00:02:35 → 00:02:38 โอเคค่ะ สิ่งแรกที่อยากจะขอถามคือ คุณหมอทานอาหารแบบ Plant-based มาตั้งแต่ปี 1981 ถ้าดินฉันจำไม่ผิดนะคะ
00:02:38 → 00:02:39 อะไรทำให้คุณหมอเปลี่ยนมาทานแบบนี้คะ
00:02:40 → 00:02:41 มันเกิดอะไรขึ้นคะ
00:02:42 → 00:02:45 ตอนนั้นมีแรงผลักดันจากสองด้านที่เข้ามาพอดี
00:02:45 → 00:02:48 และมันทำให้ผมแน่ใจว่า ผมต้องเลิกกินสัตว์
00:02:49 → 00:02:52 ผมถูกเลี้ยงมาด้วยอาหารปกติที่ชาวอเมริกันทานกัน
00:02:52 → 00:02:58 ตอนนั้นผมอายุ 34 ปีแล้ว ผมก็ทานแฮมเบอร์เกอร์ และสเต็ก เหมือนคนอื่นๆ
00:02:58 → 00:03:01 แต่แล้วก็มีสองสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งแรกคือ ผมกำลัง
00:03:01 → 00:03:04 ฝึกงานเพื่อเป็นวิสัญญีแพทย์ และผมก็ทำงาน
00:03:04 → 00:03:07 ในห้องผ่าตัดที่โรงพยาบาลในแวน คูเวอร์
00:03:07 → 00:03:12 ตอนนั้นผมช่วยทำงานให้แผนกศัลยกรรมหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นแผนกที่รักษาผู้ป่วยด้านหัวใจและหลอดเลือด
00:03:12 → 00:03:14 วันแล้ววันเล่า ผมทำให้ผู้ป่วยเหล่านั้นสลบ
00:03:14 → 00:03:17 และผมก็ดูหมอผ่าตัดสองท่านเปิดอกคนไข้
00:03:17 → 00:03:23 และล้วงเอามันสีเหลืองเหมือนมันไก่เละๆออกมาจากเส้นเลือดหัวใจ
00:03:23 → 00:03:26 แล้ววันนึงระหว่างที่มองมัน ผมก็คิดได้ว่า
00:03:26 → 00:03:29 ที่มันดูเหมือนมันไก่ ก็เพราะว่ามันก็คือมันไก่ดีๆนี่แหล่ะ
00:03:29 → 00:03:33 ไม่ต่างกับกับมันวัว มันหมู หรือมันสัตว์ต่างๆที่คนทานเข้าไป
00:03:34 → 00:03:38 ตอนนั้นมีงานวิจัยทางการแพทย์ที่แสดงถึง
00:03:38 → 00:03:41 การทานอาหารที่มีไขมันสูง หรือไขมันจากสัตว์ ทำให้เส้นเลือดอุดตัน
00:03:41 → 00:03:43 และที่น่ากังวลมากกว่านั้น พ่อของผมก็เริ่มแสดงอาการของ
00:03:43 → 00:03:46 หลอดเลือดอุดดัน เขามีอาการปวดหน้าอก
00:03:46 → 00:03:49 ขาของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน และผมก็รู้ว่า
00:03:49 → 00:03:52 ผมก็มียีนส์ที่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
00:03:52 → 00:03:56 และอีกไม่นานผมก็คงจะมานอนอยู่บนเตียงผ่าตัด ให้เลื่อยไฟฟ้าตัดกระดูกหน้าอกผม
00:03:56 → 00:03:59 ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เหตุการณ์นั้นทำให้ผมได้คิด
00:03:59 → 00:04:07 ในเวลาเดียวกัน ข้อมูลอีกอย่างก็เข้ามาจากอีกด้านหนึ่ง
00:04:07 → 00:04:10 ตอนผมเป็นนักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
00:04:10 → 00:04:13 ผมอยู่เวรในห้องฉุกเฉินทุกคืนวันเสาร์
00:04:13 → 00:04:16 ที่โรงพยาบาล Cook County ในรัฐชิคาโก ซึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่ในเมือง
00:04:16 → 00:04:19 และผมก็ได้เห็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่มนุษย์ทำต่อกัน
00:04:19 → 00:04:22 ไม่ว่าจะโดนปืนลูกซอง หรือปืนสั้นยิง
00:04:22 → 00:04:28 และพอถึงเช้าวันอาทิตย์ ตัวผมจะสั่นไปหมด จากการที่ได้เห็นสิ่งโหดร้ายต่างๆมาทั้งคืน
00:04:28 → 00:04:31 ผมเลยสัญญากับตัวเองว่า
00:04:31 → 00:04:33 อย่างน้อยผมจะเอาสิ่งโหดร้าย รุนแรงต่างๆ ออกไปจากชีวิตตัวเอง
00:04:33 → 00:04:36 และผมอยากจะได้......มันจะฟังดูเชยๆหน่อยนะ...ผมอยากเป็นคนสงบ
00:04:36 → 00:04:39 ผมอยากได้ความสงบภายในที่แท้จริง
00:04:39 → 00:04:42 ผมเลยเริ่มอ่านหนังสือ ผมอ่านมหตมะ คานธี
00:04:42 → 00:04:46 และเกี่ยวกับนักบุญอินเดีย เพื่อศึกษาวิธีใช้ชีวิตที่ปราศจากความรุนแรง
00:04:46 → 00:04:49 ต่อมาเย็นวันหนึ่งในร้านอาหารที่เมือง Vancouver
00:04:49 → 00:04:51 ผมก็บ่นให้เพื่อนฟัง
00:04:51 → 00:04:55 เรื่องที่ผมอยากใช้ชีวิตที่ปราศจากความรุนแรง
00:04:55 → 00:04:58 ระหว่างที่พูดอยู่นั้น ผมก็กำลังแล่เนื้อออกจากสเต็ก Porterhouse ขนาด 14 ออนซ์
00:04:58 → 00:05:01 เพื่อนผมก็มองผมอย่างมีเมตตาแล้วตอบว่า
00:05:01 → 00:05:05 นั่นเป็นความคิดที่ดีมาก ไมเคิล แต่ถ้าคุณ
00:05:05 → 00:05:08 ต้องการเอาความรุนแรงออกจากชีวิต คุณอาจจะเริ่มจากกล้ามเนื้อสัตว์ชิ้นนั้น
00:05:08 → 00:05:11 ที่อยู่บนจานของคุณ เพราะ
00:05:11 → 00:05:14 ในการที่จะตอบสนองกิเลส ที่ติดรสชาติของเนื้อในปาก
00:05:14 → 00:05:17 คุณกำลังจ่ายเงินให้สัตว์ตัวนั้นโดนฆ่า
00:05:17 → 00:05:19 และสำหรับตัวต่อๆไปในคิวที่โรงฆ่าสัตว์
00:05:20 → 00:05:23 ทันที่ที่เขาพูดประโยคนั้น เหตุผลต่างๆที่ผมเคยใช้
00:05:23 → 00:05:26 เพื่อปลอบใจตัวเอง เช่นสัตว์เหล่านี้มันตายไปแล้ว
00:05:26 → 00:05:29 หรือคนเลี้ยงสัตว์เหล่านี้มาเพื่อเป็นอาหารอยู่แล้ว
00:05:29 → 00:05:31 พรั่งพรูกันเข้ามาในหัวผม และก่อนที่จะมีคำพูดหลุดจากปากผมออกมา
00:05:31 → 00:05:35 เสียงเล็กๆบนบ่าผมก็บอกว่า รู้มั้ยเพื่อนคุณพูดถูก
00:05:35 → 00:05:37 เขาพูดถูก เขาพูดถูกแล้ว
00:05:38 → 00:05:41 และเวลาที่ผมเดินไปจ่ายค่าอาหาร ผมก็รู้สึกเหมือนผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีฆาตรกรรม
