโรคจำตัวแล้วถ้า
00:03:30 → 00:03:34 เราปรับการกินให้ดีขึ้นตามกฎเกณฑ์ที่เรา
00:03:34 → 00:03:37 คุยกันในวันนี้นะครับก็ยังเพิ่มอายุไขได้
00:03:37 → 00:03:41 5 ปีการกินที่ดีช่วยรักษาโรคได้นะครับ
00:03:41 → 00:03:45 ตัวผมเองในฐานะจิตแพทย์นะครับผมคุยเรื่อง
00:03:45 → 00:03:48 การกินกับคนไข้หรือคนทุกคนที่ผมคุยด้วยนะ
00:03:48 → 00:03:51 ครับด้วยเหตุง่ายๆครับข้อมูลเรื่องของ
00:03:51 → 00:03:54 อาหารกับสุขภาพจิตอาหารกับสุขภาพร่างกาย
00:03:54 → 00:03:59 ระดับพลังงานมันเป็นของที่สำคัญเกินกว่า
00:04:00 → 00:04:02 ที่เราจะปล่อยให้เป็นไปตามความเข้าใจของ
00:04:02 → 00:04:05 คนที่มีโอกาสเดินมาคุยกับเรานะครับการกิน
00:04:05 → 00:04:09 อาหารที่กินเนี่ยเวลาที่เราพูดถึงการกิน
00:04:09 → 00:04:11 เพื่อสุขภาพเนี่ยคนส่วนใหญ่จะคิดว่ามันจะ
00:04:11 → 00:04:15 กลายเป็นอาหารไม่อร่อยนะครับแต่วิทยากร 2
00:04:15 → 00:04:18 คนนี้นะครับทั้งคุณทิมกับุคุณซาร่าก็พูด
00:04:18 → 00:04:22 ชัดมากว่าอาหารที่ดีกับสุขภาพควรจะเป็น
00:04:22 → 00:04:24 อาหารที่เรากินได้ด้วยความเพลิดเพลินและ
00:04:24 → 00:04:27 เป็นสุขนะครับเพราะการกินมันเป็นส่วน
00:04:27 → 00:04:30 หนึ่งของวัฒนธรรมและเป็นส่วนหนของกิจกรรม
00:04:30 → 00:04:34 ในสังคมที่ควรให้ความเพลิด
00:04:34 → 00:04:38 เพลินซึ่งเรื่องอาหารเนี่ยการที่เราหยิบ
00:04:38 → 00:04:40 มาคุยเนี่ยมันไม่ได้แปลว่าเรื่องอื่นไม่
00:04:40 → 00:04:43 สำคัญมันมี 4 ปัจจัยใหญ่ๆที่ส่งผลกับ
00:04:43 → 00:04:47 สุขภาพของคนเราซึ่งผมจะหาโอกาสไล่ไปทีละ
00:04:47 → 00:04:50 เรื่องในช่วงต้นปีนี้นะครับก็คือเรื่อง
00:04:50 → 00:04:54 อาหารเรื่องการนอนเรื่องความเครียดและการ
00:04:54 → 00:04:57 เคลื่อนไหวออกกำลังกายการเปลี่ยนแปลงรูป
00:04:57 → 00:05:00 แบบการกินอาหารเนี่ยจะทำได้ทุกวไปทุกสภาพ
00:05:00 → 00:05:03 สุขภาพนะครับซึ่งไม่ได้แปลว่าเรื่องอื่น
00:05:03 → 00:05:07 ไม่ต้องทำแต่ผู้เชี่ยวชาญ 2 คนเนี่ยทำ
00:05:07 → 00:05:10 เรื่องอาหารเป็นเรื่องหลัก
00:05:10 → 00:05:13 ครับถ้าเราเปลี่ยนแปลงอาหารรูปแบบการกิน
00:05:13 → 00:05:17 อาหารเราจะเริ่มเห็นผลเมื่อไหร่ข้อมูล
00:05:17 → 00:05:21 ปัจจุบันก็คือถ้าเรากินอย่างถูกต้องสอด
00:05:22 → 00:05:24 คล้องกับหลัก 7 ประการที่จะคุยกันนี้นะ
00:05:24 → 00:05:27 ครับภายใน 1-2 สัปดาห์เราจะรู้สึกได้ถึง
00:05:27 → 00:05:31 พลังงานในร่างกายที่ดีขึ้นถึงอารมณ์ที่ดี
00:05:31 → 00:05:34 ขึ้นได้นะครับส่วนในระยะยาวก็คือการลด
00:05:34 → 00:05:38 ความเสี่ยงกับโรคต่างๆมากมายนะครับลด
00:05:38 → 00:05:41 โอกาสในการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากการ
00:05:41 → 00:05:42 เจ็บ
00:05:42 → 00:05:47 ป่วยซึ่งในคุณทิมสเปคตเนี่ยเขาเขียน
00:05:47 → 00:05:49 หนังสือเล่มนึงเมื่อไม่กี่ปีมานี้นะคอัน
00:05:49 → 00:05:52 นี้ไม่ได้อยู่ในไลฟ์ในคลิปนี้นะครับเอ่อ
00:05:52 → 00:05:56 เขาได้พูดถึงว่าความรู้เรื่องอาหารเนี่ย
00:05:56 → 00:05:59 มันบิดเปรี้ยวไปเยอะส่วนหนึงเป็นเป็น
00:05:59 → 00:06:02 เพราะว่านอกเหนือจากการวิจัยที่ได้รับทุน
00:06:02 → 00:06:05 จากอุตสาหกรรมอาหารที่บิดเบือนไปแล้ว
00:06:05 → 00:06:08 เนี่ยอีกส่วนหนึก็คือความรู้เรื่องอาหาร
00:06:08 → 00:06:12 ของเรากับระบบร่างกายเนี่ยมันมีการเติบโต
00:06:12 → 00:06:16 ในช่วงหลังและหนึ่งในหัวข้อสำคัญมากที่ทำ
00:06:16 → 00:06:18 ให้คนทำงานด้านอาหารและ
00:06:18 → 00:06:23 สุขภาพถือเป็นพื้นที่ใหม่ก็คือเรื่องของ
00:06:23 → 00:06:26 จุลินทรีย์ในลำไส้นะครับที่ภาษาอังกฤษใช้
00:06:26 → 00:06:28 คำว่ากัดไมโครไบโอมเนี่ยนะครับความรู้
00:06:28 → 00:06:31 เหล่านี้เนี่ยจริงๆแล้วโปเอทิมก็ยอมรับ
00:06:31 → 00:06:34 ว่ามันมีอยู่แล้วในอินเดียและประเทศจีนนะ
00:06:34 → 00:06:36 ครับคือซีกโลกตะวันออกนี่มีความเลือ
00:06:36 → 00:06:39 เรื่องสุขภาพในลักษณะนี้มานานละแล้วก็
00:06:39 → 00:06:42 อาหารที่กินส่งผลต่อจุลินทรีย์ในลำไส้
00:06:42 → 00:06:45 จุลินทรีย์ในลำไส้ก็ส่งผลต่อสารเคมีที่
00:06:45 → 00:06:47 ผลิตในลำไส้แล้วมันย้อนกลับไปที่สมองนะ
00:06:48 → 00:06:51 ครับซึ่งมันก็จะเปลี่ยนสภาวะทางอารมณ์
00:06:51 → 00:06:53 แล้วก็เปลี่ยนแปลงระบบเคมีและระบบภูมิ
00:06:53 → 00:06:56 คุ้มกันนั้นการกินมันจึงไม่ใช่เรื่องของ
00:06:56 → 00:07:00 แค่กินให้อิ่มให้อร่อยแต่ว่าการกินมัน
00:07:00 → 00:07:03 เป็นระบบนึงที่เชื่อมโยงกันกับระบบอื่นๆ
00:07:03 → 00:07:07 ของร่างกายเราโดยเฉพาะสมองด้วยนะครับตอน
00:07:07 → 00:07:09 จงนี้ก็จะเป็น 7 คำแนะ
00:07:09 → 00:07:14 นำที่ผมจะพูดโดยกระชับนะครับข้อแรกคำแนะ
