00:00:00 → 00:00:03 [เสียงดนตรี]
00:00:03 → 00:00:06 You're listening to Mahidol Channel Podcast.
00:00:06 → 00:00:08 Listen for a better life.
00:00:08 → 00:00:11 ฟังเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
00:00:11 → 00:00:14 และนี่คือรายการพอดแคสต์ของช่อง Mahidol Channel
00:00:14 → 00:00:16 โดย มหาวิทยาลัยมหิดล
00:00:16 → 00:00:22 [เสียงดนตรี]
00:00:22 → 00:00:24 วันนี้คุณกินอะไร
00:00:24 → 00:00:29 อาหารที่คุณกินจะส่งผลดี ส่งผลเสีย กับสุขภาพของคุณอย่างไร
00:00:29 → 00:00:31 วันนี้หมอจะชวนทุกคนมาพูดคุย
00:00:31 → 00:00:35 เกี่ยวกับรูปแบบของการกินอาหาร ที่ปลอดภัยกับสุขภาพของเรา
00:00:35 → 00:00:40 กับรายการ Food Choice กินดี สุขภาพดี เลือกได้ กับหมอเอ๋
00:00:40 → 00:00:42 แพทย์หญิงดรุณีวัลย์ วโรดมวิจิตร
00:00:42 → 00:00:46 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
00:00:46 → 00:00:49 [เสียงดนตรี]
00:00:49 → 00:00:52 วันนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องของท้องผูกนะคะ
00:00:52 → 00:00:55 ทีนี้ทองถูกนี่เป็นปัญหาที่ ไม่มีใครอยากให้เกิดนะคะ
00:00:55 → 00:01:00 การเกิดท้องผูกเรื้อรังนี่ นำมาซึ่งความไม่สบายตัว ใช่ไหมคะ
00:01:00 → 00:01:02 แล้วบางคนนี่ ก็จะทำให้สุขภาพจิตไม่ดีด้วย
00:01:02 → 00:01:06 เราจะหงุดหงิด เราจะมีปัญหามากมายก่ายกองนะคะ
00:01:06 → 00:01:08 แล้วทีนี้เวลาที่ท้องผูกเรื้อรังนี่
00:01:08 → 00:01:11 มันก็จะนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายเนอะ
00:01:11 → 00:01:14 วันนี้เราจะมาคุยกันว่า สภาพแวดล้อมหรือว่าชีวิตเรานี่
00:01:14 → 00:01:18 มีอะไรบ้าง มีปัจจัยอะไรบ้าง ที่ทำให้เกิดเรื่องของท้องผูกนะคะ
00:01:18 → 00:01:23 แล้วเรื่องของอาหารนี่ จะมีส่วนช่วยในเรื่องของการท้องผูกได้อย่างไร
00:01:23 → 00:01:25 นอกจากนี้นี่ การที่เราท้องผูกอยู่นี่
00:01:25 → 00:01:28 มันจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้อย่างไรบ้าง
00:01:28 → 00:01:30 มีอะไรที่จะต้องระมัดระวัง
00:01:30 → 00:01:31 หรือว่าถ้าท้องผูกอยู่
00:01:31 → 00:01:33 เอ๊ะ เมื่อไหร่เราควรจะต้องไปหาหมอ
00:01:33 → 00:01:35 เมื่อไหร่มันจะเป็นอันตรายกับสุขภาพแล้ว
00:01:35 → 00:01:38 เริ่มต้นเราก็จะมารู้จักกับท้องผูกก่อนนะคะ
00:01:38 → 00:01:40 เมื่อไหร่เราถึงจะเรียกว่าท้องผูก
00:01:40 → 00:01:43 ต้องนึกภาพก่อนเนอะ เวลาที่เรารับประทานอาหารนี่
00:01:43 → 00:01:46 เรากินเข้าไปตั้งแต่ปาก แล้วก็จะไปออกที่ลำไส้
00:01:46 → 00:01:51 โดยเฉลี่ย ระยะเวลาตรงนี้ ก็จะประมาณ 24 ชั่วโมง ประมาณวันนึง
00:01:52 → 00:01:54 ทีนี้ถ้าสมมุติ เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเกิน 3 วัน
00:01:54 → 00:01:55 แล้วยังไม่ออกมา
00:01:55 → 00:01:57 อันนี้เราก็จะเรียกว่าท้องผูกแล้ว
00:01:57 → 00:02:00 เพราะฉะนั้น คนทั่วไปมักจะถ่ายทุกวัน
00:02:00 → 00:02:03 บางคนนี่มากกว่าวันละครั้งด้วยซ้ำไป
00:02:03 → 00:02:05 แต่ถ้าเกิน 3 วัน ยังไม่ถ่าย
00:02:05 → 00:02:08 หรือว่าอาทิตย์นึง ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้ง
00:02:08 → 00:02:10 อันนี้เราจะเรียกว่าท้องผูกนะคะ
00:02:10 → 00:02:14 ทีนี้เราก็จะมาดูว่าท้องผูก มันเกิดจากอะไรได้บ้าง
00:02:14 → 00:02:16 นอกเหนือจากลักษณะของการถ่ายอุจจาระนะคะ
00:02:17 → 00:02:18 บางคนนี่ก็จะถ่ายทุกวันใช่ไหมคะ
00:02:18 → 00:02:21 ลักษณะอุจจาระที่ปกติมันก็จะต้องนิ่ม
00:02:21 → 00:02:24 แล้วก็ต้องเป็นรูปทรงใช่ไหมคะ
00:02:24 → 00:02:25 แล้วก็ถ่ายได้
00:02:25 → 00:02:28 ทีนี้หลาย ๆ ครั้ง เวลาที่เราไม่ถ่ายอยู่นาน ๆ
00:02:28 → 00:02:32 สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะมี ลักษณะของการถ่ายที่ถ่ายลำบาก
00:02:32 → 00:02:33 เป็นก้อนแข็งนะคะ
00:02:33 → 00:02:35 หรือเป็นก้อนเล็ก ๆ เบ่งไม่ออก
00:02:35 → 00:02:38 บางคนนี่ อาจจะต้องใช้วิธีการล้วงนะคะ
00:02:38 → 00:02:40 หรือว่าอาจจะต้องใช้น้ำฉีดก็มีนะคะ
00:02:40 → 00:02:44 อันนี้ก็จะทำให้เกิดปัญหา เกี่ยวกับสุขภาพได้เหมือนกันนะคะ
00:02:44 → 00:02:45 ทีนี้เดี๋ยวเรามาดูกันว่า
00:02:45 → 00:02:48 เวลาที่ท้องผูกแล้วมันส่งผลกระทบอะไรบ้าง
00:02:48 → 00:02:49 อันแรกคือความเครียด
00:02:49 → 00:02:53 หลายคนท้องผูกเรื้อรัง แล้วก็จะรู้สึกว่าตัวเองเครียดนะคะ
00:02:53 → 00:02:56 ทีนี้ต้องมาดูก่อนว่าถ้าเราต้องเบ่งเยอะ ๆ เบ่งบ่อย ๆ
00:02:56 → 00:02:58 สิ่งที่ตามมาหลังจากท้องผูก
00:02:58 → 00:03:02 มันก็จะทำให้เกิดเรื่องของ เส้นเลือดโป่งพองที่บริเวณก้น
00:03:02 → 00:03:04 หรือที่เราเรียกว่าเป็นริดสีดวงทวาร
00:03:04 → 00:03:07 การเบ่งเยอะ ๆ เส้นเลือดตรงนั้นก็จะโป่งพอง
00:03:07 → 00:03:10 ก็จะมีปัญหาเรื่องของริดสีดวงทวาร ตามมาได้นะคะ
00:03:10 → 00:03:14 บางคนถ้าเกิดว่ามีเรื่องของไส้เลื่อน หรือเคยผ่าตัด
00:03:14 → 00:03:16 ก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องของ ไส้เลื่อนได้เหมือนกัน
00:03:16 → 00:03:18 เวลาที่เราเบ่ง ต้องบอกนิดนึงก่อนว่า
00:03:18 → 00:03:21 แรงดันในช่องท้องนี่ มันจะค่อนข้างสูงนะคะ
00:03:22 → 00:03:24 แล้วก็จะทำให้มีปัญหาเรื่องของไส้เลื่อนได้
00:03:24 → 00:03:28 สำหรับปัญหาเรื่องของท้องผูก ตอนนี้ก็จะได้ยินบ่อยมากนะคะ
00:03:28 → 00:03:29 แล้วหลาย ๆ คนก็จะบอกว่า
00:03:29 → 00:03:31 เดี๋ยวนี้คนท้องผูกกันเยอะขึ้น
00:03:31 → 00:03:34 พฤติกรรมหรือการใช้ชีวิตประจำวัน ของเราทุกวันนี้
00:03:34 → 00:03:36 มีอะไรบ้างที่จะทำให้เราเสี่ยง
00:03:36 → 00:03:39 หรือว่าทำให้เรามีโอกาสที่จะท้องผูกง่ายขึ้น
00:03:39 → 00:03:41 เอาง่าย ๆ เลย ไล่ไปทีละข้อนะคะ
00:03:41 → 00:03:45 อันแรกเลยก็คือ พฤติกรรมที่นั่ง ๆ นอน ๆ แล้วไม่ค่อยจะเดิน
00:03:45 → 00:03:49 เวลาที่เรามีการเดินหรือมีการเคลื่อนไหว ลำไส้เราก็จะบีบตัว
00:03:49 → 00:03:51 ลองนึกภาพเนอะ เรากินอาหารลงไป
00:03:51 → 00:03:53 แล้วมันก็จะต้องไหลไปจนกระทั่งมันออกนี่
00:03:53 → 00:03:55 ถ้าลำไส้มันนอนอยู่นิ่ง ๆ มันไม่ขยับ
00:03:55 → 00:03:57 อันนี้ก็จะทำให้ท้องผูกได้
00:03:57 → 00:04:01 เพราะฉะนั้นการที่เราอยู่นิ่ง ๆ มันจะทำให้ลำไส้เราขยับตัวน้อยลง
00:04:01 → 00:04:03 ถ้าเกิดเรามีการเคลื่อนไหวร่างกายเยอะขึ้น
00:04:03 → 00:04:06 มันก็จะทำให้ช่วย ในเรื่องของการบีบตัวของลำไส้
00:04:07 → 00:04:09 ถ้าชีวิตเรานั่ง ๆ นอน ๆ เยอะ ๆ
00:04:09 → 00:04:12 อันนี้เราเสี่ยงแล้ว ที่จะทำให้เกิดท้องผูกนะคะ
00:04:12 → 00:04:17 อันที่สอง เรากินอาหารพวกที่มันเป็น ไฟเบอร์หรือว่าใยอาหารน้อย
00:04:17 → 00:04:19 ต้องนึกภาพว่า ในลำไส้เรา
00:04:19 → 00:04:22 สิ่งที่เราจะทิ้งไปก็คือ ของที่มันเป็นกากใยถูกไหมคะ
00:04:22 → 00:04:26 ถ้าเราใส่กากใยลงไปน้อย มันก็จะมีน้อย
00:04:26 → 00:04:29 เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะทำให้ท้องผูกก็มีมากขึ้น
00:04:30 → 00:04:31 อันที่สามค่ะ
00:04:31 → 00:04:34 ก็คือเรื่องของการดื่มน้ำนะคะ
00:04:34 → 00:04:36 ถ้าเกิดเราดื่มน้ำไปน้อยนะคะ
00:04:36 → 00:04:40 น้ำ ปริมาณน้ำ หรือปริมาณของอุจจาระก็จะลดลง
00:04:40 → 00:04:43 แล้วที่สำคัญคือลำไส้ใหญ่ มีหน้าที่คอยดูดน้ำกลับ
00:04:43 → 00:04:44 มันก็จะยิ่งแห้ง
00:04:44 → 00:04:48 พอแห้งปุ๊บ ปริมาณน้อย ๆ มันก็จะทำให้ไม่มีแรงเบ่ง
00:04:48 → 00:04:51 ทำให้ลำไส้เราไม่ขยาย มันก็จะไม่บีบตัว
00:04:51 → 00:04:53 คือลำไส้เรานี่ เวลาที่เขาขยาย
00:04:53 → 00:04:55 นึกภาพเป็นงูเหลือมค่ะ
00:04:55 → 00:04:56 เวลาที่มันมีอะไรเข้าไปปุ๊บนี่
00:04:56 → 00:04:59 มันก็จะมีแรงบีบ แล้วก็ค่อย ๆ ดันไป
00:04:59 → 00:05:00 แต่ถ้าของมันเล็ก ๆ ค่ะ
00:05:00 → 00:05:02 ปริมาตรมันน้อย ๆ
00:05:02 → 00:05:05 มันก็จะทำให้แรงดันตรงนั้นมันลดลง
00:05:05 → 00:05:09 แล้วหลายทีก็จะทำให้มีปัญหา เรื่องของท้องผูกได้เหมือนกัน
00:05:09 → 00:05:12 อันถัดมาค่ะ ก็จะเป็นเรื่องของอาหาร
00:05:12 → 00:05:17 อาหารอะไรบ้างที่จะทำให้ลำไส้เรา ทำงานลดลงหรือว่าบีบตัวช้าลง
00:05:18 → 00:05:19 หนึ่ง อาหารมันค่ะ
00:05:19 → 00:05:22 ของมันจะเป็นของที่ทำให้ลำไส้เราบีบตัวช้าลง
00:05:22 → 00:05:24 เพราะฉะนั้น อาจจะต้องเลี่ยงนะคะ
00:05:24 → 00:05:27 หรือว่าระมัดระวังนิดนึง ถ้าเรามีปัญหาเรื่องท้องผูก
00:05:27 → 00:05:28 อันถัดมาก็จะเป็นพวกของ...
