00:00:00 → 00:00:02 เนื้อที่แช่ช่องฟริเก็บได้นานแค่ไหนครับ
00:00:02 → 00:00:05 แล้วจริงมที่มันเก็บไว้ได้ตลอดไป
00:00:05 → 00:00:06 >> เก็บไว้เป็น 10 ปีก็ได้ไม่มีปัญหา
00:00:06 → 00:00:07 >> จริงป่ะเนี่ย
00:00:07 → 00:00:10 >> เชื้อไม่โตแต่กินได้หรือเปล่าเพราะมันหืน
00:00:10 → 00:00:13 >> อ๋ออาหารที่มีเชื้อราขึ้นถ้าตัดส่วนที่มี
00:00:13 → 00:00:15 เชื้อออกยังสามารถกินส่วนที่เหลือได้มั้ย
00:00:15 → 00:00:18 >> โอขึ้นอยู่กับอาหารถ้าเป็นอาหารเนื้อแข็ง
00:00:18 → 00:00:21 ควานได้ถ้าอาหารเนื้อนิ่มมันจะชอนลงไป
00:00:21 → 00:00:23 คว้านยังไงก็ยังอยู่ข้างในอาหารเนื้อนิ่ม
00:00:24 → 00:00:25 ใช้อะไรอ่ะขนมปัง
00:00:25 → 00:00:28 >> เค้กอน้ำกระป๋องที่เปิดฝาแล้วเก็บในตู้
00:00:28 → 00:00:30 เย็นได้มั้ครับเราเก็บนานได้แค่แค่ไหน
00:00:30 → 00:00:32 >> มันมันจะไม่เสียเชิงเชื้อนะเพราะน้ำ
00:00:32 → 00:00:34 กระป๋องส่วนใหญ่เขาใส่วัตถุกันเสียส่วน
00:00:34 → 00:00:36 ใหญ่ใส่โซเดียมเบนโซลเอateแต่ไอ้พวกน้ำ
00:00:36 → 00:00:39 กระป๋องอ่ะขอร้องหลายคนมองข้ามก่อนกินน่ะ
00:00:39 → 00:00:39 >> ครับ
00:00:39 → 00:00:40 >> เช็ด
00:00:40 → 00:00:42 >> เออเรื่องนี้อีกเรื่องนึงที่
00:00:42 → 00:00:43 >> ต้องเช็ดนะ
00:00:43 → 00:00:46 >> มันมีเคสเมืองนอกอ่ะกินเข้าไปติดเชื้อโรค
00:00:46 → 00:00:48 จากฉี่หนูตายเพราะบางทีกระป๋องอยู่ในโรง
00:00:48 → 00:00:50 งานน่ะไม่รู้อะไรมาเราไม่รู้ว่าโรงงาน
00:00:50 → 00:00:51 สะอาดแค่ไหนหรือมีฝุ่นน่ะ
00:00:52 → 00:00:54 >> ครับอยากรู้มั้ครับว่านมที่เลยวันที่
00:00:54 → 00:00:56 กำหนดไว้ข้างกล่องไปแล้วยังกินต่อได้ไหม
00:00:56 → 00:00:59 ของที่ตกพื้น 5 วินาทียังกินได้หรือเปล่า
00:00:59 → 00:01:01 คนไทยทนต่อเชื้อโรคได้มากกว่าชาวต่างชาติ
00:01:01 → 00:01:04 จริงมยแล้วเนื้อที่เก็บไว้ในตู้เย็นอยู่
00:01:04 → 00:01:06 ได้ตลอดไปจริงเหรอผมไปรวบรวมคำถามเกี่ยว
00:01:06 → 00:01:08 กับความปลอดภัยในอาหารเหล่านี้มาตั้งแต่
00:01:08 → 00:01:11 แม่บ้านยัน AI เลยครับเพื่อเอามาสุ่มให้
00:01:11 → 00:01:14 เชฟทักเจ้าของเพจทัก The SHฟต่อและคำตอบ
00:01:14 → 00:01:15 ของคำถามมากมายที่เกี่ยวกับความปลอดภัย
00:01:16 → 00:01:18 ของอาหารเหล่านี้ติดตามชมได้ใน E
00:01:18 → 00:01:23 Direction EP นี้ครับ
00:01:24 → 00:01:27 Eat Direction คุยกับคนในวงการอาหารว่า
00:01:27 → 00:01:30 เราควรกินอะไรถึงจะดี
00:01:30 → 00:01:32 เชฟทักมาคุยกับเราเรื่องโคล่ารอบนึงแล้ว
00:01:32 → 00:01:32 นะ
00:01:32 → 00:01:33 >> ตอนนี้แบบ
00:01:33 → 00:01:36 >> กลับมาอีกรอบนึงชวนมาอีกรอบนึงเพราะว่า
00:01:37 → 00:01:38 จากเพจเชฟนั่นแหละ
00:01:38 → 00:01:40 >> เพราะว่าหลายๆอย่างที่แบบจะอ่านจากเพจเชฟ
00:01:40 → 00:01:42 เนี่ยมันเป็นเรื่องของ
00:01:42 → 00:01:44 >> เรื่องของความอันตรายกับไม่อันตรายในใน
00:01:44 → 00:01:45 อาหารใช่มั้ฮะ
00:01:45 → 00:01:48 >> ทีนี้มันมีคำถามเยอะมากจากตัวผมเองเนาะ
00:01:48 → 00:01:49 จากคนรอบข้าง
00:01:50 → 00:01:52 >> แล้วก็จากลูกเพจเชฟเองด้วยอะไรอย่างเงี้ย
00:01:52 → 00:01:54 เรื่อง Food Safety
00:01:54 → 00:01:54 >> ฮะ
00:01:54 → 00:01:57 >> ก็เลยเป็นที่มาของ EP นี้
00:01:57 → 00:02:00 >> ครับว่าอยากคุยเรื่องความปลอดภัยของอาหาร
00:02:00 → 00:02:04 ที่มันโดยเฉพาะในบ้านเนาะคือผมรู้สึกว่า
00:02:04 → 00:02:06 ตอนนี้มันมีความไม่เข้าใจอยู่หลายๆอย่าง
00:02:06 → 00:02:07 >> อื
00:02:07 → 00:02:10 >> เอาผมเองนะคือแบบว่าของในตู้เย็นเนี่ยมัน
00:02:10 → 00:02:13 มันดูแบบสามารถเก็บเข้าไปในตู้เย็นแล้ว
00:02:13 → 00:02:15 มันแบบปลอดภัยขนาดนั้นเลยเหรออะไรอย่าง
00:02:15 → 00:02:15 เงี้ย
00:02:15 → 00:02:16 >> เรียกว่าตู้แช่แข็งใช่มั้
00:02:16 → 00:02:18 >> เออตู้แช่แข็งผมก็แบบทุกอย่างยัดใส่ช่อง
00:02:19 → 00:02:21 ฟิตแล้วสามารถแบบอยู่เป็นอมตะได้ขนาดนั้น
00:02:21 → 00:02:23 หรือเปล่าวะอะไรอย่างเงี้ย
00:02:23 → 00:02:27 >> ก็เลยไปถามคนรอบตัวหาข้อมูลมาจากเอ่อเอ่อ
00:02:27 → 00:02:32 หลายๆเพจหลายๆข้อหลายๆข้อมูลรวมถึงถาม AI
00:02:32 → 00:02:35 ด้วยว่าอยากดูอะไรจากเชฟทีนี้มันจะมีคำ
00:02:35 → 00:02:37 ถามมาประมาณแบบก็เยอะเหมือนกันในชุดแรก
00:02:37 → 00:02:41 เนาะผมเอามาใส่ในนี้ไว้ให้แล้วเชฟ
00:02:41 → 00:02:43 >> โอ๊ยวันนี้เหมือนมาทำอะไรนะข้อสอบ
00:02:43 → 00:02:46 >> ใช่เป็น Food Safety ก็เลยแบบวันนี้ก็
00:02:46 → 00:02:48 เลยใส่กล่องแก้วนี้มาเลย
00:02:48 → 00:02:50 >> เป็นแนวถามไวตอบไว
00:02:50 → 00:02:52 >> ถามไวตอบไวแต่ตอบนานก็ได้ครับแต่ทีนี้แบบ
00:02:52 → 00:02:55 มันจะเป็นคำถามแบบหลายๆหลายๆ
00:02:55 → 00:02:57 >> หลายๆประเด็นมากครับผมก็ก็เลยแบบว่าโอเค
00:02:57 → 00:03:00 งั้นผมไม่เรียงประเด็นแล้วกันใช้วิธีสุ่ม
00:03:00 → 00:03:03 >> สุ่มเอาสนุกกว่าเออคล้ายๆกิริ๊งอน
00:03:03 → 00:03:04 >> เหมือนเล่นเออแลบกิง
00:03:04 → 00:03:06 >> เก็บเศรษฐี
00:03:06 → 00:03:08 >> เชฟจับเองดีกว่าแล้วเดี๋ผมอ่านจะอ่านอัน
00:03:08 → 00:03:09 แรกนะครับ
00:03:09 → 00:03:10 >> ได้
00:03:10 → 00:03:10 >> มา
00:03:10 → 00:03:12 >> อ่ะ
00:03:12 → 00:03:16 >> คำถามแรกคือเออเนี้ย
00:03:16 → 00:03:18 >> ถ้าไม่แน่ใจว่าอาหารเสียหรือยัง
00:03:18 → 00:03:19 >> อือ
00:03:19 → 00:03:21 >> นำมาอุ่นร้อนอีกครั้งจะกินได้ปลอดภัยขึ้น
00:03:21 → 00:03:22 มั้ย
00:03:22 → 00:03:24 >> ขึ้นอยู่กับอาหาร
00:03:24 → 00:03:24 >> อือ
00:03:24 → 00:03:27 >> บางถ้าไม่มั่นใจแสดงว่ามันเริ่มมีกลิ่น
00:03:27 → 00:03:28 ตุ่
00:03:28 → 00:03:30 >> ใช่มั้ครับบางทีกลิ่นตุนั้นมันมาจากเชื้อ
00:03:30 → 00:03:32 จุลินทรีย์ที่ไม่ได้อันตรายแต่มันทำให้
00:03:32 → 00:03:34 อาหารเสียคือจุลินทรีย์แบ่งเป็น 2 ประเภท
00:03:34 → 00:03:37 ก่อโรคกับไม่ก่อโรคถ้ามันถ้ามันกินตุ
00:03:37 → 00:03:41 เพราะตัวไม่ก่อโรคเอามาอุ่นสามารถฆ่ามัน
00:03:41 → 00:03:42 ได้
00:03:42 → 00:03:42 >> อือ
00:03:42 → 00:03:44 >> ก็ปลอดภัยแต่เราจะกล้ากินหรือเปล่าเพราะ
00:03:44 → 00:03:46 กลิ่นมันเพี้ยนไปแล้ว
00:03:46 → 00:03:47 >> มันสามารถมีกลิ่นได้ทั้งดีและไม่ดีใช่
00:03:47 → 00:03:49 มั้ยหมายถึงจุลินทรีย์เนี่ย
00:03:49 → 00:03:51 >> ไม่ถ้าเป็นสปอยอ่ะกลิ่นไม่ดีหมด
00:03:51 → 00:03:54 >> มันก็จะตุหมดไงกลิ่นออกเปรี้ยวๆแต่บางที
00:03:54 → 00:03:56 กลิ่นออกเปรี้ยวๆมันเกิดจากแลกโตบาซิั
00:03:56 → 00:03:56 อย่างเงี้ย
00:03:56 → 00:03:58 >> อือ
00:03:58 → 00:04:00 >> มันไม่ได้สร้างสารพิษแต่มันให้กลิ่น
00:04:00 → 00:04:01 เปรี้ยวเราก็ไม่กินแต่สมมุติว่าเราจะไป
00:04:01 → 00:04:03 อุ่น
00:04:03 → 00:04:07 >> เชื้อตายไม้ตายกินก็ปลอดภัยแต่ว่าลักษณะ
00:04:07 → 00:04:07 มันไม่ควรจะกิน
00:04:07 → 00:04:08 >> ไม่ควรจะกิน
00:04:08 → 00:04:10 >> แต่บางอันเช่นเอ่อ
00:04:10 → 00:04:13 >> เช่นอะไรดีอ่ะเช่นสมมุติ AC ตามตลาด
00:04:13 → 00:04:13 >> ครับ
00:04:13 → 00:04:15 >> แล้วมันไม่เสียเลยนะ
00:04:15 → 00:04:16 >> อือ
00:04:16 → 00:04:19 >> แต่มันอยู่นานถ้าเอาไปส่องกล้องเสียแล้ว
00:04:19 → 00:04:21 แล้วเกิดจากเชื้อที่เกิดจากมือแม่ค้าเขา
00:04:21 → 00:04:23 เรียกว่าstaffคั
00:04:23 → 00:04:26 >> Arious ตัวเสร้างสารพิษที่ทนความร้อนมาก
00:04:26 → 00:04:28 เอาไปให้ความร้อนยังไงก็ไม่ตายกินก็ท้อง
00:04:28 → 00:04:28 เสีย
00:04:28 → 00:04:28 >> ออ
00:04:28 → 00:04:30 >> สมมุติเอาข้าวตาอบอีกรอบนึงอุ่นแต่ความ
00:04:30 → 00:04:32 จริงไม่มีใครเอาไอใครเข้าตาอบแต่สมมุติ
00:04:32 → 00:04:33 ว่าอ
00:04:33 → 00:04:35 >> เอาข้าวตาอบจนแบบอุณหภูมิสูงกว่า 100
00:04:35 → 00:04:36 >> อือ
00:04:36 → 00:04:38 >> สารพิษตัวนี้ทนได้เกิน 100 องศาเรากินยัง
00:04:38 → 00:04:39 ไงก็ก็ดี
00:04:39 → 00:04:41 >> แล้วทนได้แค่ไหนครับหมายถึงเกิน 100
00:04:41 → 00:04:41 เนี่ย
00:04:41 → 00:04:45 >> โอเกิน 130 150 ต้องไปเข้าแบบตู้สเตอรี่
00:04:45 → 00:04:47 แบบนั้นน่ะซึ่งมันไม่มีใครทำ
00:04:47 → 00:04:48 >> เออคือ
00:04:48 → 00:04:48 >> อื
00:04:48 → 00:04:51 >> ถามแบบโง่ๆแบบผมเลยผมก็จะรู้สึกว่ามันจะ
00:04:51 → 00:04:55 มีแบบเรียกว่าอะไรดีถ้าไม้ตายในการแบบกิน
00:04:55 → 00:04:58 ก็คืออ่าไหนๆฆ่าเชื้อด้วยความร้อนใช่มั้ย
00:04:58 → 00:05:00 ชาเชื้อตายทุกอันกินได้หมดแน่ๆอันไหนที่
00:05:00 → 00:05:01 แบบ
00:05:01 → 00:05:04 >> รู้สึกว่ามันมีกลิ่นนิดหน่อยคือยังไม่ทัน
00:05:04 → 00:05:07 มีกลิ่นด้วยแต่ว่าข้ามคืนมาทั้งคืนแล้ว
00:05:07 → 00:05:09 แล้วก็แบบไม่แน่ใจว่ากินได้หรือเปล่า
00:05:09 → 00:05:10 >> ต้มให้ร้อนก่อนเลย
00:05:10 → 00:05:11 >> ต้มให้ร้อนก่อน
00:05:11 → 00:05:12 >> แล้วกิน
00:05:12 → 00:05:14 >> แต่ความจริงถ้าถ้าชัวร์สุดนะอะไรในโลกเ
00:05:14 → 00:05:16 ไม่ใช่แค่อาหารอะไรที่เราไม่ชัวร์
00:05:16 → 00:05:18 >> อย่าไปฝืนมันเสี่ยง
00:05:18 → 00:05:20 >> แต่จริงๆบางเคสแบบหน่อไม้อย่างเงี้ยครับ
00:05:20 → 00:05:23 หน่อไม้เก็บมานานๆกินตุความจริงเชื้อ
00:05:23 → 00:05:24 สมมุติว่าเชื้อตัวนึงเเรียกว่า
00:05:24 → 00:05:27 crอสiuminัมตัวนี้อันตรายมากนะแต่บังเอิ้
00:05:28 → 00:05:29 สารพิษที่มันสร้างในหน่อไม้อ่ะอ
00:05:30 → 00:05:32 >> ไม่ทนความร้อนสมมุติเอาไปผัดก็กินปลอดภัย
00:05:32 → 00:05:34 >> แล้วหน่อไม้มันมีกลิ่นตุกๆเป็นเอกลักษณ์
00:05:34 → 00:05:35 ของมันอยู่แล้ว
00:05:35 → 00:05:35 >> อือ
00:05:35 → 00:05:39 >> อืแต่ถ้าตักมาจากปี๊บแล้วกินเลยตายเลยนะ
00:05:39 → 00:05:40 >> เพราะว่าไม่
00:05:40 → 00:05:42 >> สารพิษนั้นมันยังอยู่ไงครับแล้วมันส่งผล
00:05:42 → 00:05:43 ต่อระบบประสาทอยู่
00:05:43 → 00:05:44 >> ไม่ผ่านความร้อน
00:05:44 → 00:05:44 >> อือๆ
00:05:44 → 00:05:45 >> อือ
00:05:45 → 00:05:46 >> แต่โดยสรุปอ่ะถ้าฟังเผินๆถ้าอันไหนไม่
00:05:46 → 00:05:47 ชัวร์อย่าไปกินเลย
00:05:47 → 00:05:50 >> แล้วกะทิอ่ะครับพวกแกงกะทิต่างๆ
00:05:50 → 00:05:53 >> แกงกะทินี่ตุง่ายมากแต่แกงกะทิเนี่ยคล้าย
00:05:53 → 00:05:57 ๆหน่อส่วนใหญ่แกงกะทิอ่ะจะพอตุแล้วเขายัง
00:05:57 → 00:05:59 เอาไปผัดใช่มั้เพราะมันผ่านความร้อน
00:05:59 → 00:06:02 >> เพราะเชื้อส่วนใหญ่ในกะทิเป็นกลุ่มสอยไม่
00:06:02 → 00:06:04 ใช่เป็นกลุ่มเชื้อก่อโรค
00:06:04 → 00:06:07 >> ส่วนใหญ่เป็นพวกอีคอลไรอีคอลไรมาจากไหน
00:06:07 → 00:06:11 >> ผิวหนังแม่ค้าความไม่สะอาดของเครื่องคั้น
00:06:11 → 00:06:13 >> อุจจาระอะไรพวกนี้พูดเหมือนน่ากลัวแต่
00:06:13 → 00:06:16 ความจริงอีคอลไรด์อ่ะสายพันธุ์ส่วนใหญ่อ
00:06:16 → 00:06:17 >> ไม่ทนความร้อน
00:06:17 → 00:06:18 >> อื
00:06:18 → 00:06:20 >> พอเอาไปผัดเอาไปอะไรแล้วมีเครื่องเรื่มมี
00:06:20 → 00:06:23 กลิ่นพริกแกงมากลบก็กินได้
00:06:23 → 00:06:24 >> อืออือ
00:06:24 → 00:06:27 >> และอีกอันนึงคืออันนี้ถามเผื่อเลยมันมี
00:06:27 → 00:06:29 อาหารคุณแม่เช่นจับฉ่ายแกงส้ม
00:06:30 → 00:06:33 >> ที่จะอยู่แบบ 4 วัน 7 วันอะไรอย่างเงี้ย
00:06:33 → 00:06:36 ไอ้การทำวันแรกทิ้งไว้คืนนึงตื่นเช้ามา
00:06:36 → 00:06:39 อุ่นกินยังไม่หมดพรุ่งนี้อุ่นอีกทีนึง
00:06:39 → 00:06:41 เงี้ยมันมันปลอดภัยมั้ยครับ
00:06:41 → 00:06:43 >> มันเสี่ยงความจริงไม่ควร
00:06:43 → 00:06:45 >> อาหารพวกเนี้ยอาหารที่ปรุงสำเร็จควรแช่
00:06:45 → 00:06:46 เย็นครับ
00:06:46 → 00:06:48 >> แต่บางทีหลายคนก็ถามว่าเฮ้ยทำไมเก็บ
00:06:48 → 00:06:50 >> ไว้ในหม้อเราไม่เสียมันขึ้นอยู่กับหลาย
00:06:50 → 00:06:51 ปัจจัยมาก
00:06:51 → 00:06:51 >> อ
00:06:52 → 00:06:54 >> เขาอาจจะทำสะอาดมากหรือต้มจนแบบเค้าเรียก
00:06:54 → 00:06:57 ต้มในระบบปิดคือถ้าคือเข้าใจบางคนต้มหม้อ
00:06:57 → 00:06:58 ใหญ่แล้วไม่มีตู้เย็นอยากเก็บเค้าก็ต้ม
00:06:58 → 00:07:00 หม้อใหญ่แต่วิธีการที่ดีคือต้องปิดฝาแล้ว
00:07:00 → 00:07:01 ต้ม
00:07:01 → 00:07:02 >> อ
00:07:02 → 00:07:03 >> แล้วห้ามเปิดเลยนะแล้วห้ามคนเพราะฉะนั้น
00:07:03 → 00:07:06 ระบบมันจะเป็นระบบปิดที่เชื้อฆ่าตลอดใช่
00:07:06 → 00:07:09 มั้ยเชื้อเชื้อใหม่จะเข้าไปไม่ได้
00:07:09 → 00:07:11 >> แล้วต้องแช่น้ำเย็นด้วยให้อุณหภูมิมันหลบ
00:07:11 → 00:07:13 danger zone มันก็มีสิทธิ์อ
00:07:13 → 00:07:17 >> รอดได้แต่มันไม่ใช่อ่าลักษณะพฤติกรรมที่
00:07:17 → 00:07:19 ถูกต้องซะทีเดียวแลที่ผมพูดคือเชิง
00:07:20 → 00:07:22 ปฏิบัติความจริงทำเสร็จต้องแช่เย็นให้ไว
00:07:22 → 00:07:23 ที่สุดแล้วเอามาอุ่น
00:07:23 → 00:07:25 >> อ๋อโอเคนั่นคือคำถามแรก
00:07:25 → 00:07:26 >> ยาวมาก
00:07:26 → 00:07:29 >> ยาวมากลองดูครับอันที่ 2
00:07:29 → 00:07:32 >> อ่าไม่ใช่ good practice นะครับทำไว้
00:07:32 → 00:07:34 ข้ามคืน
00:07:34 → 00:07:38 >> คำถามที่ 2 ครับเออเป็นเรื่องเล่าเหล้า
00:07:38 → 00:07:41 เก็บไว้นานยิ่งดีจริงมยแล้วถ้าหมดอายุยัง
00:07:41 → 00:07:43 กินได้อยู่หรือเปล่าเหล้าหมดอายุมั้เชิ
00:07:43 → 00:07:45 >> หมดอายุมี 2 แบบ Best before กับ expire
00:07:45 → 00:07:48 ใช่มั้ XP คือหมดอายุเชิงเชื้อคือกินแล้ว
00:07:48 → 00:07:50 ไม่ปลอดภัย Best before คือไม่ได้หมด
00:07:50 → 00:07:52 เชิงเชื้อหมดเชิงเคมีกายภาพกลิ่นเปลี่ยน
00:07:52 → 00:07:54 กินเหม็นหืนแต่ยังกินได้อยู่ไม่ได้เกี่ยว
00:07:54 → 00:07:56 กับเชื้ออะไรเหล้าเราเกิดมาไม่เคยเห็น
00:07:56 → 00:07:57 เหล้าที่
00:07:57 → 00:07:58 >> อ
00:07:58 → 00:08:00 >> เชื้อขึ้นเชื้อราขึ้นเพราะเหล้าแอลกอฮอล์
00:08:00 → 00:08:00 สูง
00:08:00 → 00:08:03 >> เพงั้นเหล้าส่วนใหญ่มันจะเป็นเชิงของ
00:08:03 → 00:08:05 ลักษณะทาง best before มากกว่า
00:08:05 → 00:08:07 >> เพราะฉะนั้นเหล้าที่หมดอายุอ่ะ
00:08:07 → 00:08:10 >> มันจะยังกินได้
00:08:10 → 00:08:12 >> ปลอดภัยเพราะแอลกอฮอล์มันเยอะมากเชื้อที่
00:08:12 → 00:08:14 ไหนมันโตไม่ได้แต่กลิ่นมันอาจจะเพี้ยนอ
00:08:14 → 00:08:16 >> แต่มันจะมีแอลกอฮอล์บางตัวที่มันถึงจุด
00:08:16 → 00:08:19 พีคแล้วแบบสมมุติวายเก็บไว้ 4-5 ปีแล้วดี
00:08:19 → 00:08:19 สุด
00:08:19 → 00:08:20 >> อื
00:08:20 → 00:08:22 >> ที่หลายคนที่พวกซอมเียเค้าบอกถึงจุดพีค
00:08:22 → 00:08:23 มันน่ะ
00:08:23 → 00:08:25 >> แล้วพอเลยจุดพีคของปีนี้มันก็จะดรอปลงคือ
00:08:25 → 00:08:27 กลิ่นจะแย่ลงแย่ลงไอ้ที่กลิ่นแย่ลงไม่ใช่
00:08:27 → 00:08:28 เรื่องเชื้อ
00:08:28 → 00:08:30 >> แต่เป็นกลิ่นของลักษณะ
00:08:30 → 00:08:33 >> อ่า sensory หรือว่ากลิ่นเคมีกลิ่นสาร
00:08:33 → 00:08:34 เคมีในนั้น
00:08:35 → 00:08:37 >> ที่มันระเหยออกไปทำให้กินแล้วไม่อร่อย
00:08:37 → 00:08:38 เหมือนเดิม
00:08:38 → 00:08:40 >> ออแต่เอาไปทำอย่างอื่นได้ทำอาหาร
00:08:40 → 00:08:41 >> ได้ทำทำอาหารก็ได้
00:08:41 → 00:08:41 >> อ
00:08:41 → 00:08:43 >> มันจะมีคำว่าแบบ
00:08:43 → 00:08:46 >> บางคนเขาเรียกว่าหรือเหล้ามันออกซิไidiz
00:08:46 → 00:08:47 ใช่มั้ย
00:08:47 → 00:08:50 >> มันออกซิไซไปเยอะๆไอ้พวกไวนที่มันออกซิได
00:08:50 → 00:08:52 อ่ะยังกินได้ปลอดภัยอยู่เค้ามันมีเปเปอร์
00:08:52 → 00:08:54 นึงเค้าบอกว่าสารที่เกิดจากการออกซิไid
00:08:55 → 00:08:56 ของไวไม่ได้ไม่ได้อันตราย
00:08:56 → 00:08:57 >> อือ
00:08:57 → 00:08:59 >> ไม่เหมือนใน
00:08:59 → 00:09:02 พวกของแห้งที่มันเหม็นหื่นเดี๋เราค่อยคุย
00:09:02 → 00:09:03 กันอีกที
00:09:03 → 00:09:03 >> ได้
00:09:03 → 00:09:04 >> อันนั้นอันนั้นไม่ควรกิน
00:09:04 → 00:09:05 >> โอเค
00:09:05 → 00:09:07 >> มาอันต่อไปครับเชฟ
00:09:07 → 00:09:09 >> ไวพอมั้
00:09:09 → 00:09:10 >> ยังยาวอยู่เหรอ
00:09:10 → 00:09:13 >> ไม่ยาวแล้วก็โอเคนะเป็นเรื่องเนื้อสัตว์
00:09:13 → 00:09:13 ครับ
00:09:13 → 00:09:14 >> โอ้
00:09:14 → 00:09:17 >> เนื้อสัตว์ที่ดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบกิน
00:09:17 → 00:09:17 ได้หรือเปล่า
00:09:17 → 00:09:20 >> ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเนื้อวัวหรือเนื้อหมู
00:09:20 → 00:09:21 ถ้าปัจจุบันเนี้ยเนื้อหมูเนี่ยเนี่ยใน
00:09:21 → 00:09:24 เมืองไทยค่อนข้างอันตรายเพราะมันมีเชื้อ
00:09:24 → 00:09:25 โรคหูดับ
00:09:25 → 00:09:25 >> อื
00:09:25 → 00:09:27 >> แต่ก่อนมีหูดับมันก็มีพยาธตัวกลมไอ้
00:09:27 → 00:09:29 ไตรคีนสปalิอันนั้นน่ะครับ
00:09:29 → 00:09:33 >> ที่เป็นแบคทีเรียที่บ่งชี้ว่าทำไมหมูต้อง
00:09:33 → 00:09:36 กินสุกทำไมเนื้อกินดิบได้เพราะวัวไม่มี
00:09:36 → 00:09:37 พยาธตัวนี้
00:09:37 → 00:09:37 >> อ๋อ
00:09:37 → 00:09:39 >> แต่หมูมันดันมีเพราะงั้นหมูต้องกินสุก
00:09:39 → 00:09:40 กว่าเนื้อ
00:09:40 → 00:09:41 >> เพราะต้องทำลายพยาธตัวนี้ก่อนที่
00:09:41 → 00:09:43 >> ต้องทำลายพยาธตัวนี้ถูกต้องครับ
00:09:43 → 00:09:45 >> แต่วัวไม่มีโอกาสที่จะมีเลยใช่มั้ยครับ
00:09:45 → 00:09:46 >> มันมีพยาธตัวอื่นซึ่งมันไม่ได้อันตราย
00:09:46 → 00:09:49 เท่าพยาธตัวกลมที่มีในหมูเพราะหมูอย่าลืม
00:09:49 → 00:09:51 มันตัวมันเตี้ยมันใช้มันขุดดินอะไรอย่าง
00:09:51 → 00:09:52 เงี้ย
00:09:52 → 00:09:54 >> แต่วัวมันเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องที่ค่อน
00:09:54 → 00:09:56 ข้างอยู่สูงกว่าดินเพราะฉะนั้นเชื้อพวก
00:09:56 → 00:09:58 นี้ในร่างกายมันอ
00:09:58 → 00:10:00 >> มีน้อยเพราะฉะนั้นอันนี้คือสาเหตุที่ว่า
00:10:00 → 00:10:02 ทำไมสเต็กกิน rare กินmediมได้กิน rare
00:10:02 → 00:10:04 ได้แต่หมูต้องกิน
00:10:04 → 00:10:05 >> เวลดันขึ้นไป
00:10:05 → 00:10:07 >> อืแล้วถ้าเราพูดถึงพวกไก่หรือซีฟุ
00:10:07 → 00:10:10 >> ไก่ไม่ควรเลยเพราะว่าไก่มีเชื้อของมันน่ะ
00:10:10 → 00:10:11 เค้าเรียกซาโมเดล่า
00:10:12 → 00:10:14 >> อันนี้มีไม่ว่าจะเลี้ยงสะอาดแค่ไหนก็ยัง
00:10:14 → 00:10:14 มี
00:10:14 → 00:10:18 >> เพราะฉะนั้นไก่เนื้อไก่เขาไม่นิยมทานดิบ
00:10:18 → 00:10:20 >> อยู่ในเนื้อหรือว่าอยู่ที่ผิว
00:10:20 → 00:10:21 >> อยู่เนื้อไก่ของมันอยู่แล้ว
00:10:21 → 00:10:24 >> อ๋อเพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเชื้อโรคจะเกิด
00:10:24 → 00:10:26 ที่ผิวเท่านั้นมันมีอยู่ในเนื้อ
00:10:26 → 00:10:28 >> ถูกต้องถูกต้องถูกต้อง
00:10:28 → 00:10:29 >> ก็ควรทำให้สุก 100%
00:10:29 → 00:10:32 >> ควรทำให้สุกไก่ควรสุก 100% สุก 100% คือ
00:10:32 → 00:10:34 ชัวร์ๆคืออุณหภูมิ
00:10:34 → 00:10:36 จุดที่เย็นที่สุดหรือจุดที่ลึกที่สุดของ
00:10:36 → 00:10:38 เหลือไก่ที่คุต้องเกิน 72
00:10:38 → 00:10:40 >> ความจริงเกิน 70 ก็รอดแล้วแต่หลายคนบอก 70
00:10:40 → 00:10:42 72 เพราะให้มันชัวร์ว่ามันเกินกว่า 70
00:10:42 → 00:10:42 แน่ๆ
00:10:42 → 00:10:43 >> เอๆ
00:10:43 → 00:10:46 >> นั่นแหละครับเพราะงั้นไก่หมูควรกิน
00:10:46 → 00:10:47 >> สุก
00:10:47 → 00:10:47 >> ครับ
00:10:47 → 00:10:51 >> อืแล้วเนื้อวัวควรกินควรกินสุกหมดทุก
00:10:51 → 00:10:53 อย่างแต่เนื้อวัวมันเป็นอะไรที่สามารถกิน
00:10:53 → 00:10:56 กึ่งสุกกึ่งดิบได้ครับ
00:10:56 → 00:10:57 >> แต่กินสุกก็จะดีที่สุด
00:10:57 → 00:10:59 >> ใช่แต่เนื้อวัวกินสุกก็ไม่อร่อยไงเวลดัน
00:10:59 → 00:11:00 มันก็จะแห้ง
00:11:00 → 00:11:02 >> อ่าก็แล้วแต่อืแล้วแต่คนชอบด้วยนะแล้วก็
00:11:02 → 00:11:04 ผมไม่แน่ใจว่าเค้าจะถามครอบคลุมไปถึงพวก
00:11:04 → 00:11:06 ซีฟู้ดหรือเปล่า
00:11:06 → 00:11:06 >> กึ่งสุกกึ่งดิบ
00:11:06 → 00:11:09 >> ซีฟู้ดซีฟู้ดนี่แล้วแต่ช่วงเวลาเลยหอยนาง