00:05:41 → 00:05:44 พราะผมโตขึ้นมาในฟาร์มของครอบครัว ผมรู้ดีว่าก่อนที่เนื้อก้อนนี้จะมาอยู่บนจาน
00:05:44 → 00:05:47 จะต้องเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมเห็นวัวถูกยิงที่หัว
00:05:48 → 00:05:50 ผมเคยตัดหัวไก่
00:05:50 → 00:05:54 ผมรู้ถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเนื้อ เพื่อนผมเพียงพูดกับผมตรงๆ
00:05:54 → 00:05:57 พอถึงจุดนั้น สิ่งที่ผมได้เห็นในห้องผ่าตัด
00:05:57 → 00:06:01 เส้นเลือดอุดตันเหล่านั้น และสิ่งที่ผมรู้อยู่แก่ใจเกี่ยวกับ
00:06:01 → 00:06:04 ความรุนแรงในการผลิตเนื้อสัตว์
00:06:04 → 00:06:05 ผมรู้ว่านั่นคือจุดจบของการทานเนื้อสัตว์ของผม
00:06:06 → 00:06:09 ตอนนั้นเป็นปี 1981
00:06:09 → 00:06:12 หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ชำเลืองมอง
00:06:12 → 00:06:14 รองเท้าหนัง และเข็มขัดหนังของผม
00:06:15 → 00:06:18 ผมถูกเลี้ยงมาในครอบครัวคนยิวสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
00:06:18 → 00:06:23 ผมเคยเห็นรูปภาพของโป๊ะโคมไฟที่ทำจากหนังของคนยิว
00:06:23 → 00:06:24 แล้วผมก็ก้มลงมองรองเท้าผม
00:06:24 → 00:06:27 มันให้ความรู้สึกเหมือนใช้ของจากศพ สะอิดสะเอียนมาก
00:06:27 → 00:06:31 และสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ก็ไม่ต่างกัน
00:06:31 → 00:06:33 ผมเดินออกไปหลังบ้าน ขุดหลุม
00:06:33 → 00:06:37 แล้วก็ฝังรองเท้าหนัง เข็มขัด และกระเป๋าสตางค์หนัง
00:06:37 → 00:06:40 แล้วก็กลบหลุมฝังเครื่องหนังของผม
00:06:40 → 00:06:42 พร้อมกับขอโทษสัตว์เหล่านั้น หากคุณไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน คุณก็จะไม่รู้
00:06:42 → 00:06:45 แต่เมื่อคุณรู้แล้ว คุณก็ปรับพฤติกรรมรับความจริงนี้
00:06:45 → 00:06:48 หลังจากนั้นผมก็ไม่ใช้รองเท้าหนัง
00:06:48 → 00:06:51 ไม่ใช้กระเป๋าสตางค์และเข็มขัดที่ทำด้วยหนัง
00:06:52 → 00:06:53 แล้วก็..
00:06:53 → 00:06:56 2-3 สัปดาห์ต่อมา ผมก็เล่าให้เพื่อนอีกคนฟัง
00:06:56 → 00:06:59 ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อนก็ร้อง โอ้..คุณเป็นวีแกน!
00:06:59 → 00:07:01 ผมไม่เคยได้ยินคำนั้นมาก่อน
00:07:01 → 00:07:02 คุณเป็นวีแกนก่อนที่จะรู้ด้วยซ้ำว่าวีแกนคืออะไรหรอคะ
00:07:03 → 00:07:05 ใช่ตรับ ผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
00:07:05 → 00:07:07 นั่นคือเมื่อ 36 ปีก่อน
00:07:07 → 00:07:08 และผม
00:07:08 → 00:07:11 ก็ไม่เคยคิดจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีก มันรู้สึกดีทุกครั้งที่ผมล้มลงนอนตอนกลางคืน
00:07:11 → 00:07:15 แล้วมีสติรู้ว่า ผมไม่ได้มีส่วนร่วมทำให้
00:07:15 → 00:07:17 สัตว์เหล่านี้ต้องตาย ซึ่งพวกเขาก็รักชีวิตมากพอๆกับผม
00:07:18 → 00:07:20 และนั่นก็คือเรื่องราวของผม
00:07:20 → 00:07:24 คุณพูดถึงการยิงวัว ดิฉันอยากขอถามอีกนิดว่า
00:07:24 → 00:07:28 พวกเขายิงวัวกันจริงๆเหรอคะ แล้วทำไมต้องใช้วิธีนี้
00:07:28 → 00:07:29 คุณก็ต้องฆ่ามันด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
00:07:30 → 00:07:32 และเขาก็มี
00:07:32 → 00:07:35 พวกโรงฆ่าสัตว์เขาจะใช้ปืน Captive bolt
00:07:35 → 00:07:38 แต่บนฟาร์มลุงของผมในปี 1950
00:07:38 → 00:07:41 คนแล่เนื้อเพียงแค่เดินออกมาพร้อมปีนลูกซอง
00:07:41 → 00:07:44 ลำกล้องคู่ แล้วก็ยิงวัวเข้าที่หัว
00:07:44 → 00:07:47 วัวก็ล้มลง ชักดิ้นชักงอ
00:07:47 → 00:07:50 เลือดไหลนอง พร้อมเสียงร้อง เป็นภาพที่สะเทือนจิตใจมาก
00:07:50 → 00:07:53 ผมยังจำได้ดี ตอนนั้นผมอายุแค่ 8 ขวบ แต่ผมยังจำภาพนั้นได้ดี
00:07:55 → 00:07:59 และ....ความรุนแรงมันเกี่ยวพันอยู่กับการผลิตเนื้อสัตว์อย่างไม่มีทางเลี่ยง
00:07:59 → 00:08:02 แล้วในสมัยนี้ เขายังใช้วิธียิงวัวกันอยูรึเปล่าคะ เพราะดิฉัน
00:08:02 → 00:08:05 ได้ยินมาว่า สำหรับลูกวัวตัวผู้
00:08:05 → 00:08:08 เขาจะยิงมัน แต่ถ้าเป็นลูกวัวตัวเมีย เขาจะเก็บไว้ ใช่ครับ
00:08:08 → 00:08:11 การฆ่าวัวด้วยการยิง จะแพงไหมคะ
00:08:11 → 00:08:15 หรือว่ามีวิธีอื่น ตอนนี้ยังใช้วิธียิงไหมคะ
00:08:15 → 00:08:18 ถ้าจะให้พูดรายละเอียดทางเทคนิค ในโรงฆ่าสัตว์ที่ทำเป็นอุตสาหกรรม
00:08:18 → 00:08:21 ซึ่งมีการฆ่าสัตว์เป็นร้อยๆตัวในแต่ละวัน
00:08:21 → 00:08:24 พวกเขาใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Captive bolt ซึ่งใช้แรงดันลมทำงาน
00:08:24 → 00:08:27 ผ่านสายยางแรงดันสูง คนใช้ก็เล็งปืนนี้ไปที่หัว
00:08:27 → 00:08:30 หลังเหนี่ยวไกก็จะมีแท่งเหล็กยาว 3 นิ้วยื่นออกมา
00:08:30 → 00:08:32 แทงเข้าไปในสมอง แล้วก็หดกลับเข้าไป
00:08:32 → 00:08:36 สร้างแรงปะทะที่รุนแรงพอที่จะทำให้สมองกลายเป็นของเหลว
00:08:36 → 00:08:39 แต่จะไม่ได้ใช้กระสุนจริง ถึงเรียกว่า Captive bolt
00:08:41 → 00:08:45 สิ่งนี้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อยิงวัวโดยเฉพาะเหรอคะ
00:08:45 → 00:08:46 ใช่ครับ
00:08:46 → 00:08:47 โอเค ....