00:05:29 → 00:05:31 บางคนจะบอกว่าพวกชา กาแฟ
00:05:31 → 00:05:32 หรือแม้กระทั่งแอลกอฮอล์นี่
00:05:32 → 00:05:35 ก็อาจจะมีปัญหาเรื่องของ การบีบตัวของลำไส้ด้วย
00:05:35 → 00:05:36 แต่ว่าต้องบอกนิดนึงว่า
00:05:36 → 00:05:38 อันนี้มันขึ้นกับแต่ละคนนะคะ
00:05:39 → 00:05:40 คนอ้วนค่ะ
00:05:40 → 00:05:42 คนอ้วนก็จะมีปัญหาเหมือนกัน
00:05:42 → 00:05:45 ก็จะทำให้แรงดันในช่องท้องมันก็เยอะเนอะ
00:05:45 → 00:05:48 แล้วก็จะทำให้มีปัญหา เรื่องของท้องผูกได้เหมือนกัน
00:05:48 → 00:05:49 ความเครียด
00:05:50 → 00:05:54 ยิ่งเราเครียดมาก บางทีนี่ ก็จะทำให้การบีบตัวของลำไส้ลดลง
00:05:54 → 00:05:57 ก็จะทำให้ท้องผูกได้เหมือนกันนะคะ
00:05:57 → 00:06:00 สุดท้ายต้องระวังเรื่องยา โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ
00:06:00 → 00:06:03 คนที่นอนติดเตียงในผู้สูงอายุ
00:06:03 → 00:06:05 คนที่ไม่ค่อยขยับตัวแล้วก็กินยาเยอะ ๆ
00:06:05 → 00:06:09 กลุ่มนี้ค่ะ เสียงมาก ๆ ที่จะทำให้มีปัญหาเรื่องของท้องผูก
00:06:09 → 00:06:13 ยาที่เจอบ่อยที่สุดเลย ที่ผู้ใหญ่เกือบทุกท่านได้กัน
00:06:13 → 00:06:15 ก็จะเป็นกลุ่มของแคลเซียมค่ะ
00:06:15 → 00:06:18 เวลาที่คนได้รับแคลเซียม โดยเฉพาะแคลเซียมคาร์บอเนต
00:06:18 → 00:06:21 อันนี้ก็จะทำให้ท้องผูกได้พอสมควรนะคะ
00:06:21 → 00:06:23 เพราะฉะนั้นถ้าสมมุติว่าทานแคลเซียมอยู่
00:06:23 → 00:06:25 ก็อาจจะต้องระมัดระวังนิดนึง
00:06:25 → 00:06:26 ในยาเม็ดแคลเซียมหลาย ๆ ตัว
00:06:26 → 00:06:29 บางทีเขาจะเติมสารบางอย่างเข้าไป เช่น แมกนีเซียม
00:06:29 → 00:06:32 เพื่อจะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องของท้องผูก
00:06:32 → 00:06:34 สุดท้ายก็คือ ห้ามกลั้นอุจจาระนะคะ
00:06:34 → 00:06:36 เวลาที่เรากลั้นอุจจาระบ่อย ๆ นี่
00:06:36 → 00:06:40 มันจะทำให้ระบบการบีบตัวของลำไส้นี่ มันแปรปรวนไป
00:06:40 → 00:06:45 แล้วก็จะทำให้มีปัญหาในเรื่องของ การบีบตัวของลำไส้
00:06:45 → 00:06:46 แล้วก็มันจะไม่สัมพันธ์กัน
00:06:46 → 00:06:49 ตรงนี้ก็แนะนำว่า ไม่ควรจะกลั้นอุจจาระ
00:06:49 → 00:06:51 ทั้งหมดก็จะเป็น 9 พฤติกรรม
00:06:51 → 00:06:55 ที่ทำให้เรามีความเสี่ยง ในการที่จะเกิดเรื่องของท้องผูกค่ะ
00:06:55 → 00:07:00 [เสียงดนตรี]
00:07:00 → 00:07:03 ในกรณีที่เราท้องผูกอยู่ แล้วคำถามก็คือว่า
00:07:03 → 00:07:06 เอ๊ะ มันจะเป็นอะไรหรือเปล่า มันจะอันตรายกับชีวิตเราไหม
00:07:06 → 00:07:10 หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่ท้องผูก แล้วเราควรจะไปพบแพทย์นะคะ
00:07:10 → 00:07:13 ทีนี้ท้องผูกนี่ ต้องบอกนิดนึงก่อนว่า
00:07:13 → 00:07:17 ถ้าสมมุติว่ามันไหลลงไปได้ ก็จะไม่มีปัญหาเนอะ
00:07:17 → 00:07:20 เพราะฉะนั้นหลัก ๆ เลย เวลาที่ท้องผูกแล้วเราก็กังวลนะคะ
00:07:20 → 00:07:21 ทางการแพทย์ก็คือหมายความว่า
00:07:21 → 00:07:25 มันจะมีอะไรไปอุดกั้น ทางเดินอาหารหรือเปล่านะคะ
00:07:25 → 00:07:27 ที่อุดกั้นทางเดินอาหารที่เจอบ่อย ๆ
00:07:27 → 00:07:29 ยกตัวอย่างเช่น เรากลัวว่าเราจะเป็นมะเร็งไหม
00:07:29 → 00:07:32 เพราะฉะนั้นอาการที่น่าสนใจ
00:07:32 → 00:07:34 หรือว่าการที่ควรจะต้องระวัง
00:07:34 → 00:07:36 แล้วควรจะต้องไปพบแพทย์
00:07:36 → 00:07:39 อันที่หนึ่ง จะมีท้องผูก อาจจะสลับกับท้องเสีย
00:07:39 → 00:07:42 ลองนึกภาพว่าถ้ามันมีก้อนอยู่ในลำไส้เรานะคะ
00:07:42 → 00:07:44 แล้วทีนี้ มันก็ทำให้อุจจาระมันค้างอยู่
00:07:45 → 00:07:47 มันค้างอยู่นาน ๆ บางทีมันก็จะกลายเป็นของเหลว
00:07:47 → 00:07:49 แล้วก็ไหลออกไปได้นะคะ
00:07:49 → 00:07:52 เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีท้องผูกบ้าง ท้องเสียสลับกัน
00:07:52 → 00:07:54 อันนี้ควรจะไปพบแพทย์
00:07:54 → 00:07:55 อันที่สองค่ะ
00:07:55 → 00:07:58 ถ้าสมมุติว่าถ่ายเป็นเลือดนะคะ
00:07:58 → 00:07:59 อันนี้ก็ควรจะไปพบแพทย์
00:08:00 → 00:08:02 อันที่สาม เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
00:08:02 → 00:08:04 อันนี้ควรจะไปพบแพทย์ นึกออกไหมคะ
00:08:04 → 00:08:07 ท้องผูกสลับท้องเสีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
00:08:07 → 00:08:09 ถ่ายดำ หรือว่าถ่ายเป็นเลือดนะคะ
00:08:09 → 00:08:11 มีคลื่นไส้อาเจียนร่วมกับการท้องผูก
00:08:11 → 00:08:15 อันนี้เป็นอาการที่บอกว่า ควรจะต้องไปพบแพทย์นะคะ
00:08:15 → 00:08:18 หรือว่าซีดลงอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ในผู้ใหญ่นะคะ
00:08:18 → 00:08:22 แล้วก็อีกอันนึงค่ะ ในกรณีที่ท้องผูกเรื้อรังนะคะ
00:08:22 → 00:08:23 หลาย ๆ ท่านจะบอกว่า
00:08:23 → 00:08:26 ฉันท้องผูกมาเป็นปีแล้ว ท้องผูกแบบเรื้อรัง
00:08:26 → 00:08:28 แต่ถ้าท้องผูกแบบรุนแรงมาก ๆ
00:08:28 → 00:08:31 เช่น บางคนนี่ 4-5 วัน หรืออาทิตย์นึงนะ
00:08:31 → 00:08:35 หรือว่าอาจจะจำเป็นที่จะต้องใช้ ยาระบายปริมาณเยอะ ๆ
00:08:35 → 00:08:37 มีคนไข้เคยมาบอกว่า
00:08:37 → 00:08:39 ใช้ยาระบายเกือบ 100 เม็ดอย่างนี้ค่ะ
00:08:40 → 00:08:42 อันนี้ก็ควรจะมาตรวจนะคะ
00:08:42 → 00:08:45 เพื่อจะดูนิดนึงว่ามันมีปัญหาอะไร กับเรื่องของลำไส้หรือเปล่าค่ะ
00:08:45 → 00:08:47 ในกรณีที่คนไข้มีปัญหา
00:08:47 → 00:08:50 หรือว่ามีคนที่มาหา แล้วบอกว่ามีปัญหาเรื่องท้องผูกนี่
00:08:50 → 00:08:52 อันแรกเลยที่เราจะดูนะคะ
00:08:52 → 00:08:55 เราก็จะดูว่าท้องผูกอันนี้ เป็นท้องผูกที่อันตรายไหม
00:08:55 → 00:08:58 หรือว่าท้องผูกที่ดูแล้ว ไม่ได้อันตรายอะไรนะคะ
00:08:58 → 00:09:00 ท้องผูกที่อันตรายที่บอกไป เมื่อสักครู่นี้ก็คือ
00:09:00 → 00:09:02 มีเบื่ออาหาร มีน้ำหนักลด
00:09:02 → 00:09:04 มีท้องผูกสลับท้องเสีย
00:09:04 → 00:09:07 คนไข้ตรวจร่างกายแล้วได้ซีดลงนะคะ
00:09:07 → 00:09:08 หรือว่ามีการถ่ายดำ
00:09:08 → 00:09:09 อันนี้อันตรายเนอะ
00:09:09 → 00:09:11 อันนี้ก็ควรจะต้องไปตรวจเพิ่มเติม
00:09:11 → 00:09:15 อันที่สอง ถ้ามันไม่มีอาการอะไรพวกนี้เลย เราก็จะมาเช็กต่อว่า
00:09:15 → 00:09:17 มีสาเหตุไหมที่ทำให้ท้องผูก
00:09:17 → 00:09:21 ยกตัวอย่างเช่น ดูพฤติกรรม ดูยา ดูอะไรอย่างนี้นะคะ
00:09:21 → 00:09:24 ว่ามีอะไรที่ทำให้เกิดเรื่องของท้องผูกได้ไหม
00:09:24 → 00:09:28 ถ้ามีเราก็จะแก้ไข เช่น ถ้าเกิดสมมุติว่า มันเป็นจากยา
00:09:28 → 00:09:33 เราก็จะดูว่า ยาตัวนี้จะเปลี่ยนได้ไหม จะปรับได้ไหมนะคะ
00:09:33 → 00:09:36 หรือว่าจะมีโรคบางอย่าง ที่ทำให้เขามีปัญหาเรื่องท้องผูก
00:09:36 → 00:09:38 มีเกลือแร่บางอย่างที่ผิดปกติ
00:09:38 → 00:09:39 อันนี้เราก็จะตรวจไป
00:09:40 → 00:09:42 แล้วสุดท้ายถ้าสมมุติว่าเราหาไม่เจอ
00:09:42 → 00:09:45 แล้วเราก็คิดว่ามันอาจจะเป็นจากพฤติกรรม
00:09:45 → 00:09:47 เราก็จะมาปรับพฤติกรรมนะคะ
00:09:47 → 00:09:50 ร่วมกับ...อาจจะมีเรื่องของการให้ยาระบาย
00:09:50 → 00:09:52 เพื่อจะช่วยเขาด้วยนะคะ
00:09:52 → 00:09:54 แล้วก็มีการปรับพฤติกรรมควบคู่กันไป
00:09:55 → 00:09:58 แล้วก็นัดมาดูอีกทีนึงว่า ตรงนี้จะดีขึ้นหรือยังนะคะ
00:09:58 → 00:10:02 ในส่วนของการปรับพฤติกรรม สำหรับคนไข้ท้องผูกนะคะ
00:10:02 → 00:10:05 อันแรกเลยก็คือ ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา
00:10:05 → 00:10:09 ตอนเช้าตื่นมา แล้วก็ไปนั่งถ่ายในห้องน้ำนะคะ
00:10:09 → 00:10:13 จริง ๆ แล้วเวลาที่เรานั่งถ่ายในห้องน้ำ เราก็จะต้องมีการฝึกเรื่องของการหายใจ
00:10:13 → 00:10:16 ฝึกเรื่องของการใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องด้วย
00:10:16 → 00:10:18 เราจะไม่เบ่งโดยใช้กล้ามเนื้อ ที่ปอดหรือว่าที่หน้าอก
00:10:18 → 00:10:20 แต่ว่าเราจะใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง
00:10:20 → 00:10:23 เพื่อเบ่งให้มีการเพิ่มแรงดัน
00:10:23 → 00:10:26 แล้วก็จะทำให้ลำไส้มันบีบตัวได้ดีขึ้นนะคะ
00:10:26 → 00:10:28 เราจะไม่กลั้นอุจจาระนะคะ
00:10:28 → 00:10:32 ถ้าเกิดเมื่อไหร่เรารู้สึกว่าปวด เราก็ควรที่จะไปเข้าห้องน้ำเลยนะคะ
00:10:32 → 00:10:34 แล้วก็พยายามไม่เครียด
00:10:34 → 00:10:35 อันนี้ทำยาก
00:10:35 → 00:10:36 แต่ว่าถ้าเครียดมาก
00:10:36 → 00:10:40 ก็อาจจะทำให้มีปัญหา เรื่องของท้องผูกได้เช่นกันนะคะ
00:10:40 → 00:10:43 แล้วก็ดื่มน้ำให้เยอะขึ้นนะคะ
00:10:43 → 00:10:47 รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ หรือว่ามีใยอาหารเยอะขึ้นนะคะ
00:10:47 → 00:10:49 แล้วก็จะต้องดื่มน้ำให้เยอะขึ้นนะคะ
00:10:49 → 00:10:53 คำว่าเยอะขึ้นในที่นี้คือ อย่างน้อยประมาณ 2 ลิตร
00:10:53 → 00:10:55 ดื่มน้ำประมาณ 8 แก้วนะคะ
00:10:55 → 00:10:59 แล้วก็ควรจะรับอาหารที่มีเรื่องของไฟเบอร์ หรือว่าใยอาหารเพิ่มขึ้น
00:10:59 → 00:11:00 เพิ่มขึ้นแค่ไหน
00:11:01 → 00:11:03 ถ้าเกิดว่าเราไปอ่านดู เขาจะเขียนบอกค่ะ
00:11:03 → 00:11:05 20-30 กรัม
00:11:05 → 00:11:07 เอ๊ะ 20-30 กรัมนั้นคืออะไร
00:11:07 → 00:11:08 ก็จะมีผักเนอะ
00:11:08 → 00:11:11 ทีนี้ตรงนี้ค่ะมันจะมี...เขาเรียกว่าใยอาหาร
00:11:11 → 00:11:14 ที่มันจะเป็นแบบที่ละลายน้ำกับไม่ละลายน้ำ
00:11:14 → 00:11:18 ไม่ต้องสนใจก็ได้ เอาเป็นว่า เราจะกินทั้งสองอย่างนะคะ
00:11:18 → 00:11:19 ปริมาณอยู่ที่เท่าไหร่
00:11:19 → 00:11:22 ถ้าเป็นผักใบที่สุกแล้วนะคะ
00:11:22 → 00:11:24 เขาจะใช้คำว่า 1 ทัพพี หรือว่าประมาณกำปั้นนึง
00:11:25 → 00:11:26 อันนี้เป็นผักที่สุกแล้ว
00:11:27 → 00:11:28 ถ้าเป็นผักใบที่ยังไม่สุก
00:11:28 → 00:11:32 มันก็จะเป็น...เอาฝ่ามือ 2 อัน มารวมกัน
00:11:32 → 00:11:34 อันนี้นะคะ นับเท่ากับ 1 เนอะ
00:11:34 → 00:11:38 ถ้าสุกแล้ว ฝ่ามือเดียวอันนี้ ก็คือ 1 นะคะ
00:11:38 → 00:11:41 วันหนึ่งค่ะ ผักผลไม้รวมกันกินให้ได้ 5 ส่วน
00:11:41 → 00:11:44 ถ้าเกิดกินได้ประมาณ 5 ส่วน อันนี้เราบอกว่า
00:11:44 → 00:11:48 ไฟเบอร์หรือว่าใยอาหารนี่ มันจะอยู่ที่ประมาณสัก 20-30 กรัม
00:11:48 → 00:11:52 ถ้ากินได้ประมาณนี้มันก็จะเพียงพอ สำหรับสุขภาพที่ดี
00:11:52 → 00:11:55 แล้วก็ช่วยป้องกันเรื่องของท้องผูกได้ด้วย
