00:00:14 → 00:00:16 สวัสดีครับท่านผู้ฟังที่รักทุกท่าน
00:00:16 → 00:00:23 และขอกราบสวัสดีปีใหม่ พุทธศักราช 2565 หรือปีเสือนี้นะครับ
00:00:23 → 00:00:27 ขออวยพรให้มิตรรักแฟนคลับทุกท่านเลย ของช่อง Dr. Amp Team
00:00:27 → 00:00:32 ประสบความสุขนะครับ สุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจนะครับ
00:00:32 → 00:00:39 ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ คิดสิ่งใดสมปรารถนาทุกประการตลอดปีนี้ ปีหน้าและปีถัดๆ ไป
00:00:39 → 00:00:42 และอยู่ด้วยกันเพื่อสร้างสังคมสุขภาพดีไปด้วยกัน
00:00:42 → 00:00:50 วันนี้นะครับ เปิดศักราชใหม่นะครับ หมอก็ขอต้อนรับท่านผู้ฟังทุกท่านเข้าสู่รายการใหม่ของเรา
00:00:50 → 00:00:54 รายการนี้นะครับ มีที่มาที่ไปอย่างไร
00:00:54 → 00:01:01 หลายปีที่ผ่านมาเนี่ย หมอก็มีความดีใจ แล้วก็ทีมงานหมอเนี่ยก็มีความปลื้มใจมาก
00:01:01 → 00:01:07 ที่ท่านผู้ฟังผู้ชมที่รักทุกท่านเนี่ย ช่วยกัน ร่วมกัน แล้วก็ติดตามนะครับ
00:01:07 → 00:01:11 เพื่อสร้างสังคมสุขภาพดีไปด้วยกัน
00:01:11 → 00:01:22 จากรายการในวันแรกๆ เริ่มต้นปีพุทธศักราช 2555 มาจนถึงปีนี้เนี่ยก็ครบรอบ 10 ปีพอดี
00:01:22 → 00:01:25 อยู่กันมาพอสมควรนะครับ
00:01:25 → 00:01:32 ไม่รู้ใครจะแข่งนะครับสุขภาพดีได้ดีกว่ากัน ระหว่างหมอแอมป์กับท่านผู้ฟังทุกท่านนะครับ
00:01:32 → 00:01:37 ต้องช่วยกัน แข่งกันสุขภาพดีเนี่ยถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน
00:01:37 → 00:01:46 จาก 10 กว่าปีที่ผ่านมาครับ หมอก็พยายามเอาความรู้เนี่ยไม่ว่าจะเป็นเรื่องต่างๆ อวัยวะต่างๆ
00:01:46 → 00:01:53 หัวข้อต่างๆ การดูแลตัวเองนะครับ มาเล่าให้ทุกท่านฟังอยู่เสมอ
00:01:53 → 00:02:00 คำถามครับ ที่ทีมงานได้รับเข้ามาหมอก็พยายามจะเอามาไขข้อข้องใจนะครับ
00:02:00 → 00:02:02 เอามาตอบ เอามาแนะนำ
00:02:02 → 00:02:13 ส่วนนึงนะครับของคำถามที่ทีมงานเขาลิสต์มานี่ ก็มักจะถามว่าหมอแอมป์หรือตัวผมเองเนี่ยใช้ชีวิตอย่างไร ทำแบบไหน
00:02:13 → 00:02:18 คุณหมอแอมป์นอนอย่างไร คุณหมอแอมป์บำรุงผิวอย่างไร ออกกำลังกายแบบไหน
00:02:18 → 00:02:27 วันนี้ครับเปิดศักราชใหม่ ก็สมควรแก่เวลาที่เป็นครั้งแรกที่จะมาแชร์ เล่าให้ทุกคนฟังว่า
00:02:27 → 00:02:32 ชีวิตส่วนตัวเนี่ยหมอดูแลตัวเองอย่างไรนะครับ
00:02:32 → 00:02:38 เพราะฉะนั้นครับ วันนี้ครับเรามาพบกับรายการใหม่ของเรานะครับชื่อรายการว่า
00:02:38 → 00:02:45 เคล็ด(ไม่)ลับเพื่อสุขภาพดีของหมอแอมป์ ตอน การกินเพื่อสุขภาพ
00:02:45 → 00:02:49 ของผม หมอแอมป์ นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ
00:02:49 → 00:02:56 วันนี้ครับ และก็รายการใหม่นี้นะครับ หมอก็จะพยายามลิสต์ แล้วก็สรุปว่า
00:02:56 → 00:03:04 เวลาหมออ่านมาหลายๆ เรื่องนะครับ หรือรักษาคนไข้มาด้วยทฤษฎีต่างๆ เนี่ย
00:03:04 → 00:03:08 พอมาถึงกับตัวหมอเองเนี่ย หมอประยุกต์ ปฏิบัติอย่างไร
00:03:08 → 00:03:21 แล้วพอทีมงานสรุปรายการว่า รายการใหม่ของเราเนี่ยคือการมาพบกับหมอแอมป์ ให้แนะนำหน่อยว่า ทุกๆ วัน ทุกๆเดือน ทุกๆ ปีเนี่ยใช้ชีวิตอย่างไรนะครับ
00:03:21 → 00:03:30 หมอก็ต้องมานั่งคิดนะว่าเออจริงด้วยเนอะ เรามีหลายทฤษฎี หมอเชื่อเหลือเกินว่าผู้ฟังทางบ้านก็เหมือนกันนะครับ
00:03:30 → 00:03:38 เวลาเราไปอ่านทฤษฎีนู้นมา ไปอ่านหนังสือเล่มนี้มา ไปฟังเขาว่าแบบนั้นมา ไปฟังแพทย์ประจำตัวบอกแบบนี้มา
00:03:38 → 00:03:46 เราก็จะมาตกผลึกวิเคราะห์แยกแยะแล้วก็ search หาข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ
00:03:46 → 00:03:55 หมอบอกเสมอว่าไม่มีใครรู้ทุกอย่างนะครับ แล้วก็อย่าเชื่อทุกอย่าง เพราะฟังมาปุ๊บเชื่อปั๊บเลยก็ไม่ดี
00:03:55 → 00:04:00 เราต้องฟังมาเสร็จ แล้วก็ไปค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมนะครับ
00:04:00 → 00:04:09 แล้วก็มาประยุกต์ปฏิบัติใช้กับตัวเรา ดูซิว่าส่งผลดีแค่ไหน ส่งผลได้มากน้อยเพียงใด
00:04:09 → 00:04:16 ก็ตามหลักที่หมอบอกนะ คนเราทุกคนเนี่ยเกิดมาต่างกัน การใช้ชีวิตก็ต่างกัน
00:04:16 → 00:04:23 เหมือนที่หมอเคยเล่าให้ฟังว่า สิ่งประกอบหลักๆ นะครับของการมีสุขภาพที่ดีในแต่ละวันเนี้ย
00:04:23 → 00:04:25 ประกอบไปด้วย 3 หัวข้อใหญ่ๆ
00:04:25 → 00:04:35 1 ครับ เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้แต่เราสามารถที่จะรู้ได้แล้วก็หลบหลีก หลีกเลี่ยงมันนะครับ ก็คือสิ่งที่เรียกว่าพันธุกรรม
00:04:35 → 00:04:43 อันที่ 2 ครับ เราปรับได้แน่นอนนะครับ เพราะอยู่ด้วยน้ำมือเราก็คือ Lifestyle นะครับหรือการใช้ชีวิต
00:04:43 → 00:04:51 และก็อย่างที่ 3 ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพชีวิตเราก็คือ Environment สิ่งแวดล้อมนะครับ
00:04:51 → 00:04:56 บางคนอยู่ในที่สิ่งแวดล้อมดี สะอาด ปราศจากมลพิษต่างๆ
00:04:56 → 00:05:05 บางคนเป็นความจำเป็น หมอเองก็เหมือนกัน ต้องอยู่ในที่ที่บางทีอากาศไม่ค่อยบริสุทธิ์เราก็ต้องมีวิธีในการดูแลตัวเรา
00:05:05 → 00:05:20 สรุปครับ 3 ปัจจัยหลักนะ 1. พันธุกรรม 2. ไลฟ์สไตล์หรือการใช้ชีวิต 3. Environment หรือสิ่งแวดล้อม คือปัจจัยสำคัญนะครับ ที่จะเกี่ยวข้องกับการวางแผนดูแลตัวเรา
00:05:20 → 00:05:25 ฉะนั้นกลับมา หมอก็เลยดีใจมากที่วันนี้เรามีรายการใหม่
00:05:25 → 00:05:33 พอรายการใหม่นี้เกี่ยวกับตัวหมอเองเนี่ย หมอก็เลยจะออกตัวก่อนเลยว่า ไม่มีผิดไม่มีถูกนะครับ
00:05:33 → 00:05:39 หลายอย่างที่หมอเล่าให้ฟัง ท่านผู้ฟังเอาไปใช้อาจจะไม่เหมาะกับตัวท่านผู้ฟัง
00:05:39 → 00:05:43 หรือบางคนเอาไปใช้แล้ว โอ้มันเหมาะมันดีนะครับ
00:05:43 → 00:05:48 ก็เป็นเรื่องที่ต้องมาแชร์กันนะครับ เพื่อสร้างสังคมสุขภาพดี
00:05:48 → 00:05:55 ฉะนั้นในตอนใหม่ๆ นี้ ท่านผู้ฟังทุกท่านเนี่ย สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลเทคนิคการดูแลตัวเองนะครับ
00:05:55 → 00:06:00 เทคนิคการดูแลสุขภาพที่ได้ผลนะครับ ในคอมเม้นได้
00:06:00 → 00:06:08 ท่านอื่นนะครับ ท่านมาอ่านดู ลองไปปรับดูตรงกับตัวเรานะครับ บางอย่างไม่ตรงเราก็ข้ามไป เราก็หาวิธีอื่น
00:06:08 → 00:06:14 แต่รายการเราวันนี้นะครับ ก็จะเป็นตัวหมอเองเป็นเทคนิคที่ทำจริงๆ นะครับ
00:06:14 → 00:06:21 บางอย่างหมอบอกทุกท่านไปหมอยังทำได้ไม่ดีพอ หมอก็จะสารภาพในรายการตามตรง ว่ายังทำได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์
00:06:21 → 00:06:29 บางอย่างที่ทำได้ดีแล้วนะครับ หมอก็จะเอามาแชร์ว่าใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะมีวันนี้นะครับ
00:06:29 → 00:06:33 เรามาเริ่มกันเลยนะครับ อารัมภบทมานานพอสมควร
00:06:33 → 00:06:41 ตอนใหม่เรา รายการเคล็ด(ไม่)ลับเพื่อสุขภาพดี ของหมอแอมป์ ตอน การกินเพื่อสุขภาพของผมเอง
00:06:41 → 00:06:47 ก่อนอื่นนะครับ ทำไมหมอถึงต้องใส่ใจเรื่องการกินให้ดี
00:06:47 → 00:06:57 อันดับ 1 เลยครับ หมออยากจะมีชีวิตยืนยาวอยู่กับครอบครัว กับคนที่เรารักได้นานที่สุด แล้วก็เป็นภาระเขาให้น้อยที่สุด
00:06:57 → 00:07:05 ไม่อยากจะอยู่ไปจนแก่ หรืออายุมากๆ แล้วต้องมาให้ลูกหลานคอยดูแลเพราะว่าป่วยเป็นโรค
00:07:05 → 00:07:18 หมอถึงตั้งปณิธานตั้งแต่ตอนนี้แล้วก็ก่อนหน้านี้มาตลอด ว่าเราต้องรักตัวเรานะ แล้วตัวเรานี้ก็จะให้รางวัลเราเอง โดยการที่เขาไม่ป่วย หรือว่าเจ็บป่วยยากนะครับ
00:07:18 → 00:07:31 อันแรกครับที่หมอใช้เป็นองค์ประกอบ ก่อนหมอจะไปดูเรื่องการกินของตัวเองก็จะมีอยู่ 5 ข้อ ที่หมอใส่ใจแล้วก็ติดตามดูแลมาโดยตลอดนะครับ
00:07:31 → 00:07:40 ในยุคปัจจุบันต้องขอเล่าให้ฟังก่อนว่ามี 3 คำศัพท์สำคัญในกลุ่มการแพทย์หรือการดูแลสุขภาพนะครับ
00:07:40 → 00:07:48 คำที่ 1 ครับ Preventive Medicine เวชศาสตร์ป้องกันหรือการดูแลป้องกันก่อนจะเจ็บป่วย หมอเคยพูดไปแล้วเนอะ
00:07:48 → 00:07:52 คำที่ 2 ครับ Personalized Medicine
00:07:52 → 00:07:55 และคำที่ 3 ครับ Precision Medicine นะครับ
00:07:55 → 00:08:06 Personalized & Precision เป็นการแพทย์สมัยใหม่ ที่เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าขึ้น เลือดต่างๆ สามารถตรวจได้มากขึ้น ลึกขึ้น
00:08:06 → 00:08:12 เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ สามารถสแกน สามารถดูร่างกายตัวเราได้มากกว่าเดิม
00:08:12 → 00:08:23 ทำให้มนุษย์ในปัจจุบันนะครับ สามารถที่จะรู้ว่าร่างกายเราตอนนี้เป็นอย่างไร ต้องการแร่ธาตุสารอาหารตัวไหนเท่าไหร่
00:08:23 → 00:08:30 เพราะฉะนั้นครับ คำว่า Personalized คือการรักษาดูแลตัวเราเนี่ยแบบตัวเราเองคนเดียว
00:08:30 → 00:08:39 เช่น เราเป็นโรคนี้ หรือเราไม่อยากเป็นโรคนั้น เรามีสูตรนี้ได้มาใช้กับตัวเราได้ผล ใช้กับเพื่อนเราอาจจะไม่ได้ผล
00:08:39 → 00:08:48 เพราะว่าปัจจัยต่างๆ ต่างกันนะครับ ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม การใช้ชีวิต และสิ่งแวดล้อมอย่างที่หมอเล่าให้ฟังไปแล้ว
00:08:48 → 00:09:01 คำว่า Precision ครับ เมื่อเราตรวจละเอียด แม่นยำมากขึ้น ปัจจุบันทุกท่านจะได้ยินคำว่าการตรวจรหัสพันธุกรรมหรือ Genetics หรือ DNA มากขึ้นแล้วก็แพร่หลายขึ้นนะครับ
00:09:01 → 00:09:12 หมอเหมือนที่เคยบอกนะครับ ถ้าเรารักสุขภาพตัวเรานะครับ แต่เราสื่อสารกับร่างกายเราไม่ได้ เราไม่รู้ว่าเขาขาดอะไร เขาต้องการอะไร
00:09:12 → 00:09:24 ก็จะเป็นการดูแลแบบไม่ลึกพอ พอวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า มนุษย์เนี่ยสามารถล้วงความลับวิจัยลงไปถึงระดับเซลล์ระดับ DNA นะครับ
00:09:24 → 00:09:36 ระดับโครโมโซมนะครับ ทำให้มนุษย์ในปัจจุบันถ้าเราใส่ใจขนขวายนะครับอยากจะรู้อยากจะรู้จักฝาแฝดของตัวเรานั่นก็คือตัวเราเองเนี่ย
00:09:36 → 00:09:39 เราก็มีวิธีที่จะเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น
00:09:39 → 00:09:48 วันนี้ครับหมอเลยจะมาเล่าให้ฟังก่อนว่า ก่อนหมอจะวางแผนการดูแลตัวเองเนี่ย ก่อนหมอจะวางแผนดูแลการใช้ชีวิตเนี่ย
00:09:48 → 00:09:53 หมอก็ต้องมีข้อมูลพื้นฐานของนายแพทย์ตนุพลหรือตัวหมอเองก่อน
00:09:53 → 00:10:01 อันดับที่ 1 ครับ ที่หมอใช้ในการ Monitor นะครับ หรือว่าดูแลร่างกายตัวเราเนี่ยก็คือระดับน้ำตาลในเลือด
00:10:01 → 00:10:06 ระดับน้ำตาลในเลือดที่หมอจะเจาะดูเป็นประจำก็จะมีอยู่ 3 ตัว
00:10:06 → 00:10:11 ตัวที่ 1 ชื่อว่า Fasting plasma glucose (FPG) นะครับหรือระดับน้ำตาลในเลือด
00:10:11 → 00:10:16 ตัวที่ 2 นะครับ Hemoglobin A1C หรือระดับน้ำตาลสะสม
00:10:16 → 00:10:26 เพราะฉะนั้นเวลาทุกท่านไปตรวจร่างกายเนี่ย จะใช้เทคนิคเดียวกับหมอในการดูแลผลเลือดเหล่านี้ และปรับมาเป็นการใช้ชีวิตก็ยินดี
00:10:26 → 00:10:36 ตัวที่ 3 ก็คือระดับ Fasting Insulin ก็คือระดับฮอร์โมนอินซูลินที่หลั่งมาจากตับอ่อนในการจัดเก็บน้ำตาล
00:10:36 → 00:10:46 เพราะฉะนั้นครับ ระดับน้ำตาลในเลือดหมอใช้ 3 รายการนะครับ Fasting plasma glucose, Hemoglobin A1C แล้วก็ระดับอินซูลินนะครับ
00:10:46 → 00:10:54 มาถึงหัวข้อที่ 2 ที่หมอใช้ในการวางแผนการดูแลตัวเอง ก็คือ ระดับไขมันในเลือดของตัวหมอเอง
00:10:54 → 00:10:58 ภาษาอังกฤษเวลาไปตรวจจะเรียกว่า Lipid profiles
00:10:58 → 00:11:01 Lipid แปลว่า ไขมัน profile แปลว่า ข้อมูล
00:11:01 → 00:11:05 ประกอบไปด้วยตัวไหนบ้าง ที่หมอใช้ในการดูแลตัวเอง
00:11:05 → 00:11:08 1 นะครับ ระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
00:11:08 → 00:11:12 2 ครับ ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
00:11:12 → 00:11:16 3 ครับ ระดับ HDL หรือไขมันดีในเลือด
00:11:16 → 00:11:22 4 ครับ ระดับ LDL หรือ ระดับไขมันไม่ดีในเลือด ตัวนี้สำคัญนะ
00:11:22 → 00:11:29 ที่เหลือครับก็จะเป็นข้อมูลทางแลปที่เกี่ยวกับการวางแผนการดูแลหลอดเลือดตัวเรา
00:11:29 → 00:11:43 ไม่ว่าจะเป็นตัวที่ชื่อว่า ESR, Hs-CRP, Ferritin, Homocysteine, Lipoprotein A, ApoA, ApoB เป็นต้นนะครับ
00:11:43 → 00:11:49 นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับระดับไขมันในเลือดที่หมอใช้ในการวางแผนดูแลตัวเอง
00:11:49 → 00:11:58 ข้อที่ 3 นะครับที่เป็นข้อมูลที่สำคัญในปัจจุบันนะครับ หมอก็จะตรวจระดับไขมันพอกตับตัวหมอเอง
00:11:58 → 00:12:01 หมายความว่ายังไงคะ หมายความว่ายังไงครับ?