00:11:09 → 00:11:12 รมความจริงมันกินดิบได้แต่บางช่วง
00:11:12 → 00:11:15 >> อ่าน้ำทะเลมันเกิดโรคระบาดอะไรขึ้นก็มี
00:11:15 → 00:11:16 บางช่วงที่เขาออกข่าวว่าช่วงนี้อย่าเพิ่ง
00:11:16 → 00:11:19 กินหอยนางรมดิบนะอะไรประมาณเนี้ยส่วน
00:11:19 → 00:11:22 เนื้อปลามันก็มีหลายหลายทฤษฎีมาก
00:11:22 → 00:11:23 >> อ
00:11:23 → 00:11:25 >> เขาบอกไอ้เนื้อปลาเกดซาซิมิอ่ะที่บอกว่า
00:11:25 → 00:11:27 เกดซาซิมิเพราะมันมีการไล่เลือดไล่คาวออก
00:11:27 → 00:11:30 มันถึงกินได้ทำไมแซลมอนบัง
00:11:30 → 00:11:31 >> บัง
00:11:31 → 00:11:33 >> คุณภาพไม่สามารถกินดิบได้ทำไมกินดิบได้
00:11:33 → 00:11:36 มันอยู่ที่กระบวนการไล่เลือดหลังที่เอา
00:11:36 → 00:11:38 >> ปลาขึ้นมาเพราะส่วนใหญ่พยาธอะไรพวกนี้มัน
00:11:38 → 00:11:39 อยู่ในในเลือดใช่
00:11:39 → 00:11:40 >> เลือดเลือดอ๋อ
00:11:40 → 00:11:44 >> ที่เขาใช้อคจgเมะชินเคมนเนี่ยไล่เลือดของ
00:11:44 → 00:11:44 ปลา
00:11:44 → 00:11:46 >> อะไรประมาณนั้นแต่กระบวนการไล่เลือดส่วน
00:11:46 → 00:11:47 ตัวผมก็ทำไม่เป็นนะ
00:11:47 → 00:11:47 >> อือๆ
00:11:47 → 00:11:50 >> แต่เคยเคยชาวประมงอ่ะที่เขาจัดการปลาที่
00:11:50 → 00:11:51 ทำเกดซาซิมิของเขา
00:11:51 → 00:11:53 >> ดึงเลือดอยู่เหมือนตัดเส้นเลือดตรง
00:11:53 → 00:11:55 ตำแหน่งนึงอ่ะแล้วก็พืชออกมาเลยอ่ะ
00:11:55 → 00:11:56 >> อือๆ
00:11:56 → 00:11:59 >> ก็คือการไม่ให้มีเชื้อโรคในเลือดในตัวปลา
00:11:59 → 00:12:00 ให้มากที่สุดโอเค
00:12:00 → 00:12:01 >> ใช่ๆ
00:12:01 → 00:12:03 >> อ่ะต่อไปเลยครับเชฟ
00:12:03 → 00:12:05 >> อื
00:12:05 → 00:12:07 >> ดีนะมันก็สุ่มๆดีนะเนี่ยชอบอย่างงั้น
00:12:07 → 00:12:10 >> สสลับสมองไม่ทันล่ะ
00:12:10 → 00:12:14 >> อันนี้คลาสสิคเหมือนกันครับของตกพื้น 5
00:12:14 → 00:12:15 วินาทีกินได้จริงมั้ย
00:12:15 → 00:12:16 >> ไม่จริง
00:12:17 → 00:12:18 >> เชื้อโรคมันไม่ได้มีตาที่บอกว่าเฮ้ย 10
00:12:18 → 00:12:21 วินาทีกำลังจะเกาะนะหรือ 1 วินาทีเกาะไม่
00:12:21 → 00:12:24 ทันเปล่าครับตกแค่เสี้ยววินาทีมัน att ลง
00:12:24 → 00:12:26 ไปมันเกาะขึ้นมาเลย
00:12:26 → 00:12:26 >> อื
00:12:26 → 00:12:28 >> มันไม่จำเป็นมันไม่ได้มีหลักวินาทีตก
00:12:28 → 00:12:30 เสี้ยววินาทีถ้าโดนพื้นเชื้อโรคก็เกาะ
00:12:30 → 00:12:32 อาหารขึ้นมาทันที
00:12:32 → 00:12:34 >> อยู่ที่ว่าจะได้สุ่มได้เชื้อโรคอะไรมา
00:12:34 → 00:12:36 >> เชื้อโรคอะไรมาพื้นสะอาดมั้ยพื้นสกปรก
00:12:36 → 00:12:39 มั้ยถ้าเป็นโต๊ะนี้ถ้าตกผมอาจจะกิน
00:12:39 → 00:12:40 >> อ๋อ
00:12:40 → 00:12:42 >> เพราะเค้าเช็ดแอลกอฮอล์ตลอดใช่มั้แต่ถ้า
00:12:42 → 00:12:44 เป็นพื้นที่แบบเนี่ยพื้นเนี้ย
00:12:44 → 00:12:46 >> ที่มีรองเท้าจากข้างนอกมาก็ไม่กิน
00:12:46 → 00:12:47 >> อืครับ
00:12:47 → 00:12:51 >> แล้วมันมีอีกอันนึงคือแบบเราทำทำลูกอมตก
00:12:51 → 00:12:55 ล้างน้ำให้มันแบบสักพักนึงแล้วอมต่อได้
00:12:55 → 00:12:55 มั้
00:12:55 → 00:12:56 >> เป็นผมผมอมนะ
00:12:56 → 00:12:57 >> เออ
00:12:57 → 00:12:59 >> เพราะว่าเชื้อโรคมันเกาะอยู่แค่ผิวนอก
00:12:59 → 00:12:59 >> ผิวนอก
00:12:59 → 00:13:01 >> ใช่มั้พอล้างไอ้น้ำตาลที่มันอยู่ข้างนอก
00:13:01 → 00:13:02 มันก็ค่อยๆละลายออก
00:13:02 → 00:13:04 >> สิ่งที่ผมทำบ่อยสุดอ่ะคือน้ำแข็ง
00:13:04 → 00:13:06 >> อ่าๆใช่ๆน้ำแข็งอันนึง
00:13:06 → 00:13:08 >> บางทีตกไปตรงโต๊ะปึ๊บขอไปล้างน้ำให้ให้
00:13:08 → 00:13:10 ข้างนอกออกนิดนึงละลายไป
00:13:10 → 00:13:12 >> แต่ที่สุดจะทำตกเลย
00:13:12 → 00:13:13 >> จะทำตกเลย
00:13:13 → 00:13:14 >> หรือไม่ก็ต้องเสียได้ขนาดนั้น
00:13:14 → 00:13:15 >> ใช่หรืออาหารไหนที่มันไม่สามารถล้างแล้ว
00:13:15 → 00:13:17 ละลายได้เหมือนน้ำแข็งหรือลูกอมก็ก็ไม่
00:13:17 → 00:13:18 ขวดอือ
00:13:18 → 00:13:20 >> เฉือนเฉือนออกเฉือนออก
00:13:20 → 00:13:21 >> อ๋อ
00:13:21 → 00:13:22 >> แต่ใครจะจำได้ตกพื้นตกด้านไหน
00:13:22 → 00:13:24 >> ตกด้านไหนแต่น้ำแข็งมันล้างได้
00:13:24 → 00:13:25 >> ใช่
00:13:25 → 00:13:26 >> แต่ก็อย่าเสียดายเลยครับน้ำแข็งแค่นิด
00:13:26 → 00:13:27 เดียวเอง
00:13:27 → 00:13:28 >> เอาทิ้งไปเหอะ
00:13:28 → 00:13:30 >> อย่าไปเสี่ยงกับพื้นรองเท้าเลยครับ
00:13:30 → 00:13:32 >> ครับ
00:13:32 → 00:13:35 ข้อต่อไปครับอ่าอันนี้ก็คำถามคลาสสิก
00:13:35 → 00:13:39 เหมือนกันน้ำผึ้งเก็บไว้นานๆได้จริงมั้ย
00:13:39 → 00:13:40 แล้วมันไม่เสียจริงหรึเปล่าน้ำ
00:13:40 → 00:13:42 >> เสียได้น้ำผึ้งเสียได้หลายคนน่ะคิดว่าน้ำ
00:13:42 → 00:13:43 ผึ้งเป็นของอมตะ
00:13:43 → 00:13:45 >> เก็บไว้นานๆไม่เสียความจริงมันมีเชื้อตัว
00:13:45 → 00:13:47 นึงเ้าเรียกว่าไซโกไซ
00:13:47 → 00:13:50 คือยีสที่ทนน้ำตาลสูงๆได้
00:13:50 → 00:13:50 >> ออฮะ
00:13:50 → 00:13:52 >> นะครับหลายหลายครั้งลองสังเกตดิน้ำผึ้ง
00:13:52 → 00:13:55 เวลาเก็บไว้นานๆเปิดมามันจะมีแก๊สใช่มั้ย
00:13:55 → 00:13:56 มันจะมีเสียงแก๊สนิดหน่อย
00:13:56 → 00:13:57 >> อือ
00:13:57 → 00:14:00 >> อันนั้นน่ะคือยีสมันโตแล้วมันผลิตแก๊ส
00:14:00 → 00:14:01 คาร์บอนไดออกไซด์อยู่
00:14:01 → 00:14:03 >> แล้วมีอันตรายกับร่างกายยังไง
00:14:03 → 00:14:05 >> ไม่ได้มีไม่ได้มีอันตรายแค่แค่คุณสมบัติ
00:14:05 → 00:14:07 ของน้ำผึ้งมันเสียไปกลิ่นมันเพี้ยนหรือ
00:14:07 → 00:14:09 ว่ามันมีกลิ่นหมักนิดหน่อย
00:14:09 → 00:14:13 >> อืถามอ่ะถ้าถามว่าเสียได้มั้ยเสียได้
00:14:13 → 00:14:14 >> แต่โอกาสเสียได้น้อย
00:14:14 → 00:14:16 >> อ่ากินได้อาจจะไม่อันตรายแต่แค่ลดชาติ
00:14:16 → 00:14:17 เปลี่ยนไปเฉยๆ
00:14:17 → 00:14:18 >> ใช่อ
00:14:18 → 00:14:20 >> แต่โอกาสเสียน้อยครับเจอแบบ 1 ใน 100 ขวด
00:14:20 → 00:14:21 อะไรประมาณเนี้ย
00:14:21 → 00:14:21 >> อือ
00:14:21 → 00:14:23 >> คือมันต้องได้แจ็คพอตที่เชื้อนั้นมันปี
00:14:23 → 00:14:25 จากอากาศลงน้ำผึ้ง
00:14:25 → 00:14:25 >> เออ
00:14:25 → 00:14:26 >> มันต้องแบบนั้น
00:14:26 → 00:14:29 >> คือถ้าห้องมันสะอาดมากกระบวนการบรรจุน้ำ
00:14:29 → 00:14:30 ผึ้งสะอาด
00:14:30 → 00:14:32 >> ก็มีโอกาสอยู่ได้ตลอดไปเพราะน้ำผึ้งน้ำ
00:14:32 → 00:14:34 ตาลน้ำตาลมันสูงมาก
00:14:34 → 00:14:36 >> อืยกเว้นว่าสมมุติว่ามันมีเชื้ออะไรบาง
00:14:37 → 00:14:39 ตัวมามาอยู่บนพื้นผิวของน้ำผึ้งแล้วเรา
00:14:39 → 00:14:42 กินเชื้อตัวนั้นไปโดยตรงเงี้ยก็อันตรายม
00:14:42 → 00:14:45 สมมุติว่าเปิดฝาขวดน้ำผึ้งทิ้งไว้มีเชื้อ
00:14:45 → 00:14:46 มาเกาะอยู่บนพื้นผิวมันจะอยู่
00:14:47 → 00:14:50 >> อ๋อใช่เช่นแบบสมมุตินะน้ำผึ้งเปิดฟ้าขวด
00:14:50 → 00:14:51 สมมุตินี่เป็นขวดน้ำผึ้ง
00:14:51 → 00:14:53 >> แล้วแม่สับไก่ดิบ
00:14:53 → 00:14:54 >> เออใช่อะไร
00:14:54 → 00:14:54 >> ก็มีสิทธิ์
00:14:55 → 00:14:56 >> แต่มันไม่ใช่เสียเพราะพอน้ำผึ้งมันเสีย
00:14:56 → 00:14:57 จากเชื้อจากไก่กระเด็น
00:14:57 → 00:14:58 >> นั่นแหละ
00:14:58 → 00:15:00 >> อือก็มีความเป็นปนเปื้อนได้อยู่
00:15:01 → 00:15:02 >> เป็นเเรียกว่า cross contaminate ไม่ได้
00:15:02 → 00:15:04 ไม่ได้สปอยโดยตรง
00:15:04 → 00:15:07 >> อโอเคฮะคำถามที่เท่าไหร่นะเนี่ยไม่รู้
00:15:07 → 00:15:07 แล้วไม่นับแล้ว
00:15:07 → 00:15:10 >> ทำเวลามาก
00:15:10 → 00:15:14 >> อ่าโอเคภาชนะอย่างกาน้ำชาครับลวกร้อนก่อน
00:15:14 → 00:15:16 ใช้ค่าเชื้อได้แค่แค่ไหน
00:15:16 → 00:15:17 >> มันขึ้นอยู่กับว่าลวกยังไงสมมุติว่ามีน้ำ
00:15:18 → 00:15:20 เดือดอยู่แล้วเอา
00:15:20 → 00:15:23 ทั้งการน้ำชาทั้งเซตอ่ะลงไปต้มมันก็ตาย
00:15:23 → 00:15:23 หมดอือ
00:15:24 → 00:15:26 >> ตายเกือบหมดดีกว่ายกเว้นมีสปอก็จะไม่ตาย
00:15:26 → 00:15:27 แต่ว่าอ
00:15:27 → 00:15:30 >> ถ้าแค่กินหลายๆปากใช่มั้ยแล้วมีเป็นชุด
00:15:30 → 00:15:33 น้ำชาหยุดแล้วเทราดโอกาสฆ่าเชื้อมันไม่
00:15:33 → 00:15:35 100% เพราะเราไม่รู้ว่าราดมันทั่วหรือ
00:15:35 → 00:15:37 เปล่าแต่การที่มีน้ำร้อนอยู่แล้วจุ่มลงไป
00:15:37 → 00:15:39 เลยมันโดนทุกพื้นผิวอ
00:15:39 → 00:15:39 >> อื
00:15:39 → 00:15:42 >> อันนี้น่าจะเป็นเคสที่แบบคนสมัยก่อนที่
00:15:42 → 00:15:45 ไม่อยากล้างกาน้ำชาด้วยน้ำยาชาหลังจานแน่
00:15:45 → 00:15:48 >> อ่าใช่อันเนี้ยมันได้มาจากเอ่อเพื่อนที่ช
00:15:48 → 00:15:52 ดื่มชาครับแล้วก็คำถามเขาก็คือเค้าก็บอก
00:15:52 → 00:15:54 ว่าส่วนใหญ่เขาจะไม่ค่อยใช้น้ำยาล้างจาน
00:15:54 → 00:15:58 ล้างน้ำชากันเพราะว่ามันจะมีการแบบบ่มชา
00:15:58 → 00:16:01 ที่เคยกินแล้วอะไรมาอยู่ซึ่งลวกน้ำร้อนผม
00:16:01 → 00:16:04 ก็เข้าใจว่าได้แต่มันมีมันอาจจะมีพวกเศษ
00:16:04 → 00:16:06 ใบช้าเก่าอะไรอย่างงี้ติดอยู่
00:16:06 → 00:16:09 >> เศษใบช้าไม่ซีเรียสเท่ากับโรคติดต่อทาง
00:16:09 → 00:16:11 น้ำลายยุคนี้มากกว่าเชื้อในน้ำลายนี่เยอะ
00:16:11 → 00:16:14 กว่าเชื้อใบชาเยอะมากแต่ผมเข้าใจว่าไอ้
00:16:14 → 00:16:16 ที่ถ้วยน้ำชาที่เขาไม่อยากให้ล้างคือ
00:16:16 → 00:16:18 เมื่อก่อนน่าจะเป็นถ้วยดินเผาที่มันมีการ
00:16:18 → 00:16:21 ดูดซึมกลิ่นชาแต่หลังๆมันเป็นถ้วยเคลือบ
00:16:21 → 00:16:21 ถ้วยเซรามิกอ่ะ
00:16:21 → 00:16:22 >> อือ
00:16:22 → 00:16:23 >> กลิ่นชาไม่ติดอยู่แล้ว
00:16:24 → 00:16:24 >> ออ
00:16:24 → 00:16:26 >> น้ำยาล้างจานล้างได้ไม่เกี่ยวกับความ
00:16:26 → 00:16:26 อร่อยเลย
00:16:26 → 00:16:30 >> อืแต่ว่าแต่ว่าพวกดินเผานี่ก็น่าสนใจไอ้
00:16:30 → 00:16:32 รูพรุนของดินเนี่ยมันสามารถกักเก็บใช้โรค
00:16:32 → 00:16:32 อะไรได้
00:16:32 → 00:16:35 >> ก็มีสิทธิ์มีสิทธิ์มีสิทธิ์แต่การลวกน้ำ
00:16:35 → 00:16:37 ร้อนหรือต้มก็ช่วยได้เพราะว่าน้ำร้อนมัน
00:16:37 → 00:16:38 ก็
00:16:38 → 00:16:39 >> ซึมเข้าไปใน
00:16:39 → 00:16:42 >> ดินเผาได้ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยฆ่า
00:16:42 → 00:16:42 เชื้อได้
00:16:42 → 00:16:45 >> ก็คือน้ำเดือดปกติ้ำปอ
00:16:45 → 00:16:48 >> แต่ควรมั่นใจว่ามันจมจริงๆอ่ะไม่ใช่แค่
00:16:48 → 00:16:49 ราดใช่
00:16:49 → 00:16:52 >> เอครับอ่ะต่อครับ
00:16:52 → 00:16:55 >> ต้องคนมั้ยเนี่ยไม่ผมว่าคนไม่คนมีค่าเท่า
00:16:55 → 00:16:57 กัน
00:16:57 → 00:17:00 อันนี้น่าจะเป็นเออเหมือนกันคนไทยทนเชื้อ
00:17:00 → 00:17:04 โรคได้มากกว่าชาวต่างชาติจริงมั้ย
00:17:04 → 00:17:07 >> เหมือนจะจริงนะแต่ผมว่าเราทนกับเชื้อที่
00:17:07 → 00:17:08 เราคุ้นเคยมากกว่าไง
00:17:08 → 00:17:10 >> สมมุติเรา
00:17:10 → 00:17:12 >> เราก็จะทนสมมุติว่าอาหารเราเป็นอย่างข้าว
00:17:12 → 00:17:14 ข้าวผัดกะเพราส้มตำลาบครับเราก็จะทนกับ
00:17:14 → 00:17:16 เชื้อที่ปกติมันอยู่ในอาหาร 3 จานนี้
00:17:16 → 00:17:18 เพราะมันเป็นอาหารที่เรากินบ่อย
00:17:18 → 00:17:20 >> แต่สมมุติเราไปต่างประเทศเราไปเจอเชื้อ
00:17:20 → 00:17:22 สมมุติเจอเชื้อในชีสที่เราไม่คุ้นเขาอาจ
00:17:22 → 00:17:25 จะทนเชื้อในชีสแต่เราไม่ทนเพราะงั้นเราผม
00:17:25 → 00:17:26 ไม่อยากบอกว่า
00:17:26 → 00:17:28 >> เราแข็งแรงมากกว่าต่างประเทศเราแค่แข็ง
00:17:28 → 00:17:32 แรงกับเชื้อที่อยู่ในอาหารไทยคุ้นกับ
00:17:32 → 00:17:33 เชื้อนี้มากกว่า
00:17:33 → 00:17:35 >> ซึ่งมันเยอะกว่าในต่างประเทศหรือเปล่า
00:17:35 → 00:17:36 >> ส่วนใหญ่จะโหลดเยอะกว่าเพราะว่าเราเป็น
00:17:36 → 00:17:38 อาหารที่
00:17:38 → 00:17:40 >> อุณหภูมิห้องอ่ะเชื้อมันโตได้ไวกว่าอัน
00:17:41 → 00:17:43 นี้คือสาเหตุที่ว่าทำไมคนต่างประเทศบางที
00:17:43 → 00:17:45 อยู่เมืองบ้านเขาไม่เป็นไรมาบ้านเรากิน
00:17:45 → 00:17:46 อาหารมื้อเดียวอ
00:17:46 → 00:17:46 >> ท้องเสียเลย
00:17:46 → 00:17:47 >> ท้องเสีย
00:17:47 → 00:17:47 >> เออ
00:17:47 → 00:17:48 >> อื
00:17:48 → 00:17:51 >> เป็นเพราะว่าใช้โรคมันโตในอากาศแบบบ้าน
00:17:51 → 00:17:51 เรา
00:17:51 → 00:17:55 >> มัน 2 อย่างโหลดเยอะกว่าปริมาณเยอะกว่า
00:17:55 → 00:17:56 กับเป็นเชื้อที่เขาไม่คุ้น
00:17:56 → 00:17:56 >> อื
00:17:56 → 00:17:59 >> เพราะเค้าเชุเคุ้นกับเชื้อบ้านเขาไง
00:17:59 → 00:18:02 >> อ๋อโหลดเยอะกว่านี่หมายถึงว่าเราเราใส่ใน
00:18:02 → 00:18:04 หลายๆอย่างในอาหารไทยอย่างงี้เหรอ
00:18:04 → 00:18:07 >> จำนวนไม่โหลดก็คือว่าตอนแรกทำมาใหม่ๆก็
00:18:07 → 00:18:09 อาจจะยังไม่มีแต่น้อยคนที่จะกินอาหารที่
00:18:09 → 00:18:11 ปรุงสุกใหม่บางทีเเก็บไว้ 2-3 ชั่วโมง
00:18:11 → 00:18:13 เชื้อที่จากน้อยๆค่อยค่อยๆโตค่อยๆโตมันโต
00:18:13 → 00:18:16 ไวกว่าไงเพราะว่าอุณหภูมิบ้านเรามันอุ่น
00:18:16 → 00:18:16 กว่าอ
00:18:16 → 00:18:17 >> อือ
00:18:17 → 00:18:18 >> โอเค
00:18:18 → 00:18:18 >> นั่นแหละครับ
00:18:18 → 00:18:21 >> งั้นถ้ามีเพื่อนฝรั่งมาก็ควรที่จะ
00:18:21 → 00:18:22 >> อุ่น
00:18:22 → 00:18:22 >> อุ่นทุกอย่าง
00:18:23 → 00:18:25 >> ทำไมบ้านยูกินอาหารร้อนตลอดเวลา
00:18:25 → 00:18:27 >> อ
00:18:27 → 00:18:30 >> คำถามต่อไปครับอันเนี้ยก็คลาสสิคครับ
00:18:30 → 00:18:34 คลาสสิกทุกอันน่ะกระป๋องเออได้ยินบ่อยๆใน
00:18:34 → 00:18:36 เรื่องกระป๋องบุบแล้วก็เกิดแบบความเน่า
00:18:36 → 00:18:36 เสีย
00:18:36 → 00:18:37 >> อือ
00:18:37 → 00:18:39 >> กระป๋องที่บุบเพราะแรงกระแทกกับกระป๋อง
00:18:39 → 00:18:40 ที่เสียเนี่ยมันดูออกมั้ครับว่ามันต่าง
00:18:41 → 00:18:42 กันยังไง
00:18:42 → 00:18:44 >> หลักๆไม่ว่าจะบุบยังไงไม่ไม่ควรไปกินมัน
00:18:44 → 00:18:46 แต่ถ้าแบบถ้าอยากเลือกจริงๆอ่ะส่วนใหญ่
00:18:46 → 00:18:48 ถ้าบุบเพราะแรงกระแทกแล้วยังกินได้มันจะ
00:18:48 → 00:18:50 บุบตรงบอดี้มันสมมุติว่านี่นี่คือกระป๋อง
00:18:50 → 00:18:50 เงี้ย
00:18:50 → 00:18:51 >> ครับ
00:18:51 → 00:18:54 >> บุบตรงเไม่เป็นไรแสดงว่าบุบเข้าอ่ะบุบ
00:18:54 → 00:18:57 เข้าคือโดนแรงกระแทกจากการขนส่ง
00:18:57 → 00:19:00 >> แต่พองออกคือมาจากเชื้อที่หายใจแล้วเกิด
00:19:00 → 00:19:02 แก๊สในนี้ความจริงการเสียของอาหารกระป๋อง
00:19:02 → 00:19:05 มีหลายแบบมากบางทีไม่ต้องผ่องเลย
00:19:05 → 00:19:06 >> อื
00:19:06 → 00:19:08 >> เรียบทุกอย่างถ้าเป็นศัพท์เ้าเรียกว่า
00:19:08 → 00:19:11 แฟลชาวด์คือข้างในเปรี้ยวแต่กระป๋องไม่
00:19:11 → 00:19:13 บวมแฟลชไงแบ่ง
00:19:13 → 00:19:14 >> ก็เสียได้
00:19:14 → 00:19:17 >> แต่เราไม่รู้แต่ถ้ามันพองออกมาเนี่ยไม่
00:19:17 → 00:19:20 ควรกินนะหรือถ้ามันบุบเข้าบุบเข้าตรงนี้
00:19:20 → 00:19:21 ไม่เป็นไรใช่มั้ย
00:19:21 → 00:19:22 >> แต่ถ้าบุบเข้าตรง
00:19:22 → 00:19:23 >> ขอบ
00:19:23 → 00:19:23 >> อ๋อ
00:19:23 → 00:19:26 >> อันตรายเพราะตรงนี้มันเป็นส่วนเขาเรียก
00:19:26 → 00:19:29 ว่าส่วนรอยต่อระหว่างฝากับแคนเพราะปกติ
00:19:29 → 00:19:32 เวลาผลิตกระป๋องมันจะมีส่วนบอดี้กับส่วน
00:19:32 → 00:19:33 แคน
00:19:33 → 00:19:35 >> แต่เขาจะมาเชื่อมกันด้วยเ้าเรียกว่าซีม
00:19:35 → 00:19:36 ซีมตรงขอบมันน่ะ
00:19:36 → 00:19:38 >> ถ้าบุบตรงขอบมีโอกาสที่เชื้อข้างนอกจะ
00:19:39 → 00:19:40 เข้าไปได้อ
00:19:40 → 00:19:41 >> อ๋อ
00:19:41 → 00:19:43 >> แต่ถ้าบุบตรงเนี้ยส่วนใหญ่ไม่เป็นไรอาจจะ
00:19:43 → 00:19:44 เกิดการกระแทกอ
00:19:44 → 00:19:46 >> แต่ถ้าพองไม่ควรกินเลย
00:19:46 → 00:19:49 >> แล้วถ้าถ้ากระแทกเนี่ยมันจะทำให้เกิดการ
00:19:49 → 00:19:51 เสียของกระป๋องนั้นง่ายขึ้นอีกป่ะ
00:19:51 → 00:19:53 >> ง่ายขึ้นง่ายขึ้นง่ายขึ้นโดยเฉพาะตรงตรง
00:19:53 → 00:19:55 ขอบจะยิ่งง่ายเพราะมันเป็นรอยต่อมันมี
00:19:55 → 00:19:56 โอกาสมีรูเยอะ
00:19:56 → 00:19:59 >> แต่ตรงนี้ถามว่าก็มีมั้ยมีแต่น้อยกว่า
00:19:59 → 00:20:01 >> เพราะตรงนี้มันไม่ใช่เป็น
00:20:01 → 00:20:03 >> ตรงบอดี้มันไม่ใช่ตรงรอยต่ออะไร
00:20:03 → 00:20:04 >> อือๆ
00:20:04 → 00:20:04 >> อื
00:20:04 → 00:20:06 >> คือมันไม่เกิดจากข้างในอยู่แล้วแต่มัน
00:20:06 → 00:20:07 เกิดจากเชื้อที่จะเข้าไป
00:20:07 → 00:20:09 >> ใช่เพราะข้างในอาหารกระป๋องทุกที่ข้างใน
00:20:09 → 00:20:11 เขาเรียกว่า commmercial story
00:20:12 → 00:20:14 ที่แปลว่าเกือบจะพูดอพูดง่ายๆแทบไม่มี
00:20:15 → 00:20:16 เชื้อเหลืออยู่เลยเพราะฉะนั้นอาหารข้างใน
00:20:16 → 00:20:17 มันเลยอ
00:20:17 → 00:20:18 >> ปลอดภัยมาก
00:20:18 → 00:20:19 >> ยกเว้น
00:20:19 → 00:20:21 >> โดนกระแทกจนเชื้อข้างนอกเข้า
00:20:21 → 00:20:22 >> อ
00:20:22 → 00:20:25 >> หรือเปิดแล้วเปิดแล้วปิดแล้วเก็บไม่ดีแต่
00:20:25 → 00:20:28 เปิดครั้งนึงที่เปิดเชื้อเข้าทันทีไม่ว่า
00:20:28 → 00:20:30 จะอยู่ในห้องสะอาดแค่ไหนอ
00:20:30 → 00:20:32 >> ยกเว้นต้องไปอยู่ในห้องผ่าตัดที่เป็นแบบ
00:20:32 → 00:20:33 มากๆ
00:20:33 → 00:20:34 >> ใช่
00:20:34 → 00:20:35 >> โอเคครับ
00:20:35 → 00:20:36 >> จะหมดแล้วล้อเล่น
00:20:36 → 00:20:40 >> ยังครับยังไม่ถึงครึ่งเลยมั้งครับเนี่ย
00:20:40 → 00:20:42 การล้างจานด้วยฟองฟองน้ำที่ใช้ซ้ำๆมัน
00:20:42 → 00:20:43 สะอาดได้จริงหรือเปล่า
00:20:43 → 00:20:46 >> ไม่ฟองน้ำเป็นตัวที่เก็บเชื้อโรคเยอะมาก
00:20:47 → 00:20:47 ใน
00:20:47 → 00:20:49 >> เพราะมันมีรูพรุนเยอะ
00:20:49 → 00:20:51 >> ใช่มั้ยมันมีรูพุนเยอะยกเว้นโหถ้าใคร
00:20:51 → 00:20:54 สะอาดจัดใช้ครั้งนึงอ่ะราดน้ำร้อนทีนึง
00:20:54 → 00:20:55 พ่นแอลกอฮอล์ทีนึง
00:20:55 → 00:20:58 >> ฟองน้ำคุณเปลี่ยนครับพอมันเริ่มแบบเก่าๆ
00:20:58 → 00:21:01 สมมุติว่าใช้อาทิตย์นึงงี้เริ่มเริ่ดำๆ
00:21:01 → 00:21:03 แล้วควรควรเปลี่ยนเพราะมันเป็นแหล่งสะสม
00:21:03 → 00:21:04 เชื้อ
00:21:04 → 00:21:06 >> เราจัดการกับฟองน้ำในครัวเรายังไงครับทุก
00:21:06 → 00:21:08 วันที่เราใช้เสร็จอ่ะ
00:21:08 → 00:21:10 >> พอล้างเสร็จอ่ะหลายคนคิดว่ามันมีฟองแล้ว
00:21:10 → 00:21:12 คือสะอาดความจริงไม่ใช่
00:21:12 → 00:21:12 >> ออ
00:21:12 → 00:21:16 >> สมมุติล้างสมมุติว่านี่คือแก้ว
00:21:16 → 00:21:18 >> ล้างล้างแก้วเสร็จ
00:21:18 → 00:21:20 >> แก้วสะอาดฟองน้ำมีฟองวางทิ้งไว้เนี่ยไม่
00:21:20 → 00:21:21 ควร
00:21:21 → 00:21:21 >> อ๋อ
00:21:21 → 00:21:23 >> ควรปีบฟองทั้งหมดออกก่อน
00:21:23 → 00:21:26 >> แล้วใส่ไอ้น้ำยาล้างจานอีกรอบแล้วขยำอีก
00:21:26 → 00:21:28 รอบนึงแล้วบีบอีกครั้งนึง
00:21:28 → 00:21:30 >> เพื่อเหมือนเป็นการทำความสะอาดฟองน้ำใน
00:21:30 → 00:21:31 ตัวอ
00:21:31 → 00:21:33 >> คือหลายคนล้างจานเสร็จปุ๊บล้างจานล้าง
00:21:33 → 00:21:36 แก้วเสร็จปุ๊บเห็นว่าฟองน้ำยังมีฟองอยู่
00:21:36 → 00:21:37 ไม่ยอมบีบคั้นออก
00:21:37 → 00:21:39 >> วางไว้คิดว่ามีฟองแล้วสะอาดแต่ความจริง
00:21:40 → 00:21:40 มันไม่ใช่ใช่
00:21:40 → 00:21:43 >> ก็คือเชื้อที่เราไปเช็ดแหละมันก็ยังอยู่
00:21:43 → 00:21:45 แล้วมันก็ไปโตในฟองน้ำ
00:21:45 → 00:21:46 >> แล้วโตครั้งนึง
00:21:46 → 00:21:48 >> ล้างอีกครั้งถัดไปก็จะยากแล้วเพราะว่าฟอง
00:21:48 → 00:21:49 น้ำมันลึก
00:21:49 → 00:21:49 >> อื
00:21:49 → 00:21:53 >> แล้วคงไม่มีใครแบบเทน้ำร้อนราดอ่ะ
00:21:53 → 00:21:54 >> แต่ถ้าเทน้ำร้อนราดก็จะดี
00:21:54 → 00:21:55 >> ก็ช่วยก็ช่วยก็ช่วย
00:21:55 → 00:21:58 >> แปลว่าเราควรทำความสะอาดฟองน้ำทุกวันนะ
00:21:58 → 00:22:00 >> ทุกครั้งแต่ไม่ต้องถึงขนาดน้ำเดือดราดก็
00:22:00 → 00:22:03 ได้แต่อย่างน้อยแบบพอใช้เสร็จครั้งนึงก็
00:22:03 → 00:22:06 บีบออกให้หมดแล้วใส่น้ำยาล้างจันทอีกรอบ
00:22:06 → 00:22:08 ขยับเหมือนซักผ้าอืเหมือนซักผ้าแค่นั้น