00:11:55 → 00:12:00 [เสียงดนตรี]
00:12:00 → 00:12:03 ในเรื่องของอาหารนะคะ เมื่อกี้เราก็พูดไปคร่าว ๆ แล้ว
00:12:03 → 00:12:06 แต่ทีนี้บอกว่า โอ๊ย มานั่งคิดแล้วคิดไม่ออก
00:12:06 → 00:12:09 ว่าจะกินไฟเบอร์ยังไง 20-30 กรัมอะไรอย่างนี้
00:12:09 → 00:12:14 ใช้หลักการเดิมก็ได้ค่ะก็คือ ในจานอาหารเรา ควรจะมีผักครึ่งหนึ่ง
00:12:14 → 00:12:18 แล้วก็อีก 1 ใน 4 ก็ควรจะเป็นส่วนที่เป็นข้าว หรือคาร์โบไฮเดรตนะคะ
00:12:18 → 00:12:21 แล้วก็ส่วนที่มันเป็นโปรตีน อีกสักประมาณ 1 ใน 4 นะคะ
00:12:21 → 00:12:24 อันนี้ถ้าเรากิน 3 มื้อ แล้วก็มีผักครึ่งนึงทั้ง 3 มื้อ
00:12:24 → 00:12:29 อันนี้ก็ได้แล้วสำหรับในส่วนที่เป็น เรื่องของไฟเบอร์หรือว่าใยอาหาร
00:12:30 → 00:12:32 อาจจะรับประทานเป็นผลไม้เพิ่มขึ้นนิดนึงก็ได้
00:12:32 → 00:12:34 ในบางรายที่ต้องการไฟเบอร์เนอะ
00:12:34 → 00:12:39 แล้วก็บอกว่า เอ๊ะ กินผักอย่างเดียว อาจจะไม่ได้ ไม่มากพอเนอะ
00:12:39 → 00:12:40 ก็อาจจะเป็นลักษณะนั้น
00:12:40 → 00:12:43 หลายคนจะมีการเปลี่ยนโดยที่จะบอกว่า
00:12:43 → 00:12:46 เอ๊ะ ถ้าอย่างนั้น ขอเป็นน้ำผักผลไม้ปั่นได้ไหม
00:12:46 → 00:12:48 เพราะว่าฉันกินผักผลไม้ในอาหารได้น้อย
00:12:48 → 00:12:52 อันนี้ถามว่าได้ไหม ตอบว่าในส่วนของน้ำผักพอได้นะคะ
00:12:52 → 00:12:55 แต่ถ้าสมมุติว่าเป็น น้ำผลไม้ที่เอามาปั่นเยอะ ๆ นี่
00:12:55 → 00:12:58 อาจจะต้องระวังนิดนึง ถ้าสมมุติว่าเขาเป็นเบาหวาน
00:12:58 → 00:13:00 หรือว่าเขามีปัญหาเรื่องของน้ำหนักนะคะ
00:13:00 → 00:13:02 การรับประทานปริมาณมาก ๆ อย่างนี้
00:13:02 → 00:13:04 ก็อาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้
00:13:04 → 00:13:07 แล้วที่สำคัญค่ะ ถ้าจะกินผักผลไม้ปั่น
00:13:07 → 00:13:08 ไม่ควรจะแยกกาก
00:13:08 → 00:13:12 ก็คือปั่นรวมกันไปหมดเลย แล้วก็ทำให้เรากินได้ง่ายขึ้น
00:13:12 → 00:13:14 มันก็จะได้ไฟเบอร์นะคะ
00:13:14 → 00:13:17 แต่ว่าต้องระวังในเรื่องของน้ำตาล กับเรื่องของน้ำหนักเนอะ
00:13:18 → 00:13:22 ทีนี้ถ้าสมมุติว่า เราบอกว่า โอเค เราจะมีลักษณะของผักครึ่งหนึ่งใช่ไหมคะ
00:13:22 → 00:13:24 แล้วก็จะเป็นอาหารอย่างอื่นครึ่งหนึ่งนี่
00:13:24 → 00:13:26 เราก็ต้องมาดูว่า เอ๊ะ มันเป็นรูปแบบอะไร
00:13:26 → 00:13:28 จริง ๆ มันก็จะอยู่ในกลุ่ม ที่มันเป็นสลัดก็ได้
00:13:28 → 00:13:33 จะเป็นยำก็ได้ นึกออกไหมคะ อย่างนี้มันก็จะมีหลาย ๆ อย่างร่วมกัน
00:13:33 → 00:13:34 จะเป็นพวกก๋วยเตี๋ยวก็ได้
00:13:34 → 00:13:36 แต่ว่าคงต้องเป็นก๋วยเตี๋ยว ที่เพิ่มผักนิดนึงเนอะ
00:13:36 → 00:13:38 ไม่ใช่เหมือนปัจจุบันนี้ ที่มีว่าเป็นก๋วยเตี๋ยว
00:13:38 → 00:13:42 แต่ว่ามีผักชี 2 ใบอะไรอย่างนี้คงไม่ใช่นะคะ
00:13:42 → 00:13:45 แล้วก็จะเป็นกลุ่มของพวกเมี่ยงก็ได้
00:13:45 → 00:13:47 อันนี้ก็จะทำให้มีผักเยอะขึ้นนะคะ
00:13:47 → 00:13:49 ผักสลัดเป็นยำนะคะ
00:13:49 → 00:13:51 ถ้าสมมุติว่าจะเป็นผัดผักก็ได้เหมือนกัน
00:13:51 → 00:13:54 แต่อันนึงที่ต้องระวัง ก็คือของที่ต้องเลี่ยง
00:13:54 → 00:13:55 เมื่อกี้เล่าให้ฟังแล้วว่า
00:13:55 → 00:13:57 ถ้าเป็นอาหารที่มีไขมันสูง
00:13:58 → 00:14:00 มันจะทำให้ลำไส้บีบตัวช้าลงถูกไหมคะ
00:14:00 → 00:14:02 เพราะฉะนั้น คนที่มีปัญหาเรื่องของท้องผูก
00:14:02 → 00:14:04 เราอาจจะให้เลี่ยงของมันนิดนึง
00:14:04 → 00:14:07 เพราะฉะนั้น มันก็เลยจะไม่กลายไปเป็นของทอด
00:14:07 → 00:14:10 แล้วของทอดบอกว่าเป็นผัก ผักทอดได้ไหม
00:14:10 → 00:14:10 บอกว่าไม่ได้
00:14:10 → 00:14:12 ถ้าจะเป็นผัดผักได้ไหม
00:14:12 → 00:14:13 บอกว่าพอได้นะคะ
00:14:13 → 00:14:16 แต่ว่าถ้าเป็นผัดผัก คงไม่ได้แบบว่าน้ำมันเยอะจนเกินไป
00:14:16 → 00:14:19 ทีนี้ถ้าเราไปซื้อเขา แล้วมันเป็นผัดผักก็ต้องบอกว่า
00:14:19 → 00:14:22 เราอาจจะตักเฉพาะส่วนที่มันเป็นผักขึ้นมา
00:14:22 → 00:14:25 ส่วนที่มันเป็นเกรวี่หรือเป็นน้ำราด อาจจะกินให้น้อยหน่อย
00:14:25 → 00:14:27 เพราะว่าตรงนั้นมันจะมีน้ำมันเยอะขึ้น
00:14:27 → 00:14:29 ลักษณะนี้เป็นต้นนะคะ
00:14:29 → 00:14:33 แล้วก็จะมีเรื่องของผักผลไม้ ทั้งผักสด หรือจะเป็นน้ำผักผลไม้ก็ได้
00:14:33 → 00:14:35 อย่างที่บอกไปแล้วเมื่อสักครู่ค่ะ
00:14:35 → 00:14:38 เวลาที่เราพูดถึงคำว่าใยอาหารหรือไฟเบอร์นี่
00:14:38 → 00:14:42 จริง ๆ ถามว่ามันเหมือนกันหรือเปล่า มันมีกี่ประเภท มันเป็นอย่างไร
00:14:42 → 00:14:45 หลายคนก็บอกว่า ไปอ่านมาแล้ว เอ๊ะ มันต่างกันไหมนะคะ
00:14:46 → 00:14:49 จริง ๆ เราจะแยกส่วนที่เป็นใยอาหาร หรือไฟเบอร์เป็น 2 ส่วนค่ะ
00:14:49 → 00:14:53 ส่วนแรกเราเรียกว่าละลายน้ำ ส่วนที่ 2 เราจะเรียกว่าไม่ละลายน้ำ
00:14:53 → 00:14:55 จริง ๆ ในอาหารที่เรารับประทานกันอยู่นี่
00:14:55 → 00:15:00 มันจะมีทั้งส่วนที่เป็น ไฟเบอร์ที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำปนกัน
00:15:00 → 00:15:02 ถ้าจะให้เห็นภาพนี่ ต้องนึกก่อนเนอะ
00:15:02 → 00:15:04 สมมุติไม่ละลายน้ำ อย่างเช่นเรากินก้านคะน้า
00:15:04 → 00:15:07 แล้วเวลาเราถ่ายออกมา แล้วเราเห็นเป็นเส้น ๆ น่ะค่ะ
00:15:07 → 00:15:08 อันนั้นค่ะ ไม่ละลายน้ำ
00:15:08 → 00:15:10 ถ้าสมมุติว่าเป็นพวกของโอ๊ต
00:15:10 → 00:15:12 ข้าวโอ๊ตที่เรากินนะคะ
00:15:12 → 00:15:15 แล้วเราใส่นมลงไปปุ๊บ แล้วมันพองออกมา เห็นภาพใช่ไหมคะ
00:15:15 → 00:15:18 หรือว่าเรากินแอปเปิล แล้วเราเอามือไปบี้เนื้อแอปเปิล
00:15:18 → 00:15:22 แล้วเรารู้สึกว่ามันจะมีความเหมือนกับน้ำ ๆ
00:15:22 → 00:15:26 หรือว่าแมงลัก แมงลักที่เราเอาไปแช่น้ำ แล้วมันมีวุ้นพอง ๆ
00:15:26 → 00:15:28 อันนั้นค่ะคือไฟเบอร์ที่เป็นละลายน้ำ
00:15:28 → 00:15:32 เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วถามว่าในแมงลักนี่ มันมีแค่ไฟเบอร์ละลายน้ำไหม
00:15:32 → 00:15:32 ไม่ค่ะ
00:15:32 → 00:15:34 ตรงสีดำ ๆ กลาง ๆ น่ะค่ะ
00:15:34 → 00:15:36 ตรงที่มันเป็นแข็ง ๆ
00:15:36 → 00:15:38 อันนั้นคือส่วนที่มันไม่ละลายน้ำ
00:15:38 → 00:15:40 เพราะฉะนั้นในอาหารที่เรารับประทานนี่
00:15:40 → 00:15:45 มันมีส่วนของทั้งไฟเบอร์ ที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำปน ๆ กัน
00:15:45 → 00:15:48 แต่บางอย่างมันจะมีไฟเบอร์ที่ละลายน้ำเด่น
00:15:48 → 00:15:51 บางอย่างมีไฟเบอร์ไม่ละลายน้ำเด่น
00:15:51 → 00:15:53 ลักษณะนี้เป็นต้นนะคะ
00:15:53 → 00:15:56 คุณสมบัติเวลาที่เรารับประทานเข้าไปนี่
00:15:56 → 00:15:57 ก็จะแตกต่างกันนิดนึง
00:15:57 → 00:16:00 อันที่เป็นไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำเนอะ
00:16:00 → 00:16:03 อันนี้ก็จะไปทำให้อุจจาระมันฟอร์มเป็นก้อน
00:16:03 → 00:16:06 ทำให้เพิ่มปริมาณของอุจจาระ
00:16:06 → 00:16:08 แล้วก็มันก็อาจจะมีส่วนในเรื่องของ
00:16:08 → 00:16:12 การที่จะไปเป็นอาหาร ให้กับแบคทีเรียในลำไส้ของเรา
00:16:12 → 00:16:16 ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่เป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำ
00:16:16 → 00:16:18 อันนี้มันพองตัวเห็นไหมคะ
00:16:18 → 00:16:22 มันจะช่วยเรื่องของการดูดซึม เรื่องของสารอาหารนะคะ
00:16:22 → 00:16:26 ทำให้การดูดซึมสารอาหาร โดยเฉพาะพวกน้ำตาลหรือไขมันนี่ช้าลง
00:16:26 → 00:16:28 ลําไส้บีบตัวช้าลง
00:16:28 → 00:16:31 ในขณะที่ไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำ มันไปเพิ่มปริมาณอุจจาระ
00:16:31 → 00:16:34 อันนี้มันไปกระตุ้นแล้ว ลำไส้ก็จะบีบตัวเร็วขึ้น
00:16:34 → 00:16:39 ดังนั้นเวลาคนที่ท้องผูก เราอยากได้อะไร เราอยากได้แบบที่ไม่ละลายน้ำ
00:16:39 → 00:16:41 เพราะเราอยากได้ปริมาณอุจจาระ
00:16:41 → 00:16:44 เราอยากให้ลำไส้มันบีบตัวเร็ว ๆ มันจะได้ถ่ายได้ใช่ไหมคะ
00:16:45 → 00:16:46 แต่ในความเป็นจริงคือเวลาเราซื้อนี่
00:16:46 → 00:16:49 หรือเวลาที่เรากินนี่ เราได้ทั้งสองอย่าง
00:16:49 → 00:16:52 เขาถึงบอกว่า ให้เรากินผักเยอะขึ้น เห็นไหมคะ
00:16:52 → 00:16:56 เพราะว่าในผักนี่ โดยเฉพาะผักใบ ที่มันเป็นเส้น ๆ
00:16:56 → 00:17:00 อันนี้มันจะมีส่วนที่เป็นเรื่องของ ไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำเยอะขึ้นค่ะ
00:17:01 → 00:17:06 [เสียงดนตรี]
00:17:06 → 00:17:09 แล้วก็ถ้าสมมุติว่าเราปรับเรื่องของ พฤติกรรมไปแล้วนะคะ
00:17:09 → 00:17:13 สุดท้ายมันก็จะมาอยู่ในกลุ่ม ที่จะเป็นเรื่องของยาซึ่งจะเป็นตัวช่วย
00:17:13 → 00:17:17 ในแง่ของยา เขาเรียกว่ายาระบายใช่ไหมคะ
00:17:17 → 00:17:19 หรือว่ายาที่ช่วยเรื่องของการท้องผูกนี่
00:17:19 → 00:17:21 จริง ๆ ต้องบอกว่ามันเหมือนยาลดไข้ค่ะ
00:17:21 → 00:17:22 มันไม่ได้แก้ที่สาเหตุ
00:17:22 → 00:17:25 มันเป็นการรักษาตามอาการนะคะ
00:17:25 → 00:17:26 ถามว่ามีอะไรบ้าง
00:17:26 → 00:17:30 อันแรกเลยก็คือเป็นยา กลุ่มที่ไปกระตุ้นให้ลำไส้เราบีบตัว
00:17:30 → 00:17:33 แล้วมันก็จะทำให้เราถ่ายออกไปได้นะคะ
00:17:33 → 00:17:37 กลุ่มที่ 2 นี่ก็จะเป็นยาที่จะไปทำให้ มีความเข้มข้นสูง ๆ
00:17:37 → 00:17:40 เมื่อยามีความเข้มข้นสูง ๆ แล้วอยู่ในลำไส้
00:17:40 → 00:17:43 มันจะดูดน้ำในตัวเราเข้าไปในลำไส้
00:17:43 → 00:17:47 ก็จะทำให้ปริมาณของอุจจาระในลำไส้มันเยอะขึ้น
00:17:47 → 00:17:51 แล้วไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบหรือว่าถ่ายออกมา
00:17:51 → 00:17:55 อันสุดท้ายนี่ก็จะเป็นยา กลุ่มที่จะเป็นเรื่องของยาเหน็บ
00:17:55 → 00:17:58 ซึ่งอันนี้ก็จะไปทำให้เหมือนกับ
00:17:58 → 00:18:02 ไปกระตุ้นตรงบริเวณของหูรูด ที่ลำไส้ที่ทวารหนัก
00:18:02 → 00:18:04 แล้วทำให้เราถ่ายออกมานะคะ
00:18:04 → 00:18:08 อันแรกก่อน ยาที่เพิ่มการบีบตัวของลำไส้ ที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ
00:18:08 → 00:18:09 หรือเรากินกันบ่อย ๆ
00:18:10 → 00:18:12 ก็จะเป็นกลุ่มของพวกมะขามแขกนะคะ
00:18:12 → 00:18:15 หรือว่าที่เราไปซื้อกันเนอะ
00:18:15 → 00:18:16 ทีนี้ตรงนี้ถามว่าอันตรายไหม
00:18:16 → 00:18:19 ต้องบอกนิดนึงก่อนว่า กลุ่มนี้เวลาที่เราใช้นี่
00:18:19 → 00:18:23 ถ้าเราใช้เรื่อย ๆ สิ่งที่เกิดขึ้น ลำไส้เราจะชินเนอะ