00:07:14 → 00:07:18 นำข้อสำคัญที่สุดก็คือให้ลดอาหารที่ผ่าน
00:07:18 → 00:07:22 กระบวนการผลิตแบบเข้มข้นที่ภาษาอังกฤษใช้
00:07:22 → 00:07:25 คำว่า Ultra process Food ลงนะครับซึ่ง
00:07:25 → 00:07:30 ข้อมูลก็คือ 60% ของอาหารที่ชาวอเมริกัน
00:07:30 → 00:07:33 และชาวอังกฤษกินเนี่ยเป็น Ultra process
00:07:33 → 00:07:35 Food นะครับ Ultra process Food คือ
00:07:35 → 00:07:37 อะไรนะครับ
00:07:37 → 00:07:43 คุกกี้เค้กขนมอาหารสำเร็จรูปไอศครีมอาหาร
00:07:43 → 00:07:46 แช่แข็งอาหารจานด่วนซึ่งไม่เหมือนกับจาน
00:07:46 → 00:07:49 ด่วนบ้านเรานะครับอาหารจานด่วนที่มีอยู่
00:07:49 → 00:07:53 ในเครือหรือในเชนของซีกโลกตะวันตกเช่น
00:07:53 → 00:07:56 อเมริกาอังกฤษเนี่ยจะเป็นอาหารที่ผลิตใน
00:07:56 → 00:08:00 โรงงานในปริมาณขนาดเยอะแช่แข็งไว้และส่ง
00:08:00 → 00:08:05 ไปตามสาขาต่างๆแล้วก็ให้ไปอุ่นร้อนเพื่อ
00:08:05 → 00:08:08 การเสิร์ฟนะครับซึ่งผมพบว่าร้านอาหาร
00:08:08 → 00:08:10 จำนวนหนึงในประเทศไทยใช้รูปแบบนี้ด้วย
00:08:10 → 00:08:13 เนี่ยนะครับบางร้านก็เป็นร้านมีชื่อด้วย
00:08:13 → 00:08:14 นะครับ
00:08:14 → 00:08:18 เอ่ออาหารเหล่านี้มันมีข้อเสียอะไรนะครับ
00:08:18 → 00:08:22 อย่างแรกก็คือมันใส่กระบวนการผลิตที่ซับ
00:08:22 → 00:08:25 ซ้อนซึ่งในกระบวนการผลิตนี้เนี่ยมันทำให้
00:08:25 → 00:08:29 โครงสร้างของอาหารมันเปลี่ยนไปนะครับนอก
00:08:29 → 00:08:32 จากนี้ในกระบวนการผลิตมักจะ
00:08:32 → 00:08:36 ใส่ส่วนผสมของอาหารที่ไม่ดีกับสุขภาพเช่น
00:08:36 → 00:08:39 ใส่น้ำตาลลงไปเยอะใส่ไขมันอิ่มตัวลงไป
00:08:39 → 00:08:43 เยอะแล้วก็ใส่สิ่งที่ดีกับสุขภาพน้อยเช่น
00:08:43 → 00:08:46 ใส่ไฟเบอร์ลงไปน้อยและตัวร้ายที่สุดก็คือ
00:08:46 → 00:08:49 สารเคมีที่ใส่ลงไปเพื่อใช้ในการจัดการให้
00:08:49 → 00:08:53 มันเก็บอยู่บนชั้นวางได้นานขึ้นหรือใช้ใน
00:08:53 → 00:08:57 กระบวนการทำทางอุตสาหกรรมทางอาหาร
00:08:57 → 00:09:01 เนี่ยเรายังไม่รู้ผลของมันต่อสุขภาพนะ
00:09:01 → 00:09:04 ครับที่แต่ที่รู้แน่ๆก็คือมันส่งผลเสีย
00:09:04 → 00:09:07 กับจุลินทรีย์ในลำไส้ด้วยซึ่งก็ส่งผลเสีย
00:09:07 → 00:09:10 กับสมองได้ด้วยนะครับทั้งหมดนี้เนี่ยก็ทำ
00:09:10 → 00:09:12 ให้ตัว Ultra process Food เนี่ยก็กลาย
00:09:12 → 00:09:15 เป็นประเด็นสำคัญทางสุขภาพของซีกโลกตะวัน
00:09:15 → 00:09:19 ตกนะครับผมมองดูในบ้านเรานะครับถ้าเป็น
00:09:19 → 00:09:24 เชนของอาหารจานด่วนอาหารฟาสฟู้ดถ้าคุณ
00:09:24 → 00:09:28 สังเกตดูมันจะมีของแช่แข็งที่ผลิตไว้ส่วน
00:09:28 → 00:09:31 หนึ่งนะครับครับโดยหลักการก็คืออะไรก็ตาม
00:09:31 → 00:09:35 ที่ผ่านขั้นตอนการผลิตยิ่งเยอะมันทำให้
00:09:35 → 00:09:38 โครงสร้างอาหารเปลี่ยนไปสิ่งเหล่านั้น
00:09:38 → 00:09:41 ยิ่งเป็นผลเสียกับร่างกายเราได้ยิ่งง่าย
00:09:41 → 00:09:44 นะครับงั้นคำแนะนำข้อแรกก็คือขอให้ลด
00:09:44 → 00:09:48 Ultra process Food ให้ได้มากที่สุดลด
00:09:48 → 00:09:51 อาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตเอ่อพูดง่ายๆ
00:09:51 → 00:09:55 อาหารที่เป็นใจจัดเป็นแพคเกจแล้วก็คุณชิม
00:09:55 → 00:09:59 ก็มีคำแนะนำไว้ดีอันนึงก็คืออาหารที่ดี
00:09:59 → 00:10:02 เนี่ยมันไม่ได้ระบุว่าเป็นอาหารเพื่อ
00:10:03 → 00:10:06 สุขภาพแต่อาหารที่ทำเป็นแพคเกจแล้วระบุ
00:10:06 → 00:10:10 ว่ามีส่วนผสมที่ดีกับสุขภาพเช่นมีการเติม
00:10:10 → 00:10:14 วิตามินลงไปมีการลดไขมันมีการเติมโปรตีน
00:10:14 → 00:10:17 เข้าไปนะครับแพคเกจเหล่านั้นเนี่ยส่วน
00:10:17 → 00:10:20 ใหญ่เป็น Ultra process Food นะครับดัง
00:10:20 → 00:10:24 นั้นถ้าเรานะครับเราในที่นี้คือคนฟังนะ
00:10:25 → 00:10:28 ครับถ้าเราสามารถลด Ultra process Food
00:10:28 → 00:10:30 ลงได้
00:10:30 → 00:10:32 ข้อมูลในเบื้องต้นที่เทำวิจัยก็คือจะลด
00:10:32 → 00:10:35 ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตไปได้ 12.5%
00:10:35 → 00:10:37 เป็นอย่างน้อยแต่ตัวสำคัญที่สุดคือทันที
00:10:37 → 00:10:39 ที่เราปรับอาหารของเราเนี่ยเราจะรู้สึก
00:10:40 → 00:10:43 ว่าเรามีพลังงานดีขึ้นและเรารู้สึกดีขึ้น
00:10:43 → 00:10:46 นะครับซึ่งตรงนี้เนี่ยในทุกคนเวลาที่มาหา
00:10:46 → 00:10:51 ผมไม่มีแรงมีอาการซึมเศร้านะครับหนึ่งใน
00:10:51 → 00:10:53 ตัวที่ผมจะต้องแนะนำมากๆก็คือต้องมาแก้
00:10:53 → 00:10:56 ตัวนี้ก่อนเพราะว่าผมจะแนะนำการออกกำลัง
00:10:56 → 00:10:59 กายเค้าก็ไม่มีแรงไปออกกำลังกายนะครับ
00:10:59 → 00:11:02 เอ่อแล้วเขาก็ยังต้องมักจะกินอาหารตอนดึก
00:11:02 → 00:11:04 ด้วยคนเหล่านี้นะเพราะว่า Ultra process