00:12:01 → 00:12:13 ไขมันพอกตับนะครับคิดภาพ เหมือนเราไปซื้อเนื้อวัว เนื้อวัวที่มีลายไขมันเยอะๆ ก็อร่อยนะครับหลายท่านบอก ราคาสูง กินแล้วนุ่มดี
00:12:13 → 00:12:23 เปรียบเทียบนะครับ ถ้าเป็นตับเรา ถ้าลายเยอะๆ เขาเรียกไขมันพอกตับเยอะ ถ้าลายน้อยๆ ไม่มีมันเลย เขาเรียกว่าตับดี
00:12:23 → 00:12:35 แสดงว่ากลับกันนะ ใครที่ชอบกินเนื้อติดมัน หรือเนื้อไขมันเยอะๆ หรือว่าหมูสามชั้น ก็จะเพิ่มโอกาสให้ตับเรามีไขมันเป็นลายแบบนั้นด้วย
00:12:35 → 00:12:41 เพราะฉะนั้นครับในปัจจุบัน ระดับไขมันพอกตับสามารถวัดได้
00:12:41 → 00:12:44 ส่วนตัวหมอก็จะตรวจด้วยเครื่อง MRI
00:12:44 → 00:12:49 เครื่อง MRI ในสมัยใหม่เนี่ย มีรุ่นที่ไม่ต้องฉีดสี
00:12:49 → 00:12:56 เพราะฉะนั้น ในการป้องกันโรคนะครับ เราไม่ต้องฉีดสีเนี่ย ก็จะลดโอกาสของการแพ้สีที่ฉีดเข้าไปเป็นต้น
00:12:56 → 00:13:06 และระดับไขมันพอกตับครับ เบื้องต้นหมอแนะนำว่าถ้าใครที่มีโอกาสได้สแกนตับนะก็ควรจะมีไขมันในตับทั้งตับเราเนี่ยไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์
00:13:06 → 00:13:16 ใครมีไขมันพอกตับยิ่งน้อยยิ่งดีนะครับ ไม่เหมือนเนื้อสัตว์นะยิ่งมันเยอะยิ่งขายได้ราคา ถ้าเป็นมนุษย์เราเนี่ยยิ่งน้อยเนี่ยยิ่งสุขภาพดีนะครับ
00:13:16 → 00:13:22 งั้นตัวนี้จะเป็นตัวสำคัญที่หมอ Monitor ตลอดนะครับว่า ไขมันพอกตับเราปีนี้เป็นอย่างไรนะครับ
00:13:22 → 00:13:34 ส่วนตัวครับ หมอมีไขมันพอกตับเหมือนกันนะครับ แต่แค่ 1% นะครับก็ถือว่าพอใช้ได้ ยังไม่ดีขนาด 0% เดี๋ยวจะต้องเดินหน้าแก้ไขต่อ
00:13:34 → 00:13:43 ข้อที่ 4 ครับที่หมอแอมป์ใช้ก็คือระดับแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจหรือที่เขาเรียกว่า CT Calcium score นะครับ
00:13:43 → 00:13:52 เครื่อง CT ในปัจจุบันเนี่ย ก็จะมีรุ่นที่สามารถสแกนดูหลอดเลือดหัวใจเรา แต่ไม่ต้องฉีดสีก็สามารถทำได้
00:13:52 → 00:14:01 แล้วก็เป็นเครื่องรุ่นใหม่ที่เขาเรียกว่า low dose CT หรือว่ารังสีน้อยนะครับเพื่อลดโอกาสความเสี่ยงจากรังสีต่างๆเป็นต้น
00:14:01 → 00:14:11 คะแนน Calcium score นะครับ บอกไว้เป็นความรู้นิดนึงก็แล้วกันว่า ทุกท่านเนี่ยเวลาสมมติใครมีโอกาสได้ตรวจก็จะเป็นเครื่องที่สแกนหลอดเลือดหัวใจเราออกมานะครับ
00:14:11 → 00:14:20 หลอดเลือดหัวใจทางซ้าย หลอดเลือดหัวใจทางขวานะครับ แล้วมีหินปูนหรือแคลเซียมไปเกาะเนี่ยตีบกี่เปอร์เซ็นต์
00:14:20 → 00:14:29 ถ้าคะแนนนะครับ ปกติก็คือ 0 คะแนน หลอดเลือดสะอาดมาก โอกาสเสี่ยงที่เราจะหัวใจวาย ใส่บอลลูนก็จะต่ำ
00:14:29 → 00:14:40 ถ้าคะแนน Calcium score สูงๆ นะครับ เช่น 100 200 300 นะครับ ถ้าเสี่ยงสูงนะครับคือเกิน 400 ขึ้นไปเนี่ย เราก็ต้องระมัดระวังแล้ว
00:14:40 → 00:14:53 ปรึกษา Cardiologist หรือที่เรียกว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจ เพื่อวางแผน ปรับพฤติกรรม รักษา เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบไป
00:14:53 → 00:15:05 เป็นภาวะที่โจมตีแบบรวดเร็วด้วย อันตรายด้วย นั่นคือสิ่งสำคัญครับ ที่หมอมักจะใส่ใจว่าหลอดเลือดหัวใจหมอปีนี้เป็นอย่างไร
00:15:05 → 00:15:15 ประกอบกับการตรวจแบบนี้เป็นการดูหัวใจเราตอนไม่เหนื่อยนะครับ แต่เวลาเราเหนื่อย เช่น เราไปเตะฟุตบอล เราปั่นจักรยาน เราไปวิ่ง
00:15:15 → 00:15:24 ก็เป็นอีกภาวะนึงที่บางคนตอนปกติหลอดเลือดหัวใจดี แต่พอตอนเหนื่อยๆ มีหลอดเลือดหัวใจตีบ
00:15:24 → 00:15:32 หมอก็จะตรวจเพิ่มเติมที่เรียกว่า Exercise Stress Test (EST) คือการเดินสายพานนี่แหละครับ
00:15:32 → 00:15:43 แล้วก็จะมีหมอหัวใจท่านคอยดูแลเราอยู่ แล้วก็ติดคลื่นไฟฟ้า ดูสิว่าตอนเราเหนื่อยๆ มีเส้นเลือดหัวใจส่งสัญญาณผิดปกติหรือเปล่า
00:15:43 → 00:15:53 2 รายการนี้นะครับ ถ้าผลออกมาดีก็ค่อนข้างจะสบายใจว่าหลอดเลือดหัวใจเราดีนะ เราไปออกกำลังกายเหนื่อยมาก เราก็จะเสี่ยงน้อย
00:15:53 → 00:15:59 ถ้าใครมีปัญหาเนี่ย แพทย์ก็จะแนะนำให้ออกกำลังกายแบบเฉพาะนะครับ
00:15:59 → 00:16:13 ข้อสุดท้ายครับที่หมอใช้เป็นตัว Monitor ดูแลตัวเองก็คือ ระดับการตีบของหลอดเลือดแดงคาโรติด (Carotid Artery) ก็คือหลอดเลือดแดงที่อยู่ที่คอนี่แหละครับ
00:16:13 → 00:16:22 ใครเคยดูหนัง เวลาพวกนักฆ่าปาดคอแล้วเลือดไหลแรงๆ หลอดนี้แหละครับ เขาเรียกว่า Carotid Artery
00:16:22 → 00:16:33 ปัจจุบันสามารถตรวจโดยการใช้เครื่องอัลตราซาวด์แล้วก็ดูว่าหลอดเลือดคาโรติดทั้ง 2 หลอดนี้ ซ้ายกับขวาตีบกี่เปอร์เซนต์
00:16:33 → 00:16:46 ถ้าใครที่คะแนนดี ตีบ 0% คือไม่ตีบเลย เราก็สบายใจนะครับ โอกาสที่คราบต่างๆ คราบไขมัน คราบตะกรันจะหลุดไปอุดในหลอดเลือดสมองก็จะต่ำนะครับ
00:16:46 → 00:16:51 โอกาสที่จะเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ก็จะเสี่ยงไม่เยอะ
00:16:51 → 00:17:07 แต่ถ้าท่านใดสแกนดูหลอดเลือดคอแล้วตีบเยอะนะครับ บางคนตีบ 30 บางคนตีบ 40 ก็ต้องระวังนะครับ แต่ก็ไม่ควรจะเสียใจ เพราะอย่างไรก็รู้ก่อนที่เขาจะหลุดนะครับ
00:17:07 → 00:17:18 เราจะได้ปรึกษาแพทย์ อาจจะต้องรักษาหรือป้องกัน หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ก่อนที่โรคหลอดเลือดตีบจะมาเยือน แบบนั้นเป็นต้น
00:17:18 → 00:17:32 นั่นคือทั้งหมด 5 หัวข้อที่เริ่มต้นเล่าให้ฟังก่อนว่า หมอดูเหล่านี้นะ ข้อมูลต่างๆ แล้วหมอก็เอามาประกอบกัน เป็นแนวทางในการใช้ชีวิตนะครับ
00:17:32 → 00:17:38 เริ่มต้นด้วยตอนที่ 1 ของเรา คือ การกินนะครับ หรือการรับประทานของผมเอง
00:17:38 → 00:17:42 กลับมาเป็นเรื่องการรับประทาน เคล็ด (ไม่) ลับของผมเองนะครับ
00:17:42 → 00:17:52 หมอก็จะแบ่งออกเป็น 3 มื้อนะ มื้อเช้า หรือที่เรียกว่า Breakfast สำคัญมากนะ มื้อกลางวัน แล้วก็มื้อเย็น
00:17:52 → 00:17:57 หมอจะเริ่มต้นยังไงดี เรามาเริ่มต้นที่อาหารเช้าก่อน
00:17:57 → 00:18:03 หลายคนนะครับให้ความสนใจ ใส่ใจกับอาหารเช้าเยอะมาก
00:18:03 → 00:18:16 บางคนครับ เวลามีน้อย รถก็ติด ต้องรีบไปทำงาน ก็ทำให้หลายท่านอยากรับประทานอาหารเช้า แต่เวลาไม่พอก็เลย Skip แปลว่าข้ามไป
00:18:16 → 00:18:25 แสดงว่ามื้อเช้าหมอแอมป์พูดแบบนี้ ส่วนตัวผมเนี่ยเป็นคนรับประทานอาหารเช้าทุกวันนะครับ ขาดไม่ได้เลย
00:18:25 → 00:18:33 เรียกได้ว่าตื่นมาปุ๊บนะครับ ทำธุระส่วนตัวเสร็จสรรพปุ๊บ ก็ต้องมาตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อทานอาหารเช้า
00:18:33 → 00:18:36 ทำไมอาหารเช้าสำคัญในมุมมองของผมเอง
00:18:36 → 00:18:48 เหมือนที่เคยเล่าให้ฟังในตอนการนอนเนอะ เวลาคนเรานี่จะเข้านอนนะครับก็จะมีฮอร์โมนตัวนึงหลั่งออกมาชื่อว่าเมลาโทนินหรือฮอร์โมนที่ทำให้เราง่วงนะครับ
00:18:48 → 00:18:56 พอเราเริ่มง่วงนอนปุ๊บ หลั่งมาตอนประมาณ 2 ทุ่มกว่า 3 ทุ่ม 4 ทุ่มเราก็ง่วงมากแล้วเราก็เข้านอนไป
00:18:56 → 00:19:04 เพราะเราเข้านอนไปปุ๊บเนี่ย ฮอร์โมนซ่อมแซมหรือฮอร์โมนชะลอความแก่อย่างโกรทฮอร์โมน เนี่ยก็จะหลั่งออกมาค่อยๆ หลั่ง
00:19:04 → 00:19:16 เริ่มต้นหลั่งตอน 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม เที่ยงคืน ตี 1 อย่างนี้ ช่วงตี 1 นะครับ ช่วงเที่ยงคืนเนี่ย หลั่งเยอะมากนะครับ ก็จะทำให้เราซ่อมแซมตัวเองนะครับ
00:19:16 → 00:19:23 ชะล้างสารพิษ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอนะครับ ทำให้ร่างกายเราเนี่ยมีประสิทธิภาพที่ดี
00:19:23 → 00:19:29 พอเราเวลาล่วงเลยไประหว่างเรานอนหลับก็เกิดปฏิกิริยาเยอะมากเลย
00:19:29 → 00:19:34 หลายท่านที่ยังไม่ได้ฟังเนี่ย ไปฟังได้ในตอนการนอนสุขภาพดีนะ
00:19:34 → 00:19:48 พอมาใกล้จะเช้า ฮอร์โมนตัวหนึ่งจะค่อยๆ หลั่งมากขึ้น ตัวนั้นชื่อว่าฮอร์โมนคอร์ติซอล ฮอร์โมนคอร์ติซอลเนี่ย เรียกว่าฮอร์โมนคิด ฮอร์โมนวิเคราะห์ หรือบางคนเรียกฮอร์โมนเครียด
00:19:48 → 00:19:58 ก็คือหลังออกมาเนี่ยไม่ใช่ไม่ดีนะครับ ทำให้เราคิด ทำให้เราทำงาน ทำให้เรามีแรง ทำให้เรากระปรี้กระเปร่า แต่ถ้าเยอะเกินไปก็ไม่ดีนะครับ
00:19:58 → 00:20:07 แสดงว่าฮอร์โมนเครียดเนี่ย ถ้าเยอะเกินไปไม่ดีนะครับ ถ้าน้อยเกินไปก็ไม่ดี ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมนะครับ
00:20:07 → 00:20:12 เพราะฉะนั้นครับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะหลั่งมากที่สุดตอนไหนครับ?