00:22:08 → 00:22:09 แหละ
00:22:09 → 00:22:11 >> ก็จะสาคือจะต้องบีบให้แห้งพอมีน้ำอยู่
00:22:11 → 00:22:12 เชื้อก็โตได้อ
00:22:12 → 00:22:12 >> อ๋อ
00:22:12 → 00:22:13 >> ต้องบีบให้แห้งมาก
00:22:13 → 00:22:15 >> แห้งแล้วก็วางไว้ตรงที่แห้ง
00:22:15 → 00:22:17 >> วางไว้ตรงที่ระบายอากาศได้
00:22:17 → 00:22:18 >> เพราะว่าคนก็จะใส่เข้าไปในกระป๋องที่มี
00:22:18 → 00:22:19 น้ำยาอยู่
00:22:19 → 00:22:22 >> อืก็ก็หมักหมมต่อ
00:22:22 → 00:22:25 >> โอเคอันนี้ดีครับมีประโยชน์เห็นชัดที่
00:22:25 → 00:22:26 บ้านใช้
00:22:26 → 00:22:29 >> แต่มันจะมีร้านอาหารที่เขาแช่ไว้ใน
00:22:29 → 00:22:31 คอนเทนเนอร์ที่มีน้ำอยู่ตลอดเวลา
00:22:31 → 00:22:32 >> นั่นแหละอันนั้นแหละ
00:22:33 → 00:22:34 >> มันหลายปัจจัยมาก
00:22:34 → 00:22:37 >> ถ้าน้ำยาล้างจานเข้มข้นพอเชื้อก็ไม่โตแต่
00:22:37 → 00:22:39 หลายที่มันเจือจางมันก็โตได้
00:22:39 → 00:22:40 >> ชอบเติมน้ำลงไปในน้ำยา
00:22:40 → 00:22:43 >> นั่นแหละจงแบบกลัวอะไรนะกลัวเปิแต่ Best
00:22:43 → 00:22:46 Practice อ่ะต้องบีบให้แห้งแล้วผึ่งไว้
00:22:46 → 00:22:47 >> อันนั้นชัวร์สุด
00:22:47 → 00:22:47 >> อื
00:22:47 → 00:22:48 >> ดูน่ากลัวจริงๆ
00:22:48 → 00:22:49 >> นั่นแหละครับ
00:22:49 → 00:22:53 >> โอเคครับ
00:22:53 → 00:22:57 >> คำอย่างอ่าอันนี้เป็นเรื่องจากผมว่ายุค
00:22:57 → 00:22:59 โควิดเนี่ยล้างมือก่อนกินช่วยลดเชื้อโรค
00:22:59 → 00:23:00 ได้จริงมั้
00:23:00 → 00:23:02 >> ลดจริงลดจริงแต่ต้องล้างล้างมือยังถูก
00:23:02 → 00:23:04 วิธีไงผมก็จำไม่ได้หรอกว่ามันมีขั้นตอน
00:23:04 → 00:23:07 ไหนมาแต่จำได้ว่าอย่างน้อยขั้นตอนนึงคือ
00:23:07 → 00:23:09 ต้องถูกสบู่คงที่ไว้อย่างน้อย 20 วินาที
00:23:09 → 00:23:11 ซึ่งหลายคนมันแค่ 5 วินาทีปัจจุบันผมก็
00:23:11 → 00:23:13 เป็นบางที 5 วินาขี้เขียนอ
00:23:13 → 00:23:16 >> 20 วินาทีคือลดเชื้อได้ชัดเจนที่สุด
00:23:16 → 00:23:17 >> อือ
00:23:17 → 00:23:19 >> มี 2 ปัจจัยถ้าอยากล้างมือให้สะอาดคือ
00:23:19 → 00:23:21 ล้างนานพอและล้างถูกวิธีไงมันมี
00:23:21 → 00:23:23 >> มันมีวิธีอยู่
00:23:23 → 00:23:24 >> ช่วงโควิดเราน่าจะเห็นบ่อย
00:23:24 → 00:23:26 >> ใช่หลายคนถูกแค่เนี้ยแล้วคงไว้ 20 วินาท
00:23:26 → 00:23:26 >> เออ
00:23:26 → 00:23:28 >> อ้าวไอ้ตรงข้อก็ไม่โดน
00:23:28 → 00:23:28 >> อ
00:23:28 → 00:23:31 >> ก็ต้องมีท่าของเขาแล้วต้องคงไว้ 20
00:23:31 → 00:23:31 วินาทีด้วย
00:23:31 → 00:23:32 >> น้ำเปล่าก็ไม่รอด
00:23:32 → 00:23:33 >> น้ำเปล่าไม่รอด
00:23:33 → 00:23:34 >> อื
00:23:34 → 00:23:37 >> หลักการ sanitation ในอุตสาหกรรมอาหาร
00:23:37 → 00:23:39 จริงๆอ่ะความจริงอ่ะมันมีทั้ง 3 ขั้นตอน
00:23:39 → 00:23:42 ขั้นแรกล้างน้ำเปล่าเพื่อล้างส่วนใหญ่ออก
00:23:42 → 00:23:44 ไปก่อนขั้นที่ 2 คือ cleaning ใช้น้ำยา
00:23:44 → 00:23:45 ล้างจาน
00:23:45 → 00:23:45 >> อ
00:23:45 → 00:23:47 >> น้ำยาล้างจานคือเอาไขมันโปรตีนออกแต่
00:23:47 → 00:23:50 เชื้อยังอยู่อันที่ 3 คือ disinfection
00:23:50 → 00:23:51 ใช้แอลกอฮอล์
00:23:51 → 00:23:52 >> แล้วต้องเรียงแบบนี้ด้วยนะ
00:23:52 → 00:23:54 >> ถ้ามาถึงเอาแอลกอฮอล์ก่อนแล้ว cleaning
00:23:54 → 00:23:57 ก็ใช่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
00:23:57 → 00:23:59 >> ต้องเอาน้ำเปล่า
00:23:59 → 00:24:02 >> น้ำยาล้างจานก็หรือสบู่ถ้าเป็นมือแล้วก็
00:24:02 → 00:24:05 disinfection ก็คือแอลกอฮอล์
00:24:05 → 00:24:05 >> ออ
00:24:05 → 00:24:07 >> หรือว่าหรือว่าสารฆ่าเชื้ออย่างอื่นก็ได้
00:24:07 → 00:24:11 >> อืแล้วอีกอันนี้ถามต่อเลยล้างมือก่อนกิน
00:24:11 → 00:24:13 ข้าวเนี่ยกับเราไม่มีที่ล้างมือฉีด
00:24:13 → 00:24:14 แอลกอฮอล์เนี่ย
00:24:15 → 00:24:16 >> ฉีดแอลกอก็ยังดี
00:24:16 → 00:24:16 >> ดีกว่า
00:24:16 → 00:24:19 >> ดีกว่าคือแม้ว่าเราจะข้ามตัวคลีนingไอ้ 3
00:24:19 → 00:24:21 อันเนี้ยคือทำให้ประสิทธิภาพมันเกือบเต็ม
00:24:21 → 00:24:24 100% เลยแต่สมมุติเราข้ามน้ำเปล่ามาแล้ว
00:24:24 → 00:24:26 มาแอลกอฮอล์เลยประสิทธิภาพการฆ่าเชื้ออาจ
00:24:26 → 00:24:29 จะเหลือแค่ 70% แต่ยังดีกว่าไม่ได้ฆ่าเลย
00:24:29 → 00:24:32 >> แต่ประสิทธิภาพมันน้อยลงเพราะมันมี dirt
00:24:32 → 00:24:35 มีคือศัพทเขาเรียกว่าซอย s o ที่แปลว่า
00:24:35 → 00:24:38 ดินๆซอยในที่เคือสิ่งที่ไม่ควรอยู่
00:24:38 → 00:24:38 >> อื
00:24:38 → 00:24:41 >> ไขมันบางทีมันไม่ควรอยู่บนมือเราแต่ถ้า
00:24:41 → 00:24:43 มันมีไขมันการฆ่าเชื้อจะลดลงเพราะว่าไข
00:24:43 → 00:24:45 มันมันไปปกป้องไม่ให้เชื้อโดนแอลกอฮอล์
00:24:45 → 00:24:46 >> ออ
00:24:46 → 00:24:49 >> อแต่ถ้าไม่มีที่ล้างมือเลยอ่ะอย่างน้อย
00:24:49 → 00:24:51 แอลกอฮอล์ก็ดีกว่านอตติ้ง
00:24:51 → 00:24:51 >> อ
00:24:51 → 00:24:52 >> ครับ
00:24:52 → 00:24:54 >> มันอันตรายแค่ไหนครับเชื้อจากมือเราไม่
00:24:54 → 00:24:54 รู้เลย
00:24:54 → 00:24:58 >> โอ้โหเชื้อเชื้อจากมือเราอ่ะเค้าเชื้อจาก
00:24:58 → 00:25:00 เค้าเรียกว่า Normal Flora เนาะเชื้อจาก
00:25:00 → 00:25:03 ผิวหนังคนเ้าเรียกว่าSTPฟิโลคอก Aus มี
00:25:03 → 00:25:03 อยู่แล้ว
00:25:03 → 00:25:04 >> อือ
00:25:04 → 00:25:06 >> ไม่ว่าเราจะอาบน้ำแค่ไหนแล้วเชื้อตัว
00:25:06 → 00:25:08 เนี้ยดันสั้นๆดันสร้างสารพิษที่ทนความ
00:25:09 → 00:25:10 ร้อนด้วยโ
00:25:10 → 00:25:12 >> อือันเนี้คือ
00:25:12 → 00:25:14 เทพเจ้าสร้างมา
00:25:14 → 00:25:16 >> ก็คือเราชะล้างเชื้อออกจากมือเราให้มาที่
00:25:16 → 00:25:17 สุดก่อน
00:25:17 → 00:25:19 >> ใช่เพื่อพอมันไม่มีเชื้อตัวเชื้อไม่มีพอ
00:25:19 → 00:25:20 ไปจับอาหาร
00:25:20 → 00:25:21 >> อ
00:25:21 → 00:25:23 >> เชื้อก็ไม่สามารถโตบนอาหารได้เพราะไม่มี
00:25:23 → 00:25:24 เชื้อไงอ
00:25:24 → 00:25:27 >> มันก็สร้างสารพิษไม่ได้อาหารก็จะปลอดภัย
00:25:27 → 00:25:27 เออโอเค
00:25:27 → 00:25:30 >> อืก็ล่าสุดไงเคส 2 สัปดาห์ที่แล้วไงข้าว
00:25:30 → 00:25:32 มันข้าวมันไก่มันไก่
00:25:32 → 00:25:32 >> มีแผล
00:25:32 → 00:25:33 >> อื
00:25:33 → 00:25:37 >> แผลเป็นอะไรที่เชื้อปกติเชื้อสมมุติที่
00:25:37 → 00:25:39 อย่างเชื้อที่ผิวอ่ะสมมุติมี 10 ตัวต่อ
00:25:39 → 00:25:39 ตารางเซม
00:25:39 → 00:25:40 >> ค่ะ
00:25:40 → 00:25:43 >> แผลมันจะหัวเป็นพันเป็นหมื่นเท่าแล้วพอ
00:25:43 → 00:25:47 สับเข้ามันไก่แม้ว่ามันจะติดตรงหนังไก่
00:25:47 → 00:25:47 >> อ
00:25:47 → 00:25:50 >> แล้วโรงเรียนนั้นสมมุติเอาไปไมโครเวฟ
00:25:50 → 00:25:52 >> ก็ยังไม่รอดเพราะเชื้อทนความหลอน
00:25:52 → 00:25:52 >> อ๋อ
00:25:52 → 00:25:53 >> อือ
00:25:53 → 00:25:55 >> คือป้องกันไม่ให้เชื้อมันมีก่อนดีกว่า
00:25:55 → 00:25:57 >> ถูกต้องลดโหลดดีกว่า
00:25:57 → 00:25:57 >> อือๆ
00:25:58 → 00:26:01 >> โอเคครับอ่ะต่อไปครับ
00:26:01 → 00:26:04 อาหารที่หมดอายุ Best before ยังกินได้
00:26:04 → 00:26:06 อยู่มั้ครับที่มันเขียนว่า Best before
00:26:06 → 00:26:07 เนากินได้
00:26:07 → 00:26:07 >> เออๆ
00:26:07 → 00:26:10 >> คำว่า best before นิยามคือมันมันหมด
00:26:10 → 00:26:12 อายุเชิงเคมีกายภาพคือลักษณะมันมัน
00:26:12 → 00:26:15 เปลี่ยนไปเช่นไม่กรอบเม้นหืนแต่ไม่ได้
00:26:15 → 00:26:16 เกี่ยวกับเชื้อ
00:26:16 → 00:26:17 >> อือ
00:26:17 → 00:26:19 >> อาหารไหนที่ขึ้น Best before คือเสียไม่
00:26:19 → 00:26:22 เกี่ยวกับเชื้อเลยแต่อาหารไหนที่ขึ้นว่า X
00:26:22 → 00:26:23 expirate
00:26:23 → 00:26:24 >> ครับ
00:26:24 → 00:26:28 >> มันจะเสียเชิงเชื้อก่อนเสียเชิงคุณภาพ
00:26:28 → 00:26:29 >> คือมันจะมีตัวเชื้อเกิดขึ้นมา
00:26:29 → 00:26:30 >> เกิดขึ้นก่อน
00:26:30 → 00:26:31 >> อื
00:26:31 → 00:26:34 >> อืเกิดขึ้นก่อนเช่นแน่ๆนมสด
00:26:34 → 00:26:34 >> อ่า
00:26:35 → 00:26:36 >> นมพัจจอไรอย่างเงี้ยครับ
00:26:36 → 00:26:38 >> ปูดก่อนเหม็นหืนแน่นอน
00:26:38 → 00:26:40 >> เพราะฉะนั้นเเลยใช้ expire แต่สมมุติน้ำ
00:26:40 → 00:26:42 ปลาเนยถั่ว
00:26:42 → 00:26:42 >> อือ
00:26:42 → 00:26:45 >> เชื้อไม่ทันได้โตครับแต่สีเปลี่ยนเหม็น
00:26:45 → 00:26:48 หืนแล้วจะใช้ Best before อันนี้คือวิธี
00:26:48 → 00:26:51 การจำแนกเพราะฉะนั้นถ้าเป็น Best before
00:26:51 → 00:26:55 แค่สีมันเข้มขึ้นก็ไม่ได้อันตรายอะไรแค่
00:26:55 → 00:26:57 ถ้าเอาไปปรุงอาหารนั้นอาจจะอ
00:26:57 → 00:27:00 >> ไม่เหมือนเดิมเพราะสีอาจจะเข้มขึ้น
00:27:00 → 00:27:02 >> อืเพราะฉะนั้นทุกคนไม่ใช่แค่ดูแค่วันที่
00:27:02 → 00:27:04 เนาะควรจะดูว่ามันคือ best before หรือ x
00:27:04 → 00:27:05 >> ใช่
00:27:06 → 00:27:08 แต่ถ้าทำอุตสาหกรรมอาหารหรือร้านอาหาร
00:27:08 → 00:27:08 จริงๆอ่ะ
00:27:08 → 00:27:09 >> ครับ
00:27:09 → 00:27:10 >> Best before ก็ไม่ควรแตะเพราะอย่าลืม
00:27:10 → 00:27:13 ว่าเวลาทำเราทำอาหารให้ลูกค้าคุณภาพต้อง
00:27:13 → 00:27:16 คงที่คุณภาพในที่นี้คือทั้งเชื้อและ
00:27:16 → 00:27:16 >> รสชาติ
00:27:16 → 00:27:19 >> รสชาติด้วยแต่ถ้าทำเองที่บ้านแล้วแบบโห
00:27:19 → 00:27:21 ซื้อมาตั้งเยอะแล้ว Best before เพิ่ง
00:27:21 → 00:27:23 เมื่อวานอย่างเงี้ยใช้ได้ไม่มีปัญหา
00:27:23 → 00:27:24 >> อือๆ
00:27:24 → 00:27:24 >> ครับ
00:27:24 → 00:27:27 >> คือหลายคนก็คงแบบดูแค่วันที่เนาะโดยที่
00:27:27 → 00:27:28 ไม่รู้อ่ะ
00:27:28 → 00:27:30 >> แล้วก็แบบอุ้ยมัน best before แล้วก็หมด
00:27:30 → 00:27:31 ไปแล้วเมื่อวานนี้
00:27:31 → 00:27:33 >> ก็กินไม่ได้แล้วสิอะไรอย่างเงี้ยแต่จริงๆ
00:27:33 → 00:27:34 มันยังกินได้อยู่
00:27:34 → 00:27:36 >> กินได้แล้วส่วนส่วนใหญ่อ่าผลิตภัณฑ์อาหาร
00:27:36 → 00:27:38 ที่เป็น Best before พวกนี้เขาจะตั้ง
00:27:38 → 00:27:39 เผื่อไว้
00:27:39 → 00:27:40 >> นานแค่ไหนครับ
00:27:40 → 00:27:44 >> แล้วแต่ผลิตภัณฑ์เลยบางทีเขาทดสอบว่าเฮ้ย
00:27:44 → 00:27:46 2 ปีเหม็นหืน
00:27:46 → 00:27:47 >> เ้าอาจจะตั้ง Best before เป็น 1 ปี
00:27:47 → 00:27:49 ครึ่งเผื่อไว้
00:27:49 → 00:27:49 >> อื
00:27:49 → 00:27:51 >> ก็ก็มีโอกาส
00:27:51 → 00:27:53 >> เอ้ยอยากรู้เลยครับว่าเวลาเ้าทำผลิตภัณฑ์
00:27:53 → 00:27:55 กันเนี่ยเค้าไปทดสอบ Best before กันยัง
00:27:55 → 00:27:56 ไง
00:27:56 → 00:28:00 >> โหมันมันลึกมากคือไม่มีใครตั้งไว้ 1 ปี
00:28:00 → 00:28:02 เต็มเขาจะมีเรียกว่า Accelerate Shelf
00:28:03 → 00:28:05 life คือสมมุติว่าเรู้ว่าเวลาลูกค้าเอา
00:28:05 → 00:28:08 ไปเก็บวางไว้ที่อุณหภูมิ 25 องศาถึงจะหมด
00:28:08 → 00:28:09 2 ปี
00:28:09 → 00:28:12 >> แต่ถ้ารอหมด 2 ปีผลิตภัณฑ์ไม่ได้ทันออก
00:28:12 → 00:28:13 >> เก็จะเร่งเจะเร่ง
00:28:13 → 00:28:13 >> อ๋อ
00:28:13 → 00:28:15 >> เช่นเพิ่มอุณหภูมิไปบ่มไปที่อุณหภูมิ
00:28:16 → 00:28:17 40-50 องศาซิ
00:28:17 → 00:28:17 >> อ
00:28:18 → 00:28:19 >> เพราะงั้น Best before มันจะเร็วขึ้น
00:28:19 → 00:28:21 แล้วเขาจะมีสมการของเขาอ่ะถ้าจำไม่ผิดนะ
00:28:21 → 00:28:25 จะมั้งเ้าบอกว่าถ้าอุณหภูมิเท่านี้เสีย
00:28:25 → 00:28:26 ภายใน 2 อาทิตย์
00:28:27 → 00:28:29 >> ถ้า 25 เสียภายในกี่ปีมันเทียบได้
00:28:29 → 00:28:31 >> อือ๋อมันก็จะมีการเทียบกันอยู่
00:28:32 → 00:28:34 >> ใช่ของของพวกผมก็แบบเข้าใจพวกฟุไ 2 ปีมัน
00:28:34 → 00:28:37 ต้องรอ 2 ปีเลยถึงแต่ expire เดไม่ค่อย
00:28:37 → 00:28:38 เพราะ expire มันสั้นไง
00:28:38 → 00:28:38 >> ใช่
00:28:38 → 00:28:41 >> 14 วันใช่มั้ยก็รอ 14 วันแป๊บเดียวไม่
00:28:41 → 00:28:42 ต้องไป accelerate ก็ได้อ
00:28:42 → 00:28:43 >> อื
00:28:43 → 00:28:43 >> อือ
00:28:43 → 00:28:45 >> แล้วอ่ะอีกคำถามนึง Best before มัน
00:28:45 → 00:28:47 สามารถ
00:28:47 → 00:28:49 >> เอ่อเรียกว่าอะไรยืนระยะของมันในตู้เย็น
00:28:49 → 00:28:50 ได้มั้ยฮะ
00:28:50 → 00:28:52 >> ยืดได้ยืดได้เพราะส่วนใหญ่ Best best
00:28:52 → 00:28:54 before ส่วนใหญ่เขาจะเขาจะทดลองที่เขียน
00:28:54 → 00:28:56 ไว้คืออุณหภูมิห้อง
00:28:56 → 00:28:56 >> อือ
00:28:56 → 00:28:59 >> แต่ถ้าเราไปแช่เย็นกระบวนการเหม็นหืน
00:28:59 → 00:29:01 กระบวนการที่สีจะเปลี่ยนก็จะช้าลงเพราะ
00:29:01 → 00:29:04 ปฏิกิริยาส่วนใหญ่ในโลกเนี้ยพออุณหภูมิลด
00:29:04 → 00:29:05 มันจะเกิดช้าลง
00:29:05 → 00:29:05 >> อื
00:29:05 → 00:29:06 >> ครับ
00:29:06 → 00:29:10 >> โอเคต่อเลยครับ
00:29:10 → 00:29:14 >> โอเคข้าวครับข้าวสารเนาะเก็บไว้นานแค่ไหน
00:29:14 → 00:29:16 ถึงจะควรทิ้งฮะ
00:29:16 → 00:29:16 >> ข้าวสาร
00:29:17 → 00:29:18 >> ตามฉลากเลยครับ
00:29:18 → 00:29:21 >> เพราะตามฉลากเขาจะเขียนเเหมือนเขาจะระบุ
00:29:21 → 00:29:25 ไว้พอมันพอมันเกินที่เขาเขียนน่ะส่วนใหญ่
00:29:25 → 00:29:28 สิ่งที่ที่สิ่งที่เสียคือมันมอดขึ้น
00:29:28 → 00:29:30 >> มอดขึ้นถือว่าเป็นข้าวเสียเหรอ
00:29:30 → 00:29:33 >> มันไม่ควรกินเพราะว่ามอดคือในข้าวอ่ะมัน
00:29:34 → 00:29:36 จะมีไข่มอดมาตามธรรมชาติอยู่แล้วถ้าเก็บ
00:29:36 → 00:29:38 ไม่ดีหรือมีออกซิเจนเยอะมันก็จะฟักเป็น
00:29:38 → 00:29:40 ตัวแล้วมอดมันก็จะไปกินข้าวคือข้าวมันก็
00:29:40 → 00:29:44 จะเหมือนข้าวที่โดนหมอดกิน 1 นอกจากเม็ด
00:29:44 → 00:29:47 หักไม่พอบางทีเราไม่รู้ว่ามอดมันมีเชื้อ
00:29:47 → 00:29:50 ถ้ามอดโตได้มีโอกาสที่จุลินทรีย์ก็โตได้
00:29:50 → 00:29:52 ด้วยแล้วบางทีหมอดมันเป็นสัตว์ใช่มั้ย
00:29:52 → 00:29:54 >> กินข้าวเสร็จมันก็ต้องขี้ออก
00:29:54 → 00:29:56 >> อจะกินขี้มอด
00:29:56 → 00:30:00 >> ไม่ควรข้าวที่ข้าวที่มอดขึ้นน่ะไม่ควรกิน
00:30:00 → 00:30:01 แต่บางทีถ้ามันเริ่มขึ้นแล้วหลายคนบอก
00:30:01 → 00:30:04 เฮ้ยเอาไปล้างก็ยังใช้ได้อยู่
00:30:04 → 00:30:06 >> ก็ใช่เพราะเชื้ออาจจะหล่นไม่เยอะพอไปหุง
00:30:06 → 00:30:07 มันก็ลดลง
00:30:07 → 00:30:09 >> แต่สมมุติถ้ามันเราไม่มีทางรู้เราไม่เรา
00:30:09 → 00:30:11 ไม่มีห้องแลบในการวัดถ้ามันขึ้นเยอะแล้ว
00:30:11 → 00:30:14 เชื้อมันโหลดมากบางทีเอาไปหุง
00:30:14 → 00:30:16 >> เชื้อตายไม่หมดอ
00:30:16 → 00:30:18 >> แล้วก็อาจจะเกิดปัญหาเกิดโรคได้อ
00:30:18 → 00:30:22 >> อืข้าวนี่เป็น best before หรือ expire
00:30:22 → 00:30:22 นะ
00:30:22 → 00:30:23 >> ข้าวใช่มั้ย
00:30:23 → 00:30:23 >> ใช่ข้าวสาร
00:30:24 → 00:30:25 >> พี่คิดว่าเป็น best before หรือ expire
00:30:25 → 00:30:27 >> ผมน่าผมเข้าใจว่าน่าจะเป็น best before
00:30:27 → 00:30:32 นะเพราะมันน่าจะมีเรื่องของกายภาพมากกว่า
00:30:32 → 00:30:34 >> ไม่รู้เหมือนกัน
00:30:34 → 00:30:37 >> ไม่ชัวร์มาเปล่าที่บอกว่าข้าวอ่ะ
00:30:37 → 00:30:39 >> มันแล้วแต่ยี่ห้อบางยี่ห้อก็ Best before
00:30:39 → 00:30:42 บางยี่ห้อก็ expired เพราะหลายหลายเจ้า
00:30:42 → 00:30:45 เ้าเเห็นว่ามอดคือสิ่งมีชีวิตบางทีมันมา
00:30:46 → 00:30:48 ก่อนที่จะหืนหรือกลิ่นหายเขาก็จะไปใช้
00:30:48 → 00:30:51 expiry dead มันแล้วแต่เลย
00:30:51 → 00:30:53 >> อืมันแล้วแต่แต่หลังๆมันมีเทคโนโลยีข้าว
00:30:53 → 00:30:55 ไงคือเก็บไว้ในถุงที่
00:30:55 → 00:30:56 >> ซีลไว้แบบ
00:30:56 → 00:30:58 >> ซีลแล้วแบบเอาอากาศออกแล้วflัชแก๊ส
00:30:58 → 00:30:59 ไนโตรเจนอย่างเงี้ย
00:30:59 → 00:31:01 >> อยู่ได้นานขึ้นมันช่วยเลย
00:31:01 → 00:31:02 >> พอไม่มีออกซิเจนไนโตรเจนเข้าไปแทน
00:31:02 → 00:31:04 ออกซิเจนไม่มีอ
00:31:04 → 00:31:05 >> ไข่มอดก็ฟักไม่ได้
00:31:05 → 00:31:05 >> อ๋อ
00:31:05 → 00:31:08 >> แล้วกลิ่นกลิ่นหอมๆของข้าวก็จะยังอยู่นาน
00:31:08 → 00:31:11 >> ก็ต้องดูว่าซื้อแบบไหนไปใช้ที่บ้านมั้
00:31:11 → 00:31:13 >> ใช่ๆแต่พูดตรงๆถ้ามอดขึ้นก็ไม่ไม่ควร
00:31:14 → 00:31:15 เสี่ยงครับ
00:31:15 → 00:31:17 >> อืโอเคครับ
00:31:17 → 00:31:20 เพราะว่าเราก็จะแบบรู้จักการซาวข้าวเอา
00:31:20 → 00:31:21 มอดออกไง
00:31:21 → 00:31:22 >> อ๋อ
00:31:22 → 00:31:24 >> ฝุ่นมอดอะไรอย่างเงี้ยแล้วแบบเออถ้ามอด
00:31:24 → 00:31:26 โอเคเข้าใจมอดมันเกิดได้ก็แปลว่าเชื้อโรค
00:31:26 → 00:31:28 เกิดได้อ
00:31:28 → 00:31:30 >> คำถามต่อไปฮะอาหารที่มีเชื้อราขึ้นถ้าตัด
00:31:31 → 00:31:33 ส่วนที่มีชราออกยังสามารถกินส่วนที่เหลือ
00:31:33 → 00:31:33 ได้มั้ย
00:31:33 → 00:31:37 >> โอเคยทำเรื่องนี้อยู่ขึ้นอยู่กับอาหาร
00:31:37 → 00:31:39 >> อันนี้ความจริง WHO มีเขียนไว้ชัดถ้าเป็น
00:31:39 → 00:31:41 อาหารเนื้อแข็งควานได้ถ้าเป็นอาหารเนื้อ
00:31:41 → 00:31:43 อ่อนเมื่อไหร่หมายความว่าเชื้อราวเวลามัน
00:31:43 → 00:31:46 เกิดมันจะมีรากของมันเค้าเรียกว่าไฮฟี่
00:31:46 → 00:31:48 อะไรพวกเนี้ยสัตว์เชื้อเชื้อราเอ
00:31:48 → 00:31:51 >> ถ้าอาหารเนื้อนิ่มมันจะชอนลงไปคว้านยังไง
00:31:51 → 00:31:53 ก็ยังอยู่ข้างในอาหารเนื้อนิ่มเช่นอะไร
00:31:53 → 00:31:55 อ่ะขนมปังเค้ก
00:31:55 → 00:31:55 >> อ
00:31:55 → 00:31:56 >> เยลลี่
00:31:56 → 00:31:56 >> อือ
00:31:56 → 00:31:59 >> แต่ถ้าเป็นอาหารเนื้อแข็ง
00:31:59 → 00:32:02 WHO น่าจะยกตัวอย่างหอมใหญ่แครอทอะไรพวก
00:32:02 → 00:32:05 เนี้ยที่มันค่อนข้างแข็งแล้วมีราคว้าออก
00:32:05 → 00:32:05 ได้
00:32:05 → 00:32:06 >> ออ
00:32:06 → 00:32:08 >> เพราะว่า
00:32:08 → 00:32:11 >> รากของรามันใช้ลงไปไม่ได้
00:32:11 → 00:32:12 >> แล้วพวกชีสอ่ะชีสมันมีเชื้อ
00:32:12 → 00:32:15 >> อ๋อ WHO ก็แบ่งเหมือนกัน
00:32:15 → 00:32:17 >> ชีสมีแบบเป็นฮาร์ดชีสกับซอชีส
00:32:17 → 00:32:18 >> ฮารชีส
00:32:18 → 00:32:21 >> ฮารชีสเช่นอะไรอ่ะไม่ออกซอตชีสพวกบรี
00:32:21 → 00:32:23 กมองแบอะไรพวกเยเป็นชีสเนื้อนิ่ม
00:32:23 → 00:32:24 >> อือ
00:32:24 → 00:32:27 >> ถ้าขึ้นลาควรทิ้งเพราะมันไม่มีโอกาสลงซาน
00:32:27 → 00:32:30 อย่างเงี้ยควานได้เพราะมันมันแข็งอยู่อัน
00:32:30 → 00:32:32 นี้เขียนไว้ชัดไม่ได้คิดเองเขียนไว้ชัดใน
00:32:32 → 00:32:33 องค์การอนามัยโลกครับ
00:32:33 → 00:32:34 >> อื
00:32:34 → 00:32:36 >> แต่เวลาคว้านเค้าบอกให้ควานลึกนิดนึง
00:32:36 → 00:32:36 >> ลึกกว่าที่มันขึ้น
00:32:36 → 00:32:39 >> ลึกกว่าที่มันขึ้นลึกลงไปสัก
00:32:39 → 00:32:40 >> ครึ่งนิ้วอย่างเงี้ยโอเคอยู่
00:32:40 → 00:32:44 >> เออก็คือแต่ว่าโดยชีสเองอ่ะผมคุยกับพี่ทำ
00:32:44 → 00:32:46 ชีสเขาก็บอกว่าบางทีเค้าก็ไม่ได้กินไอ้
00:32:46 → 00:32:47 พวกที่มันเป็นแบบเชื้อราดีนะ
00:32:47 → 00:32:51 >> อ่ามันจะมีมันจะมีชีสบางตัวที่รักบลูชีส
00:32:51 → 00:32:52 ไง
00:32:52 → 00:32:54 >> เออใช่บูชีสนี่คือราก
00:32:54 → 00:32:56 >> อันนั้นเป็นเชื้อราที่เขา้ารู้อยู่แล้ว
00:32:56 → 00:32:57 ว่ามันกินได้
00:32:57 → 00:32:57 >> อื
00:32:57 → 00:32:59 >> เพนิซีเลียม
00:32:59 → 00:33:01 รุฟอร์ดอ่ะชื่อนี้แหละ
00:33:01 → 00:33:04 >> คือสีเขียวมันกินได้แต่ถ้าชีสที่มันไม่
00:33:04 → 00:33:05 ควรจะมีรา
00:33:05 → 00:33:05 >> อือ
00:33:05 → 00:33:08 >> เช่นพาเมซานมันไม่ควรจะมีราแล้วมันเกิด
00:33:08 → 00:33:09 ปุยดำขึ้นมา
00:33:09 → 00:33:11 >> อันนั้นก็ควรควายเพราะรู้ว่าไอ้ปุยดำนั้น
00:33:11 → 00:33:13 มันไม่ใช่ราที่ใช้ผลิตชีส
00:33:13 → 00:33:13 >> ออือ
00:33:13 → 00:33:17 >> มันมีราที่แบบราศีเนี่ยมันมันมีสีไหนที่
00:33:17 → 00:33:18 แบบกินไม่ได้แน่ๆอย่าไปกินเลย
00:33:18 → 00:33:20 >> ส่วนใหญ่เป็นสีดำ
00:33:20 → 00:33:20 >> ดำเหรอ