00:11:04 → 00:11:06 Food เนี่ยมันจะกระตุ้นให้เกิดการหิว
00:11:06 → 00:11:07 เร็ว
00:11:07 → 00:11:10 ขึ้นมีอีกคำแนะนำนึงที่สำคัญมากนะครับก็
00:11:11 → 00:11:13 คือในกระบวนการผลิต Ultra process Food
00:11:13 → 00:11:16 เนี่ยมันทำให้อาหารมันนิ่มและกลืนง่าย
00:11:16 → 00:11:20 ขึ้นและดูดซึมเร็วนะครับงั้นเขาก็เลยมี
00:11:20 → 00:11:23 หลักคิดง่ายๆข้อนึงว่ากินอาหารที่คุณต้อง
00:11:23 → 00:11:25 เคี้ยวนะครับมันไม่เหมือนกับที่เราบอกว่า
00:11:25 → 00:11:28 ให้เคี้ยว 30 ครั้งก่อนกลืนนะครับแต่ว่า
00:11:28 → 00:11:31 อาหารเอ process Food เนี่ยความที่มัน
00:11:31 → 00:11:34 นิ่มมันกินง่ายและกินเร็วเนี่ยมันทำให้
00:11:34 → 00:11:37 เราได้พลังงานเกินด้วยนะครับดังนั้นถ้า
00:11:37 → 00:11:39 เราจะจำหลักง่ายๆก็คือซื้ออาหารที่เรา
00:11:40 → 00:11:41 ต้องเคี้ยวมันนะครับอย่ากินอาหารแบบง่าย
00:11:41 → 00:11:44 แล้วก็กลืนเพราะว่าเรามีเวลาน้อยนะครับ
00:11:44 → 00:11:48 นี้ก็คือข้อแรกลดอาหารที่ผ่านกระบวนการ
00:11:48 → 00:11:51 ผลิตที่เรียกว่า Ultra process Food ลง
00:11:51 → 00:11:53 ซึ่งเมื่อสักครู่นี้ได้พูดรายการอาหารไป
00:11:53 → 00:11:56 ละเป็นของที่
00:11:56 → 00:12:00 เรากินกันอยู่ในชีวิตประจำวันและเป็นของ
00:12:00 → 00:12:03 ที่เราให้ลูกของเรากินตั้งแต่
00:12:03 → 00:12:06 เล็กและเป็นของที่ส่งผลเสียที่ทำให้คน
00:12:06 → 00:12:09 รุ่นใหม่มีปัญหาอ้วนและโรคต่างๆเร็วขึ้น
00:12:09 → 00:12:13 กว่าเดิมมากข้อ 2 นะครับข้อ 2 นี่เป็น
00:12:13 → 00:12:16 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับระยะเวลาที่เราจะ
00:12:16 → 00:12:19 กินอาหารกับระยะเวลาที่เราจะไม่ให้มี
00:12:19 → 00:12:22 อาหารตกถึงท้องซึ่งก็เป็นหลักการที่หลาย
00:12:22 → 00:12:26 คนจะคุ้นอยู่ภายใต้ชื่อของ intermittent
00:12:26 → 00:12:29 fasting หรือว่า If นี่นะครับหลักง่ายๆ
00:12:29 → 00:12:32 ก็คือให้มีช่วงเวลาที่เราไม่ต้องกินอาหาร
00:12:32 → 00:12:36 ให้นานขึ้นนะซึ่งข้อมูลของคุณซาร่าก็คือ
00:12:36 → 00:12:38 บอกว่าคนในประเทศอังกฤษเนี่ยโดยเฉลี่ย
00:12:38 → 00:12:42 เนี่ยระยะเวลาที่กินมื้อแรกจนถึงกินมื้อ
00:12:43 → 00:12:46 สุดท้ายก่อนเข้านอนเนี่ยมัน
00:12:46 → 00:12:50 มีความยาวนานประมาณ 16 ชมดนั้นก็จะมีช่วง
00:12:50 → 00:12:54 ที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องเพียง 8 ชมงนะครับ
00:12:54 → 00:12:57 ถ้าท่านที่ทำ If อยู่ก็จะคุ้นว่ามันมี
00:12:57 → 00:13:00 สูตร 168 หรือ 8 86 แล้วแต่ท่าน 86 แล้ว
00:13:00 → 00:13:03 แต่ท่านจะเรียกกันในนเนี่ยนะครับเคแนะนำ
00:13:03 → 00:13:05 ให้มีระยะเวลาการกินอาหารไม่เกิน 8
00:13:05 → 00:13:10 ช่วโมงและมีระยะเวลาที่ไม่กินอาหาร 16
00:13:10 → 00:13:13 ชมงหลักของการที่เราไม่กินอาหารให้นาน
00:13:13 → 00:13:17 เนี่ยมันมีประโยชน์หลายหลายวิธีมากนะ
00:13:17 → 00:13:20 ครับสำหรับท่านที่
00:13:20 → 00:13:23 ปัจจุบันทิ้งช่วงการไม่กินอาหารน้อยนะ
00:13:23 → 00:13:26 ครับเขาก็แนะนำว่าถ้า
00:13:26 → 00:13:31 เดิมคุณมีช่วงเวลาการกินอาหารอยู่นานเช่น
00:13:31 → 00:13:35 ในคนอังกฤษที่เขากิน 16 ชมงแล้วไม่ได้กิน
00:13:35 → 00:13:38 8 ชมงเนี่ยเค้าบอกว่าคุณแค่เพิ่มจาก 8
00:13:38 → 00:13:41 ชมงเป็น 10 ช่วโมงก็ยังได้ประโยชน์เลย
00:13:41 → 00:13:45 หรือถ้าคุณเพิ่มไปถึง 12 ชั่วโมงก็ยิ่งดี
00:13:45 → 00:13:49 ใหญ่สำหรับคนที่คุยกับผมผมก็จะแนะนำว่า
00:13:49 → 00:13:52 คุณกินมื้อเช้าให้ช้าลงคุณกินมื้อเย็นให้
00:13:52 → 00:13:56 เร็วขึ้นและขยายเวลาให้นานขึ้นของช่วง
00:13:56 → 00:13:59 เวลาที่ไม่มีอาหารตกถึงท้อง
00:13:59 → 00:14:03 13 ชม 15 ชม 16 ช่มทำได้เลยนะครับตัวผม
00:14:03 → 00:14:07 เองก็อยู่แถวๆ 15-16 ชมนะครับเช้านี้ก็
00:14:07 → 00:14:10 ทานมื้อเช้าที่ประมาณ 10:30 นเมื่อสัก
00:14:10 → 00:14:14 ครู่ทานมื้อที่ 2 ก็ประมาณ 17 นกว่าๆนะ
00:14:14 → 00:14:18 ครับดังนั้นในทุกๆวันเนี่ยถ้าเราทำแบบนี้
00:14:18 → 00:14:21 นะครับก็เท่ากับเราบรรลุวัตถุประสงค์หรือ
00:14:21 → 00:14:26 แนวทางการปฏิบัติในข้อ 2 แล้วนะครับการ
00:14:26 → 00:14:30 กินแบบนี้นะครับเราทำไปเรื่อยๆเท่าที่เรา
00:14:30 → 00:14:33 ทำได้บางวันเรามีงานเลี้ยงเราจะผ่อนปน
00:14:33 → 00:14:36 บ้างก็ไม่เป็นไรไม่ต้องกังวลมากนะครับการ
00:14:36 → 00:14:39 กินแบบนี้นะครับมันช่วยให้เราลดน้ำหนัก
00:14:39 → 00:14:41 ได้โดยไม่ตั้งใจเพราะปริงานปริมาณพลังงาน
00:14:41 → 00:14:45 มันมักจะน้อยกว่าอยู่แล้วนะครับก็ช่วยลด
00:14:45 → 00:14:48 น้ำหนักและลดความเสี่ยงต่อโรคแล้วก็ยังดี
00:14:48 → 00:14:51 กับจุลินทรีย์ในลำไส้นะครับซึ่ง profess