00:08:47 → 00:08:48 ดิฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ
00:08:48 → 00:08:55 ทำไมเราถึงไม่รู้เรื่องนี้กันคะ ทำไมคนทั่วไปอย่างดิฉันถึงไม่ทราบ
00:08:55 → 00:08:58 นั่นสิ รู้มั้ย Paul McCartney เคยพูดว่า หากโรงฆ่าสัตว์
00:08:58 → 00:09:01 มีผนังเป็นกระจกใส เราทั้งหมดก็เป็นมังสวิรัติไปแล้ว
00:09:01 → 00:09:04 และนี่เป็นเหตุผลที่ดีที่ทำไมพวกคุณถึงไม่รู้เรื่องนี้
00:09:04 → 00:09:07 พวกที่แปรรูปเนื้อไม่ต้องการให้คนทั่วไปรู้เรื่องนี้
00:09:07 → 00:09:09 นี่คือเหตุผลที่โรงฆ่าสัตว์ส่วนใหญ่จะอยู่นอกเมือง
00:09:10 → 00:09:13 พวกนี้จะอยู่ห่างจากเมืองในตึกมิดชิด
00:09:13 → 00:09:16 พวกเขาไม่ต้องการให้คุณรู้ว่า อะไรเกิดขึ้นในนั้น
00:09:16 → 00:09:19 เขาแค่อยากให้คุณซื้อเนื้อที่ห่อพลาสติกมาแล้วอย่างดี
00:09:19 → 00:09:22 ไม่ต้องเปลืองสมองมาคิดว่าเนื้อนี้ได้มายังไง
00:09:22 → 00:09:25 แต่ความจริงคือ มันเป็นอุตสาหกรรมที่โหดร้ายมาก
00:09:25 → 00:09:27 รวมถึงอุตสาหกรรมนม และขนแกะ พวกนี้ก็คืออุตสาหกรรมฆ่าสัตว์เหมือนๆกัน
00:09:27 → 00:09:30 น่าตกใจมากค่ะ ทั้งนี้มีคนกังวลว่า หากเราไม่ทานเนื้อสัตว์
00:09:31 → 00:09:34 แต่แค่ทานนม เราแค่ต้องการนม
00:09:34 → 00:09:37 คงไม่มีความรุนแรงในอุตสาหกรรมการผลิตนม
00:09:37 → 00:09:40 เพราะเราไม่ได้ฆ่าใคร แค่รีดนม
00:09:40 → 00:09:45 คุณหมอช่วยอธิบายให้เราฟังหน่อยได้ไหมคะ ช่วยบอกความจริงเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนมด้วยค่ะ
00:09:45 → 00:09:47 มันมีความโหดร้าย ความรุนแรงไหมคะ
00:09:47 → 00:09:48 โอ้ แน่นอนอยู่แล้ว
00:09:48 → 00:09:52 อุตสาหกรรมนมเป็นผู้เชี่ยวชาญในการพรางสิ่งเหล่านี้
00:09:52 → 00:09:56 และทำให้คูณรู้สึกว่า นมคือสิ่งที่ดี ไม่มีการฆ่าวัว
00:09:56 → 00:09:57 วัวอารมณ์ดีหรือคะ
00:09:57 → 00:10:00 ใช่ครับ วัวอารมณ์ดี
00:10:00 → 00:10:03 ไม่มีวัวอารมณ์ดีหรอกครับ ความจริงก็คือ อุตสาหกรรมนม ก็คืออุตสาหกรรมฆ่าสัตว์
00:10:03 → 00:10:06 และมันเป็นอุตสาหกรรมที่โหดร้ายในหลายๆมิติ
00:10:06 → 00:10:07 ขั้นแรก
00:10:07 → 00:10:11 ในการที่จะทำให้นมไหลอยู่เรื่อยๆ
00:10:11 → 00:10:14 คนทั่วไปนึกว่า วัวก็ต้องให้นมเป็นปกติอยู่แล้ว
00:10:14 → 00:10:17 ไม่จริงเลย มีเพียงเหตุผลเดียวที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
00:10:17 → 00:10:20 ตัวใหญ่นั้นมีนม ก็คือวัวตัวนั้นเพิ่งคลอดลูก
00:10:20 → 00:10:24 และในการที่จะให้วัวมีนมอย่างต่อเนื่อง เขาก็ต้องให้แม่วัวตั้งท้องอยู่ตลอดเวลา
00:10:24 → 00:10:28 วัวจะท้องอยู่ 9 เดือน ก่อนจะคลอดลูกวัวน้ำหนัก 65 ปอนด์ออกมา
00:10:29 → 00:10:30 และมันก็รักลูกของมันมาก
00:10:30 → 00:10:32 เหมือนแม่ทุกคนที่รักลูกของตน
00:10:32 → 00:10:36 แต่ลูกวัวคือศัตรูของผู้ผลิตนม พวกเขาต้องการนมนั้น
00:10:36 → 00:10:39 ในการที่ได้นมนั้นมา เขาก็จะแยกลูกวัวออกจากแม่
00:10:39 → 00:10:42 ภายใน 48 ชั่วโมงหลังคลอด
00:10:42 → 00:10:45 และนั่นก็คือการทารุณกรรมอันแรก อ้อ ก่อนหน้านั้น
00:10:45 → 00:10:48 มีการผสมเทียมให้วัวตั้งท้อง
00:10:48 → 00:10:51 ไม่มีวัวตัวไหนที่ชอบวิธีการนี้ ผมเคยเห็นการทำมาเป็นร้อยครั้ง
00:10:51 → 00:10:53 พวกมันรู็สึกอะไรไหมคะ
00:10:53 → 00:10:57 โอ้มันเลวร้ายมาก วัวจะโดนล็อกคอไว้ จากนั้นคนจะเดินไปด้านหลัง
00:10:57 → 00:11:00 สวมถุงมือยาวถึงไหล่ แล้วล้วงเข้าไปในก้นวัว
00:11:01 → 00:11:04 จากนั้นก็คลำตามผนังลำไส้ใหญ่ไปถึงปากมดลูก
00:11:04 → 00:11:07 ในขณะที่อีกมือหนึ่งถือหลอดยาว มีลูกบอลยางอยู่ด้านหนึ่ง
00:11:07 → 00:11:09 แล้วกระแทกเข้าไปในช่องคลอด แล้วบีบลูกบอลยาง
00:11:09 → 00:11:12 เพื่อปล่อยน้ำอสุจิเข้าไป ไม่มีวัวตัวไหนชอบหรอกครับ
00:11:12 → 00:11:15 แม่วัวเหมือนจะเป็นบ้า แต่โดนล็อกคอไว้
00:11:15 → 00:11:18 แม่วัวขัดขืนใช่ไหมคะ ใช่ครับ แต่แม่วัวโดนล็อกคอไว้
00:11:18 → 00:11:22 แม่วัวเลยทำอะไรไม่ได้ มันเป็นขั้นตอนที่ทุลักลุเลมาก
00:11:23 → 00:11:25 และนั่นคือการทรมานขั้นแรก
00:11:25 → 00:11:28 หลังจากนั้นแม่วัวก็ต้องเสียลูกตัวเองไป นั่นคือการทรมานครั้งที่ 2
00:11:29 → 00:11:32 จากนั้นแม่วัวก็เข้าสู่วงจรแห่งความตาย
00:11:33 → 00:11:37 แม่วัวจะถูกใส่เครื่องรีดนมเพื่อดูดนมออกทั้งวัน
00:11:37 → 00:11:40 จากนั้นแม่วัวก็จะถูกทำให้ท้องอีกครั้ง
00:11:40 → 00:11:45 วัวทุกตัวที่อยู่ในวงจรนี้จะถูกรีดนมทั้งๆที่ตั้งท้องอยู่ ทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงปรี๊ด
00:11:48 → 00:11:51 แล้วเกิดอะไรขึ้นกับลูกวัวที่คลอดออกมาล่ะ
00:11:51 → 00:11:53 หากลูกวัวนั้นเป็นตัวผู้ ซึ่งไม่มีวันจะให้นม
00:11:53 → 00:11:57 พวกมันจะถูกเลี้ยงในคอกลูกวัวต่ออีก 16 สัปดาห์ โดนล่ามที่คอจะได้ไม่หนีไปไหน
00:11:57 → 00:12:00 เนื้อจะได้มีสีอ่อน และหลังจากสี่เดือน
00:12:00 → 00:12:02 พวกมันก็โดนแขวนข้อเท้า ห้อยหัวลงและปาดคอ