00:18:23 → 00:18:26 แล้วหลาย ๆ คนก็คือ เริ่มต้น เราอาจจะกินเม็ดเดียว
00:18:26 → 00:18:30 แต่พอเวลาผ่านไป กลายเป็น 2 เม็ด 3 เม็ด 4 เม็ดอะไรอย่างนี้
00:18:30 → 00:18:33 พวกนี้มันจะเหมือน...ใช้คำว่าดื้อก็ได้เนอะ
00:18:33 → 00:18:35 ในระยะยาว ถ้าเราใช้ไปเรื่อย ๆ ค่ะ
00:18:35 → 00:18:38 เราต้องการใช้ยาที่ปริมาณเพิ่มขึ้น
00:18:38 → 00:18:39 อันที่แบบว่ามีปัญหามากที่สุด
00:18:39 → 00:18:42 คือในบางรายนะคะที่มีท้องผูกเรื้อรัง
00:18:42 → 00:18:44 แล้วเป็นระยะเวลายาวนานนี่
00:18:44 → 00:18:49 หลายคนนี่ก็อาจจะจำเป็นที่จะต้อง ได้รับการผ่าตัดด้วยซ้ำไป
00:18:49 → 00:18:51 แต่ว่าการผ่าตัดตรงนี้มันขึ้นกับสาเหตุ
00:18:51 → 00:18:53 ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสมมุตินะคะ
00:18:53 → 00:18:57 เขาท้องผูกเป็นเพราะว่าเขามีเนื้องอก หรือว่าเป็นมะเร็ง
00:18:57 → 00:19:00 อันนี้คือการผ่าตัดรักษาโรคนะ
00:19:00 → 00:19:03 อันที่ 2 คนไข้ที่เคยผ่าตัดในช่องท้อง
00:19:03 → 00:19:05 แล้วมีปัญหาเรื่องท้องผูกนะคะ
00:19:05 → 00:19:07 หรือว่ามีปัญหาเรื่องของคลื่นไส้อาเจียน
00:19:07 → 00:19:10 อันนี้ก็คืออาจจะมีลักษณะ ที่เราเรียกว่าเป็นพังผืดเนอะ
00:19:10 → 00:19:12 แล้วก็ไปยึดลำไส้
00:19:12 → 00:19:15 อันนี้ก็จะทำให้เรื่องของลำไส้อุดตัน ก็อาจจะจำเป็นต้องผ่าตัด
00:19:15 → 00:19:17 ก็จะมีอีกกลุ่มนึง
00:19:17 → 00:19:20 ก็จะเป็นกลุ่มที่ไม่รู้สาเหตุจริง ๆ นะคะ
00:19:20 → 00:19:22 แล้วก็มีท้องผูกเรื้อรังนะคะ
00:19:22 → 00:19:25 แล้วก็ลำไส้นี่มันไม่ยอมทำงานเนอะ
00:19:25 → 00:19:29 อันนี้หลายครั้งก็อาจจะต้องจบ ด้วยการผ่าตัดเหมือนกันนะคะ
00:19:29 → 00:19:33 แต่ว่าอย่างไรก็ตามอันนี้คือในกรณีที่ เป็นเคสที่มันเป็นรุนแรง
00:19:33 → 00:19:35 มันไม่ได้เจอบ่อย
00:19:35 → 00:19:37 แต่ถ้าสมมุติว่า เรากังวลว่าเราจะเป็นอย่างนั้น
00:19:37 → 00:19:40 ถึงบอกไงคะว่า ถ้าสมมุติเรามีปัญหา
00:19:40 → 00:19:43 แล้วก็มีเรื่องของท้องผูกเรื้อรัง เป็นระยะเวลายาวนานนะคะ
00:19:43 → 00:19:46 ก็แนะนำว่าควรจะต้องไปเจอคุณหมอ
00:19:46 → 00:19:47 ยาวนานในที่นี้เท่าไหร่
00:19:47 → 00:19:50 โดยทั่วไป เกิน 6 เดือนนี่ก็ไม่ไหวแล้วค่ะ
00:19:50 → 00:19:51 คนไข้ก็ทนไม่ค่อยไหวแล้ว
00:19:51 → 00:19:56 สัก 3-4 เดือนหลายคน เอ๊ะ ต้องใช้ยาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นะคะ
00:19:56 → 00:19:58 ทำแล้วมันไม่ดีขึ้นเลยอะไรอย่างนี้
00:19:58 → 00:20:00 ส่วนใหญ่ก็แวะมาคุยกัน
00:20:00 → 00:20:04 คุณหมอเขาก็จะมองหาสาเหตุก่อนว่า มันมีอะไรที่แก้ไขได้ไหม
00:20:04 → 00:20:08 มีอะไรที่สามารถจะทำให้เกิด เรื่องของท้องผูกได้หรือเปล่านะคะ
00:20:08 → 00:20:10 หลังจากนั้น ลองดูซิว่าถ้าเราปรับตัว
00:20:10 → 00:20:13 เรามีการใช้ยาร่วมด้วยแล้ว มันจะได้หรือเปล่า
00:20:13 → 00:20:15 สุดท้ายถ้ามันไม่ได้ มันก็จะมีการตรวจเพิ่มเติม
00:20:15 → 00:20:18 ในแต่ละรายนี่ ตามขั้นตอนต่อไปค่ะ
00:20:18 → 00:20:23 [เสียงดนตรี]
00:20:23 → 00:20:25 นอกเหนือจากสาเหตุที่จะทำให้ท้องผูก
00:20:25 → 00:20:28 เป็นจากยา ที่คนไข้รับประทานทั่ว ๆ ไปแล้วนี่นะคะ
00:20:28 → 00:20:30 ก็จะมีโรคทางกายหลาย ๆ อย่างเหมือนกัน
00:20:30 → 00:20:33 ที่อาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องของท้องผูกนะคะ
00:20:33 → 00:20:35 ยกตัวอย่างเช่น โรคทางระบบประสาท
00:20:35 → 00:20:38 ทำให้การบีบตัวของลำไส้ทำงานได้ไม่ดี
00:20:38 → 00:20:41 ที่เจอบ่อย ๆ ยกตัวอย่างนะคะ คือกลุ่มของไทรอยด์
00:20:41 → 00:20:43 โรคเบาหวานที่เป็นมาเรื้อรัง
00:20:43 → 00:20:47 บางทีก็อาจจะทำให้ท้องผูกได้เหมือนกันนะคะ
00:20:47 → 00:20:51 อีกอันหนึ่งก็คือ คนที่มีปัญหากับเรื่องของไขสันหลัง
00:20:51 → 00:20:53 หรือว่าเส้นประสาทที่หลังนะคะ
00:20:54 → 00:20:56 แล้วจะทำให้มีปัญหาตรงนี้ได้
00:20:56 → 00:20:58 เกลือแร่ที่ผิดปกติบางอย่าง
00:20:58 → 00:21:02 ก็จะทำให้คนไข้มีปัญหา เรื่องของท้องผูกได้เช่นกันนะคะ
00:21:02 → 00:21:04 อันนี้ก็อาจจะต้องไปมองหา
00:21:04 → 00:21:06 อันหนึ่งที่อาจจะเจอได้ไม่บ่อย
00:21:06 → 00:21:11 ก็คือโรคที่เป็นเรื่องของการบีบตัว ของบริเวณของอุ้งเชิงกราน
00:21:11 → 00:21:12 กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานนะคะ
00:21:12 → 00:21:16 อาจจะทำให้การบีบตัวตรงนั้น ทำงานไม่สอดคล้องกันนะคะ
00:21:16 → 00:21:19 แล้วก็เลยทำให้คนไข้มีปัญหาเรื่องของท้องผูก
00:21:19 → 00:21:22 การเบ่งถ่ายหรืออะไรอย่างนี้มันจะทำได้ไม่ดี
00:21:22 → 00:21:25 เพราะว่าแรงมันจะไม่สัมพันธ์กันนะคะ
00:21:25 → 00:21:30 อันนี้ก็ควรจะต้องไปหาคุณหมอ เพื่อหาสาเหตุและแก้ไขให้ตรงจุดค่ะ
00:21:30 → 00:21:33 สำหรับอาการท้องผูก หลาย ๆ คนก็มองว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ๆ เนอะ
00:21:33 → 00:21:36 ก็ท้องผูกก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ก็ไปซื้อยาระบายมารับประทานก็ได้
00:21:37 → 00:21:39 หลาย ๆ คนก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ นะคะ
00:21:39 → 00:21:42 จนกระทั่งตอนนี้มาเจอคนไข้ รายล่าสุดที่เคยเจอนี่
00:21:42 → 00:21:45 คนไข้บอกว่าไปซื้อยาระบายมารับประทาน
00:21:45 → 00:21:49 ตอนแรกนี่เคยเจอมากสุดคือ ประมาณ 20-30 เม็ดต่อวัน
00:21:49 → 00:21:51 ที่เคยบอกนะคะว่าคนไข้มักจะซื้อ
00:21:51 → 00:21:54 บอกว่าเป็นยาเม็ดมะขามอะไรอย่างนี้นะคะ
00:21:54 → 00:21:57 เสร็จแล้วกินเข้าไปแล้วนี่ปุ๊บ จากเดิมกินเม็ดนึง
00:21:57 → 00:21:59 แล้วก็ต้องค่อย ๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ
00:21:59 → 00:22:02 เมื่อก่อนนี่ ได้ยิน 20 เม็ด ก็แอบตกใจนิดนึงแล้ว
00:22:02 → 00:22:05 จนกระทั่งล่าสุดนี่ค่ะ คนไข้บอกว่าต้องกินวันละ 200 เม็ด
00:22:05 → 00:22:08 ก็เลยตกใจบอก หา! ทำไมต้องกินวันละ 200 เม็ด
00:22:08 → 00:22:13 เขาบอกว่าถ้าเขากินน้อยกว่านี้ เขาจะรู้สึกว่าเขาไม่สามารถจะถ่ายได้นะคะ
00:22:13 → 00:22:15 จริง ๆ นี่ ถามว่าซื้อกินเองได้ไหม
00:22:15 → 00:22:17 ถ้าช่วงเวลาสั้น ๆ น่ะค่ะ
00:22:17 → 00:22:20 แนะนำว่าก็ได้เหมือนกันนะคะ คือเป็นการปรับตัว
00:22:20 → 00:22:23 แต่ถ้ามันเป็นระยะเวลายาวนาน เช่น เกิน 3 เดือน 6 เดือนอย่างนี้
00:22:23 → 00:22:25 แล้วเราต้องใช้ยาระบายมาตลอดอย่างนี้ค่ะ
00:22:26 → 00:22:29 มันควรต้องหาสาเหตุแล้วว่ามันเป็นจากอะไร
00:22:29 → 00:22:33 แล้วมาดูว่าสาเหตุนี้สามารถแก้ไขได้ไหม
00:22:33 → 00:22:35 มันก็มีโรคบางอย่างหรือภาวะบางอย่าง
00:22:35 → 00:22:39 ที่ทำให้ลำไส้มันไม่บีบตัว หรือว่าบีบตัวน้อยนะคะ
00:22:39 → 00:22:43 แล้วทำให้คน ๆ นั้น มีปัญหาเรื่องของท้องผูกเรื้อรังนะคะ
00:22:43 → 00:22:45 ซึ่งถ้าเราไม่มาหาสาเหตุค่ะ
00:22:45 → 00:22:49 สิ่งที่เกิดขึ้น มันก็จะนำไปสู่ภาวะต่าง ๆ อีกมากมาย
00:22:49 → 00:22:51 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเกลือแร่ผิดปกตินะคะ
00:22:51 → 00:22:55 เรื่องของความเครียดนะคะ เรื่องของแรงดันในช่องท้องที่สูงขึ้น
00:22:55 → 00:22:58 มีริดสีดวงทวารหรืออะไรก็แล้วแต่นะคะ
00:22:58 → 00:23:01 เพราะฉะนั้นตรงนี้ ถ้าเกิดสมมุติว่าภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
00:23:01 → 00:23:03 แล้วเราจะซื้อยารับประทานเอง
00:23:03 → 00:23:06 ก็อาจจะบอกว่าไม่ได้อันตรายมากนัก ใช้คำนี้นะคะ
00:23:07 → 00:23:08 แต่ว่าต้องดูนิดนึงก่อนว่า
00:23:08 → 00:23:14 เราจะต้องไม่มีอาการที่ผิดปกติ เช่น ถ่ายดำ ถ่ายเป็นเลือด
00:23:14 → 00:23:19 คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง ท้องผูกสลับท้องเสียที่พูดไปตั้งแต่ต้นนะคะ
00:23:19 → 00:23:22 ถ้าไม่มีอะไรเลย กินช่วงสั้น ๆ คงไม่เป็นไร
00:23:22 → 00:23:26 แต่ถ้าเมื่อไหร่นานเกินกว่า 3 เดือน 6 เดือน แนะนำว่ามาหาหมอได้แล้วค่ะ
00:23:26 → 00:23:29 จะได้มาหาสาเหตุที่ชัดเจนว่าเป็นจากอะไร
00:23:29 → 00:23:32 แล้วก็เริ่มต้นการรักษาที่ถูกต้องค่ะ
00:23:32 → 00:23:34 ก็สรุปนะคะสำหรับปัญหาเรื่องของท้องผูก
00:23:34 → 00:23:36 จะฟังว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ก็เรื่องเล็กเนอะ
00:23:37 → 00:23:43 แต่จะฟังว่า ท้องผูกเองก็เป็นปัญหา ที่จะนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายตามมา
00:23:43 → 00:23:46 เพราะฉะนั้นนี่ ก็ควรจะต้องสังเกตตัวเองนิดนึงนะคะ
00:23:46 → 00:23:48 ว่าตอนนี้เวลาที่เราท้องผูกนี่
00:23:49 → 00:23:53 เรามีอาการพิเศษที่ทำให้น่าสนใจ ต้องไปเจอแพทย์หรือยังนะคะ
00:23:53 → 00:23:56 อันที่สองก็คือ การซื้อยามารับประทานเองนี่
00:23:56 → 00:23:58 ใช้ได้ค่ะ แต่ช่วงสั้น ๆ
00:23:58 → 00:24:01 ที่สำคัญ เราควรจะต้องมาปรับ ในเรื่องของพฤติกรรม
00:24:01 → 00:24:03 ที่อาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องของท้องผูก
00:24:04 → 00:24:07 มาหาซิว่ามันมีโรคทางกายที่ทำให้ท้องผูกไหม
00:24:07 → 00:24:09 ดูเรื่องของยานะคะ
00:24:09 → 00:24:13 แล้วหลังจากนั้นเราก็มาปรับในเรื่องของ พฤติกรรมเลือกอาหารให้เหมาะสมนะคะ
00:24:13 → 00:24:16 ดื่มน้ำให้เพียงพอ ออกกำลังกาย
00:24:16 → 00:24:18 ลดพฤติกรรมนั่ง ๆ นอน ๆ นะคะ
00:24:18 → 00:24:20 กินไฟเบอร์ให้เยอะขึ้นนะคะ
00:24:20 → 00:24:25 ตรงนี้ก็จะเป็นทางเลือกอันหนึ่งที่จะทำให้เรา แก้ปัญหาเรื่องของท้องผูกได้ค่ะ
00:24:25 → 00:24:30 พบกับรายการ Food Choice กินดี สุขภาพดีเลือกได้
00:24:30 → 00:24:32 ทุกวันจันทร์เวลา 18:00 น.
00:24:32 → 00:24:34 ที่ Mahidol Channel Podcast
00:24:34 → 00:24:36 ผ่านช่องทาง Facebook Mahidol Channel
00:24:36 → 00:24:38 YouTube Mahidol Channel
00:24:38 → 00:24:39 Apple Podcasts
00:24:39 → 00:24:41 Spotify
00:24:41 → 00:24:41 Anchor
00:24:41 → 00:24:42 Blockdit
00:24:45 → 00:24:50 ดำเนินรายการโดยหมอเอ๋ ผศ.พญ.ดรุณีวัลย์ วโรดมวิจิตร
00:24:50 → 00:24:53 [เสียงดนตรี]
00:00:00 → 00:00:03 [เสียงดนตรี]
00:00:03 → 00:00:06 You're listening to Mahidol Channel Podcast.