00:14:51 → 00:14:53 ทิมก็บอกว่ามันดีกับจุลินทรีย์เพราะว่า
00:14:53 → 00:14:56 มันเหมือนกับมันมีช่วงเวลาที่ท้องได้พัก
00:14:56 → 00:14:59 ที่จุลินทรีย์ได้มีเวลาปรับกระบบกันทำงาน
00:14:59 → 00:15:02 ที่จะมีบางสายพันธุ์ที่มันได้เติบโตได้
00:15:02 → 00:15:05 เติบโตขึ้นมาที่สำคัญเขาก็อ้างอิงถึง
00:15:05 → 00:15:09 บรรพชนหรือมนุษย์ในสมัยโบราณนะ
00:15:09 → 00:15:12 ครับมนุษย์ในสมัยโบราณเนี่ยไม่ได้มีโอกาส
00:15:12 → 00:15:15 กินได้บ่อยตลอดเวลานะครับกว่าจะได้กิน
00:15:15 → 00:15:18 มื้อเช้าก็หลัง 10:00 นนะครับแล้วก็หลัง
00:15:18 → 00:15:20 ผ้าทิตตกดินไม่ค่อยมีโอกาสได้กินอะไรแล้ว
00:15:20 → 00:15:21 นะ
00:15:21 → 00:15:25 ครับตัวที่มีผลมาก
00:15:25 → 00:15:29 ๆกับระบบร่างกายและสุขภาพ
00:15:29 → 00:15:34 ในกรณีนี้ก็คือการกินอาหารมื้อดึกส่งผล
00:15:34 → 00:15:37 เสียกับสุขภาพงั้นเคก็ใช้คำว่าให้เลี่ยง
00:15:38 → 00:15:41 ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Late Night snacking
00:15:41 → 00:15:45 ก็คืออย่ากินอาหารว่างอาหารอะไรก็ตามใน
00:15:45 → 00:15:50 ช่วงดึกนะครับซึ่งเรื่องนี้เนี่ยผมเข้าใจ
00:15:50 → 00:15:54 ว่าคนจำนวนมากในเขตเมืองจะยังติดนิสัยการ
00:15:54 → 00:15:59 กินดึกคนที่ไปเที่ยวในช่วงปิดปีใหม่ก็มี
00:15:59 → 00:16:02 แนวโน้มจะติดนิสัยการกินมื้อเย็นและมื้อ
00:16:02 → 00:16:05 ดึกกินมื้อเย็นเสร็จก็ยังไปนั่งกินอะไร
00:16:05 → 00:16:08 ต่อนะครับคนที่ชอบดื่มกินนะครับก็ไปกิน
00:16:08 → 00:16:12 มื้อดึกนี่ก็เป็นสิ่งที่ถ้าเราตัดพยายาม
00:16:12 → 00:16:15 ตัดตัวนี้ไว้ได้ก็จะดีนะครับคือกินมื้อ
00:16:15 → 00:16:18 เย็นให้เร็วขึ้นกินมื้อเช้าให้ช้าลงแล้ว
00:16:18 → 00:16:22 ก็อย่ากินขนมหวานอาหารว่างในช่วงดึกโดย
00:16:22 → 00:16:25 เฉพาะอย่างยิ่งอย่างน้อยสุดหลัง 20:00 น
00:16:25 → 00:16:29 ไม่ควรกินนะครับนี้คือข้อ 2
00:16:29 → 00:16:31 ข้อ 3 นะครับอาจจะเป็นเรื่องประหลาดใจ
00:16:31 → 00:16:34 สำหรับคนที่เคยเน้นเรื่องการลดน้ำหนักก็
00:16:34 → 00:16:37 คืออย่าไปกังวลมากกับการนัดปรงานปริมาณ
00:16:37 → 00:16:41 พลังงานในอาหารนะครับมันได้ประโยชน์ไม่
00:16:41 → 00:16:43 มากมันเสียเวลาเปล่าๆนะครับแล้วก็
00:16:43 → 00:16:47 professor ทิมก็อ้างว่าจริงๆเรื่องของ
00:16:47 → 00:16:49 การให้น้ำหนักกับปริมาณพลังงาน
00:16:50 → 00:16:53 เนี่ยมันมีปัญหาก็คือถ้าเราพยายามจะลดน้ำ
00:16:53 → 00:16:55 หนักจากการลดพลัง
00:16:56 → 00:17:00 งานเวลาที่เราลดการกินพลังงานต่างๆลงนะ
00:17:00 → 00:17:03 ครับร่างกายจะปรับตัวด้วยการลดการเผาผลาญ
00:17:03 → 00:17:06 ลงซึ่งทำให้การลดน้ำหนักทำได้ยากขึ้นอัน
00:17:06 → 00:17:09 นี้เป็นเรื่องที่ผมเคยพูดในในเวทีอื่นมา
00:17:09 → 00:17:12 นานแล้วเหมือนกันนะครับแล้วก็เราไม่
00:17:12 → 00:17:16 จำเป็นต้องเลือกพลอาหารพลังงานต่ำนะ
00:17:16 → 00:17:20 ครับมันเป็นประเด็นรองไม่ใช่ประเด็นหลัก
00:17:20 → 00:17:25 ในหัวข้อนี้นะครับน้ำหนักที่เขาพูดจะพูด
00:17:25 → 00:17:29 ถึงกลไกการทำงานของสมองว่าสำคัญกว่า
00:17:29 → 00:17:33 ปริมาณพลังงานและได้อ้างอิงถึงยาตัวใหม่
00:17:33 → 00:17:35 ในตระกูลกลุ่มนึงที่
00:17:36 → 00:17:38 ไปทำให้เราอิ่มเร็ว
00:17:38 → 00:17:42 ขึ้นซึ่งเอาไปใช้รักษาโรคเบาหวานลดน้ำ
00:17:42 → 00:17:46 หนักได้แล้วก็เป็นยาที่กำลังมีชื่อแล้วก็
00:17:46 → 00:17:51 ตื่นตัวกันมากในอเมริกานะครับพอลดน้ำหนัก
00:17:51 → 00:17:54 ลดเบาหวานยาตัวนี้ยังทำให้ลดความเสี่ยง
00:17:54 → 00:17:57 กับโรคอื่นตามมาเช่นมะเร็งและสมองเสื่อม
00:17:57 → 00:18:01 นะครับยอะไรก็ตามการกินยาตัวนี้ก็มีผล
00:18:01 → 00:18:04 เสียของมันคำแนะนำก็เลยบอกว่าถ้าคุณไม่
00:18:04 → 00:18:07 ได้มีน้ำหนักตัวมากเกินไปมากอย่าไปกินยา
00:18:07 → 00:18:10 นี้นะครับมันมีผลข้างเคียงของมันและไม่
00:18:10 → 00:18:13 ว่าคุณจะกินยาตัวนี้หรือไม่กินยาตัวนี้ก็
00:18:13 → 00:18:17 ขอให้คุณใส่ใจกับอาหารสุขภาพและแนวทาง 7
00:18:17 → 00:18:20 ข้อนี้ด้วยนะ
00:18:20 → 00:18:25 ครับเอาล่ะครับสำหรับข้อ 3 ผมคิดว่าตัว
00:18:25 → 00:18:28 สำคัญก็น่าจะครอบคลุมเนื้อหาได้มากแล้วนะ
00:18:28 → 00:18:32 ครับครับเข้ามาเรื่องในข้อ 4 นะครับข้อ 4
00:18:32 → 00:18:34 เป็นเรื่องเครื่องดื่มครับในเครื่องดื่ม
00:18:34 → 00:18:39 นี้เนี่ยข้อมูลในประเทศอังกฤษก็คือพลัง
00:18:39 → 00:18:43 งานจากเครื่องดื่มเนี่ยอยู่ในสัดส่วนที่
00:18:43 → 00:18:46 สูงนะครับในประเทศอังกฤษเนี่ยการเครื่อง
00:18:46 → 00:18:48 ดื่มเป็นพลังงานให้พลังงานในสัดส่วนที่
00:18:48 → 00:18:51 ประมาณ 18% ของพลังงานทั้งหมดที่เขาได้