00:12:02 → 00:12:04 และชำแหละขายเป็นเนื้อลูกวัวนม
00:12:04 → 00:12:09 เพราะฉะนั้นอุตสาหกรรมผลิตเนื้อลูกวัว ก็ต่อเนื่องมาจากอุตสาหกรรมนม
00:12:09 → 00:12:12 ตราบใดที่ยังต้องผลิตนม ก็จะมีการฆ่าลูกวัวตัวผู้
00:12:12 → 00:12:15 มันจึงมีอุตสาหกรรมฆ่าสัตว์หลบอยู่เบื้องหลัง อุตสาหกรรมนม
00:12:17 → 00:12:18 และสุดท้าย
00:12:18 → 00:12:21 ไม่มีแม่วัวนมตัวไหนที่จะแก่ตาย
00:12:21 → 00:12:24 หลังจาก 4-5 ปีกับการให้นมและตั้งท้อง
00:12:24 → 00:12:27 พวกมันก็ "หมดอายุ" ปริมาณนมเริ่มลดลง
00:12:27 → 00:12:30 ตาชั่งดิจิตอลที่พวกมันยืนอยู่
00:12:30 → 00:12:35 จะบอกได้ทันทีว่า แม่วัวตัวนั้นเริ่มผลิตนมน้อยลง
00:12:35 → 00:12:39 แม่วัวตัวนั้นถือว่าหมดประโยชน์แล้ว และจะถูกส่งไปโรงฆ่าสัตว์
00:12:39 → 00:12:43 แม่วัวจะถูกยิง และเนื้อจะนำไปทำแฮมเบอร์เกอร์
00:12:43 → 00:12:49 เวลาที่คุณเข้าร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ และสั่งแฮมเบอร์เกอร์
00:12:49 → 00:12:50 คุณกำลังทานเนื้อวัวบดที่ได้จากวัวนมหมดอายุนั่นเอง
00:12:50 → 00:12:56 ความจริงก็คือ โรงวัวนม เป็นจุดพักชั่วคราวของวัวก่อนจะถูกส่งไปโรงฆ่าสัตว์
00:12:56 → 00:13:02 มันก็คืออุตสาหกรรมฆ่าสัตว์ แต่มีการแวะพักชั่วคราวที่โรงวัวนม ซัก 4-5 ปีเพื่อผลิตนมและเนื้อลูกวัว
00:13:02 → 00:13:05 จากต้นจนจบ มันก็คืออุตสาหกรรมฆ่าสัตว์นั่นเอง
00:13:05 → 00:13:08 คนที่คิดว่าอุตสาหกรรมนมนั้นสีขาวบริสุทธิ์ ไม่มีการฆ่าสัตว์
00:13:08 → 00:13:11 คุณกำลังฆ่าสัตว์อย่างแน่นอน
00:13:11 → 00:13:14 คุณเริ่มจากการฆ่าลูกวัวตัวผู้ และในที่สุดก็ฆ่าแม่วัว
00:13:14 → 00:13:16 ในที่สุดแล้วก็กลายเป็นแฮมเบอร์เกอร์ที่คุณทาน
00:13:16 → 00:13:20 มันก็คือการเลี้ยงเพื่อฆ่า แต่ระหว่างทางเขาได้นมได้เนื้อลูกวัวเท่านั้นเอง
00:13:20 → 00:13:23 อุตสาหกรรมขนแกะก็คล้ายๆกัน แกะพวกนั้นจะใช้เวลาในโรงตัดขนอยู่ไม่กี่ปี
00:13:23 → 00:13:26 ก่อนถูกส่งไปฆ่าเป็นเนื้อแกะ
00:13:26 → 00:13:28 มันก็คืออุตสาหกรรมฆ่าสัตว์เหมือนๆกันทั้งนั้น
00:13:29 → 00:13:32 มันจึงเป็นสิ่งที่ดีที่เรามาคุย
00:13:32 → 00:13:33 ถึงสิ่งที่
00:13:33 → 00:13:36 คนทั่วไปที่ไม่เคยรู้ จะได้ทราบความจริงอันนี้
00:13:36 → 00:13:39 เวลาที่คุณซื้อไอศกรีมแท่งนั้น หรือโยเกิร์ตถ้วยนั้น
00:13:39 → 00:13:40 คุณกำลังบอกว่า
00:13:40 → 00:13:43 ดีๆ พรากลูกวัวจากแม่วัวอีกตัวสิ
00:13:43 → 00:13:46 ยิงหัวแม่วัวอีกตัวสิ
00:13:46 → 00:13:48 มันเป็นอุตสาหกรรมที่โหดร้ายมากๆ
00:13:48 → 00:13:50 และผมก็ดีใจที่คุณพูดถึงสิ่งเหล่านี้
00:13:50 → 00:13:55 ดิฉันอยากขอถามคุณ เนื่องจากมีคนบางพูดว่า
00:13:55 → 00:13:58 วัวพวกนี้ไม่มีความรู้สึก ไม่มีอารมณ์ และไม่รู้จักความผูกพันกับลูกตัวเอง
00:13:58 → 00:14:01 พวกเขาไม่มีความรู้สึกตัวที่เรามี
00:14:01 → 00:14:03 เราจึงทำแบบนี้กับพวกเขาได้ เพราะเขาไม่รู้สึกอะไร
00:14:04 → 00:14:07 มันจริงไหมคะ พวกเขารู้สึกไหม เหมือนเราไหม
00:14:07 → 00:14:13 โอ้พระเจ้า ขอบคุณที่ถามคำถามนี้ เสียงที่ปวดร้าวที่สุดในความทรงจำของผม
00:14:13 → 00:14:15 คือเสียงแม่วัว
00:14:16 → 00:14:21 ที่โดนขังอยู่ในคอก โดยมีลูกที่เพิ่งคลอดโดนจับแยกห่างออกไป 10 หลาในคอกลูกวัว
00:14:21 → 00:14:23 แม่วัวยังได้กลิ่นและได้ยินเสียงลูกของตน
00:14:24 → 00:14:26 แม่วัวจะเปล่งเสียงร้อง
00:14:26 → 00:14:27 เป็นชั่วโมงๆ
00:14:28 → 00:14:31 เป็นเสียงที่สะเทือนใจมาก ฟังแล้วหัวใจจะสลาย
00:14:31 → 00:14:33 เสียงมันโหยหวน กรีดร้อง ร้องไห้
00:14:33 → 00:14:37 เพราะลูกของตัวเองโดนขังแยกห่างออกไป 10 หลา
00:14:37 → 00:14:39 มันจะเป็นอย่างนี้ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า
00:14:39 → 00:14:42 วันแล้ววันเล่า เสียงแม่วัวจะก้องไปทั่วทั้งฟาร์ม
00:14:42 → 00:14:44 ผมยังได้ยินมันอยู่จนถึงทุกวันนี้
00:14:44 → 00:14:47 แม่วัวจะร้องเรียกลูกตัวเองอยู่ประมาณ 4-5-6 วัน
00:14:47 → 00:14:52 จนในที่สุดแม่วัวหมดแรงและยอมรับว่า จะไม่มีวันได้ลูกคืนมา
00:14:52 → 00:14:55 การที่จะพูดว่าสัตว์เหล่านี้ไม่มีความผูกพันกับลูกตัวเอง
00:14:55 → 00:14:58 ให้ลองไปหาแม่หมีกริซลี่
00:14:58 → 00:15:01 ที่เพิ่งมีลูก แล้วก็ลองเอาลูกเขามาสิ
00:15:01 → 00:15:03 แล้วคุณจะได้เห็นความผูกพันของสัตว์เหล่านี้
00:15:03 → 00:15:04 หรือเสือ
00:15:04 → 00:15:07 ใช่ครับ เสือก็เป็น แน่นอน
00:15:07 → 00:15:14 การที่มาบอกว่าพวกเขาไม่มีความรู้สึกเหมือนเรา เป็นการประเมินสิ่งมีชีวิตอื่นๆบนโลกนี้ที่ใจร้ายมาก
00:15:15 → 00:15:18 แล้วสุนัขของคุณล่ะ เวลาที่เขาทำท่าดีใจที่เห็นคุณ มันเป็นการเสแสร้งรึเปล่า
00:15:18 → 00:15:22 คุณจะชำแหละสุนัขของคุณแล้วโยนลงหม้อไหม
00:15:22 → 00:15:25 คุณจะปล่อยให้เค้าร้องแล้วคิดว่าเขาไม่รู้สึกเจ็บไหม
00:15:25 → 00:15:28 แน่นอน สัตว์พวกนี้รู้สึกเจ็บแน่ๆ
00:15:29 → 00:15:32 ว้าว .... แล้วคุณหมอจะแนะนำผู้เป็นแม่