00:00:06 → 00:00:08 Listen for a better life.
00:00:08 → 00:00:11 ฟังเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
00:00:11 → 00:00:14 และนี่คือรายการพอดแคสต์ของช่อง Mahidol Channel
00:00:14 → 00:00:16 โดย มหาวิทยาลัยมหิดล
00:00:16 → 00:00:22 [เสียงดนตรี]
00:00:22 → 00:00:24 วันนี้คุณกินอะไร
00:00:24 → 00:00:29 อาหารที่คุณกินจะส่งผลดี ส่งผลเสีย กับสุขภาพของคุณอย่างไร
00:00:29 → 00:00:31 วันนี้หมอจะชวนทุกคนมาพูดคุย
00:00:31 → 00:00:35 เกี่ยวกับรูปแบบของการกินอาหาร ที่ปลอดภัยกับสุขภาพของเรา
00:00:35 → 00:00:40 กับรายการ Food Choice กินดี สุขภาพดี เลือกได้ กับหมอเอ๋
00:00:40 → 00:00:42 แพทย์หญิงดรุณีวัลย์ วโรดมวิจิตร
00:00:42 → 00:00:46 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
00:00:46 → 00:00:49 [เสียงดนตรี]
00:00:49 → 00:00:52 วันนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องของท้องผูกนะคะ
00:00:52 → 00:00:55 ทีนี้ทองถูกนี่เป็นปัญหาที่ ไม่มีใครอยากให้เกิดนะคะ
00:00:55 → 00:01:00 การเกิดท้องผูกเรื้อรังนี่ นำมาซึ่งความไม่สบายตัว ใช่ไหมคะ
00:01:00 → 00:01:02 แล้วบางคนนี่ ก็จะทำให้สุขภาพจิตไม่ดีด้วย
00:01:02 → 00:01:06 เราจะหงุดหงิด เราจะมีปัญหามากมายก่ายกองนะคะ
00:01:06 → 00:01:08 แล้วทีนี้เวลาที่ท้องผูกเรื้อรังนี่
00:01:08 → 00:01:11 มันก็จะนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายเนอะ
00:01:11 → 00:01:14 วันนี้เราจะมาคุยกันว่า สภาพแวดล้อมหรือว่าชีวิตเรานี่
00:01:14 → 00:01:18 มีอะไรบ้าง มีปัจจัยอะไรบ้าง ที่ทำให้เกิดเรื่องของท้องผูกนะคะ
00:01:18 → 00:01:23 แล้วเรื่องของอาหารนี่ จะมีส่วนช่วยในเรื่องของการท้องผูกได้อย่างไร
00:01:23 → 00:01:25 นอกจากนี้นี่ การที่เราท้องผูกอยู่นี่
00:01:25 → 00:01:28 มันจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้อย่างไรบ้าง
00:01:28 → 00:01:30 มีอะไรที่จะต้องระมัดระวัง
00:01:30 → 00:01:31 หรือว่าถ้าท้องผูกอยู่
00:01:31 → 00:01:33 เอ๊ะ เมื่อไหร่เราควรจะต้องไปหาหมอ
00:01:33 → 00:01:35 เมื่อไหร่มันจะเป็นอันตรายกับสุขภาพแล้ว
00:01:35 → 00:01:38 เริ่มต้นเราก็จะมารู้จักกับท้องผูกก่อนนะคะ
00:01:38 → 00:01:40 เมื่อไหร่เราถึงจะเรียกว่าท้องผูก
00:01:40 → 00:01:43 ต้องนึกภาพก่อนเนอะ เวลาที่เรารับประทานอาหารนี่
00:01:43 → 00:01:46 เรากินเข้าไปตั้งแต่ปาก แล้วก็จะไปออกที่ลำไส้
00:01:46 → 00:01:51 โดยเฉลี่ย ระยะเวลาตรงนี้ ก็จะประมาณ 24 ชั่วโมง ประมาณวันนึง
00:01:52 → 00:01:54 ทีนี้ถ้าสมมุติ เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเกิน 3 วัน
00:01:54 → 00:01:55 แล้วยังไม่ออกมา
00:01:55 → 00:01:57 อันนี้เราก็จะเรียกว่าท้องผูกแล้ว
00:01:57 → 00:02:00 เพราะฉะนั้น คนทั่วไปมักจะถ่ายทุกวัน
00:02:00 → 00:02:03 บางคนนี่มากกว่าวันละครั้งด้วยซ้ำไป
00:02:03 → 00:02:05 แต่ถ้าเกิน 3 วัน ยังไม่ถ่าย
00:02:05 → 00:02:08 หรือว่าอาทิตย์นึง ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้ง
00:02:08 → 00:02:10 อันนี้เราจะเรียกว่าท้องผูกนะคะ
00:02:10 → 00:02:14 ทีนี้เราก็จะมาดูว่าท้องผูก มันเกิดจากอะไรได้บ้าง
00:02:14 → 00:02:16 นอกเหนือจากลักษณะของการถ่ายอุจจาระนะคะ
00:02:17 → 00:02:18 บางคนนี่ก็จะถ่ายทุกวันใช่ไหมคะ
00:02:18 → 00:02:21 ลักษณะอุจจาระที่ปกติมันก็จะต้องนิ่ม
00:02:21 → 00:02:24 แล้วก็ต้องเป็นรูปทรงใช่ไหมคะ
00:02:24 → 00:02:25 แล้วก็ถ่ายได้
00:02:25 → 00:02:28 ทีนี้หลาย ๆ ครั้ง เวลาที่เราไม่ถ่ายอยู่นาน ๆ
00:02:28 → 00:02:32 สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะมี ลักษณะของการถ่ายที่ถ่ายลำบาก
00:02:32 → 00:02:33 เป็นก้อนแข็งนะคะ
00:02:33 → 00:02:35 หรือเป็นก้อนเล็ก ๆ เบ่งไม่ออก
00:02:35 → 00:02:38 บางคนนี่ อาจจะต้องใช้วิธีการล้วงนะคะ
00:02:38 → 00:02:40 หรือว่าอาจจะต้องใช้น้ำฉีดก็มีนะคะ
00:02:40 → 00:02:44 อันนี้ก็จะทำให้เกิดปัญหา เกี่ยวกับสุขภาพได้เหมือนกันนะคะ
00:02:44 → 00:02:45 ทีนี้เดี๋ยวเรามาดูกันว่า
00:02:45 → 00:02:48 เวลาที่ท้องผูกแล้วมันส่งผลกระทบอะไรบ้าง
00:02:48 → 00:02:49 อันแรกคือความเครียด
00:02:49 → 00:02:53 หลายคนท้องผูกเรื้อรัง แล้วก็จะรู้สึกว่าตัวเองเครียดนะคะ
00:02:53 → 00:02:56 ทีนี้ต้องมาดูก่อนว่าถ้าเราต้องเบ่งเยอะ ๆ เบ่งบ่อย ๆ
00:02:56 → 00:02:58 สิ่งที่ตามมาหลังจากท้องผูก
00:02:58 → 00:03:02 มันก็จะทำให้เกิดเรื่องของ เส้นเลือดโป่งพองที่บริเวณก้น
00:03:02 → 00:03:04 หรือที่เราเรียกว่าเป็นริดสีดวงทวาร
00:03:04 → 00:03:07 การเบ่งเยอะ ๆ เส้นเลือดตรงนั้นก็จะโป่งพอง
00:03:07 → 00:03:10 ก็จะมีปัญหาเรื่องของริดสีดวงทวาร ตามมาได้นะคะ
00:03:10 → 00:03:14 บางคนถ้าเกิดว่ามีเรื่องของไส้เลื่อน หรือเคยผ่าตัด
00:03:14 → 00:03:16 ก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องของ ไส้เลื่อนได้เหมือนกัน
00:03:16 → 00:03:18 เวลาที่เราเบ่ง ต้องบอกนิดนึงก่อนว่า
00:03:18 → 00:03:21 แรงดันในช่องท้องนี่ มันจะค่อนข้างสูงนะคะ
00:03:22 → 00:03:24 แล้วก็จะทำให้มีปัญหาเรื่องของไส้เลื่อนได้
00:03:24 → 00:03:28 สำหรับปัญหาเรื่องของท้องผูก ตอนนี้ก็จะได้ยินบ่อยมากนะคะ
00:03:28 → 00:03:29 แล้วหลาย ๆ คนก็จะบอกว่า
00:03:29 → 00:03:31 เดี๋ยวนี้คนท้องผูกกันเยอะขึ้น
00:03:31 → 00:03:34 พฤติกรรมหรือการใช้ชีวิตประจำวัน ของเราทุกวันนี้
00:03:34 → 00:03:36 มีอะไรบ้างที่จะทำให้เราเสี่ยง
00:03:36 → 00:03:39 หรือว่าทำให้เรามีโอกาสที่จะท้องผูกง่ายขึ้น
00:03:39 → 00:03:41 เอาง่าย ๆ เลย ไล่ไปทีละข้อนะคะ
00:03:41 → 00:03:45 อันแรกเลยก็คือ พฤติกรรมที่นั่ง ๆ นอน ๆ แล้วไม่ค่อยจะเดิน
00:03:45 → 00:03:49 เวลาที่เรามีการเดินหรือมีการเคลื่อนไหว ลำไส้เราก็จะบีบตัว
00:03:49 → 00:03:51 ลองนึกภาพเนอะ เรากินอาหารลงไป
00:03:51 → 00:03:53 แล้วมันก็จะต้องไหลไปจนกระทั่งมันออกนี่
00:03:53 → 00:03:55 ถ้าลำไส้มันนอนอยู่นิ่ง ๆ มันไม่ขยับ
00:03:55 → 00:03:57 อันนี้ก็จะทำให้ท้องผูกได้
00:03:57 → 00:04:01 เพราะฉะนั้นการที่เราอยู่นิ่ง ๆ มันจะทำให้ลำไส้เราขยับตัวน้อยลง
00:04:01 → 00:04:03 ถ้าเกิดเรามีการเคลื่อนไหวร่างกายเยอะขึ้น
00:04:03 → 00:04:06 มันก็จะทำให้ช่วย ในเรื่องของการบีบตัวของลำไส้
00:04:07 → 00:04:09 ถ้าชีวิตเรานั่ง ๆ นอน ๆ เยอะ ๆ
00:04:09 → 00:04:12 อันนี้เราเสี่ยงแล้ว ที่จะทำให้เกิดท้องผูกนะคะ
00:04:12 → 00:04:17 อันที่สอง เรากินอาหารพวกที่มันเป็น ไฟเบอร์หรือว่าใยอาหารน้อย
00:04:17 → 00:04:19 ต้องนึกภาพว่า ในลำไส้เรา
00:04:19 → 00:04:22 สิ่งที่เราจะทิ้งไปก็คือ ของที่มันเป็นกากใยถูกไหมคะ
00:04:22 → 00:04:26 ถ้าเราใส่กากใยลงไปน้อย มันก็จะมีน้อย
00:04:26 → 00:04:29 เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะทำให้ท้องผูกก็มีมากขึ้น
00:04:30 → 00:04:31 อันที่สามค่ะ
00:04:31 → 00:04:34 ก็คือเรื่องของการดื่มน้ำนะคะ
00:04:34 → 00:04:36 ถ้าเกิดเราดื่มน้ำไปน้อยนะคะ
00:04:36 → 00:04:40 น้ำ ปริมาณน้ำ หรือปริมาณของอุจจาระก็จะลดลง
00:04:40 → 00:04:43 แล้วที่สำคัญคือลำไส้ใหญ่ มีหน้าที่คอยดูดน้ำกลับ
00:04:43 → 00:04:44 มันก็จะยิ่งแห้ง
00:04:44 → 00:04:48 พอแห้งปุ๊บ ปริมาณน้อย ๆ มันก็จะทำให้ไม่มีแรงเบ่ง
00:04:48 → 00:04:51 ทำให้ลำไส้เราไม่ขยาย มันก็จะไม่บีบตัว
00:04:51 → 00:04:53 คือลำไส้เรานี่ เวลาที่เขาขยาย
00:04:53 → 00:04:55 นึกภาพเป็นงูเหลือมค่ะ
00:04:55 → 00:04:56 เวลาที่มันมีอะไรเข้าไปปุ๊บนี่
00:04:56 → 00:04:59 มันก็จะมีแรงบีบ แล้วก็ค่อย ๆ ดันไป
00:04:59 → 00:05:00 แต่ถ้าของมันเล็ก ๆ ค่ะ
00:05:00 → 00:05:02 ปริมาตรมันน้อย ๆ
00:05:02 → 00:05:05 มันก็จะทำให้แรงดันตรงนั้นมันลดลง
00:05:05 → 00:05:09 แล้วหลายทีก็จะทำให้มีปัญหา เรื่องของท้องผูกได้เหมือนกัน
00:05:09 → 00:05:12 อันถัดมาค่ะ ก็จะเป็นเรื่องของอาหาร
00:05:12 → 00:05:17 อาหารอะไรบ้างที่จะทำให้ลำไส้เรา ทำงานลดลงหรือว่าบีบตัวช้าลง
00:05:18 → 00:05:19 หนึ่ง อาหารมันค่ะ
00:05:19 → 00:05:22 ของมันจะเป็นของที่ทำให้ลำไส้เราบีบตัวช้าลง
00:05:22 → 00:05:24 เพราะฉะนั้น อาจจะต้องเลี่ยงนะคะ
00:05:24 → 00:05:27 หรือว่าระมัดระวังนิดนึง ถ้าเรามีปัญหาเรื่องท้องผูก
00:05:27 → 00:05:28 อันถัดมาก็จะเป็นพวกของ...
