00:00:00 → 00:00:02 เด็กๆจำได้ว่าพ่อไปฝรั่งเศสมาตอนนั้นเรา
00:00:03 → 00:00:06 อยู่สัก 8 ขวบพ่อไปราชการกลับมาซื้อ
00:00:06 → 00:00:10 กำมองแบมาให้กินเข้าไปครั้งแรกเบอกเคือเ
00:00:10 → 00:00:14 อะไรเนี่ยเอออย่างงี้เลยคือแบบอะไรทำไม
00:00:14 → 00:00:19 ชื่อดังเหม็นก็เหม็นนะฮะรสชาติแป่งๆไม่มี
00:00:19 → 00:00:21 อะไรเด่นเลยพี่ชอบชีสเพราะอะไรผมว่ามันก็
00:00:21 → 00:00:24 เป็นเรื่องแปลกว่าผมเองมาชอบชีสได้ยังไง
00:00:24 → 00:00:26 แล้วยิ่งกินบางทีมันก็ยิ่งติดเอ๊มันทำไม
00:00:26 → 00:00:31 มันอร่อยขึ้นอ่ามันมีเคล็ดลับ
00:00:31 → 00:00:34 ครับ Direction EP นี้เรามาทำความเข้าใจ
00:00:34 → 00:00:37 เรื่องชีสกันครับผมคิดว่าน่าจะมีคนสงสัย
00:00:37 → 00:00:39 เหมือนผมว่าชีสนี่มันมีกี่แบบแบ่งประเภท
00:00:39 → 00:00:42 ยังไงที่สำคัญคือเราจะกินยังไงให้อร่อย EP
00:00:42 → 00:00:45 นี้เรามาคุยกับพี่เสนักทำชีสจากจาติซาน
00:00:45 → 00:00:47 แบรนด์ชีสไทยที่เชียงใหม่เพื่อให้พี่เส
00:00:47 → 00:00:50 ช่วยเล่าให้เราฟังว่าเราจะกินชีสยังไงให้
00:00:50 → 00:00:54 เข้าใจได้มากขึ้น
00:00:54 → 00:00:57 ครับ Eat Direction คุยกับคนในวงการ
00:00:57 → 00:01:01 อาหารว่าเราควรกินอะไรถึงจะ
00:01:01 → 00:01:03 [เพลง]
00:01:03 → 00:01:07 ดีพี่เสครับผมสมมุติว่าเป็นคนที่ไม่รู้
00:01:07 → 00:01:09 เรื่องชีสอะไรเลยคือเคยกินบ้างเคยชิมบ้าง
00:01:09 → 00:01:12 เงี้ยแต่ผมอยากรู้เรื่องชีสอะไรที่เป็น
00:01:12 → 00:01:14 สิ่งที่แบบพี่เสคิดว่าคนที่ไม่เคยรู้
00:01:14 → 00:01:17 เรื่องชีสมาก่อนควรจะรู้บ้างอย่างแรกควร
00:01:17 → 00:01:20 จะเข้าใจว่าชีสเนี่ยมันคือการถนอมอาหาร
00:01:20 → 00:01:23 อ่าฮะซึ่งการถนอมอาหารเนี่ยมันเป็นศาสตร์
00:01:23 → 00:01:26 ที่เกิดมาทั่วโลกอยู่แล้วเพราะว่าแต่ละ
00:01:26 → 00:01:29 พื้นที่บนโลกมันจะมีวัตถุดิบอืประจำท้อง
00:01:30 → 00:01:35 ถิ่นของตัวเองอนะครับชีสก็คือการถนอมเอา
00:01:35 → 00:01:37 น้ำนมเนี่ยแหละมาถนอมไว้นมมันเป็นของที่
00:01:37 → 00:01:40 เสียง่ายที่สุดออบางอย่างมันก็อาจจะอยู่
00:01:40 → 00:01:42 ได้วัน 2 วันอย่างเนื้อสัตว์เนี้ยครับแต่
00:01:42 → 00:01:45 ชีสมาจากนมนมเนี่ยแป๊บเดียวมันก็รู้สึกจะ
00:01:45 → 00:01:48 เสียเพราะฉะนั้นคนตั้งแต่ยุคโบราณนี่คุย
00:01:48 → 00:01:52 กันระดับหมื่ปีเค้าก็เห็นว่านมเนี่ยมัน
00:01:52 → 00:01:55 ถ้าทิ้งเอาไว้มันก็จะเกิดอาการแยกชั้นเอง
00:01:55 → 00:01:57 เพราะมันเปรี้ยวมันเปรี้ยวขึ้นเพราะว่า
00:01:57 → 00:02:00 แบคทีทเรียในอากาศในนมเองนมดิบๆเนี่ยนะ
00:02:00 → 00:02:03 ครับมันก็เลยเกิดการแยกชั้นและพอแยกชั้น
00:02:04 → 00:02:06 เนี่ยมันเอาน้ำออกได้นี่ก็เก็บไว้เหลือ
00:02:06 → 00:02:09 แต่ตัวเนื้อข้นๆเนี่ยอเนี่ยมันก็เลยเป็น
00:02:09 → 00:02:13 ที่มาของการทำให้เอ่อนมเนี่ยมันไร้น้ำอื
00:02:13 → 00:02:16 ก็คือจริงๆแล้วนมเนี่ยมันมีส่วนประกอบของ
00:02:16 → 00:02:20 ตัวเนื้อนมใช่กับน้ำของแข็งในนมเค้าเรียก
00:02:20 → 00:02:22 เนื้อนมก็คือประกอบหลักๆก็คือโปรตีนกับไข
00:02:22 → 00:02:26 มันที่อยู่ในนมมีน้ำตาลด้วยมีแร่ธาตุด้วย
00:02:26 → 00:02:32 อือจริงๆแล้วแค่พูดมาเนี่ยเอ่อเด็กอ่ะเออ
00:02:32 → 00:02:34 คือมีครบหมดเลยไม่ต้องกินอย่างอื่นอ๋อ
00:02:34 → 00:02:36 ทำไมเค้าถึงบอกว่าเด็กไม่ต้องกินอย่าง
00:02:36 → 00:02:39 อื่นกินแค่นมแม่พอแล้วเพราะมีโปรตีนมีไข
00:02:39 → 00:02:43 มันมีน้ำตาลมีน้ำมีแร่ธาตุน้ำอมันครบหมด
00:02:43 → 00:02:45 ไม่ต้องกินน้ำด้วยซ้ำอันเนี่ยคือนี่คือ
00:02:45 → 00:02:48 ซุเปอร์ฟู้ดออแล้วเราก็ถนอมความเป็น
00:02:48 → 00:02:51 ซุเปอร์ฟู้ดอ่ะเอาเก็บไว้กินต่ออ๋อก็คือ
00:02:51 → 00:02:53 เอ่อเก็บนมเอาไว้ใช่ฮะนั่นแหละนั่นแหละ
00:02:53 → 00:02:56 มันก็เลยเกิดเป็นการอ๋อทีนี้ของที่ทำให้
00:02:56 → 00:02:59 มันเสียเนี่ยหลักๆคือน้ำไงอือน้ำมันทำให้
00:02:59 → 00:03:00 ทุกอย่างเสียเราเอาเนื้อไปตากแดดเพื่อให้
00:03:00 → 00:03:03 มันแห้งลงอืออย่างเงี้ยมันก็คือหลักการ
00:03:03 → 00:03:06 เดียวกันเพราะฉะนั้นก็มันก็เลยเกิดเป็น
00:03:06 → 00:03:11 การรวมตัวของแข็งในนมนั่นเอง่ใช่ๆแล้ว
00:03:11 → 00:03:14 หลังจากนั้นก็มีการอ่าใส่เกลือเพิ่มเข้า
00:03:14 → 00:03:16 ไปเพราะว่ายิ่งใส่เกลือน้ำมันยิ่งออก
00:03:16 → 00:03:19 เพิ่มอือแล้วก็รสชาติตัวเคมีของเกลือมัน
00:03:19 → 00:03:22 ก็ไปทำให้ไอ้สิ่งแปลกปลอมอ่ะมันอยู่ไม่
00:03:22 → 00:03:25 ค่อยทนมันก็จะตายลงอย่างแบคทีเรียไม่ดี
00:03:25 → 00:03:27 มันก็เลยกลายเป็นอาหารที่สตาฟเอาของแข็ง
00:03:28 → 00:03:35 ในนมครับเก็บไว้ก็เลยเรียกว่าชีสชีสออ
00:03:35 → 00:03:38 แล้วทีนี้ตัวชีสเองมันก็มีความหลากหลาย
00:03:38 → 00:03:40 ของมันอยู่พี่ใช่คือเมื่อก่อนนี้มันก็คง
00:03:41 → 00:03:44 เป็นวิธีที่แบบเบสิคสุดนะในการเก็บตัว
00:03:44 → 00:03:49 ก้อนชีสเอาไว้คือความหลากหลายของชีสเนี่ย
00:03:49 → 00:03:50 ถ้าเทียบ
00:03:50 → 00:03:54 กับอาหารบางประเภทนะอือเอาพูดง่ายๆคุณมี
00:03:54 → 00:03:55 ถั่วเหลือง
00:03:55 → 00:03:58 อือซึ่งก็เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งคือคนเนี่ย
00:03:58 → 00:04:00 ชอบโปรตีนมากต้องการเก็บถนอมโปรตีนทั่ว
00:04:00 → 00:04:02 โลกไปดูพวกอาหารพรีเสิร์veทั้งหลายจะเป็น
00:04:02 → 00:04:04 โปรตีนค่อนข้างเพราะมันเป็นสิ่งที่เน่า
00:04:04 → 00:04:05 ง่ายที่สุดมันเป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการ
00:04:05 → 00:04:08 ร่างกายต้องการอ่าแล้วมันไม่ได้หาง่าย
00:04:08 → 00:04:10 แล้วร่างกายมันก็ต้องการโปรตีนตลอดงั้นคน
00:04:10 → 00:04:12 โบราณก็รู้จักที่จะแบบฉันต้องมีโปรตีนไม่
00:04:12 → 00:04:16 ว่าจะถั่วเน่าจะปลาจะนมเนี่ยจะหาวิธี
00:04:16 → 00:04:18 presีเสิร์veเนื้อส่งเนื้อสัตว์เนี่ยทำ
00:04:18 → 00:04:20 สลามี่ทำอะไรพวกเนี้ยมันคือหาวิธี
00:04:20 → 00:04:22 presีเสิร์ฟเนื้อสัตว์เข้ามาเอเสิร์ฟ
00:04:22 → 00:04:25 โปรตีนเก็บไว้ใช้อือที
00:04:25 → 00:04:27 ความหลากหลายมันก็ไม่ต่างอะไรจากการที่
00:04:27 → 00:04:30 เรามีถั่วเหลืองอ่ะอืที่ญี่ปุ่นก็
00:04:30 → 00:04:33 พิเสิร์ฟเป็นมิสโกะมิโสเออคนจีนก็ทำเป็น
00:04:33 → 00:04:37 เต้าหูยคนเมืองเชียงใหม่ก็ทำเป็นถั่วเน่า
00:04:37 → 00:04:39 อ๋อเข้าใจมั้มันเลยเกิดความหลากหลายของ
00:04:39 → 00:04:43 ชีสตามวัฒนธรรมตามวิธีคิดคิดค้นทั่ว
00:04:43 → 00:04:47 ภูมิศาสตร์ทั่วที่เขา้ามีวัตถุดิบนี้นี่
00:04:47 → 00:04:49 คือที่มาที่ไปของความหลากหลายของชีสแล้ว
00:04:49 → 00:04:51 บางทีคุณอาจจะเริ่มเล่นให้มันแบบเอ้อฉัน
00:04:51 → 00:04:52 เบื่อนี้แล้วฉันลองเอามาทำเป็นอย่างอื่น
00:04:52 → 00:04:56 บ้างคนไทยมีปลาร้ายก็ยังมีน้ำปลาอืมีน้ำ
00:04:56 → 00:04:59 บูดูก็มีไอ้อย่างเงี้ยมันแต่สุดท้ายมันจะ
00:04:59 → 00:05:01 เกี่ยวข้องกับพื้นที่ด้วยว่าคนทางเนี้ย
00:05:01 → 00:05:03 เค้านิยมแบบไหนอ่ะถ้างั้นเรามาคุยเรื่อง
00:05:03 → 00:05:07 ชีสว่าเริ่มมาจากจริงๆแล้วยุคแรกๆเลยทุก