00:18:51 → 00:18:54 กินลงไปแล้วในเครื่องดื่มที่กินส่วนใหญ่
00:18:54 → 00:18:58 เนี่ยมันจะมีน้ำตาลผสมอยู่ปรากฏว่านน้ำ
00:18:59 → 00:19:02 ตาลในเครื่องดื่มเนี่ยเทียบกับน้ำตาลทั้ง
00:19:02 → 00:19:04 หมดที่คนอังกฤษกินในแต่ละวันมันเป็น
00:19:04 → 00:19:08 ประมาณ 54% ของน้ำตาลที่ปนมาในอาหารเรา
00:19:08 → 00:19:11 ได้มาจากเครื่องดื่มแปลว่าอะไรแปลว่าในคน
00:19:11 → 00:19:13 ซีกโลกตะวันตกหรืออย่างน้อยเขาใช้งาน
00:19:13 → 00:19:15 วิจัยในตะวันตกที่อังกฤษเนี่ยนะครับเพราะ
00:19:15 → 00:19:18 เป็นพื้นที่ของคุณทิมกับคุณซาร่าเนี่ยเขา
00:19:18 → 00:19:22 พบว่าเราได้น้ำตาลจากเครื่องดื่มและน้ำ
00:19:22 → 00:19:26 ตาลนี้เป็นปริมาณที่เยอะมากอันนี้ตรงไป
00:19:26 → 00:19:29 ตรงมาเราคุ้นเคยกันดีอยู่ว่าว่าถ้าคุณ
00:19:29 → 00:19:32 อยากดูแลสุขภาพอยากคุมน้ำหนักอยากลดน้ำ
00:19:32 → 00:19:35 ตาลเป้าหมายแรกๆให้ไปดูที่เครื่องดื่มที่
00:19:35 → 00:19:39 คุณดื่มนะครับคราวนี้ถ้าคุณอยากจะดื่ม
00:19:39 → 00:19:42 เพื่อสุขภาพอะไรคือสิ่งที่
00:19:42 → 00:19:47 ดีน้ำเปล่าที่ผมขอเติมเไม่ได้พูดในคลิปนะ
00:19:47 → 00:19:50 ครับผมขอเติมเรื่องน้ำเปล่านี้ให้ระวัง
00:19:50 → 00:19:54 ไมโครพลาสติกงั้นถ้าคุณสามารถเลือกน้ำที่
00:19:54 → 00:19:57 คุณเข้าใจประเด็นการลดความเสี่ยงของ
00:19:57 → 00:19:59 ไมโครพลาสติกได้ก็จะดีนะครับผมจะไม่ลงราย
00:19:59 → 00:20:04 ละเอียดเรื่องนี้นะครับเอ่อ 2 ชากาแฟดีมย
00:20:04 → 00:20:11 นะครับชากาแฟดีต่อสุขภาพนะครับโดยที่ถ้า
00:20:11 → 00:20:16 ดื่มกาแฟที่ไม่ใส่ครีมไม่ใส่น้ำตาล 3-4
00:20:16 → 00:20:18 แก้วนะครับในข้อมูลของเขาจะลดความเสี่ยง
00:20:18 → 00:20:22 ต่อโรคต่างๆได้ 18-20 per นะครับชาไม่
00:20:22 → 00:20:24 ว่าจะเป็นชาเขวหรือชาดำก็ดีกับสุขภาพแน่
00:20:24 → 00:20:29 นอนนะครับเราแต่ละคนจะไวกับฤทธิ์กระตุ้น
00:20:29 → 00:20:33 สมองที่ทำให้นอนไม่หลับของชากาแฟต่างกัน
00:20:33 → 00:20:37 นะครับดังนั้นถ้าคุณรู้ตัวคุณก็ต้องจัด
00:20:37 → 00:20:41 เวลาการดื่มชากาแฟให้เป็นช่วงเช้าไม่เกิน
00:20:41 → 00:20:45 เที่ยงนะครับแล้วแต่นะครับคุณต้องดูแต่ละ
00:20:45 → 00:20:48 บุคคลเลยคุณิมก็เสริมด้วยนะครับว่ากาแฟ
00:20:48 → 00:20:51 นี่มันยังช่วยการเติบโตของ
00:20:51 → 00:20:54 จุลินทรีย์ประเภทหนึ่งที่ถ้าได้กาแฟแล้ว
00:20:54 → 00:20:56 มันจะโตได้ดีมากและเป็นประโยชน์กับความ
00:20:56 → 00:21:00 หลากหลายนะครับนมไม่ได้ดีอย่างที่เราเคย
00:21:00 → 00:21:02 เข้าใจดื่มให้น้อยเท่าที่
00:21:03 → 00:21:07 จำเป็นนมวัวถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะครับ
00:21:07 → 00:21:11 แต่ว่าไม่ต้องถึงกับห้ามกินโดยเด็ดขาดนะ
00:21:11 → 00:21:15 ครับคนสัมภาษณ์ก็ถามว่าเอ๊ะแล้วนมโอ๊ตได้
00:21:15 → 00:21:18 มยโอ๊ต Milk โอ๊ต Milk นะครับเขาก็บอกว่า
00:21:18 → 00:21:23 มันก็ดีกว่านมวัวในแง่ว่าการผลิตนมนมโอ๊ต
00:21:24 → 00:21:27 นี่นะครับมันไม่ได้กินพลังงานเท่ากับนม
00:21:27 → 00:21:29 วัวเพราะว่าการเลี้ยงเนื้อวัวกับการ
00:21:29 → 00:21:32 เลี้ยงเพื่อกินนมวัวเนี่ยมันใช้พลังงาน
00:21:32 → 00:21:35 เยอะมันทำให้เกิดภาวะโรคร้อนครับแต่ถ้านม
00:21:35 → 00:21:39 จากโอ๊ตก็ไม่ได้มีผลเสียต่อโรคมากนักนะ
00:21:39 → 00:21:43 ครับแต่มันทำให้น้ำตาลขึ้นเร็วโดยเฉพาะคน
00:21:43 → 00:21:46 ที่ไวกับการน้ำตาลขึ้นเร็วนะครับแต่ถ้า
00:21:46 → 00:21:49 คุณเติมนิดหน่อยภายในบ้านของคุณคุณควบคุม
00:21:49 → 00:21:52 ปริมาณนมโอ๊ตก็ไม่ได้ส่งผลเสียนะครับแต่
00:21:52 → 00:21:57 ถ้าคุณไปตามร้านที่ให้เขาเติมนมโอ๊ตแทนนม
00:21:57 → 00:22:00 วัวก็อาจจะใส่ในปริมาณที่ทำให้น้ำตาลของ
00:22:00 → 00:22:04 คุณเพิ่มขึ้นเร็วก็ได้เติมนิดๆไม่เป็นไร
00:22:04 → 00:22:06 นะครับแล้วก็มีเครื่องดื่มอีกจำนวนนึงที่
00:22:07 → 00:22:08 เแนะ
00:22:08 → 00:22:11 นำตัวที่จุดเป็นจุดเน้นมากๆก็คือตัว
00:22:11 → 00:22:16 คอมบูชานะครับคอมบูชาเนี่ยดีสำหรับ
00:22:16 → 00:22:19 จุลินทรีย์แล้วก็ถ้าเราจะกินต้องเน้นตัว
00:22:19 → 00:22:21 ที่ไม่มีน้ำตาลนะ
00:22:21 → 00:22:24 ครับงั้นโดยสรุปเรื่องของเครื่องดื่มก็
00:22:24 → 00:22:28 คือให้ระวังน้ำตาลที่ปนมาในเครื่องดื่มนม
00:22:28 → 00:22:31 ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับสุขภาพอย่างที่เข้าใจ
00:22:31 → 00:22:34 ระวังน้ำตาลขึ้นแม้แต่จะเป็นนมโอ๊ตนะครับ
00:22:34 → 00:22:37 นมเอ่อเครื่องดื่มที่มีการหมักเช่น
00:22:37 → 00:22:41 คอมบูชาก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆนะครับผม
00:22:41 → 00:22:46 มีโอกาสได้สั่งคอมบูชามากินเป็นบางครั้ง