00:05:29 → 00:05:31 บางคนจะบอกว่าพวกชา กาแฟ
00:05:31 → 00:05:32 หรือแม้กระทั่งแอลกอฮอล์นี่
00:05:32 → 00:05:35 ก็อาจจะมีปัญหาเรื่องของ การบีบตัวของลำไส้ด้วย
00:05:35 → 00:05:36 แต่ว่าต้องบอกนิดนึงว่า
00:05:36 → 00:05:38 อันนี้มันขึ้นกับแต่ละคนนะคะ
00:05:39 → 00:05:40 คนอ้วนค่ะ
00:05:40 → 00:05:42 คนอ้วนก็จะมีปัญหาเหมือนกัน
00:05:42 → 00:05:45 ก็จะทำให้แรงดันในช่องท้องมันก็เยอะเนอะ
00:05:45 → 00:05:48 แล้วก็จะทำให้มีปัญหา เรื่องของท้องผูกได้เหมือนกัน
00:05:48 → 00:05:49 ความเครียด
00:05:50 → 00:05:54 ยิ่งเราเครียดมาก บางทีนี่ ก็จะทำให้การบีบตัวของลำไส้ลดลง
00:05:54 → 00:05:57 ก็จะทำให้ท้องผูกได้เหมือนกันนะคะ
00:05:57 → 00:06:00 สุดท้ายต้องระวังเรื่องยา โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ
00:06:00 → 00:06:03 คนที่นอนติดเตียงในผู้สูงอายุ
00:06:03 → 00:06:05 คนที่ไม่ค่อยขยับตัวแล้วก็กินยาเยอะ ๆ
00:06:05 → 00:06:09 กลุ่มนี้ค่ะ เสียงมาก ๆ ที่จะทำให้มีปัญหาเรื่องของท้องผูก
00:06:09 → 00:06:13 ยาที่เจอบ่อยที่สุดเลย ที่ผู้ใหญ่เกือบทุกท่านได้กัน
00:06:13 → 00:06:15 ก็จะเป็นกลุ่มของแคลเซียมค่ะ
00:06:15 → 00:06:18 เวลาที่คนได้รับแคลเซียม โดยเฉพาะแคลเซียมคาร์บอเนต
00:06:18 → 00:06:21 อันนี้ก็จะทำให้ท้องผูกได้พอสมควรนะคะ
00:06:21 → 00:06:23 เพราะฉะนั้นถ้าสมมุติว่าทานแคลเซียมอยู่
00:06:23 → 00:06:25 ก็อาจจะต้องระมัดระวังนิดนึง
00:06:25 → 00:06:26 ในยาเม็ดแคลเซียมหลาย ๆ ตัว
00:06:26 → 00:06:29 บางทีเขาจะเติมสารบางอย่างเข้าไป เช่น แมกนีเซียม
00:06:29 → 00:06:32 เพื่อจะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องของท้องผูก
00:06:32 → 00:06:34 สุดท้ายก็คือ ห้ามกลั้นอุจจาระนะคะ
00:06:34 → 00:06:36 เวลาที่เรากลั้นอุจจาระบ่อย ๆ นี่
00:06:36 → 00:06:40 มันจะทำให้ระบบการบีบตัวของลำไส้นี่ มันแปรปรวนไป
00:06:40 → 00:06:45 แล้วก็จะทำให้มีปัญหาในเรื่องของ การบีบตัวของลำไส้
00:06:45 → 00:06:46 แล้วก็มันจะไม่สัมพันธ์กัน
00:06:46 → 00:06:49 ตรงนี้ก็แนะนำว่า ไม่ควรจะกลั้นอุจจาระ
00:06:49 → 00:06:51 ทั้งหมดก็จะเป็น 9 พฤติกรรม
00:06:51 → 00:06:55 ที่ทำให้เรามีความเสี่ยง ในการที่จะเกิดเรื่องของท้องผูกค่ะ
00:06:55 → 00:07:00 [เสียงดนตรี]
00:07:00 → 00:07:03 ในกรณีที่เราท้องผูกอยู่ แล้วคำถามก็คือว่า
00:07:03 → 00:07:06 เอ๊ะ มันจะเป็นอะไรหรือเปล่า มันจะอันตรายกับชีวิตเราไหม
00:07:06 → 00:07:10 หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่ท้องผูก แล้วเราควรจะไปพบแพทย์นะคะ
00:07:10 → 00:07:13 ทีนี้ท้องผูกนี่ ต้องบอกนิดนึงก่อนว่า
00:07:13 → 00:07:17 ถ้าสมมุติว่ามันไหลลงไปได้ ก็จะไม่มีปัญหาเนอะ
00:07:17 → 00:07:20 เพราะฉะนั้นหลัก ๆ เลย เวลาที่ท้องผูกแล้วเราก็กังวลนะคะ
00:07:20 → 00:07:21 ทางการแพทย์ก็คือหมายความว่า
00:07:21 → 00:07:25 มันจะมีอะไรไปอุดกั้น ทางเดินอาหารหรือเปล่านะคะ
00:07:25 → 00:07:27 ที่อุดกั้นทางเดินอาหารที่เจอบ่อย ๆ
00:07:27 → 00:07:29 ยกตัวอย่างเช่น เรากลัวว่าเราจะเป็นมะเร็งไหม
00:07:29 → 00:07:32 เพราะฉะนั้นอาการที่น่าสนใจ
00:07:32 → 00:07:34 หรือว่าการที่ควรจะต้องระวัง
00:07:34 → 00:07:36 แล้วควรจะต้องไปพบแพทย์
00:07:36 → 00:07:39 อันที่หนึ่ง จะมีท้องผูก อาจจะสลับกับท้องเสีย
00:07:39 → 00:07:42 ลองนึกภาพว่าถ้ามันมีก้อนอยู่ในลำไส้เรานะคะ
00:07:42 → 00:07:44 แล้วทีนี้ มันก็ทำให้อุจจาระมันค้างอยู่
00:07:45 → 00:07:47 มันค้างอยู่นาน ๆ บางทีมันก็จะกลายเป็นของเหลว
00:07:47 → 00:07:49 แล้วก็ไหลออกไปได้นะคะ
00:07:49 → 00:07:52 เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีท้องผูกบ้าง ท้องเสียสลับกัน
00:07:52 → 00:07:54 อันนี้ควรจะไปพบแพทย์
00:07:54 → 00:07:55 อันที่สองค่ะ
00:07:55 → 00:07:58 ถ้าสมมุติว่าถ่ายเป็นเลือดนะคะ
00:07:58 → 00:07:59 อันนี้ก็ควรจะไปพบแพทย์
00:08:00 → 00:08:02 อันที่สาม เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
00:08:02 → 00:08:04 อันนี้ควรจะไปพบแพทย์ นึกออกไหมคะ
00:08:04 → 00:08:07 ท้องผูกสลับท้องเสีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
00:08:07 → 00:08:09 ถ่ายดำ หรือว่าถ่ายเป็นเลือดนะคะ
00:08:09 → 00:08:11 มีคลื่นไส้อาเจียนร่วมกับการท้องผูก
00:08:11 → 00:08:15 อันนี้เป็นอาการที่บอกว่า ควรจะต้องไปพบแพทย์นะคะ
00:08:15 → 00:08:18 หรือว่าซีดลงอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ในผู้ใหญ่นะคะ
00:08:18 → 00:08:22 แล้วก็อีกอันนึงค่ะ ในกรณีที่ท้องผูกเรื้อรังนะคะ
00:08:22 → 00:08:23 หลาย ๆ ท่านจะบอกว่า
00:08:23 → 00:08:26 ฉันท้องผูกมาเป็นปีแล้ว ท้องผูกแบบเรื้อรัง
00:08:26 → 00:08:28 แต่ถ้าท้องผูกแบบรุนแรงมาก ๆ
00:08:28 → 00:08:31 เช่น บางคนนี่ 4-5 วัน หรืออาทิตย์นึงนะ
00:08:31 → 00:08:35 หรือว่าอาจจะจำเป็นที่จะต้องใช้ ยาระบายปริมาณเยอะ ๆ
00:08:35 → 00:08:37 มีคนไข้เคยมาบอกว่า
00:08:37 → 00:08:39 ใช้ยาระบายเกือบ 100 เม็ดอย่างนี้ค่ะ
00:08:40 → 00:08:42 อันนี้ก็ควรจะมาตรวจนะคะ
00:08:42 → 00:08:45 เพื่อจะดูนิดนึงว่ามันมีปัญหาอะไร กับเรื่องของลำไส้หรือเปล่าค่ะ
00:08:45 → 00:08:47 ในกรณีที่คนไข้มีปัญหา
00:08:47 → 00:08:50 หรือว่ามีคนที่มาหา แล้วบอกว่ามีปัญหาเรื่องท้องผูกนี่
00:08:50 → 00:08:52 อันแรกเลยที่เราจะดูนะคะ
00:08:52 → 00:08:55 เราก็จะดูว่าท้องผูกอันนี้ เป็นท้องผูกที่อันตรายไหม
00:08:55 → 00:08:58 หรือว่าท้องผูกที่ดูแล้ว ไม่ได้อันตรายอะไรนะคะ
00:08:58 → 00:09:00 ท้องผูกที่อันตรายที่บอกไป เมื่อสักครู่นี้ก็คือ
00:09:00 → 00:09:02 มีเบื่ออาหาร มีน้ำหนักลด
00:09:02 → 00:09:04 มีท้องผูกสลับท้องเสีย
00:09:04 → 00:09:07 คนไข้ตรวจร่างกายแล้วได้ซีดลงนะคะ
00:09:07 → 00:09:08 หรือว่ามีการถ่ายดำ
00:09:08 → 00:09:09 อันนี้อันตรายเนอะ
00:09:09 → 00:09:11 อันนี้ก็ควรจะต้องไปตรวจเพิ่มเติม
00:09:11 → 00:09:15 อันที่สอง ถ้ามันไม่มีอาการอะไรพวกนี้เลย เราก็จะมาเช็กต่อว่า
00:09:15 → 00:09:17 มีสาเหตุไหมที่ทำให้ท้องผูก
00:09:17 → 00:09:21 ยกตัวอย่างเช่น ดูพฤติกรรม ดูยา ดูอะไรอย่างนี้นะคะ
00:09:21 → 00:09:24 ว่ามีอะไรที่ทำให้เกิดเรื่องของท้องผูกได้ไหม
00:09:24 → 00:09:28 ถ้ามีเราก็จะแก้ไข เช่น ถ้าเกิดสมมุติว่า มันเป็นจากยา
00:09:28 → 00:09:33 เราก็จะดูว่า ยาตัวนี้จะเปลี่ยนได้ไหม จะปรับได้ไหมนะคะ
00:09:33 → 00:09:36 หรือว่าจะมีโรคบางอย่าง ที่ทำให้เขามีปัญหาเรื่องท้องผูก
00:09:36 → 00:09:38 มีเกลือแร่บางอย่างที่ผิดปกติ
00:09:38 → 00:09:39 อันนี้เราก็จะตรวจไป
00:09:40 → 00:09:42 แล้วสุดท้ายถ้าสมมุติว่าเราหาไม่เจอ
00:09:42 → 00:09:45 แล้วเราก็คิดว่ามันอาจจะเป็นจากพฤติกรรม
00:09:45 → 00:09:47 เราก็จะมาปรับพฤติกรรมนะคะ
00:09:47 → 00:09:50 ร่วมกับ...อาจจะมีเรื่องของการให้ยาระบาย
00:09:50 → 00:09:52 เพื่อจะช่วยเขาด้วยนะคะ
00:09:52 → 00:09:54 แล้วก็มีการปรับพฤติกรรมควบคู่กันไป
00:09:55 → 00:09:58 แล้วก็นัดมาดูอีกทีนึงว่า ตรงนี้จะดีขึ้นหรือยังนะคะ
00:09:58 → 00:10:02 ในส่วนของการปรับพฤติกรรม สำหรับคนไข้ท้องผูกนะคะ
00:10:02 → 00:10:05 อันแรกเลยก็คือ ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา
00:10:05 → 00:10:09 ตอนเช้าตื่นมา แล้วก็ไปนั่งถ่ายในห้องน้ำนะคะ
00:10:09 → 00:10:13 จริง ๆ แล้วเวลาที่เรานั่งถ่ายในห้องน้ำ เราก็จะต้องมีการฝึกเรื่องของการหายใจ
00:10:13 → 00:10:16 ฝึกเรื่องของการใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องด้วย
00:10:16 → 00:10:18 เราจะไม่เบ่งโดยใช้กล้ามเนื้อ ที่ปอดหรือว่าที่หน้าอก
00:10:18 → 00:10:20 แต่ว่าเราจะใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง
00:10:20 → 00:10:23 เพื่อเบ่งให้มีการเพิ่มแรงดัน
00:10:23 → 00:10:26 แล้วก็จะทำให้ลำไส้มันบีบตัวได้ดีขึ้นนะคะ
00:10:26 → 00:10:28 เราจะไม่กลั้นอุจจาระนะคะ
00:10:28 → 00:10:32 ถ้าเกิดเมื่อไหร่เรารู้สึกว่าปวด เราก็ควรที่จะไปเข้าห้องน้ำเลยนะคะ
00:10:32 → 00:10:34 แล้วก็พยายามไม่เครียด
00:10:34 → 00:10:35 อันนี้ทำยาก
00:10:35 → 00:10:36 แต่ว่าถ้าเครียดมาก
00:10:36 → 00:10:40 ก็อาจจะทำให้มีปัญหา เรื่องของท้องผูกได้เช่นกันนะคะ
00:10:40 → 00:10:43 แล้วก็ดื่มน้ำให้เยอะขึ้นนะคะ
00:10:43 → 00:10:47 รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ หรือว่ามีใยอาหารเยอะขึ้นนะคะ
00:10:47 → 00:10:49 แล้วก็จะต้องดื่มน้ำให้เยอะขึ้นนะคะ
00:10:49 → 00:10:53 คำว่าเยอะขึ้นในที่นี้คือ อย่างน้อยประมาณ 2 ลิตร
00:10:53 → 00:10:55 ดื่มน้ำประมาณ 8 แก้วนะคะ
00:10:55 → 00:10:59 แล้วก็ควรจะรับอาหารที่มีเรื่องของไฟเบอร์ หรือว่าใยอาหารเพิ่มขึ้น
00:10:59 → 00:11:00 เพิ่มขึ้นแค่ไหน
00:11:01 → 00:11:03 ถ้าเกิดว่าเราไปอ่านดู เขาจะเขียนบอกค่ะ
00:11:03 → 00:11:05 20-30 กรัม
00:11:05 → 00:11:07 เอ๊ะ 20-30 กรัมนั้นคืออะไร
00:11:07 → 00:11:08 ก็จะมีผักเนอะ
00:11:08 → 00:11:11 ทีนี้ตรงนี้ค่ะมันจะมี...เขาเรียกว่าใยอาหาร
00:11:11 → 00:11:14 ที่มันจะเป็นแบบที่ละลายน้ำกับไม่ละลายน้ำ
00:11:14 → 00:11:18 ไม่ต้องสนใจก็ได้ เอาเป็นว่า เราจะกินทั้งสองอย่างนะคะ
00:11:18 → 00:11:19 ปริมาณอยู่ที่เท่าไหร่
00:11:19 → 00:11:22 ถ้าเป็นผักใบที่สุกแล้วนะคะ
00:11:22 → 00:11:24 เขาจะใช้คำว่า 1 ทัพพี หรือว่าประมาณกำปั้นนึง
00:11:25 → 00:11:26 อันนี้เป็นผักที่สุกแล้ว
00:11:27 → 00:11:28 ถ้าเป็นผักใบที่ยังไม่สุก
00:11:28 → 00:11:32 มันก็จะเป็น...เอาฝ่ามือ 2 อัน มารวมกัน
00:11:32 → 00:11:34 อันนี้นะคะ นับเท่ากับ 1 เนอะ
00:11:34 → 00:11:38 ถ้าสุกแล้ว ฝ่ามือเดียวอันนี้ ก็คือ 1 นะคะ
00:11:38 → 00:11:41 วันหนึ่งค่ะ ผักผลไม้รวมกันกินให้ได้ 5 ส่วน
00:11:41 → 00:11:44 ถ้าเกิดกินได้ประมาณ 5 ส่วน อันนี้เราบอกว่า
00:11:44 → 00:11:48 ไฟเบอร์หรือว่าใยอาหารนี่ มันจะอยู่ที่ประมาณสัก 20-30 กรัม
00:11:48 → 00:11:52 ถ้ากินได้ประมาณนี้มันก็จะเพียงพอ สำหรับสุขภาพที่ดี
00:11:52 → 00:11:55 แล้วก็ช่วยป้องกันเรื่องของท้องผูกได้ด้วย