00:05:07 → 00:05:10 คนกินเป็นชีสสดๆไอ้ที่บอกว่านมมันจับตัว
00:05:10 → 00:05:12 กันแล้วก็ตอนแรกก็กินอย่างนั้นเลยเสร็จ
00:05:13 → 00:05:15 แล้วบางทีนะฮะก็เค้าก็มาโรยเกลือใส่ใช่
00:05:15 → 00:05:19 มั้ยฮะพอก็ได้รสชาติใหม่ขึ้นมาอบางทีทิ้ง
00:05:19 → 00:05:22 ไว้หน่อยราประเภทนี้มันดันขึ้นมันก็เลย
00:05:22 → 00:05:24 บอกเอ้ออาจจะกินได้ก็กินมันไปอันเนี้มัน
00:05:24 → 00:05:27 ก็คือเริ่มจากการแบบบางคนอาจจะอยู่ที่
00:05:27 → 00:05:30 หนาวหน่อยแล้ววางทิ้งไว้เอ่อทั้งหนาวทั้ง
00:05:30 → 00:05:33 ชื้นมันเริ่มแห้งตัวไปเรื่อยๆแห้งตัวไป
00:05:33 → 00:05:37 เรื่อยๆเออทิ้งไว้เอ้ยอร่อยขึ้นด้วยเอ้ย
00:05:37 → 00:05:40 ถ้าถ้ากินแบบสัปดาห์เดียวไม่อร่อยทิ้งไว้
00:05:40 → 00:05:42 เดือนนึงอร่อยกว่าเ้าก็เริ่มบอกเพื่อนฝูง
00:05:42 → 00:05:45 มันก็มีการพัฒนาของวัฒนธรรมไปคือเป็น
00:05:45 → 00:05:48 หมื่นปีอ่ะคุณคิดดูดิใช่มั้ยเป็นหมื่นปี
00:05:48 → 00:05:50 อ่ะกว่าจะได้เรื่องของความเข้าใจในการ
00:05:50 → 00:05:52 เล่นกับวัตถุดิบตัวนั้นน่ะมันก็เลยเกิด
00:05:52 → 00:05:55 เป็นความเอ่อความความความหลากหลายเพราะ
00:05:55 → 00:05:58 มนุษย์เราก็ครีเอทีกันไปเรื่อยตามวัตถุ
00:05:58 → 00:06:02 ดิบที่มีบางคนไปวางแถวบ้านคนโบราณก็ใช้
00:06:02 → 00:06:04 ฟืนกันตลอดใช่มั้ฮะก็ทำชีสเสร็จในห้อง
00:06:04 → 00:06:08 นั้นก็มีควันควนทิ้งไว้อ้าวมันมีควันจับ
00:06:08 → 00:06:11 อ่าแล้วไอ้มะลงแมลงก็ไม่ไปเกาะมันก็เกิด
00:06:11 → 00:06:14 เป็นชีสลมควันประเภทนึงบางพวกมีขี้เถ่า
00:06:14 → 00:06:17 เยอะจากกองฟืนเห็นว่าแมลงวันมันไม่ชอบเอา
00:06:17 → 00:06:19 ไปโรยชีสเฉยเลยเพื่อไม่ให้แมลงวันมันเกาะ
00:06:19 → 00:06:22 เออๆก็กลายเป็นว่าได้ชีสที่มีขี้เท่าเกาะ
00:06:22 → 00:06:26 แล้วราบางอย่างขึ้นดีสรุปว่าชีสเนี่ยทั่ว
00:06:26 → 00:06:30 โลกเนี่ยเกิดจากทั้งเอ่อการคิดค้นของที่
00:06:30 → 00:06:34 มันเกิดขึ้นตามเอ่อสภาพแวดล้อมตาม
00:06:34 → 00:06:36 วัฒนธรรมตามสถานที่ตัวเองโดย accident
00:06:36 → 00:06:39 ไม่ใช่น้อยเลยแล้วบางพวกก็คือมีความต้อง
00:06:39 → 00:06:42 จงใจตั้งใจสตว่าชีสเนี่ยมันก็เลยด้วยความ
00:06:42 → 00:06:44 ที่มันมีความแตกต่างหลากหลายไม่ได้มีใคร
00:06:44 → 00:06:47 กำหนดกฎเกณฑ์มันแต่แรกคนยุคปัจจุบันก็เลย
00:06:47 → 00:06:50 มาทำการจำแนกชีสเค้าก็พยายามดูว่าอะไรมัน
00:06:50 → 00:06:52 คือเนื้อหาของแต่แต่ละ
00:06:52 → 00:06:55 [เพลง]
00:06:55 → 00:06:59 กรุ๊ปที่ชัดเจนมากก็คือความแข็งของชีสาร
00:07:00 → 00:07:02 ชีสก็คือกลุ่มชีสที่พวกแข็งๆแบบเนี้ยเวลา
00:07:02 → 00:07:04 เป็นก้อนก็จะแข็งโป๊กเลยแข็งน้อยลงกันเรา
00:07:04 → 00:07:07 ก็เรียกว่ากึ่งแข็งหรือเิฮาร์ดชีส
00:07:07 → 00:07:11 เมิฮาร์ดเออแล้วก็พอถอยลงมาอีกชั้นนึงก็
00:07:11 → 00:07:14 จะเป็นเมิซอtแล้วถ้าอย่างเงี้ยอันเนี้ซอ
00:07:14 → 00:07:16 อ่าโอเคก็จะเห็นชัดเจนก่อนใช่อย่างเงี้ย
00:07:16 → 00:07:19 ซอtชีสโดยมากชีสมันจะถูกบ่มแต่ว่ามันจะมี
00:07:19 → 00:07:22 พวกนึงที่เค้าก็ไม่ได้บ่มเลยเค้าก็จะทำ
00:07:22 → 00:07:25 แล้วก็กินสดได้พวกนี้เค้าก็เลยจะเรียก
00:07:25 → 00:07:28 frชีสอ่าครับนะครับซึ่งตัวนี้ส่วนมากจะ
00:07:28 → 00:07:30 นุ่มมากอยู่แล้วแต่ข้อแตกต่างระหว่าง
00:07:30 → 00:07:35 เฟรชีสกับชีสอื่นๆทั้งหมดเนี่ยคือนอกจาก
00:07:35 → 00:07:37 เขาไม่ได้ผ่านการบ่มแล้วเนี่ยเขาจะไม่มี
00:07:37 → 00:07:40 เปลือกเลยเขาจะขาวๆล้วนๆก็คือตัวเนื้อน
00:07:40 → 00:07:43 อ่าใช่ยังขาวอยู่ยังไม่มีเปลือกอะไรขึ้น
00:07:43 → 00:07:45 มาแต่ถ้าที่เห็นพวกเนี้ยถ้าผ่านการบ่ม
00:07:46 → 00:07:48 เมื่อไหร่เนี่ยเปลือกจะเริ่มขึ้นเค้ากิน
00:07:48 → 00:07:50 เปลือกกันมั้ครับแล้วแต่ชนิดแล้วแต่ชนิด
00:07:50 → 00:07:53 แล้วแต่ชนิดอมันมีการแบ่งที่ลึกมีมีแบ่ง
00:07:53 → 00:07:57 อีกก็อย่างเช่นชนิดอ่าสไตล์ของชีสอ่า
00:07:57 → 00:08:00 อย่างอันเนี้ยมันซอtชีสด้วยกันทั้งคู่ใช่
00:08:00 → 00:08:03 มั้ยฮะซอtชีสด้วยกันทั้งคู่แต่อันนึงเ้า
00:08:03 → 00:08:06 เรียกว่า white mold cheสหรือชีสราขาวก็
00:08:06 → 00:08:09 จะเห็นจากผิวข้างอ่าใช่ฮะเจะมีราขาวๆขึ้น
00:08:09 → 00:08:11 นะครับแต่อันเนี้ยเราจะนี่มันนุ่มมากเลย
00:08:11 → 00:08:14 นะอันนี้เราจะเรียกว่า wash rine ก็คือ
00:08:14 → 00:08:17 พวกล้างผิวที่บอกตัวอ่าล้างเพื่อไม่ให้
00:08:18 → 00:08:21 มันมีราอะไรขึ้นอีกพวกนึงราราน้ำเงินหรือ
00:08:21 → 00:08:24 ลาเขียวเนี่ยบูชีสออันนี้ผมชอบนะอ่าบูชีส
00:08:24 → 00:08:28 มันจะเป็นทั้งฮารชีส soft ชีสเมิฮารเซอt
00:08:28 → 00:08:31 ได้หมดเลยคือไปแข็งกว่านี้ก็ได้ได้ฮะได้
00:08:31 → 00:08:34 ฮะเอออ่ะสไตล์คือเมื่อกี้เราบอกมีพื้นผิว
00:08:34 → 00:08:38 แบบนี้แล้วมีชีสมีบูชีสแล้วครับมี FL ชีส
00:08:38 → 00:08:41 คือชีสที่ใส่ไอ้นู่นไอ้นั่นเข้าไปก็คือตก
00:08:41 → 00:08:44 แต่งชีสตกแต่งรสชาติตกแต่งเช่นเอาอ่าหลัง
00:08:44 → 00:08:49 ของเราเนี่ยมีใส่เม็ดคอเวใส่พริกไทย
00:08:49 → 00:08:51 จันทบุรีของเราเนี่ยอ่าฮะเข้าไปบางคนก็
00:08:52 → 00:08:55 เอาชีสไปรมควันนั่นก็ถือว่าเป็นวิธีflวอร
00:08:55 → 00:08:58 ชีสอีกแบบหนึ่งเราก็จะมีชีสบางตัวที่เรา
00:08:58 → 00:09:00 ใส่เม็ดลูกเกดใส่อะไรเข้าไปด้วยอ่าก็จะมี
00:09:00 → 00:09:02 แบบแล้วแต่ว่าอยากให้ได้รสอะไรใหม่ๆขึ้น
00:09:02 → 00:09:05 มาอีกพวกนึงสไตล์ยืดๆยืดอันนั้นไม่ใช่ชีส
00:09:05 → 00:09:08 สดเหรอครับไม่อันนั้นเป็นชีสสดแต่ชีสมี
00:09:08 → 00:09:11 ไม่ยืดก็มีเยอะแยะอ๋อครับแต่ชีสพาสต้า
00:09:11 → 00:09:14 เนี่ยเออเอ่อคือทำเมื่อเจอความร้อนและยืด
00:09:14 → 00:09:17 ได้ถือเป็นสไทมีทั้งเฟรชีสและฮารชีสด้วย
00:09:17 → 00:09:20 วิธียากที่ 3 คืออ่าชนิดของนมนมฮะของนม
00:09:20 → 00:09:27 ที่เอามาใช้อนมวัวนมแพะอืนมแกะครับนมควาย
00:09:27 → 00:09:29 อออ่าหลักๆนี่จะที่เล่นในโลกจะมีอยู่ 4
00:09:29 → 00:09:34 อย่างแค่เนี้ยนะฮะไอ้พวกแปลกๆก็มีนมนมม้า
00:09:34 → 00:09:38 นมลานมอูดนมจามรีอ่ะยักษ์เนี่ยไอ้ที่แถว
00:09:38 → 00:09:42 พุทธิเบศภูตาลเนี่ยเอ่อทำกันเยอะนะครับ
00:09:42 → 00:09:45 แต่นี้ของค่อนข้างจะแปลกละคนในโลกเริ่มทำ
00:09:45 → 00:09:49 ชีสเท่าที่ทราบนะฮะทำจากนมแพะก่อนครับแพะ
00:09:49 → 00:09:51 แพะมาตั้งแต่แรกเลยแพะตั้งแต่แรกตั้งแต่
00:09:51 → 00:09:54 เริ่มจับสัตว์มาเลี้ยงเลยแล้วเห็นวัวไอ้
00:09:54 → 00:09:56 แพะมันเลี้ยงลูกก็ไปขโมยนมเกินน่ะเข้าใจ
00:09:56 → 00:09:59 ว่าคนเนี่ยเริ่มมาจากเลี้ยงแพ้เพราะ
00:09:59 → 00:10:01 เลี้ยงง่ายสุดครับไม่ดื้ออือแล้วหลังจาก
00:10:01 → 00:10:04 นั้นเนี่ยถึงจะมาเป็นวัวผ่านไปหลายพันปี
00:10:04 → 00:10:07 ถึงจะมาเป็นวัวเป็นควายออพวกนี้คือเริ่ม
00:10:07 → 00:10:10 กล้าเริ่มเลี้ยงแพะจนเก่งก็เริ่มใจกล้า
00:10:10 → 00:10:12 จับสัตว์ใหญ่มาเลี้ยงบ้างนะครับก็เลย
00:10:12 → 00:10:17 เริ่มมีเอ่อนมวัวเป็นการทำชีสแต่วัวมัน
00:10:17 → 00:10:20 ให้นมเยอะอือแล้วมันก็ให้เนื้อเยอะคนก็