00:33:20 → 00:33:22 >> ส่วนใหญ่สีดำจะไม่ควรกิน
00:33:22 → 00:33:22 >> อือ
00:33:23 → 00:33:25 >> แต่ผมจำไม่ได้นะว่าจะมีราสีดำบางตัวที่
00:33:25 → 00:33:28 เขา้าเอาไปผลิตเต้าหขนมันจำไม่ได้อ่ะที่
00:33:28 → 00:33:31 ที่เายังเถียงกันอยู่ว่ามันกินได้หรือไม่
00:33:31 → 00:33:32 ได้ผมก็ไม่อยากสรุป
00:33:32 → 00:33:32 >> อื
00:33:32 → 00:33:34 >> เพราะนักวิทยาศาสตร์บางคนก็บอกอย่าไปกิน
00:33:34 → 00:33:36 มันเลยบางคนก็บอกว่าโหเค้ากินมาเป็น 1000
00:33:36 → 00:33:38 ปีแล้วยังอะไรที่อะไรที่ยังสรุปไม่ได้ผม
00:33:38 → 00:33:41 ก็ยังไม่อยากสรุปแต่ให้โน้มน้าวไปในทาง
00:33:41 → 00:33:43 >> ไม่ปลอดภัยก่อนดีกว่า
00:33:43 → 00:33:46 >> เพราะฉะนั้นแล้วก็ขูดให้มันลึกกว่าที่
00:33:46 → 00:33:47 เป็น
00:33:47 → 00:33:48 >> ใช่ถ้าเป็นอาหารเนื้อแข็งถ้าอาหารเนื้อ
00:33:48 → 00:33:50 นิ่มทิ้งเลยนะครับ
00:33:50 → 00:33:51 >> ทิ้งเลยโอเคครับ
00:33:51 → 00:33:53 >> อ่ะครับคำตอบยังไม่ทันจบอ่ะผมหยิบแล้ว
00:33:53 → 00:33:54 เนี่ย
00:33:54 → 00:33:56 >> ไม่เป็นไร
00:33:56 → 00:33:59 คำถามต่อไปครับ
00:33:59 → 00:34:02 ตับที่ยังแดงๆอยู่กินได้ไหมผมไม่รู้ตับ
00:34:02 → 00:34:03 อะไรบ้างเนอ
00:34:03 → 00:34:05 >> อ๋อหลังๆช่วงนี้มันช่วงหลังๆปีเนี้ยปี
00:34:05 → 00:34:09 2565 มันมีกระแสตับเนื้อคัสตารดที่ใช้
00:34:09 → 00:34:10 อุณหภูมิไม่สูงในการต้มไว้แล้วไปกินกับ
00:34:10 → 00:34:11 ข้าวมันไก่
00:34:11 → 00:34:11 >> อื
00:34:12 → 00:34:14 >> อืถ้ายังชมพูผมไม่อยากบอกว่าสีไหนเพราะ
00:34:14 → 00:34:15 มันดูยาก
00:34:15 → 00:34:16 >> อือ
00:34:16 → 00:34:18 >> ชัวร์สุดคือเอาเทอร์โมอมิเตอร์
00:34:18 → 00:34:19 จิ้มเลยครับ
00:34:19 → 00:34:20 >> คนทำหรือคนกิน
00:34:20 → 00:34:21 >> ควรคนทำ
00:34:21 → 00:34:23 >> คนทำคนทำ
00:34:23 → 00:34:26 >> เพื่อให้รู้ว่ามันเซฟสุดจิ้มชิ้นที่ใหญ่
00:34:26 → 00:34:28 ที่สุดถ้าอุณหภูมิเกิน 70 ปลอดภัยแน่นอน
00:34:28 → 00:34:29 >> อือ
00:34:29 → 00:34:32 >> อือถ้าชมพูชมพูระ
00:34:32 → 00:34:35 เจลที่มันเป็นแบบส่วนตับดิบอ่ะอันนั้นน่ะ
00:34:35 → 00:34:37 ส่วนใหญ่เกิน 70 ส่วนใหญ่ปลอดภัยครับ
00:34:37 → 00:34:38 >> อื
00:34:38 → 00:34:42 >> แต่หลายร้านคิดว่าอุณหภูมิยิ่งต่ำตับยิ่ง
00:34:42 → 00:34:42 นุ่ม
00:34:42 → 00:34:43 >> เออ
00:34:43 → 00:34:46 >> ก็ไปจิ้มอ่ะ 65 เอาขึ้นเลย
00:34:46 → 00:34:46 >> โห
00:34:46 → 00:34:47 >> ดิบ
00:34:47 → 00:34:47 >> อือ
00:34:47 → 00:34:50 >> ข้างในมันจะเป็นเนื้อเจลแบบเยี่ยนะคือ
00:34:50 → 00:34:50 เนื้อตับดิบนะ
00:34:51 → 00:34:52 >> อือๆ
00:34:52 → 00:34:54 >> อันนี้เราพูดถึงตับไก่เนาะ
00:34:54 → 00:34:56 >> ตับไก่หมูด้วยหมูก็เป็นหมูหมูหมูควรสุก
00:34:56 → 00:34:58 อยู่แล้วไม่ว่าอะไรก็ตาม
00:34:58 → 00:35:00 >> หมูคนสุกอยู่แล้วถูกต้อง
00:35:00 → 00:35:01 >> อแล้ววัวครับ
00:35:01 → 00:35:02 >> ตับวัวไม่เคยกินเลยอ่ะ
00:35:02 → 00:35:05 >> ตับวัวเนี่ยส่วนใหญ่ก็จะกินแบบดิบกันนะ
00:35:05 → 00:35:06 ถ้าอีสานนะ
00:35:06 → 00:35:07 >> โห
00:35:07 → 00:35:09 >> ตับหวานเนี่ยผมว่ามันก็จะมีความแบบ
00:35:09 → 00:35:11 >> แต่ความจริงผมว่าอย่าพึ่งดีกว่าเพราะว่า
00:35:11 → 00:35:14 ปีนี้มันมีโรคแractแล้วเราไม่รู้ว่าตับ
00:35:14 → 00:35:16 วัวนั้นมันมาจากวัวที่
00:35:16 → 00:35:18 >> เชือด properly หรือว่าเชือดในกระบวนการ
00:35:18 → 00:35:19 ที่ถูกต้องหรือเปล่า
00:35:19 → 00:35:19 >> อือ
00:35:19 → 00:35:22 >> ถ้าตายเพราะว่าไม่รู้สาเหตุอ่ะไม่ควรกิน
00:35:22 → 00:35:23 ดิบเลย
00:35:23 → 00:35:23 >> อือ
00:35:23 → 00:35:26 >> และไม่ควรกินสุกด้วยเพราะเชื้อแackแตกทน
00:35:26 → 00:35:27 ความร้อน
00:35:27 → 00:35:27 >> อือ
00:35:27 → 00:35:30 >> ถ้ามันสร้างถ้ามันสร้างสปอแล้วค่อนข้างทน
00:35:30 → 00:35:31 ความร้อน
00:35:31 → 00:35:34 >> ถ้าแนะนำคนทำก็คือวัดอุณหภูมิ
00:35:34 → 00:35:35 >> วัดอุณหภูมิควรเกิน 70
00:35:35 → 00:35:39 >> ควรเกิน 70 แต่ถ้าแนะนำคนกินสุขดีกว่า
00:35:39 → 00:35:42 >> สุกดีกว่าแต่เข้าใจถ้าสุกมากๆสมมุติ 90
00:35:42 → 00:35:43 ขึ้นมันแข็งไง
00:35:43 → 00:35:44 >> ใช่
00:35:44 → 00:35:45 >> มันแข็งมันแข็ง
00:35:45 → 00:35:47 >> เออแล้วเราก็มาติดตับนุ่มๆกันซะแล้วด้วย
00:35:47 → 00:35:48 นะตอนนี้
00:35:48 → 00:35:50 >> ใช่ถ้าใครอยากเรียนทำตับนุ่มทักทักเพจทัก
00:35:50 → 00:35:51 the เชฟมา
00:35:51 → 00:35:52 >> มีมีสอน
00:35:52 → 00:35:52 >> ดีครับ
00:35:53 → 00:35:54 >> มีสอนมีสอน
00:35:54 → 00:35:55 >> ตับนุ่มโดยที่สุขด้วย
00:35:55 → 00:35:55 >> สุข
00:35:55 → 00:35:56 >> เออเอ
00:35:56 → 00:35:59 >> แล้ววิธีการล้างตับล้างยังไงให้แบบให้
00:35:59 → 00:36:00 เลือดออกให้หมดเพื่อให้มันนุ่มเหมือน
00:36:00 → 00:36:01 คัตตารด
00:36:01 → 00:36:02 >> อ่า
00:36:02 → 00:36:02 >> ขายของอีกล่ะ
00:36:02 → 00:36:04 >> โอเคครับมาเลยครับ
00:36:04 → 00:36:05 >> โอเคครับต่อไปครับ
00:36:05 → 00:36:06 >> จะหมดแล้วจะหมดแล้ว
00:36:06 → 00:36:10 >> อือหืออ้าโอเคถ้ากินอาหารที่ไม่สะอาดเรา
00:36:10 → 00:36:12 จะมีอาการภายในกี่ชั่วโมงครับ
00:36:12 → 00:36:14 >> อาหารเป็นพิษมีมีหลักๆมันมี 2 แบบ
00:36:14 → 00:36:15 >> ครับ
00:36:15 → 00:36:17 >> ติดเชื้อเพราะสารพิษมันเหมือน
00:36:17 → 00:36:19 สตฟิโลคอกคัสตะกี้ในถ้าติดเชื้อเพราะสาร
00:36:19 → 00:36:22 พิษมันน่ะจะออกการภายใน 2 ไม่เกิน 6 ช่มง
00:36:22 → 00:36:22 >> อือ
00:36:22 → 00:36:24 >> แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 4-6 ช่มงแต่ถ้า
00:36:24 → 00:36:26 ติดตัวเชื้อมันเลยไม่ใช่สารพิษมานะตัว
00:36:26 → 00:36:27 เชื้อ
00:36:27 → 00:36:27 >> อือ
00:36:28 → 00:36:30 >> ตัวเค้าเรียกว่า vegetative cell อ่ะจะ
00:36:30 → 00:36:31 เกิน 6 ขึ้นไป
00:36:31 → 00:36:33 >> ก็ต้องให้มันมีระยะเวลาเพาะเชื้อ
00:36:33 → 00:36:35 >> ถูกต้องแต่ถ้าเชื้อมันถ้าสารพิษมันน่ะลง
00:36:35 → 00:36:37 ไปแล้วมันดูซึมเลยไง
00:36:37 → 00:36:39 >> มันจะเร็วมากบางที 2 ชั่วโมงมาแล้ว
00:36:39 → 00:36:42 >> อาการของการโดนสารพิษมัน 2 ชั่วโมงเนี่ย
00:36:42 → 00:36:44 เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเราบ้างครับ
00:36:44 → 00:36:46 >> ส่วนใหญ่มันจะติดเชื้อทางด้านอาหารส่วนบน
00:36:46 → 00:36:47 มันจะอ้วกก่อน
00:36:47 → 00:36:48 >> อ
00:36:48 → 00:36:51 >> มันจะอ้วกสักพักมันลงไปลึกใช่มั้ยมันจะ
00:36:51 → 00:36:52 เป็นท้องเสีย
00:36:52 → 00:36:54 >> แต่ส่วนใหญ่อเฟกชน่ะอ
00:36:54 → 00:36:56 >> แบบแรกที่เป็นสารพิษเค้าเรียกว่า
00:36:56 → 00:36:58 intoxication ก็คือ toxic แต่แบบหลังที่
00:36:58 → 00:37:02 ติดเชื้อที่เป็นตัวมันน่ะต้องใช้เวลานาน
00:37:02 → 00:37:04 กว่ามันจะเพาะเชื้อส่วนใหญ่มันจะไปติดทาง
00:37:04 → 00:37:06 เดินอาหารส่วนปลาย
00:37:06 → 00:37:06 >> อื
00:37:06 → 00:37:08 >> ก็คือส่วนใหญ่จะท้องเสียก่อนแต่ก็มีหลาย
00:37:08 → 00:37:10 เคสที่ท้อง
00:37:10 → 00:37:13 >> พุ่ง 2 ทางท้องเสียกับอ้วกพร้อมกัน
00:37:13 → 00:37:16 >> แปลว่าถ้าวันไหนเรารู้สึกอาหารเป็นพิษ
00:37:16 → 00:37:19 แล้วเราอ้วกเนี่ยเป็นไปได้ว่าย้อนกลับไป
00:37:19 → 00:37:20 แค่ 2 ชั่วโมงก็รู้ว่า
00:37:20 → 00:37:22 >> ลองดูใช่ส่วนใหญ่อาหารที่เราตั้งข้อสงสัย
00:37:22 → 00:37:25 เช่นเรากินซีฟู้ดมาแล้วกินตุตุลองย้อน
00:37:25 → 00:37:27 กลับไปมันจะประมาณ 2-4
00:37:27 → 00:37:28 >> อื 2-4 ช่วง
00:37:28 → 00:37:30 >> ใช่เหมือนล่าสุดพ่อผมอย่างเงี้ยไปกิน
00:37:30 → 00:37:33 ซีฟู้ดเมื่อตอนเที่ยน 1600 นอาเจียนมั่น
00:37:33 → 00:37:34 ใจมากว่าสารพิษ
00:37:34 → 00:37:35 >> ว่ามื้อนั้นนั่นแหละ
00:37:35 → 00:37:36 >> มื้อนั้นแหละอิxicationแน่นอน
00:37:36 → 00:37:40 >> โอเคแต่ถ้าเกิดเราไม่มีอาการอ้วกท้องเสีย
00:37:40 → 00:37:43 เฉยๆเนี่ยต้องดูว่ามื้อ 2 ชั่วโมง
00:37:43 → 00:37:44 >> มื้อไหนมื้อไหนที่เป็นมื้อเสี่ยง
00:37:44 → 00:37:45 >> อาจจะเป็นมื้อเช้าก็ได้
00:37:45 → 00:37:45 >> มีสิทธิ์
00:37:45 → 00:37:46 >> อ่าฮะ
00:37:46 → 00:37:49 >> บางทีเราท้องเสีย 16:00 น.อื
00:37:49 → 00:37:52 >> เราอาจจะมโนไปเองว่าเป็นมื้อเที่ยงแต่
00:37:52 → 00:37:54 ความจริงตอนเช้าอาจจะเป็นอะไรอ่ะ
00:37:54 → 00:37:57 >> โจ๊กปลาต้องโก๋ที่มันมีสิทธิ์ก็ก็ได้
00:37:57 → 00:37:58 เหมือนกัน
00:37:58 → 00:38:00 >> แต่การระบุอย่างเงี้ยความจริงอย่าไปเดา
00:38:00 → 00:38:03 เลยครับบอกยากคนที่คนที่ระบุไว้เก่งจริงๆ
00:38:03 → 00:38:05 คือหมอเพราะหมอเขาจะมีการซักประวัติ 24
00:38:05 → 00:38:08 ช่โมงหลังการท้องเสียครั้งแรกแล้วเขาจะ
00:38:08 → 00:38:09 วิเคราะห์แม่นกว่าอ
00:38:09 → 00:38:09 >> เออ
00:38:09 → 00:38:12 >> ไม่เพราะว่ามันเกิดแบบอาการที่แบบว่าไป
00:38:12 → 00:38:16 กินมาแล้วก็ไปด่าร้านนั้นเลยครับว่าอาหาร
00:38:16 → 00:38:17 เขาไม่ดีอ่ะ
00:38:17 → 00:38:19 >> บางทีเป็นมื้อก่อน
00:38:19 → 00:38:21 >> เป็นมื้อก่อนหน้านั้นอะไรอย่างเงี้ยก็มี
00:38:21 → 00:38:24 >> ยกเว้นว่าไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน
00:38:24 → 00:38:24 >> อือ
00:38:24 → 00:38:26 >> แล้วกินมื้อเที่ยน
00:38:26 → 00:38:26 >> มื้อแรก
00:38:26 → 00:38:28 >> เออ
00:38:28 → 00:38:30 >> แล้ว 17:00 น.ท้องเสีย
00:38:30 → 00:38:31 >> อาเจียน
00:38:31 → 00:38:33 >> มีโอกาสเป็นมื้อเที่ยงสูงมาก
00:38:33 → 00:38:34 >> ก็มือนั้นแหละเพราะว่าก่อนหน้านี้ฉันไม่
00:38:34 → 00:38:38 ได้กินอะไรก็ใช่ๆจะย้อนไปมื้อเย็นวันก่อน
00:38:38 → 00:38:39 ก็ไกลไป
00:38:39 → 00:38:42 >> ก็ได้ออกอ๋อไม่ไม่ถ้าเกิดเลยไปสัก 12
00:38:42 → 00:38:43 ชั่วโมงนี่ถือว่าไม่ใช่มื้อนั้นแล้วป่ะ
00:38:43 → 00:38:46 >> ไม่ค่อยไม่โอกาสน้อยมากโอกาสน้อยมากแต่มี
00:38:46 → 00:38:48 มั้ยมีบางทีแบบเชื้อมันน้อยมากอ่ะเชื้อ
00:38:48 → 00:38:51 มันน้อยมากเพราะฉะนเพาะเชื้อนานกว่า
00:38:51 → 00:38:54 >> นานกว่า 12 ก็ก็มีเหมือนกันก็
00:38:54 → 00:38:56 >> สุดท้ายมันจะรู้ตรงที่ว่าอ่ะเก็บอุจจาระ
00:38:56 → 00:38:58 ไปเพาะเชื้อแล้วสมมุติเชื้อตัวนี้ออกมา
00:38:58 → 00:38:59 รู้เลยว่าเชื้อตัวนี้อยู่ในไหนๆสมมุติออก
00:38:59 → 00:39:02 มาเป็นริบริโบส่วนใหญ่เจอในสัตว์ทะเลไม่
00:39:02 → 00:39:03 เจอในหมูไก่อะไรแบบเนี้ย
00:39:03 → 00:39:06 >> อ๋อก็ต้องไปเช็คให้ชัวร์ก่อนแล้วค่อยไป
00:39:06 → 00:39:07 เคมร้านเนาะ
00:39:07 → 00:39:09 >> ถูกเพราะงั้นร้านเขาจะชอบถามไงว่าไปหาหมอ
00:39:09 → 00:39:11 หรือยังมีผลเพาะเชื้อมั้ยมันจะมันจะทวน
00:39:11 → 00:39:13 สอบได้ว่ามาจากวัตถุดิบตัวไหน
00:39:13 → 00:39:15 >> พอพูดอย่างงั้นก็โดนด่าอีกครับบอกว่าคุณ
00:39:15 → 00:39:17 จะไม่รับผิดชอบอะไรเหรอไม่เป็นไรอันนี้
00:39:17 → 00:39:17 อินส่วนตัว
00:39:18 → 00:39:19 >> อินใช่มั้ยแสดงว่าเพิ่งโดนมา
00:39:19 → 00:39:22 >> ผมเห็นคนชอบไปเคมร้านก่อนทั้งๆที่แบบจะ
00:39:22 → 00:39:23 ไม่รู้ว่ามื้อไหน
00:39:23 → 00:39:24 >> อาจจะเป็นมื้อที่ตัวเองทำก็ได้
00:39:24 → 00:39:30 >> เออต่อไปซื้อของสดที่ต้องแช่เย็นแต่ว่า
00:39:30 → 00:39:32 เก็บไว้ในรถที่เปิดแอร์อยู่ได้นานกี่
00:39:32 → 00:39:35 ชั่วโมงแล้วควรเอาเข้าตู้เย็นโหยาวเหมือน
00:39:35 → 00:39:37 กันนะแล้วควรเอาเข้าตู้เย็นภายในกี่
00:39:37 → 00:39:38 ชั่วโมงถึงจะปลอดภัย
00:39:38 → 00:39:40 >> ความจริงตามกฎหมายอ่ะเอาออกมาข้างนอกถ้า
00:39:40 → 00:39:41 ไม่ใช่อุณหภูมิตู้เย็นนะเอ้ยถ้าไม่ใช่
00:39:41 → 00:39:44 อุณหภูมิตู้เย็นที่ช่วง 0-4 องศครับไม่
00:39:44 → 00:39:46 ว่าจะเป็นในรถหรืออุณหภูมิห้องเ้าไม่ให้
00:39:46 → 00:39:48 เกิน 2 ช่โมงแต่อันนี้คือตามกฎหมายมัน
00:39:48 → 00:39:49 เป็นไปไม่ได้
00:39:49 → 00:39:49 >> เออ
00:39:49 → 00:39:51 >> 2 ช่โมงคือ best practice
00:39:51 → 00:39:51 >> อือ
00:39:51 → 00:39:53 >> ครับแต่ถ้าอยู่ในตู้เย็นน่ะ
00:39:53 → 00:39:57 >> มันอาจจะยาวไปอีกได้ถึง 3 ได้ถึง 4 ช่โมง
00:39:57 → 00:40:00 แต่ทางที่ดีคือควรเก็บแช่ตู้เย็นให้ได้
00:40:00 → 00:40:01 เร็วที่สุด
00:40:01 → 00:40:04 >> ผมลองนึกสถานการณ์ดูสมมุติว่าผมไป
00:40:04 → 00:40:05 จันทบุรีแล้วกัน
00:40:05 → 00:40:05 >> อื
00:40:05 → 00:40:09 >> ผมไปซื้ออาหารทะเลสดมาแล้วผมก็แพ็คน้ำ
00:40:09 → 00:40:12 แข็งแล้วก็กลับมากรุงเทพฯยังรอดอยู่มั้ฮะ
00:40:12 → 00:40:15 >> รอดๆแพ็คน้ำแข็งอ่ะมันจะไม่ถึงกับตู้เย็น
00:40:15 → 00:40:17 หรอกครับมันจะต่ำกว่า 10 องศหน่อย
00:40:17 → 00:40:18 >> อ
00:40:18 → 00:40:20 >> แต่จากจันทบุรีมากรุงเทพฯ 4 ชมงใช่มั้ย
00:40:20 → 00:40:21 ได้อยู่ได้อยู่ได้อยู่
00:40:21 → 00:40:23 >> แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเชื้อโหลดเยอะแค่
00:40:23 → 00:40:26 ไหนสมมุติว่าได้ของไม่สดมาจะเก็บเย็นแค่
00:40:26 → 00:40:28 ไหนเชื้อก็โตได้กลับมาก็ท้องเสียอยู่ดี
00:40:28 → 00:40:29 แต่ถ้ามันสดมาก
00:40:29 → 00:40:31 >> อือ
00:40:31 → 00:40:34 >> บางทีเย็นไม่ได้มากก็อยู่ถึง 5-6 ชม.ก็
00:40:34 → 00:40:35 ได้เหมือนกัน
00:40:35 → 00:40:35 >> อือ
00:40:35 → 00:40:38 >> แต่ Best Practice อ่ะคือเลข 2 แต่ใน
00:40:38 → 00:40:41 เชิงปฏิบัติจริงๆอ่ะผมว่าได้ถึง 3-4
00:40:41 → 00:40:41 ชั่วโมงอ
00:40:41 → 00:40:42 >> อื
00:40:42 → 00:40:43 >> ครับไม่ว่าจะเป็นอาหารสดหรือว่าอาหาร
00:40:43 → 00:40:46 พร้อมปรุงเอ้ยอาหารไม่ใช่อาหารที่ปรุง
00:40:46 → 00:40:48 เสร็จแล้วเราพร้อมรับประทานอ่า Ready to
00:40:48 → 00:40:49 Eat พวกเนี้ยอ
00:40:49 → 00:40:50 >> เค้าเขียนไว้ชัดเลยว่าอาหารพร้อมทานไม่
00:40:50 → 00:40:52 ควรวางไว้อุณหภูมิห้องเกิน 2
00:40:52 → 00:40:53 >> อือือ
00:40:53 → 00:40:55 >> ถ้าเกิน 2 ควรควรเวฟ
00:40:55 → 00:41:00 >> อีกสถานการณ์นึงผมไปจังหวัดไกลๆ 4 ช่โมง
00:41:00 → 00:41:01 เหมือนกัน
00:41:01 → 00:41:01 >> ครับ
00:41:01 → 00:41:02 >> ซื้อกับข้าวมาจะฝากที่บ้าน
00:41:02 → 00:41:03 >> อือ
00:41:03 → 00:41:06 >> แล้วทิ้งไว้ในรถที่แบบขับรถกลับนะมีแอร์
00:41:06 → 00:41:09 มีอะไรอย่างเงี้ยถึงบ้าน 4 ช่โมงยังรอด
00:41:09 → 00:41:09 อยู่
00:41:09 → 00:41:10 >> ขึ้นอยู่กับอาหารอีก
00:41:10 → 00:41:11 >> เหรอ
00:41:11 → 00:41:13 >> ถ้าเป็นข้าวผัดชื้นๆแล้วเครื่องปรุงไม่
00:41:13 → 00:41:16 ได้เยอะมากก็มีโอกาสเสียได้ถ้ามันอับมาก
00:41:16 → 00:41:18 อ่ะสมมุติว่าข้าวผัดซ้อนกันเยอะๆใช่มั้
00:41:18 → 00:41:18 ครับ
00:41:18 → 00:41:22 >> อุณหภูมิแอร์เย็นแค่ไหนแต่ในถุงนั้นมัน
00:41:22 → 00:41:25 อุ่นมันชื้นอ่ะก็มีโอกาสได้แล้วถ้าเขาใช้
00:41:25 → 00:41:26 ข้าวเก่ามาที่มันมีเชื้ออยู่แล้วก็มี
00:41:26 → 00:41:27 โอกาส
00:41:27 → 00:41:27 >> ครับ
00:41:27 → 00:41:29 >> แต่ถ้ามันเป็นอะไรที่เครื่องปรุงเยอะเช่น
00:41:29 → 00:41:32 น้ำพริกกะปิไข่พะโล้หรืออะไรที่มีแบบน้ำ
00:41:32 → 00:41:35 ส้มใสชูปูยำที่มีรสเปรี้ยว
00:41:35 → 00:41:37 >> ถ้ามีเปรี้ยวถ้ามีเครื่องปรุงเยอะโอกาส
00:41:37 → 00:41:39 เสียก็จะช้าลงเพราะเชื้อโตยากขึ้น
00:41:39 → 00:41:41 >> ออมันมีการคลุมเชื้อของมันอยู่
00:41:41 → 00:41:43 >> แต่ถ้ากุ้งนึ่งปูนึ่งอะไรเงี้ยอับๆอ่ะมัน
00:41:43 → 00:41:45 ไม่มีเครื่องปรุงมีโอกาสเสียไว
00:41:45 → 00:41:45 >> ครับ
00:41:45 → 00:41:49 >> อือีกสถานการณ์นึงผมแบบผมอินอันนี้เหมือน
00:41:49 → 00:41:52 กันไปซื้อนมพัไลท
00:41:52 → 00:41:53 >> อื
00:41:53 → 00:41:56 >> แล้วผมต้องจอดรถกลางแดดร้อนๆทิ้งไว้ 2
00:41:56 → 00:41:58 ช่โมงยังรอดมั้ย
00:41:58 → 00:42:00 >> ขึ้นอยู่อีกว่านมยี่ห้ออะไรบางยี่ห้อพูด
00:42:00 → 00:42:01 ตามตรงใส่วัตถุกันเสีย
00:42:01 → 00:42:02 >> ออ
00:42:02 → 00:42:04 >> บางยี่ห้อใช้อุณหภูมิในการฆ่าเชื้อค่อน
00:42:04 → 00:42:07 ข้างสูงก็จะเก็บได้ค่อนข้างนานแต่กลิ่นรส
00:42:07 → 00:42:08 ก็จะไม่อร่อยเท่า
00:42:09 → 00:42:09 >> ออ
00:42:09 → 00:42:12 >> บางยี่ห้อไม่ใส่วัตถุกันเสียเลยอุณหภูมิ
00:42:12 → 00:42:14 การฆ่าเชื้อไม่ได้สูงมากเพื่อให้นมมี
00:42:14 → 00:42:16 บอดี้ค่อนข้างแน่น
00:42:16 → 00:42:16 >> อื
00:42:16 → 00:42:18 >> ก็จะเสียง่ายกว่า
00:42:18 → 00:42:21 >> แต่ความร้อนร้อนจัดในรถเนี่ยมันอาจจะไม่
00:42:21 → 00:42:24 ได้ทำอะไรกับนมพระชลัยมากเท่าไหร่
00:42:24 → 00:42:26 >> ไม่ควรไม่ความจริงก็ไม่ควรไม่ควรดี
00:42:26 → 00:42:29 >> นมเป็นอะไรที่บูดง่ายเพราะว่า
00:42:29 → 00:42:31 >> เครื่องปรุงไม่เยอะไงไม่มีเกลือไม่มีน้ำ
00:42:31 → 00:42:33 ตาลแล้วสารอาหารครบเพราะฉะนั้นเชื้อโต
00:42:33 → 00:42:34 ง่ายโอเค
00:42:34 → 00:42:37 >> แล้วคำว่านมเนี่ยยังมีเชื้ออยู่ครับไม่
00:42:37 → 00:42:40 ใช่นมสตไม่ใช่นม UHT ที่
00:42:40 → 00:42:43 >> เชื้อมันแทบแตะสูงนมพัจอไลเชื้อยังมีนะ
00:42:43 → 00:42:43 ครับ
00:42:44 → 00:42:46 >> แต่ก็ยังไม่ได้เปิดขวดเปิดฝาเลยนะ
00:42:46 → 00:42:47 >> เชื้อก็ยังมีไง
00:42:47 → 00:42:48 >> อ๋อมันมีเชื้ออยู่แล้วอุณหภูมิมันพอเหมาะ
00:42:48 → 00:42:49 ที่จะเข้าด้วย
00:42:49 → 00:42:51 >> ใช่แต่เชื้อที่มีในนมพัจลเค้าเรียกว่า
00:42:51 → 00:42:53 เชื้อ
00:42:53 → 00:42:56 spoilage คือทำให้นมบูดนมเปรี้ยวแต่ไม่
00:42:57 → 00:42:58 ได้ก่อโรคอ
00:42:58 → 00:43:00 >> หลักการพาเจคือพาโทเจนหรือเชื้อก่อโรคอ่ะ
00:43:00 → 00:43:01
00:43:01 → 00:43:02 >> แต่เชื้อที่ทำให้นม
00:43:02 → 00:43:04 บูดเช็ดแลคโตบาซิัสยังมีอยู่
00:43:04 → 00:43:07 >> โอเคเพียใครมีคำถามเผื่อคอมเมนต์มานะครับ
00:43:08 → 00:43:09 เพิ่มเติมจากนี้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่
00:43:09 → 00:43:10 แบบใกล้
00:43:10 → 00:43:12 >> มันกว้างมาแล้วมันแบ่งมันแบ่งได้เป็นหลาย
00:43:12 → 00:43:14 หลายเคสมากครับ
00:43:14 → 00:43:17 >> อุ่นอาหารในไมโครเวฟต้องอุณหภูมิเท่าไหร่
00:43:17 → 00:43:18 ถึงจะปลอดภัยมันมีอุณหภูมิมั้ครับ
00:43:18 → 00:43:21 >> ไม่มีไมโครเวฟเป็นกำลังหวัตต์
00:43:21 → 00:43:21 >> อือ
00:43:21 → 00:43:23 >> กำลังหวัตถ้าถามเรื่องอุณหภูมิคือ
00:43:23 → 00:43:24 อุณหภูมิอาหารครับ
00:43:24 → 00:43:24 >> อ๋อ
00:43:25 → 00:43:28 >> อืการอุ่นความจริงอ่ะต้องไมโครเวฟอ่ะการ
00:43:28 → 00:43:30 อุ่นครั้งนึงอ่ะแล้วอาหารมันร้อนจัดมัน
00:43:30 → 00:43:32 เกิน 70 องศอยู่แล้วเชื้ออือือ
00:43:32 → 00:43:35 >> อย่างที่ผมบอกเกิน 70 เชื้อลดลงแล้ว
00:43:35 → 00:43:36 >> อือ
00:43:36 → 00:43:39 >> ทีเนี้ยถ้ามาพูดถึงกำลังหวัตต์อาหารที่
00:43:39 → 00:43:42 ชิ้นใหญ่ควรใช้วัตต์ต่ำอาหารชิ้นเล็กใช้
00:43:42 → 00:43:43 วัตต์สูงได้
00:43:43 → 00:43:46 >> อาหารชิ้นใหญ่ใช้วัตต์ต่ำเพราะอะไรครับ
00:43:46 → 00:43:48 >> อาหารชิ้นใหญ่ถ้าใช้วัตต์สูงมันจะร้อน
00:43:48 → 00:43:51 เป็นจุดๆยิ่งหวัตต์สูงอำนาจการทะลุทะลวง
00:43:51 → 00:43:53 ของคลื่นไมโครเวฟจะสั้น
00:43:53 → 00:43:53 >> ออ
00:43:53 → 00:43:54 >> เพราะมันถี่แบบนี้ไง
00:43:54 → 00:43:54 >> อ
00:43:54 → 00:43:56 >> มันก็ร้อนอยู่แค่ข้างนอก
00:43:56 → 00:43:57 >> ข้างในบางทียังเป็นน้ำแข็ง
00:43:57 → 00:44:00 >> สังเกตมั้อ่าโหมดละลายน้ำแข็งอ่ะครับต่ำ
00:44:00 → 00:44:04 >> ส่วนใหญ่วัตต่ำอารทะลุทะลวงไปถึง
00:44:04 → 00:44:04 >> ข้างใน
00:44:04 → 00:44:06 >> ข้างในใช่
00:44:06 → 00:44:09 >> ไมโครเวฟนี่คือมันไม่ใช่อุ่นจากข้างในออก