00:11:55 → 00:12:00 [เสียงดนตรี]
00:12:00 → 00:12:03 ในเรื่องของอาหารนะคะ เมื่อกี้เราก็พูดไปคร่าว ๆ แล้ว
00:12:03 → 00:12:06 แต่ทีนี้บอกว่า โอ๊ย มานั่งคิดแล้วคิดไม่ออก
00:12:06 → 00:12:09 ว่าจะกินไฟเบอร์ยังไง 20-30 กรัมอะไรอย่างนี้
00:12:09 → 00:12:14 ใช้หลักการเดิมก็ได้ค่ะก็คือ ในจานอาหารเรา ควรจะมีผักครึ่งหนึ่ง
00:12:14 → 00:12:18 แล้วก็อีก 1 ใน 4 ก็ควรจะเป็นส่วนที่เป็นข้าว หรือคาร์โบไฮเดรตนะคะ
00:12:18 → 00:12:21 แล้วก็ส่วนที่มันเป็นโปรตีน อีกสักประมาณ 1 ใน 4 นะคะ
00:12:21 → 00:12:24 อันนี้ถ้าเรากิน 3 มื้อ แล้วก็มีผักครึ่งนึงทั้ง 3 มื้อ
00:12:24 → 00:12:29 อันนี้ก็ได้แล้วสำหรับในส่วนที่เป็น เรื่องของไฟเบอร์หรือว่าใยอาหาร
00:12:30 → 00:12:32 อาจจะรับประทานเป็นผลไม้เพิ่มขึ้นนิดนึงก็ได้
00:12:32 → 00:12:34 ในบางรายที่ต้องการไฟเบอร์เนอะ
00:12:34 → 00:12:39 แล้วก็บอกว่า เอ๊ะ กินผักอย่างเดียว อาจจะไม่ได้ ไม่มากพอเนอะ
00:12:39 → 00:12:40 ก็อาจจะเป็นลักษณะนั้น
00:12:40 → 00:12:43 หลายคนจะมีการเปลี่ยนโดยที่จะบอกว่า
00:12:43 → 00:12:46 เอ๊ะ ถ้าอย่างนั้น ขอเป็นน้ำผักผลไม้ปั่นได้ไหม
00:12:46 → 00:12:48 เพราะว่าฉันกินผักผลไม้ในอาหารได้น้อย
00:12:48 → 00:12:52 อันนี้ถามว่าได้ไหม ตอบว่าในส่วนของน้ำผักพอได้นะคะ
00:12:52 → 00:12:55 แต่ถ้าสมมุติว่าเป็น น้ำผลไม้ที่เอามาปั่นเยอะ ๆ นี่
00:12:55 → 00:12:58 อาจจะต้องระวังนิดนึง ถ้าสมมุติว่าเขาเป็นเบาหวาน
00:12:58 → 00:13:00 หรือว่าเขามีปัญหาเรื่องของน้ำหนักนะคะ
00:13:00 → 00:13:02 การรับประทานปริมาณมาก ๆ อย่างนี้
00:13:02 → 00:13:04 ก็อาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้
00:13:04 → 00:13:07 แล้วที่สำคัญค่ะ ถ้าจะกินผักผลไม้ปั่น
00:13:07 → 00:13:08 ไม่ควรจะแยกกาก
00:13:08 → 00:13:12 ก็คือปั่นรวมกันไปหมดเลย แล้วก็ทำให้เรากินได้ง่ายขึ้น
00:13:12 → 00:13:14 มันก็จะได้ไฟเบอร์นะคะ
00:13:14 → 00:13:17 แต่ว่าต้องระวังในเรื่องของน้ำตาล กับเรื่องของน้ำหนักเนอะ
00:13:18 → 00:13:22 ทีนี้ถ้าสมมุติว่า เราบอกว่า โอเค เราจะมีลักษณะของผักครึ่งหนึ่งใช่ไหมคะ
00:13:22 → 00:13:24 แล้วก็จะเป็นอาหารอย่างอื่นครึ่งหนึ่งนี่
00:13:24 → 00:13:26 เราก็ต้องมาดูว่า เอ๊ะ มันเป็นรูปแบบอะไร
00:13:26 → 00:13:28 จริง ๆ มันก็จะอยู่ในกลุ่ม ที่มันเป็นสลัดก็ได้
00:13:28 → 00:13:33 จะเป็นยำก็ได้ นึกออกไหมคะ อย่างนี้มันก็จะมีหลาย ๆ อย่างร่วมกัน
00:13:33 → 00:13:34 จะเป็นพวกก๋วยเตี๋ยวก็ได้
00:13:34 → 00:13:36 แต่ว่าคงต้องเป็นก๋วยเตี๋ยว ที่เพิ่มผักนิดนึงเนอะ
00:13:36 → 00:13:38 ไม่ใช่เหมือนปัจจุบันนี้ ที่มีว่าเป็นก๋วยเตี๋ยว
00:13:38 → 00:13:42 แต่ว่ามีผักชี 2 ใบอะไรอย่างนี้คงไม่ใช่นะคะ
00:13:42 → 00:13:45 แล้วก็จะเป็นกลุ่มของพวกเมี่ยงก็ได้
00:13:45 → 00:13:47 อันนี้ก็จะทำให้มีผักเยอะขึ้นนะคะ
00:13:47 → 00:13:49 ผักสลัดเป็นยำนะคะ
00:13:49 → 00:13:51 ถ้าสมมุติว่าจะเป็นผัดผักก็ได้เหมือนกัน
00:13:51 → 00:13:54 แต่อันนึงที่ต้องระวัง ก็คือของที่ต้องเลี่ยง
00:13:54 → 00:13:55 เมื่อกี้เล่าให้ฟังแล้วว่า
00:13:55 → 00:13:57 ถ้าเป็นอาหารที่มีไขมันสูง
00:13:58 → 00:14:00 มันจะทำให้ลำไส้บีบตัวช้าลงถูกไหมคะ
00:14:00 → 00:14:02 เพราะฉะนั้น คนที่มีปัญหาเรื่องของท้องผูก
00:14:02 → 00:14:04 เราอาจจะให้เลี่ยงของมันนิดนึง
00:14:04 → 00:14:07 เพราะฉะนั้น มันก็เลยจะไม่กลายไปเป็นของทอด
00:14:07 → 00:14:10 แล้วของทอดบอกว่าเป็นผัก ผักทอดได้ไหม
00:14:10 → 00:14:10 บอกว่าไม่ได้
00:14:10 → 00:14:12 ถ้าจะเป็นผัดผักได้ไหม
00:14:12 → 00:14:13 บอกว่าพอได้นะคะ
00:14:13 → 00:14:16 แต่ว่าถ้าเป็นผัดผัก คงไม่ได้แบบว่าน้ำมันเยอะจนเกินไป
00:14:16 → 00:14:19 ทีนี้ถ้าเราไปซื้อเขา แล้วมันเป็นผัดผักก็ต้องบอกว่า
00:14:19 → 00:14:22 เราอาจจะตักเฉพาะส่วนที่มันเป็นผักขึ้นมา
00:14:22 → 00:14:25 ส่วนที่มันเป็นเกรวี่หรือเป็นน้ำราด อาจจะกินให้น้อยหน่อย
00:14:25 → 00:14:27 เพราะว่าตรงนั้นมันจะมีน้ำมันเยอะขึ้น
00:14:27 → 00:14:29 ลักษณะนี้เป็นต้นนะคะ
00:14:29 → 00:14:33 แล้วก็จะมีเรื่องของผักผลไม้ ทั้งผักสด หรือจะเป็นน้ำผักผลไม้ก็ได้
00:14:33 → 00:14:35 อย่างที่บอกไปแล้วเมื่อสักครู่ค่ะ
00:14:35 → 00:14:38 เวลาที่เราพูดถึงคำว่าใยอาหารหรือไฟเบอร์นี่
00:14:38 → 00:14:42 จริง ๆ ถามว่ามันเหมือนกันหรือเปล่า มันมีกี่ประเภท มันเป็นอย่างไร
00:14:42 → 00:14:45 หลายคนก็บอกว่า ไปอ่านมาแล้ว เอ๊ะ มันต่างกันไหมนะคะ
00:14:46 → 00:14:49 จริง ๆ เราจะแยกส่วนที่เป็นใยอาหาร หรือไฟเบอร์เป็น 2 ส่วนค่ะ
00:14:49 → 00:14:53 ส่วนแรกเราเรียกว่าละลายน้ำ ส่วนที่ 2 เราจะเรียกว่าไม่ละลายน้ำ
00:14:53 → 00:14:55 จริง ๆ ในอาหารที่เรารับประทานกันอยู่นี่
00:14:55 → 00:15:00 มันจะมีทั้งส่วนที่เป็น ไฟเบอร์ที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำปนกัน
00:15:00 → 00:15:02 ถ้าจะให้เห็นภาพนี่ ต้องนึกก่อนเนอะ
00:15:02 → 00:15:04 สมมุติไม่ละลายน้ำ อย่างเช่นเรากินก้านคะน้า
00:15:04 → 00:15:07 แล้วเวลาเราถ่ายออกมา แล้วเราเห็นเป็นเส้น ๆ น่ะค่ะ
00:15:07 → 00:15:08 อันนั้นค่ะ ไม่ละลายน้ำ
00:15:08 → 00:15:10 ถ้าสมมุติว่าเป็นพวกของโอ๊ต
00:15:10 → 00:15:12 ข้าวโอ๊ตที่เรากินนะคะ
00:15:12 → 00:15:15 แล้วเราใส่นมลงไปปุ๊บ แล้วมันพองออกมา เห็นภาพใช่ไหมคะ
00:15:15 → 00:15:18 หรือว่าเรากินแอปเปิล แล้วเราเอามือไปบี้เนื้อแอปเปิล
00:15:18 → 00:15:22 แล้วเรารู้สึกว่ามันจะมีความเหมือนกับน้ำ ๆ
00:15:22 → 00:15:26 หรือว่าแมงลัก แมงลักที่เราเอาไปแช่น้ำ แล้วมันมีวุ้นพอง ๆ
00:15:26 → 00:15:28 อันนั้นค่ะคือไฟเบอร์ที่เป็นละลายน้ำ
00:15:28 → 00:15:32 เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วถามว่าในแมงลักนี่ มันมีแค่ไฟเบอร์ละลายน้ำไหม
00:15:32 → 00:15:32 ไม่ค่ะ
00:15:32 → 00:15:34 ตรงสีดำ ๆ กลาง ๆ น่ะค่ะ
00:15:34 → 00:15:36 ตรงที่มันเป็นแข็ง ๆ
00:15:36 → 00:15:38 อันนั้นคือส่วนที่มันไม่ละลายน้ำ
00:15:38 → 00:15:40 เพราะฉะนั้นในอาหารที่เรารับประทานนี่
00:15:40 → 00:15:45 มันมีส่วนของทั้งไฟเบอร์ ที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำปน ๆ กัน
00:15:45 → 00:15:48 แต่บางอย่างมันจะมีไฟเบอร์ที่ละลายน้ำเด่น
00:15:48 → 00:15:51 บางอย่างมีไฟเบอร์ไม่ละลายน้ำเด่น
00:15:51 → 00:15:53 ลักษณะนี้เป็นต้นนะคะ
00:15:53 → 00:15:56 คุณสมบัติเวลาที่เรารับประทานเข้าไปนี่
00:15:56 → 00:15:57 ก็จะแตกต่างกันนิดนึง
00:15:57 → 00:16:00 อันที่เป็นไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำเนอะ
00:16:00 → 00:16:03 อันนี้ก็จะไปทำให้อุจจาระมันฟอร์มเป็นก้อน
00:16:03 → 00:16:06 ทำให้เพิ่มปริมาณของอุจจาระ
00:16:06 → 00:16:08 แล้วก็มันก็อาจจะมีส่วนในเรื่องของ
00:16:08 → 00:16:12 การที่จะไปเป็นอาหาร ให้กับแบคทีเรียในลำไส้ของเรา
00:16:12 → 00:16:16 ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่เป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำ
00:16:16 → 00:16:18 อันนี้มันพองตัวเห็นไหมคะ
00:16:18 → 00:16:22 มันจะช่วยเรื่องของการดูดซึม เรื่องของสารอาหารนะคะ
00:16:22 → 00:16:26 ทำให้การดูดซึมสารอาหาร โดยเฉพาะพวกน้ำตาลหรือไขมันนี่ช้าลง
00:16:26 → 00:16:28 ลําไส้บีบตัวช้าลง
00:16:28 → 00:16:31 ในขณะที่ไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำ มันไปเพิ่มปริมาณอุจจาระ
00:16:31 → 00:16:34 อันนี้มันไปกระตุ้นแล้ว ลำไส้ก็จะบีบตัวเร็วขึ้น
00:16:34 → 00:16:39 ดังนั้นเวลาคนที่ท้องผูก เราอยากได้อะไร เราอยากได้แบบที่ไม่ละลายน้ำ
00:16:39 → 00:16:41 เพราะเราอยากได้ปริมาณอุจจาระ
00:16:41 → 00:16:44 เราอยากให้ลำไส้มันบีบตัวเร็ว ๆ มันจะได้ถ่ายได้ใช่ไหมคะ
00:16:45 → 00:16:46 แต่ในความเป็นจริงคือเวลาเราซื้อนี่
00:16:46 → 00:16:49 หรือเวลาที่เรากินนี่ เราได้ทั้งสองอย่าง
00:16:49 → 00:16:52 เขาถึงบอกว่า ให้เรากินผักเยอะขึ้น เห็นไหมคะ
00:16:52 → 00:16:56 เพราะว่าในผักนี่ โดยเฉพาะผักใบ ที่มันเป็นเส้น ๆ
00:16:56 → 00:17:00 อันนี้มันจะมีส่วนที่เป็นเรื่องของ ไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำเยอะขึ้นค่ะ
00:17:01 → 00:17:06 [เสียงดนตรี]
00:17:06 → 00:17:09 แล้วก็ถ้าสมมุติว่าเราปรับเรื่องของ พฤติกรรมไปแล้วนะคะ
00:17:09 → 00:17:13 สุดท้ายมันก็จะมาอยู่ในกลุ่ม ที่จะเป็นเรื่องของยาซึ่งจะเป็นตัวช่วย
00:17:13 → 00:17:17 ในแง่ของยา เขาเรียกว่ายาระบายใช่ไหมคะ
00:17:17 → 00:17:19 หรือว่ายาที่ช่วยเรื่องของการท้องผูกนี่
00:17:19 → 00:17:21 จริง ๆ ต้องบอกว่ามันเหมือนยาลดไข้ค่ะ
00:17:21 → 00:17:22 มันไม่ได้แก้ที่สาเหตุ
00:17:22 → 00:17:25 มันเป็นการรักษาตามอาการนะคะ
00:17:25 → 00:17:26 ถามว่ามีอะไรบ้าง
00:17:26 → 00:17:30 อันแรกเลยก็คือเป็นยา กลุ่มที่ไปกระตุ้นให้ลำไส้เราบีบตัว
00:17:30 → 00:17:33 แล้วมันก็จะทำให้เราถ่ายออกไปได้นะคะ
00:17:33 → 00:17:37 กลุ่มที่ 2 นี่ก็จะเป็นยาที่จะไปทำให้ มีความเข้มข้นสูง ๆ
00:17:37 → 00:17:40 เมื่อยามีความเข้มข้นสูง ๆ แล้วอยู่ในลำไส้
00:17:40 → 00:17:43 มันจะดูดน้ำในตัวเราเข้าไปในลำไส้
00:17:43 → 00:17:47 ก็จะทำให้ปริมาณของอุจจาระในลำไส้มันเยอะขึ้น
00:17:47 → 00:17:51 แล้วไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบหรือว่าถ่ายออกมา
00:17:51 → 00:17:55 อันสุดท้ายนี่ก็จะเป็นยา กลุ่มที่จะเป็นเรื่องของยาเหน็บ
00:17:55 → 00:17:58 ซึ่งอันนี้ก็จะไปทำให้เหมือนกับ
00:17:58 → 00:18:02 ไปกระตุ้นตรงบริเวณของหูรูด ที่ลำไส้ที่ทวารหนัก
00:18:02 → 00:18:04 แล้วทำให้เราถ่ายออกมานะคะ
00:18:04 → 00:18:08 อันแรกก่อน ยาที่เพิ่มการบีบตัวของลำไส้ ที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ
00:18:08 → 00:18:09 หรือเรากินกันบ่อย ๆ
00:18:10 → 00:18:12 ก็จะเป็นกลุ่มของพวกมะขามแขกนะคะ
00:18:12 → 00:18:15 หรือว่าที่เราไปซื้อกันเนอะ
00:18:15 → 00:18:16 ทีนี้ตรงนี้ถามว่าอันตรายไหม
00:18:16 → 00:18:19 ต้องบอกนิดนึงก่อนว่า กลุ่มนี้เวลาที่เราใช้นี่