00:15:32 → 00:15:35 ที่เพิ่งหยุดให้นมลูก และกำลังตัดสินใจเลือก
00:15:35 → 00:15:38 ที่จะให้นมวัวกับลูก
00:15:38 → 00:15:42 คุณหมอมีอะไรจะแนะนำ และมีตัวเลือกอื่นๆแทนนมวัว
00:15:42 → 00:15:45 ที่มีคุณค่าทางอาหารเหมือนกับนมวัว หรืออาจจะดีกว่า
00:15:46 → 00:15:49 ขอบคุณที่ถามคำถามที่สำคัญมากๆ มีแน่นอน
00:15:49 → 00:15:52 ลูกมนุษย์ไม่ต้องการนม
00:15:52 → 00:15:54 จากวัว ไปมากกว่านมจากยีราฟ
00:15:54 → 00:15:55 หรือนมช้าง
00:15:56 → 00:15:58 มันไม่มีอะไรวิเศษอยู่ในนมวัว
00:15:58 → 00:16:01 คุณจะเทนมหนูใส่ซีเรียลคุณไหม
00:16:01 → 00:16:05 หรือจะเทนมสุนัขเข้าปากลูกของคุณไหม
00:16:05 → 00:16:07 ทำไมเราถึงคิดว่านมวัวมีเป็นอะไรที่วิเศษ
00:16:07 → 00:16:10 ความจริงก็คือ พวกโปรตีนกระตุ้นภูมิแพ้
00:16:10 → 00:16:13 ที่มีอยู่ในนมวัว ทำให้เด็กน้ำมูกไหล
00:16:13 → 00:16:16 หูอักเสบ ถ้าหายใจเข้าไปในปอดจะกระตุ้น
00:16:16 → 00:16:19 หอบหืด ทำให้เด็กเป็นผื่นแพ้ตามผิวหนัง
00:16:19 → 00:16:23 นมวัวไม่เป็นมิตรต่อร่างกายมนุษย์ในทุกๆด้าน
00:16:23 → 00:16:24 และตอนนี้
00:16:26 → 00:16:31 อุตสาหกรรมนมวัวทันสมัยมาก ก่อนหน้านี้ในฟาร์มของลุงผม
00:16:31 → 00:16:35 เวลาที่ทำให้แม่วัวท้อง เขาจะหยุดให้นมจนกว่าจะลูกวัวจะคลอด
00:16:36 → 00:16:38 และลุงผมก็ต้องยอมรับสิ่งนี้
00:16:38 → 00:16:42 แต่ในอุตสาหกรรมนมสมัยใหม่ ที่มีการรีดนมวัวทีละ
00:16:42 → 00:16:45 เป็นร้อยเป็นพันตัว พวกเขาไม่สามารถ
00:16:45 → 00:16:48 ปล่อยให้น้ำนมขาดตอนได้เป็นเดือนๆ
00:16:48 → 00:16:51 ตอนนี้พวกเขาเลยปรับเปลี่ยนพันธุกรรมของวัว
00:16:51 → 00:16:53 ทำให้ตอนนี้วัวสามารถให้นมตลอดเวลาที่ตั้งท้อง
00:16:53 → 00:16:56 ถึงแม้จะยังท้องอยู่ แต่ก็ยังโดนรีดนมอยู่ตลอดเวลา
00:16:57 → 00:16:59 ทำให้ปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนในนมพุ่งสูงขึ้นมาก
00:16:59 → 00:17:02 ร่างกายแม่วัวเต็มไปด้วยเอสโตรเจนระหว่างที่ตั้งครรภ์
00:17:02 → 00:17:04 ทั้งในมนุษย์ และในแม่วัว
00:17:05 → 00:17:08 ทำให้นมที่ได้มาเต็มไปด้วยเอสโตรเจน
00:17:08 → 00:17:11 และนี่คือเหตุผลที่เด็กผู้หญิงเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนอายุ
00:17:11 → 00:17:14 8-9-10 ขวบ จากการทานอาหารที่เต็มไปด้วย นม ไอศกรีม ชีส และโยเกิร์ต
00:17:14 → 00:17:17 ซึ่งเต็มไปด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนวัว
00:17:17 → 00:17:20 นี่ไม่ใช่ไฟโตเอสโตรเจนหลอกๆที่เจอในถั่วเหลือง
00:17:20 → 00:17:23 แต่นี่คือฮอร์โมนเอสโตรเจนแท้ๆที่เจอในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างเอสตราไดออล
00:17:25 → 00:17:29 โปรเจสเตอโรน และนี่คือเอสโตรเจนจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ออกมาในนม
00:17:30 → 00:17:33 แล้วเราก็ป้อนสิ่งนี้ให้เด็กทารกของเรา
00:17:33 → 00:17:35 แล้วมันจะมีผลอะไรต่อพัฒนาการทางเพศของเด็กพวกนี้
00:17:35 → 00:17:39 แล้วเราให้เด็กผู้ชายทานนมที่มีเอสโตรเจน
00:17:39 → 00:17:42 วันละ 3-4 ครั้งเพื่ออะไร และมีผลกระทบกับ
00:17:42 → 00:17:45 อัตราการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากเมื่อพวกเขาโตขึ้น
00:17:45 → 00:17:48 เด็กผู้หญิงที่เข้าสู่วัยรุ่นตอนอายุน้อย
00:17:48 → 00:17:51 มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้น
00:17:51 → 00:17:53 และถ้ายังทานผลิตภัณฑ์จากนมวัวก็จะทำให้มะเร็งขยายตัวเร็วขึ้น
00:17:53 → 00:17:56 นี่เป็นประเพณีเก่าๆที่เราต้องหยุดทำตาม
00:17:56 → 00:17:59 และปล่อยให้หายไป เพราะการให้เด็กทารกทานนม
00:17:59 → 00:18:02 ไม่ได้มีผลดีอะไรกับสุขภาพ
00:18:02 → 00:18:05 และเมื่อคุณหยุดให้นมวัว เด็กก็จะเลิกน้ำมูกไหล
00:18:05 → 00:18:08 ผื่นแพ้หายไป ปอดก็จะหยุดเป็นหืดหอบ
00:18:08 → 00:18:11 และคุณก็ได้ทำสิ่งที่ดีให้กับลูก
00:18:11 → 00:18:14 เด็กทารกในโลกนี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ทานนมวัว
00:18:14 → 00:18:17 พื้นที่ส่วนใหญ่ในประเทศกำลังพัฒนาไม่มีระบบการแช่เย็น
00:18:17 → 00:18:20 แต่พวกเขาก็โตขึ้นมาแข็งแรงดี
00:18:20 → 00:18:23 ไม่มีปัญหา เราควรให้เด็กทานนมแม่
00:18:23 → 00:18:26 จนอายุประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้นก็ให้ทาน
00:18:26 → 00:18:29 ผลไม้ หรือเนยถั่วต่างๆ
00:18:29 → 00:18:33 และเมื่ออายุได้ 1-1.5 ปี เขาก็ทานอาหารแข็งได้แล้ว
00:18:33 → 00:18:36 มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องให้ดื่มนมวัว
00:18:36 → 00:18:39 ยิ่งตอนนี้มีนมถั่วเหลืองดีๆออกมามากมาย
00:18:39 → 00:18:42 รวมถึงนมจากพืชต่างๆ เราก็ควรที่
00:18:42 → 00:18:46 จะหันหลังให้นมวัวไปได้แล้ว
00:18:46 → 00:18:49 มีผู้ปกครองที่อยากให้ลูกสูง
00:18:49 → 00:18:52 ยิ่งสูง ยิ่งดี แต่ถ้าพวกเขา
00:18:52 → 00:18:56 ไม่ให้ลูกดื่มนมวัว เด็กจะขาดแคลเซียม