00:10:20 → 00:10:23 เลยน่าจะเริ่มนิยมเลี้ยงวัวเนี่ยน่าจะสัก
00:10:23 → 00:10:27 4,000 ปีมั้งอืผมคิดว่านะแกะก็อีกตัวนึง
00:10:27 → 00:10:30 ที่ใช้เยอะในอดีตเพราะแกะกับแพะเค้าก็ยาก
00:10:30 → 00:10:33 ๆกันไอ้นี่ก็เลี้ยงง่ายจริงๆนมแพะด้วยนม
00:10:33 → 00:10:35 แกะก็มีมาตั้งแต่นานแล้วแต่ว่าเค้าก็ไม่
00:10:35 → 00:10:40 ได้ให้นมเยอะอครับแล้วเอ่อแกะมันเอาไปทำ
00:10:40 → 00:10:44 ขนด้วยไปทำเนื้อด้วยมันก็เลยไปเด่นเรื่อง
00:10:44 → 00:10:47 อื่นซะมากกว่าใช่แต่ตอนนี้หลักๆในโลก
00:10:47 → 00:10:49 เนี่ยส่วนใหญ่จะเป็นนมวัวนมบัววัวเป็น
00:10:49 → 00:10:52 หลักครับนมวัวตามมาด้วยนมแพะอือแล้วก็ตาม
00:10:52 → 00:10:55 มาด้วยนมควายนมควายกับนมแกะเนี่ยพอๆกัน
00:10:55 → 00:10:58 ความปอปปูลารถือว่าน้อยใช้น้อยมากแต่นมนม
00:10:58 → 00:11:00 ควายนี่ผมก็ยังพอเคยได้ยินนะมันมันก็จะ
00:11:00 → 00:11:04 แบบไม่รู้ชีสบูฟาร่าใช่ๆอันนี้ผมผมก็รู้
00:11:04 → 00:11:07 ว่ามันเป็นนมควายอะไรก็เป็นเป็นทางอิตาลี
00:11:07 → 00:11:11 ใช้ควายควายเค้าไม่ใช่ควายปลักอย่างเรา
00:11:11 → 00:11:13 เ้าเป็นควายแม่น้ำเหมือนทางอินเดียเป็น
00:11:13 → 00:11:17 rivอรเป็น water buffฟalอือ water buffal
00:11:17 → 00:11:19 ของเราคิด Water ไม่ใช่ของเราเรียกซิswวอ
00:11:19 → 00:11:22 buffฟalก็โคตรต่างๆกันอีกใช่swวอมก็คือ
00:11:22 → 00:11:25 แบบที่แบบเฉะอแฉะปักๆอ่ะแต่ของเขานี่คือ
00:11:25 → 00:11:28 อยู่กันตามแม่น้ำชอบลงน้ำไปว่ายน้ำไปนั้น
00:11:28 → 00:11:31 น่ะเขาจะม้วนๆจะคนละสายพันธุ์อแล้วพวก
00:11:31 → 00:11:36 นั้นเนี่ยมันก็จะถูกทำเอ่อทำพันธุ์ให้นม
00:11:36 → 00:11:39 เยอะๆอ๋อเป็นหลักะครับปรับปรุงสายพันธุ์
00:11:39 → 00:11:43 มาจนมันเน้นเรื่องนมเออครับอือ่ะมีอีกมั้
00:11:43 → 00:11:45 ครับสิ่งที่แบ่งประเภทชีประมาณนี้ประมาณ
00:11:45 → 00:11:48 นี้แล้วใช่มั้ใช่ฮะอ่ะถ้าจะถ้าจะแยกอีก
00:11:48 → 00:11:52 แบบเก๋ๆหน่อยนะเอ่อ World กับ New World
00:11:52 → 00:11:55 cheีสเฮ้ยมีด้วยเหรออันนี้ของคเอออ่า
00:11:55 → 00:11:57 เพราะว่ามันก็เหมือนกันก็ชีสกับวายเป็น
00:11:57 → 00:12:00 ของคู่กันครับคนแต่ก่อนเปลูกองุ่นไอ้นี่
00:12:00 → 00:12:02 แล้วแล้วในขณะเดียวกันก็มีวัวด้วยใช่มั้
00:12:02 → 00:12:05 เออๆทั้งหมดมันมันส่วนมากมาจากยุโรปไงฮะ
00:12:05 → 00:12:09 ฮะอ่าอ๋อยุโรปยุโรปเริ่มคับแคบก็ไปไงไป
00:12:09 → 00:12:12 ยึดครองอาณาจักรเอ้อาณานิคมต่างๆมันก็เลย
00:12:12 → 00:12:15 ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ฝั่งโน้นแล้วก็ไปรวม
00:12:15 → 00:12:17 กันหลายชาติใช่มั้อเมริกาออสเตรเลียแค
00:12:17 → 00:12:20 แคนาดานิวซีแลนด์อเซาทแอฟริกาอะไรพวก
00:12:20 → 00:12:23 เนี้ยนะแล้วก็อเมริกาใต้ทั้งหมดเลยอือ
00:12:23 → 00:12:25 เป็นไงตัวเองก็ครีเอateใหม่ดิฮะก็
00:12:26 → 00:12:28 ครีเอateไวของตัวเองขึ้นมาใหม่ครับมันก็
00:12:28 → 00:12:30 เหมือนกันเอาวัฒนธรรมชีสไปแต่ตัวเองก็เลย
00:12:30 → 00:12:33 create ชีสของตัวเองขึ้นมาใหม่มันก็เลย
00:12:33 → 00:12:36 จะมีพวก New World W และ New World
00:12:36 → 00:12:40 cheสเกิดขึ้นจากการสร้างในโลกของชาวยุโรป
00:12:40 → 00:12:43 ที่เขาอ่าย้ายออกไปที่ไม่ได้พึ่งพาไม่ได้
00:12:43 → 00:12:45 อิงเดิมสูตรเดิมครับแบ่งเหมือนวายเลยก็
00:12:45 → 00:12:48 คือยุโรปกับนอกยุโรปอือื New World กับ
00:12:48 → 00:12:49 Old แต่จริงๆในยุโรปนี้ก็มี New Wine
00:12:50 → 00:12:52 ด้วย New New World New World W
00:12:52 → 00:12:53 ด้วยแล้วก็มี New World Chees New
00:12:53 → 00:12:55 World Chees เกิดขึ้นในยุโรปก็ไม่ใช่
00:12:55 → 00:12:58 น้อยเพราะว่าคนเริ่มอยากจะครีเอทีเออๆคน
00:12:59 → 00:13:01 ก็ไม่ได้แบบว่าจะต้องกินสไตล์เดิมตลอดไป
00:13:01 → 00:13:03 ก็รู้จักที่จะสร้างสรรค์อะไรของตัวเอง
00:13:03 → 00:13:06 ขึ้นมาด้วยแม่พิมพ์ใหม่รสชาติใหม่เซฟใหม่
00:13:06 → 00:13:09 ตั้งชื่อเองอือย่างเงี้ย
00:13:09 → 00:13:12 [เพลง]
00:13:12 → 00:13:14 ทีนี้ก็เลยอยากถามว่าแบบทั่วโลกมันทำชีส
00:13:14 → 00:13:16 ได้หมดเลยเหรอครับหมายถึงประเทศไหนก็
00:13:16 → 00:13:19 สามารถทำชีได้หมดเอ่อผมว่าน่าจะทำถ้าขั้ว
00:13:19 → 00:13:21 โลกเหนือขั้วโลกใต้เยากนิดนึงเพราะมันคง
00:13:21 → 00:13:24 แข็งก่อนอ๋อโอเคแต่ที่เหลือผมว่าไม่มี
00:13:24 → 00:13:27 ปัญหาเออไม่น่ามีปัญหาเลยเพราะว่าถ้าไทย
00:13:27 → 00:13:29 ร้อนๆขนาดนี้เรายังทำได้ที่เหลือต้องทำ
00:13:29 → 00:13:32 ได้หมดอือฮึแต่ว่าขึ้นอยู่กับว่าเ้าจะทำ
00:13:32 → 00:13:36 ชีสแบบไหนอ่ะฮะถ้าเป็นเฟรชีสเนี่ยมันไม่
00:13:36 → 00:13:38 ได้ต้องใช้ความเย็นเข้าช่วยสักเท่าไหร่
00:13:38 → 00:13:41 เลยมันก็สามารถจบที่ตัวเขาเองได้ในอากาศ
00:13:42 → 00:13:46 ร้อนๆหรือจริงๆไอ้ที่ชีสที่ค้นพบเอ่อการ
00:13:46 → 00:13:49 การจับตัวกันเนี่ยครับมันน่าจะค้นพบใน
00:13:49 → 00:13:52 พื้นที่เขตร้อนมากกว่าเ้าบอกว่าจริงๆแล้ว
00:13:52 → 00:13:55 ชีสเนี่ยต้นตำรับทั้งหมดมันมาจากโซนแถวๆ
00:13:55 → 00:13:57 ตะวันออกกลางอ่าไม่ใช่ยุโรปอย่างี้ไม่ใช่
00:13:57 → 00:14:00 ยุโรปคืออาจจะแบบตุรกีจอแดนเลบานอน
00:14:00 → 00:14:04 อิสราเอลอียิปต์อะไรแถวๆเนี้ยโซนๆเนี้ย
00:14:04 → 00:14:07 ที่มันเป็นแหล่งอารยธรรมเดิมๆของมนุษย์
00:14:07 → 00:14:11 โซนนั้นเฮนะฮะเ้าก็จะไปจัดการเรื่องนม
00:14:11 → 00:14:13 โยเกิร์ตก็น่าจะเกิดจากโซนๆนั้นเพราะว่า
00:14:13 → 00:14:15 ชีสเนี่ยเรื่องเดียวกันเลยใช่แน่นอน
00:14:15 → 00:14:18 มันมันก็เลยมันเริ่มจากที่เขตร้อนด้วยซ้ำ
00:14:18 → 00:14:21 อออืมันถึงได้เกิดการแยกชั้นเร็วให้เห็น
00:14:21 → 00:14:25 เออแต่ว่าถ้าทำการกินมันดันไปอยู่ในยุโรป
00:14:25 → 00:14:29 มันคนมันผ่านกาลเวลาไปอฮะคนมันก็ย้ายไป
00:14:29 → 00:14:32 ตะวันออกกลางโซนๆแถวตรงนั้นเนี่ยครับชาติ
00:14:32 → 00:14:35 ที่โดดเด่นมากที่รับไปเป็นต้นตำรับการ
00:14:35 → 00:14:39 เริ่มต้นทำชีสคือน่าจะเป็นพวกกรีกฮะออ
00:14:39 → 00:14:41 กรีกโบราณครับซึ่งเราก็คุยกันกี่พันปี
00:14:41 → 00:14:44 แล้วใช่มั้ฮะกรีกโบราณก็ยุคเดียวกับพระ
00:14:44 → 00:14:47 พุทธเจ้าอ่ะอือๆอ่าแล้วหลังจากนั้นคนที่
00:14:47 → 00:14:51 ตามกรีกความยิ่งใหญ่ของกรีกตามมาพบโรมัน
00:14:51 → 00:14:54 เอแล้วโรมันเสร็จแล้วไงมันก็เอาความยิ่ง
00:14:54 → 00:14:57 ใหญ่ไปทั่วยุโรปเป็นอาณาจักรโรมันแล้วก็
00:14:57 → 00:15:01 เอาไอ้วิธีการทำชีสสไตล์เนี้ยไปเผยแพร่
00:15:01 → 00:15:03 ให้คนทั่วยุโรปอื่นๆน่ะได้รับทราบแต่มัน
00:15:03 → 00:15:07 มีจุดแตกต่างออือจุดแตกต่างคือการใช้
00:15:07 → 00:15:10 เอนไซม์เรนเนตอือที่มันมาค้นพบเจออีกทีใน
00:15:10 → 00:15:13 แถวตะวันออกกลางอีกทีนึงคือการเอาที่เอา
00:15:14 → 00:15:18 นมอ่ะใส่ถุงน้ำที่ทำมาจากกระเพาะกระเพาะ
00:15:18 → 00:15:21 แพะหรืออะไรเงี้ยสัตว์ตัวเล็กๆก็ปรากฏว่า
00:15:21 → 00:15:23 แค่ใส่ไอ้ถุงนี้ถุงเดียวเนี่ยถุงอื่นมัน
00:15:23 → 00:15:25 ไม่เวิร์คตัวเนี้ยกลายเป็นว่าเคสติดอยู่