00:20:12 → 00:20:17 ฮอร์โมนคอร์ติซอลจะหลั่งมากที่สุดตอนเช้าครับ ตอนที่เราตื่นนอนนี่แหละ
00:20:17 → 00:20:21 แสดงว่าตอนที่เราตื่นครับ ฮอร์โมนคอร์ติซอล สูงที่สุดในแต่ละวัน
00:20:21 → 00:20:32 ถ้าเราไม่ทานอาหารเช้าเป็นไงครับ? ฮอร์โมนคอร์ติซอลก็จะสูงขึ้นไปอีก เวลาฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงครับ เราจะรู้สึกเครียดแบบลึกๆ นะครับ
00:20:32 → 00:20:37 เราก็จะอยากกินของหวาน ของมัน ของเค็มครับ
00:20:37 → 00:20:50 ถ้าคนใดนะครับไม่ได้ทานข้าวเช้าเนี่ย ลักษณะการกินในวันนั้นๆ เนี่ย ก็จะหนักไปทางพวกอาหารที่ทำให้หายเครียดนะครับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นจั๊งค์ฟู้ดนะครับหรือเป็นฟาสต์ฟู้ดเป็นต้น
00:20:50 → 00:21:05 มีการวิจัยนะครับว่า Chronic stress หรือที่เรียกว่าภาวะเครียดเรื้อรัง หรือภาวะคอร์ติซอลสูงเรื้อรัง ไม่มีช่วงลดเลย สูงตลอดทั้งวันอะไรแบบนี้ที่มากเกินไปเนี่ย
00:21:05 → 00:21:12 ส่งผลต่อการทำงานของเอนไซม์ที่สำคัญตัวหนึ่ง เอนไซม์ตัวนี้ชื่อว่าเทโลเมอเรส (Telomerase)
00:21:12 → 00:21:20 ในตอนที่ผ่านมานะครับ หมอเคยเล่าให้ฟังนะว่ามนุษย์เราเนี่ย ปัจจุบันมนุษย์วิจัยจนมาถึงระดับโครโมโซมแล้ว
00:21:20 → 00:21:34 โครโมโซมที่รูปร่างเหมือนปาท่องโก๋ของเราเนี่ยจะมีฝาปิดอยู่ ฝาปิดตัวนี้ชื่อว่าเทโลเมียร์ ถ้ายิ่งยาวเราก็จะคุณภาพชีวิตดี อายุยืนยาว โรคภัยไข้เจ็บจะมาเยี่ยมช้า
00:21:34 → 00:21:41 ถ้าเทโลเมียร์หรือฝาปิดสั้นนะครับ เราก็จะเจ็บป่วยง่าย ก่อให้เกิดโรคต่างๆ
00:21:41 → 00:21:49 เอนไซม์ที่ชื่อว่าเทโลเมอเรสนี่แหละครับ เป็นตัวที่หลั่งออกมาจากร่างกายเราและซ่อมแซมให้ เทโลเมียร์สั้นช้า
00:21:49 → 00:22:02 แสดงว่าเทโลเมอเรสมีประโยชน์ ว่าถ้าหลั่งเยอะเราก็จะแก่ช้า ป่วยยากนะครับ ถ้าหลั่งน้อยก็จะ เทโลเมียร์สั้นไว แก่เร็ว เจ็บป่วยง่ายนะครับ
00:22:02 → 00:22:10 เจ้าฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เยอะเกินไปนี่แหละครับ จะมาทำให้เอนไซม์เทโลเมอเรสเนี่ยทำงานน้อยลงนะครับ
00:22:10 → 00:22:21 ฉะนั้นครับ การรับประทานอาหารเช้าเนี่ย มีส่วนสำคัญในการลดฮอร์โมนคอร์ติซอลในช่วงเช้าของเรา เห็นประโยชน์อันที่ 1 แล้วเนอะ
00:22:21 → 00:22:31 แสดงว่าการรับประทานอาหารเช้าเนี่ย มีผลทำให้ร่างกายเราแข็งแรง แล้วก็ทำให้เทโลเมียร์เรา เนี่ยมีคุณภาพ แล้วก็สั้นช้านะครับ
00:22:31 → 00:22:49 ประกอบกันครับ ถ้าใครที่เมื่อคืนนอนไม่ดีด้วยนะ 1 นอนดึก 2 นอนหลับไม่ลึก โกรทฮอร์โมนหลั่งน้อย หรือรับประทานมากเกินไป ยิ่งส่งผลให้ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นเนี่ยคอร์ติซอลยิ่งสูงกว่าเดิม
00:22:49 → 00:22:59 เหมือนที่หมอเคยบอกครับ ใครนอนไม่มีคุณภาพเนี่ยการควบคุมน้ำหนักเอย การดูแลสุขภาพเอยเนี่ย จะยากกว่าคนที่นอนดีนะครับ
00:22:59 → 00:23:12 เพราะในตอนนี้นะครับหมอจะโฟกัสที่การกินนะ แล้วเดี๋ยวตอนต่อๆ ไปเรามาดูกันซิว่า หมออาจจะมาแชร์ว่า หมอแอมป์มีเทคนิคการนอนอย่างไรให้สุขภาพดีอะไรแบบนี้นะครับ
00:23:12 → 00:23:24 ฉะนั้นครับ มื้อเช้าเนี่ยถือเป็นมื้อที่สำคัญ มากไปกว่านั้นนะครับ ในช่วงเรานอนเนี่ยร่างกายเรานี้เขาเรียกว่าช่วงฟาสติ้งนะครับ หรือช่วงที่ไม่มีอาหารเข้าไป
00:23:24 → 00:23:33 พอตื่นมาตอนเช้าเนี่ย สมองเราเนี่ยหลับมาสมมติ 8 ชั่วโมงนะครับ ก็ขาดสารอาหารมานานพอสมควรนะ
00:23:33 → 00:23:44 ถ้าตื่นมาตอนเช้าปุ๊ป เราไปประชุมเลยเราไปใช้ เราไปประชุมเลย เราไปใช้สมองเลยเราจะใช้ร่างกายเนี่ย ถ้าร่างกายเราพลังงานไม่พอเนี่ย เขาก็ต้องดึงพลังงานสำรองมาใช้
00:23:44 → 00:23:53 เพราะฉะนั้นครับ อาหารเช้าเนี่ยถึงมีความสำคัญกับผู้บริหารนะครับ หรือใครก็ตามที่ใช้สมองแต่เช้าเนี่ย ตื่นมาก็ควรจะทานเลย
00:23:53 → 00:24:05 แล้วก็เรื่องการออกกำลังกายนะครับ เวลาไหนดีเนี่ย ท่านผู้ฟังนี่ก็ถามเข้ามาเยอะ หมอก็ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์นะครับ เพราะอย่างไร การออกกำลังกายก็ดีกว่าไม่ออกกำลังกายนะครับ
00:24:05 → 00:24:10 เพราะถ้าเราตั้ง condition หรือว่าข้อจำกัดเยอะเนี่ย เราก็จะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
00:24:10 → 00:24:19 หมอมีเวลาน้อยก็ออกกำลังกายน้อยนะครับ หมอมีเวลาเยอะก็ออกกำลังกายเยอะ บางวันมีเวลาช่วงบ่ายก็ออกกำลังกายตอนบ่าย บางวันมีเวลาช่วงเย็นก็ออกกำลังกายตอนเย็น
00:24:19 → 00:24:23 บางวันโชคดีมีเวลาช่วงเช้าก็ออกกำลังกายตอนเช้า
00:24:23 → 00:24:33 ส่วนตัวครับ ช่วงเช้าครับ การออกกำลังเนี่ยจะมีผลหรือมีบทบาทกับการกำหนดอัตราการเผาผลาญพลังงานในแต่ละวันของคนคนนั้น
00:24:33 → 00:24:37 แสดงว่าถ้าเลือกได้เนี่ย ออกกำลังกายตอนเช้าจะดีนะครับ
00:24:37 → 00:24:44 แต่พอเราอดอาหารมาตอนที่เรานอนใช่ไหมครับ ก่อนเราจะไปออกกำลังกายช่วงเช้าเนี่ย ควรจะเติมพลังงานซะหน่อยนะครับ
00:24:44 → 00:25:01 บางท่านอาจจะรับประทานอาหารเช้าแบบไม่หนักแล้วรอให้ย่อยสักพักค่อยไปออกกำลังกาย หรือบางท่านอาจจะเติมเป็นผลไม้ เช่น กล้วย เข้าไปให้มีน้ำตาล มีแป้งนะครับเพื่อจะใช้ในการออกกำลังกายแบบนี้ก็สามารถ
00:25:01 → 00:25:08 เพราะฉะนั้นครับ ของตัวหมอเองเนี่ยหมอถึงมาเล่าให้ฟังว่ามื้อเช้าเนี่ยสำคัญกับหมอมากๆ
00:25:08 → 00:25:19 เพราะว่าหมออยากให้ร่างกายได้รับพลังงานตั้งแต่เช้าเลยนะครับ หมอจะไม่ skip breakfast นะครับ หรือว่าข้ามหรือว่าไม่กินมื้อเช้าเลยเท่าที่จำได้
00:25:19 → 00:25:28 หลายปีติดต่อกันมาเนี่ย มื้อเช้าเนี่ยเป็นอะไรที่ต้องกินทุกวันนะครับ จากสาเหตุหลายๆ อย่างนะเหมือนที่หมอบอกไป
00:25:28 → 00:25:36 เพิ่มเติมนะครับ ระดับคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดที่สูงเป็นระยะเวลานานๆ เนี่ยทำให้เกิดโรคด้วยนะครับ
00:25:36 → 00:25:50 โรคภัยไข้เจ็บในกลุ่มตัวดีเลยนะครับที่มีความเสี่ยงขึ้นแน่ถ้าระดับความเครียดหรือคอร์ติซอลสูงก็คือโรคกลุ่ม NCDs - Noncommunicable diseases หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรังนะครับ
00:25:50 → 00:25:58 เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด เกิดขึ้นมาจากระดับคอร์ติซอลที่สูงนานเกินไป
00:25:58 → 00:26:06 ฉะนั้นครับ การรับประทานอาหารเช้าเนี่ยก็จะช่วยลดอัตราการเกิดโรค NCDs ได้ด้วยนะครับ
00:26:06 → 00:26:19 การรับประทานอาหารเช้าครับ มีผลดีอีก 1 ส่วนก็คือช่วยลดแคลอรีที่ต้องการแต่ละวันลง ภาษาแพทย์หรือภาษาอังกฤษเนี่ยเขาเรียกว่า Reduce overall calorie intake
00:26:19 → 00:26:31 คือเมื่อไหร่ที่เราทานอาหารเช้าเนี่ย ร่างกายเราจะมีการปรับให้แคลอรี่ที่ต้องการต่อวันดีกว่าคนที่ไม่รับประทานอาหารเช้านะครับ
00:26:31 → 00:26:38 พูดให้เข้าใจง่ายนะครับว่าถ้าใครไม่ทานอาหารเช้าเนี่ยเหมือนจะข้ามไป 1 มื้อ แต่มื้อกลางวัน มื้อเย็นเนี่ยจะโดนหนักนะครับ
00:26:38 → 00:26:42 คือจะมีความรู้สึกหรือร่างกายจะปรับให้กินเยอะขึ้น
00:26:42 → 00:26:52 ถ้าใครที่รับประทานอาหารเช้าเนี่ย ระดับ Calories intake ต่อวันนี้จะคุมได้ดีกว่า แล้วก็ระดับน้ำตาลต่อวันเนี่ยจะนิ่งกว่านะครับ
00:26:52 → 00:27:00 เลยเป็นส่วนช่วยครับ ที่อาหารเช้านี้ก็จะเหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักด้วยได้ดีกว่านะครับ
00:27:00 → 00:27:12 แล้วก็มีการวิจัยไว้เหมือนกันนะครับในวารสาร ชื่อว่า Annals of Nutrition and Metabolism นะครับในปี ค.ศ. 2002 นะครับ โดยคณะคุณหมอ Ronald E. Kleinman นะครับว่า
00:27:12 → 00:27:27 เด็กที่รับประทานอาหารเช้าเนี่ยจะมีประสิทธิภาพการเรียนที่ดีขึ้นนั่นก็เป็นส่วนสำคัญนะครับที่ส่วนตัวหมอมีความเชื่อมั่นนะครับ แล้วก็จะพยายามมีวินัยกับการรับประทานเช้าให้มากที่สุด
00:27:27 → 00:27:35 นั่นก็คือข้อมูลนะครับ ที่หมอแอมเนี่ยใช้ประกอบในการวางแผนการรับประทานอาหารเช้าหรืออาหารมื้อต่างๆ
00:27:35 → 00:27:45 ต่อไปครับหมอจะมาแชร์ให้ฟังหรือเล่าให้ฟังเรื่องเคล็ด(ไม่)ลับแล้วกันว่า กว่าหมอจะรับประทานแต่ละอย่างหรือกินอะไรในแต่ละวันเนี่ยนะครับ
00:27:45 → 00:27:59 ตอนนี้ก็จะเป็นตอนที่หมอค่อนข้างที่จะ relax หน่อยนะ เพราะว่าไม่ได้ประกอบไปด้วยทฤษฎี แต่เป็นภาคปฏิบัติแล้วก็เป็นชีวิตจริงนะครับ ก็เลยจะค่อนข้างสบายเหมือนได้คุยกับท่านผู้ฟังอยู่ด้วยกันนะ
00:27:59 → 00:28:06 หลักๆ หรอครับ เอาข้อที่ 1 ก่อนดีกว่า 1 เนี่ยหมอพยายามจะรับประทานแบบ Plant-based diet นะครับ
00:28:06 → 00:28:12 Plant แปลว่าพืชนะครับ based ก็คือเป็นพื้นฐาน Diet ก็แปลว่าอาหารนะครับ
00:28:12 → 00:28:22 Plant-based diet ก็คืออาหารที่มีพืชผักเนี่ยเป็นหลัก อาจจะมีโปรตีนด้วยนะครับ อาจจะมีแป้งด้วย ไม่ได้แปลว่ากินผักอย่างเดียวนะครับ
00:28:22 → 00:28:29 อันที่ 1 เทคนิคหมอแอมป์เนี่ยผมจะกิน Plant-based diet เนี่ยประมาณ 4-5 วันต่อสัปดาห์นะครับ
00:28:29 → 00:28:37 อันที่ 2 ครับ หมอมักจะแบ่งมื้ออาหารหมอในแต่ละมื้อนี่ออกเป็น 50-25-25
00:28:37 → 00:28:47 คือ 50% เป็นพืชผัก แล้วก็ธัญพืชนะครับ ไม่รวมผลไม้นะ ผลไม้นี้หมอจะรวมไว้ในอีก 25 นะครับ
00:28:47 → 00:29:03 เพราะฉะนั้นคิดภาพครับ 1 จาน ครึ่งหนึ่งหรือ 50% ของหมอแอมป์เนี่ยจะเป็นผัก เป็นพืช ธัญพืช อีก 25% จะเป็นโปรตีน แล้วก็อีก 25% จะเป็นแป้งหรือน้ำตาลหรือกลุ่มที่เรียกว่าคาร์โบไฮเดรต
00:29:03 → 00:29:15 ใน 50% ของจานนึงของหมอเนี่ยก็เป็นผักใช่ไหม ผักนี้เราก็ต้องดู เพราะผักมีประโยชน์แต่ก็ต้องระวังสิ่งที่ปนเปื้อนหรือว่าสารเคมีที่ติดมาด้วย
00:29:15 → 00:29:32 เพราะฉะนั้นครับ ผักเองเวลาหมอทาน ถ้าเป็นที่บ้านหมอก็จะล้างด้วยผงฟู หรือที่เขาเรียกว่าเบกกิ้งโซดาหรือภาษาแพทย์เขาเรียกโซเดียมไบคาร์บอเนต เพื่อชะล้างสารเคมีต่างๆ ที่ติดมานะครับ