00:18:56 → 00:18:59 ที่จะทำให้เขาสูง และมีกระดูกที่แข็งแรงไหมคะ
00:19:00 → 00:19:01 เป็นคำถามที่สำคัญมาก
00:19:02 → 00:19:04 อย่างที่ได้พูดมา อุตสาหกรรมนมวัวสามารถ
00:19:04 → 00:19:08 ให้เราเชื่อว่า เราจะได้แคลเซียมจากนมวัวเท่านั้น
00:19:08 → 00:19:08 แต่ลองคิดดูซิว่า
00:19:08 → 00:19:12 แม่วัวไม่ได้ดื่มนม แล้ววัวจะเอาแคลเซียมมาจากไหน
00:19:13 → 00:19:17 วัวได้แคลเซียมมาจากพืชใบเขียวที่มันทาน
00:19:17 → 00:19:19 แคลเซียมมีอยู่ในดิน
00:19:19 → 00:19:22 และถูกดูดซึมโดยพืชใบเขียว
00:19:22 → 00:19:27 เพราะฉะนั้น มีหลายวิธีที่คุณสามารถให้แคลเซียมกับเด็กๆ
00:19:27 → 00:19:33 คุณอาจจะเริ่มด้วยการปั่นผักใบเขียวเข้มให้ทานผสมกับซอสแอปเปิ้ล เพื่อให้เด็กทานผักใบเขียวตั้งแต่เนิ่นๆ
00:19:33 → 00:19:35 แต่เดี๋ยวนี้มีน้ำส้มที่เสริมแคลเซียม
00:19:35 → 00:19:39 นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม
00:19:39 → 00:19:41 โดยรวมมีหลายวิธีที่ให้แคลเซียมกับเด็ก
00:19:41 → 00:19:44 และการเติบโตแข็งแรงไม่เกี่ยวกับแคลเซียม
00:19:44 → 00:19:48 แต่เกี่ยวกับโปรตีนและการออกกำลังกาย และการได้รับแดดอย่างเพียงพอ
00:19:48 → 00:19:51 เด็กที่ทาน Plant-based โตขึ้นสูงใหญ่และแข็งแรง
00:19:51 → 00:19:54 ผมทำคลอดคนทานวีแกนมา 3 รุ่นแล้ว
00:19:54 → 00:19:57 พวกเขาส่วนใหญ่ก็โตขึ้นสูงและแข็งแรง ข้าว ผักใบเขียว และถั่ว
00:19:57 → 00:19:59 ก็เพียงพอแล้วสำหรับเด็กกำลังโต
00:20:00 → 00:20:03 และได้ผลดีในผู้ใหญ่เช่นกัน ฉะนั้นทุกคนวางใจได้
00:20:03 → 00:20:05 คุณไม่จำเป็นทานนมเพื่อแคลเซียม
00:20:05 → 00:20:09 และเด็กที่ทาน Plant-based ก็โตขึ้นมาสูง แข็งแรง
00:20:09 → 00:20:12 และฉลาดเหมือนคนที่ทานเนื้อสัตว์
00:20:13 → 00:20:15 เนื่องจากดิฉันเป็นครู และทำงานกับพ่อแม่จำนวนมาก
00:20:16 → 00:20:22 ถ้าดิฉันจะแนะนำพวกเขาให้ลองเลี้ยงลูกแบบ วีแกน หรือ Plant-based จะเป็นไปได้ไหมคะ
00:20:22 → 00:20:28 เราจะทำให้เด็กๆ ขาดสารอาหารสำคัญๆ ไหมคะ
00:20:28 → 00:20:31 นี่เป็นคำถามที่สำคัญมาก และผมรับรองได้ว่าไม่ขาดสารอาหารใดๆ ผมเคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับประเด็นนี้แล้วด้วย
00:20:31 → 00:20:34 มันไม่สารอาหารใดๆ ในเนื้อสัตว์หรือนมวัว
00:20:34 → 00:20:40 ที่เราจะหาไม่ได้จากพืช
00:20:40 → 00:20:43 ไม่ใช่โปรตีน ไม่ใช่วิตามิน ยกเว้น B12
00:20:43 → 00:20:47 ซึ่งแม้กระทั่ง บี12 ก็ไม่ได้สร้างโดยสัตว์ แต่สร้างโดยแบคทีเรียชนิดพิเศษในดิน
00:20:48 → 00:20:51 มันไม่มีแร่ธาตุ ไม่มีกรดอะมิโน
00:20:51 → 00:20:53 ไม่มีอะไรใดๆ
00:20:53 → 00:20:56 ที่อยู่ในเนื้อสัตว์ ที่ไม่ได้มาจากพืชตั้งแต่แรก
00:20:56 → 00:20:59 และนั่นก็คือแหล่งที่สัตว์ไปเอาวิตามิน/แร่ธาตุมาเช่นเดียวกัน
00:20:59 → 00:21:02 และเราก็มีสิทธิได้รับสารอาหารจากพืชโดยตรงเช่นกัน
00:21:02 → 00:21:05 และขอย้ำอีกครั้ง
00:21:05 → 00:21:08 ผมอายุขนาดนี้ ทำคลอดเด็กมาไม่ต่ำกว่า 400 คน
00:21:09 → 00:21:12 และเด็กหลายสิบคนเกิดจากพ่อแม่ที่เป็นวีแกน ทานพืชล้วน
00:21:12 → 00:21:15 และผมเฝ้าดูพวกเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ร่างกายสูงใหญ่แข็งแรง
00:21:15 → 00:21:21 ขอให้พ่อแม่ทุกท่านวางใจ มันไม่เพียงแต่ปลอดภัยและสมเหตุสมผล
00:21:21 → 00:21:27 ในการเลี้ยงลูกแบบ Plant Based แต่คุณกำลังทำประโยชน์ให้ชีวิตลูก
00:21:27 → 00:21:30 ลูกของคุณจะลดปัญหาทางสุขภาพลงอีกมาก
00:21:30 → 00:21:33 เช่น ความดันสูง ก้อนในเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก
00:21:33 → 00:21:36 ซึ่งเป็นโรคที่ผู้ใหญ่ที่ทานเนื้อสัตว์ นมวัว ไข่ มักพบกันเป็นปกติ
00:21:36 → 00:21:40 ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลอย่างมาก
00:21:41 → 00:21:47 ตอนนี้ มีงานวิจัยและหนังสือ ออกมาใหม่มากมาย เกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กแบบ Plant Based
00:21:47 → 00:21:50 หนูดี คุณไม่ควรเลือกจุดยืนที่ทำให้ตัวเองโดนต่อต้าน หรือโจมตี
00:21:50 → 00:21:53 แต่คุณก็แนะนำได้ว่า เด็กที่ทานพืชล้วน มีปัญหาสุขภาพน้อยกว่า
00:21:53 → 00:21:56 และคุณควรเตรียมเอกสารงานวิจัยไว้ให้พร้อม
00:21:56 → 00:21:59 สรุปไว้ใน 1-2 หน้า และยื่นให้ผู้ปกครอง
00:21:59 → 00:22:02 ให้งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์พูดแทนตัวคุณ
00:22:02 → 00:22:07 เพื่อให้คุณไม่ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากใจ
00:22:07 → 00:22:11 แต่บอกอีกครั้งว่านี่คือสิ่งที่ดีและสมเหตุสมผลที่สุดที่คุณจะทำ
00:22:11 → 00:22:14 ใครสักคน ต้องปลูกฝังความคิดนี้ในหัวของพ่อแม่เด็ก ว่าการกินเนื้อสัตว์และนมวัว ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย
00:22:14 → 00:22:18 และไม่จำเป็นสำหรับการเลี้ยงเด็กให้เติบโตแข็งแรง
00:22:19 → 00:22:23 มีคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นม และนมวัว