00:15:25 → 00:15:29 ข้างในเออแล้วที่ไหลออกมาเป็นหางนมน้ำใสๆ
00:15:29 → 00:15:30 เก็เลยเฮ้ยเกิดอะไรขึ้นก็เลยผ่าดูเอ๊ะ
00:15:30 → 00:15:33 ทำไมมันเป็นอย่างงี้เก็เลยเชื่อว่านั่น
00:15:33 → 00:15:35 น่ะคือที่มาว่าก็ค้นพบว่าอ๋อต้องเป็น
00:15:35 → 00:15:38 กระเพาะรุ่นนี้สไตล์นี้ที่จะทำให้นมแข็ง
00:15:38 → 00:15:40 ตัวนั้นเนี่ยคงเกิดขึ้นเป็นหลายพันปีแล้ว
00:15:40 → 00:15:42 ด้วยซ้ำมันก็เลยแพร่หลายว่านี่คือเทคนิค
00:15:42 → 00:15:45 ทำชีสที่เปลี่ยนไปแค่ทิ้งนมไว้ให้มันจับ
00:15:45 → 00:15:48 ตัวแล้วแยกชันอือันนั้นจะคล้ายๆโยเกิร์ต
00:15:48 → 00:15:52 ใช่ใช่มั้ฮะอันนี้มันจะมันจะเอ่อเกิดเป็น
00:15:52 → 00:15:55 เนื้อที่แข็งขึ้นเยอะออ
00:15:55 → 00:15:58 [เพลง]
00:15:58 → 00:16:01 วิธีการทำชีสโดยปกติเนี่ยฮะมันมี process
00:16:01 → 00:16:03 อะไรที่เหมือนกันมั้ฮะมีครับเอ่อเบื้อง
00:16:03 → 00:16:07 ต้นเนี่ยมันคล้ายกันมากเลยก็คือเอานมมา
00:16:07 → 00:16:12 ก่อนครับนะฮะแล้วก็ใส่ตัวเชื้อลงไปอือฮะ
00:16:12 → 00:16:14 ไม่ใส่ก็ได้นะต้องเป็นนมดิบอ๋อต้องให้มัน
00:16:15 → 00:16:16 มีเชื้ออยู่ในตัวนี้สมัยก่อนเค้าไม่มี
00:16:16 → 00:16:19 เชื้อจริงๆแล้วสมัยก่อนมันคือน้ำนมดิบ
00:16:19 → 00:16:23 100% ครับแต่น้ำนมดิบพอถูกทิ้งไว้อ่ะมัน
00:16:23 → 00:16:25 ก็จะเพิ่มแบคทีเรียเองอือเพราะมันกลิ่น
00:16:25 → 00:16:27 น้ำตาลมันก็ขยายทีนี้ของเราก็จะใส่
00:16:27 → 00:16:29 แบคทีเรียลงไปเลยเพื่อให้มัน make sure
00:16:29 → 00:16:32 ว่ามันคือแบคทีเรียที่เราต้องการเลี้ยง
00:16:32 → 00:16:35 เชื้อไว้ประมาณชั่วโมงนึงฮะนะครับแล้วก็
00:16:35 → 00:16:38 ใส่เอนไซมตัวเนี้ยเข้าไปที่เราใช้เนี่ยมี
00:16:39 → 00:16:43 2 แบบไอ้ที่สกัดมาจากกระเพาะสัตว์กับที่
00:16:43 → 00:16:47 มันสร้างในแลบโดยใช้พวกยีราบางตัวที่เขา
00:16:47 → 00:16:49 สกัดมาส่วนมากจะเป็นตัวที่ 2 ที่เราใส่
00:16:49 → 00:16:51 ตัวที่ใส่ Animal Ret ที่มาจากสัตว์จริง
00:16:51 → 00:16:54 ๆค่อนข้างน้อยอืออ่าแต่อร่อยกว่านะเหรอ
00:16:54 → 00:16:56 ครับมันอร่อยกว่าเพราะอะไรครับพี่เอนไซม์
00:16:56 → 00:17:01 มันหลากหลายชนิดกว่าอ๋อคือเอนไซม์ย่อย
00:17:01 → 00:17:05 โปรตีนของที่มาในสัตว์มีตั้ง 7-8 ตัวใน
00:17:05 → 00:17:07 ขณะที่ไอ้สกัดมาจากตัวเดียวอะไรอย่าง
00:17:07 → 00:17:10 เงี้ยตัว 2 ตัวก็จะมีความ complex มีความ
00:17:10 → 00:17:13 เล็กกว่าคมันเข้าไปตัดใยโปรตีตีนอะไรข้าง
00:17:13 → 00:17:16 ในมันปล่อยสารคนละแบบตรวจแต่ละตัวเอนไซม์
00:17:16 → 00:17:18 มันก็ตัดคนละแบบปล่อยสารคนละแบบโอยิ่งคุย
00:17:18 → 00:17:20 ไปมันยิ่งวิทยาศาสตร์อ่ะอใช่เออชักไม่
00:17:20 → 00:17:24 หนุกแล้วเนาะแต่ว่าก็ก็ทำให้เห็นว่ามันมี
00:17:24 → 00:17:28 เรื่องของชีวิตที่เรียกว่าควบคุมการผลิต
00:17:29 → 00:17:31 กับชีวิตที่แบบปล่อยตามธรรมชาติอยู่อใช่
00:17:31 → 00:17:34 ครับสมัยก่อนเค้าจะปล่อยตามธรรมชาติเออ
00:17:34 → 00:17:38 เอ่อแล้วเค้าก็จะเอาน้ำหางนมของเมื่อวาน
00:17:38 → 00:17:41 เนี้ยออที่มันถูกเชื้อแบคทีเรียกินข้าม
00:17:41 → 00:17:44 คืนจะเคยจืดๆหรือหวานๆนิดๆกลายเป็น
00:17:44 → 00:17:46 เปรี้ยวเนี่ยอือไอ้เปรี้ยวเนี่ยแหละเต็ม
00:17:46 → 00:17:49 ไปด้วยเชื้อเลยเขาจะเอาอันนี้แหละฮะเทใส่
00:17:49 → 00:17:51 กับนมิเป็นหัวเชื้ออหัวเชื้อเหมือน
00:17:51 → 00:17:53 โยเกิร์ตเหมือนกันโยเกิร์ตก็คือเอา
00:17:53 → 00:17:56 โยเกิร์ตไปเมื่อวานเอามาใส่นม Exactly
00:17:56 → 00:17:59 เลยใช่แบบนั้นเลยแบบนั้นเลยแล้วก็ใส่
00:17:59 → 00:18:02 เอนไซม์เสร็จแล้วเราจะต้องตัดเคดตัดเคดนะ
00:18:02 → 00:18:05 ครับแล้วก็อย่างที่บอกกำหนดว่าจะให้มัน
00:18:05 → 00:18:08 แข็งออกแข็งหรืออ่อนจะกวนมั้ยจะไม่กวนจะ
00:18:08 → 00:18:10 กวนที่อุณหภูมิเท่าไหร่พวกนี้จะมีผลต่อ
00:18:10 → 00:18:12 การคายน้ำผมเพิ่งเพิ่งนั่งทำไปเมื่อ
00:18:12 → 00:18:16 อาทิตย์ที่แล้วนะแค่กระบวนการที่จะควบคุม
00:18:16 → 00:18:22 ปริมาณน้ำในชีสเนี่ย 37 ปัจจัยโอ้โหใช่
00:18:22 → 00:18:24 ระหว่างทำชีสมาต้นจนจบเนี่ยงั้นนักทำชีส
00:18:24 → 00:18:28 อย่างเราที่ทำชีสหลายๆตัวเนี่ยทีมงานจะ
00:18:28 → 00:18:33 ถูกสอนให้เข้าใจการเอ่อการการควบคุมใน 37
00:18:33 → 00:18:36 ปัจจัยเนี้ยให้อ่าละเอียดอย่างถ้าตัวนี้
00:18:36 → 00:18:39 มากจะคายน้ำเยอะถ้าปรับลงมันจะคลายน้ำ
00:18:39 → 00:18:42 น้อยแต่ไอ้กลางๆมันก็มีนะในแต่ละปัจจัย
00:18:42 → 00:18:44 หลังจากนั้นเอาใส่แม่พิมพ์อ่าครับเราก็จะ
00:18:44 → 00:18:47 เหลือหางนมในหม้อเต็มเลยแล้วเอาเคดเนี่ย
00:18:47 → 00:18:49 ใส่แม่พิมพ์เคิ์ก็ยังไม่หมดน้ำนะไปทับตัว
00:18:49 → 00:18:52 กันเองมันก็จะคลายน้ำคลายน้ำคลายน้ำจนสุด
00:18:52 → 00:18:54 กระบวนการมันก็จะวันรุ่งขึ้นส่วนมากจะ
00:18:54 → 00:18:56 เป็นวันรุ่งขึ้นก็จะแข็งตัวพอหลังจากนั้น
00:18:56 → 00:19:00 เราก็เป็นชีสขาวโล้นเราก็จะไปทำให้มัน
00:19:00 → 00:19:03 เค็มอืนะครับทำให้มันเค็มมีหลายวิธีจะไป
00:19:03 → 00:19:06 แช่น้ำเกลือหรือจะพอกเกลือหรือเราจะทำ
00:19:06 → 00:19:08 เค็มตั้งแต่เมื่อวานคือย่อยก่อนคุกเกลือ
00:19:08 → 00:19:12 แล้วค่อยอัดไม้พิมพ์ก็มีนะหลังจากนั้นก็
00:19:12 → 00:19:16 เอาไปบ่ม
00:19:16 → 00:19:18 เรื่องการบ่มเนี่ยมันเพื่ออะไรครับอย่าง
00:19:18 → 00:19:21 ที่บอกเราถ้าเราจะทำชีสเราก็จบตรงนั้นจบ
00:19:21 → 00:19:23 ตรงนั้นได้เลยอาจจะขายไปเลยก็ได้ซึ่งก็มี
00:19:23 → 00:19:26 คนซื้อเหมือนกันแต่ส่วนมากเราต้องการให้
00:19:26 → 00:19:31 ชีสเค้าได้มีการเอ่อโชว์ศักยภาพของ
00:19:31 → 00:19:35 ธรรมชาติอือของวัสดุดิบที่อยู่ในนั้นอือ
00:19:35 → 00:19:37 เพราะมนุษย์ค้นพบว่ามันปล่อยศักยภาพได้
00:19:37 → 00:19:40 มากกว่านี้พูดอย่างี้เลยนะครับดังนั้นมี
00:19:41 → 00:19:44 มีเชื้อแบคทีเรียมันก็จะมีเอนไซม์ที่ไป
00:19:44 → 00:19:48 ย่อยโปรตีนย่อยไขมันนะครับแล้วก็ตัวนมเอง
00:19:48 → 00:19:52 ก็มีกลิ่นของมันที่พอถูกย่อยออกมาเนี่ย
00:19:52 → 00:19:55 มันจะปล่อยกลิ่นหอมอะไรพวกนี้ออกมาอือ
00:19:55 → 00:19:58 เค้าก็เลยนิยมว่าไหนๆทำทั้งทีก็ให้มัน
00:19:58 → 00:20:02 อร่อยกินเฟรชีสมันจะจืดๆมันไม่ค่อยมีรส
00:20:02 → 00:20:05 ชาติอะไรเค้าก็เลยไปบ่มชีสกันมากๆแล้วตรง
00:20:05 → 00:20:08 เนี้ยฮะก็คือพูดเป็นวิทยาศาสตร์อีกแล้วก็
00:20:08 → 00:20:11 คือโปรตีนกับไขมันที่มันอยู่ในนั้นเนี่ย
00:20:11 → 00:20:14 ไอ้ตัวแบคทีเรียเนี่ยฮะเวลามันเจริญเติบ
00:20:14 → 00:20:18 โตอ่ะมันดันปล่อยเอนไซม์เล็กๆน้อยๆของมัน
00:20:18 → 00:20:21 บางพวกก็ปล่อยเอนไซม์สายย่อยโปรตีนบางพวก
00:20:21 → 00:20:24 ก็ปล่อยสายย่อยไขมันแล้วเอนไซม์พวกนี้มัน
00:20:24 → 00:20:28 ทำงานอย่างช้าคือกระบวนการทางแบบเคมีพวก
00:20:28 → 00:20:31 เนี้ยมันจะเป็นไปได้ช้ามากถ้าน้ำมันน้อย
00:20:31 → 00:20:33 ก็ต้องให้เวลามันนานๆอือนี่แหละแค่นั้น
00:20:33 → 00:20:36 เองแต่มันจะมีการบ่มในห้องบ่มในถ้ำอะไร