00:29:32 → 00:29:45 หรือถ้าใครที่ชอบทางด้านนี้ เราก็จะเห็นว่าปัจจุบันมีให้เลือกเยอะนะครับไม่ว่าจะเป็น ผักออแกนิค หรือว่าใช้สารเคมีในการปลูกน้อยเลยนี่คือหลักการนะครับ
00:29:45 → 00:29:57 50% ที่เป็นผักนะครับ หมอก็แบ่งครึ่งจานไปเนาะ ผักนี้ก็มีหลายอย่างเลยนะครับ ผักใบเขียว เส้นใยเยอะ ไฟเบอร์เยอะ ช่วยร่างกาย
00:29:57 → 00:30:05 ผักทำไมเวลากินอิ่มเนี่ยช่วยร่างกายเรา เพราะว่าด้วยความที่ผักเป็นไฟเบอร์ ก็ใช้เวลาย่อยนาน
00:30:05 → 00:30:16 เพราะฉะนั้นความอิ่มก็จะอยู่กับเรานานมากกว่าน้ำตาล มากกว่าพวกขนมที่เข้าไปปุ๊บน้ำตาลย่อยไวขึ้นปุ๊บ แป๊บเดียวจะอยากมารับประทานอีกแล้วนะครับ
00:30:16 → 00:30:24 แล้วในผักก็จะมีพรีไบโอติก (Prebiotics) อยู่เยอะทีเดียว ก็คือเป็นอาหารนะครับของ โปรไบโอติก (Probiotics)
00:30:24 → 00:30:34 โปรไบโอติก ก็คือแบคทีเรียชนิดดีๆในร่างกายเรา เขาก็ต้องการอาหารหรือที่เกาะ หรือที่อยู่นะครับ ผักต่างๆ นี้แหละครับมีประโยชน์
00:30:34 → 00:30:44 แล้วในปัจจุบันครับ ในยุคที่โรคระบาดยังโจมตีมนุษย์อยู่ ในพืชพันธุ์ธัญญาหารนะครับ โดยเฉพาะในผักก็จะมีวิตามินต่างๆ ที่เยอะมาก
00:30:44 → 00:30:50 ในการเพิ่มประสิทธิภาพสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายเรา เช่น เห็ดนะครับ
00:30:50 → 00:30:58 เห็ด เป็นพืชที่มี วิตามินดี เยอะนะครับ ก็จะมีส่วนช่วยในการเพิ่มภูมิต้านทานตัวเราแบบนั้นเป็นต้น
00:30:58 → 00:31:03 คราวนี้ครับอีก 25% ที่หมอทานนี่ก็จะเป็นโปรตีน
00:31:03 → 00:31:16 เนื่องด้วยหมอเป็น Plant-based diet ประมาณ 4-5 วันต่อสัปดาห์ แสดงว่าส่วนใหญ่ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี แล้วก็วันอาทิตย์ 5 วันพอดี หมอจะรับประทานเป็น Plant-based
00:31:16 → 00:31:27 พอเป็น Plant-based หรือเป็นพืชเป็นหลักเนี่ย 50% เป็นพืชผักไปแล้วใช่ไหมอีก 25% โปรตีนเนี่ยหมอก็ต้องเติมให้ร่างกายได้รับครบถ้วน
00:31:27 → 00:31:36 ถ้าเป็นวันที่หมอกิน Plant-based เนี่ยหมอก็จะเติมเป็นเต้าหู้ เติมเป็นถั่วนะครับ ถั่วกับเต้าหู้เนี่ยก็จะมีโปรตีนเยอะ
00:31:36 → 00:31:47 และในบางวันที่เป็นวันครอบครัวนะครับ หรือภาษาหมอแอมป์เนี่ยหมอจะเรียกว่า Cheating Day นะครับ หรือ Cheat Day คือวันขี้โกงวันเทศกาลนะครับ
00:31:47 → 00:31:56 หมอก็จะรับประทานเนื้อสัตว์บ้างนะครับ ไม่ได้แปลว่าหมอสุดโต่งแบบกินมังสวิรัติหรือเป็นวีแกนทุกวันไม่ได้นะครับ หมอยังทำไม่ได้ขนาดนั้น
00:31:56 → 00:32:06 ท่านผู้ฟังที่ทำได้แล้วนะครับบริหารจัดการตัวเองได้นะครับผลเลือดดีคุณหมอส่วนตัวชมเนี่ยหมอก็ขอแสดงความยินดีและชื่นชมด้วยนะครับ
00:32:06 → 00:32:20 ส่วนตัวหมอทำ Plant-based diet หรือรับประทานพืชเป็นหลักเนี่ยได้ประมาณ 4-5 วันต่อสัปดาห์นะครับ แล้วก็จะมีประมาณ 2 วันต่อสัปดาห์ครับที่เป็นวันครอบครัว ก็จะค่อนข้างหลวมๆ หน่อยนะครับ
00:32:20 → 00:32:28 ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวันเสาร์อาทิตย์ หรือไม่งั้นก็ศุกร์เสาร์ ที่ถ้าที่บ้านก็ทานอะไรกันเราก็ทานด้วยนะครับ
00:32:28 → 00:32:37 แต่เราก็จะเลือกหน่อยนะ แต่เราก็จะไม่ Strict หรือว่าระมัดระวังมากเท่าวันปกติที่เราอยู่คนเดียวหรือว่าที่เราสามารถ control ตัวเราได้
00:32:37 → 00:32:49 ถ้าไปเจอคุณพ่อคุณแม่เนี่ยเขาจะมีงานเลี้ยงกันเราก็รับประทานได้นะครับ เพราะหมอบอกแล้วครับ คนเราเนี่ยจะสุขภาพดีได้เนี่ยต้องดีทั้งกายและใจนะ
00:32:49 → 00:33:03 ไม่ใช่แค่สุขภาพกายดี ผลเลือดดี ทุกอย่างดี แต่เราเครียดนะครับ จะกินอะไรเราก็เครียด จะไปโดนอันนั้นเราก็กลัวเรากินแล้วไม่ดี อันนี้ก็ไม่ได้ พอเราเครียดมากๆ ไปสุขภาพใจก็เสีย
00:33:03 → 00:33:12 แบบนี้พอเอารวมกันระหว่างสุขภาพกายและใจเป็นสุขภาพทั้งตัวเนี่ยคะแนนอาจจะไม่ดี หรือดีไม่ดีติดลบ
00:33:12 → 00:33:22 แสดงว่าสุขภาพใจเนี่ย เราต้องอยู่ในสังคม อยู่กับครอบครัวเนี่ย หมอถึงพยายามจะบอกว่าหมอเองก็พยายามจะปรับให้มีความสุขทุกฝ่าย
00:33:22 → 00:33:36 ฉะนั้นศุกร์เสาร์ หรือเสาร์อาทิตย์เนี่ย วันครอบครัวหมอก็กินโปรตีนนะครับ แต่ก็พยายามจะเลือกให้เป็นโปรตีนที่คุณภาพดี เช่น โปรตีนเนื้อขาว หมอก็จะทานปลาเยอะนะครับ
00:33:36 → 00:33:45 โปรตีนเนื้อขาวก็จะมีสัตว์ปีกนะครับ วงเล็บ ไม่ติดหนังนะครับ ถ้าทานอกไก่ ทานไก่ ทานเป็ด ก็เอาหนังออกนะครับ
00:33:45 → 00:33:50 ถ้าทานปลาก็ถือว่าดีเลย พยายามทานเนื้อแดงให้น้อยนะครับ ส่วนตัวหมอแอมป์เนี่ย
00:33:50 → 00:34:02 เนื้อแดงก็จะมีเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแกะนะครับ ถ้าไม่จำเป็นก็ทานไม่เยอะนะครับ ถ้าจำเป็นต้องรับประทานก็จะทานเป็นสันใน สันในก็จะมันน้อยนะครับ
00:34:02 → 00:34:09 ถ้าบางคนชอบแบบโอ้โหมันเยอะๆ ต้องแนะนำว่าต้องหลีกเลี่ยงหน่อยนะครับ รับประทานอย่างไรตับเราก็ได้อย่างนั้น
00:34:09 → 00:34:25 ถ้าเราทานเนื้อ ทานหมูไขมันติดเยอะๆ ทานเครื่องใน เครื่องในนี่ไขมันเยอะ เขาก็เข้าไปพอกอยู่ในตับเรา ก่อให้เกิดภาวะไขมันพอกตับนะครับมาเป็นเงาตามตัว น่ากลัวมากนะครับภาวะนี้
00:34:25 → 00:34:39 และที่สำคัญอีกหนึ่งอย่าง ที่ส่วนตัวหมอแอมป์พยายามจะลดละเลิกนะครับ คือ รับประทานน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า Processed Meat นะครับแล้วก็ Processed Bakery
00:34:39 → 00:34:50 Processed Meat ก่อนนะ หมอพูดไปในหลายตอนว่า พวกผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปเนี่ยนะครับ ก็จะมีความเสี่ยงในการก่อมะเร็งนะครับ
00:34:50 → 00:35:03 แล้วก็มีสารต่างๆ เนี่ยหลุดเข้ามาด้วย ถ้ารับประทานเนื้อสัตว์ หมอก็จะทานเป็นเนื้อสัตว์แบบสดๆ เอามาปรุงเลยนะครับ แต่จะไม่ค่อยทานอะไรที่แปรรูปมาแล้วนะครับ
00:35:03 → 00:35:14 เพราะฉะนั้นหมอไม่อยากว่าอันนู้นอันนี้อันนั้นนะ อยากให้ผู้ฟังเนี่ยไปประยุกต์เองดีกว่า ว่าอะไรที่แปรรูปมาเนี่ย เช่น ยกตัวอย่างนิดหน่อยแล้วกันพอหอมปากหอมคอ
00:35:14 → 00:35:29 ที่หมอกินน้อยนะ คือพวกเบอร์เกอร์ ไส้กรอก พาร์ม่าแฮม เบคอน ถ้าเป็นบ้านเราก็อาจจะเป็นแหนม เป็นหมูยอ กุนเชียงเนี่ย หมอทานนะครับ แต่ทานนานๆ ทีนะครับ
00:35:29 → 00:35:36 เนื่องจากหมอต้องการลดอาหารแปรรูปลง สำหรับส่วนตัวนอกจากช่วงเทศกาลจริงๆ
00:35:36 → 00:35:44 เพื่อหมออยากจะหลีกหนีจากโรคมะเร็งนะครับ แล้วก็อยากให้ไขมันในตับและก็ในเลือดเนี่ยดีขึ้นนะครับ
00:35:44 → 00:35:55 ต่อไป 25% ของจานนะครับ ก็จะเป็นแป้ง หรือที่เรียกว่าคาร์โบไฮเดรต ใน 25% นี้นับรวมถึงน้ำตาลแล้วก็ผลไม้ด้วยนะครับ
00:35:55 → 00:36:06 แสดงว่าเวลาหมอแอมป์รับประทานเนี่ย หมอทานอะไรเหรอ? หมอจะทานข้าวกล้องบ่อยนะครับ ข้าวไรซ์เบอรี่ เส้นหมี่ วุ้นเส้น เส้นเล็กนะครับ
00:36:06 → 00:36:18 ก็จะรับประทานขนมจีน แต่จะไม่ค่อยรับประทานเส้นใหญ่นะครับ เพราะว่าไขมันแล้วก็แป้งเยอะนะครับ ส่วนพวกแป้งฝรั่งเดี๋ยวจะบอกว่าทำไมหมอไม่ทานเลยนะ
00:36:18 → 00:36:23 เดี๋ยวต่อไปนี้หมอจะเล่าให้ฟังว่าทำไมหมอถึงทานอันนั้นหมอไม่ทานอันนี้นะครับ
00:36:23 → 00:36:29 สรุปข้อที่ 2 ก่อนนะครับ เทคนิคของหมอเองก็แบ่งจานนึงออกเป็น 50-25-25 นะครับ
00:36:29 → 00:36:36 50% เป็นผัก 25% เป็นโปรตีน ใครเก่งหน่อยกินโปรตีนจากพืชนะครับ
00:36:36 → 00:36:45 ใครยังทำไม่ค่อยได้ก็กินโปรตีนเนื้อขาวนะครับ ใครที่รับประทานโปรตีนเนื้อแดงอยู่ก็พยายามอย่าไปติดมันติดหนังนะครับ
00:36:45 → 00:36:53 แล้วก็อีก 25% นะครับ เป็นแป้งนะครับ เน้นไปที่แป้งไม่ขัดสี เป็นข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอรี่ แบบนี้เป็นต้น
00:36:53 → 00:37:02 ข้อต่อไปนะครับ เมื่อกี้หมอแชร์ให้ฟังแล้วว่าเทคนิคของหมอคือพยายามหลีกเลี่ยง Processed meat นะครับหรือเนื้อสัตว์แปรรูป
00:37:02 → 00:37:10 ขนมนะครับหรือ Processed Bakery นะครับ หรือ Refined Sugar หรือพวกน้ำตาล ที่แปรรูปมาเนี่ย หมอก็จะไม่ค่อยรับประทานเลยนะครับ
00:37:10 → 00:37:15 ด้วยความโชคดีมั้ง หมอเป็นคนไม่ชอบกินขนมอยู่แล้วตั้งแต่เด็กเลย
00:37:15 → 00:37:29 พอโตมาเนี่ยร่ำเรียนเป็นแพทย์เนี่ยรักษาคนไข้เนี่ยเวลาบอกให้คนไข้หรือแนะนำคนไข้ให้รับประทานขนมน้อยๆ ของหวานน้อยๆ ส่วนตัวหมอก็เลยค่อนข้างโอเค เพราะว่าหมอทำไง
00:37:29 → 00:37:40 ถ้าหมอทำหมอก็จะบอกคนไข้ได้เต็มปาก แต่ถ้าหมอกินขนมเยอะหมอเขินนะ ไม่กล้าสั่งไม่กล้าบอกท่านผู้ฟังหรือว่าคนไข้ว่าห้ามกินอันโน้นอันนี้นะครับ
00:37:40 → 00:37:54 เพราะฉะนั้นโดยพื้นฐานส่วนใหญ่หมอจะไม่บังคับ แต่หมอจะเล่าให้ฟังว่าคนไข้คนนี้มีความเสี่ยงอย่างไร เขาหลอดเลือดเป็นอย่างไร ตับเริ่มไม่ดีแล้วหรือเปล่า มีไขมันพอกไหมนะครับ
00:37:54 → 00:38:00 ถ้าเขายังรักสุขภาพ ยังรักครอบครัว อยากอยู่กับคนที่เขารักเขาก็จะหันมาดูแลตัวเขาเอง
00:38:00 → 00:38:07 ถ้าเมื่อไหร่ที่เจ้าตัวอยากดูแลตัวเอง การรักษาดูแลสุขภาพเนี่ยจะประสบความสำเร็จสูง
00:38:07 → 00:38:14 แต่ถ้าเมื่อไหร่เกิดจากการที่โดนบังคับนะครับ คนนู้นบอกให้ทำคนนี้บอกให้ทำ
00:38:14 → 00:38:24 โดยที่ตัวเราเนี่ยยังไม่ได้รู้สึกว่ามันตูดร้อนหรือว่ารู้สึกว่าใกล้จะเห็นโลงศพแล้วนะครับไม่หลั่งน้ำตาหรืออะไรก็ตามแบบนั้นเนี่ย
00:38:24 → 00:38:32 ถ้าโดนบังคับเนี่ยการดูแลสุขภาพเนี่ยไม่ค่อยมีประสิทธิภาพหรือไม่ค่อยได้ผลนะครับ นั่นคือหลักการสำคัญนะ
00:38:32 → 00:38:42 เพราะฉะนั้นครับพวก Processed Bakery หมอก็จะไม่ค่อยรับประทานเลยไม่ว่าจะเป็นพวกกาแฟเย็น ชาเย็นที่แบบนมเนยเยอะๆ หรือว่ามีครีมเทียมเยอะๆ