00:18:19 → 00:18:23 ถ้าเราใช้เรื่อย ๆ สิ่งที่เกิดขึ้น ลำไส้เราจะชินเนอะ
00:18:23 → 00:18:26 แล้วหลาย ๆ คนก็คือ เริ่มต้น เราอาจจะกินเม็ดเดียว
00:18:26 → 00:18:30 แต่พอเวลาผ่านไป กลายเป็น 2 เม็ด 3 เม็ด 4 เม็ดอะไรอย่างนี้
00:18:30 → 00:18:33 พวกนี้มันจะเหมือน...ใช้คำว่าดื้อก็ได้เนอะ
00:18:33 → 00:18:35 ในระยะยาว ถ้าเราใช้ไปเรื่อย ๆ ค่ะ
00:18:35 → 00:18:38 เราต้องการใช้ยาที่ปริมาณเพิ่มขึ้น
00:18:38 → 00:18:39 อันที่แบบว่ามีปัญหามากที่สุด
00:18:39 → 00:18:42 คือในบางรายนะคะที่มีท้องผูกเรื้อรัง
00:18:42 → 00:18:44 แล้วเป็นระยะเวลายาวนานนี่
00:18:44 → 00:18:49 หลายคนนี่ก็อาจจะจำเป็นที่จะต้อง ได้รับการผ่าตัดด้วยซ้ำไป
00:18:49 → 00:18:51 แต่ว่าการผ่าตัดตรงนี้มันขึ้นกับสาเหตุ
00:18:51 → 00:18:53 ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสมมุตินะคะ
00:18:53 → 00:18:57 เขาท้องผูกเป็นเพราะว่าเขามีเนื้องอก หรือว่าเป็นมะเร็ง
00:18:57 → 00:19:00 อันนี้คือการผ่าตัดรักษาโรคนะ
00:19:00 → 00:19:03 อันที่ 2 คนไข้ที่เคยผ่าตัดในช่องท้อง
00:19:03 → 00:19:05 แล้วมีปัญหาเรื่องท้องผูกนะคะ
00:19:05 → 00:19:07 หรือว่ามีปัญหาเรื่องของคลื่นไส้อาเจียน
00:19:07 → 00:19:10 อันนี้ก็คืออาจจะมีลักษณะ ที่เราเรียกว่าเป็นพังผืดเนอะ
00:19:10 → 00:19:12 แล้วก็ไปยึดลำไส้
00:19:12 → 00:19:15 อันนี้ก็จะทำให้เรื่องของลำไส้อุดตัน ก็อาจจะจำเป็นต้องผ่าตัด
00:19:15 → 00:19:17 ก็จะมีอีกกลุ่มนึง
00:19:17 → 00:19:20 ก็จะเป็นกลุ่มที่ไม่รู้สาเหตุจริง ๆ นะคะ
00:19:20 → 00:19:22 แล้วก็มีท้องผูกเรื้อรังนะคะ
00:19:22 → 00:19:25 แล้วก็ลำไส้นี่มันไม่ยอมทำงานเนอะ
00:19:25 → 00:19:29 อันนี้หลายครั้งก็อาจจะต้องจบ ด้วยการผ่าตัดเหมือนกันนะคะ
00:19:29 → 00:19:33 แต่ว่าอย่างไรก็ตามอันนี้คือในกรณีที่ เป็นเคสที่มันเป็นรุนแรง
00:19:33 → 00:19:35 มันไม่ได้เจอบ่อย
00:19:35 → 00:19:37 แต่ถ้าสมมุติว่า เรากังวลว่าเราจะเป็นอย่างนั้น
00:19:37 → 00:19:40 ถึงบอกไงคะว่า ถ้าสมมุติเรามีปัญหา
00:19:40 → 00:19:43 แล้วก็มีเรื่องของท้องผูกเรื้อรัง เป็นระยะเวลายาวนานนะคะ
00:19:43 → 00:19:46 ก็แนะนำว่าควรจะต้องไปเจอคุณหมอ
00:19:46 → 00:19:47 ยาวนานในที่นี้เท่าไหร่
00:19:47 → 00:19:50 โดยทั่วไป เกิน 6 เดือนนี่ก็ไม่ไหวแล้วค่ะ
00:19:50 → 00:19:51 คนไข้ก็ทนไม่ค่อยไหวแล้ว
00:19:51 → 00:19:56 สัก 3-4 เดือนหลายคน เอ๊ะ ต้องใช้ยาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นะคะ
00:19:56 → 00:19:58 ทำแล้วมันไม่ดีขึ้นเลยอะไรอย่างนี้
00:19:58 → 00:20:00 ส่วนใหญ่ก็แวะมาคุยกัน
00:20:00 → 00:20:04 คุณหมอเขาก็จะมองหาสาเหตุก่อนว่า มันมีอะไรที่แก้ไขได้ไหม
00:20:04 → 00:20:08 มีอะไรที่สามารถจะทำให้เกิด เรื่องของท้องผูกได้หรือเปล่านะคะ
00:20:08 → 00:20:10 หลังจากนั้น ลองดูซิว่าถ้าเราปรับตัว
00:20:10 → 00:20:13 เรามีการใช้ยาร่วมด้วยแล้ว มันจะได้หรือเปล่า
00:20:13 → 00:20:15 สุดท้ายถ้ามันไม่ได้ มันก็จะมีการตรวจเพิ่มเติม
00:20:15 → 00:20:18 ในแต่ละรายนี่ ตามขั้นตอนต่อไปค่ะ
00:20:18 → 00:20:23 [เสียงดนตรี]
00:20:23 → 00:20:25 นอกเหนือจากสาเหตุที่จะทำให้ท้องผูก
00:20:25 → 00:20:28 เป็นจากยา ที่คนไข้รับประทานทั่ว ๆ ไปแล้วนี่นะคะ
00:20:28 → 00:20:30 ก็จะมีโรคทางกายหลาย ๆ อย่างเหมือนกัน
00:20:30 → 00:20:33 ที่อาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องของท้องผูกนะคะ
00:20:33 → 00:20:35 ยกตัวอย่างเช่น โรคทางระบบประสาท
00:20:35 → 00:20:38 ทำให้การบีบตัวของลำไส้ทำงานได้ไม่ดี
00:20:38 → 00:20:41 ที่เจอบ่อย ๆ ยกตัวอย่างนะคะ คือกลุ่มของไทรอยด์
00:20:41 → 00:20:43 โรคเบาหวานที่เป็นมาเรื้อรัง
00:20:43 → 00:20:47 บางทีก็อาจจะทำให้ท้องผูกได้เหมือนกันนะคะ
00:20:47 → 00:20:51 อีกอันหนึ่งก็คือ คนที่มีปัญหากับเรื่องของไขสันหลัง
00:20:51 → 00:20:53 หรือว่าเส้นประสาทที่หลังนะคะ
00:20:54 → 00:20:56 แล้วจะทำให้มีปัญหาตรงนี้ได้
00:20:56 → 00:20:58 เกลือแร่ที่ผิดปกติบางอย่าง
00:20:58 → 00:21:02 ก็จะทำให้คนไข้มีปัญหา เรื่องของท้องผูกได้เช่นกันนะคะ
00:21:02 → 00:21:04 อันนี้ก็อาจจะต้องไปมองหา
00:21:04 → 00:21:06 อันหนึ่งที่อาจจะเจอได้ไม่บ่อย
00:21:06 → 00:21:11 ก็คือโรคที่เป็นเรื่องของการบีบตัว ของบริเวณของอุ้งเชิงกราน
00:21:11 → 00:21:12 กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานนะคะ
00:21:12 → 00:21:16 อาจจะทำให้การบีบตัวตรงนั้น ทำงานไม่สอดคล้องกันนะคะ
00:21:16 → 00:21:19 แล้วก็เลยทำให้คนไข้มีปัญหาเรื่องของท้องผูก
00:21:19 → 00:21:22 การเบ่งถ่ายหรืออะไรอย่างนี้มันจะทำได้ไม่ดี
00:21:22 → 00:21:25 เพราะว่าแรงมันจะไม่สัมพันธ์กันนะคะ
00:21:25 → 00:21:30 อันนี้ก็ควรจะต้องไปหาคุณหมอ เพื่อหาสาเหตุและแก้ไขให้ตรงจุดค่ะ
00:21:30 → 00:21:33 สำหรับอาการท้องผูก หลาย ๆ คนก็มองว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ๆ เนอะ
00:21:33 → 00:21:36 ก็ท้องผูกก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ก็ไปซื้อยาระบายมารับประทานก็ได้
00:21:37 → 00:21:39 หลาย ๆ คนก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ นะคะ
00:21:39 → 00:21:42 จนกระทั่งตอนนี้มาเจอคนไข้ รายล่าสุดที่เคยเจอนี่
00:21:42 → 00:21:45 คนไข้บอกว่าไปซื้อยาระบายมารับประทาน
00:21:45 → 00:21:49 ตอนแรกนี่เคยเจอมากสุดคือ ประมาณ 20-30 เม็ดต่อวัน
00:21:49 → 00:21:51 ที่เคยบอกนะคะว่าคนไข้มักจะซื้อ
00:21:51 → 00:21:54 บอกว่าเป็นยาเม็ดมะขามอะไรอย่างนี้นะคะ
00:21:54 → 00:21:57 เสร็จแล้วกินเข้าไปแล้วนี่ปุ๊บ จากเดิมกินเม็ดนึง
00:21:57 → 00:21:59 แล้วก็ต้องค่อย ๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ
00:21:59 → 00:22:02 เมื่อก่อนนี่ ได้ยิน 20 เม็ด ก็แอบตกใจนิดนึงแล้ว
00:22:02 → 00:22:05 จนกระทั่งล่าสุดนี่ค่ะ คนไข้บอกว่าต้องกินวันละ 200 เม็ด
00:22:05 → 00:22:08 ก็เลยตกใจบอก หา! ทำไมต้องกินวันละ 200 เม็ด
00:22:08 → 00:22:13 เขาบอกว่าถ้าเขากินน้อยกว่านี้ เขาจะรู้สึกว่าเขาไม่สามารถจะถ่ายได้นะคะ
00:22:13 → 00:22:15 จริง ๆ นี่ ถามว่าซื้อกินเองได้ไหม
00:22:15 → 00:22:17 ถ้าช่วงเวลาสั้น ๆ น่ะค่ะ
00:22:17 → 00:22:20 แนะนำว่าก็ได้เหมือนกันนะคะ คือเป็นการปรับตัว
00:22:20 → 00:22:23 แต่ถ้ามันเป็นระยะเวลายาวนาน เช่น เกิน 3 เดือน 6 เดือนอย่างนี้
00:22:23 → 00:22:25 แล้วเราต้องใช้ยาระบายมาตลอดอย่างนี้ค่ะ
00:22:26 → 00:22:29 มันควรต้องหาสาเหตุแล้วว่ามันเป็นจากอะไร
00:22:29 → 00:22:33 แล้วมาดูว่าสาเหตุนี้สามารถแก้ไขได้ไหม
00:22:33 → 00:22:35 มันก็มีโรคบางอย่างหรือภาวะบางอย่าง
00:22:35 → 00:22:39 ที่ทำให้ลำไส้มันไม่บีบตัว หรือว่าบีบตัวน้อยนะคะ
00:22:39 → 00:22:43 แล้วทำให้คน ๆ นั้น มีปัญหาเรื่องของท้องผูกเรื้อรังนะคะ
00:22:43 → 00:22:45 ซึ่งถ้าเราไม่มาหาสาเหตุค่ะ
00:22:45 → 00:22:49 สิ่งที่เกิดขึ้น มันก็จะนำไปสู่ภาวะต่าง ๆ อีกมากมาย
00:22:49 → 00:22:51 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเกลือแร่ผิดปกตินะคะ
00:22:51 → 00:22:55 เรื่องของความเครียดนะคะ เรื่องของแรงดันในช่องท้องที่สูงขึ้น
00:22:55 → 00:22:58 มีริดสีดวงทวารหรืออะไรก็แล้วแต่นะคะ
00:22:58 → 00:23:01 เพราะฉะนั้นตรงนี้ ถ้าเกิดสมมุติว่าภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
00:23:01 → 00:23:03 แล้วเราจะซื้อยารับประทานเอง
00:23:03 → 00:23:06 ก็อาจจะบอกว่าไม่ได้อันตรายมากนัก ใช้คำนี้นะคะ
00:23:07 → 00:23:08 แต่ว่าต้องดูนิดนึงก่อนว่า
00:23:08 → 00:23:14 เราจะต้องไม่มีอาการที่ผิดปกติ เช่น ถ่ายดำ ถ่ายเป็นเลือด
00:23:14 → 00:23:19 คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง ท้องผูกสลับท้องเสียที่พูดไปตั้งแต่ต้นนะคะ
00:23:19 → 00:23:22 ถ้าไม่มีอะไรเลย กินช่วงสั้น ๆ คงไม่เป็นไร
00:23:22 → 00:23:26 แต่ถ้าเมื่อไหร่นานเกินกว่า 3 เดือน 6 เดือน แนะนำว่ามาหาหมอได้แล้วค่ะ
00:23:26 → 00:23:29 จะได้มาหาสาเหตุที่ชัดเจนว่าเป็นจากอะไร
00:23:29 → 00:23:32 แล้วก็เริ่มต้นการรักษาที่ถูกต้องค่ะ
00:23:32 → 00:23:34 ก็สรุปนะคะสำหรับปัญหาเรื่องของท้องผูก
00:23:34 → 00:23:36 จะฟังว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ก็เรื่องเล็กเนอะ
00:23:37 → 00:23:43 แต่จะฟังว่า ท้องผูกเองก็เป็นปัญหา ที่จะนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายตามมา
00:23:43 → 00:23:46 เพราะฉะนั้นนี่ ก็ควรจะต้องสังเกตตัวเองนิดนึงนะคะ
00:23:46 → 00:23:48 ว่าตอนนี้เวลาที่เราท้องผูกนี่
00:23:49 → 00:23:53 เรามีอาการพิเศษที่ทำให้น่าสนใจ ต้องไปเจอแพทย์หรือยังนะคะ
00:23:53 → 00:23:56 อันที่สองก็คือ การซื้อยามารับประทานเองนี่
00:23:56 → 00:23:58 ใช้ได้ค่ะ แต่ช่วงสั้น ๆ
00:23:58 → 00:24:01 ที่สำคัญ เราควรจะต้องมาปรับ ในเรื่องของพฤติกรรม
00:24:01 → 00:24:03 ที่อาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องของท้องผูก
00:24:04 → 00:24:07 มาหาซิว่ามันมีโรคทางกายที่ทำให้ท้องผูกไหม
00:24:07 → 00:24:09 ดูเรื่องของยานะคะ
00:24:09 → 00:24:13 แล้วหลังจากนั้นเราก็มาปรับในเรื่องของ พฤติกรรมเลือกอาหารให้เหมาะสมนะคะ
00:24:13 → 00:24:16 ดื่มน้ำให้เพียงพอ ออกกำลังกาย
00:24:16 → 00:24:18 ลดพฤติกรรมนั่ง ๆ นอน ๆ นะคะ
00:24:18 → 00:24:20 กินไฟเบอร์ให้เยอะขึ้นนะคะ
00:24:20 → 00:24:25 ตรงนี้ก็จะเป็นทางเลือกอันหนึ่งที่จะทำให้เรา แก้ปัญหาเรื่องของท้องผูกได้ค่ะ
00:24:25 → 00:24:30 พบกับรายการ Food Choice กินดี สุขภาพดีเลือกได้
00:24:30 → 00:24:32 ทุกวันจันทร์เวลา 18:00 น.
00:24:32 → 00:24:34 ที่ Mahidol Channel Podcast
00:24:34 → 00:24:36 ผ่านช่องทาง Facebook Mahidol Channel
00:24:36 → 00:24:38 YouTube Mahidol Channel
00:24:38 → 00:24:39 Apple Podcasts
00:24:39 → 00:24:41 Spotify
00:24:41 → 00:24:41 Anchor
00:24:41 → 00:24:42 Blockdit
00:24:45 → 00:24:50 ดำเนินรายการโดยหมอเอ๋ ผศ.พญ.ดรุณีวัลย์ วโรดมวิจิตร
00:24:50 → 00:24:53 [เสียงดนตรี]