00:22:23 → 00:22:26 กับมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
00:22:26 → 00:22:29 คุณหมอช่วยออกความเห็นเรื่องนี้หน่อยได้ไหมคะ
00:22:29 → 00:22:32 มันไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เมื่อคุณลองคิดดูว่า
00:22:33 → 00:22:35 นมวัวคืออะไร นมวัวคือ
00:22:35 → 00:22:38 แท้ที่จริงแล้ว ตามธรรมชาติของมัน
00:22:38 → 00:22:41 นมวัวคือน้ำเร่งโตให้ลูกวัว นั่นคือสิ่งที่มันเป็น
00:22:41 → 00:22:44 ทุกอย่างที่อยู่ในน้ำสีขาวนั้น ผลิตมาเพื่อ
00:22:44 → 00:22:47 ทำให้ลูกวัวโตเป็นวัวให้เร็วที่สุด
00:22:47 → 00:22:49 มันจึงเต็มไปด้วยสารเร่งโต
00:22:49 → 00:22:52 เช่นสาร IGF-1 และ
00:22:52 → 00:22:57 ฮอร์โมนต่างเพื่อใช้กระตุ้นการเจริญเติบโต ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีถ้าคุณเป็นลูกวัว
00:22:58 → 00:23:01 แต่ถ้าคุณเป็นผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม
00:23:01 → 00:23:04 หรือเป็นผู้ชายที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
00:23:04 → 00:23:06 การทานสิ่งนี้ที่เต็มไปด้วยสารเร่งโต
00:23:06 → 00:23:09 เปรียบเสมือนการสาดน้ำมันลงในกองไฟ
00:23:09 → 00:23:12 และผู้หญิงที่ทานสิ่งนี้เมื่อเป็นมะเร็งเต้านม
00:23:12 → 00:23:15 จะตายเร็วกว่า รุนแรงกว่า และสภาพแย่กว่า
00:23:15 → 00:23:17 สำหรับผู้ชายที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
00:23:17 → 00:23:20 มะเร็งจะโตเร็วกว่าเวลาทานผลิตภัณฑ์จากนม
00:23:20 → 00:23:26 นอกจากนี้ เด็กๆยิ่งทานชีส และผลิตภัณฑ์นมมากเท่าไหร่
00:23:26 → 00:23:29 ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
00:23:29 → 00:23:32 เมล็ดพันธุ์นี้ถูกปลูกไว้ตั้งแต่เด็ก
00:23:32 → 00:23:35 ฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้ต่อมลูกหมากไม่เสถียร
00:23:35 → 00:23:37 และอาจกระตุ้นให้เกิดมะเร็งตั้งแต่ในวัยรุ่น
00:23:38 → 00:23:41 ฉะนั้นมันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากที่จะไม่ทานสิ่งเหล่านี้
00:23:41 → 00:23:46 และการเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์นม กับมะเร็งนั้นเป็นจริง
00:23:47 → 00:23:50 นั่นเป็นอีกเหตุผลนึงที่เราควรจะมองนมในสิ่งที่มันเป็น
00:23:50 → 00:23:51 เราไม่ใช่ลูกวัว
00:23:52 → 00:23:54 ไม่ว่าอะไร เราไม่ต้องทานสารเร่งโตของวัว
00:23:54 → 00:23:57 ไม่ว่าจะเป็นไอศกรีม ชีส หรือ โยเกิร์ต สิ่งเหล่านี้มันสำหรับลูกวัว
00:23:58 → 00:24:01 แล้วสำหรับผู้หญิงมีอายุอย่างดิฉัน หรือแม่ของดิฉัน
00:24:01 → 00:24:04 เราถูกสอนมาว่า
00:24:04 → 00:24:07 แคลเซียมในนมจะป้องกันโรคกระดูกพรุน
00:24:07 → 00:24:11 กระดูกสะโพกร้าว ทำนองนั้น
00:24:11 → 00:24:14 เราควรทานผลิตภัณฑ์นมเพื่อเหตุผลนั้นไหมคะ
00:24:14 → 00:24:17 ถ้าไม่ควร เราควรทานอะไรแทนดีคะ
00:24:17 → 00:24:18 เราควรทำอย่างไรคะ
00:24:18 → 00:24:23 เป็นคำถามที่ดีมาก อีกครั้งนึงที่ต้องชื่นชมฝ่ายการตลาดของอุตสาหกรรมนมวัว
00:24:23 → 00:24:25 ที่ฝังความเชื่อนั้นในหัวของหญิงสวยคนนี้
00:24:25 → 00:24:29 ว่าถ้าไม่ทานนมวัว
00:24:29 → 00:24:32 แล้วจะไม่ได้รับแคลเซียม ซึ่งจะทำให้กระดูกพรุน
00:24:32 → 00:24:34 นั่นคือสิ่งที่เขาอยากให้คุณเชื่อเลยล่ะ
00:24:34 → 00:24:37 มันไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน เมื่อคุณไปดูผลงานวิจัย
00:24:37 → 00:24:41 กลุ่มคนจำนวนมากเช่นจาก The Nurse's Health Study หรือ The Harvard Study
00:24:41 → 00:24:43 ผลออกมาชัดเจนมากว่า
00:24:43 → 00:24:46 การดิ่มนม ไม่ได้ป้องกันกระดูกสะโพกร้าว
00:24:46 → 00:24:48 ผลออกมาชัดเจนมาก
00:24:48 → 00:24:51 และยิ่งทานนมมากเท่าไหร่ อัตราการเสียชีวิตกลับเพิ่มสูงขึ้น
00:24:51 → 00:24:54 จากหัวใจล้มเหลว มะเร็งเต้านม
00:24:54 → 00:24:57 เพราะพวกเขาทานอาหารที่ไขมันสูง
00:24:58 → 00:25:00 ซึ่งทำลายเส้นเลือด
00:25:00 → 00:25:03 และช่วยให้มะเร็งเติบโต
00:25:03 → 00:25:07 นมวัวไม่ได้ช่วยป้องกันเลย
00:25:07 → 00:25:10 เพราะโรคกระดูกพรุนไม่ได้เกิดจากการขาดแคลเซียม
00:25:10 → 00:25:15 แต่มันเกิดจากการเสื่อมเพราะขาดการใช้งาน
00:25:15 → 00:25:19 สิ่งที่จะทำให้กระดูกคุณแข็งแรงขึ้นคือการใช้งาน เวลาคุณเดิน หรือเวลาคุณแบกน้ำหนัก
00:25:19 → 00:25:21 อยู่บนบ่า หรือยกน้ำหนักอยู่ด้านหน้า
00:25:21 → 00:25:24 ทุก้าวที่คุณเดิน แรงโน้มถ่วงจะดึงน้ำหนักลง
00:25:24 → 00:25:27 บนสะโพกและกระดูกสันหลัง
00:25:27 → 00:25:30 และนั่นคือสิ่งที่ปลุกเซลล์สร้างกระดูกให้ตื่นตัว
00:25:30 → 00:25:32 ให้ขึ้นมาสร้างกระดูกที่แข็งแรง คือการใช้งาน
00:25:32 → 00:25:35 คนเราเคยทำงานอยู่ในไร่ทั้งวัน ใช้จอบใช้เสียม
00:25:35 → 00:25:38 ใช้เครื่องมือหนักๆ แบกดินเป็นกระสอบๆ
00:25:38 → 00:25:42 พืชผักเป็นกล่องๆ จะไม่พบโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงเหล่านั้น