00:38:42 → 00:38:50 น้ำอัดลมนี่หมอไม่ทานเลย เครื่องดื่มผลไม้ต่างๆ หมอก็ไม่รับประทาน ถ้าทานหมอจะทานผลไม้เป็นผลไม้สดไปเลยนะครับ
00:38:50 → 00:39:00 เมื่อกี๊กลับไปนิดนึงนะครับตรง 25% ที่เป็นแป้งและน้ำตาลเนี่ย หมอก็จะรวมในหัวข้อ 25 เปอร์เซ็นต์นี้เป็นผลไม้ด้วยนะครับ
00:39:00 → 00:39:10 ผลไม้ที่หมอแอมป์ทานหรอครับ? หมอก็มักจะเลือกรับประทานผลไม้ที่ Glycemic Index ต่ำหรือว่าระดับน้ำตาลในผลไม้นั้นไม่สูง
00:39:10 → 00:39:23 เพราะฉะนั้นการทานหมอก็จะทานไม่กี่อย่างนะครับ ที่ทานบ่อยๆ ก็จะเป็นฝรั่ง แอปเปิ้ล สาลี่ ลูกพลับสด แล้วก็เชอรี่แล้วก็ชมพู่ประมาณนี้นะครับ
00:39:23 → 00:39:31 ในตู้เย็นนี้จะมีผลไม้ประมาณนี้ แล้วหมอเนี่ยจะรับประทานผลไม้เนี่ยโดยเฉพาะมื้อเช้ามื้อกลางวันซะเยอะนะครับ
00:39:31 → 00:39:39 ตอนบ่ายๆ ช่วงเบรคก็มีรับประทานผลไม้ แต่หมอจะไม่ค่อยรับประทานผลไม้มื้อเย็นนะ เนื่องจากไปผูกกับข้อต่อไป
00:39:39 → 00:39:54 หมอจะรับประทานแป้งและน้ำตาลในมื้อเย็นเนี่ยน้อยมากนะครับ เนื่องจากน้ำตาลหรือแป้งจะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นระดับน้ำตาลในเลือดทำให้อินซูลินสูงนะครับ
00:39:54 → 00:39:59 อินซูลินที่สูงเนี่ยจะไปมีผลต่อการหลั่งของโกรทฮอร์โมนตอนเรานอนหลับ
00:39:59 → 00:40:06 แสดงว่าถ้าเรากินน้ำตาล กินแป้งในเมื่อเช้ามื้อกลางวันยังบ่ายอยู่พระอาทิตย์ยังขึ้นเนี่ยไม่ค่อยมีปัญหา
00:40:06 → 00:40:13 แต่ถ้าทานในมื้อเย็นนี่อาจจะไปรบกวนหรือไป interfere ระดับการหลั่งของโกรทฮอร์โมนได้นะ
00:40:13 → 00:40:24 เพราะฉะนั้นมื้อเย็นครับ หมอจะไม่ค่อยรับประทานแป้ง แล้วก็ไม่รับประทานน้ำตาลหรือผลไม้หวานมากนักนะครับ จะไปทานตอนบ่ายๆ เช้าๆ แทน
00:40:24 → 00:40:30 ข้อต่อไปครับ ที่หมอบอกไปก็คือเรื่องการรับประทานกาแฟ
00:40:30 → 00:40:36 หมอแอมป์เนี่ยส่วนตัวผมทานกาแฟวันนึงไม่เกิน 2 แก้วนะครับ
00:40:36 → 00:40:46 โดยเฉลี่ยในกาแฟอเมริกาโน่หรือกาแฟดำ 1 แก้วเนี่ยคาเฟอีนประมาณ 120-150 mg หมอรับประทานแก้วเดียวนะครับ
00:40:46 → 00:40:56 ถ้าบ่ายๆ อยากจะทานจริงๆ หมอก็จะทานเป็น Decaf นะครับหรือว่ากาแฟที่สกัดเอาคาเฟอีนออกไปแล้วประมาณ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์
00:40:56 → 00:41:07 แสดงว่าคาเฟอีนยังเหลือนะแต่เหลือน้อย ถ้าแก้วปกติมีสัก 150 mg คาเฟอีนแก้ว Decaf น่าจะมี 3-10 mg ไม่เกินนี้นะครับ
00:41:07 → 00:41:13 หมอก็จะรับประทานวันนึงไม่เกิน 2 แก้วนะครับ ส่วนใหญ่ก็จะแก้วเดียว แล้วก็เป็นกาแฟดำนะครับ
00:41:13 → 00:41:21 ใครที่สนใจเรื่องกาแฟนะครับไปฟังในตอนกาแฟได้ จะมีข้อมูลอยู่เยอะนะครับว่าดีอย่างไรไม่ดีอย่างไร
00:41:21 → 00:41:28 กาแฟก็มีประโยชน์เยอะ แต่พยายามอย่าไปใส่น้ำตาลเยอะนะครับ พยายามอย่าไปใส่ครีมเทียมหรือนมข้นเยอะ
00:41:28 → 00:41:42 ต่อไปครับ การรับประทานโปรตีนของผมเองนะครับ ผมก็จะคำนวณว่าโปรตีนในแต่ละวันของ มนุษย์เนี่ยต้องการประมาณ 0.8 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักเรานะ
00:41:42 → 00:41:47 ถ้าบางคนใช้ร่างกายเยอะหน่อยก็ต้องการประมาณ 1 กรัมต่อกิโลกรัมนะครับ
00:41:47 → 00:41:56 อย่างหมอแอมป์เนี่ยปัจจุบันผมหนัก 63 กิโลกรัม คูณด้วย 0.8 วันนึงหมอต้องการโปรตีนประมาณ 50 กรัมนะครับ
00:41:56 → 00:42:12 หมอก็จะเน้นไปที่ Plant-based ใช่ไหม หมอก็ต้องเติมโปรตีนพืชนะครับ แต่ก็ต้องยอมรับนะครับว่าเวลาเรารับประทานโปรตีนเข้าไปเนี่ย โปรตีนจากเนื้อสัตว์ต่อปริมาตรเนี่ยก็จะมีเยอะกว่าโปรตีนจากพืชนะครับ
00:42:12 → 00:42:20 พูดให้เข้าใจง่ายคือเราต้องกินถั่ว กินเต้าหู้เยอะมากกว่าปริมาณที่เรากินเนื้อสัตว์เราถึงจะได้โปรตีนเท่ากันนะ
00:42:20 → 00:42:28 เพราะฉะนั้นในบางวันที่หมอได้โปรตีนจากอาหารเนี่ยแต่ไม่ครบนะครับ 50 กรัมเนี่ยหมอก็จะเติมเป็นโปรตีนผงนะ
00:42:28 → 00:42:34 อันนี้ก็แชร์ว่าส่วนตัวทำอย่างไร วันนี้ก็อยากจะมาเล่าให้มันเป็นความจริงเลย
00:42:34 → 00:42:42 หมอก็จะเติมโปรตีนพืชนะครับของโรงพยาบาลเนี่ยเข้าไป จะยี่ห้อไหนก็ตามท่านผู้ฟังก็เลือกหาได้เลยนะครับ
00:42:42 → 00:42:48 หมอมีบรรยายไว้ในตอนโปรตีนพืชนะข้อมูลน่าสนใจหลายส่วนนะครับ
00:42:48 → 00:42:55 เพราะฉะนั้นครับ พอเติมเข้าไปสะสมมื้อเช้ามื้อกลางวันมื้อเย็นเนี่ยให้ถึงประมาณ 50 กรัมนะครับ
00:42:55 → 00:43:07 คราวนี้นะครับหมอขอเพิ่มนิดนึงว่าแต่ละคนต้องการโปรตีนเท่าไหร่ ต้องการน้ำตาลเท่าไหร่ อันนี้พูดยากนะครับ เพราะว่าขึ้นอยู่กับลักษณะงาน และการใช้ชีวิต และพันธุกรรม
00:43:07 → 00:43:16 คนบางคนเป็นนักกีฬาออกกำลังกายเยอะใช้ร่างกายเยอะ แบบนั้นเขาต้องการแป้งน้ำตาลและโปรตีนมากกว่านะครับ
00:43:16 → 00:43:26 บางคนที่นั่งโต๊ะทำงานทั้งวันไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อเลยแต่ใช้สมองเยอะ ใช้การคิดวิเคราะห์เยอะ อันนี้ก็ต้องการสารอาหารที่แตกต่างออกไป
00:43:26 → 00:43:38 แสดงว่าเหมือนที่หมอบอกครับ วันนี้หมอมาเล่าเทคนิคส่วนตัวหมอแอมป์ บางคนที่คิดว่าใกล้เคียงกัน ใช้ชีวิตเอาไปปรับดูแล้วได้ผล รู้สึกสุขภาพแข็งแรงขึ้น อันนั้นสามารถ
00:43:38 → 00:43:46 บางคนเอาไปทำแล้วไม่เวิร์คเลย หรือไม่ได้ผลเลย ก็เป็นไปได้ เนื่องจากเราแต่ละคนเนี่ยไม่เหมือนกัน
00:43:46 → 00:44:02 หมอถึงบอกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ที่เราอยู่ด้วยกัน วันนี้ก็เป็นฤกษ์งามยามดีที่หมอจะเอาทฤษฎีทั้งหมดแต่ละอันแต่ละข้อเนี่ย เพราะบางครั้งหลายทฤษฎีก็ทำให้เรายากเหมือนกันจะวางแผนยังไง เพราะความรู้เยอะไปหมด
00:44:02 → 00:44:11 พอมาเป็นภาคปฏิบัติเนี่ยเราก็ต้องกลั่นกรองลำดับความสำคัญนะครับ แล้วก็ลงมาเป็นตัวเราที่ว่าเหมาะสมแค่ไหนนะครับ
00:44:11 → 00:44:22 ไปต่อนะครับ แคลอรี่ต่อวันนะครับ คนเราเนี่ยก็จะรับประทานหลากหลายนะครับ คนใช้แรงงานเยอะก็รับประทานแคลอรี่ได้มากหน่อย
00:44:22 → 00:44:36 คนไหนใช้แรงงานเยอะด้วยออกกำลังด้วยแคลอรี่เผาผลาญเยอะก็เติมเข้าไปได้เยอะ คนไหนใช้แรงงานตัวเองน้อยขยับน้อยเดินน้อย ใช้แต่สมองใช้น้อยก็ต้องรับประทานเข้าไปน้อย
00:44:36 → 00:44:45 ส่วนตัวหมอแอมป์นะครับ วันปกติเนี่ยผมจะรับประทานประมาณวันละ 1,500-1,600 กิโลแคลอรี่ต่อวัน
00:44:45 → 00:44:52 และในวัน Cheat Day หรือวันขี้โกงหรือวันครอบครัวหมอจะรับประทานประมาณ 2,000 กิโลแคลอรี่นะครับ
00:44:52 → 00:45:04 เพราะฉะนั้นที่หมอบอกว่าจะกินดีอาทิตย์นึงประมาณ 5 วันแล้วก็มีวันที่แบบหลุดๆ หน่อยประมาณสัก 2 วันต่ออาทิตย์นั่นก็คือตัวเลขที่หมอใช้ในการ Monitor ว่า
00:45:04 → 00:45:11 ถ้าวันธรรมดาก็ 1,600 กิโลแคลอรี่ มื้อนึงประมาณสัก 500 ถ้าเกินนี้เราก็ต้องกินมื้อต่อไปให้น้อยลงแล้ว
00:45:11 → 00:45:19 เรื่องการรับประทานแอลกอฮอล์นะครับ นี่ก็เป็นปัญหาที่หลายท่านถามมาเยอะนะ แอลกอฮอล์เนี่ยหมอเคยพูดไว้แล้วอีกเช่นกัน
00:45:19 → 00:45:24 ถ้าใครต้องการความรู้หรือว่าต้องการข้อมูลลึกๆ ไปฟังตอนที่ผ่านๆ มาได้นะครับ
00:45:24 → 00:45:28 ส่วนตัววันธรรมดาหมอจะไม่รับประทานแอลกอฮอล์เลย
00:45:28 → 00:45:38 เขาก็จะมีการพูดว่าแอลกอฮอล์ที่ระดับปลอดภัย ถ้าเป็นผู้ชายก็ 2 drinks ต่อวัน เป็นผู้หญิงก็ 1 drink ต่อวันก็เฉลี่ยประมาณวันละแก้วนะครับ
00:45:38 → 00:45:43 สำหรับโดสที่เขาแนะนำว่ายังไม่ก่อให้เกิดอันตรายนะครับ
00:45:43 → 00:45:50 แต่จันทร์ถึงพฤหัสบดีเนี่ยหมอไม่รับประทานแอลกอฮอล์ ถ้าวันครอบครัวเหรอก็มีบ้างนะครับ
00:45:50 → 00:46:03 อย่างวันเสาร์นะครับ ถ้ารับประทานเนี่ยก็จะรับประทานประมาณ 2-3 drinks แสดงว่าต่ออาทิตย์นะ เพราะว่าอาทิตย์นึงหมอทานวันเดียวก็จะพยายามไม่ให้เกิน 5 drinks นะครับพยายามแบบนั้น
00:46:03 → 00:46:18 เพราะส่วนตัวก็ไม่ได้กินให้เมา แต่ว่าอาจจะเป็นการรับประทานเพื่อให้เกิดความสนุกนะครับ หรือสุขภาพใจ ได้ครื้นเครงไปกับคนที่เรารักหรือครอบครัวเรา อันนี้ก็เป็นการบำรุงสุขภาพจิต
00:46:18 → 00:46:27 แต่แอลกอฮอล์ก็ทำร้ายร่างกายนะครับ อันนี้ถ้าใครไม่รับประทานเลยหมอชื่นใจแล้วก็ชื่นชมว่าทำดีอยู่แล้วทำต่อไปนะครับ
00:46:27 → 00:46:42 ถ้าใครที่รับประทานทุกวัน อยู่คนเดียวก็ทานนะ ไม่มีใครอยู่ก็ทาน อย่างนี้ก็ต้องลดหน่อยนะครับ แล้วก็เลือกไว้เฉพาะวันพิเศษ เวลารับประทานก็อย่าเยอะเกินจนเมาจนขาดสติแบบนั้น นั่นก็คือหัวข้อเรื่องแอลกอฮอล์
00:46:42 → 00:46:54 ต่อไปการดื่มน้ำนะครับ หมอก็จะเน้นเป็นน้ำเปล่าเป็นหลัก หลายๆ ตอนที่เล่าให้ผู้ฟังฟังไปท่านผู้ฟังก็จะสังเกตว่าหมอจะแนะนำน้ำที่ดีที่สุดท้ายเนี่ยก็เป็นน้ำเปล่า
00:46:54 → 00:47:06 น้ำเปล่าในปัจจุบันเนี่ยนะครับถ้าตาม guideline หรือตามการแนะนำในเมืองนอกเนี่ยเยอะนะครับวันนึงผู้ชายก็ต้อง 3.7 ลิตรถ้าเป็นผู้หญิง 2.7 ลิตรนะครับ
00:47:06 → 00:47:13 หมอเคยพูดไว้ในตอนวิตามินผิวสวยตอนที่ 1 เรื่องน้ำนะ ถ้าเฉลี่ยเป็นแก้วก็ 10 กว่าแก้ว
00:47:13 → 00:47:30 หัวข้อนี้ต้องยอมรับกับท่านผู้ฟังว่าหมอยังทำไม่ได้นะ ถ้าใครที่อยู่ใกล้ตัวก็จะรู้ว่ายังกินไม่ถึง วันนึงหมอยังได้ประมาณ 6-7 แก้ว ถ้าแก้วนึงเฉลี่ยประมาณ 230 cc ก็ประมาณ 1.5 ลิตรนะครับ
00:47:30 → 00:47:36 ก็เท่ากับ Standard ที่หลายๆ คนอ่านมานะ แต่ความเป็นจริงเนี่ยเราต้องการน้ำมากกว่านั้น
00:47:36 → 00:47:45 แต่ก็มีปัจจัยนะครับ เป็นเมืองหนาวหรือประเทศเมืองร้อน เสียน้ำเยอะเสียน้ำน้อยนะครับ เฉลี่ยวันนึงขอกินได้ประมาณ 6-7 แก้ว
00:47:45 → 00:47:52 จะพยายามในปีนี้ให้ถึง 8 แก้ว 9 แก้ว 10 แก้ว แบบนั้นนะครับ อันนี้คือเรื่องน้ำเปล่านะ
00:47:52 → 00:48:06 คราวนี้นะครับมาถึงทฤษฎีต่างๆ ต้องเรียกว่าทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจหรือการวางแผนการรับประทานของตัวผมเอง หมอแอมป์ใช้ข้อมูลแบบไหนบ้างนะครับ