00:44:09 → 00:44:11 มาข้างนอกใช่มั้ยผมเข้าใจถูกป่ะ
00:44:11 → 00:44:13 >> มันทิศทางประมาณนั้นจากข้างในมาข้างนอก
00:44:13 → 00:44:16 แต่มันขึ้นอยู่กับกำลังกำลังหวัตด้วย
00:44:16 → 00:44:17 >> อาหารชิ้นใหญ่
00:44:17 → 00:44:20 >> แล้วไปใช้วัตต์สูงสังเกตในข้างในก็แข็ง
00:44:20 → 00:44:20 >> เออ
00:44:20 → 00:44:23 >> อืเพราะฉะนั้นการบอกว่าไมโครเวฟร้อนจาก
00:44:23 → 00:44:25 ข้างในมาข้างนอกสซักที่เดียวก็ก็ไม่ได้
00:44:25 → 00:44:28 ไม่ได้ถูกต้องมันขึ้นอยู่กับทิศทางของ
00:44:28 → 00:44:30 ไมโครเวฟที่มันมากับชิ้นอาหารกับกำลัง
00:44:30 → 00:44:32 หวัดถ้าชิ้นเล็กใช้วัตต์
00:44:32 → 00:44:34 >> ใช้วัตต์สูงได้เช่นขนมปังแผ่นบางๆอย่าง
00:44:34 → 00:44:34 เงี้ย
00:44:34 → 00:44:35 >> อ
00:44:35 → 00:44:39 >> 850 วัตต์ได้วัตต์สูงคือ 850 600 ขึ้น
00:44:39 → 00:44:41 นะวัตต์ต่ำคือพวก 2-300
00:44:41 → 00:44:44 >> 850 บางที 10 วินาทีก็อุ่นแล้ว 5 วินาที
00:44:44 → 00:44:46 ก็ร้อนแล้ว
00:44:46 → 00:44:47 >> แต่ลองเอา
00:44:48 → 00:44:50 >> อะไรอ่ะเนื้อแช่แข็งชิ้นใหญ่ใช้วัดสูง
00:44:50 → 00:44:52 ละลายแต่ข้างนอกข้างในยังไม่ละลายผมเลย
00:44:52 → 00:44:54 บอกไม่ได้ว่าไมโครเวฟร้อนจากข้างนอกมา
00:44:54 → 00:44:56 ข้างในเอ้ยข้างในมาข้างนอก
00:44:56 → 00:44:56 >> อ
00:44:56 → 00:44:59 >> แล้วมีวิธีละลายเนื้อมั้ยครับแถมละลาย
00:44:59 → 00:45:01 เนื้อให้เร็วประมาณไมโครเวฟมันมีมั้
00:45:01 → 00:45:03 >> อ๋อละลายเนื้อให้เร็วต้องเก็บให้ถูกต้อง
00:45:03 → 00:45:05 ก่อนอย่าเก็บทั้งชิ้นเวลาซื้อเนื้อมาจาก
00:45:06 → 00:45:08 ตลาดอย่างเงี้ยครับควรตัดให้ชิ้นบางที่
00:45:08 → 00:45:08 สุด
00:45:08 → 00:45:09 >> อือ
00:45:09 → 00:45:11 >> หมูสับก็ไม่ควรเก็บเป็นถ่วงกระปุกแบบนี้
00:45:11 → 00:45:14 ควรรีดให้แบนพอมันแช่แข็งไวมันก็จะละลาย
00:45:14 → 00:45:14 ไวเช่นเดียวกัน
00:45:14 → 00:45:17 >> ออก็คือแบบแยกให้มัน
00:45:17 → 00:45:18 >> แยกให้เป็น
00:45:19 → 00:45:22 >> แล้วแช่น้ำจะละลายไวมากกว่าการวางไว้
00:45:22 → 00:45:24 >> อ๋อกับโต๊ะโต๊ะแช่น้ำจะไวเพราะน้ำมันมี
00:45:24 → 00:45:26 สัมประสิทธิ์การถ่ายโอนความร้อนค่อนข้าง
00:45:26 → 00:45:27 ดี
00:45:27 → 00:45:29 >> น้ำไม่ต้องอุ่นก็ได้น้ำสังเกตน้ำประปลา
00:45:29 → 00:45:30 จากก๊อกอ่ะอื
00:45:30 → 00:45:32 >> ใส่ไว้แล้วหย่อนถุงลงไปแป๊บเดียวละลาย
00:45:32 → 00:45:32 แล้วครับ
00:45:32 → 00:45:33 >> อื
00:45:33 → 00:45:35 >> เร็วกว่าที่วางไว้อุณหภูมิวางไว้บนโต๊ะ
00:45:35 → 00:45:36 แห้งๆ
00:45:36 → 00:45:37 >> แต่ไอ้การวางไว้บนโต๊ะแห้งๆเนี่ยมันใช้
00:45:37 → 00:45:40 เวลาน่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงชั่วโมงนึง
00:45:40 → 00:45:41 บางมันจะละลายหมด
00:45:41 → 00:45:43 >> ใช่ถ้าลงน้ำแป๊บเดียว 10 นาที
00:45:43 → 00:45:45 >> แล้วถ้ามันถ้ามันวางไว้อย่างงั้นน่ะมัน
00:45:45 → 00:45:46 โอกาสที่เชื้อมันจะโต
00:45:46 → 00:45:48 >> ใช่ก็ถึงบอกมันมันก็วนกลับไปเรื่องเชื้อ
00:45:48 → 00:45:49 ด้วยถ้าอาหารมันชิ้นใหญ่มากอย่างเงี้ย
00:45:49 → 00:45:50 ครับ
00:45:50 → 00:45:51 >> อือ
00:45:51 → 00:45:54 >> กว่าข้างในจะละลายข้างนอกอาจจะเกินไอ้ 2
00:45:54 → 00:45:55 ชั่วโมงที่ผมบอกไปแล้ว
00:45:55 → 00:45:57 >> ก็เกิดจะเกิดเชื้อแล้วเพราะงั้นการทำให้
00:45:58 → 00:46:01 อาหารแบนก่อนเก็บมันดีทั้งเรื่องคุณภาพ
00:46:01 → 00:46:03 ด้วยแช่ถ้าแช่แข็งไวละลายไว
00:46:03 → 00:46:03 >> อ
00:46:03 → 00:46:06 >> มันจะโปรตีนมันจะไม่เสียสภาพเยอะ
00:46:06 → 00:46:06 >> อือ
00:46:06 → 00:46:09 >> แล้วก็ปลอดภัยเรื่องเชื้อด้วยงั้นการพอ
00:46:09 → 00:46:11 การพอการทำพอชั่นสำคัญมากอ
00:46:11 → 00:46:11 >> อือ
00:46:11 → 00:46:12 >> ครับ
00:46:12 → 00:46:13 >> โอเคต่อเลยครับ
00:46:13 → 00:46:15 >> แล้วมันทำให้เราทำอาหารได้เร็วด้วยไม่
00:46:15 → 00:46:17 ต้องมานั่งรอสมมุติเรา 17:00 น.จะกิน
00:46:17 → 00:46:19 18:00 น.ก็ก็ละลายไว
00:46:19 → 00:46:20 >> ถ้าทำให้ทุกอย่างแบ่ง
00:46:20 → 00:46:20 >> ครับ
00:46:20 → 00:46:23 >> ในครัวฮะมีดที่ใช้หั่นผักกับเนื้อสัตว์
00:46:23 → 00:46:25 ใช้ร่วมกันได้มั้ครับ
00:46:25 → 00:46:26 >> มีดหรือเขียง
00:46:26 → 00:46:26 >> มีด
00:46:26 → 00:46:28 >> เอออันนี้คำถามมันมีดนะจริงๆมันเป็น
00:46:28 → 00:46:30 เรื่องเขียงเนาะผมผมเคยเห็นว่าในในครัว
00:46:30 → 00:46:32 เชฟที่เป็นแ่งสี
00:46:32 → 00:46:34 >> ใช่ถ้าในร้านอาหารที่ซีเรียสบางทีเขามี
00:46:34 → 00:46:36 การแบ่ง
00:46:36 → 00:46:38 เขียงมันแบ่งอยู่แล้วแต่บางร้านที่เขา
00:46:39 → 00:46:41 ต้องการแบบสตริกมาก
00:46:41 → 00:46:43 >> มีดเขาก็แบ่งมีด้ามเขียวแต่ส่วนใหญ่น้อย
00:46:43 → 00:46:45 ที่จะแบ่งสีมีดอ
00:46:45 → 00:46:45 >> อือ
00:46:45 → 00:46:47 >> ใช่น้อยที่จะแบ่งสีมีดคืออย่างน้อยอ่ะการ
00:46:47 → 00:46:50 แบ่งชีวิตมันช่วยให้สมมุติว่ามีดสีแดง
00:46:50 → 00:46:52 หั่นเนื้อเสร็จใช่มั้ย
00:46:52 → 00:46:55 แล้วจะไปหั่นผักที่จะโรยหน้าไม่ผ่านความ
00:46:55 → 00:46:58 ร้อนแล้วแล้วดันหยิบมีดที่ไม่รู้สีมาที่
00:46:58 → 00:47:00 มันโดนเนื้อมาแล้วเราไปหั่นผักก็มีโอกาส
00:47:00 → 00:47:01 ที่เค้าเรียกว่า crost contaminate ก็
00:47:01 → 00:47:03 ได้อันนี้คือสาเหตุที่ว่าทำไมต้อง
00:47:03 → 00:47:05 >> แบ่งทั้งมีดทั้ง
00:47:05 → 00:47:07 >> ทั้งเขียงแต่ถ้าทำอาหารที่บ้าน
00:47:07 → 00:47:08 >> อือ
00:47:08 → 00:47:11 >> หลายผมมั่นใจทุกบ้านแทบไม่ได้แบ่งสีเรา
00:47:11 → 00:47:14 ต้องมีสติมากพอแต่การทำอาหารที่บ้านมัน
00:47:14 → 00:47:14 โฟกัสไง
00:47:15 → 00:47:16 >> มันไม่ต้องแบบโหออเดอร์มาไม่ต้องไปฟังคน
00:47:16 → 00:47:19 นู้นคนงั้นการโฟกัสทำให้เราแบบเขียงส่วน
00:47:19 → 00:47:21 ใหญ่เราที่บ้านเป็นมีดเอ้ยเขียงไม้กับ
00:47:21 → 00:47:24 เขียงสีขาวใช่มั้ใช่มันก็จะมีสติไงว่าหัน
00:47:24 → 00:47:26 เนื้อสัตว์เสร็จเฮ้ยจะพอจะมาหั่นผักชีโร
00:47:26 → 00:47:27 หน้าก็เอาไปล้างก่อน
00:47:27 → 00:47:28 >> อือ
00:47:28 → 00:47:30 >> ก็โอเคแต่ในร้านอาหารมันยุ่งมากบางทีมัน
00:47:30 → 00:47:32 ไม่ได้มีเวลาโฟกัสขนาดแบบ
00:47:32 → 00:47:35 >> ขนาดนั้นเขาก็เลยต้องแก้ปัญหาโดยการแบ่ง
00:47:35 → 00:47:37 สีเขียวเพื่อความปลอดภัย
00:47:37 → 00:47:39 >> แล้วแล้วผมถามเล่นๆว่าผมทำอาหารที่บ้าน
00:47:39 → 00:47:41 อย่างเงี้ยผมหั่นไก่
00:47:41 → 00:47:44 >> แล้วผมก็หั่นผักชีต่อแต่ผมก็เอาไปผัด
00:47:44 → 00:47:47 พร้อมกันไม่นานนะก็ได้อยู่ในร้านทหารก็
00:47:47 → 00:47:50 โดนเชฟเฮเชฟด่าเลยเพราะมันเป็นมันเป็น
00:47:50 → 00:47:53 ลักษณะที่ไม่ควรจะทำมันจะติดเป็นนิสัยออ
00:47:53 → 00:47:55 >> เพราะเราไม่รู้ว่ามีอยู่วันนึงเราอาจจะ
00:47:55 → 00:47:58 ที่บอกเอาผักไปผัดต่อแต่บางวันอาจจะไม่
00:47:58 → 00:47:59 ได้เอาผัดไปผักต่อก็ได้
00:48:00 → 00:48:01 >> อ๋อต้องไปเก็บไว้อะไรอย่างงี้
00:48:01 → 00:48:03 >> แต่ที่บ้านน่ะทำได้
00:48:03 → 00:48:05 >> เพราะสุดท้ายผักมันก็โดน
00:48:05 → 00:48:06 >> ความร้อนก็นั่นอยู่ดีใช่
00:48:06 → 00:48:08 >> ยกเว้นว่าเราจะหั่นผักเพื่อไปเก็บในตู้
00:48:08 → 00:48:09 เย็นเนาะ
00:48:09 → 00:48:12 >> อ่าอันนั้นที่โดนเนื้อสัถูก
00:48:12 → 00:48:12 >> ครับ
00:48:12 → 00:48:12 >> โอเคครับ
00:48:12 → 00:48:14 >> พูดง่ายๆอยู่ที่บ้านมันจะมีสติมากกว่า
00:48:14 → 00:48:17 ร้านอาหารการแยกสีเขียวกับมีดที่
00:48:17 → 00:48:20 >> สีเขียงสีเขียงนี่เชฟพอแบ่งให้ได้ง่ายๆ
00:48:20 → 00:48:21 ป่ามันมีอะไรบ้าง
00:48:21 → 00:48:24 >> แบ่งสีน้ำเงินก็ซีฟู้ดดิบสีแดงก็เนื้อ
00:48:24 → 00:48:25 สัตว์ดิบ
00:48:25 → 00:48:25 >> ออ
00:48:25 → 00:48:28 >> สีขาวก็พวกdaี่ produc พวกชีสพวกนมสีน้ำ
00:48:28 → 00:48:30 ตาลก็เป็นเนื้อสัตว์สุกอย่างเงี้ยครับ
00:48:30 → 00:48:31 แบ่งประมาณนี้
00:48:31 → 00:48:31 >> อื
00:48:31 → 00:48:32 >> สีเขียวก็ผัก
00:48:32 → 00:48:34 >> น้ำกระป๋องที่เปิดฝ่าแล้วเก็บในตู้เย็น
00:48:34 → 00:48:37 ได้มั้ครับเราเก็บนานได้แค่ไหน
00:48:37 → 00:48:39 >> มันมันจะไม่เสียเชิงเชื้อนะเพราะน้ำ
00:48:39 → 00:48:40 กระป๋องส่วนใหญ่เขาใส่วัตถุกันเสียส่วน
00:48:40 → 00:48:42 ใหญ่ใส่โซเดียมเบนโซเอateแล้วอยู่ในตู้
00:48:42 → 00:48:45 เย็นก็มีอุณหภูมิเย็นอีกแต่ส่วนใหญ่มันจะ
00:48:45 → 00:48:48 เสียเชิงอย่างอื่นมากกว่าแก๊สออกไปก็
00:48:48 → 00:48:50 >> ก็ไม่ซ่า
00:48:50 → 00:48:52 >> นะครับแต่ถ้ากินไม่หมดจริงๆอ่ะแนะนำ
00:48:52 → 00:48:55 สมมุติแกะป๊อกแล้วกินเหลือครึ่งกระป๋อง
00:48:55 → 00:48:56 ควรเอาพลาสติกอ
00:48:56 → 00:48:57 >> ปิดหน่อย
00:48:57 → 00:48:58 >> อื
00:48:58 → 00:49:00 >> เพราะตู้เย็นเป็นอะไรที่กลิ่นทุกอย่างมัน
00:49:00 → 00:49:02 อวนมากอ่ะบางทีมันดูดกลิ่นเนื้อสัตว์
00:49:02 → 00:49:05 กลิ่นอะไรไปกลิ่นก็จะเพี้ยน
00:49:05 → 00:49:06 >> เออ
00:49:06 → 00:49:08 >> อืคนแลปพลาสติกแรปพลาพาตินิดนึง
00:49:08 → 00:49:09 >> แค่เรื่องกลิ่นเลยใช่มั้ฮ
00:49:09 → 00:49:10 >> แค่เรื่องกลิ่น
00:49:10 → 00:49:12 >> ใช้โรคจากตู้เย็นอื่นๆผสม
00:49:12 → 00:49:14 >> ถ้าถ้าซวยก็มีสิทธิ์สมมุติสมมุตินี่
00:49:14 → 00:49:16 สมมุติอันนี้เป็นน้ำอัดลม
00:49:16 → 00:49:17 >> อื
00:49:17 → 00:49:18 >> แล้วเปิดไว้ไม่ได้มีพลาสติกแรป
00:49:19 → 00:49:20 >> ครับ
00:49:20 → 00:49:21 >> เนื้อไก่ดิบอยู่ข้างบน
00:49:21 → 00:49:22 >> อือๆ
00:49:22 → 00:49:23 >> ก็มีสิทธิ์
00:49:23 → 00:49:23 >> อ่า
00:49:24 → 00:49:26 >> แล้วถ้าคนที่กินไปภูมิไม่ดี
00:49:26 → 00:49:26 >> ครับ
00:49:26 → 00:49:30 >> ก็จะติดเชื้อได้แต่ถ้าภูมิดีก็อาจจะรอด
00:49:30 → 00:49:31 มันมันนานาจิตตังมาก
00:49:31 → 00:49:33 >> อก็คือเหมือนที่เราคุยเรื่องน้ำผึ้งเมื่อ
00:49:33 → 00:49:36 กี้ว่าถ้าไปโดนเชื้ออื่นมาอยู่บนพื้นผิว
00:49:36 → 00:49:37 น้ำผึ้งที่มันไม่เสียเลยเนี่ย
00:49:37 → 00:49:37 >> ใช่
00:49:37 → 00:49:40 >> แล้วไปกินเข้าไปก็ซวยถือว่าซวยเอาแต่ไอ้
00:49:40 → 00:49:43 พวกน้ำกระป๋องอ่ะขอร้องหลายคนมองข้าม
00:49:43 → 00:49:43 >> อื
00:49:43 → 00:49:45 >> ช่วยก่อนกินน่ะครับ
00:49:45 → 00:49:46 >> เช็ด
00:49:46 → 00:49:48 >> เออเรื่องนี้อีกเรื่องนึงที่
00:49:48 → 00:49:49 >> ต้องเช็ดนะ
00:49:49 → 00:49:52 >> มันมีเคสเมืองนอกอ่ะกินเข้าไปติดเชื้อโรค
00:49:52 → 00:49:54 จากฉี่หนูตายเพราะบางทีกระป๋องอยู่ในโรง
00:49:54 → 00:49:56 งานน่ะไม่รู้อะไรมาเราไม่รู้ว่าโรงงาน
00:49:56 → 00:49:58 สะอาดแค่ไหนหรือมีฝุ่นน่ะ
00:49:58 → 00:49:58 >> ครับ
00:49:58 → 00:50:00 >> แล้วหลายๆคนคิดว่ากระป๋องสะอาด
00:50:00 → 00:50:01 >> ป๊ะ
00:50:01 → 00:50:01 >> ดื่มเลย
00:50:01 → 00:50:04 >> ดื่มหรือปอ้าไม่ดื่มปากไม่โดนแต่ใช้หลอด
00:50:04 → 00:50:07 แต่อย่าลืมว่าเวลาลงไปครั้งนึงอ่ะมันมี
00:50:07 → 00:50:08 ส่วนโลหะที่มันลงไปในน้ำ
00:50:08 → 00:50:09 >> ครับ
00:50:09 → 00:50:10 >> เพราะงั้นเช็ดหน่อย
00:50:10 → 00:50:12 >> เช็ดด้วยอะไรครับ
00:50:12 → 00:50:14 >> ก็ดีที่สุดก็แอลกอฮอล์
00:50:14 → 00:50:15 >> ถ้ามีซิงก็ล้างหน่อย
00:50:15 → 00:50:16 >> อ
00:50:16 → 00:50:18 >> worst casสก็ทิชชู่แห้งก็ได้อย่างน้อยอื
00:50:18 → 00:50:20 >> แค่ล้างนี่ถือว่าโอเคแล้วป่ะฮะ
00:50:20 → 00:50:21 >> โอเคโอเคโอเค
00:50:21 → 00:50:22 >> ล้างด้วยน้ำเปล่าเฉยๆ
00:50:22 → 00:50:23 >> ได้ครับได้
00:50:23 → 00:50:26 >> เช็ดด้วยเสื้อผมส่วนใหญ่ผมก็จะกลัวผมก็
00:50:26 → 00:50:26 เช็ดด้วยเสื้อ
00:50:26 → 00:50:29 >> ก็ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
00:50:29 → 00:50:31 >> มันคือโรคฉี่หนูนะผมก็เคยได้ยินเรื่องนี้
00:50:31 → 00:50:31 เหมือนกัน
00:50:31 → 00:50:34 >> ใช่มีๆคือโรงงานเขาอาจจะสะอาดแต่บางที
00:50:34 → 00:50:37 ร้านขายของชำมาตั้งไว้แล้วมูอ่ะอ่าหมูมัน
00:50:37 → 00:50:39 ก็วิ่งมาบึดตั้งไว้
00:50:39 → 00:50:39 >> อื
00:50:40 → 00:50:42 >> ตอนกลางคืนตอนตอนเช้ามาเราก็ไม่รู้เพราะ
00:50:42 → 00:50:44 ว่ารอยเท้าน้องหนูเ้าไม่ได้เห็นอะไรอ่ะ
00:50:45 → 00:50:47 >> อืคือมันเท่แบบไม่ใช่เท่หรอกมันมันเป็น
00:50:47 → 00:50:50 ภาพจำเราก็จะเปิดป๊อกแล้วก็ดื่ม
00:50:50 → 00:50:50 >> อือๆ
00:50:50 → 00:50:54 >> ถ้ามันใส่โอกาสเอ้ยถ้ามีโอกาสโฆษณาเนี่ย
00:50:54 → 00:50:55 ใส่ช่วงเช็ดเข้าไปหน่อยเนี่ย
00:50:55 → 00:50:55 >> ใช่
00:50:55 → 00:50:56 >> น่าจะทำให้คนแบบ
00:50:56 → 00:50:59 >> ดีกว่าดีกว่าปลอดภัยกว่าแต่หลังๆเคสไม่
00:50:59 → 00:51:02 ค่อยมีละน่าจะเ้าน่าจะ
00:51:02 → 00:51:05 >> โรงงานเ้าแก้ปัญหาตรงที่มาว่าแลบแลบไอ้
00:51:05 → 00:51:06 ฟิล์มมาเลยไง
00:51:06 → 00:51:06 >> อื
00:51:06 → 00:51:09 >> จะกินทีนึงก็ต้องมานั่งแกะอืไม่ค่อยมี
00:51:09 → 00:51:11 กระป๋องเดี่ยวๆยกเว้นว่าร้านขายของชำมัน
00:51:11 → 00:51:13 เอามาแกะ
00:51:13 → 00:51:14 >> มันอยู่ที่การเก็บ
00:51:14 → 00:51:16 >> ใช่
00:51:16 → 00:51:17 เลย 1 ช่โมงแน่เลยไม่
00:51:17 → 00:51:20 >> เป็นไรล้างมือด้วยสบู่กับเชื้อมือด้วย
00:51:20 → 00:51:22 อกฮออะไรปลอดภัยของกันอันนี้ถามไปแล้ว
00:51:22 → 00:51:24 >> ถามไปแล้วถามไปแล้วล้างมือด้วยสบู่ไม่ได้
00:51:24 → 00:51:25 เกี่ยวกับการฆ่าเชื้อเกี่ยวกับยกเว้นยก
00:51:25 → 00:51:28 เว้นสบู่นั้นเผสมสารฆ่าเชื้อมานะแต่ส่วน
00:51:28 → 00:51:31 ใหญ่อ่ะสบู่มันแค่เอาคราบสกปรกออกถ้าฆ่า
00:51:31 → 00:51:33 เชื้อต้องไปถึงแอลกอฮอล์
00:51:33 → 00:51:34 >> แอลกอฮอล์
00:51:34 → 00:51:34 >> อื
00:51:34 → 00:51:37 >> แอลกอฮอล์เวลาฆ่าเชื้อเนี่ยมันก็จะตาย
00:51:37 → 00:51:39 อยู่บนมือเราถูกมั้ฮะ
00:51:39 → 00:51:41 >> ใช่ๆแต่ซากเชื้อที่ตายไม่มีปัญหาอะไรครับ
00:51:41 → 00:51:44 ปัญหาอะไรไม่มีปัญหาไม่ไม่ได้ก่อให้เกิด
00:51:44 → 00:51:44 โรค
00:51:44 → 00:51:47 >> มันชุบชีวิตขึ้นมาไม่ได้มันเป็นซากเชื้อ
00:51:47 → 00:51:47 ไปแล้ว
00:51:47 → 00:51:48 >> อ๋อ
00:51:48 → 00:51:51 >> ครับเซลล์ผนังเซลล์มันระเบิดอะไรมันหดหมด
00:51:51 → 00:51:52 แล้วไม่ไม่ได้เกิดปัญหาอะไร
00:51:52 → 00:51:54 >> ไอ้พวกนี้มันเป็นพรีไบโอติกมั้ครับ
00:51:54 → 00:51:56 >> ไม่เป็นนึกว่ามันจะไปช่วยอะไร
00:51:56 → 00:51:58 >> ไม่เป็นไม่เป็นมันจะมีอีกศัพท์นึงที่เป็น
00:51:58 → 00:52:01 เชื้อโปรไบโอติกซากของโปรไบโอติกที่ตาย
00:52:01 → 00:52:03 แล้วอะไรประมาณเนี้ยเขาจะมีอีกศัพท์นึง
00:52:03 → 00:52:06 ที่ว่าโพสไบโอติกที่เขา้าค้นพบว่ามันมี
00:52:06 → 00:52:07 ประโยชน์
00:52:07 → 00:52:08 >> ในบางแง่มุม
00:52:08 → 00:52:08 >> อ๋อ
00:52:08 → 00:52:09 >> อือ
00:52:09 → 00:52:11 >> แต่เชื้อก่อโรคไม่นับ
00:52:11 → 00:52:12 >> อันนั้นเชื้อดี
00:52:12 → 00:52:13 >> อืออืครับ
00:52:13 → 00:52:17 >> โอเค
00:52:17 → 00:52:20 ถั่วพริกของแห้งควรเก็บในตู้เย็นตู้เย็น
00:52:20 → 00:52:21 หรือเก็บไว้ข้างนอกดีกว่ากัน
00:52:21 → 00:52:24 >> ตู้เย็นครับหลายคนเข้าใจว่าไว้ข้างนอก
00:52:24 → 00:52:26 แล้วจะปลอดภัยแต่ถั่วถ้าขั้วไม่ดีมีความ
00:52:27 → 00:52:29 ชื้นพริกขั่้วไม่ดีมีความชื้นแล้วจะเกิด
00:52:29 → 00:52:30 เชื้อรา
00:52:30 → 00:52:32 >> นั้นแล้วเชื้อรานั้นสร้างสารพิษที่ทนความ
00:52:32 → 00:52:33 ร้อนมากแล้วทำให้เกิดมะเร็งตับหรือตับ
00:52:34 → 00:52:35 อักเสเขาเรียกalฟ่าท็อกซิน
00:52:35 → 00:52:36 >> อื
00:52:36 → 00:52:36 >> ครับ
00:52:36 → 00:52:37 >> อันตรายยังไงกันเราครับ
00:52:37 → 00:52:40 >> โอถ้าท็อกซินมาเอาไปคั่วไปผัดก็ไม่สลาย
00:52:41 → 00:52:43 ครับแล้วมันทำให้เกิดตับอักเสบแล้ว
00:52:43 → 00:52:46 เหนี่ยวนำทำให้เกิดมะเร็งตับในอนาคตได้
00:52:46 → 00:52:49 >> โอกาสเกิดขึ้นง่ายหรือยากครับมันหมายถึง
00:52:49 → 00:52:49 ว่า
00:52:49 → 00:52:51 >> ถ้ากินสะสมไปนานๆมีโอกาส
00:52:51 → 00:52:52 >> ต้องเกิดจากการสะสมก่อนใช่มั้ฮะ
00:52:52 → 00:52:53 >> กินบ่อยๆ
00:52:53 → 00:52:53 >> เออ
00:52:53 → 00:52:58 >> กินก๋วยเตี๋ยวหรือกินอะไรที่ใช้พริกแห้ง
00:52:58 → 00:53:01 หรือถั่วลิสงแห้งที่ชื้นๆเก่าๆบ่อยๆก็มี
00:53:01 → 00:53:02 โอกาส
00:53:02 → 00:53:04 >> เราสมมุติว่าเราไม่ได้ชอบกินถั่วหรือพริก
00:53:04 → 00:53:07 อะไรมาก่อนเนี่ยแล้วเรามีโอกาสซวยขนาดแบบ
00:53:07 → 00:53:08 ไปกินมาแค่ครั้ง 2 ครั้งแล้ว
00:53:08 → 00:53:09 >> ออไม่ๆๆ
00:53:09 → 00:53:10 >> ต้องสะสม
00:53:10 → 00:53:10 >> พวกนี้ต้องสะสม
00:53:11 → 00:53:11 >> เออ
00:53:11 → 00:53:13 >> พวกนี้สะสมผสมถ้าคนที่กินก๋วยเตี๋ยวครั้ง
00:53:13 → 00:53:15 นึงอาทิตย์ละครั้ง 2 ครั้งไม่เป็นไร
00:53:15 → 00:53:15 >> อื
00:53:15 → 00:53:19 >> แต่มันจะมีกลุ่มคนบางคนที่กินเกือบทุกวัน
00:53:19 → 00:53:19 ไง
00:53:20 → 00:53:23 >> แล้วกินถั่วเก่าพริกเก่ามันก็จะทำให้ตับ
00:53:23 → 00:53:27 การอักเสบของตับซ้ำๆซๆซๆก็จะมีโอกาสเป็น
00:53:27 → 00:53:29 มะเร็งตับในอนาคต
00:53:29 → 00:53:30 >> เก็บในตู้เย็นช่วย
00:53:30 → 00:53:32 >> เพราะพอเก็บในตู้เย็นน่ะครับเชื้อราจะโต
00:53:32 → 00:53:34 แต่ต้องเก็บให้ถูกต้อง
00:53:34 → 00:53:34 >> อืยังไงครับ
00:53:34 → 00:53:36 >> ความจริงตู้เย็นมันค่อนข้างชื้นนะถ้าเก็บ
00:53:36 → 00:53:38 เปิดไว้มันก็ชื้นเหมือนกัน
00:53:38 → 00:53:40 >> ควรเก็บแบบปิดฝาให้สนิท
00:53:40 → 00:53:41 >> อือ
00:53:41 → 00:53:43 >> หรือถ้าเป็นพริกแห้งควรอยู่ในถุงที่ความ
00:53:43 → 00:53:45 ชื้นเข้าไม่ได้แล้วควรมีทิชชู่เข้าไปสัก
00:53:45 → 00:53:47 แผ่น 2 แผ่นเพราะทิชชู่มันดูความชื้นเก่ง
00:53:47 → 00:53:47 มาก
00:53:47 → 00:53:47 >> อือ
00:53:48 → 00:53:51 >> พริกแห้งจะแห้งแต่สมมุติถ้ามันกลับมาชื้น
00:53:51 → 00:53:54 นะเชื้อก็จะโตยากขึ้นเพราะอุณหภูมิต่ำ
00:53:54 → 00:53:55 เชื้อโตยาก
00:53:55 → 00:53:57 >> อ๋อทิชชู่ที่บอกใส่เข้าไปนี่คือทิชชู่
00:53:57 → 00:53:57 แห้งเลยเหรอ
00:53:58 → 00:53:59 >> ทิชู่แห้งทิชชู่ครัวอย่างเงี้ยครับ
00:53:59 → 00:54:01 Kitchen Toown อย่างเงี้ยพวกเนี้ย
00:54:01 → 00:54:04 >> ใส่เข้าไปรวมกับตัวตัวพริกหรือถั่วนี่
00:54:04 → 00:54:04 อะไร
00:54:04 → 00:54:06 >> พริกหรือถั่วไม่ต้องก็ได้เพราะมันแห้ง
00:54:06 → 00:54:09 อยู่แล้วไงแล้วถ้าใส่ไปมันก็แบบเป็นเศษๆ
00:54:09 → 00:54:11 >> แต่เวลาพริกแห้งอ่ะเก็บเข้าไปได้กระเทียม
00:54:11 → 00:54:13 กับหอมใหญ่หอมแดงก็ก็ช่วยได้เหมือนกัน
00:54:13 → 00:54:14 เก็บเหมือนกัน
00:54:14 → 00:54:14 >> อื
00:54:14 → 00:54:17 >> เก็บในถุงปิดสนิทแล้วก็ใส่ทิชชู่ไปมันจะ
00:54:17 → 00:54:18 อยู่ได้นานเลย
00:54:18 → 00:54:20 >> อถามในฐานะคนชอบกินถั่วครับผมกลัวalฟ่า
00:54:20 → 00:54:21 ท็อกซินมากนะ
00:54:21 → 00:54:22 >> อือ
00:54:22 → 00:54:25 >> แล้วแบบมันโอกาสจะเกิดในถั่วที่เราไปซื้อ
00:54:25 → 00:54:27 ตามถุง
00:54:27 → 00:54:29 >> ตามถุงไม่ค่อยเพราะตามถุงส่วนใหญ่มันผลิต
00:54:29 → 00:54:31 มาจากโรงงานเขาจะมีค่ามาตรฐานmoอยสเจอร์
00:54:31 → 00:54:33 หรือค่าความชื้นอยู่ว่าต้องต่ำกว่านี้ถึง
00:54:33 → 00:54:34 จะปลอดภัยอ
00:54:34 → 00:54:34 >> ออือ
00:54:34 → 00:54:36 >> ยกเว้นไปซื้อถั่วที่ส่งตามท้องตลาดที่
00:54:36 → 00:54:39 เขา้าแบบอาแพไว้อย่างเงี้ยก็มีโอกาสอ
00:54:39 → 00:54:39 >> อื
00:54:39 → 00:54:42 >> แต่อย่างน้อยอะไรที่มีฉลากมียี่ห้อมีอย.