00:20:36 → 00:20:39 งี้ก็จะแบบมีความแตกต่างกันอีกไม่ไม่แตก
00:20:39 → 00:20:42 ต่างหรอกฮะอ่ะการบ่มเนี่ยเราไม่ต้องการ
00:20:42 → 00:20:45 ให้มันแห้งไงเออถ้าแห้งมันไม่บ่มครับ
00:20:45 → 00:20:48 เพราะว่าน้ำน้อยเกินไปครับครับเค้าก็ต้อง
00:20:48 → 00:20:52 อยู่ในที่ชื้นๆอืออ่าถ้าชื้นร้อนกระบวน
00:20:52 → 00:20:54 การเกิดขึ้นเร็วเกินไปเร็วเร็วเกินไปเร็ว
00:20:54 → 00:20:57 เกินไปบางทีการแตกตัวของโปรตีนกับไขมัน
00:20:57 → 00:21:01 น่ะเป็นไปอย่างรวดเร็วคราวนี้เหม็นขมอ๋อ
00:21:01 → 00:21:04 เออทำเลยไม่ค่อยได้ในประเทศร้อนเออประเทศ
00:21:04 → 00:21:08 เข็ดร้อนจะบ่มชีสแบบเนี้ยไม่มีเลยเออน้อย
00:21:08 → 00:21:10 มากต้องเป็นประเทศเข็ดหนาวขึ้นไปถึงจะบ่ม
00:21:11 → 00:21:13 ชีสได้เพราะว่ากระบวนการย่อยพวกนี้ถ้า
00:21:13 → 00:21:16 เป็นไปอย่างช้ามันจะดีกว่าอร่อยกว่าเยอะ
00:21:16 → 00:21:19 เลยสำหรับมนุษย์เรามันก็เลยต้องไปอยู่ใน
00:21:19 → 00:21:22 เขตหนาวคือยุโรปซะเยอะแต่ถ้าทำในเมืองไทย
00:21:22 → 00:21:26 ต้องจำลองคือทั้งชื้นและเย็นฉ่ำครับออ่า
00:21:26 → 00:21:29 10 กว่าองศา 8 มีตั้งแต่ 8 องศยัน 14
00:21:29 → 00:21:32 องศาที่เราใช้อ๋อหรือคนทั่วโลกใช้เนี่ยจะ
00:21:32 → 00:21:34 อยู่ประมาณเนี้ย 7-8 องศาไปจนถึง 14 แล้ว
00:21:34 → 00:21:35 แต่ชนิด
00:21:35 → 00:21:38 [เพลง]
00:21:38 → 00:21:41 เข้าไปถึงเรื่องหลักคือบางคนสงสัยว่าชีส
00:21:41 → 00:21:44 มันอร่อยยังไงพี่เค้ากินชีสยังไงบ้างกิน
00:21:44 → 00:21:50 เปล่าหรือไปทำอาหารต่ออืมเรื่องนี้นะเอ่อ
00:21:50 → 00:21:53 สำหรับคนไม่เคยกินชีสครับก็จะงงว่าพอกิน
00:21:53 → 00:21:56 ครั้งแรกแล้วแบบมันอร่อยยังไงเออนะแปลก
00:21:57 → 00:21:59 เนาะผมว่ามันก็เป็นเรื่องแปลกว่าผมเองมา
00:21:59 → 00:22:01 ชอบชีสได้ยังไงพี่ชอบชีสเพราะอะไรเพราะ
00:22:01 → 00:22:04 ว่าเด็กๆจำได้ว่าพ่อไปฝรั่งเศสเศษมาตอน
00:22:04 → 00:22:07 นั้นเราอยู่สัก 8 ขวบพ่อไปราชการกลับมา
00:22:07 → 00:22:12 ซื้อกำมองแบมาให้กินเ้าไปครั้งแรกนี่ผมเ
00:22:12 → 00:22:16 คือเอะไรเนี่ยเอออย่างงี้เลยคือแบบอะไร
00:22:16 → 00:22:20 ทำไมชื่อดังเหม็นก็เหม็นนะฮะรสชาติแป่งๆ
00:22:20 → 00:22:23 ไม่มีอะไรเด่นเลยจะหวานจะเปรี้ยวจะอะไร
00:22:23 → 00:22:28 ไม่มีเลยคือแบบแปลกมั้ยเออแต่ถามว่าเด็ก 8
00:22:28 → 00:22:31 ขวบอ่ะเอาไวให้กินน่ะเหมือนกันเหมือนกัน
00:22:31 → 00:22:33 มั้เออเหมือนกันเอาเบียร์ให้กินเหมือนกัน
00:22:33 → 00:22:35 มั้ยเหมือนเออเออเอาเหล้าให้กินก็เหมือน
00:22:35 → 00:22:38 กันอเอาปลาร้าให้กินก็เหมือนกันนะฮคือคน
00:22:38 → 00:22:41 ครั้งแรกอ่ะกินวนเข้าไปก็จะแบบอี๋อะไรอ่ะ
00:22:42 → 00:22:45 อือเ้าคนอินเซนเป็นอย่างี้หมดเออเออแปลก
00:22:45 → 00:22:47 มั้ยแต่ทุกคนน่ะตอนแรกๆตอนเด็กๆเป็นทำไม
00:22:47 → 00:22:49 โตขึ้นชอบกันนักหาอันนี้ต้องถามตัวเองว่า
00:22:49 → 00:22:52 มันเกิดขึ้นได้ยังไงเออใช่มั้ฮะครับคือผม
00:22:52 → 00:22:57 ว่าคนเราพอมันเริ่มโตขึ้นมันเริ่มเปิดรับ
00:22:57 → 00:23:01 เอ่อรสชาติที่ใหม่ๆขึ้นทุกวันทุกวัน
00:23:01 → 00:23:03 ระหว่างการเติบโตนะมันรับรสชาติใหม่ใหม่ๆ
00:23:03 → 00:23:08 ขึ้นทุกวันงั้นบางทีของบางอย่างเนี่ยที่
00:23:09 → 00:23:12 มันอยู่ในวัฒนธรรมคือเรื่องการถนอมอาหาร
00:23:12 → 00:23:15 ครับคุณต้องถูกบังคับให้กินเด๊ะอืไม่มี
00:23:15 → 00:23:17 ทางเลือกอ่ะอือบางทีตั้งแต่เด็กอ่ะเด็ก
00:23:17 → 00:23:21 อีสานนี่ก็ต้องกินกินปลาร้าตั้งแต่เด็ก
00:23:21 → 00:23:23 มั้มันอยู่ในส้มตำอยู่ในน้ำพงน้ำพริกตัว
00:23:23 → 00:23:25 เองจะบ่นว่าเหม็นมันก็ไม่ใช่เรื่องอใช่
00:23:25 → 00:23:28 มั้ยครับนี่มันคือแต่ละวัฒนธรรมอ่ะมันไม่
00:23:28 → 00:23:32 ได้ชอบแต่แรกหรอกมันอยู่ในสิ่งที่เขา้า
00:23:32 → 00:23:34 ถูกอเทรดเป็นให้กินแล้วจนกลายเป็นเรื่อง
00:23:35 → 00:23:38 ธรรมดาอืนะเหมือนกันแม้แต่กระทั่งเบียร์
00:23:38 → 00:23:41 กับวนเนี่ยมันเป็นสิ่งจำเป็นในยุคโน้นใน
00:23:41 → 00:23:43 ยุคกลางนะไม่มีน้ำสะอาดกินคุณต้องกินพวก
00:23:43 → 00:23:45 นี้แทนเพราะมันสะอาดกว่าเพราะมันสะอาด
00:23:45 → 00:23:48 กว่าเด็กกินนะฮะฝรั่งเศสเนี่ยไม่กี่เท่า
00:23:48 → 00:23:51 ไหร่เองอ่ะกินเบียร์กินวายกันในโรงเรียน
00:23:51 → 00:23:53 เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่น้ำสมัยก่อนไม่
00:23:53 → 00:23:57 สะอาดพออืเนี่ยเพราะฉะนั้นมันก็เลยบอกว่า
00:23:57 → 00:24:00 เอ๊มันไปชอบได้ยังไงอือมันแล้วยิ่งกินบาง
00:24:00 → 00:24:04 ทีมันก็ยิ่งติดอืมทำไมมันอร่อยขึ้นอ่ามัน
00:24:04 → 00:24:07 มีเคล็ดลับครับไม่ว่าจะปลาร้าหรือชีสนะฮะ
00:24:07 → 00:24:11 อย่างที่บอกโปรตีนแตกตัวรวมกับเกลือเมื่อ
00:24:11 → 00:24:15 ไหร่เนี่ยเกิดสารอุมามิครับครับอือืคือ
00:24:15 → 00:24:18 กลูตามิแอซิดถ้าจำไม่ผิดนะอือกลูตามิ
00:24:18 → 00:24:21 แอซิดเจอกับโซเดียมอ่ะโซเดียมคลอไรด์อ่ะ
00:24:21 → 00:24:23 มันก็เกิดเป็นโซเดียมกลูตาเมตไงโซมเออก็
00:24:23 → 00:24:27 คืออ่างชุรสนี่แหละผงชูรสดีๆนี่เองน้ำปลา
00:24:27 → 00:24:29 เราก็เหมือนกันน้ำปลาเราก็ปลาก็เป็น
00:24:29 → 00:24:32 โปรตีนกับเกลือมันก็เลยเป็นพื้นฐานของฐาน
00:24:32 → 00:24:35 รสชาติมิโสก็เหมือนกันซีอิ๊วเหมือนกันหมด
00:24:36 → 00:24:38 เลยคือกลายเป็นว่าคนชอบไอ้ติดไอ้ตัว
00:24:38 → 00:24:41 อุมามินี่แหละแต่ชีสมันก็มีเยอะอือ
00:24:41 → 00:24:43 วัฒนธรรมการกินชีสเนี่ยมันก็ต่างจากอย่าง
00:24:44 → 00:24:46 ปลาร้าเราไม่ได้กินปลาร้าโดยตรงเนมิโสเรา
00:24:46 → 00:24:48 ไม่ได้กินมิโสโดยตรงแต่ชีสเนี่ยมันเป็น
00:24:48 → 00:24:51 สิ่งนึงที่คนกินเปล่าด้วยแล้วก็ไปทำเป็น
00:24:51 → 00:24:54 อาหารด้วยใช่ครับใช่ครับคือ 1 มันไม่ได้
00:24:54 → 00:24:58 เค็มมากครับเขาทำให้มันไม่ได้เค็มจัดอือ
00:24:58 → 00:25:01 ถ้ามองว่าถ้าคุณอยากจะเก็บถั่วเหลืองไว้
00:25:01 → 00:25:04 ให้ได้นานนานน่ะคุณก็ต้องใส่เกลือเยอะๆไป
00:25:04 → 00:25:08 เลยใช่วิธีเอาไปตากอือพอตากมันก็แข็งโป๊ก
00:25:09 → 00:25:12 อือมันก็เลยเป็นถั่วเน่าแบบแผ่นๆเงี้ยกิน
00:25:12 → 00:25:14 ไม่อร่อยอือมันคือมี 2 อย่างเอาน้ำออก
00:25:14 → 00:25:17 เยอะๆหรืออัดเกลือเข้าไปเยอะๆแต่ทีนี้ชีส
00:25:17 → 00:25:21 เนี่ยมันไปเจอสภาวะการบ่มที่บอกว่ามัน
00:25:22 → 00:25:24 ทั้งเย็นครับแล้วก็ชื้นๆแล้วใส่เกลือ
00:25:24 → 00:25:27 ปรากฏว่าเนื้อสัมผัสอ่ะมันน่ากินอืเนื้อ
00:25:27 → 00:25:30 สัมผัสมันน่ากินแล้วมันก็เลยไม่ต้องใส่
00:25:30 → 00:25:33 เกลือเยอะเพราะมันควบแน่นไปเยอะแล้วอ๋อ
00:25:33 → 00:25:36 โทษทีมันมีเชื้อจุลินทรีย์เยอะด้วยอื
00:25:36 → 00:25:38 เชื้อจุลินทรีย์เนี่ยมันครองพื้นที่หมด
00:25:38 → 00:25:41 แล้วฮะอือเชื้อจุลินทรีย์ห่วยอะไรมาไม่
00:25:41 → 00:25:43 ได้ไอ้ที่จะทำให้มันทำให้เกิดโรคภัยไข้
00:25:43 → 00:25:46 เจ็บอ่ามันก็มีแต่เชื้อจุลินทรีย์มันครอง
00:25:46 → 00:25:48 พื้นที่เรียบร้อยอพอครองพื้นที่เสร็จตัว
00:25:48 → 00:25:51 อื่นมาเบอกอ้าพื้นที่เต็มแล้วอ่ะเหมือน