00:22:46 → 00:22:49 นะครับซึ่งเปรุงได้อร่อยมากนะครับก็ต้อง
00:22:49 → 00:22:52 ดูเหมือนกันครับว่าไม่มีน้ำตาลอยู่ใน
00:22:52 → 00:22:55 นั้นแต่ยังมีโอกาสได้ลองทำเองดูว่าจะเป็น
00:22:55 → 00:22:58 ยังไงนะครับอันนี้คือ 4 ข้อแล้วนะครับมา
00:22:58 → 00:23:03 ข้อที่ 5 ก็คือกินอาหารในกลุ่มพืชให้มาก
00:23:03 → 00:23:07 ขึ้นซึ่งอาหารในกลุ่มพืชเนี่ยงานวิจัย
00:23:07 → 00:23:11 สนับสนุนเยอะมากนะครับอย่างอย่างที่ผมเคย
00:23:11 → 00:23:15 พูดงานจากหนังสือเล่มนึงที่เรียกว่า undo
00:23:15 → 00:23:19 it นะครับที่พูดเข้าแนะนำก็คือเป็น H
00:23:19 → 00:23:21 Plant Base นะครับ whole Food Plant
00:23:21 → 00:23:25 Base เป็นอาหารกลุ่มพืชที่ไม่ได้ไปปรุง
00:23:25 → 00:23:29 ผ่านกระบวนการผลิตอะไรนะครับแต่ในคำแนะนำ
00:23:29 → 00:23:31 ของนักวิชาการด้านอาหาร 2 ท่านนี้นะครับ
00:23:31 → 00:23:34 เาแนะนำว่าให้เพิ่มการกินอาหารที่เป็น
00:23:34 → 00:23:39 กลุ่มพืชโดยกินกลุ่มพืชให้ได้อย่างน้อย 30
00:23:39 → 00:23:43 ประเภทในแต่ละสัปดาห์นะครับทั้งนี้ถั่วก็
00:23:43 → 00:23:48 เป็นถือเป็นพืชนะครับทุกๆอย่างที่มาเป็น
00:23:48 → 00:23:51 พืชเนี่ยนะครับได้เลยโดยคำแนะนำคือไม่
00:23:51 → 00:23:54 จำเป็นต้องหยุดกินเนื้อสัตว์นะครับแต่
00:23:54 → 00:23:56 ต้องรู้ว่าถ้าเรากินเนื้อสัตว์ให้มากมัน
00:23:56 → 00:23:58 เพิ่มความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคนะครับ
00:23:58 → 00:24:01 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อแดงที่ไปผ่าน
00:24:01 → 00:24:03 กระบวนการผลิตมาภาษาอังกฤษใช้คำว่า
00:24:03 → 00:24:07 process Red Meat นะครับเช่นซาลามี่
00:24:07 → 00:24:10 แฮมหรือสิ่งที่ผสมอยู่ในอาหารสำเร็จรูปนะ
00:24:11 → 00:24:15 ครับแต่ถ้าเป็นเนื้อที่มีคุณภาพที่ดีมัน
00:24:15 → 00:24:18 ไม่ได้ส่งผลเสียถ้าคุณกินไม่เยอะนะครับ
00:24:18 → 00:24:21 งั้นก็กินเนื้อได้นะครับแค่ลดปริมาณลงมัน
00:24:21 → 00:24:25 ดีต่อโลกนะครับผมเคยดูเอกสารชิ้นนึงที่
00:24:25 → 00:24:28 สรุปว่าการผลิตเนื้อไก่กินพลังงานน้อย
00:24:28 → 00:24:31 กว่าการผลิตเนื้อหมูด้วยน้ำหนักเท่าๆกัน
00:24:31 → 00:24:34 นะครับและการผลิตเนื้อหมูก็ใช้พลังงานใน
00:24:34 → 00:24:36 การเลี้ยงมันขึ้นมาเนี่ยน้อยกว่าเนื้อวัว
00:24:36 → 00:24:39 มากเลยี่นะครับนั้นการกินเนื้อวัวท่านที่
00:24:39 → 00:24:41 ชอบกินเนื้อวัวนะครับให้รู้ว่าแม้ว่าการ
00:24:41 → 00:24:44 กินเนื้อวัวปริมาณไม่มากอาจจะไม่ได้ส่งผน
00:24:44 → 00:24:48 เสียแต่ว่ามันเพิ่มภาวะโรคร้อนนั้นถ้า
00:24:48 → 00:24:50 ท่านรู้สึกว่าโอ้โหดินฟ้าอากาศมันเปลี่ยน
00:24:50 → 00:24:53 แปลงมากเหลือเกินเราอยากจะเป็นส่วนหนึ่ง
00:24:53 → 00:24:55 ในการลดภาวะโรค
00:24:55 → 00:25:00 ร้อนก็ให้ลดการกินเนื้อวลงนะครับในบ้านผม
00:25:01 → 00:25:04 มีอยู่คนนึงชอบกินเนื้อวัวนะครับอีกคนนึง
00:25:04 → 00:25:07 ไม่ค่อยกินเนื้อวัวเลยตัวผมเองนานๆกิน
00:25:07 → 00:25:09 ครั้งเหมือนกันนะครับ
00:25:09 → 00:25:13 เอ่อพอมีข้อมูลนี้เราก็มีน้ำหนักมากขึ้น
00:25:13 → 00:25:16 ดังนั้นเราก็จะเลือกกินเป็นเพียงบางมื้อ
00:25:16 → 00:25:19 นะครับของ profess ทิมก็บอกว่าตัวเขาเอง
00:25:19 → 00:25:21 เขาก็กินเนื้อสัตว์ประมาณเดือนละ 1-2
00:25:21 → 00:25:26 ครั้งนะครับซึ่งเราต้องรู้ว่าปัญหาของการ
00:25:26 → 00:25:28 กินเนื้อสัตว์มันไม่ใช่อยู่ที่การกิน
00:25:28 → 00:25:30 เนื้อสัตว์อย่างเดียวแต่เวลาที่เรากิน
00:25:30 → 00:25:34 เนื้อสัตว์เรากำลังลดการกินพืชขณะที่พืช
00:25:34 → 00:25:37 มันเป็นสิ่งที่ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากนะ
00:25:37 → 00:25:40 ครับเามีการเปรียบเทียบศึกษาชิ้นหนึงที่
00:25:40 → 00:25:43 น่าสนใจนะครับเขาพูดถึงว่าคนที่เป็น
00:25:43 → 00:25:47 มังสวิรัตเนี่ยในระบบลำไส้เนี่ยจะมีเชื้อ
00:25:47 → 00:25:50 จุลินทรีย์ที่หลากหลายดีแต่ความหลากหลาย
00:25:50 → 00:25:53 นี้สู้คนที่กินผักส่วนใหญ่และกินเนื้อ
00:25:53 → 00:25:57 บ้างบางส่วนไม่ได้คนที่กินเนื้อบ้างมี
00:25:57 → 00:26:00 ความหลากหลายมากกว่านะครับอย่างไรก็ตาม
00:26:00 → 00:26:02 ประเด็นคุณจะกินเนื้อไม่กินเนื้ออยู่ที่
00:26:02 → 00:26:04 ความเชื่อของคุณด้วยเช่นถ้าคุณไม่อยาก
00:26:04 → 00:26:06 เบียดเบียนสัตว์อันนี้ผมพูดเองนะครับถ้า
00:26:06 → 00:26:08 คุณไม่อยากเบี่ยนเบียนสัตว์คุณอาจจะเลือก
00:26:08 → 00:26:11 เป็นมังสวิรัตก็ได้นะครับแต่ว่าคุณต้อง
00:26:11 → 00:26:13 กินมังสวิรัตด้วยความรู้ความเข้า
00:26:14 → 00:26:17 ใจประเด็นสำคัญในเรื่อง 30 ชนิดของพืช
00:26:17 → 00:26:20 เนี่ยคุณอาจจะรู้สึกว่าเอ๊ะมันจะยากไมนะ