00:48:06 → 00:48:19 อันนี้เล่าให้ฟังเป็นความรู้มาแลกเปลี่ยนกันนะครับ ใครที่ดูแลร่างกายแบบไหนเนี่ยจะมาแชร์ใน Comment ท่านอื่นๆ ผ่านมามาดูมาแลกเปลี่ยนกันเนี่ยก็เป็นเรื่องที่ดี
00:48:19 → 00:48:26 อันที่สำคัญครับกับเรื่องกาแฟ หมอไล่ไปทีละข้อนะ ว่าหมอตัดสินใจแบบนั้นเพราะอะไรนะครับ
00:48:26 → 00:48:41 เรื่องกาแฟครับ ทำไมหมอรับประทานไม่เกินวันละ 1-2 แก้ว เพราะว่าหมอตรวจรหัสพันธุกรรมตัวเองแล้วเรื่อง Caffeine metabolism หรือการเผาผลาญคาเฟอีนออกจากร่างกายเนี่ยก็จะมีรหัสพันธุกรรมนะครับ
00:48:41 → 00:48:56 ตัวที่ 1 ชื่อว่า Cytochrome P1A2 ตัวที่ 2 ชื่อว่า VDR Gene ตัวที่ 3 ชื่อว่า ADORA2A
00:48:56 → 00:49:08 ทั้ง 3 ตัวนี้เป็นตัวที่เกี่ยวพันกับตัวหมอและขึ้นว่าหมอแอมป์เนี่ยเป็นคนย่อยคาเฟอีนได้ช้า ถ้าหมอรับประทานเกิน หมอจะปวดหัว จะมึนนะครับ
00:49:08 → 00:49:20 ถ้ารับประทานหลังเที่ยงก็จะทำให้คืนนี้นอนไม่ดีนอนไม่หลับ หมอถึงกลัวมากเลยว่ากาแฟเนี่ยหมอชอบทาน แต่ทานกาแฟดำร้อนนะ วันละแก้วตอนเช้าแล้วก็จบนะครับ
00:49:20 → 00:49:30 ตอนบ่ายเป็นต้นไปไม่มีเลยเพราะกลัวกลางคืนนอนไม่หลับนะครับ แล้วก็ไม่ทานเยอะกว่า 2 แก้วแน่ เพราะจะทำให้ปวดหัว อันนี้ก็เป็นทฤษฎีส่วนตัวหมอเองนะ
00:49:30 → 00:49:40 อันที่ 2 นะครับ คือหมอแอมป์ตรวจรหัสพันธุกรรมแล้วหมอก็ไปเจอยีนที่เกี่ยวกับเรื่องของ การย่อยกลูเตน
00:49:40 → 00:49:58 Gluten ก็คือความเหนียวในแป้งที่ขึ้นในประเทศเมืองหนาวทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นแป้งสาลี แป้งไรน์ ขนมปัง สปาเก็ตตี้ พาสต้า พิซซ่า สรุปตัวหมอเองเนี่ยไม่ย่อย ไม่ย่อยกลุ่มกลูเตน
00:49:58 → 00:50:10 ไม่ว่าจะเป็นการเจาะรหัสพันธุกรรมก็ดีหรือจะเป็นการตรวจจากภูมิแพ้อาหารแฝงหรือว่า IgG4 ก็ดีนะครับ หมอถึงไม่รับประทานอาหารกลุ่มนี้นะครับ
00:50:10 → 00:50:24 ถ้าเผลอรับประทานไปหรอ ก็จะมีแก๊สเยอะ ผายลม มีเรอนะครับ บางทีก็จะมีผื่นขึ้นหรืออาจจะเป็นสิวเป็นรอยดำแล้วหายยาก หมอก็เลยค่อนข้างกลัว หมอก็จะไม่รับประทานนะครับ
00:50:24 → 00:50:38 พอหมอแพ้กลูเตนเนี่ยหมอก็สบายขึ้นในเชิงการเลือกอาหาร หมอก็ไม่ต้องรับประทานขนมปังทุกชนิด แล้วก็แป้งพาสต้าทุกชนิด แล้วก็แป้งพิซซ่าปกติหมอไม่ทานเลย
00:50:38 → 00:50:45 แต่ปัจจุบันนะครับ ก็มีพวกแป้งทางเลือกออกมาเยอะมาก เขาจะเขียนว่า gluten-free
00:50:45 → 00:50:54 ถ้าเป็นแป้งแพนเค้ก gluten-free ทำมาจากแป้งมันสำปะหลังบ้านเราเดี๋ยวนี้ผู้ประกอบการเอามาทำแล้วก็พัฒนาเยอะมาก
00:50:54 → 00:51:06 แล้วเพื่อนๆ หมอเองหรือคนไข้ที่ได้ตรวจพันธุกรรมแล้วรู้ว่าตัวเองแพ้กลูเตนเนี่ย ในอนาคตก็จะอยากได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น gluten-free นะครับหรือว่าปราศจากกลูเตนมากขึ้น
00:51:06 → 00:51:18 อันนี้ก็แนะนำนะครับใครที่ทำด้าน Food ทำร้านอาหาร กลุ่มคนแบบหมอแอมป์เนี่ยที่แพ้กลูเตน เวลาไปร้านก็จะบอกว่าผมแพ้กลูเตนครับมีอาหารแบบไหนไม่มีกลูเตนบ้าง
00:51:18 → 00:51:28 เมื่อก่อนในเมืองนอกเนี่ยเขาจะเขียนไว้ในเมนู ปัจจุบันบ้านเราเนี่ยมีเยอะเลยนะครับที่ใส่ใจแล้วก็สื่อสารกับผู้มารับประทานเรื่องนี้นะครับ
00:51:28 → 00:51:38 เพราะฉะนั้นครับ พอหมอกินกลูเตนไม่ได้นะครับ หมอก็จะมีแป้งเหลือให้รับประทานไม่เยอะนะครับ อย่างที่บอกไปหมอก็จะทานแป้งไทยๆ หรือแป้งเอเชียเป็นหลัก
00:51:38 → 00:51:54 เช่น ข้าวนะครับ ข้าวกล้อง ข้าวขาว ข้าวเหนียว แป้งมันสำปะหลัง มันฝรั่ง อันนี้กินได้นะ แล้วก็เป็นเส้นหมี่ วุ้นเส้น เส้นใหญ่ เส้นเล็ก ก็แล้วแต่เลือกไม่แพ้นะครับ
00:51:54 → 00:51:57 แต่อาหารฝรั่งกับแป้งฝรั่งหมอแอมป์ไม่ได้ทานเลยนะครับ
00:51:57 → 00:52:09 ตัวต่อไปครับ รหัสพันธุกรรมของหมอเองเนี่ย เป็น Lactose intolerance นะครับ หรือยีนที่ชื่อว่า MCM6 ของหมอเนี่ยขึ้นว่าหมอไม่ย่อยแลคโตสนะครับ
00:52:09 → 00:52:21 ประกอบกับพอหมอเจาะเลือดนะครับดู IgG4 หรือว่า Food intolerance หรืออาหารที่ร่างกายแพ้แอบแฝงเนี่ยหมอแพ้โปรตีนในนมสัตว์ที่ชื่อว่าเคซีนด้วยนะครับ
00:52:21 → 00:52:33 Casein เป็นโปรตีนในนมสัตว์ ทำให้ส่วนตัวหมอเองเนี่ยหมอก็เลยไม่ได้รับประทานผลิตภัณฑ์จากนมสัตว์ไปด้วยอีก 1 รายการใหญ่เลยนะครับ
00:52:33 → 00:52:42 ฉะนั้นครับหมอแอมป์ก็จะไม่ได้รับประทานนม หมอไม่ทานชีส ไม่ทานเค้ก ไม่ทานช็อกโกแลตเพราะมีนมนะ ไม่ได้ทานโยเกิร์ต
00:52:42 → 00:52:53 แต่เดี๋ยวนี้ก็มีโยเกิร์ตทำจากถั่วเหลืองนะ หมอก็ทานได้ ไอศครีมถ้าจะทานก็ทานเชอร์เบตนะครับ หรือไอศกรีมที่ทำจากผลไม้นะครับ ไม่ใส่นมสัตว์ ไม่ใส่เนยแบบนี้เป็นต้น
00:52:53 → 00:53:02 เพราะฉะนั้นครับ พอหมอแพ้นม ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนในนม หรือว่าน้ำตาลในนมก็ตามเนี่ย ทำให้หมอไม่ได้รับประทานอาหารกลุ่มนี้
00:53:02 → 00:53:13 ข้อดีก็คืออาหารกลุ่มนี้จะมีไขมันอิ่มตัวหรือว่า Saturated Fat เยอะ หมอก็ประหยัดแคลอรี่นะครับโดยการลดไขมันอิ่มตัวต่างๆ ไปโดยปริยาย
00:53:13 → 00:53:30 ตัวต่อไปครับในรหัสพันธุกรรมหมอเนี่ยจะมียีนนะครับตัวที่ชื่อว่า GSTP1 กับ GSTM5 นะครับ 2 ตัวนี้ก็จะเป็นรหัสพันธุกรรมบอกเราในเรื่องของการต้องการผักตระกูลดอกกะหล่ำ
00:53:30 → 00:53:36 ผักตระกูลกะหล่ำครับก็จะมีประสิทธิภาพในการที่ช่วยนะครับดีท็อกซ์
00:53:36 → 00:53:47 ดีท็อกซ์แปลว่าอะไร? ดีท็อกซ์แปลว่าการขับสารพิษในตับนะครับ สารพวกนี้นะ ชื่อว่า Isothiocyanate เพิ่มเฟส 2 Detoxification นะครับ
00:53:47 → 00:53:55 แปลเป็นไทยให้เข้าใจง่ายก็คือเจ้าผักตระกูลกะหล่ำเนี่ยนะครับเพิ่มการขับสารพิษในตับเรา
00:53:55 → 00:54:07 ตับเราทำหน้าที่ในการชะล้างสารพิษ ถ้ามีสารเข้าไปกระตุ้นให้ขับสารพิษได้ดี เราก็จะร่างกายสะอาดนะครับ แข็งแรงขึ้น พวกสารไม่ดีก็จะออกไปได้ไวกว่าเดิม
00:54:07 → 00:54:18 หมอเป็นคนที่ยีนขึ้นว่า พันธุกรรมขึ้นว่า ถ้ากินผักกลุ่มนี้จะเร่งบำรุงตับ ผักกลุ่มนี้หมอก็เลยจะทานเยอะเป็นพิเศษ
00:54:18 → 00:54:33 นำขบวนโดยอะไรบ้างครับ? ตระกูลกะหล่ำก็จะมีกะหล่ำปลีหมอชอบมาก บร็อกโคลี กะหล่ำดาว กะหล่ำดอกนี่ก็ใช่ ผักเคลนี่ก็ใช่ หรือที่ชื่อว่าโครานิ บ้านเราเรียกกะหล่ำปม
00:54:33 → 00:54:38 ทั้งหมดนี้อยู่ในตระกูลกะหล่ำนะครับ ช่วยในการเพิ่มการขับสารพิษของตับ
00:54:38 → 00:54:47 ถ้าท่านใดอยากจะทดลองก็ไม่ผิดกฎนะ แม้ว่าจะไม่ได้ตรวจพันธุกรรม ก็สามารถรับประทานผักเหล่านี้ช่วยบำรุงตับได้
00:54:47 → 00:55:00 ข้อต่อไปเป็นเรื่องใหญ่นะครับที่หมอใช้มาเป็นตัวประกอบการตัดสินใจการรับประทานอาหารของหมอมากเลยก็คือรหัสพันธุกรรมที่เกี่ยวกับเรื่องของคอเลสเตอรอล
00:55:00 → 00:55:08 หมอเองเนี่ยมีรหัสพันธุกรรมเกี่ยวกับการย่อยคอเลสเตอรอลในร่างกายที่ไม่ค่อยดี
00:55:08 → 00:55:14 ยีนหรือรหัสพันธุกรรมที่เกี่ยวกับเรื่องคอเลสเตอรอลสูงมีเยอะมากเป็นร้อยๆ ตัวเลยนะครับ
00:55:14 → 00:55:27 ตัวที่พูดถึงกันเยอะก็จะมีตัวที่ชื่อว่า APOE ยีนที่ชื่อว่า LDLR เป็นต้น หรือยีนที่ชื่อว่า APOB
00:55:27 → 00:55:35 รหัสพันธุกรรมเหล่านี้เป็นร้อยๆ ตัว ของส่วนตัวหมอเนี่ยพบว่าย่อยไขมันคอเลสเตอรอลไม่ค่อยดี
00:55:35 → 00:55:48 ความหมายคือถ้าไม่ระวังการรับประทานเนี่ย คอเลสเตอรอลจะสูง ไขมันไม่ดีในเลือดจะสูง ซึ่งจะส่งผลต่อหลอดเลือดของหมอแน่นอน ซึ่งหมอรู้เลยนะว่าต้องระมัดระวังเรื่องไขมันเป็นหลักเลย
00:55:48 → 00:55:59 แล้วในบ้านหมอเองเนี่ยก็มีญาตินะครับ แล้วก็คุณแม่นะครับ ที่คอเลสเตอรอลสูง ทั้งๆ ที่น้ำหนักเนี่ยไม่เยอะ หมอถึงต้องระวังเรื่องไขมันเป็นหลักนะ
00:55:59 → 00:56:09 หมอลดการรับประทานไขมันอิ่มตัวให้น้อยๆ นะครับ หรือที่เคยพูดไปตอนไขมันว่า Saturated fat เช่นอะไรบ้างครับส่วนใหญ่จะอร่อยนะ
00:56:09 → 00:56:21 อาหารกลุ่มเนี่ยหมอกินหมอก็ยังว่าอร่อยนะ หมอไม่ได้ผิดปรกติว่ากินผักแล้วอร่อย กินเนื้อสัตว์ไม่อร่อย ไม่ใช่ แต่เรารู้ว่าร่างกายเราเนี่ยถูกดีไซน์มาว่าต้องการแบบไหน
00:56:21 → 00:56:37 ในวันที่เรามีวินัยเราก็พยายามหลีกเลี่ยง กินให้ดี ไขมันที่หมอกินน้อยๆ นะครับ หรือหลีกเลี่ยงก็คือพวกไขมันสัตว์ เนื้อติดมัน หนังไก่ หนังเป็ด เครื่องในสัตว์เนี่ยไขมันเยอะนี่หมอกินน้อยเลยนะ พยายามหลีกเลี่ยง
00:56:37 → 00:56:52 อาหารแปรรูปอย่างที่บอกไปแล้วนะครับ Processed meat นี่ก็เป็นสิ่งที่หมอค่อนข้างที่จะวิ่งหนีนะครับ แล้วก็ลดละเลิกนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเบอร์เกอร์ ไส้กรอก กุนเชียง เบคอนต่างๆ นี่ก็จะพยายามจะกินน้อย
00:56:52 → 00:57:09 ผลิตภัณฑ์จากนมสัตว์นะครับ เนย ชีส เค้ก เบเกอรี่ต่างๆเนี่ย โชคดีที่หมอแพ้ทั้งนม แพ้ทั้งกลูเตน เพราะว่าแป้งกลุ่มแป้งสาลีและแป้งอื่นๆ ที่มีกลูเตนเนี่ยกับนมสัตว์เนี่ยเขามักจะมาพร้อมๆ กันนะครับ
00:57:09 → 00:57:25 ส่วนใหญ่จะเจอในอาหารที่ปรุงมาด้วยกันเลยนะอย่างเบเกอรี่นะครับ อย่างอาหารฝรั่งบางชนิดนะครับ หมอก็เลยไม่ได้รับประทานกลุ่มนี้เลย ทำให้ระดับไขมันเนี่ยหมอคุมได้ง่ายขึ้นเพราะว่าหมอแพ้ด้วยนะครับ
00:57:25 → 00:57:38 ลดนะครับ หมอก็จะกินของผัด ของทอด พวกทรานส์แฟต จังค์ฟู้ด ฟาสต์ฟู้ด แล้วก็พวก High-fructose corn syrup หรือว่าน้ำตาลฟรุกโตสเนี่ยน้อยๆ นะครับ
00:57:38 → 00:57:50 อาหารกลุ่มนี้ที่หมอหลีกเลี่ยงนะครับ แล้วก็ไม่ค่อยรับประทานเลยก็คือพวก เฟรนช์ฟราย ป๊อปคอร์น ของทอดต่างๆ ที่ทอดแบบนานๆ เขาเรียก Deep-fried นะครับ
00:57:50 → 00:57:57 ขนมนมเนยเนี่ยหมอแอมป์ไม่ค่อยชอบกิน พอหมอไม่ได้ทานของเหล่านี้หมอก็ควบคุมไขมันในเลือดได้ดีขึ้น