00:25:51 → 00:25:53 หญ้าเหมือนสนามอ่ะถ้าเราไม่ปลูกหญ้า
00:25:53 → 00:25:55 เดี๋ยววัชพืชมาเต็มเลยเราต้องรีบหว่าน
00:25:55 → 00:25:59 เมล็ดหญ้าให้เสร็จก่อนจๆๆๆหญ้าขึ้นคลองพั
00:25:59 → 00:26:01 จะพืชมาอุ้ยไม่มีที่ให้ลากลงสลาการเดียว
00:26:01 → 00:26:04 กันนี่คือข้อดีของชีสฮะมันถูกจองพื้นที่
00:26:04 → 00:26:06 ด้วยแบคทีเรียเจ้าถิ่นไปเรียบร้อยเออนี่
00:26:06 → 00:26:09 คือการคุมไม่ให้มันเสียเพราะนั้นชีสมันก็
00:26:09 → 00:26:11 เลยเป็นตัวที่มันไม่ต้องเค็มมากมันก็เลย
00:26:12 → 00:26:14 กินได้แบบแทนเนื้อส่งเนื้อสัตว์แทนอะไร
00:26:14 → 00:26:17 เงี้ยกินได้เลยกินได้เลยใช่มันไม่จำเป็น
00:26:17 → 00:26:20 ต้องไปผสมอะไรมันซับซ้อนนอกกว่าจะได้เหตุ
00:26:20 → 00:26:23 ผลอะไรคุณถามความเรื่องนั้นเลยเนี่ยแล้ว
00:26:23 → 00:26:26 แล้วเเอาชีสไปทำเป็นอาหารต่อกันมั้ครับก็
00:26:26 → 00:26:29 มีอยู่เยอะแยะเลยใช่ๆมันก็เหมือนเป็น
00:26:29 → 00:26:30 เครื่องปรุงอย่างนึง
00:26:30 → 00:26:33 เป็นเครื่องปรุงอย่างนึงอย่างในประเทศ
00:26:33 → 00:26:37 กรีกเนี่ยใช้ fetra ชีสแทบจะเหมือนน้ำปลา
00:26:37 → 00:26:39 ร้าเราเลยอืหรือเหมือนปลาร้าคือหรือ
00:26:39 → 00:26:42 เหมือนกะปิอ่ะแล้วแต่อยู่ที่ไหนนะคือใส่
00:26:42 → 00:26:48 หมดทุกอย่างเลยอือใส่ซุปก็ใส่สลัดใส่ขนม
00:26:48 → 00:26:50 อบใส่บ้านพอแตกอะไรเต็มไปหมดอ่ะเป็น
00:26:50 → 00:26:52 ประเทศที่กินชีสเยอะสุดเพราะว่าเฟต้าพอ
00:26:52 → 00:26:55 บ่มนานๆเนี่ยอุมามิมาเร็วก็ใส่หมดเลยนะ
00:26:55 → 00:26:59 อิตาลีเหมือนกันทุกอย่างล่อพมซานหมดฟับๆๆ
00:26:59 → 00:27:02 อืออือขูดแหลกเลยไม่ว่าจะสลัดพาสต้า
00:27:02 → 00:27:04 พิซซ่าโอ้
00:27:04 → 00:27:08 ใส่พเมซานหารู้มั้ว่าพาเมซานเนี่ยเป็น
00:27:08 → 00:27:11 อาหารที่มีอุมามิโดยธรรมชาติมากที่สุดใน
00:27:11 → 00:27:13 โลกโดยเหรอครับมากที่สุดในโลกคืออยู่ใน
00:27:13 → 00:27:17 พาเมซานชีสเพราะว่าอะไรบ่มนานมากเพราะบ่ม
00:27:17 → 00:27:20 นานมาก 18 เดือนขึ้น 12 เดือนขึ้นจนถึง 36
00:27:20 → 00:27:23 เดือน 48 เดือนก็มีโอคือยิ่งย่อยนานเนี่ย
00:27:23 → 00:27:25 โอ้โหแล้วความเข้มข้นยิ่งแห้งลงแห้งลงเอา
00:27:25 → 00:27:28 ไปขูดใส่นะคุณอิตาลีก็เลยตี๊ดติดใส่มัน
00:27:28 → 00:27:30 ทุกอย่างโดยไม่รู้หรอกว่าจริงๆเไอ้ชั้น
00:27:30 → 00:27:34 ติดอุมามิอ๋อมันมีจุดที่มันไม่มันไม่ขยาย
00:27:34 → 00:27:36 อุมามิแล้วมั้ครับหมายถึงว่าบ่มไปเท่า
00:27:36 → 00:27:39 ไหร่หลังจากนี้แล้วก็จะไม่บ่มมันน่าจะมี
00:27:39 → 00:27:42 สิ้นสุดของมันอยู่เหมือนกันออผมว่าน่าจะ
00:27:42 → 00:27:45 ไม่เกิน 3 ปีนะเต็มไม่งั้นคนก็บ่มชี้กัน
00:27:45 → 00:27:47 เป็น 10 ปี 20 ปีเพื่อให้มันมีบ่มชี้ 10
00:27:48 → 00:27:50 ปีก็มีแต่หายากมันแพงแล้วมันก็มีรถไม่ได้
00:27:51 → 00:27:52 เยอะขึ้นไม่ได้เยอะขึ้นมากไม่ได้ไม่ได้
00:27:52 → 00:27:54 เยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัดมันเหมือนมันจะมี
00:27:54 → 00:27:56 จุดอิ่มตัวของมันที่มันจะเริ่มจบอยู่แค่
00:27:56 → 00:27:58 เนี้ยผมคิดว่าอย่างงั้นนะเพราะเคยกินชีส
00:27:59 → 00:28:01 10 ปีมาก็ไม่รู้สึกว่ามันแบบมันมีผลต่าง
00:28:01 → 00:28:03 อะไรมีผลอะไรแล้วอีกอย่างไม่อร่อยละออมัน
00:28:03 → 00:28:06 เกินไปมันไม่เหมือนวาย 10 ปียังอร่อย
00:28:06 → 00:28:09 เหล้า 10 ปีนี้ยิ่งดีแต่ชีสด้วยความที่
00:28:09 → 00:28:12 มันมีคุณค่าทางอาหารสูงมากครับปฏิกิริยา
00:28:12 → 00:28:14 กระบวนการมันเยอะจัดเดี๋ยวมันจะเริ่ม
00:28:14 → 00:28:21 เพี้ยนเออมนุษย์บอกพอแค่นี้อร่อยพอแล้ว
00:28:21 → 00:28:23 แล้วอีกเรื่องนึงที่อยากรู้เลยครับเพราะ
00:28:23 → 00:28:26 ว่าเราซื้อชีสมาแล้วเก็บไว้ตัวเย็นมันมัน
00:28:26 → 00:28:28 ชีสมันเก็บได้นานแค่
00:28:28 → 00:28:31 แล้วแต่ฮะไอ้น้ำเยอะๆก็เก็บได้น้อยอ๋อ
00:28:31 → 00:28:34 เหมือนปลาแดดเดียวอ่ะกับปลาแห้งอ่ะไอ้ปลา
00:28:34 → 00:28:37 แห้งตัวเล็กๆอ่ะแบนๆแห้งๆเโอ้โห 10 ปีก็
00:28:37 → 00:28:40 อยู่ได้อ่ะถ้าเก็บดีๆใช่มั้ปลาแดดเดียวขอ
00:28:40 → 00:28:42 โทษแป๊บเดียวสักพักนึงก็จะเริ่มไม่ได้
00:28:42 → 00:28:46 แล้วเพราะมันน้ำมันยังมีน้ำอยู่ถึงจะเค็ม
00:28:46 → 00:28:48 ถึงจะเก็บไว้ได้หลายวันก็จริงแต่ปลาดด
00:28:48 → 00:28:50 เดียวน้ำมันเยอะเหมือนกันเลยกับชีสถ้าตัว
00:28:50 → 00:28:54 นี้เหรอฮะตัวนี้ก็สักเดือนนึงก็เลิกดี
00:28:54 → 00:28:56 กว่าถ้าเป็นซอฟเอาเป็นซอฟก่อนถ้าเป็นซอฟ
00:28:56 → 00:28:57 เนี่ย
00:28:57 → 00:29:00 มันซอชีสนี่อาจจะได้ซักถ้าซอฟขนาดนี้นะฮะ
00:29:00 → 00:29:03 ผมว่าประมาณ 3-4 สัปดาห์พอแล้วเต็มที่เลย
00:29:03 → 00:29:06 ตั้งแต่ออกจากโรงผลิตมานะ 4 สัปดาห์เต็ม
00:29:06 → 00:29:09 ที่ถ้าแบบนี้น้ำเ้าน้อยลงนี่ตัวนี้จะ
00:29:09 → 00:29:12 เริ่มอยู่ได้สักประมาณนี้คือ 2 เดือน
00:29:12 → 00:29:15 เซิซอใช่ตัวนี้จะเริ่มอยู่ได้สัก 2 เดือน
00:29:15 → 00:29:18 แบบเนี้ยแต่ถ้าตัวนี้เนี่ย 10 ปีก็อยู่
00:29:18 → 00:29:21 ได้อันนี้คือฮาร์ดฮาร์ดอย่างเงี้ย 10 ปี
00:29:21 → 00:29:24 ก็อยู่ได้โดยไม่เป็นอะไรตัวนี้ก็อาจจะ
00:29:24 → 00:29:28 เช่นกันอยู่ไปได้สัก 3-4 ปีก็ก็ยังก็น่า
00:29:28 → 00:29:30 จะอยู่ได้ก็จะอยู่ได้ตั้งแต่แบบ 3
00:29:30 → 00:29:34 สัปดาห์จนถึงแบบเป็น 10 ปี 20 ปีได้อยู่
00:29:34 → 00:29:36 แล้วบูชีสอ่ะครับที่มันมีแบบเชื้ออยู่
00:29:36 → 00:29:40 แล้วมากๆขนาดมันเก็บได้นานแค่ไหนบลูชีสจะ
00:29:40 → 00:29:42 มีอายุที่สั้นกว่าฮาร์ทชีสอ้าเหรอผมนึก
00:29:42 → 00:29:44 ว่ามันจะอยู่ได้ยาวกว่านะดูมันย่อยตัว
00:29:45 → 00:29:47 ย่อยเลยเนี่ยเนี่ยอ๋ออ่านอกจากแบคทีเรีย
00:29:47 → 00:29:49 แล้วเนี่ยการที่เราเอาราพวกเนี้ยลงไป
00:29:50 → 00:29:53 เนี่ยนี่คือเพิ่มเพิ่มตัวย่อยตัวที่ 2
00:29:53 → 00:29:55 เพิ่มตัวความเสี่ยงให้มันย่อยตัวเองเวลา
00:29:55 → 00:29:57 เราเจอเวลาในธรรมชาติเราเจอที่ไหนเราเจอ
00:29:57 → 00:30:01 ตามผลไม้กำลังเน่าๆครับเราเจอตามแบบว่า
00:30:01 → 00:30:05 กองพวกใบไม้ที่ทับถมอยู่บนดินในที่ชื้นๆ
00:30:05 → 00:30:09 น่ะเปิดมาพี่เ้าคือตัวย่อยสลายออืออ่าอ
00:30:09 → 00:30:13 แล้วดูยังไงว่าชีสมันเสียแล้วก็เชื้อรา
00:30:13 → 00:30:16 ตัวไหนกินได้ไม่ได้อ่าไอ้เรื่องเชื้อรา
00:30:16 → 00:30:20 ตัวไหนกินได้ไม่ได้เนี่ยจริงๆแล้วต้อง
00:30:20 → 00:30:23 ตรวจสอบในแลบเท่านั้นอ๋อไม่ไม่เห็นด้วยตา
00:30:23 → 00:30:25 เนี่ยไม่รู้ไม่บอกไม่ได้เลยบางทีหน้าตา
00:30:25 → 00:30:27 คล้ายคล้ายกันตัวนี้ปล่อยปล่อยสาร
00:30:27 → 00:30:30 ไมโตคอกซินตัวนี้ไม่ปล่อยอืออ่าั้นไอ้พวก
00:30:30 → 00:30:33 ที่เราใช้มาพวกนี้คือคัดมาจากตัวที่ดีเลย
00:30:33 → 00:30:36 ตัวที่นั้นเจำหน่ายมาโอสั่งจากต่างประเทศ
00:30:36 → 00:30:38 มาเนี่ยเพราะเราก็ไม่อยากจะมั่วแต่ถามว่า
00:30:38 → 00:30:40 อยากลองมั่วมั้ยอยากลองดูแต่ต้องทำงาน
00:30:40 → 00:30:42 อะไรต้องทำงานกับศูนย์วิจัยอะไรบางอย่าง
00:30:42 → 00:30:44 วสช.