00:26:20 → 00:26:23 ครับแต่ถ้าคุณไล่ดูดีๆเนี่ยทุกอย่างที่
00:26:23 → 00:26:25 กินเนี่ยเเน้นความหลากหลายนะครับเดิม
00:26:25 → 00:26:28 เนี่ยมีคำแนะนำทางสุขภาพเรื่องอาหารว่า
00:26:28 → 00:26:32 ให้แต่ละวันกินผักกินพืชให้ได้ 5 ชนิด
00:26:32 → 00:26:34 เช่นคุณกินแอปเปิ้ลก็เป็น 1 คุณกิน
00:26:34 → 00:26:37 บรอกโคลี่ก็เป็น 1 นะครับคุณกินถั่วชนิด
00:26:37 → 00:26:40 นึงก็เป็น 1 คุณกินเมล็ดฟักทองก็เป็น 1
00:26:40 → 00:26:42 เนี่ยนะครับเค้าก็แนะนำว่าให้กิน 5 ชนิด
00:26:42 → 00:26:46 ต่อวันแต่เขาก็พบว่าคนที่กิน 5 ชนิดต่อ
00:26:46 → 00:26:48 วันมักจะกิน 5 ชนิดเดียวกันในทุกๆวันนะ
00:26:48 → 00:26:51 ครับมันเลยลดความหลากหลายที่ร่างกายของ
00:26:51 → 00:26:54 เราจะได้รับเก็เลยเปลี่ยนเป็นขอให้ได้ 63
00:26:54 → 00:26:58 ชนิดต่อสัปดาห์แทนซึ่งผมคิดว่าถ้าคุณลอง
00:26:58 → 00:27:00 นั่งละนับดูดีๆคุณอาจจะพบว่าอย่างน้อยคุณ
00:27:00 → 00:27:03 ก็ได้ 20 กว่าขึ้นไปอยู่แล้วนะครับตัวผม
00:27:03 → 00:27:05 เองถ้านั่งนับดูนะครับในมื้อมหนึงเนี่ย
00:27:05 → 00:27:09 เฉพาะมื้อเช้าเนี่ยก็อาจจะไต่ไปถึงประมาณ
00:27:09 → 00:27:12 เกือบ 20 ไปแล้วนะครับอันนี้ก็คือกิน
00:27:12 → 00:27:15 อาหารในกลุ่มพืชไม่ต้องหยุดเนื้อสัตว์แต่
00:27:15 → 00:27:21 กินให้น้อยไว้ครับข้อ 6 ข้อ 6 ก็คือไม่
00:27:21 → 00:27:24 ต้องกังวลเรื่องว่าเราจะได้รับโปรตีน
00:27:24 → 00:27:27 เพียงพอหรือเปล่านะครับข้อมูลนี้เราจะงง
00:27:27 → 00:27:31 หน่อยนึงนะครับครับแต่ว่าผมเคยดูงานของ
00:27:31 → 00:27:34 เอ่อ professor ทิมอยู่ครั้งหนึ่งเขาได้
00:27:34 → 00:27:38 พูดออกมาได้ชัดมากว่าจริงๆแล้วเนี่ยถ้า
00:27:38 → 00:27:42 เรากินอาหารในกลุ่มพืชที่หลากหลายเพียงพอ
00:27:42 → 00:27:45 เราจะได้โปรตีนที่เพียงพอนะครับอย่างไรก็
00:27:45 → 00:27:50 ตามไม่ได้ห้ามเนื้อสัตว์นะครับแต่ทำไมคน
00:27:50 → 00:27:53 ปัจจุบันถึงกังวลเรื่องโปรตีนไม่พอก็
00:27:54 → 00:27:57 อธิบายว่ามันมีกระบวนการทางการตลาดที่
00:27:57 → 00:28:00 สร้างดีมานให้เรากังวลว่าเราจำเป็นต้อง
00:28:00 → 00:28:03 กินโปรตีนเพิ่มั้นมันก็จะเกิดธุรกิจของ
00:28:03 → 00:28:08 โปรตีนสนคบารโปรตีนเชคขึ้นมานะครับแต่
00:28:08 → 00:28:11 จริงๆแล้วในการสำรวจในประเทศคนในซีกโลก
00:28:11 → 00:28:16 ตะวันตกเนี่ยเาพบว่าคนทั่วๆไปเนี่ยได้
00:28:16 → 00:28:18 โปรตีนเกินกว่าที่จำเป็นไป 2 เท่าอยู่
00:28:18 → 00:28:22 แล้วนะครับแต่ตัวสำคัญมากกว่าคือขาด
00:28:22 → 00:28:25 ไฟเบอร์นะครับคนกินโปรตีนเกินแต่ขาด
00:28:25 → 00:28:28 ไฟเบอร์แต่คนกังวลว่าตัวตัวเองจะได้รับ
00:28:28 → 00:28:32 โปรตีนไม่พอก็ต้องไปกินเสริมในรูปแบบต่าง
00:28:32 → 00:28:35 ๆนะครับแต่ในบ้านเราเนี่ยนะครับถ้าถามว่า
00:28:35 → 00:28:39 โปรตีนพอมเนี่ยข้อนี้ผมไม่ทราบผลการศึกษา
00:28:39 → 00:28:44 นะครับเพียงแต่พอผมมีข้อมูลที่พบว่าการ
00:28:44 → 00:28:46 ที่เรากินอาหารในกลุ่มพืชที่หลากหลาย
00:28:46 → 00:28:50 เพียงพอโดยเฉพาะรวมถึงถั่วนะครับถั่วหลาก
00:28:50 → 00:28:54 หลายชนิดแล้วก็อาหารในพืชบางชนิดที่เรา
00:28:54 → 00:28:58 อาจจะไม่คิดถึงเช่นแม้แต่พาสต้าเนะครับก็
00:28:58 → 00:29:01 ยังมีโปรตีนอยู่นะครับเราไม่จำเป็นต้องไป
00:29:01 → 00:29:04 เสียเงินทำซื้อโปรตีนเชคเลยเนี่ยนะครับจะ
00:29:04 → 00:29:07 มีข้อยกเว้นในบางกรณีที่เราอาจจะพิจารณา
00:29:07 → 00:29:11 การเติมโปรตีนเข้าไปเช่นเราเจ็บป่วยกิน
00:29:11 → 00:29:15 ไม่ได้อายุมากขึ้นนะครับมีโรคประจำตัว
00:29:15 → 00:29:19 ซึ่งตรงนี้เนี่ยควรจะมีการพิจารณาเป็น
00:29:19 → 00:29:21 กรณีไปเนี่ยนะ
00:29:21 → 00:29:24 ครับหรือคนที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อให้
00:29:24 → 00:29:28 เพิ่มขึ้นตรงนี้ก็เป็นกรณีเฉพาะแต่สำห
00:29:28 → 00:29:31 สำหรับคนทั่วไปนะครับที่กินความอาหารที่
00:29:31 → 00:29:35 มีความหลากหลายพอและได้พลังงานเพียงพอคำ
00:29:35 → 00:29:39 แนะนำของ professor Tim ก็คือคุณได้รับ
00:29:39 → 00:29:44 โปรตีนพออยู่แล้วนะครับข้อสุดท้ายครับข้อ
00:29:44 → 00:29:47 สุดท้ายเป็นเรื่องของอาหารขบเคี้ยวอาหาร
00:29:47 → 00:29:49 ว่าง
00:29:49 → 00:29:53 ขนมนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเอ่อสาระสำคัญ
00:29:53 → 00:29:55 ของเรื่องนี้ก็
00:29:55 → 00:29:59 คือปกติแล้วบางทีเราจะจะใส่ใจกับอาหารที่
00:29:59 → 00:30:03 เรากินนะครับซึ่งผมเจอนะครับกินอะไรเนี่ย
00:30:03 → 00:30:06 ระวังใส่ใจมากเลยแต่พอบทเข้าเรื่องขนมนะ
00:30:06 → 00:30:10 ครับลืมเรื่องของความสำคัญต่อสุขภาพเลย
00:30:10 → 00:30:13 ครับในกรณีนี้ภาษาอังกฤษเใช้คำว่า snack