00:57:57 → 00:58:17 ข้อต่อไปครับ ที่เป็นตัวทำลายหลอดเลือดเราก็คือการสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เนี่ยทำให้ไขมันดีก็น้อยลง หลอดเลือดก็ถูกทำลาย สารอนุมูลอิสระก็เกิดขึ้นเยอะ ถ้าหลอดเลือดไม่ดีอีกก็จะไปเพิ่มความเสี่ยงกับเรื่องโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตนะครับ ซึ่งหมอกลัวมาก
00:58:17 → 00:58:22 เพราะฉะนั้นส่วนตัวเนี่ยหมอไม่สูบบุหรี่นะครับ อันนี้ก็เป็นตัวช่วยอีก 1 อัน
00:58:22 → 00:58:32 ข้อต่อไปนะครับที่หมอใช้ในการประกอบการวางแผนการรับประทานนะ ก็คือหมอมีรหัสพันธุกรรมเกี่ยวกับเรื่องโรคความดันโลหิตสูง
00:58:32 → 00:58:38 เอาเป็นว่าหมอมีพันธุกรรมเรื่องโรคความดันโลหิตสูงเป็นง่ายนะครับ อยู่ในครอบครัว อยู่ในตัวเองเนี่ยนะครับ
00:58:38 → 00:58:59 รหัสพันธุกรรมเกี่ยวกับเรื่องความดันโลหิตสูงก็จะมียีนชื่อว่า AGT นะครับ Angiotensinogen ยีนที่ชื่อว่า ACE และก็ยีนที่ชื่อว่า ADRB2 หรือ Adrenergic receptor Beta 2 เป็นต้น
00:58:59 → 00:59:11 พอหมอมีความเสี่ยงในเรื่องโรคความดันโลหิตสูงเนี่ยก็ไปประกอบกับหมอต้องระวังการรับประทานเกลือหรือว่าโซเดียม ซึ่งหมอเคยพูดให้ฟังแล้วนะในตอนส้มตำนะครับว่า
00:59:11 → 00:59:18 วันนึงเนี่ยเราควรจะรับประทานโซเดียมหรือเกลือไม่เกินวันละ 2000 mg นะครับต่อวัน
00:59:18 → 00:59:33 แต่พอหมอแอมป์เนี่ยมีรหัสพันธุกรรมเสี่ยงเรื่องความดันโลหิตสูงบวกกับพันธุกรรมที่เกี่ยวกับเรื่องของการรับประทานโซเดียมก็ต้องลดด้วยเนี่ย หมอก็เลยรับประทานเกลือไม่เกินวันละ 1,500 mg
00:59:33 → 00:59:43 ถ้าใครไม่มีความเสี่ยงพันธุกรรมก็รับประทานวันละ 2,000 mg แต่พอหมอแอมป์กลัวโรคความดันโลหิตสูง หมอก็ปรับตัวเองตั้งแต่อายุเท่านี้ ให้รับประทานเหลือวันละ 1,500 mg
00:59:43 → 00:59:51 วันละ 1, 500 mg ของเกลือหรอ ก็จะเท่ากับเกลือประมาณ 3/4 ช้อนชา ช้อนชานะครับไม่ใช่ช้อนโต๊ะนะ
00:59:51 → 01:00:01 ถ้าเป็นน้ำปลาก็ประมาณ 3 ช้อนชาก็แสดงว่ามื้อนึงเนี่ยมื้อเช้ามื้อกลางวันมื้อเย็นเนี่ยควรจะรับประทานเค็มหรือเกลือเนี่ยไม่เกินน้ำปลา 1 ช้อนชานั่นแหละ
01:00:01 → 01:00:06 ถ้าใครรับประทานข้าวผัดกระเพราแล้วใส่น้ำปลาไปหลายช้อนนี่ก็เกินแน่นอน
01:00:06 → 01:00:18 หมอนะครับก็พยายามจะลดอีกนะโซเดียมมาจากอะไร หมอก็จะลดอาหารแปรรูปนะครับ อาหารกระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป โจ๊กสำเร็จรูป พวกนี้ก็จะมีโซเดียมเยอะ
01:00:18 → 01:00:22 หมอก็จะไม่รับประทาน ถ้าทานก็ทานเป็นข้าวต้มทำขึ้นมาสดใหม่ไปเลย
01:00:22 → 01:00:29 ส่วนเครื่องปรุงนี่ก็สำคัญนะครับนะ คนไทยนี้ก็ใช้เครื่องปรุงเยอะนะครับ แล้วก็น้ำจิ้มเยอะนะครับ
01:00:29 → 01:00:41 หมอถึงพยายามจะรณรงค์แล้วก็ชักชวนทุกคนให้ ถ้ารับประทานก๋วยเตี๋ยวก็ชิมก่อนปรุง ถ้าเค็มแล้วก็ไม่ต้องเติมเพิ่มแล้วนะ น้ำปลาหรือซีอิ้วนะครับ
01:00:41 → 01:00:52 ซอสต่างๆ ก็จิ้มได้นิดๆ หน่อยๆ แต่อย่าเอาเป็นหลัก ซอสมะเขือเทศนี่ต้องระวังนิดนึง น้ำปลาพริก อาหารหมัก อาหารดองก็หมอก็ไม่ใช่อาหารโปรดของผมนะครับ
01:00:52 → 01:00:57 เพราะฉะนั้นแล้วเรื่องการคุมโซเดียมเนี่ย หมอก็จะพยายามคุมแบบนี้
01:00:57 → 01:01:06 แต่ส่วนตัวหมอแอมป์เนี่ยผมเป็นคนชอบกินเผ็ด ชอบเป็นคนกินรสจัด เพราะฉะนั้นเวลาเรากินเค็มมากไม่ได้เนี่ย เราก็เน้นอย่างอื่นมาชูโรงแทน
01:01:06 → 01:01:18 ผมก็เลยจะเน้นไปที่เครื่องเทศนะครับ สมุนไพรนะ จะเป็นกะเพรา เป็นกระเทียม เป็นพริกไทย รากผักชี เครื่องเทศ ก็จะมาชูรสให้เราว่าเราไม่ได้กินอาหารจืดๆ นะ
01:01:18 → 01:01:24 ยังกินอาหารมีกลิ่นมีรสชาติ แต่ไม่เน้นเค็มจัด ไม่เน้นหวานจัด แบบนั้นเป็นต้น
01:01:24 → 01:01:39 แล้วก็อย่างที่บอกครับเรื่องแอลกอฮอล์เราก็ต้องระมัดระวัง เยอะของหมอกับเยอะของท่านผู้ฟังอาจจะต่างกัน ถ้าหมอดื่ม อาทิตย์นึง 1 วัน ก็วันที่ดื่มก็ประมาณสัก 2-3 แก้ว
01:01:39 → 01:01:49 แต่ถ้าเดือนนึงครั้งนึงเนี่ยเทศกาลเนี่ย หรือเทศกาลอาจจะประมาณ 3 เดือนครั้ง 6 เดือนครั้ง แบบนั้นก็อย่าไปเกินสัก 5 แก้วนะครับ
01:01:49 → 01:01:55 ใครที่รับประทานหรือดื่มอยู่ก็ต้องระมัดระวังหน่อยนะ เรื่องแอลกอฮอล์นี้ก็เป็นศัตรูตัวร้าย
01:01:55 → 01:02:01 แต่ก็ทำให้เราได้ผ่อนคลายครื้นเครงบ้าง บำรุงสุขภาพจิต ต้องบาลานซ์ให้ดี
01:02:01 → 01:02:11 การดูแลสุขภาพเนี่ยหมอเชื่อเหลือเกินว่าทางสายกลางเนี่ยทำยากที่สุด ทำสุดโต่งไปเลยก็ดี แต่ว่าทำได้แป๊บๆ แล้วก็เบื่อ แล้วก็ไม่อยากทำนะ
01:02:11 → 01:02:18 อะไรที่เราวางแผนแล้วเราทำได้แค่อาทิตย์เดียว เดือนเดียว ทำปีนึงไม่ไหวหรอกอย่างนี้ไม่ค่อยได้ผล
01:02:18 → 01:02:24 ถ้าเราจะวางแผนเนี่ย เราวางแผนระยะยาวเลยนะ เรามองว่า 1 อาทิตย์เรามีความสุขดีนะ
01:02:24 → 01:02:32 เรามีวันที่กินแบบเพื่อสุขภาพนะ แล้วเราก็มีวันที่กินแบบ family นะ หรือครอบครัวเรานะครับ
01:02:32 → 01:02:42 เราอยู่เองเราก็กินน้ำเปล่า เราไปเจอเจ้านาย เราไปประชุม ไปเจอแขก ลูกค้า เรากินบ้าง เขาก็รู้สึกว่าเออเราเป็นส่วนหนึ่ง ต้องบาลานซ์ให้ดีนะ
01:02:42 → 01:02:51 ผมนี่จะพยายามจะบาลานซ์ให้ดีในทฤษฎีต่างๆ ทั้งความสุขกาย สุขใจ แล้วก็จะไม่ใช่แบบห้ามทำเป๊ะ ต้องเป๊ะเลย
01:02:51 → 01:02:57 ห้ามออกนอกกรอบแม้แต่นิด ตึงเครียดมากก็ไม่ดีกับเรื่องสุขภาพอีกเหมือนกันนะครับ นั่นคือส่วนสำคัญ
01:02:57 → 01:03:06 และทฤษฎีสุดท้ายนะครับที่หมอใช้ในการมาประยุกต์ออกมาเป็นข้อต่างๆ ที่หมอเล่าให้ท่านผู้ฟังทุกท่านฟังมาจนถึงตอนนี้นะครับ
01:03:06 → 01:03:15 ข้อสุดท้ายก็เป็นเรื่องของระดับ Homocysteine
01:03:15 → 01:03:22 Homocysteine เป็น Amino acid หรือกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง เกิดจากการย่อยสลายโปรตีนในร่างกายเรา
01:03:22 → 01:03:31 โดยมีตัวช่วยในการย่อยก็คือกรดโฟลิก จำชื่อนะครับ เป็นตัวของดีนะ กรดโฟลิกนะครับ วิตามิน บี 6 วิตามิน บี 12
01:03:31 → 01:03:46 หมอแอมป์เนี่ยส่วนตัวรหัสพันธุกรรมในหมอย่อย Homocysteine ไม่ดี หมอถึงต้องพยายามที่จะตรวจ แล้วก็เติมกรดโฟลิกเข้าไป วิตามิน บี 6 เข้าไป วิตามิน บี 12 เข้าไป
01:03:46 → 01:03:58 เพื่อช่วยลดระดับ Homocysteine เพราะอะไรครับ? เพราะระดับ Homocysteine ถ้าเยอะเกินไปจะไปกระตุ้นการก่อตัวของลิ่มเลือดนะครับ ทำลายหลอดเลือดเรานะครับ
01:03:58 → 01:04:05 เสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองนะครับ โรคหลอดเลือดสมองที่เรียกว่า Stroke นั่นแหละครับ หรืออัมพฤกษ์ อัมพาต
01:04:05 → 01:04:14 แสดงว่าระดับ Homocysteine ก็เป็นตัวสำคัญที่ทำให้หมอต้องระวังนะครับ ทั้งเรื่องวิตามิน ทั้งเรื่องอาหารการกินนะครับอย่างนี้เป็นต้น
01:04:14 → 01:04:22 เอาล่ะครับ นั่นคือทั้งหมดนะครับ ที่หมอสรุปมาว่าส่วนตัวหมอเนี่ย เป็นตอนที่ยากของหมอนะครับ
01:04:22 → 01:04:32 เพราะว่าจะมาตั้งขึ้นมาเองเป็นทฤษฎีเลยแบบในการให้ความรู้เนี่ยหรืออ้างอิงจากการวิจัยต่างๆ ไม่ได้แล้วนะครับ
01:04:32 → 01:04:41 เพราะว่าต้องปรับมาเป็นตัวเรานะครับ ตัวหมอแอมป์จริงๆ อยากจะให้ท่านผู้ฟังนะครับหรือว่ามิตรรักแฟนคลับที่ติดตามทุกท่านที่น่ารักทั้งหมดทุกคนเนี่ย
01:04:41 → 01:04:50 ว่าหมอเนี่ยมาประยุกต์อย่างไร อย่างที่ทำได้ดีแล้วหมอก็ยืดอกอยากจะมาแชร์ให้ท่านผู้ฟังฟังนะ
01:04:50 → 01:04:58 อย่างที่ทำไม่ได้ดีหรือยังทำดีไม่ได้ 100% หมอก็จะเขินๆ หน่อย แล้วก็จะไปปรับปรุงนะครับ นั่นคือส่วนสำคัญนะครับ
01:04:58 → 01:05:04 คราวนี้ครับมาจนถึงช่วงท้ายของรายการนะครับ จากทฤษฎีทั้งหมดที่บอกไปนะ
01:05:04 → 01:05:21 มื้อเช้าหมอเหรอหลักๆ นะครับเอาเมนูที่ 1 ที่กินบ่อยนะ ก็จะเป็นเกาเหลาเต้าหู้นะครับ + ผักน้ำข้นนะ จะมีร้านก๋วยจั๊บอยู่ร้านนึงนะครับที่หมอเป็นแฟนคลับ รสชาติน้ำซุปดีมาก
01:05:21 → 01:05:32 หมอก็จะสั่งเป็นเกาเหลา เขาก็จะรู้ว่าใส่ผัก ใส่ถั่วงอก ใส่ผักบุ้ง ใส่เต้าหู้ แล้วก็กินกับข้าวไรซ์เบอรี่ อันนี้เป็นเมนูที่หมอรับประทานบ่อยมื้อเช้า
01:05:32 → 01:05:46 2 ก็จะเป็นพวกสลัดผักนะครับ ใส่เต้าหู้ ถ้าวันที่เป็น Plant-based ก็เป็นเต้าหู้กับถั่ว ถ้าเป็นวันที่ Cheating day หรือวันที่กินเนื้อสัตว์ได้นะครับ หมอก็จะเป็นสลัดกับปลานะครับ
01:05:46 → 01:05:52 หรือข้าวต้มปลา อันนี้มื้อเช้านะครับ ข้าวต้มปลาก็จะทานบ่อยวันเสาร์นะครับ
01:05:52 → 01:06:03 ส่วนมื้อกลางวันนะครับ มื้อกลางวันเนี่ยขอให้ท่านผู้ฟังผู้ชมที่รักทุกท่านติดตามได้ทางเพจนะครับ ไม่ว่าจะเป็น Facebook Instagram
01:06:03 → 01:06:16 ก็จะมีทีมงานของหมอลงมื้อกลางวันของผมไว้เรื่อยๆ อันนั้นเป็นมื้อกลางวันที่กินจริงนะครับ รับประทานทุกวันนะครับ ก็ส่วนใหญ่จะเป็น Plant-based มื้อกลางวันนี้ติดตามได้
01:06:16 → 01:06:30 ส่วนมื้อเย็นนะครับ มื้อเย็นก็เหมือนที่บอกไปครับ หมอเนี่ยจะรับประทาน Plant-based 4-5 วันต่ออาทิตย์ แล้วก็มีวันครอบครัวหรือวันเทศกาลเนี่ยสัก 1-2 วันต่ออาทิตย์นะครับ
01:06:30 → 01:06:38 แล้วใน 7 วันครับหมอจะมีวันที่ถือศีล 8 นะครับหรือว่าไม่รับประทานเย็นเนี่ย 2-3 วันนะ
01:06:38 → 01:06:47 ส่วนใหญ่หมอจะไม่ทานมื้อเย็นวันจันทร์กับพฤหัสบดีนะครับ บางอาทิตย์ก็จะมี 3 วันก็คือจันทร์ อังคาร พฤหัสบดีนะครับ
01:06:47 → 01:06:55 การถือศีล 8 ก็คือเป็นเรื่องของการปฏิบัติของหมอเองด้วยที่ไม่รับประทานเย็นนะครับ หรือการถือศีล
01:06:55 → 01:07:03 ประกอบกับทฤษฎีเรื่องของการ Fasting นะครับที่หมออยากให้ร่างกายนะครับได้มีการ Fasting บ้างนะครับแต่ไม่ได้ทำทุกวัน
01:07:03 → 01:07:10 หมอถึงเลือกวันจันทร์กับพฤหัสบดีนะครับ หรือบางอาทิตย์ก็จันทร์ อังคาร พฤหัสบดีนะครับ ไม่รับประทานเย็น