00:30:44 → 00:30:47 เพื่อที่จะคักันออกมาว่าสายพันธุ์บ้านเรา
00:30:47 → 00:30:49 เนี่ยอยากรู้มากเลยสายพันธุ์บ้านเราตัว
00:30:49 → 00:30:51 ไหนที่ผมจะเอามาใช้ทำชีสที่บ้านเราได้
00:30:51 → 00:30:54 บ้างแต่นั้นมันคงเป็นโปรเจคที่เราต้องทำ
00:30:54 → 00:30:57 กับเขาสักพักนึงอแต่มีวิธีสังเกตง่ายๆมั้
00:30:57 → 00:30:58 ครับหมายถึงว่าเราซื้อชีสไปแล้วมันชีสมัน
00:30:58 → 00:31:02 ขาวๆครับเก็บไว้ในตู้เย็นแล้วมันดันมีแบบ
00:31:02 → 00:31:04 เชื้อราตัวอื่นตัดทิ้งอันนั้นไม่ควรกิน
00:31:04 → 00:31:07 แล้วตัดทิ้งตัดทิ้งได้ไม่ต้องชีสไม่ต้อง
00:31:07 → 00:31:09 ทิ้งทั้งก้อนใช่มั้ถ้าถ้าเป็นฮาร์ดชีส
00:31:09 → 00:31:11 เนี่ยถ้าเป็นฮาร์ดชีสเนี่ยแนะนำว่าตัด
00:31:11 → 00:31:14 ทิ้งกินข้างในต่อเลยอ๋ออ๋อไอ้แบบพวกลาเทา
00:31:14 → 00:31:17 ๆขาวๆดำไอ้ลาเทาๆดำๆอะไรเงี้ยนะฮะพวกนี้
00:31:17 → 00:31:20 ตัดเปลือกดีกว่าแต่ถามว่าจริงๆมีคนกิน
00:31:20 → 00:31:23 มั้ยหลายคนก็กินเออฝรั่งเศสก็บางคนก็กิน
00:31:23 → 00:31:27 บางคนก็ไม่ชอบผมสำหรับผมอ่ะผมไม่ค่อยชอบ
00:31:27 → 00:31:30 เพราะกลิ่นมันจะดินอ๋อ
00:31:30 → 00:31:32 ไอ้กลิ่นดินเราเนี่ยมาจากเชื้อราไม่ใช่
00:31:32 → 00:31:36 น้อยเออมันก็คือเราก็ตกที่บอกเนี่ยใช่ๆ
00:31:36 → 00:31:38 จริงๆมันรามันอยู่ในดินเนี่ยนะกลิ่นมัน
00:31:38 → 00:31:40 อันเดียวกันผมกลิ่นมันดินผมไม่ชอบตัดทิ้ง
00:31:40 → 00:31:43 แล้วเพื่อถ้าเราเพื่อความปลอดภัยเราไม่ไป
00:31:43 → 00:31:45 กินตัวราตรงนั้นก็ตัดทิ้งมันรามันอาจจะ
00:31:46 → 00:31:48 ตายไปแล้วแต่มันจะเหลือสารพวกท็อกซิน
00:31:48 → 00:31:51 อือฮึนะกินที่เนื้อข้างในดีกว่าแต่ตัวไหน
00:31:51 → 00:31:54 ที่เรากำจัดราออกอย่างเงี้ยอันนี้เป็นรา
00:31:54 → 00:31:56 ขาวพวกนี้เลี้ยงเลี้ยงราด้วยแล้วก็เลี้ยง
00:31:56 → 00:31:58 แบคทีเรียสีส้มด้วยอันนี้กินได้เราก็จะ
00:31:58 → 00:32:00 รู้อยู่แล้วตั้งใจอยู่แล้วว่ามันคือใช่
00:32:00 → 00:32:04 ครับมันเป็นตัวเอ่ออย่างอย่างราข้างนอก
00:32:04 → 00:32:07 เนี่ยเราจะเรียกมันว่าgeทคัcandidัมอ่าก็
00:32:07 → 00:32:12 จะเป็นราขนเตี้ยอืเอ่อเกือบๆจะเป็นยีส
00:32:12 → 00:32:16 แล้วเป็นราขั้นต่ำมากเอ่อกินได้พวกนี้มี
00:32:16 → 00:32:18 ผลอะไรกับร่างกายไม่มีเลยไม่มีเลยมีผลกับ
00:32:18 → 00:32:21 ชีสอย่างเดียวออมันไปช่วยทำให้ชีสนุ่มอ๋อ
00:32:21 → 00:32:24 คือกินตัวเนื้อชีสครับมันไปย่อยโปรตีนให้
00:32:24 → 00:32:28 เกิดความเหลวตัวการจับตัวของเคมันก็เลยจะ
00:32:28 → 00:32:31 เนี่ยถ้าจะบังคับให้ชีสเป็นเิซอtมันไม่
00:32:31 → 00:32:34 ได้อยู่ทำได้เลยนะมันต้องมีตัวที่เราเข้า
00:32:34 → 00:32:37 ใจว่าตัวชีวะอะไรมันไปช่วยตรงนี้อือคือผม
00:32:37 → 00:32:41 ทำมาเยอะมากแล้วเหรอสารพัดอย่างนเราเข้า
00:32:41 → 00:32:43 ใจมันถ่องแท้แล้วว่าอะไรที่มันทำให้เกิด
00:32:43 → 00:32:46 เป็นแบบนี้แบบนี้เออเนาะ 18 ปีแล้วอ่ะโห
00:32:46 → 00:32:51 เยอะมาก
00:32:51 → 00:32:54 ทำไมพี่เสถึงอยากทำชีสของพี่เสสมัยอยู่
00:32:54 → 00:32:57 โครงการหลวงเนี่ยเราเห็นศักยภาพว่านมอ่ะ
00:32:57 → 00:33:01 มันทำชีสได้แน่ๆดีๆแล้วเราครateชีสตอน
00:33:01 → 00:33:03 สมัยอยู่โครงการหลวงหลายชนิดด้วยแต่มัน
00:33:03 → 00:33:06 ไม่ได้ออกมาสู่ทองตลาดมันเป็นงาน R& ค่อน
00:33:06 → 00:33:08 ข้างเยอะเรารู้แล้วว่าที่เราทำออกมาตอน
00:33:08 → 00:33:11 นั้นนะฮะมันมีคุณภาพดีพอที่ถ้าเราพัฒนา
00:33:11 → 00:33:14 พัฒนาไปอีกดีกว่านี้อีกแน่นอนอืออือก็เลย
00:33:14 → 00:33:17 เชื่อมั่นตั้งแต่ยุคสมัยอยู่โครงการหลวง
00:33:17 → 00:33:24 ตั้งแต่ปีซักเอ่อ 56 57 นะฮะว่าเฮ้ยชีส
00:33:24 → 00:33:27 ดีๆในเมืองไทยมันส่งออกได้นะถ้าตั้งใจทำ
00:33:27 → 00:33:31 จริงๆนะอือก็เลยเปิดร้านจดีซานขึ้นมาจริง
00:33:31 → 00:33:33 ๆต้องตั้งใจเป็นร้านขายของแล้วเอาผัก
00:33:33 → 00:33:35 ผลไม้โครงการหลวงจากที่อื่นมารวมขายด้วย
00:33:35 → 00:33:38 แล้วก็ทำเบเกอรี่ด้วยปรากฏโควิดมันเข้าไง
00:33:38 → 00:33:41 เออแล้วสาทำชีสไว้ชิ้นนึงจากชิเชื้อที่
00:33:41 → 00:33:44 เหลือๆอยู่ในอดีตที่เก็บไว้ในตู้แชกแข็ง
00:33:44 → 00:33:46 ออาฮะแล้วไม่เคยทำมาก่อนด้วยแล้วเผอิญว่า
00:33:46 → 00:33:48 มีเชฟฝรั่งเศสมาไงฮะแล้วเขาก็บอกว่าให้
00:33:48 → 00:33:51 เราตั้งใจทำเพราะว่าอร่อยนะยูทำออกมา
00:33:51 → 00:33:55 อร่อยเออไหนๆโควิดลูกค้าเข้าร้านไม่มีก็
00:33:55 → 00:33:58 เลยตั้งใจทำดีกว่าตอนนี้ดีไซน์เนี่ยเอ่อ
00:33:58 → 00:34:01 มีชีสเยอะทั้งหมดกี่ตัวชีสที่เราทำ
00:34:01 → 00:34:05 จำหน่ายนะครับผมผมคิดว่ามันน่าจะอยู่
00:34:05 → 00:34:09 ประมาณ 12 ตัวมั้งฮะ 12 ตัวอันนี้ตัวเลข
00:34:09 → 00:34:10 นี้อาจจะจำไม่ได้เพราะว่าบางทีตัวบางตัว
00:34:10 → 00:34:13 ถูกถอดออกถูกใส่กลับเข้ามาครับแต่หลักๆ
00:34:13 → 00:34:16 ประมาณ 9 อแล้วก็จะมี extra อีกประมาณ 2-3
00:34:16 → 00:34:19 ตัวที่กำลังพัฒนาหรือจำหน่ายน้อยๆประมาณ
00:34:19 → 00:34:21 นี้ครับครับแล้วเรียกเราเรียกทั้งหมดนี้
00:34:21 → 00:34:23 ว่าชีสไทย
00:34:23 → 00:34:27 ก็เป็นชีสในประเทศไทยที่เราสร้างสูตรขึ้น
00:34:27 → 00:34:30 มาเองทั้งหมดเลยออนะครับ
00:34:30 → 00:34:35 เราตอนที่คิดสูตรชีสอ่ะด้วยความที่เรารู้
00:34:35 → 00:34:37 ประวัติศาสตร์ชีสมาชอบอ่านหนังสือชอบ
00:34:37 → 00:34:41 ศึกษามาใช่มั้ยครับแล้วชอบคิดตัวเองว่า
00:34:41 → 00:34:45 ฉันเป็นหมู่บ้านนึงแล้วกันอืแค่เนี้ยอื
00:34:45 → 00:34:48 ฉันเป็นหมู่บ้านนึงเดี๋ยวฉันจะมีฉันจะคิด
00:34:48 → 00:34:50 ชีสของฉันประจำหมู่บ้านของฉันซึ่งหมู่
00:34:50 → 00:34:52 บ้านฉันก็อาจจะอยู่ใกล้ๆหมู่บ้านเธอที่ก็
00:34:52 → 00:34:55 มีชีสใกล้ๆหมู่บ้านโน้นที่ก็มีชีสคือยัง
00:34:55 → 00:34:57 ไงวัฒนธรรมอ่ะมันรู้จักกันอยู่แล้วแต่ฉัน
00:34:58 → 00:35:00 ฉันไม่ไปกอ์ฟที่เธอฉันก็ขึ้นของหมู่บ้าน
00:35:00 → 00:35:03 ฉันอือ 1 ตำหรือ 1 ตำบล 1 prodดักอ่ะฉัน
00:35:03 → 00:35:05 ก็มีเอกลักษณ์ของฉันได้นี่คือวิธีคิดตั้ง
00:35:05 → 00:35:08 แต่วันแรกอออนั้นของเรามันก็คือแบบอาจจะ
00:35:08 → 00:35:11 คล้ายเพื่อนเธออาจจะคล้ายของในอำเภอนะแต่
00:35:11 → 00:35:13 ฉันมีความแตกต่างอย่างแน่นอนแล้วหลายตัว
00:35:13 → 00:35:16 ฉันก็เกิดจากแบบพลาดไปพลาดมาเฮ้ยอร่อย
00:35:16 → 00:35:19 เว้ยตั้งใจทำตัวนี้โอโหหลายตัวมากแล้ว
00:35:19 → 00:35:22 จริงๆแล้วมันมีเรื่องของความเป็นชีสไทย
00:35:22 → 00:35:24 อยู่มั้ฮะเหมือนมีใช้นมไทยอะไรเงี้ใช้นม
00:35:24 → 00:35:29 ไทยนะฮะใช้คนไทย 100% ครับในการคิดสูตร
00:35:29 → 00:35:32 และผลิตทั้งหมดอืแล้วก็บริษัทเราบริหารก็