00:54:42 → 00:54:45 พอมีบาร์โคดพวกนี้มันจะมีมาตรฐานจากโรง
00:54:45 → 00:54:45 งานมา
00:54:45 → 00:54:45 >> อ
00:54:46 → 00:54:48 >> จะค่อนข้างชัวร์แล้วถ้าซื้อแบบนั้นมาคั่ว
00:54:48 → 00:54:51 เองแล้วใช้ใหม่ๆโอกาสเจอ
00:54:51 → 00:54:51 >> น้อยมาก
00:54:51 → 00:54:53 >> น้อยมากแทบไม่เจอเลย
00:54:53 → 00:54:54 >> โอเคครับ
00:54:54 → 00:54:57 >> ครับ
00:54:57 → 00:54:59 >> ล้างผักผลไม้ก่อนกินใช้น้ำประปาอย่าง
00:54:59 → 00:55:01 เดียวพอมั้ยครับ
00:55:01 → 00:55:02 >> พอกับอะไร
00:55:02 → 00:55:05 >> พอกับความปลอดภัยไม่รู้เหมือนกัน
00:55:05 → 00:55:07 >> ส่วนใหญ่ความอ่าส่วนใหญ่ความไม่ปลอดภัยใน
00:55:07 → 00:55:10 ผักผลไม้ส่วนใหญ่มาจากพวกพยาธกับยาฆ่า
00:55:10 → 00:55:12 แมลงน้ำเปล่าไม่พอนะครับ
00:55:12 → 00:55:12 >> อือ
00:55:13 → 00:55:15 >> ต้องเป็นเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งน้ำส้มสาย
00:55:15 → 00:55:18 ชูก็ได้เกลือก็ได้เบกิ้งโซดาก็ได้
00:55:18 → 00:55:19 เบกingโซดาค่อนข้างเวิร์ค
00:55:19 → 00:55:22 >> หลังๆมันมีเบกโซดาเกรดที่ใช้ล้างล้างผัก
00:55:22 → 00:55:23 ผลไม้
00:55:23 → 00:55:26 >> คือมันจะไม่บริสุทธิ์เท่าเกรดที่ใช้ทำขนม
00:55:26 → 00:55:27 ซึ่งมันก็ถูกกว่าอ
00:55:27 → 00:55:28 >> เอาไว้ล้างได้
00:55:28 → 00:55:28 >> อือ
00:55:28 → 00:55:31 >> แล้วอย่างหลักการล้างผักผลไม้ที่ถูกต้อง
00:55:31 → 00:55:33 อ่ะต้องล้างน้ำแรกอ่ะไม่จำเป็นต้อง
00:55:33 → 00:55:36 เบกิ้งโซดาน้ำแรกเป็นน้ำประปาไหลผ่านตลอด
00:55:36 → 00:55:37 เวลาแต่ต้องไหลด้วยนะ
00:55:38 → 00:55:38 >> ต้องไหลด้วย
00:55:38 → 00:55:42 >> เพราะมีเป็นกะละมังไปแช่สารเคมีมันก็อยู่
00:55:42 → 00:55:43 กับผักอย่างงั้น
00:55:43 → 00:55:43 >> อือ
00:55:43 → 00:55:47 >> อืตามหลักการล้างที่ถูกต้องควรน้ำไหลผ่าน
00:55:47 → 00:55:49 แต่กี่นาทีจำไม่ได้แล้วอ่ะ 2-3 นาทีมั้ง
00:55:49 → 00:55:51 พอน้ำไหลผ่านเสร็จปุ๊บค่อยไปแช่
00:55:51 → 00:55:54 เบกิ้งโซดาแล้วน้ำไหลผ่านอีกทีนึง
00:55:54 → 00:55:54 >> อื
00:55:54 → 00:55:55 >> จะปลอดภัย
00:55:55 → 00:55:57 >> คือผมอจะชอบเจอสมมุติว่าผมไปเอาไปจาก
00:55:57 → 00:56:00 ตะกร้าของขวัญปีใหม่อะไรอย่างเงี้ย
00:56:00 → 00:56:04 >> ผมก็จะแบบอยากกินน่ะก็จะล้างน้ำเปล่า
00:56:04 → 00:56:05 >> อื
00:56:05 → 00:56:07 >> ไม่รู้ว่ามันพอหรือเปล่าไม่น่าพอละแต่ว่า
00:56:07 → 00:56:09 มันจะมีแวกอีกเรื่องแวกที่มันอยู่
00:56:09 → 00:56:11 >> ความจริงแวกไม่ใช่เป็นตัวคอนเซิร์นมัน
00:56:11 → 00:56:13 เป็นแความจริงแพวกนี้เป็น edible
00:56:13 → 00:56:15 >> มันกินได้แต่มันแค่ความรู้สึกว่าแบบมัน
00:56:15 → 00:56:17 มันอะไรก็ไม่รู้อ่ะ
00:56:17 → 00:56:19 >> แวกต้องล้างน้ำร้อนแล้วมันจะลอยขึ้นมา
00:56:19 → 00:56:20 ข้างบนเลย
00:56:20 → 00:56:21 >> คือการล้างน้ำเปล่าเนี่ย
00:56:21 → 00:56:22 >> แวกก็ไม่หาย
00:56:22 → 00:56:25 >> ไม่หายเพราะแวกละลายได้แวกเป็นไขมันชนิด
00:56:25 → 00:56:27 นึงเป็นลิพIDชนิดนึงละลายได้ดีที่ความ
00:56:27 → 00:56:27 ร้อนสูงครับ
00:56:27 → 00:56:28 >> ออือๆ
00:56:28 → 00:56:31 >> แล้วถึงทั้งนี้ทั้งนั้นเนี่ยเบกิ้งโซดา
00:56:31 → 00:56:34 หรือน้ำส้มสายชูอ่ะที่ผมเล่ามาทั้งหมดอ่ะ
00:56:34 → 00:56:37 มันล้างได้แค่ยาฆ่าแมลงด้านนอกนะมันจะมี
00:56:37 → 00:56:40 ยาฆ่าแมลงที่มันดูดชนิดดูดซึมที่ดูดตั้ง
00:56:40 → 00:56:42 แต่รากแล้วฝังอยู่ในนั้นน่ะ
00:56:43 → 00:56:43 >> เออ
00:56:43 → 00:56:45 >> ล้างงี้ก็ล้างไม่ออกอ
00:56:45 → 00:56:47 >> อันนี้ก็ต้องรู้ต้นต่อว่าต้น
00:56:47 → 00:56:48 >> ผลไม้มาจากไหนนะ
00:56:48 → 00:56:50 >> ใช่แต่ล้างก็ยังดีกว่าไม่ล้างเ้าผมไปดู
00:56:50 → 00:56:54 ตัวเล็กเปเปอร์มานะสมมุติเอ๊สดีไซน์หรือ
00:56:54 → 00:56:55 ยาฆ่าแมลงมันมี 100% อ่ะการล้างด้วย
00:56:55 → 00:56:58 เบกิ้งโซดาล้างแค่ข้างนอกออกอ่ะอย่างน้อย
00:56:58 → 00:57:00 มันลดไป 30% แล้วก็เหลือ 70 ก็ยังโอเค
00:57:00 → 00:57:03 กว่าเหลือ 100 แต่ 70 มันก็ยังยังสูงอ
00:57:03 → 00:57:04 >> อือๆ
00:57:04 → 00:57:07 >> เลี่ยงยากพูดตามตรงๆสมัยนี้ยังยกเว้นไป
00:57:07 → 00:57:08 เลือกซื้อออร์แกนิค
00:57:08 → 00:57:09 >> แพงอีก
00:57:09 → 00:57:13 >> ครับแต่ก็แล้วแต่คนอยากปลอดภัยก็ยอมใจ
00:57:13 → 00:57:14 หน่อย
00:57:14 → 00:57:16 >> ทางที่ดีที่สุดกินหมุนเวียนครับเราหนีสาร
00:57:16 → 00:57:18 พิษไม่ได้ในโลกนี้
00:57:18 → 00:57:18 >> เออ
00:57:18 → 00:57:21 >> แต่อย่าไปกินส้มซ้ำๆเราก็จะได้ยาค่าแมลง
00:57:21 → 00:57:24 จากส้มซ้ำๆมันก็จะไปเหนี่ยวนำให้เกิดโรค
00:57:24 → 00:57:25 ใดโรคหนึ่ง
00:57:25 → 00:57:26 >> อื
00:57:26 → 00:57:29 >> ตอนนี้กินส้ม 2 วันอีกวันไปกินแตงโม
00:57:29 → 00:57:31 >> กินสับปะรดการหมุนเวียนสารพิษทุกงาน
00:57:31 → 00:57:33 ประชุมเขาพยายามพูดเราเลี่ยงไม่ได้แต่เรา
00:57:33 → 00:57:35 หมุนเวียนสารพิษได้
00:57:35 → 00:57:38 >> แต่ว่าสารพิษถ้ามันไม่ถึงขั้นใช้เรียกว่า
00:57:38 → 00:57:40 ซ้ำๆไปเรื่อยๆเนี่ยมันจะมีการจัดการกับ
00:57:40 → 00:57:41 ร่างกาย
00:57:41 → 00:57:42 >> ใช่ร่างกายมันหาวิธีการจัดการของมันเอง
00:57:42 → 00:57:44 แต่พอซ้ำไปเยอะๆอ่ะอ
00:57:44 → 00:57:47 >> มันจะเหนี่ยวนำให้เกิดโรคใดโรคหนึ่งได้อื
00:57:47 → 00:57:49 >> ก็คือกินให้หลากหลายขึ้น
00:57:49 → 00:57:50 >> กินให้หลากหลายคือคำตอบ
00:57:50 → 00:57:51 >> อืครับ
00:57:51 → 00:57:53 >> โอเคครับ
00:57:53 → 00:57:54 >> เหนื่อยมั้ยครับ
00:57:54 → 00:57:56 >> อีกนิดจะหอบแล้วไม่ใช่แล้วได้อยู่ได้อยู่
00:57:56 → 00:57:57 ได้อยู่
00:57:57 → 00:58:00 >> ข้าวในหม้อหุงข้าวที่เปิดอุ่นโหมดอุ่น
00:58:00 → 00:58:01 ตลอดเวลาครับอยู่ได้นานแค่ไหน
00:58:01 → 00:58:04 >> โหอันตรายมากมีเคสแบบนี้เยอะมากหลายคนคิด
00:58:04 → 00:58:07 ว่าอุ่นตลอดเวลาจะปลอดภัยเพราะมันอุ่น
00:58:07 → 00:58:08 >> แต่ความจริงคำว่าอุ่นของข้าวอ่ะคือ
00:58:08 → 00:58:09 อุณหภูมิอยู่ช่วง
00:58:09 → 00:58:12 50 กว่าองศาเองนะยังไม่พ้น Danger Zone
00:58:12 → 00:58:13 Danger Zซนคืออุณหภูมิที่มันอันตรายคือ
00:58:14 → 00:58:16 5-60 องศา
00:58:16 → 00:58:17 >> แล้วสังเกตข้าวที่อุ่นตลอดเวลา
00:58:17 → 00:58:20 >> บูดไวกว่าข้าวที่ไม่อุ่นตลอดเวลา
00:58:20 → 00:58:22 >> จริงหรอเออนึกไม่ออก
00:58:22 → 00:58:26 >> เจอหลายเคอุ่นคือหลายคนอุ่นแล้วแบบทิ้ง
00:58:26 → 00:58:29 ไว้พอมาเปิดอีกทีนึงโอ้โหเป็นยางมันเกิด
00:58:29 → 00:58:32 จากเชื้อตัวนึงที่ทนความร้อนสูงมากคือสปอ
00:58:32 → 00:58:34 ของบซิัส
00:58:34 → 00:58:35 >> อ
00:58:35 → 00:58:36 >> อันนี้เชื่ออีกตัวละตะกี้เราพูดถึงตัว
00:58:36 → 00:58:39 อื่นเนาะบซิัสมันสร้างสปอ
00:58:39 → 00:58:41 แล้วสปอมันทนความร้อนสูงมาก
00:58:41 → 00:58:42 >> ครับ
00:58:42 → 00:58:44 >> แล้วพอมาถึงอุณหภูมินึงเช่น 40 อุ่นๆน่ะ
00:58:44 → 00:58:46 สปอจะจะงอก
00:58:46 → 00:58:46 >> อ
00:58:46 → 00:58:49 >> พองอกสร้างสารพิษคนกินเข้าไปก็ก็ท้องเสีย
00:58:49 → 00:58:50 >> อื
00:58:50 → 00:58:54 >> ข้าวดีที่สุดหุงเสร็จควรเอามาผึ่งให้มัน
00:58:54 → 00:58:55 หายระอุ
00:58:55 → 00:58:56 >> อื
00:58:56 → 00:58:59 >> แล้วแช่เย็นจะกินค่อยเอาข้าวเย็นมาเวฟ
00:58:59 → 00:59:01 แล้วข้าวเย็นมีประโยชน์กว่าด้วยเพราะว่า
00:59:01 → 00:59:03 คาร์โบไฮเดรตมันลดลงนะ
00:59:03 → 00:59:03 >> อ้าเหรอครับ
00:59:03 → 00:59:06 >> แป้งมันลดลงมันจะมีแป้งหยตกผลึกแม้เอามา
00:59:06 → 00:59:09 อุ่นมันก็ยังเป็นข้าวที่ตกผลึกอยู่
00:59:09 → 00:59:10 >> อื
00:59:10 → 00:59:12 >> G หรือค่าดัชนีน้ำตาลมันจะลด
00:59:12 → 00:59:12 >> อ๋อ
00:59:12 → 00:59:14 >> แต่ไม่ใช่ลดจากหลายคนนะชอบเข้าใจผิดว่า
00:59:14 → 00:59:16 จาก 100 เหลือ 0 มันจาก 100 เหลือแค่
00:59:16 → 00:59:19 ประมาณ 70-80 ประมาณนั้นนิดหน่อย
00:59:19 → 00:59:20 >> ก็ลดลงนิดหน่อยแต่ก็ยังดี
00:59:21 → 00:59:23 >> แล้วเราเก็บข้าวไว้ในหม้ออุ่นเนี่ยได้นาน
00:59:23 → 00:59:25 มากที่สุดแค่ไหนเพราะร้านอาหารส่วนใหญ่ก็
00:59:25 → 00:59:26 จะแบบทำอย่างนั้นอยู่นะ
00:59:26 → 00:59:27 >> อุ่นไว้นานใช่มั้ครับ
00:59:28 → 00:59:30 >> โหความจริงไม่ควรไม่ควรเกิน 4-6 ชั่วโมง
00:59:30 → 00:59:30 4-6
00:59:30 → 00:59:31 >> 4-6 ชม
00:59:31 → 00:59:32 >> อือ
00:59:32 → 00:59:35 >> แต่มันมีทริกอยู่ถ้าอยากอุ่นจริงๆเพราะคง
00:59:35 → 00:59:37 แบบไม่คงไม่สะดวกแช่เย็น่
00:59:37 → 00:59:40 >> หรือว่าเอามาเวฟตอนหุงอ่ะครับให้ใส่น้ำ
00:59:40 → 00:59:43 ส้มสายชูไปซักสมมุติหม้อหม้อหม้อหม้อปกติ
00:59:43 → 00:59:45 อ่ะครับใส่ไป 1 ช้อนฉ่า
00:59:45 → 00:59:45 >> อือ
00:59:45 → 00:59:48 >> น้ำส้มสายชูเป็นตัวที่ป้องกันไม่ให้สปอ
00:59:48 → 00:59:50 ของบาซิรัสมันงอกได้
00:59:50 → 00:59:53 >> อืเหมือนเป็นยาสารพัดประโยชน์เหมือนกันนะ
00:59:53 → 00:59:54 น้ำน้ำส้มสารพัดประโยชน์มาก
00:59:54 → 00:59:56 >> น้ำส้มสายชูอยู่ในหลายๆข้อที่เราใช้
00:59:56 → 00:59:59 >> หลายๆข้อผมก็ใช้แล้วข้าวจะหนึบขึ้นด้วย
00:59:59 → 01:00:01 ไม่รู้ทำไมเหมือนกันมันจะเงาหนึบๆ
01:00:01 → 01:00:01 >> อื
01:00:01 → 01:00:03 >> คือ texture มันจะมันจะดีขึ้นเมื่อขุงกับ
01:00:03 → 01:00:05 กรดนิดนแต่จะไซสเยอะนะมันจะเหม็น
01:00:05 → 01:00:06 >> อ่า
01:00:06 → 01:00:08 >> แล้วลองดูครับไม่มีวันเสีย
01:00:08 → 01:00:08 >> อื
01:00:08 → 01:00:10 >> ข้ามคืนยังไม่เสียเลยขนาดนี้น้ำส้มใส่ชู
01:00:10 → 01:00:12 แล้วหลายร้านอาหารเช็คทริกนี้
01:00:12 → 01:00:15 >> ข้ามคืนไม่เสียคืออยู่ในตู้เย็น
01:00:15 → 01:00:15 >> อยู่ข้างนอก
01:00:16 → 01:00:17 >> อยู่ข้างนอกก็ไม่เสีย
01:00:17 → 01:00:19 >> จริงๆมันมันมหัศจรรย์มาก
01:00:19 → 01:00:22 >> น้ำส้มสายชูทุกประเภทในโลกเลยป่าครับ
01:00:22 → 01:00:23 >> ความจริงทุกประเภทแต่ส่วนใหญ่ที่ใช้คือ
01:00:23 → 01:00:25 น้ำส้มใสชูกลั่นสีใสเพราะไม่งั้นกลิ่นมัน
01:00:25 → 01:00:28 จะมีกลิ่นหมักกลิ่นแอปเปิ้ลกลิ่น
01:00:28 → 01:00:28 >> อือๆ
01:00:28 → 01:00:30 >> สับปะรดมากวนคาวสีด้วย
01:00:30 → 01:00:32 >> อือๆยกเว้นว่าเราต้องการ
01:00:32 → 01:00:34 >> ใช่หลายหลายร้านใช้เพื่อประหยัดไม่ต้อง
01:00:34 → 01:00:35 ไม่ต้องแชร์เย็นไม่ต้องอะไรแบบนี้
01:00:35 → 01:00:38 >> เอ
01:00:38 → 01:00:41 โอเคอันนี้ไม่รู้จะตอบเถั่วมีถั่วที่
01:00:41 → 01:00:44 เริ่มมีกลิ่นหืนยังกินได้อยู่หรือเปล่า
01:00:44 → 01:00:45 เหมือนเมื่อกี้เราถามเรื่อง
01:00:45 → 01:00:47 >> อู้อ้าที่บอกว่าเดี๋ยวกลับมาใช่มั้ย
01:00:47 → 01:00:50 เรื่องถั่วมีกลิ่นหืนมันปลอดภัยเชิงเชื้อ
01:00:50 → 01:00:52 นะครับเพราะการที่กลิ่นเหม็นหืนมาจากไข
01:00:52 → 01:00:54 มันเปลี่ยนเป็นสารอื่นมันออกซิไซด้วย
01:00:54 → 01:00:56 ออกซิเจนจากอากาศเปลี่ยนเป็นสารอื่นปลอด
01:00:56 → 01:00:58 ภัยเชิงเชื้อ
01:00:58 → 01:01:00 >> แต่พูดตรงๆไม่ควรกินเพราะสารที่ทำให้
01:01:00 → 01:01:02 เหม็นหืนเป็นสารออกซิไiz
01:01:02 → 01:01:02 >> อ
01:01:02 → 01:01:05 >> มันจะมันจะเหมือนเป็นพูดง่ายๆเป็นอนุมูล
01:01:05 → 01:01:06 อิสระอในร่างกาย
01:01:06 → 01:01:08 >> อนุมูลอิสระคืออะไรครับ
01:01:08 → 01:01:10 >> กินเข้าไปแล้วทำให้ร่างกายอักเสบอะไร
01:01:10 → 01:01:11 ประมาณเนี้ยครับอ
01:01:11 → 01:01:12 >> อ
01:01:12 → 01:01:15 >> สารอนุมูลอิสระเมื่อร่างกายได้ดับมากๆ
01:01:15 → 01:01:17 อักเสบเยอะอักเสบเยอะมีโอกาสเป็นมะเร็ง
01:01:17 → 01:01:18 ได้ในอนาคต
01:01:18 → 01:01:19 >> อือ
01:01:19 → 01:01:21 >> สารอนุิสระเช่นเดินตามท้องถนนแล้วมีกลิ่น
01:01:21 → 01:01:24 มีจากการเผาไหม้อ่ะจากควันรถยนต์นะครับ
01:01:24 → 01:01:27 ไอ้พวกนี้ก็เป็นอนุมูลอิสระ UV ก็เป็น
01:01:27 → 01:01:29 อนุมูลอิสระได้การกินอาหารปิ้งย่างก็เป็น
01:01:29 → 01:01:32 อนุมูลอิสระได้กลิ่นเหม็นหืนจากถั่ว
01:01:32 → 01:01:33 >> อือ
01:01:33 → 01:01:35 >> ก็เป็นสารตั้งต้นในการทำให้เกิดอนุม
01:01:35 → 01:01:36 อนุมูลอิสระได้
01:01:36 → 01:01:38 >> เอไม่ควรกินเพราะมันมีอนุมูลอิสระ
01:01:39 → 01:01:41 >> ใช่มันไม่ดีระยะยาวแต่มันไม่ทำให้ท้อง
01:01:41 → 01:01:42 เสียเพราะมันไม่ใช่เชื้ออ
01:01:42 → 01:01:42 >> ออ
01:01:42 → 01:01:44 >> ครับมันเป็นไขมันที่เปลี่ยนเป็นสารเหม็น
01:01:45 → 01:01:45 หื่นแล้ว
01:01:45 → 01:01:48 >> โอเคถ้าเหม็นหื่นแล้วก็ไม่ต้องกินมันก็
01:01:48 → 01:01:49 ได้
01:01:49 → 01:01:52 >> ใช่แต่บางแต่หลายครั้งอ่ะถ้ายอมรับตามตรง
01:01:52 → 01:01:55 เราต้องใช้ถั่วนั้นเลยอ่ะแล้วมันเหม็นหืน
01:01:55 → 01:01:58 แบบนิดเดียวอ่ะเอาไปอบหรือเอาไปคั่วหายนะ
01:01:58 → 01:01:59 >> อ๋อ
01:01:59 → 01:02:00 >> กลิ่นเหม็นหัวเพราะกลิ่นเหม็นหืนส่วนใหญ่
01:02:00 → 01:02:02 แล้วเหยได้ดีในความร้อน
01:02:02 → 01:02:03 >> มันก็คือไขมัน
01:02:03 → 01:02:05 >> ใช่มันคือมันคือไขมันที่เปลี่ยนฟอร์มไป
01:02:05 → 01:02:05 แล้ว
01:02:05 → 01:02:06 >> เสียดายไปแล้ว
01:02:06 → 01:02:09 >> แต่ต้องระวังว่าต้องแค่เหม็นหื่นนะ
01:02:09 → 01:02:10 >> อื
01:02:10 → 01:02:13 >> ถ้าส่วนใหญ่กากถั่วที่เหม็นหืนคือถั่ว
01:02:13 → 01:02:16 เก่าแล้วถั่วเก่าอ่ะalฟ่าท็อกซินมันก็ตาม
01:02:16 → 01:02:16 มาด้วยไง
01:02:16 → 01:02:17 >> นั่นดิ
01:02:17 → 01:02:20 >> มันก็มาเป็นแพ็คคือทางที่ดีอ่ะทิ้งเหอะ
01:02:20 → 01:02:20 >> เออๆ
01:02:20 → 01:02:21 >> อทิ้งเหอะ
01:02:21 → 01:02:25 >> โอเคแต่ถ้าเกิดเรามั่นใจว่าเราคั่วเอง
01:02:25 → 01:02:26 แล้วทิ้งไว้วันเดียวมีกลิ่นหินนิดเดียว
01:02:27 → 01:02:28 อะไรอย่างเงี้ยโอกาสที่แบบ
01:02:28 → 01:02:28 >> อื
01:02:28 → 01:02:30 >> ปลอดภัยมันก็จะมีมากกว่าแต่ก็ทิ้งดีกว่า
01:02:31 → 01:02:32 ทิ้งทิ้งดีกว่าทิ้งดีกว่าเพื่อ
01:02:32 → 01:02:32 >> ความปลอดภัยนะครับ
01:02:32 → 01:02:34 >> หลายคนเก็บถั่วที่ส่งแช่แข็ง
01:02:34 → 01:02:35 เออ
01:02:35 → 01:02:38 >> แต่หลายคนเข้าใจผิดเก็บแช่แข็งเชื้อไม่มี
01:02:38 → 01:02:40 วันโต 100% รามไม่มาแน่นอน
01:02:41 → 01:02:43 >> แต่แช่แข็งหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าจะหยุด
01:02:43 → 01:02:44 ได้ทุกปฏิกิริยา
01:02:44 → 01:02:45 >> อือ
01:02:45 → 01:02:47 >> ยกเว้นปฏิกิริยาเดียวที่หยุดไม่ได้คือ
01:02:47 → 01:02:48 ปฏิกิริยาการเหม็นหืน
01:02:49 → 01:02:49 >> อ
01:02:49 → 01:02:50 >> แช่แข็งจะหืน
01:02:50 → 01:02:51 >> อ๋อ
01:02:51 → 01:02:53 >> หืนจะไม่หยุดจะหยุดไม่ได้จะมาเรื่อยๆ
01:02:53 → 01:02:53 >> อือ
01:02:54 → 01:02:56 >> หมู 3 ชั้นเก็บแช่แข็งสมมุติเก็บเป็นปี
01:02:56 → 01:02:57 ไม่เสียนะ
01:02:57 → 01:02:59 >> แต่กลิ่นเพี้ยนแล้วครับกลิ่นหืนหมดแล้วอ
01:02:59 → 01:03:00 >> เออ
01:03:00 → 01:03:02 >> เพราะเป็นปฏิยาเดียวในโลกที่เกิดได้ตอน
01:03:02 → 01:03:03 แช่แข็ง
01:03:03 → 01:03:03 >> โอ
01:03:03 → 01:03:04 >> อืออื
01:03:04 → 01:03:06 >> ความรู้ใหม่ตู้เย็นไม่ได้ช่วยตลอดเวลา
01:03:06 → 01:03:08 >> ไม่ๆ
01:03:09 → 01:03:11 >> โอเคเอ้อพูดถึงเรื่องออกซิไดต่อเลยครับ Y
01:03:11 → 01:03:15 ที่ออกซิไดแล้วอันตรายมั้ยเอาไปทำอาหาร
01:03:15 → 01:03:16 >> ดื่มได้
01:03:16 → 01:03:17 >> อือ
01:03:17 → 01:03:19 >> ถ้าไม่คเซิร์นเรื่องรสชาติไอออกซิไดกับ
01:03:19 → 01:03:22 ถั่วออกซิไดต่างกันถั่วออกซิไซสารมันเป็น
01:03:22 → 01:03:26 มาโนมาโลนดีไฮด์อะไรพวกเนี่ยมันจะเป็นอ่า
01:03:26 → 01:03:27 อนุมูลอิสระ
01:03:27 → 01:03:27 >> อ
01:03:28 → 01:03:30 >> แต่โักจากไที่ออกซิไซไม่ได้อันตรายครับ
01:03:31 → 01:03:32 >> เป็นสารที่ยังกินได้อยู่แค่กลิ่นมัน
01:03:32 → 01:03:33 เพี้ยน
01:03:33 → 01:03:33 >> อืออ
01:03:33 → 01:03:36 >> ถ้าไม่อยากดื่มก็เอาไปคุกิได้ไม่มีปัญหา
01:03:36 → 01:03:38 ไปทำขนมเอาไปอะไรก็ได้ครับอครับ
01:03:38 → 01:03:40 >> อื
01:03:40 → 01:03:42 >> ไวออกซิไซ
01:03:42 → 01:03:43 เปิดไวกินไม่จบ
01:03:44 → 01:03:48 >> กลิ่นกลิ่นมันไม่เชิงกลิ่นหืนนะแต่มัน
01:03:48 → 01:03:50 กลิ่นfrรุตตี้กลิ่น floral กลิ่นสปiceมัน
01:03:50 → 01:03:51 มันหายละ
01:03:51 → 01:03:51 >> อื
01:03:51 → 01:03:52 >> ครับ
01:03:52 → 01:03:52 >> อือ
01:03:52 → 01:03:54 >> โอเค
01:03:54 → 01:03:56 นมที่ดูแล้วเป็นปกติแต่เลย One Best
01:03:56 → 01:03:58 before มาแล้วยังดื่มได้มย
01:03:58 → 01:04:00 >> นมนม UHT
01:04:00 → 01:04:01 >> ครับ
01:04:01 → 01:04:03 >> มันจะเป็น Best before เพราะว่ามันไม่
01:04:03 → 01:04:05 มันแทบไม่มีวันเสียเชิงเชื้อยกเว้นว่า
01:04:05 → 01:04:06 กล่องมันบุก
01:04:06 → 01:04:07 >> เออ
01:04:07 → 01:04:10 >> สมมุติฟมันคือ 1 ปีหลังวันผลิตอ่ะครับ
01:04:10 → 01:04:10 >> ครับ
01:04:10 → 01:04:13 >> พูดตามตรงนะเก็บไว้ 2 ปีกินก็ไม่ท้องเสีย
01:04:13 → 01:04:13 >> อื
01:04:13 → 01:04:15 >> แต่กลิ่นเพี้ยนหมดแล้ว
01:04:15 → 01:04:15 >> อื
01:04:15 → 01:04:18 >> เพราะมันเสียเชิงเคมีสีเปลี่ยนกลิ่นเหม็น
01:04:18 → 01:04:19 หืนกลิ่นอะไร
01:04:19 → 01:04:20 >> อ
01:04:20 → 01:04:22 >> เพราะฉะนั้นมันเสียเชิงเคมีกายภาพมันเลย
01:04:22 → 01:04:23 ใช้คำว่า best before
01:04:23 → 01:04:24 >> อือ
01:04:25 → 01:04:28 >> นมกระป๋องถ้ามันเลยมาซักแบบวัน 2 วันหรือ
01:04:28 → 01:04:29 อาทิตย์ 2 อาทิตย์ Best before นะครับ
01:04:29 → 01:04:30 >> ครับ Best before
01:04:30 → 01:04:33 >> ยังๆยังยังดื่มได้ไม่ได้มีปัญหาอืแต่ต้อง
01:04:33 → 01:04:35 แยกว่ามันมี Best before กับ expireate
01:04:35 → 01:04:36 จริงๆนะ
01:04:36 → 01:04:38 >> ใช่ถ้า expireate เลยแล้วไม่ควร
01:04:38 → 01:04:39 >> เออ
01:04:39 → 01:04:43 >> แล้วบอกเฮ้ยดื่มนมเกิน expiry date กิน
01:04:43 → 01:04:46 เข้าไปแล้วไม่เปรี้ยวแต่การเสียของนมอ่ะ
01:04:46 → 01:04:47 มันไม่ได้มีแค่เชื้อที่ให้เปรี้ยวบาง
01:04:47 → 01:04:50 เชื้อโตแต่ไม่ให้รสเปรี้ยวมันก็มีเหมือน
01:04:50 → 01:04:50 กัน
01:04:50 → 01:04:51 >> เราก็ไม่รู้ตัว
01:04:51 → 01:04:53 >> เราไม่รู้สมมุติสมมุติมีลิสเตอรียอย่าง
01:04:53 → 01:04:56 เงี้ยลิซอรียmonโนซogenสไม่ได้ให้เปรี้ยว
01:04:56 → 01:04:58 >> แต่ถ้ามันโตแล้วแล้วเราดื่มเข้าไปเอ้ยไม่
01:04:58 → 01:05:00 เปรี้ยวนี่อีก 6 ชมง
01:05:00 → 01:05:03 >> อือถ่ายท้องก็มีเหมือนกัน
01:05:03 → 01:05:07 >> อ่ะถามต่อว่านมเปรี้ยวนมบูดกับโยเกิร์ต
01:05:07 → 01:05:08 มันต่างกันตรงตรงไหนครับ
01:05:08 → 01:05:09 >> คนละเชื้อเลยครับนม
01:05:09 → 01:05:10 >> อ
01:05:10 → 01:05:13 >> นมเปรี้ยว UHT ที่ไม่ได้บูดนะโยเกิร์ตมัน
01:05:13 → 01:05:17 มาจากเชื้อ 2 ตัวแคโตบาซิัสกับสตปโตคอกคั
01:05:17 → 01:05:18 เทอรโมฟิัส 2 ตัวนี้
01:05:18 → 01:05:19 >> อือฮึ
01:05:19 → 01:05:21 >> 2 ตัวนี้เป็นเชื้อปลอดภัย
01:05:21 → 01:05:22 >> อือคือการตั้งใจให้เป็น
01:05:22 → 01:05:25 >> ใช่ตั้งใจให้เป็นแต่ถ้านมที่ไม่ได้ใส่ 2
01:05:25 → 01:05:27 ตัวนี้แล้วมันเปรี้ยวเองอาจจะเป็น
01:05:27 → 01:05:30 แลคโตบาซิลัสตัวอื่นหรืออีคลอไรด์ตัวอื่น
01:05:30 → 01:05:32 ที่สร้างกรดแล้วทำให้เราท้องเสียได้
01:05:32 → 01:05:34 >> อืเพราะฉะนั้นอย่าคิดว่า
01:05:34 → 01:05:36 >> ถ้าทิ้งนมไว้แล้วเปรี้ยวก็จะเป็นนม
01:05:36 → 01:05:37 เปรี้ยวโยเกิร์ตไม่ใช่
01:05:37 → 01:05:40 >> ไม่ใช่ไม่ใช่ยกเว้นแล้วจะทำโยเกิร์ตจากนม
01:05:40 → 01:05:42 ใหญ่แล้วก็ตักโยเกิร์ตมา 1 ช้อนใส่ลงใน
01:05:42 → 01:05:44 ขวดนี้บ่มทิ้งไว้แล้วเปรี้ยว
01:05:44 → 01:05:47 >> อันนี้เราตั้งใจเพราะเราบังคับให้เชื้อ 2
01:05:47 → 01:05:49 ตัวที่ปลอดภัยลงไปเพราะฉะนั้นเชื้อที่ไม่
01:05:49 → 01:05:50 ปลอดภัยก็โตไม่ได้อ
01:05:50 → 01:05:50 >> ครับ
01:05:50 → 01:05:52 >> ก็ปลอดภัยก็กลายเป็นโยเกิร์ตใหม่อือ
01:05:53 → 01:05:53 >> อ
01:05:53 → 01:05:54 >> แต่ถ้าทิ้งไว้อย่างเงี้ยไม่ได้ใส่อะไรลง
01:05:55 → 01:05:56 ไปอ่ะ
01:05:56 → 01:05:56 >> เออ
01:05:56 → 01:05:56 >> ก็ไม่ควร
01:05:57 → 01:05:59 >> เมื่อกี้เชฟก็เลยให้คอร์สทำโยเกิร์ต 30
01:05:59 → 01:06:03 วินาทีมาแล้วหมายทำได้ใช่คือเทนมออกนิด
01:06:03 → 01:06:04 นึงก่อน
01:06:04 → 01:06:06 >> จะได้มีแล้วก็ใส่เนี่ยแกลอนนึงก็ใส่
01:06:06 → 01:06:08 โยเกิร์ตลงไป 2 ช้อนโต๊ะ
01:06:08 → 01:06:10 >> โยเกิร์ตอะไรก็ได้เหรอครับ
01:06:10 → 01:06:12 >> ความจริงมันควรเลือกโยเกิร์ตที่เชื้อยัง
01:06:12 → 01:06:15 มีชีวิตบางทีโยเกิร์ตมันไม่มี
01:06:15 → 01:06:17 >> เชื้อมันตายแล้วใส่ลงไปก็ไม่มีประโยชน์