00:30:14 → 00:30:17 Smart นะครับกินอาหารว่างด้วยความชาน
00:30:17 → 00:30:21 ฉลาดเพราะว่าในซีกโลกตะวันตก 1 ใน 4 ของ
00:30:22 → 00:30:25 พลังงานที่เขากินเข้าไปมาจากสนคหรืออาหาร
00:30:25 → 00:30:29 ว่างซึ่งคนจำนวนนึงอย่างที่เรียนนะครับ
00:30:29 → 00:30:34 กินอาหารโดยความใส่ใจแต่ว่าพอถึงบทสนคไม่
00:30:34 → 00:30:36 ได้ใส่ใจเี่นะครับเป็นเรียกว่ามาตายน้ำ
00:30:36 → 00:30:40 ตื้นนะครับจริงๆเรื่องสนคเนี่ยมันไม่ได้
00:30:40 → 00:30:43 เป็นประเด็นว่าห้ามกินแต่มันเป็นประเด็น
00:30:43 → 00:30:46 ว่าคนส่วนใหญ่มักจะกินสนคที่ไม่ดีนะครับ
00:30:46 → 00:30:49 อาหารว่างที่ไม่ดีกับสุขภาพงั้นเขก็พบว่า
00:30:49 → 00:30:52 คนที่กินสนคที่ดีกับสุขภาพเช่นกินถั่ว
00:30:52 → 00:30:55 เนี่ยสุขภาพดีจุลินทรีย์ดีแรงดันความดัน
00:30:55 → 00:30:58 เลือดไม่สูงความเสี่ยงเป็นเบาหวาต่ำนะ
00:30:58 → 00:31:02 ครับแต่ว่าคนที่กินสนคส่วนใหญ่เนี่ยปัญหา
00:31:02 → 00:31:05 ก็คือเขาไม่รู้ว่าสแน็คใส่อะไรลงไปในนั้น
00:31:05 → 00:31:08 นะครับประเด็นที่ 2 ของการกินสนคมันอยู่
00:31:08 → 00:31:12 ที่จังหวะเวลานะครับเพราะคนจำนวนมากกิน
00:31:12 → 00:31:17 สนคหรืออาหารว่างหรือขนมสิ่งขบเคี้ยว
00:31:17 → 00:31:19 เนี่ยในช่วง
00:31:20 → 00:31:23 ดึกซึ่งการกินดึกเหล่านี้เนี่ยส่งผลเสีย
00:31:23 → 00:31:27 ต่อระบบร่างกายของเรานะครับถ้าเราเพียง
00:31:27 → 00:31:30 แต่กินสนคดีขึ้นสุขภาพของเราจะดีขึ้นได้
00:31:30 → 00:31:34 นะครับคนในประเทศอังกฤษจะ
00:31:34 → 00:31:39 มีวัฒนธรรมอันนึงที่เขากินหลายมื้อนะครับ
00:31:39 → 00:31:43 คุณซาร่าก็บอกว่าคนอังกฤษเนี่ยมีเอ่อแต่
00:31:43 → 00:31:45 ละวันเนี่ยจะมีจังหวะเวลาการกินอยู่ 6
00:31:45 → 00:31:50 ครั้งนะครับซึ่งถ้าเทียบกันถ้าคุณฟังผม
00:31:50 → 00:31:53 พูดเมื่อสักรู่นี้คงรู้ว่าผมมี eating
00:31:53 → 00:31:56 Event หรือการกินอยู่ 2 ครั้งแต่ที่
00:31:56 → 00:31:58 เหลือเป็นเครื่องดื่มนะครับเช่นตอนนี้ก็
00:31:58 → 00:32:02 มีเครื่องดื่มที่เป็นชาดอกแก้ะนะครับ
00:32:02 → 00:32:05 ซึ่งต้องขอบคุณท่านที่ส่งมาให้นะครับส่ง
00:32:05 → 00:32:08 ชาดอกแก้วมาให้นะครับที่เหลือก็คือมี
00:32:08 → 00:32:11 อาหาร 2 มื้อแล้วก็ไม่มีสนคอื่นมีสนคหลัง
00:32:11 → 00:32:15 อาหารนิดหน่อยเพื่อไม่ให้น้ำตาลขึ้นเรา
00:32:15 → 00:32:17 คุมด้วยการกินหลังอาหารถ้าเราอยากกินของ
00:32:17 → 00:32:22 หวานนะครับหลักของการกินสนคจึงมีคำแนะนำ
00:32:22 → 00:32:25 ตามนี้ครับข้อแรกก็คือถ้าคุณไม่ได้เป็นคน
00:32:25 → 00:32:28 กินอะไรจุกจิกไม่ได้กินจุบจิไม่ได้กิน
00:32:28 → 00:32:31 ระหว่างมื้อดีแล้วไม่ต้องไปกินมันนะครับ 2
00:32:31 → 00:32:34 คือให้ระวังเวลาจะกินอาหารว่างเหล่านี้
00:32:34 → 00:32:37 อย่ากินเพราะตัวเองเครียดหรือเหงานะครับ
00:32:37 → 00:32:43 และก็เลี่ยงการกินของว่างในช่วงดึกอย่า
00:32:43 → 00:32:48 เอาของที่เป็นสนคอยู่ใกล้มือนะครับซึ่ง
00:32:48 → 00:32:50 ทั้งหมดนี้ก็คือคำแนะนำ 7
00:32:50 → 00:32:54 ประการตอนท้ายคลิปผู้สัมภาษณ์ก็บอกว่าเอา
00:32:54 → 00:32:59 ล่ะเราคุยคำแนะนำมา 7 ข้อขอคำแนะนำอาหาร 7
00:32:59 → 00:33:03 ประเภทที่จะแนะนำให้เติมเข้าไปนะครับคุณ
00:33:03 → 00:33:06 ทิมซึ่งอาวุโสกว่านะครับก็บอกว่าเแนะนำ 3
00:33:06 → 00:33:11 ตัวนะครับ 1 ก็คือเห็ด 2 คือกิมจิ 3 คือ
00:33:11 → 00:33:13 ขนมปังลยนะ
00:33:13 → 00:33:18 ครับคุณซาร่าแนะนำ 4 นะครับก็คือ
00:33:18 → 00:33:22 ถั่วน้ำมันมะกอกที่เรียกว่า Extra Virgin
00:33:22 → 00:33:28 Olive Oil นะครับแล้วก็แนะนำด้วยว่า
00:33:28 → 00:33:32 อ่ากล้าที่จะกินอาหารที่เรา
00:33:32 → 00:33:36 ชอบซึ่งรวมถึง Dark ช็อกโกแลตที่ดีนะครับ
00:33:36 → 00:33:39 เอ๊ะผมนับแล้วได้ 3 รวมกันเป็น
00:33:39 → 00:33:44 6 ก็เอาเป็น 6 ะกันนะครับผมสงสัยโน้ตมา
00:33:44 → 00:33:46 ไม่ครบนะครับซึ่งคำแนะนำทุกตัวที่เราคุย
00:33:46 → 00:33:50 กันตลอดวันนี้เนี่ยเอ่อปิดท้ายเขาก็ยืน
00:33:50 → 00:33:53 ยันว่ามันไม่ได้เกิดจากการรวบรวมหลักฐาน
00:33:53 → 00:33:57 ธรรมดาแต่มันได้ผ่านการจัดแพคเกจและทดลอง
00:33:57 → 00:34:00 ดำเนินการในชุมชนที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า
00:34:00 → 00:34:03 randomized Control trial นะครับซึ่ง
00:34:03 → 00:34:06 นักวิชาการด้านงานวิจัยจะรู้ว่ามันจะเป็น
00:34:06 → 00:34:08 งานวิจัยที่มีความน่าเชื่อถือในเพราะว่า
00:34:08 → 00:34:12 มันจะควบคุมตัวแปรได้ดีขึ้นั้นก็เป็น
00:34:12 → 00:34:15 แหล่งความรู้ที่ผมเลือกที่จะหยิบมาแบ่ง
00:34:15 → 00:34:21 ปันกันในคืนวันนี้นะครับกินอย่างไรในปี
00:34:21 → 00:34:26 2025 7 คำแนะนำเรื่องอาหาร