00:35:32 → 00:35:35 เป็นคนไทยเครื่องเครื่องไม้เครื่องมือที่
00:35:35 → 00:35:39 เราใช้คือสร้างเองออกแบบเองอือเอ่อคือคือ
00:35:39 → 00:35:42 คือออกแบบขึ้นมาคล้ายของต่างประเทศอ่ะแต่
00:35:42 → 00:35:46 เราออกแบบที่เมืองไทยผลิตโดยช่างชาวไทยอื
00:35:46 → 00:35:48 ทั้งหมดทั้งกระบวนการเลยเนี่ยนะครับแล้ว
00:35:48 → 00:35:51 ก็หลายอย่างมันเป็น accciident ที่เกิด
00:35:51 → 00:35:54 ขึ้นในเมืองไทยอือ่ามันมันก็ไม่ได้จำเป็น
00:35:54 → 00:35:56 ที่จะต้องเพิ่มเติมสำหรับผมนะมันไม่ได้
00:35:56 → 00:35:59 ต้องเพิ่มเติมเอกลักษณ์อะไรมากไปกว่านี้
00:35:59 → 00:36:02 ครับเถามว่าชีสฝรั่งเศสทำไมเป็นฝรั่งเศส
00:36:02 → 00:36:06 อือทำง่ายๆแค่เนี้ยอืน่าสนใจต้องตอบว่า
00:36:06 → 00:36:09 อะไรเออไม่รู้คุณเอาคุณเอาหมวกแบเร่ยัด
00:36:09 → 00:36:10 เข้าไปในเชียเพื่อให้มีความเป็นฝรั่งเศส
00:36:10 → 00:36:13 ว่ามันมีภูมิปัญญามีวัฒนธรรมของเอยู่เค้า
00:36:13 → 00:36:16 ก็ถ่ายทอดวัฒนธรรมซึ่งกันและกันในทั่วมัน
00:36:16 → 00:36:18 ผ่านมา 1000 ปีใช่มั้ฮะมันต้องมีอะไรเป็น
00:36:18 → 00:36:20 ฝรั่งเศสอีกอ่ะคุณต้องมีก็ไม่ได้แบบ
00:36:20 → 00:36:24 เหมือนๆอะไรนะไอ้เหรียญทองแดงเหรียญทอง
00:36:24 → 00:36:27 โอลิมปิกต้องมีเศษหอไอเฟิลอยู่นั้นเปล่า
00:36:27 → 00:36:29 ถึงจะเรียกว่าเป็นเหรียญจากฝรั่งเศสคุณ
00:36:29 → 00:36:32 ต้องเอาหอไอเฟิลมาฝนใส่ชีสมั้ยเพื่อมัน
00:36:32 → 00:36:35 ไม่ใช่คือมันก็คือภูมิปัญญาคนที่ทำตรง
00:36:35 → 00:36:37 นั้นใช้คนที่นั่นใช้นมที่นั่นใช้อะไร
00:36:37 → 00:36:41 อย่างเงี้ยเออใช่มั้ฮะดีไม่ดีเราวัตถุดิบ
00:36:41 → 00:36:43 ไทยใส่ลงไปไอ้อย่างตัวนี้ผมบอกเนี่ยผมใส่
00:36:43 → 00:36:46 เหล้าขาวแล้วไงอ่าใช่ใช่มั้ยใส่พริกไทยอื
00:36:46 → 00:36:49 พริกไทยของจันทบุรีแต่บางทีเราเล่นไปไกล
00:36:49 → 00:36:53 กว่านั้นเราก็เอาพริกลาบเมืองครูอัดแม่
00:36:53 → 00:36:56 พิมพ์โอ้อร่อยมากเคยทำชีสกะเพราเพราะภาพ
00:36:56 → 00:37:00 จำนึงของผมกับจาติซานเนี่ยคือพริกลาบเนาะ
00:37:00 → 00:37:02 กะเพราเหมือนกันแล้วผมก็รู้สึกว่าเอ้ยมัน
00:37:02 → 00:37:05 ก็เป็นกิมที่น่ารักดีมันมีความเป็นไทย
00:37:05 → 00:37:07 อยู่ใช่คิดว่าเดี๋ยวจะลองเอากลับมาเสริม
00:37:07 → 00:37:11 เข้าเข้าไปดูบางตัวบางตัวใช้เวลาที่ปรับ
00:37:11 → 00:37:14 สูตรพวกเนี้ยให้มันเข้ากับชีสให้รสชาติ
00:37:14 → 00:37:18 มันดีขึ้นอืสมมุติคนมาที่นี่ที่จดีซาน
00:37:18 → 00:37:20 เนี่ยแล้วเลือกชีสสัก 5 แบบที่จะเป็นของ
00:37:20 → 00:37:23 ฝากหรือเอาไปกลับไปกินอ่าฮะอยากให้แนะนำ
00:37:23 → 00:37:25 สัก 5 ชนิดได้มั้ฮะได้ครับอย่างน้อยๆ
00:37:25 → 00:37:29 เนี่ยนะชีสเรามันครอบคลุมเฟรชไปจนฮาร์ด
00:37:29 → 00:37:33 ครับอยู่แล้วนะครับถ้าชีสบอร์ดที่ดีเนี่ย
00:37:33 → 00:37:36 มันควรจะมีความหลากหลายในเนี้ยอย่างแรก
00:37:36 → 00:37:38 เลยก็คือตัวสันผักหวานบุหรี่ตัวเนี้ยตัว
00:37:39 → 00:37:42 นี้ก็เป็นตัวที่รสชาติละมุนทานง่ายครีมี่
00:37:42 → 00:37:46 เป็นตัวเปิดทางเออตัวนี้ก็เป็นซอtชีสถ้า
00:37:46 → 00:37:49 ตัวเนี้ยเมิฮารดก็ยังทานง่ายอยู่คือ
00:37:49 → 00:37:52 Ferrari เนี่ย STARA Ferrari ของเราตัว
00:37:52 → 00:37:55 เนี้ยจะมีกลิ่นที่พัฒนาลึกขึ้นและเนื้อก็
00:37:55 → 00:37:58 ยังทานง่ายอยู่ไม่ได้เหม็นออือเท่าไหร่จน
00:37:58 → 00:38:02 เกินไปนะครับก็เป็นแนะนำตัวนี้ขึ้นมาต่อ
00:38:02 → 00:38:04 มาคือ Forest Taale นะครับรสชาติจะไป
00:38:04 → 00:38:08 คล้ายๆทางเชดดด้าผสมกับตอมหรือคลองตาของ
00:38:08 → 00:38:10 ฝรั่งเศสโดยธรรมชาติของมันคือผมพยาม
00:38:10 → 00:38:12 เปรียบเทียบให้ฟังว่ามันไปทางโน้นนะอีก
00:38:12 → 00:38:16 ตัวนึงก็ตัวเนี้ยลมฟันผลไม้นะครับอันนี้
00:38:16 → 00:38:20 เป็นสูตรเฉพาะเจาะจงที่จะดีซานมากในโลก
00:38:20 → 00:38:23 ยังไม่มีชีสแบบนี้อันนี้คือเอิคอต้าแล้ว
00:38:23 → 00:38:27 ใส่ผลไม้คือมีลูกเกดมีแครนเบอร์รี่นะครับ
00:38:27 → 00:38:29 เข้าไปอยู่ในนั้นแล้วก็เอาไปลมควันอีกที
00:38:29 → 00:38:32 ตัวเนี้ยมันคล้ายๆขนมคล้ายๆชีสเค้กคล้ายๆ
00:38:32 → 00:38:35 ชีสเค้กฟังดูเป็นอย่างงั้นก็หวานๆละมุน
00:38:35 → 00:38:37 ละมุนตัวนี้ขายดีมากในห้าง
00:38:37 → 00:38:40 นะฮะคนไทยที่ไม่ค่อยคุ้นชินกับชีสรสชาติ
00:38:40 → 00:38:43 แปลกๆกินตัวนี้จะชอบออตัวนี้ก็เลยอ่าถ้า
00:38:43 → 00:38:46 หาได้แนะนำแล้วก็อีกตัวนึงก็จะเป็นตัว
00:38:46 → 00:38:48 ฮาร์ชีสถ้านอกเหนือจาก forestale หรือหาง
00:38:48 → 00:38:52 ดงก็จะเป็นซอทารเทระครับก็ตัวนี้ก็รสชาติ
00:38:52 → 00:38:55 เจะอุมามิดีแล้วก็เ่อมีเนื้อสัมผัสที่
00:38:55 → 00:39:01 แข็งกว่าอืออ่านิดนึงแต่ถ้าใครไม่ชอบแบบ
00:39:01 → 00:39:05 นี้แต่อยากเป็นสายที่กินอะไรที่มันรสชาติ
00:39:05 → 00:39:09 ลึกขึ้นแนะนำสยามบลูก็เป็นบูชีสใช่บูชีส
00:39:09 → 00:39:12 ของสยามเราเลยฮะสยามิบบลูตัวเนี้ยอร่อย
00:39:12 → 00:39:14 ทำไมถึงตั้งว่าสยามบูก็ให้มันมีอะไรของ
00:39:14 → 00:39:17 ชาติไทยอ่ะที่มันชัดๆเลยออเพราะว่าบลูเ
00:39:17 → 00:39:22 เนี่ยหลายชาติอ่ามันจะมีบลูชีสประจำชาติ
00:39:22 → 00:39:25 นั้นชาติโน้นชาตินี้ใช่ผมเลยคิดว่าเอ่อ
00:39:25 → 00:39:28 ไหนๆตัวนี้เป็นชีสที่ทำยากที่สุดใช้เวลา
00:39:28 → 00:39:32 พัฒนานานที่สุดกว่าจะเพเฟคได้ยกให้เป็น
00:39:32 → 00:39:34 ของชาติไทยไปเลยตั้งชื่อให้เป็นชีสของ
00:39:34 → 00:39:36 สยามไปเลยดีกว่าเพราะว่านานนานมากกว่าจะ
00:39:36 → 00:39:40 ทำสำเร็จอืนะเคยได้ถึงบอกว่าไปเคยตัวแรกๆ
00:39:40 → 00:39:43 เนี่ยเคยทูลเกล้าถวายรัชกาลที่ 9 ให้ท่าน
00:39:43 → 00:39:46 ทรงทอดพระเนตรแล้วได้ได้รองเสวยเป็นครั้ง
00:39:46 → 00:39:49 แรกเมื่อ 10 เมื่อปี 54 นะฮะนั่นก็ทำให้
00:39:49 → 00:39:52 เราไม่หยุดไม่หยุดพัฒนาตัวนี้เพราะรู้สึก
00:39:52 → 00:39:56 ว่ามันยากที่สุดแล้วก็สีบลูเเนี่ยเป็นสี
00:39:56 → 00:39:58 ประจำ
00:39:58 → 00:40:01 พระมหากษัตริย์ผมก็เลยยกชีสตัวเนี้ยเป็น
00:40:01 → 00:40:05 ตัวที่เราทำแบบเพื่อถวายท่านน่ะแล้วก็ให้
00:40:05 → 00:40:09 เป็นของที่เอ่อสูงสุดของเราอ่าเลยให้เป็น
00:40:09 → 00:40:12 ของสยามไม่รู้คิดเองนะอันนี้นะโอเคครับ
00:40:12 → 00:40:14 พี่เสวันนี้ได้ความรู้เรื่องชีสแบบแน่น
00:40:14 → 00:40:18 มากๆแล้วก็ผมคิดว่าผมน่าจะกินชีสได้สนุก
00:40:18 → 00:40:21 ขึ้นนะมันได้รู้ความแตกต่างของแต่ละอันนะ
00:40:21 → 00:40:23 ฮะวันนี้ต้องขอขอบคุณพี่เสมากนะครับที่
00:40:23 → 00:40:25 ให้ความรู้เรื่องชีสนะฮครับด้วยความยินดี
00:40:25 → 00:40:27 ครับนี้ครับขอบคุณครับขอบคุณมากครับ
00:40:27 → 00:40:28 ขอบคุณ
00:40:28 → 00:40:35 [เพลง]