01:06:17 → 01:06:17 >> อือ
01:06:17 → 01:06:19 >> แล้วก็ไว้อุณหภูมิห้อง
01:06:19 → 01:06:19 >> อือ
01:06:19 → 01:06:22 >> พันผ้าอุ่นๆไว้ก็คืนนึงก็ได้โยเกิร์ต
01:06:22 → 01:06:24 >> อแต่ถ้าเกิดเป็นนมพวกอย่างเงี้ยนมแบบพอไร
01:06:24 → 01:06:27 เนี่ยใส่โยเชื้อโยเกิร์ตเข้าไปก็ไม่เป็น
01:06:27 → 01:06:28 ไรไม่เป็นแล้วใช่มั้
01:06:28 → 01:06:30 >> เกิดโยเกิร์ตได้แต่เนื้อจะไม่ดีเพราะว่า
01:06:30 → 01:06:33 โครงสร้างโปรตีนมันเสียสภาพมากกว่า
01:06:33 → 01:06:35 พจอร์ไลแต่ถามว่าทำได้มั้ทำได้เหมือนกัน
01:06:35 → 01:06:37 แต่เนื้อมันจะไม่เท่าที่เคยทำมันจะไม่มัน
01:06:37 → 01:06:38 จะไม่ข้นมันจะไม่เนียนมาก
01:06:38 → 01:06:39 >> อืออือ
01:06:39 → 01:06:40 >> โอเค
01:06:40 → 01:06:40 >> อ
01:06:40 → 01:06:44 >> อ่ะต่อครับให้โยเกิร์ตพอดีเลย
01:06:44 → 01:06:44 >> อ้าว
01:06:44 → 01:06:45 >> โยเกิร์ต
01:06:45 → 01:06:47 >> นี่นี่ผมไม่ได้ตั้งใจนะโยเกิร์ตหรืออาหาร
01:06:47 → 01:06:50 ที่มีรสเปรี้ยวถ้าหมดอายุควรทิ้งได้มั้ย
01:06:50 → 01:06:51 >> ควร
01:06:51 → 01:06:53 >> โยเกิร์ตมันจะเปรี้ยวได้มากกว่านั้นอีก
01:06:53 → 01:06:54 เหรอครับ
01:06:54 → 01:06:59 >> ที่มันหมดอายุอ่ะคือเชื้อมันในตู้เย็นน่ะ
01:06:59 → 01:07:00 แม้ว่าจะเป็นเชื้อ 2 ตัวนั้นใช่มั้ย
01:07:00 → 01:07:03 แobบซิัสกับสปคอกคัเทอรโมฟิัสอ่ะ
01:07:03 → 01:07:05 >> มันจะยังทำงานอยู่แต่ทำงานช้าๆ
01:07:05 → 01:07:05 >> อือ
01:07:06 → 01:07:08 >> บางทีเพื่อนที่ผมอยู่ในเพื่อนผมที่อยู่ใน
01:07:08 → 01:07:10 โรงงานนมเอ้ยโยเกิร์ตอ่ะเขาบอกว่า expiry
01:07:10 → 01:07:13 day คือเชื้อมันโตเยอะเกินไปจนมัน
01:07:14 → 01:07:17 เปรี้ยวมากเกินไปคือพีมันลงเยอะเกินไป
01:07:17 → 01:07:17 >> ครับ
01:07:17 → 01:07:19 >> ก็ไม่ควรกินคือรสมันจะเพี้ยนไปจากเดิม
01:07:19 → 01:07:20 >> แค่เรื่องรสป่ะ
01:07:20 → 01:07:21 >> แค่เรื่องรถ
01:07:21 → 01:07:22 >> แต่ไม่อันตรายเลย
01:07:22 → 01:07:23 >> ไม่ได้อันตรายอะไรแต่เชื้อมันบางทีอ่ะ
01:07:24 → 01:07:26 เชื้อเชื้อ 2 ตัวนั้นมันมันโหลดมากกว่า
01:07:26 → 01:07:28 เดิมใช่มั้ยบางทีกินเข้าไปมันไม่ได้ท้อง
01:07:28 → 01:07:30 เสียแบบอาหารเป็นผิดอ่ะแต่อู้ถ่ายท้อง
01:07:30 → 01:07:32 เพราะว่าความเป็นกรดมันมันเยอะไปเฉยๆ
01:07:32 → 01:07:33 >> อือๆ
01:07:33 → 01:07:34 >> พูดตามตรงโยเกิร์ต
01:07:34 → 01:07:37 >> หรือว่านมเปรี้ยวที่มันเลยวันหมดอายุมา
01:07:37 → 01:07:40 1-2 วันผมก็กินบ่อยนะ
01:07:40 → 01:07:42 >> ก็ไม่ได้ไม่ได้มีปัญหาอะไรอย่างที่บอก
01:07:42 → 01:07:45 expดเขาจะตั้งมาเผื่อ
01:07:45 → 01:07:46 >> เผื่อไว้นิดนึง
01:07:46 → 01:07:46 >> ครับ
01:07:46 → 01:07:49 >> แต่ทางที่ดีอ่ะถ้าเราถ้าเราไม่ได้มีความ
01:07:49 → 01:07:50 รู้อะไรเลยนะ
01:07:50 → 01:07:50 >> เออ
01:07:50 → 01:07:53 >> อะไรที่เกิน expirate มาแล้วไม่ควรกินก็
01:07:53 → 01:07:56 >> แต่บางบังเอิญผมอ่ะรู้ว่าเออบางบางตัวมัน
01:07:56 → 01:07:58 comomise ได้ก็ก็ยังกินได้
01:07:58 → 01:07:58 >> อือ
01:07:59 → 01:07:59 >> อือือ
01:07:59 → 01:08:01 >> เค้าเค้าพูดถึงอาหารที่มีรสเปรี้ยวด้วยผม
01:08:01 → 01:08:06 เลยนึกถึงแหนมแหนมเนี่ยมันกินได้จนแค่ไหน
01:08:06 → 01:08:09 ถึงจะรู้สึกว่าอย่ากินเลย
01:08:09 → 01:08:13 >> แหนมหรอครับโหแหนมมันหลายเคสมากเอ่อหมาย
01:08:13 → 01:08:14 ความว่าไงนะกินได้เยอะ
01:08:14 → 01:08:16 >> หมายถึงว่าแบบอ่ะโยเกิร์ตคือเรื่องนึงแต่
01:08:16 → 01:08:18 ว่าแหนมเนี่ยเราก็ไม่รู้คือแหนมมัน
01:08:18 → 01:08:19 เปรี้ยวอยู่แล้ว
01:08:19 → 01:08:21 >> แล้วเราก็กินแช่ไว้ในตู้เย็น
01:08:21 → 01:08:23 >> แล้วแบบมันก็เปรี้ยวอยู่ดีอ่ะแต่เราไม่
01:08:23 → 01:08:25 รู้ว่าอันไหนคือแหนมเสียมันมีมั้ฮะ
01:08:25 → 01:08:27 >> แหนมส่วนใหญ่ความจริงควรผ่านความร้อน
01:08:28 → 01:08:30 >> อือืแหนมเวลาเค้าเรียกว่าอะไรครับโดย
01:08:31 → 01:08:34 เฉพาะแหนมถ้าแหนมที่ออกสีชมพูมพูนิดนึง
01:08:34 → 01:08:37 อ่ะส่วนใหญ่กินดิบได้แต่เรื่องนี้มันค่อน
01:08:37 → 01:08:38 ข้างลึกเพราะเขาจะใส่ตัวนึงที่เรียกว่า
01:08:38 → 01:08:41 ไนไตรท์ลงไปไนไตรท์มันจะไปกดเชื้อตัวเลว
01:08:41 → 01:08:44 ก็คือไอ้กดคอสตเรียมโทิัไม่ให้มันโต
01:08:44 → 01:08:45 >> อื
01:08:45 → 01:08:49 >> ถ้าไม่ใส่สารตัวนี้มีโอกาสที่เชื้อจะโต
01:08:49 → 01:08:50 ได้เค้าเลยบอกว่าสารเคมีทุกชนิดในโลก
01:08:50 → 01:08:52 เนี้ยไม่ใช่เลวเสมอไป
01:08:52 → 01:08:52 >> อ
01:08:52 → 01:08:56 >> กินสารเคมียังเสี่ยงน้อยกว่ากลิ่นเชื้อ
01:08:56 → 01:08:57 กลิ่นเชื้อเหลว
01:08:57 → 01:08:59 >> เชื้ออันเนี้คือประโยชน์ของ Food
01:08:59 → 01:09:01 Additive ในบางเคสครับ
01:09:01 → 01:09:05 >> เพราะงั้นถ้าแหนมผมเลือกที่จะกินแหนมที่
01:09:05 → 01:09:06 >> ถ้าจะกินดิบนะ
01:09:06 → 01:09:06 >> อือ
01:09:06 → 01:09:09 >> เลือกแหนมที่ใส่ไนไตรท์ปลอดภัยกว่า
01:09:09 → 01:09:12 >> ปลอดภัยกว่าเพราะฉะนไปเจอไอ้เชื้อ
01:09:12 → 01:09:15 คอสซิเดียมแล้วไม่ผ่านความร้อนไอ้สารพิษ
01:09:15 → 01:09:16 นั้นคือสารพิษโบท็อก
01:09:16 → 01:09:17 >> เออ
01:09:17 → 01:09:19 >> โบทูมท็อกซินไง
01:09:19 → 01:09:22 >> โบท็อกทำให้ระบบประสาทน็อคได้แล้วก็มี
01:09:22 → 01:09:24 โอกาสเสียชีวิตได้
01:09:24 → 01:09:24 >> ครับ
01:09:24 → 01:09:26 >> โอเคครับ
01:09:26 → 01:09:28 >> เป็นเรื่องซับซ้อนนะครับ
01:09:28 → 01:09:31 >> ผมเหมือนเรียนเคมีเลยเนี่ย
01:09:31 → 01:09:33 >> ไม่ใช่ไม่ใช่เรียนชีวะเหรอ
01:09:33 → 01:09:36 >> เออมันมีทั้งชีวะและเคมี
01:09:36 → 01:09:39 ถุงซีลสูญยากาศซิปล็ออ่ะเนาะเก็บอาหารได้
01:09:40 → 01:09:43 นานแค่ไหนเอ้อสุนซีลโทษทีครับถุงซีล
01:09:43 → 01:09:47 สูญยากาศเก็บอาหารได้นานแค่ไหนครับ
01:09:47 → 01:09:49 >> อ๋อซิบลองไม่สูญยากาศสิ
01:09:49 → 01:09:50 >> ไม่ๆอันนี้คือ
01:09:50 → 01:09:52 >> อ๋อแบบเอาอากาศออกใช่มั้ยมันจะยืดได้คือ
01:09:52 → 01:09:55 พอดึงอากาศออกหมดออกซิเจนต่ำ
01:09:55 → 01:09:58 >> เชื้อโตยากขึ้นเชื้อเชื้อที่ส่วนใหญ่เป็น
01:09:58 → 01:10:01 เชื้อสปอยเชื้อที่ทำให้เสียโต๊ะยากขึ้น
01:10:01 → 01:10:03 >> ออกซิเจนไม่มีกลิ่นหื่นก็จะน้อยลงมันขึ้น
01:10:03 → 01:10:04 อยู่กับอาหารด้วยครับ
01:10:04 → 01:10:05 >> อือ
01:10:05 → 01:10:07 >> ถ้าเป็นถั่วลิสง์สมมุติว่าไม่ได้ดึงอากาศ
01:10:07 → 01:10:08 ออกอย่างเงี้ย
01:10:08 → 01:10:10 >> อาจจะอยู่แค่อาทิตย์นึงเริ่มผืนแต่ถ้าดึง
01:10:10 → 01:10:12 อากาศออกหมดแล้วเลือกแพคเagingที่ดีที่
01:10:12 → 01:10:14 ออกซิเจนผ่านเข้าไปไม่ได้อาจจะได้ถึง
01:10:14 → 01:10:15 เดือน
01:10:15 → 01:10:15 >> อื
01:10:15 → 01:10:17 >> โดยที่โดยที่ไม่หืน
01:10:17 → 01:10:20 >> เหมือนข้าวที่เชฟบอกแต่เขาก็จะใส่เอ่อบาง
01:10:20 → 01:10:22 ตัวเข้าไปแทนออกซิเจนป่ะฮะ
01:10:22 → 01:10:23 >> ตัวไหนนะฮ
01:10:23 → 01:10:25 >> ไม่รู้มันมีไนโตรเจนอะไรเข้าไปแทน
01:10:25 → 01:10:26 >> อ๋อflัชไนโตรเจนใช่
01:10:26 → 01:10:27 >> ใช่มั้ฮะ
01:10:27 → 01:10:30 >> ถ้าไม่ดึงสูญยากาศแล้วถุงพองก็สามารถ
01:10:30 → 01:10:33 flลัชไนโตรเจนเข้าไปได้เช่นอาหารขบเคี้ยว
01:10:33 → 01:10:34 ขนมขบเคี้ยวเคี้ยว
01:10:34 → 01:10:36 >> ดึงสูญชาไม่ได้ไม่งั้นแหลกหมดใช่มั้ยเก็
01:10:36 → 01:10:39 จะflัชไนโตรเจนเข้าไปแทนเพื่อแทนออกซิเจน
01:10:39 → 01:10:40 >> ออือ
01:10:40 → 01:10:43 >> แต่เข้าใจว่าส่วนใหญ่การดึงอากาศออกทำใน
01:10:43 → 01:10:45 ครัวเรดือนแล้วก็ในร้านอาหาร
01:10:45 → 01:10:46 >> อ
01:10:46 → 01:10:48 >> พอไม่มีร้านไหนคงฟลัชไนโตรเจนเข้าไปน้อย
01:10:48 → 01:10:50 ล้านอืมันมันคือมันต้องซื้อแก๊ส
01:10:50 → 01:10:52 >> คือหลักการคืออย่าให้มีออกซิเจนใน
01:10:52 → 01:10:55 >> ใช่ดึงออกก็ได้หรือแทนที่ด้วยแก๊สอื่นก็
01:10:55 → 01:11:00 ได้ผมว่าใกล้เคียง
01:11:00 → 01:11:02 น้ำปลาซีอิ๊วซอสมะเขือเทศควรเก็บในตู้
01:11:02 → 01:11:05 เย็นหรือข้างนอกถ้าใช้แล้วถ้าเปิดใช้แล้ว
01:11:05 → 01:11:08 เก็บได้นานแค่ไหน
01:11:08 → 01:11:10 >> อู้คำถามนี้ซับซ้อนอีกแล้ว
01:11:10 → 01:11:11 >> เออ
01:11:11 → 01:11:13 >> น้ำปลาอะไรซอสมะเขือเทศ
01:11:13 → 01:11:14 >> อซ้อนมะเขือเทศ
01:11:15 → 01:11:15 >> ซีอิ๊ว
01:11:15 → 01:11:19 >> อ๋อส่วนใหญ่อ่ะเปิดไว้แล้ววางไว้อุณหภูมิ
01:11:19 → 01:11:22 ห้องได้ไม่เสียไม่เสียเชิงเชื้อ
01:11:22 → 01:11:24 >> เพราะ 1 ซ้อนมะเขือเทศมีน้ำส้มสายชูเยอะ
01:11:24 → 01:11:25 มากอืออื
01:11:25 → 01:11:28 >> น้ำส้มใสชูนี่ทำให้ซอสมะเขือเทศไม่เคย
01:11:28 → 01:11:31 เสียเชิงไม่เคยขึ้นลาไม่เคยเห็นใช่มั้
01:11:31 → 01:11:32 ครับน้ำปลาก็ไม่เสียแต่มันจะเสียเชิง
01:11:32 → 01:11:34 อย่างอื่นเช่นสีค้ำขึ้นกลิ่นเพี้ยนอะไร
01:11:34 → 01:11:37 ประมาณเนี้ยสีเสียเชิงเคมีกายภาพ
01:11:37 → 01:11:39 >> มันเลยเขียนว่า best before ไงน้ำปลา
01:11:39 → 01:11:39 >> ออ
01:11:39 → 01:11:41 >> แต่ถามว่าต้องใช้ถ้าแช่เย็นได้ก็จะดี
01:11:41 → 01:11:44 เพื่อคงไม่ให้สีมันเพี้ยนไม่ให้กลิ่นมัน
01:11:44 → 01:11:44 เพี้ยน
01:11:44 → 01:11:45 >> ออือ
01:11:45 → 01:11:45 >> ครับ
01:11:45 → 01:11:48 >> ยกเว้นเครื่องปรุงรสโซเดียม
01:11:48 → 01:11:50 >> ที่เปิดแล้วพอโซเดียมมันต่ำใช่มั้ยไว้
01:11:50 → 01:11:53 อุณหภูมิห้องมีโอกาสเสียได้
01:11:53 → 01:11:55 >> มีโอกาสเป็นฟองได้เครื่องปรุงรสโซเดียม
01:11:56 → 01:11:57 ควรแช่เย็นหลังเปิด
01:11:57 → 01:11:59 >> พวกหมายถึงน้ำปลาด้วยป่ะฮะ
01:11:59 → 01:12:01 >> น้ำปลาลดโซเดียม C ลดโซบางทีมันลดโซเดียม
01:12:01 → 01:12:01 มาจน
01:12:01 → 01:12:03 >> หมอที่ลดหมายถึงจำนวนโซเดียมมันน้อยลง
01:12:03 → 01:12:05 >> ใช่เชื้อก็โตได้ไงเพราะโซเดียมมัน
01:12:05 → 01:12:07 >> เกลือลดลงอะไรแบบเนี้ย
01:12:07 → 01:12:09 >> เชื้อก็จะโตได้ง่ายขึ้น
01:12:09 → 01:12:09 >> อื
01:12:09 → 01:12:12 >> อืก็ควรหลายๆหลายอันครับเครื่องปรุงรส
01:12:12 → 01:12:14 โซเดียมที่เขาพยายามเขียนตรงว่าเปิดฝาด
01:12:14 → 01:12:15 แล้วแช่เย็นหน่อยนะ
01:12:15 → 01:12:19 >> อือแล้วโทษทีแล้วเป็นถ้ามันเป็นแบบเอ่อ
01:12:19 → 01:12:21 น้ำปลาหมักธรรมชาติไม่ได้เป็นแบบ
01:12:21 → 01:12:23 อุตสาหกรรมมา
01:12:23 → 01:12:25 >> อ๋อไว้อุณหภูมภูมิห้องได้ครับแต่อย่างที่
01:12:25 → 01:12:27 ผมบอกมันจะเพี้ยนตรงแค่เรื่องสีแค่นั้น
01:12:27 → 01:12:27 เอง
01:12:27 → 01:12:27 >> เหมือนกัน
01:12:27 → 01:12:28 >> อื
01:12:28 → 01:12:30 >> หมักธรรมชาติส่วนใหญ่เกลือเยอะมาก
01:12:30 → 01:12:31 >> อ่าๆ
01:12:31 → 01:12:32 >> อืเชื้อไม่โตอยู่แล้วครับ
01:12:32 → 01:12:32 >> อือ
01:12:32 → 01:12:34 >> แช่เย็นครบเพราะเหตุผลเดียวอยากให้กลิ่น
01:12:34 → 01:12:36 มันอยู่นานแล้วก็ไม่อยากให้
01:12:37 → 01:12:37 >> สีเพี้ยนแค่นั้นเอง
01:12:37 → 01:12:38 >> ก็คือ best before
01:12:38 → 01:12:39 >> ครับ
01:12:39 → 01:12:44 >> นี่ไง BBF เนี่ยชัดเจนน้ำปลาเป็น B4
01:12:45 → 01:12:46 >> เขียนว่าโปรดเก็บในตู้เย็นด้วยนะครับ
01:12:46 → 01:12:49 ยี่ห้อนี้ผมไม่บอกยี่ห้อแล้วกัน
01:12:49 → 01:12:52 >> เพราะว่าถ้าน้ำปลาหลายยี่ห้อพอมันมีน้ำ
01:12:52 → 01:12:53 ตาลนะครับน้ำตาลน้ำตาล
01:12:53 → 01:12:56 อุณหภูมิห้องอ่ะน้ำตาลมันทำปยากับโปรตีน
01:12:56 → 01:12:57 >> อือ
01:12:57 → 01:12:58 >> แล้วเ้าเรียกปฏิยาเมลา
01:12:58 → 01:13:02 >> สีจะเข้มขึ้นอืสีมันจะค้ำๆค้ำขึ้นพอเอามา
01:13:02 → 01:13:04 ปรุงอาหารบางทีอาหารดำขึ้น
01:13:04 → 01:13:06 >> ไม่ต้องใส่สีดำเลยอ
01:13:06 → 01:13:07 >> สิวเป็นบ่อยอื
01:13:07 → 01:13:08 >> ครับ
01:13:08 → 01:13:10 >> สารกันบูด
01:13:10 → 01:13:12 มันอันตรายยังไงครับ
01:13:12 → 01:13:16 >> อ่าส่วนใหญ่นะเบนโซเอateซอเbตถ้ากินอ
01:13:16 → 01:13:19 >> เกินที่กฎหมายกำหนดแล้วกินระยะเวลานานไป
01:13:19 → 01:13:22 ตับตับจะโหลดเพราะมันไปกำจัดที่ตับ
01:13:22 → 01:13:23 >> อ๋อก็คือกินเกิน
01:13:23 → 01:13:24 >> กินเกิน
01:13:24 → 01:13:26 >> เพราะมันมีมันมีปริมาณที่เหมาะสมอยู่
01:13:26 → 01:13:29 >> มีๆๆมีกำหนดอาหารส่วนใหญ่นะผมจำไม่ได้น่า
01:13:29 → 01:13:33 จะไม่เกิน 1,000 มลกรัมต่ออาหาร 1 กก.ตาม
01:13:33 → 01:13:36 กฎหมายอาหารส่วนใหญ่ก็คือ 1,000 ppm อ
01:13:36 → 01:13:37 >> อือ
01:13:37 → 01:13:39 >> คืออาหาร 1 กไม่ควรห้ามใส่เกิน 1 กรัมพูด
01:13:40 → 01:13:42 ง่ายๆอาหาร 1 ก.ไม่ควรใส่สังการเสียเกิน 1
01:13:42 → 01:13:42 กรัม
01:13:42 → 01:13:43 >> ครับ
01:13:43 → 01:13:45 >> แต่ส่วนใหญ่ที่ตรวจเกิน
01:13:45 → 01:13:46 >> อื
01:13:46 → 01:13:49 >> เพราะตั้งทดลองถ้าใส่น้อยกว่า 1 กรัมไม่
01:13:49 → 01:13:50 ช่วยช่วยได้นิดเดียว
01:13:50 → 01:13:53 >> อืสั่งให้บุดมันคืออะไรครับ
01:13:53 → 01:13:55 >> สารเคมีสารสังเคราะห์เลยครับสังเคราะห์
01:13:55 → 01:13:59 ขึ้นมาแบบเพื่อทำให้อาหารเพื่อทำให้เชื้อ
01:13:59 → 01:14:02 >> โตยากขึ้นสารการบูดมันจะเข้าไปในเซลล์
01:14:02 → 01:14:03 เชื้อแล้วเชื้อก็จะตาย
01:14:03 → 01:14:04 >> อ๋อ
01:14:04 → 01:14:05 >> แต่ต้องเข้มข้นมากพอ
01:14:05 → 01:14:06 >> โอ
01:14:06 → 01:14:08 >> หลายเคสเวลาเค้าไปสุ่มตรวจเส้นก๋วยเตี๋ยว
01:14:08 → 01:14:10 ตามท้องตลาดเลยเจอเกิน
01:14:10 → 01:14:13 >> อืตามกฎหมายกำหนดไม่ใช่แค่ 2 เท่านะเกิน 4
01:14:13 → 01:14:14 5 6 เท่า
01:14:15 → 01:14:16 >> ก็คือกินเข้าไปก็เกินที่
01:14:16 → 01:14:17 >> ใช่
01:14:17 → 01:14:19 >> กำหนดแล้วแหละ
01:14:19 → 01:14:20 >> แต่นานๆทีได้
01:14:20 → 01:14:23 >> นานากินได้ที่มีปัญหาคือกินทุกวัน
01:14:23 → 01:14:25 >> อ่ะโอเคกลับมาที่เรื่องเดิมก็คือกินให้พอ
01:14:25 → 01:14:26 ดีหมุนเวียนกินหมุนเวียน
01:14:26 → 01:14:30 >> กินหมุนเวียนแล้วก็กินให้พอดี
01:14:30 → 01:14:33 >> ผลิตภัณฑ์อย่างอาหารหรือภาชนะบรรจุต้อง
01:14:33 → 01:14:36 ผ่านหน่วยงานอะไรบ้างถึงจะมั่นใจว่าปลอด
01:14:36 → 01:14:36 ภัยครับ
01:14:36 → 01:14:36 >> อย.
01:14:37 → 01:14:39 >> แต่ถ้าเป็นของน้ำเข้าผ่านศูนย์ด้วยและอย.
01:14:39 → 01:14:40 ด้วยอครับ
01:14:40 → 01:14:42 >> ต้องผ่านออเพราะอยเค้าดูทั้งอาหารที่อยู่
01:14:42 → 01:14:44 ในนั้นแล้วก็ดูว่าบรรจุพันธุ์มันปลอดภัย
01:14:44 → 01:14:46 เหมาะสมหรือเปล่าอ
01:14:46 → 01:14:48 >> อืแต่เกณฑ์ผมไม่รู้นะเพราะมันบางทีเ้า
01:14:48 → 01:14:51 ต้องไปตรวจเค้าเรียกว่าการไมเกรชัของ
01:14:51 → 01:14:54 พลาสติกอ่ะเพราะบางทีพลาสติกใส่เนยถั่ว
01:14:54 → 01:14:56 หรือมีไขมันแบบเนี้ย
01:14:56 → 01:14:58 >> บางทีเก็บไว้นานๆหรือความร้อนพลาสติกบาง
01:14:58 → 01:14:59 ส่วนก็มีสิทธิ์
01:14:59 → 01:15:00 >> ออกมา
01:15:00 → 01:15:02 >> อ๋อแล้วก็เค้าก็เช็ค
01:15:02 → 01:15:05 >> คือผ่านอยมาเนี่ยรับรองว่ามันน่าจะปลอด
01:15:05 → 01:15:06 ภัยได้ประมาณนึงแล้ว
01:15:06 → 01:15:08 >> เกินโหยเกิน 80-90%
01:15:08 → 01:15:09 >> เพราะเก็สิอยู่
01:15:09 → 01:15:09 >> ครับ
01:15:10 → 01:15:12 >> แต่บางบางทีมันก็มีหลุดบ้าง
01:15:12 → 01:15:13 >> เพราะผลิตภัณฑ์มันเยอะมากแล้วอย.มีอยู่
01:15:13 → 01:15:14 ไม่กี่คน
01:15:14 → 01:15:17 >> ก็ต้องคอยซูมตรวจกันทีนี้ผู้ประกอบการก็
01:15:17 → 01:15:18 ต้องอ
01:15:18 → 01:15:20 >> มีความซื้อสัตว์กับผู้บริโภคอ่ะว่าแบบไม่
01:15:20 → 01:15:22 ได้ใส่สารอะไรแปลกปลอมอ่ะอ
01:15:22 → 01:15:23 >> อื
01:15:23 → 01:15:25 >> ครับ
01:15:25 → 01:15:28 >> อันต่อไปครับเอ่อออร์แกนิคอาหารออร์แกนิค
01:15:28 → 01:15:31 ที่ปลอดสารเคมีกินเลยทันทีได้มั้ยครับ
01:15:31 → 01:15:34 >> ไม่ได้ต้องดูนิยามออร์แกนิคออร์แกนิคคือ
01:15:34 → 01:15:36 ไม่ใช้สารเคมีตลอดห่วงโซ่อาหาร
01:15:36 → 01:15:37 >> อือ
01:15:37 → 01:15:39 >> แต่สมมุติเลอะดินอ
01:15:39 → 01:15:41 >> ที่เขาใช้ปลูกมันไม่มีสารเคมีนะแต่อย่า
01:15:41 → 01:15:44 ลืมว่าในดินมีเชื้อมีสปอ
01:15:44 → 01:15:45 >> ออ
01:15:45 → 01:15:46 >> ก็ต้องล้าง
01:15:46 → 01:15:49 >> ครับล้างเพื่อลดจำนวนเชื้อไม่ให้มันโหลด
01:15:49 → 01:15:50 มากเกินไป
01:15:50 → 01:15:50 >> อือ
01:15:50 → 01:15:53 >> หรือระหว่างที่เค้าขนส่งมีฝุ่นมาเกาะล้าง
01:15:53 → 01:15:54 ก็ยังดีกว่า
01:15:54 → 01:15:55 >> อ่า
01:15:55 → 01:15:56 >> นิยามออร์แกนิคมันอยู่แค่นี้เอง
01:15:56 → 01:15:58 >> โอเคไม่ใช่แบบออร์แกนิคปลอดภัยทุกอย่างนะ
01:15:58 → 01:16:00 แบบไปเอามาจากเชลกัดเลยนี่แบบ
01:16:00 → 01:16:03 >> ปลอดภัยจากสารเคมีเชิงเชิงสารเคมีเชิง
01:16:03 → 01:16:04 เคมี
01:16:04 → 01:16:04 >> อครับ
01:16:04 → 01:16:05 >> แต่ไม่ได้ปอดเชื้อ
01:16:05 → 01:16:08 >> เออมีเชื้อจากดินใช่เพราะนึกไม่คนไม่ค่อย
01:16:08 → 01:16:10 นึกถึงเรื่องดินเรื่องอะไร
01:16:10 → 01:16:10 >> ครับ
01:16:10 → 01:16:13 >> เพราะเข้าใจว่าออร์แกนิคปุ๊บฉันสบายมาก
01:16:13 → 01:16:15 >> ออย่าไปจำสลับกับไฮโดรโปนิคนะครับ
01:16:15 → 01:16:17 >> ไฮโดรโปนิคอื
01:16:17 → 01:16:19 >> อันนั้นก็ใช้สารเคมีในการปลูก
01:16:19 → 01:16:19 >> อ่า
01:16:19 → 01:16:23 >> บางคนบอกหลายคนน่ะเชฟหลายคนไปใช้ผัก
01:16:23 → 01:16:24 ไฮโดรโปนิค
01:16:24 → 01:16:27 >> แล้วเคลมว่าเป็นออร์แกนิคผิดกฎหมายนะครับ
01:16:27 → 01:16:28 ไม่ได้
01:16:28 → 01:16:30 >> ใช่แล้วจะเคลมอะไรออร์แกนิคมันต้องมี
01:16:30 → 01:16:31 ใบเซอร์
01:16:31 → 01:16:32 >> จากเกษตรอินทรีย์
01:16:32 → 01:16:34 >> จากจากของทางรัฐ
01:16:34 → 01:16:34 >> อื
01:16:34 → 01:16:36 >> เพราะเต้องมาตรวจตั้งแต่ต้นถึงปลายน้ำ
01:16:36 → 01:16:37 >> อือๆ
01:16:37 → 01:16:38 >> เคลมเองไม่ได้ครับ
01:16:38 → 01:16:41 >> อือโอเคฮะเมื่อกี้ผมพูดเรื่องถุงซิล็อกไป
01:16:41 → 01:16:44 ผิดอันนี้คือถุงซิปล็อจริงๆละถุงซิปล็อ
01:16:44 → 01:16:46 ล้างแล้วใช้ซ้ำได้มั้ครับ
01:16:46 → 01:16:48 >> เอ่อขึ้นอยู่กับอาหารครับถ้าเป็นอาหาร
01:16:48 → 01:16:51 แห้งๆหรืออาหารที่ไม่มีไขมันใช้แล้วใช้
01:16:51 → 01:16:53 แล้วทำแล้วใช้แล้วล้างแล้วซ้ำได้แต่ต้อง
01:16:53 → 01:16:56 เช็ดให้แห้งก่อนเพราะว่าการที่
01:16:56 → 01:16:58 >> จะใช้ซ้ำได้หรือใช้ซ้ำไม่ได้มันขึ้นอยู่
01:16:58 → 01:17:01 กับว่าบรรจุอาหารอะไรแล้วสิ่งที่เขา
01:17:01 → 01:17:04 concern คือพลาสติกส่วนใหญ่มันคือ LDPE
01:17:04 → 01:17:07 นะ Low Density Low Density Poly
01:17:07 → 01:17:08 Eทine
01:17:08 → 01:17:08 >> อือ
01:17:08 → 01:17:11 >> มันจะถ้าเจอความร้อนกับเจอไขมันพลาสติก
01:17:11 → 01:17:12 มันจะแพร่ออกมาอยู่ที่อาหารเป็น
01:17:12 → 01:17:13 ไมโครพลาสติก
01:17:13 → 01:17:15 >> แล้วก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายได้
01:17:15 → 01:17:18 >> ถ้าใส่แกงร้อนๆอย่างเงี้ยแพร่ออกมาแน่นอน
01:17:18 → 01:17:19 แล้วควรใช้ครั้งเดียวทิ้ง
01:17:19 → 01:17:20 >> เนื้อสัตว์
01:17:20 → 01:17:22 >> ก็ครั้งเดียวทิ้ง
01:17:22 → 01:17:24 >> แต่ถั่วแห้งผักสลัดอย่างเงี้ยครับ
01:17:24 → 01:17:26 >> ได้ถึง 3-4 ครั้งไม่มีปัญหา
01:17:26 → 01:17:27 >> ครับ
01:17:27 → 01:17:28 >> แต่ต้องล้างแล้วก็ทำให้แห้ง
01:17:28 → 01:17:29 >> ล้างแล้วทำให้แห้ง
01:17:29 → 01:17:30 >> อื
01:17:30 → 01:17:32 >> ก็ระวังถุงซิปล็อคกันครับหมายถึงว่าต้อง
01:17:33 → 01:17:33 เช็คให้ดี
01:17:33 → 01:17:35 >> อจะใช้ใหม่ทุกครั้งมันก็ไม่ตรงกับความ
01:17:35 → 01:17:37 เป็นจริงตรงที่ว่ามันก็เปลือง
01:17:37 → 01:17:37 >> เปลือง
01:17:37 → 01:17:39 >> ครับอาหารแห้งๆใช้ซ้ำได้
01:17:39 → 01:17:39 >> อื
01:17:39 → 01:17:40 >> ครับ
01:17:40 → 01:17:42 >> เนื้อที่แช่แค่ช่องฟิกเก็บได้นานแค่ไหน
01:17:42 → 01:17:44 ครับแล้วจริงมั้ที่มันเก็บไว้ได้ตลอดไป
01:17:44 → 01:17:44 อันนี้
01:17:44 → 01:17:46 >> ใช่เก็บไว้ได้เก็บไว้ได้เก็บไว้เป็น 10
01:17:46 → 01:17:47 ปีก็ได้ไม่มีปัญหา
01:17:47 → 01:17:48 >> จริงป่ะเนี่ย
01:17:48 → 01:17:51 >> เชื้อไม่โตแต่กินได้หรือเปล่าเพราะมันหืน
01:17:51 → 01:17:55 >> อ๋อคือผมก็แบบเป็นคนเป็นคนแบบ
01:17:55 → 01:17:56 >> เรียกว่าหงุดหงิดกับ
01:17:56 → 01:17:57 >> ครับ
01:17:57 → 01:17:59 >> ของในช่องฟิตตัวเองเหมือนกันคือมันแบบ
01:17:59 → 01:18:01 โอโหตั้งแต่เมื่อไหร่เราก็ไม่รู้เนี่ยไม่
01:18:01 → 01:18:01 กล้ากินหรอก
01:18:01 → 01:18:04 >> เชื้อๆมันปลอดภัยเชิงเชื้อเชื้อโตไม่ได้
01:18:04 → 01:18:05 ครับ
01:18:05 → 01:18:05 >> ออ
01:18:05 → 01:18:08 >> แต่ว่ามันจะรับกับเนื้อสัมผัสได้หรือ