01:07:10 → 01:07:22 ความหมาย คือ หมอก็จะรับประทานเช้านะครับ แล้วก็รับประทานกลางวันนะครับ ส่วนตอนบ่ายเป็นต้นไปเนี่ยไม่รับประทานอะไรเลยนะครับ อาจจะดื่มแต่น้ำเปล่าแล้วก็ไม่ได้ทานมื้อเย็นนะครับ
01:07:22 → 01:07:32 อย่างนี้ก็เป็นเรื่องของการ Fasting เทคนิคส่วนตัวนะของผมเองนะครับที่เอามาแชร์หรือเอามาเล่าสู่กันฟังให้ทุกๆท่านฟังในวันนี้นะครับ
01:07:32 → 01:07:39 เรื่องการ Fasting นะครับฝากไว้หน่อยว่าอาจจะเหมาะกับบางท่านไม่เหมาะกับทุกท่านก็เป็นไปได้นะครับ
01:07:39 → 01:07:47 โดยเฉพาะท่านที่จะอดอาหารแล้วมีแผลในกระเพาะ เป็นโรคกรดไหลย้อน กระเพาะเป็นแผลนะครับก็ต้องระมัดระวัง
01:07:47 → 01:08:00 ท่านที่เป็นเบาหวานอยู่ ระดับน้ำตาลในเลือด อดอาหารนานๆ น้ำตาลตกนะครับ เกิดภาวะ Hypoglycemia นะครับ อาจจะหน้ามืดเป็นลมหัวฟาดก็เป็นได้ ก็ต้องระมัดระวัง
01:08:00 → 01:08:17 และการ Fasting ทุกวัน อาจจะมีผลกับระดับการเผาผลาญในแต่ละวันของแต่ละคน ทำให้เรารับประทานน้อยก็จริงนะ แต่เป็นไงครับ? การเผาผลาญน้อยไปด้วย ผลลัพธ์อาจจะไม่ตรงตามที่เราคิด นั่นคือส่วนสำคัญที่หมอก็เลยเลือกทำแค่บางวันนะครับ
01:08:17 → 01:08:31 เพื่อให้ร่างกายเราคล้ายๆ กับว่าหลอกร่างกายว่าให้เผาผลาญอยู่นะ ตามปกตินะ เราไม่ได้ทำทุกวันนะ แล้วก็เช้าตื่นมาต้องรับประทานเพื่อที่จะให้ระดับคอร์ติซอลอยู่ในระดับที่เหมาะสม
01:08:31 → 01:08:36 แล้วก็ไป Fasting เวลาช่วงเย็นเอา เช้ามาเราก็รับประทาน
01:08:36 → 01:08:55 เอาล่ะครับ พอสมควรแก่เวลานะครับ สรุปทั้งหมดในตอนแรกวันนี้ของรายการใหม่เราเนี่ย หมอก็ได้มาแชร์นะข้อมูลส่วนตัวหมอ หมอจะเข้ามาช่วงสรุป สรุปทั้งหมดที่หมอกล่าวมาแล้วก็เล่าสู่ทุกคนฟังเนี่ย ก็แบ่งออกได้เป็น 9 ข้อนะครับ
01:08:55 → 01:09:04 ข้อที่ 1 นะครับ เทคนิคส่วนตัวเคล็ด(ไม่)ลับของหมอแอมป์นะครับ หมอรับประทานสูตร 50-25-25 เปอร์เซ็นต์นะครับ
01:09:04 → 01:09:18 แบ่ง 1 จาน ผักครึ่งนึงนะครับ โปรตีน 25% เน้นโปรตีนพืชกับโปรตีนเนื้อขาวนะครับ แป้ง 25% เน้นแป้งไม่ขัดสีนะครับ แล้วก็หลีกเลี่ยงขนมนมเนยนะครับ
01:09:18 → 01:09:30 ข้อที่ 2 ลดละเลิกอาหารแปรรูปต่างๆ นะครับ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์แปรรูป หรือว่าน้ำและขนมแปรรูปกินน้อยๆ นะครับจะบำรุงสุขภาพเรานะ
01:09:30 → 01:09:45 ข้อที่ 3 ของหมอแอมป์ หมอถือศีล 8 อาทิตย์ละ 2 วันหรือ 3 วัน ก็คือไม่รับประทานมื้อเย็นนะครับ ไม่ใช่บางท่านมื้อเย็นไปทานผลไม้แทนอาหารก็อันนั้นก็แล้วแต่เทคนิค
01:09:45 → 01:09:59 แต่ส่วนตัวหมอเนี่ยถ้าถือศีล 8 คือไม่รับประทานอะไรเลยนะครับ ก็จะมีน้ำเปล่าอย่างเดียวในวันจันทร์กับพฤหัสบดี ถ้าบางอาทิตย์ไหนหลังเทศกาล อยากจะคุมน้ำหนักให้ดีก็ทำจันทร์ อังคาร พฤหัสบดีนะครับ
01:09:59 → 01:10:14 4 นะครับ เน้นรับประทาน Plant-based diet หรือว่าพืชเป็นหลักนะครับ เนื่องจากพืชช่วยบำรุงร่างกายเรานะครับ เพิ่มโปรไบโอติก บำรุงภูมิต้านทานมีประโยชน์เยอะวิตามินเยอะ
01:10:14 → 01:10:19 หมอจะรับประทาน Plant-based diet ให้ได้ 4-5 วันต่อสัปดาห์นะครับ
01:10:19 → 01:10:26 แล้วในช่วงโควิดนี้นะครับก็เพิ่มเติมพืชตระกูลเห็ดเยอะๆ หน่อยนะครับ ก็จะช่วยเพิ่มวิตามินดีให้เราด้วยนะครับ
01:10:26 → 01:10:37 ข้อต่อไปครับ ข้อที่ 5 มีวัน Cheating Day นะครับ หรือวันครอบครัวหรือว่าขี้โกงได้บ้างนะครับประมาณ 1 วันต่ออาทิตย์นะครับ อย่าเยอะเกินนะครับ 2 วันเต็มที่
01:10:37 → 01:10:54 แต่ก็ไม่ใช่เป็นวันขี้โกงแล้วขาดสติ กินเยอะมากเลยอย่างนี้ก็ไม่ไหวนะครับ คุมแคลอรี่ด้วยนะครับ อาจจะมากกว่าวันปกตินะ อย่างของหมอวันปกติรับประทาน 1,600 กิโลแคลอรี่ ถ้าเป็นวันขี้โกงก็ทาน 2000กิโลแคลอรี่แบบนี้นะครับ
01:10:54 → 01:10:58 แล้วก็หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป แล้วก็เนื้อสัตว์ติดมันนะ
01:10:58 → 01:11:11 ข้อที่ 6 นะครับ หมอแอมป์เนี่ยจะไม่รับประทานอาหารมื้อเย็นดึกเกินไป เวลามาตรฐานของหมอเลยนี่คือรับประทานมื้อเย็นห้าโมงเย็น รับประทาน 1 ชั่วโมงก็จะเสร็จหกโมงเย็น
01:11:11 → 01:11:22 ถ้าบางวันยุ่งจริงๆ ติดประชุมก็จะรับประทานหกโมงเย็นเป็นอย่างช้า เสร็จไม่เกินหนึ่งทุ่มนะครับ เพื่อให้ร่างกายมีเวลาสัก 3-4 ชั่วโมงในการย่อยนะครับ
01:11:22 → 01:11:31 กว่าจะเข้านอนตอน 4 ทุ่มเนี่ย ถ้ารับประทานเสร็จหกโมงเย็นเหมือนทุกวันของหมอเนี่ย หมอก็มีเวลาให้ร่างกายได้ย่อยเยอะนะครับ 4 ชั่วโมงก่อนจะนอน
01:11:31 → 01:11:46 ถ้าบางวันที่รับประทานเสร็จช้านะครับ เสร็จทุ่มนึงนี้ก็จะท้องแน่นๆ หน่อยนะครับ เพราะว่าหมอเข้านอนสี่ทุ่มทุกวันเนี่ย ถ้ารับประทานเสร็จ 1 ทุ่มเนี่ยก็มีเวลาย่อยไม่เยอะนะครับนั่นก็คือส่วนสำคัญนะ
01:11:46 → 01:11:59 ถ้ารับประทานเร็วนะครับ ร่างกายก็จะดีนะครับ ความอ้วนก็จะมาโจมตีเราน้อยกว่ารับประทานดึกนะครับ แล้วก็ป้องกันพวกโรคกรดไหลย้อนนะครับ ทำให้การนอนมีคุณภาพด้วยนะ
01:11:59 → 01:12:11 แล้วก็เทคนิคเพิ่มเติมนะครับในข้อนี้ถ้ารับประทานอาหารเย็นเสร็จเนี่ยหมอจะพยายามหาสถานที่ให้ได้เดินสัก 200-300 ก้าวนะครับ เพื่อเป็นการเดินย่อยไม่ใช่ไปออกกําลังนะครับเดี๋ยวจะจุก
01:12:11 → 01:12:17 แล้วก็ก่อนนอนไม่ควรออกกำลังกายหนัก เดี๋ยวจะมีผลกับการเต้นหัวใจแล้วนอนหลับไม่ลึก
01:12:17 → 01:12:31 เพราะฉะนั้นรับประทานเย็นเสร็จก็เดินครับ ใครโชคดีบ้านมีสวนบ้านมีพื้นที่เดินได้เลย ใครอยู่คอนโดอยู่ในห้อง มีที่น้อยก็ต้องหาพวกอุปกรณ์มาเติมหน่อย ลู่เดินนะครับไม่ใช่ลู่วิ่งแบบนั้น
01:12:31 → 01:12:41 ข้อที่ 7 ครับ เทคนิคการกินของแอมป์นะครับหมอก็จะพยายามควบคุมน้ำหนักของตัวเองเนี่ยตามเปอร์เซ็นต์ Fat
01:12:41 → 01:12:51 เปอร์เซ็นต์ไขมันเนี่ย หมอตรวจตัวเองจากเครื่อง Dexa scan นะครับ ถ้าใครที่ไม่ได้ตรวจก็ต้องใช้องค์ประกอบเพิ่มเติมนะครับ วัดรอบเอว ดูน้ำหนัก ดู BMI เป็นต้น
01:12:51 → 01:13:06 ปัจจุบันครับผมเองเนี่ยสูง 173 เซนติเมตร หนัก 63 กิโลกรัม หมอสแกนดูแล้วมี Body Fat ประมาณซัก 18-20% ผู้ชายห้ามมีไขมันเกิน 28% จากเครื่องสแกนนะ
01:13:06 → 01:13:13 ก็เปรียบเทียบนะครับทั้งตัวเนี่ยเราควรจะมีไขมันไม่เกิน 28% ผู้ชาย ไม่ควรจะเกิน 32% ผู้หญิง
01:13:13 → 01:13:31 หมอมีไขมันประมาณ 18-20% หมอก็ถือว่าหมอพอใจแล้ว เพราะฉะนั้นเทคนิคนะครับหมอหนัก 63 กิโลกรัม เนี่ยถ้าก่อนจะเทศกาลก่อนปีใหม่หรือรู้ว่าจะต้องมีช่วงเวลาครอบครัว หมอมักจะคุมอาหารให้ลดลงมา 1 กิโลกรัมเหลือ 62 กิโลกรัม
01:13:31 → 01:13:38 ตอนเราไปปาร์ตี้นะครับ เรามีช่วงเวลาเทศกาลเราก็จะได้ไม่ทำร้ายร่างกายจนเกินไปนัก
01:13:38 → 01:13:46 เทคนิคนี้ก็ใครจะเอาไปประยุกต์ทำตามก็ยินดีนะครับ สามารถทำตามได้ไม่มีลิขสิทธิ์นะครับแบบนั้น
01:13:46 → 01:13:57 ข้อที่ 8 ครับ หมอจะไม่ปรับขนาดเสื้อผ้าตามสัดส่วน ถ้าเราอายุมากขึ้นแล้วเราปรับเสื้อผ้าเล็กลงอันนั้นถือเป็นบุญนะ ถือว่ามีฝีมือนะ
01:13:57 → 01:14:11 เพราะคนเราเวลาอายุมากขึ้นเนี่ยมักจะมากับสัดส่วนที่เปลี่ยนไปในทางใหญ่ขึ้น ถ้าอายุมากขึ้นแล้วเอวเล็กลงอย่างนี้เรียกว่าดีนะครับ แต่ถ้าอายุมากขึ้นและสัดส่วนขยับมากขึ้นแล้วเราไปปรับแก้เสื้อผ้าตลอดเนี่ย
01:14:11 → 01:14:23 เราก็จะไม่รู้สึกกดดันนะครับ แล้วเราก็จะเป็นการปล่อยปละละเลยตัวเราไป หมอก็จะไม่แก้เสื้อผ้าเลยนะ ถ้าอ้วนขึ้นหรือเอวคับเนี่ย หมอก็จะพยายามนะครับ เป็นสัญญาณเตือนบอกเราอย่างดีเลย
01:14:23 → 01:14:29 ในการที่เราจะกลับมาใส่ชุดเหล่านั้นให้ได้ อันนี้ก็เป็นเทคนิคนะครับ
01:14:29 → 01:14:46 แล้วก็ข้อสุดท้ายครับ เทคนิคในการดูแลการกินของผมนะครับ โดยเฉพาะในช่วงนี้นะครับ ในปีนี้ที่โรคระบาดนะครับแล้วก็โควิดเนี่ยอยู่กับเรามาหลายปีแล้วนะครับ เราต้องปรับตัวนะครับ ต่อสู้นะครับ เตรียมพร้อมร่างกายตัวเรา
01:14:46 → 01:15:03 ในเมื่อเชื้อไวรัสเนี่ยเรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แสดงว่าหมอเองและท่านผู้ฟังทุกท่านเนี่ยก็มีสิทธิ์ที่จะติด แต่อย่างน้อยๆ นะครับ ระหว่างที่เรามีเวลาเนี่ย เราต้องยกการ์ดให้สูงโดยการเพิ่มประสิทธิภาพร่างกายเราให้เขาแข็งแรงนะครับ
01:15:03 → 01:15:12 สารอาหารดี ภูมิต้านทานดี การนอนหลับพักผ่อนดี ถ้าเราเผลอเจ็บป่วยหรือพลาดไปเนี่ย เราก็จะอาการไม่หนักนะครับ
01:15:12 → 01:15:26 เพราะฉะนั้นข้อสุดท้ายครับ ในช่วงโควิดยังระบาดอยู่เนี่ย หมอเลยเน้นว่าพยายามรับประทานอาหารที่ปรุงร้อน หรือปรุงสุกนะครับ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารดิบๆ ไปก่อนนะในช่วงนี้นะครับ
01:15:26 → 01:15:36 นั่นแหละครับคือทั้งหมดที่วันนี้หมอมาแชร์ในรายการใหม่เป็นตอนแรกนะครับ ชื่อว่า การกินเพื่อสุขภาพของผมเอง
01:15:36 → 01:15:43 หวังว่าข้อมูลที่ได้มาเล่าให้ฟังเนี่ยจะมีประโยชน์นะครับ กับท่านผู้ฟังไม่มากก็น้อยนะครับ
01:15:43 → 01:15:59 แล้วก็อย่างที่บอกครับ บางอย่างนะครับ ฟังแล้วอาจจะถูกใจ บางอย่างอาจจะไม่ถูกใจหรือไม่ถูกจริต ก็สามารถที่จะไปวิเคราะห์เพิ่มเติมนะครับ แล้วก็หาข้อมูล หาวิธีที่เหมาะกับตัวท่านเองนะครับ
01:15:59 → 01:16:04 กว่าจะมีวันนี้ของหมอเนี่ย หมอก็อ่าน ทำ ประยุกต์มาหลายอย่าง
01:16:04 → 01:16:14 ในอนาคตนะครับ อาจจะมีวิธีที่หมอเปลี่ยนวิธีไป หมอปรับวิธีไป เพราะว่าร่างกายเรานะครับคือสมบัติที่สำคัญที่สุด
01:16:14 → 01:16:22 ตราบใดที่เราใส่ใจแล้วก็ดูแลเขา เขาก็จะตอบแทนโดยการที่คุณภาพดีชีวิตดีให้กับเรา
01:16:22 → 01:16:29 วันนี้ครับ หมอขอลาไปก่อน ขออวยพรให้ทุกท่านนะครับสุขภาพแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
01:16:29 → 01:16:32 แล้วกลับมาเจอกันใหม่ในตอนหน้าๆ นะครับ
01:16:32 → 01:16:35 วันนี้ขอบพระคุณมากนะครับ สวัสดีครับ