01:18:08 → 01:18:10 เปล่าเพราะยิ่งเก็บไว้นานๆเปิดปิดเปิดปิด
01:18:10 → 01:18:12 อุณหภูมิขึ้นลงใช่มั้ครับ
01:18:12 → 01:18:15 >> อ่าผลึกน้ำแข็งมันจะยิ่งแทงๆตัวมัดกล้าม
01:18:15 → 01:18:15 เนื้อสัตว์
01:18:15 → 01:18:18 >> เอามากินอีกทีมันอาจจะแห้งไม่มีความจูซี่
01:18:18 → 01:18:19 >> หรือตะกี้ที่ผมบอกปฏิกิริยาเดียวที่
01:18:19 → 01:18:22 สามารถเกิดในตู้แช่แข็งได้คือปฏิกิริยา
01:18:22 → 01:18:23 การเหม็นหืน
01:18:23 → 01:18:27 >> ลิปออกซิเดชมันอาจจะเหม็นหืนไขมันหมู 3
01:18:27 → 01:18:29 ชั้นอาจจะหืนไปแล้วไม่หอมหมูแล้วก็ได้
01:18:29 → 01:18:29 >> อ
01:18:29 → 01:18:32 >> ถามว่ากินได้มั้ปลอดภัยเชิงเชื้อ
01:18:32 → 01:18:36 แต่ลักษณะมันไม่พึงประสงค์ที่จะกิน
01:18:36 → 01:18:40 >> โอแล้วแล้วพวกเอ่อแกงที่กินเหลือแล้วผม
01:18:40 → 01:18:42 ยัดใส่ซองฟิตเลยครับ
01:18:42 → 01:18:42 >> ก็ได้ก็ได้
01:18:42 → 01:18:44 >> ก็ยังก็ยังเก็บมากินได้อยู่พนี้มัน
01:18:44 → 01:18:46 >> มันมันปลอดภัยเชิงเชิงเชื้ออยู่แล้วแหละ
01:18:47 → 01:18:49 แต่วิตามินแร่ธาตุสารอาหารที่มีประโยชน์
01:18:49 → 01:18:52 บางตัวที่มันอยู่ได้นานๆไม่ได้มันก็อาจจะ
01:18:52 → 01:18:53 ลด
01:18:53 → 01:18:55 >> วิตามินซีไม่เสถียรก็อาจจะลดๆแต่โปรตีน
01:18:55 → 01:18:56 มันยังอยู่อย่างนั้นน่ะ
01:18:56 → 01:18:57 >> อือ
01:18:57 → 01:18:59 >> โปรตีนมันยังอยู่แต่เนื้ออาจจะยุ่ยเละ
01:18:59 → 01:19:00 แห้งไปแล้วก็ได้โอเค
01:19:00 → 01:19:03 >> ถ้าเป็นแกงกะทิอาจจะเหม็นหืน
01:19:03 → 01:19:04 >> ไม่หอมพริกแกงแล้วก็ได้
01:19:04 → 01:19:05 >> อือ
01:19:05 → 01:19:05 >> ครับ
01:19:05 → 01:19:09 >> คือถ้าเราไม่อยู่ในภาวะสงครามจริงๆเราก็
01:19:09 → 01:19:11 >> ไม่กลัวควร
01:19:11 → 01:19:14 >> maximumันะเดือนเดียวทิ้งเหอะ
01:19:14 → 01:19:17 >> ของผมมันก็แบบไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่
01:19:17 → 01:19:19 >> เว้นอาหารแช่แข็งไงที่ที่เราซื้อเป็น Fen
01:19:19 → 01:19:21 Food ที่เป็น Ready to Eat อ่ะอันนั้น
01:19:21 → 01:19:24 โหเามีเทคโนโลยีในการแพ็คดึงอากาศออก
01:19:24 → 01:19:26 >> ก็อยู่ได้ตามที่เขาระบุไว้
01:19:26 → 01:19:27 >> อ่า
01:19:27 → 01:19:28 >> ประมาณเท่าไหร่ปีนึงใช่มั้ย
01:19:28 → 01:19:29 >> อือๆ
01:19:29 → 01:19:29 >> อยู่ได้ไม่มี
01:19:29 → 01:19:31 >> ปีนึงนี่คือ best before
01:19:31 → 01:19:33 >> best before ใช่ๆเพราะอาหารใช้แข็งเสีย
01:19:33 → 01:19:34 เชิง
01:19:34 → 01:19:35 >> เชื้อไม่ได้เชื้อ
01:19:35 → 01:19:36 >> เออ
01:19:36 → 01:19:38 >> อืก็เป็น Best Before
01:19:38 → 01:19:39 >> อืครับ
01:19:39 → 01:19:41 >> แต่เดี๋ยวนี้มันก็มีเทคโนโลยีเยอะจริงคือ
01:19:41 → 01:19:44 อาหารใช้แข็งที่ไม่ได้แบบเป็นอุตสาหกรรม
01:19:44 → 01:19:46 >> แล้วเขาแบบเหมือนคลุกเสร็จแล้วเนี่ยเขาก็
01:19:46 → 01:19:49 ทำแช่เย็นทันทีบัสิเซอร์ฟิเซอร์ครับ
01:19:49 → 01:19:52 >> แล้วก็แช่ทิ้งไว้เนี่ยมันก็ยังใช้ได้อยู่
01:19:52 → 01:19:53 แล้วคุณภาพมันอาจจะแบบ
01:19:53 → 01:19:54 >> ดีกว่า
01:19:54 → 01:19:56 >> ดีกว่าเพราะมันเร็วยิ่งแช่แข็งเร็วผลึก
01:19:56 → 01:19:59 น้ำแข็งยิ่งมีขนาดเล็กพอมีขนาดเล็กมันก็
01:19:59 → 01:20:02 ทิ่มเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อสัตว์น้อยลง
01:20:02 → 01:20:03 >> อ
01:20:03 → 01:20:05 >> พอเอามาละลายมันก็ยังฉ่ำอยู่
01:20:05 → 01:20:06 >> มากกว่าการแช่
01:20:07 → 01:20:09 >> แข็งตามครัวเรือนผมเลยบอกไงว่าถ้าจะแช่
01:20:09 → 01:20:12 แข็งตามครัวเรือนแล้วคุณภาพใกล้เคียง
01:20:12 → 01:20:12 >> อ
01:20:12 → 01:20:15 >> Blast ทำยังไงก็ได้ให้มัน
01:20:15 → 01:20:17 >> แข็งไวที่สุด
01:20:17 → 01:20:18 >> ให้มันแบนให้มันน้อยสุด
01:20:18 → 01:20:19 >> อือ
01:20:19 → 01:20:21 >> ครับมันก็จะโรเzenไวผลึกน้ำแพงก็จะเล็กอ
01:20:21 → 01:20:22 >> อือ
01:20:22 → 01:20:25 >> แล้วอีกอันนึงสมมุติว่าผมกินกับข้าวแล้ว
01:20:25 → 01:20:28 ผมก็ทิ้งเอาไว้ในช่วงที่กินประมาณชั่วโมง
01:20:28 → 01:20:30 นึง 2 ชั่วโมงเนี่ยเอาสิ่งเนี้ยไปแช่ให้
01:20:31 → 01:20:31 แข็งได้อยู่มั้ครับ
01:20:31 → 01:20:32 >> ได้แช่ได้
01:20:32 → 01:20:33 >> มันก็จะคุมเชื้อเท่านั้นอยู่
01:20:33 → 01:20:35 >> มันก็มามันก็จะนิ่งอยู่แค่นั้น
01:20:35 → 01:20:37 >> ออโอเคอ
01:20:37 → 01:20:40 >> ได้อยู่ครับแต่ช่วยวอร์มจนร้อนอีกทีนึง
01:20:40 → 01:20:42 เพราะเราไม่รู้ว่าไอ้ตอนที่เรารอก่อนแช่
01:20:42 → 01:20:44 แขงเชื้อมันโตไปแล้วมากแค่ไหนอ
01:20:44 → 01:20:47 >> แต่ 2 ชั่วโมงไม่มีปัญหา 3 ก็ยังพอได้แต่
01:20:47 → 01:20:48 เลย 4 ไปแล้วอ่ะ
01:20:48 → 01:20:51 >> เสี่ยงเพราะมันเป็นช่วงที่เชื้อกำลังขึ้น
01:20:51 → 01:20:51 แบบเร็ว
01:20:51 → 01:20:52 >> อื
01:20:52 → 01:20:56 >> โอเคอย่าให้เกิดใกล้แล้วครับ
01:20:56 → 01:20:57 อันนี้ก็น่าสนใจครับเป็นเรื่องเนื้อ
01:20:58 → 01:21:00 เหมือนกันหมักเนื้อนานๆแล้วเนื้อจะนุ่ม
01:21:00 → 01:21:03 ขึ้นจริงมยแล้วก็หมักไว้นานแค่ไหนมันถึง
01:21:03 → 01:21:04 จะเริ่มเน่า
01:21:04 → 01:21:07 >> นานไว้นุ่มจริงเพราะเกลือมันซึมเข้าไปถึง
01:21:07 → 01:21:08 เหนือในสุดแล้วมันก็เปลี่ยนโครงสร้าง
01:21:08 → 01:21:12 โปรตีนนิดนึงแต่คำว่านานคือ 12 ชมงเห็นผล
01:21:12 → 01:21:15 24 ชมงก็ยิ่งนานกว่า 12
01:21:15 → 01:21:16 >> ไม่ใช่แค่เครื่องปรุงอย่างเดียวมันจะมี
01:21:16 → 01:21:19 เอนไซม์ในเนื้อที่มันย่อยเนื้อไปเรื่อยๆ
01:21:19 → 01:21:20 >> แต่นานสุดอ่ะ
01:21:20 → 01:21:20 >> อ
01:21:20 → 01:21:23 >> ตามที่ WHO เค้าเขียนไว้อ่ะเนื้อสดเนื้อ
01:21:23 → 01:21:25 หมักอย่างเงี้ยครับไม่ควรเกิน 3 วันหรือ
01:21:25 → 01:21:26 ไม่ควรเกิน 72
01:21:26 → 01:21:27 >> ออ
01:21:27 → 01:21:31 >> นักเรียนผมในคลาสในคลาสหมูแดงขายของอีก
01:21:31 → 01:21:36 แล้วผมมีคลาสหมูแดงฮ่องกงหมัก 3 ชมงอร่อย
01:21:36 → 01:21:39 สุดแต่เคยเกิน 3 ช่ม 3 ชั่วโมงคือ 24 *
01:21:39 → 01:21:40 3 72 ใช่มั้ยครับ
01:21:40 → 01:21:42 >> 72 อร่อยสุดเลย
01:21:42 → 01:21:43 >> 3 ชั่วโมงคือ 3 วัน
01:21:43 → 01:21:45 >> เอ้ย 3 วันขอโทษ 3 วัน 3 วัน
01:21:45 → 01:21:49 >> 3 วัน 72 ชมอร่อยสุดเคยเกิน 3 แล้วแตะ 4
01:21:49 → 01:21:50 >> อือ
01:21:50 → 01:21:52 >> เชื้อราขึ้น
01:21:52 → 01:21:53 มันตรงกับที่ WHO เขียนเลย
01:21:54 → 01:21:54 >> เออ
01:21:54 → 01:21:57 >> อยู่ได้ตู้เย็นอยู่ในตู้เย็นไม่ควรเกิน 3
01:21:57 → 01:21:58 วัน
01:21:58 → 01:21:58 >> อื
01:21:58 → 01:21:59 >> อ
01:22:00 → 01:22:02 >> พอเกิน 3 เริ่มมีโอกาสเชื้อราขึ้น
01:22:02 → 01:22:03 >> แล้วทำไมเชื้อรามันขึ้นได้ถ้าอยู่ในตู้
01:22:03 → 01:22:06 เย็นถ้าถ้าแช่ช่องฟีมันจะเป็นการหมักอยู่
01:22:06 → 01:22:06 มั้ครับ
01:22:06 → 01:22:07 >> ไม่หมักไม่หมัก
01:22:07 → 01:22:12 >> ช่องช่องช่องฟรีอุณหภูมิติดลบการแพร่ของ
01:22:12 → 01:22:14 เกลือน้ำตาลมันจะเข้าเนื้อสัตว์ได้ช้า
01:22:14 → 01:22:17 หรือแทบไม่ได้เลยเพราะมันแข็งไง
01:22:17 → 01:22:19 >> เครื่องปรุงมันแข็งแต่ตู้เย็นน่ะ
01:22:19 → 01:22:20 >> อือ
01:22:20 → 01:22:21 >> เครื่องปรุงมันยังเป็นของเหลียวอยู่
01:22:21 → 01:22:22 >> อือ
01:22:22 → 01:22:24 >> การฟิสู่เนื้อสัตว์มันยังมีได้
01:22:24 → 01:22:25 >> ออ
01:22:25 → 01:22:27 >> แต่แน่นอนช้ากว่าอุณหภูมิห้องแต่อุณหภูมิ
01:22:27 → 01:22:29 ห้องเราไม่หมักอยู่แล้วเพราะมันจะบูด
01:22:29 → 01:22:29 >> ใช่
01:22:29 → 01:22:30 >> ใช่มั้ยครับอื
01:22:30 → 01:22:32 >> ในตู้เย็นพอวันที่ 4 เริ่มมีเชื้อราแล้ว
01:22:32 → 01:22:34 >> มีเชื้อราแล้วแล้วเชื้อราโตขึ้นได้ไง
01:22:34 → 01:22:39 เชื้อราเชื้อราชอบโตในสภาวะที่กึ่งกึ่ง
01:22:39 → 01:22:41 กึ่งเปียกกึ่งแห้ง
01:22:41 → 01:22:41 >> อือๆ
01:22:41 → 01:22:44 >> ซึ่งน้ำหมักมันเปียกนะแต่อย่าลืมว่าเกลือ
01:22:44 → 01:22:46 กับน้ำตาลมันเยอะ
01:22:46 → 01:22:46 >> อ่า
01:22:46 → 01:22:49 >> อสังเกตเชื้อราจะชอบโตอะไรในที่อะไรที่
01:22:49 → 01:22:53 แบบเค็มจัดหวานจัดแยมอย่างเงี้ยบางทีลาก็
01:22:53 → 01:22:54 ขึ้นตรงผิวหน้า
01:22:54 → 01:22:54 >> อือ
01:22:54 → 01:22:57 >> แต่แบคทีเรียไม่โตแบคทีเรียชอบอะไรที่แบบ
01:22:57 → 01:22:59 เนี่ยไข่สดนมสด
01:22:59 → 01:23:01 >> แต่อะไรที่มีเครื่องปรุงเยอะๆ
01:23:01 → 01:23:06 >> เนี่ยอ่าอะไรอ่ะสเปรย์ช็อกโกแลตแยมที่
01:23:06 → 01:23:07 กึ่งเปียกกึงแห้งอ่ะครับเชื้อราจะขึ้น
01:23:07 → 01:23:09 >> โอ
01:23:09 → 01:23:12 โอเคแปลว่าก็ดูเชื้อราเชื้อรานี่ก็ไม่ควร
01:23:12 → 01:23:13 กินเข้าไปแล้วเนาะ
01:23:13 → 01:23:15 >> อื
01:23:15 → 01:23:17 >> พูดตามตรงบางตัวมันก็ไม่ได้มี
01:23:17 → 01:23:17 >> ผลอะไรฮะ
01:23:17 → 01:23:19 >> ผลอะไรแต่เราเราไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่
01:23:20 → 01:23:22 จะไปสามารถเห็นโคโลนีแล้วบอกได้ว่ามัน
01:23:22 → 01:23:23 เป็นสายพันธุ์ที่ไม่เป็นไร
01:23:23 → 01:23:26 >> คือจริงๆมันก็ไม่ก็เซ้นคนปกติเห็นเชื้อรา
01:23:26 → 01:23:26 ก็ทิ้งแล้วอ่ะ
01:23:26 → 01:23:28 >> ใช่ๆทิ้งเหอะครับ
01:23:28 → 01:23:28 >> ครับ
01:23:29 → 01:23:29 >> โอ้
01:23:29 → 01:23:33 >> ยกเว้นเชื้อราในบลูชีสเนาะที่กินได้เพราะ
01:23:33 → 01:23:34 นั้นชัวร์ว่ากินได้
01:23:34 → 01:23:37 >> ผมกลัวอีกอันนึงบููชีสขึ้นล้าอื่นจะรู้
01:23:37 → 01:23:38 มั้ย
01:23:38 → 01:23:40 >> ก็ถ้ามันขึ้นปุยขาวๆหรือสีอื่นที่ไม่ใช่
01:23:40 → 01:23:42 สีเขียวที่ไม่ได้มาจากไอ้ิซิเลiมรุฟอร์ด
01:23:42 → 01:23:43 ก็ทิ้ง
01:23:43 → 01:23:44 >> อือ
01:23:44 → 01:23:45 >> ทิ้งครับ
01:23:45 → 01:23:50 >> เออ Food GRดมันคืออะไรครับ
01:23:50 → 01:23:53 >> Food GRดคือคุณภาพอาหารที่บริสุทธิ์
01:23:53 → 01:23:55 เพียงพอที่คนสามารถกินได้มันจะมีหลายเกรด
01:23:56 → 01:24:00 มาก Cosmetic GRด Food GRด Analytical
01:24:00 → 01:24:01 GRดมันจะยิ่งเพียว Analytical GR คือ
01:24:01 → 01:24:04 ยิ่งเพียวเลยเช่นเกลือที่เป็น
01:24:04 → 01:24:05 >> Analytical
01:24:05 → 01:24:08 ถ้าเป็น analical
01:24:08 → 01:24:10 ยิ่งเพียวกับ Food Gดยิ่งยิ่งกินได้แต่
01:24:10 → 01:24:12 มันไม่มีความจำเป็นเพราะมันเพียวเกินไป
01:24:12 → 01:24:15 >> เอาไว้วิเคราะห์ในพวกเครื่องมืออะไรพวก
01:24:15 → 01:24:17 เนี้ยครับเพราะถ้ามันไม่เพียวแล้วเอา Food
01:24:17 → 01:24:19 Gสไปยิงเข้าเครื่องมือมันจะรบกวน
01:24:19 → 01:24:19 >> อือ
01:24:19 → 01:24:21 >> ความ Imperiority ความไม่บริสุทธิ์จะรบ
01:24:21 → 01:24:21 กวน
01:24:21 → 01:24:22 >> อือ
01:24:22 → 01:24:23 >> เพราะงั้นอะไรที่เขียนว่า Food GRดคือ
01:24:23 → 01:24:25 เกรดที่
01:24:25 → 01:24:29 สารเจือปนไม่ได้เยอะเกินไปที่จะส่งผล
01:24:29 → 01:24:31 อันตรายต่อมนุษย์ได้
01:24:31 → 01:24:31 >> อืออ
01:24:31 → 01:24:34 >> อย่างเช่นแบบได้ยินบ่อยๆเรื่องพวกภาชนะ
01:24:34 → 01:24:36 ต่างๆที่เป็น Food GR เนี่ยมันคือ
01:24:36 → 01:24:36 >> อ
01:24:36 → 01:24:38 >> อาจจะมีการเจอปนแต่ไม่มีป
01:24:38 → 01:24:41 >> มีแต่เค้าทดลองแล้วว่าถ้าใช้ในลักษณะที่
01:24:41 → 01:24:43 สมมุติเป็นพลาสติก
01:24:43 → 01:24:44 >> Food GRด
01:24:44 → 01:24:47 >> เค้าทดลองแล้วว่าเอาอาหารไปวางแล้วเอาไป
01:24:47 → 01:24:48 ไมโครเวฟอ
01:24:48 → 01:24:51 >> แล้วอแล้วเกิดการแพร่ของชีนพลาสติกน้อย
01:24:51 → 01:24:53 กว่า
01:24:53 → 01:24:54 ที่กฎหมายกำหนด
01:24:54 → 01:24:54 >> อือ
01:24:54 → 01:24:56 >> ก็ถือว่าเป็น Food GR ได้แต่สมมุติว่าไป
01:24:56 → 01:24:59 ทดสอบแล้วโอ้โหไมโครพลาสติกเต็มอาหารเลย
01:24:59 → 01:25:00 >> เออ
01:25:00 → 01:25:01 >> ก็
01:25:01 → 01:25:01 >> ก็ไม่ใช่ Food GR
01:25:01 → 01:25:04 >> ใช่ก็ไปใส่อย่างอื่นเถอะ
01:25:04 → 01:25:06 มันจะมีประเด็นเรื่องถุงแกงใส่แกงร้อนนี่
01:25:06 → 01:25:09 แหละที่แบบไม่รู้ food เกรดแค่ไหน
01:25:09 → 01:25:12 >> แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นถุงร้อนส่วนใหญ่อ่ะมัน
01:25:12 → 01:25:13 เป็นเกรดอยู่ละ
01:25:13 → 01:25:15 >> แล้วมันความร้อนได้แค่ไหนครับ
01:25:15 → 01:25:15 >> มันแล้วแต่ชนิด
01:25:16 → 01:25:16 >> เออ
01:25:16 → 01:25:19 >> ถ้าเป็น PP ก็โหเกินไปตั้ง 130
01:25:19 → 01:25:21 >> อ๋อโอเคเพราะว่าแกง
01:25:21 → 01:25:23 >> ใช่ถ้าถุงเย็นก็ได้ไม่เยอะ
01:25:23 → 01:25:23 >> อื
01:25:23 → 01:25:24 >> ครับ
01:25:24 → 01:25:28 >> สุดท้ายครับผมหยิบให้เลย
01:25:28 → 01:25:31 >> เรื่องอะไรเนี่ยคำถามสุดท้าย
01:25:31 → 01:25:31 >> เออ
01:25:31 → 01:25:32 >> ยากแน่
01:25:32 → 01:25:36 ซอสปลาไหลที่เก็บซ้ำๆกันมาแบบ 40 ปี 60
01:25:36 → 01:25:39 ปี 100 ปีเนี่ยมันกินได้จริงมั้ยอ่ะ
01:25:39 → 01:25:41 >> มันปลอดภัยเชิงเชื้อ
01:25:41 → 01:25:41 >> อือ
01:25:41 → 01:25:44 >> คือซอสปลาไหลส่วนใหญ่มันมาจากสิวขาวน้ำ
01:25:44 → 01:25:46 ตาลมันเยอะมากครับ
01:25:46 → 01:25:50 >> แล้วเวลาเขาเอามาบางร้านเค้าก็มาให้ความ
01:25:50 → 01:25:52 ร้อนอีกหน่อยให้ความร้อนทุกวันน่ะ
01:25:52 → 01:25:52 >> อือๆ
01:25:52 → 01:25:55 >> จนเชื้อสมมุติเชื้อจะแต่พูดตรงๆเชื้อโต
01:25:55 → 01:25:58 ยากมากแหละเพราะว่าเค็มจัดหวานจัดใช่มั้ย
01:25:58 → 01:26:01 แต่ถึงเชื้อกำลังจะโตพอมาผ่านความร้อนอีก
01:26:01 → 01:26:03 ทีนึงเชื้อมันก็กลับไปลดลงที่เดิม
01:26:03 → 01:26:03 >> อือ
01:26:03 → 01:26:07 >> ก็ค่อนข้างปลอดภัยเชิงเชื้อแต่ต้องมั่นใจ
01:26:07 → 01:26:09 ว่า
01:26:09 → 01:26:10 เพราะทุกครั้งในการชุบปลาไหลอ่ะ
01:26:10 → 01:26:11 >> ครับ
01:26:11 → 01:26:14 >> มันแล้วแต่ร้านบางร้านเอาปลาไหลจุ่มลงไป
01:26:14 → 01:26:17 เพราะฉะนั้นน้ำจากปลาไหลก็แพร่ไปโดน
01:26:17 → 01:26:20 >> แพร่ออกมาเจือจางทำให้ซอสปลาไหลมันไม่
01:26:21 → 01:26:21 เข้มข้นเท่าเดิม
01:26:21 → 01:26:22 >> อ
01:26:22 → 01:26:23 >> พอไม่เข้มข้นเท่าเดิม
01:26:23 → 01:26:25 >> มีโอกาสละมาละเชื้อราแบคทีเรีย
01:26:25 → 01:26:26 >> อ
01:26:26 → 01:26:31 >> แต่ถ้าเขาจุ่มซอสแล้วทาข้างบนโดยที่ไม่
01:26:31 → 01:26:34 ได้เราปลาไหลจุ่มก็มีโอกาสที่มันจะไม่โดน
01:26:34 → 01:26:34 ไดรูท
01:26:34 → 01:26:35 >> อื
01:26:35 → 01:26:36 >> มันมันไหลปัจจัยมาก
01:26:37 → 01:26:39 >> แล้วมันต้องเก็บในตัวเย็นด้วยมั้มัน
01:26:39 → 01:26:40 >> ไม่ไม่จำเป็น
01:26:40 → 01:26:42 >> ถ้ามันเค็มจัดหวานจัดเหมือนน้ำปลาเหมือน
01:26:42 → 01:26:44 ซีอิ๊วก็วางเอาไว้ข้างนอกได้
01:26:44 → 01:26:47 >> แล้วการใช้ซอสปลาไหลแบบ 30-40 ปีส่วนใหญ่
01:26:47 → 01:26:48 มันคือคนญี่ปุ่นโบราณน่ะสมัยก่อนมันยัง
01:26:48 → 01:26:49 ไม่มีตู้เย็น
01:26:49 → 01:26:50 >> ออ
01:26:50 → 01:26:51 >> นะครับแล้วบ้านเค้าก็ไม่ได้เย็นทั้งปี
01:26:51 → 01:26:54 ด้วยบางทีเข้าหน้าร้อนเดือนไหนนะสิงหาคม
01:26:54 → 01:26:55 ใช่มั้ย
01:26:55 → 01:26:56 >> กรกฎาคมมันก็กลับมาร้อนเหมือนเดิม
01:26:56 → 01:27:00 >> อืเพราะอุณหภูมิอุณหภูมิห้องเนี่ยมันมี
01:27:00 → 01:27:03 อุณหภูมช่วงที่มันแบบปลอดภัยกับไม่ปลอด
01:27:03 → 01:27:03 ภัย
01:27:03 → 01:27:04 >> อ่าเค้าเรียก dan zone
01:27:04 → 01:27:05 >> dan zone คืออะไรครับ
01:27:05 → 01:27:07 >> Dananger Zone คือช่วงที่อันตรายคือ
01:27:07 → 01:27:08 ช่วงที่เชื้อโตได้
01:27:08 → 01:27:09 >> ออ
01:27:09 → 01:27:12 >> เชื้อตัวได้คือ 5-60 องศอันเนี้คือช่วง
01:27:12 → 01:27:14 ที่ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่ให้อยู่ตรงช่วงเ
01:27:14 → 01:27:16 นานเกินไป
01:27:16 → 01:27:17 >> อื
01:27:17 → 01:27:19 >> เพราะฉะนั้นถ้าให้ความร้อนเกิน 60 เชื้อ
01:27:19 → 01:27:20 โตไม่ได้แล้วโดนฆ่าด้วย
01:27:20 → 01:27:22 >> ต่ำกว่า 5 เชื้อไม่โดนฆ่าแต่เชื้อโตไม่
01:27:22 → 01:27:22 ได้
01:27:22 → 01:27:23 >> อือ
01:27:23 → 01:27:27 >> 5-60 เนี่ย 15 20 25 30 35 40 55
01:27:27 → 01:27:30 เนี่ยเชื้อโตได้หมดแต่ช่วงที่เชื้อโตได้
01:27:30 → 01:27:33 ดีที่สุดแจคือ 5-60 ใช่มั้ยครับ
01:27:33 → 01:27:35 >> แต่ช่วงที่ควรเลี่ยงแบบมากๆอ่ะคือช่วงที่
01:27:35 → 01:27:35 อ
01:27:36 → 01:27:38 >> เชื้อรักแฮปปี้มากคือช่วงประมาณ 30-35
01:27:39 → 01:27:39 ช่วงนี้
01:27:39 → 01:27:40 >> ก็คืออุณหภูมิห้องกับร่างกายเราเน
01:27:41 → 01:27:42 >> นั่นแหละนั่นแหละนั่นแหละนั่นแหละครับ
01:27:42 → 01:27:44 >> อก็คืออันตรายตรงนี้แหละอื
01:27:44 → 01:27:49 >> อับๆเนี่ยข้าวผัดปูหรือว่าเส้นใหญ่มาอับๆ
01:27:49 → 01:27:52 วิ่งอยู่ 35 40 โหเ้าเรียกว่า Danger
01:27:52 → 01:27:53 อันนี้ผมเรียกเองนะ
01:27:53 → 01:27:56 >> Super Danger Zone เลยคือเชื้อโตไวมาก
01:27:56 → 01:27:59 >> 5-60 คือเชื้อโตได้แต่ไม่ได้แฮปปี้ทั้ง
01:27:59 → 01:28:00 ช่วงครับ
01:28:01 → 01:28:04 >> เชื้อบางตัวเชื้อส่วนใหญ่ที่ก่อโรคด้วยนะ
01:28:04 → 01:28:06 แฮปปี้ช่วง 30-35 อ
01:28:06 → 01:28:06 >> อื
01:28:06 → 01:28:07 >> นั่นแหละครับ
01:28:07 → 01:28:07 >> อื
01:28:07 → 01:28:10 >> โอเคเพราะฉะนั้นพยายามจะเก็บทุกอย่างไว้
01:28:10 → 01:28:12 ในอุณหภูมิห้อง
01:28:12 → 01:28:12 >> อ่า
01:28:12 → 01:28:13 >> อุณหภูมิห้องไทย
01:28:13 → 01:28:15 >> อุณหภูมิห้องไทยเออ
01:28:15 → 01:28:16 >> เพราะว่าอุณหภูมิห้องแต่ละประเทศไม่
01:28:16 → 01:28:17 เหมือนกันอีก
01:28:17 → 01:28:17 >> ใช่
01:28:17 → 01:28:20 >> เลี่ยงได้เลี่ยงคือ 30-35
01:28:20 → 01:28:21 >> หลบมา 10 ก็ยังดี
01:28:21 → 01:28:21 >> อ
01:28:22 → 01:28:23 >> ใช่มั้ครับแต่ยังไม่ปลอดภัย 100% ถ้าอยาก
01:28:23 → 01:28:25 ปลอดภัยต้องต่ำกว่า 5
01:28:25 → 01:28:25 >> อื
01:28:25 → 01:28:27 >> เช่น 4 ลงมา 4 3 2 1
01:28:27 → 01:28:28 >> อ
01:28:28 → 01:28:30 >> แช่เย็นหรือทำให้รอร้อน
01:28:30 → 01:28:31 >> ทำให้ร้อน
01:28:31 → 01:28:31 >> มากๆ
01:28:31 → 01:28:32 >> เกินไปเลย
01:28:32 → 01:28:33 >> เออปลอดภัยสุด
01:28:33 → 01:28:33 >> ปลอดภัยสุด
01:28:33 → 01:28:36 >> โอเควันนี้เราคุยกันมาเป็นชั่วโมงเลยครับ
01:28:36 → 01:28:38 เชฟได้ความรู้มากเหมือนผมกลับไปเรียนเคมี
01:28:38 → 01:28:42 ชีวะใหม่หมดเลยเนาะแล้วก็แบบวันนี้เชฟแบบ
01:28:42 → 01:28:44 เนี่ย 40 50 คำถามเนี่ย
01:28:44 → 01:28:44 >> อ
01:28:44 → 01:28:48 >> ไม่ผมว่ามันไม่จบแค่นี้มันจะมีต่อเออแล้ว
01:28:48 → 01:28:48 ก็เยอะ
01:28:48 → 01:28:51 >> วันนี้แบบเชฟน่าจะแบบสมองบวมอ่ะผมอ่ะผม
01:28:51 → 01:28:54 อ่ะสมองบวมแน่นอนเพราะแบบรับเยอะมากอะไร
01:28:54 → 01:28:55 อย่างเงี้ยแต่ว่าคนที่เก่งกับพวกเราเนี่ย
01:28:56 → 01:28:58 ผมนับถือก็คือคนดูที่ดูมาจนถึงนาทีนี้
01:28:58 → 01:28:58 เนาะ
01:28:58 → 01:29:01 >> ถ้าดูจบถ้าดูจบคือแบบคุณดูจบได้ยังไงเจ๋ง
01:29:01 → 01:29:04 มากแต่ว่าผมคิดว่าทุกคนน่าจะมีคำถามอ่ะ
01:29:04 → 01:29:08 สามารถถามเข้ามาได้ในเอ่อช่องคอมเมนต์ของ
01:29:08 → 01:29:11 รายการนี้หรือจะเข้าไปถามที่เชฟโดยตรงที่
01:29:11 → 01:29:13 เพจทักtheชฟ
01:29:13 → 01:29:14 >> ใช่นะครับถามได้ครับ
01:29:14 → 01:29:17 >> ก็คิดว่าถ้ามีคำถามที่น่าสนใจอีกเราอาจจะ
01:29:17 → 01:29:20 มีซีซีซันี้อีกสัก EP นึงก็ได้อีกัก EP
01:29:20 → 01:29:22 >> ใช่ฮะก็จะคราวหน้า
01:29:22 → 01:29:24 >> อาจจะเป็นคำถามจากคอมเมนต์ F นี้
01:29:24 → 01:29:29 >> ใช่ๆหรือมีอะไรที่คิดว่าอยากถกเถียงหรือ
01:29:29 → 01:29:30 ไม่ถูกต้อง
01:29:30 → 01:29:31 >> อ๋อก็คอมเมนต์มาบอก
01:29:31 → 01:29:32 >> ก็คอมเมนต์มาบอกก็ได้ครับ
01:29:32 → 01:29:33 >> ใช่เพราะวันนี้มันเป็นคำถามสดแล้วผมก็
01:29:34 → 01:29:36 ต้องดึงความรู้ออกจากสมองสดๆบางทีมันอาจ
01:29:36 → 01:29:38 จะมีบางคำที่
01:29:38 → 01:29:40 >> เค้าเรียกว่ามิสลหรือผิดพลาดไปก็ช่วย
01:29:40 → 01:29:42 คอมเมนต์มาบอกได้เพราะผมก็ไม่ได้เชี่ยว
01:29:42 → 01:29:43 ชาญทุกๆแขนง
01:29:43 → 01:29:45 >> ใช่แล้ววันนี้ผมก็หาเรื่องให้เชฟเองอ่ะ
01:29:45 → 01:29:47 คือเหมือนแบบจับปุ๊บตอบเลย
01:29:47 → 01:29:48 >> ไม่ได้เตรียมเลย
01:29:48 → 01:29:51 >> เออไม่ได้เตรียมก็ขออภัยไว้ล่วงหน้านะ
01:29:51 → 01:29:54 ครับถ้ามันมีอะไรผิดก็คอมเมนต์กันมาดีๆ
01:29:54 → 01:29:57 ครับก็ตอบถกเถียงกันได้ครับวันนี้ขอบคุณ
01:29:57 → 01:29:59 เชฟมากครับที่อุตส่าห์เสียเวลามันให้ความ
01:30:00 → 01:30:01 รู้เยอะมากครับขอบคุณมาก
01:30:01 → 01:30:03 >> ขอบคุณพี่มีครับขอบคุณ
01:30:03 → 01:30:13 [เพลง]