00:25:42 → 00:25:44 แต่จะเกิดกับผู้หญิงที่นั่งทั้งวัน
00:25:44 → 00:25:47 อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ หรือนั่งขับรถ
00:25:47 → 00:25:50 และการใช้ชีวิตนิ่งๆ ทำให้กระดูกเราอ่อนแอ
00:25:50 → 00:25:53 ไม่ใช่เป็นเพราะเราขาดแคลเซียม
00:25:53 → 00:25:59 ถ้าคุณเข้าใจจุดนี้ คุณจะเข้าใจว่าทำไมการทานแคลเซียมเม็ดหรือการดื่มนม ไม่ได้รักษาโรคกระดูกพรุน
00:25:59 → 00:26:02 เพราะมันไม่ใช่สาเหตุของโรค กระดูกกำลังละลายเพราะเราไม่ได้ใช้มันต่างหาก
00:26:03 → 00:26:06 เหมือนกับถ้าเราไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อ มันก็จะลีบลงเหมือนกัน
00:26:06 → 00:26:09 โรคกระดูกพรุนจึงเกิดจากการสูญเสียกระดูกเพราะไม่ได้ใช้
00:26:09 → 00:26:11 ถ้าหากคุณต้องการทำให้กระดูกคุณแข็งแรง
00:26:11 → 00:26:14 คว้าน้ำหนัก 3 ปอนด์แล้วออกไปเดิน
00:26:14 → 00:26:17 ทุกๆวัน นั่นแหล่ะจะทำให้กระดูกคุณแข็งแรง
00:26:18 → 00:26:20 อย่าสูบบุหรี่ อย่าดื่มน้ำอัดลม
00:26:20 → 00:26:23 สิ่งเหล่านี้จะละลายกระดูกคุณ อันนี้สำคัญ
00:26:25 → 00:26:28 แต่มันไม่ถูกต้องทางชีววิทยาที่จะคิดว่า
00:26:28 → 00:26:31 การทานแคลเซียมเม็ด จะทำให้กระดูกแข็งแรง
00:26:31 → 00:26:35 เหมือนกับที่ชอบเชื่อกันว่า การทานสเต็กชิ้นใหญ่ จะทำให้กล้ามใหญ่ขึ้น
00:26:35 → 00:26:39 โอ้ ผมกินกล้ามเนื้อวัวไป มันจะเข้าไปในกล้ามเนื้อผม ไม่ๆ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น
00:26:40 → 00:26:43 คุณต้องใช้มัน เหมือนกับกระดูกของคุณ
00:26:43 → 00:26:49 อีกอย่าง แคลเซียม มาจากพืชสีเขียว
00:26:49 → 00:26:52 และถ้าผู้หญิงอยากได้แคลเซียม
00:26:52 → 00:26:55 เขาก็ควรจะทานบร็อคโคลี่ เคล ผักโขม จานใหญ่ๆ
00:26:55 → 00:26:58 และดื่มนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม
00:26:58 → 00:27:01 แคลเซียมมีอยู่ทั่วไป ถ้าคุณต้องการมัน
00:27:01 → 00:27:04 แต่ขอย้ำอีกครั้ง โรคกระดูกพรุนไม่ได้มีสาเหตุหลักจากการขาดแคลเซียม
00:27:04 → 00:27:05 แต่เกิดจากการเสื่อมเพราะขาดการใช้งาน
00:27:05 → 00:27:08 ฉะนั้นออกไปใช้กระดูกเหล่านั้น อย่าพลาดโอกาสที่จะเดินขึ้นบันได
00:27:08 → 00:27:12 อย่าพลาดโอกาสที่จะยกของ ยกกล่อง
00:27:12 → 00:27:16 ใช้ชีวิตที่กระฉับกระเฉง แล้วกระดูกคุณจะแข็งแรงเอง
00:27:16 → 00:27:18 ไม่ว่าคุณจะทานนมหรือไม่
00:27:18 → 00:27:22 มีอีกอย่างนึงที่ดิฉันต้องขอถามคุณหมอ วิตามิน บี 12 ค่ะ
00:27:22 → 00:27:26 เพราะมีความเข้าใจว่า วิตามินบี12 มีอยู๋ใน
00:27:26 → 00:27:28 เนื้อสัตว์ ไข่ และนมวัว
00:27:28 → 00:27:31 แล้ถ้าเราไม่ทานสิ่งเหล่านี้ เราจะไม่ได้รับวิตามิน บี 12
00:27:31 → 00:27:34 จริงๆแล้ววิตามินบี 12 มาจากไหนคะ
00:27:34 → 00:27:35 เพราะดิฉันได้ยินคำว่า "คนกลาง" อยู่บ่อยๆ
00:27:35 → 00:27:39 เวลาที่คนพูดถึงวิตามินบี 12 กรุณาอธิบายให้ฟังหน่อยนะคะ
00:27:39 → 00:27:43 วิตามินบี 12 เป็นวิตามินที่สำคัญมาก
00:27:43 → 00:27:46 เราต้องการมันเพื่อให้สมองและไขสันหลังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
00:27:46 → 00:27:49 และให้เลือดอยู่ในสภาพปกติ
00:27:49 → 00:27:50 สิ่งเหล่านี้ละเลยไม่ได้
00:27:50 → 00:27:51 เนื่องจากว่า
00:27:52 → 00:27:55 วิตามินบี 12 พบได้ในเนื้อสัตว์และไข่ คนจึงคิดว่า
00:27:55 → 00:27:58 นั่นคือแหล่งผลิตของบี 12 แต่วัวไม่ได้ผลิตวิตามินบี 12
00:27:58 → 00:28:01 ไก่ไม่ได้ผลิตวิตามินบี 12 ไม่มีสัตว์ไหนผลิตได้
00:28:01 → 00:28:04 แต่วิตามินบี 12 ผลิตโดยจุลินทรีย์ที่อยู่ในดิน
00:28:04 → 00:28:07 เวลาที่กวาง วัว หรือแกะ กินหญ้า
00:28:07 → 00:28:10 พวกมันก็ดึงหญ้าขึ้นมาเป็นกระจุกๆ
00:28:10 → 00:28:13 ก็จะมีจุลินทรีย์ที่สร้างวิตามิน บี 12 ได้
00:28:13 → 00:28:16 อยู่ในเม็ดดินที่ติดมากับราก
00:28:16 → 00:28:20 วัว แกะ หมู หรือไก่ก็กลืนเม็ดดิน
00:28:20 → 00:28:23 ที่มีจุลินทรีย์ผลิตบี 12 ลงไป
00:28:23 → 00:28:26 วิตามินที่จุลินทรีย์ผลิตก็จะถูกดูดซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อของวัว
00:28:26 → 00:28:29 กล้ามเนื้อของแกะ หรือกล้ามเนื้อของหมู
00:28:30 → 00:28:33 ใช่ คุณก็สามารถฆ่าสัตว์เหล่านั้นแล้วเลาะเอากล้ามเนื้อออกมากิน
00:28:33 → 00:28:35 แล้วก็ได้วิตามินบี 12
00:28:35 → 00:28:40 แต่วัวหรือสุกรไม่ได้ผลิตมัน จุลินทรีย์ในติดต่างหากที่ผลิตบี 12 มาตั้งแต่ต้น
00:28:40 → 00:28:43 แล้วเราจะทำยังไงดี
00:28:43 → 00:28:46 ความจริงแล้ว ในประวัติศาสตร์ของเรา
00:28:46 → 00:28:52 วัว แกะ ควาย และกวาง ไม่ใช่สัตว์เพียงไม่กี่ชนิดที่
00:28:53 → 00:28:56 ดึงหญ้าชึ้นมากิน
00:28:56 → 00:28:58 หรือดื่มน้ำจากลำธาร มนุษย์ก็เคยทำ
00:28:59 → 00:29:01 เราเคยใช้เวลาทั้งวันหาของกิน
00:29:01 → 00:29:04 ถอนราก ถอนหัวขึ้นมาจากดินแล้วไม่ได้ล้าง
00:29:04 → 00:29:07 ในน้ำที่ฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน พอทานเข้าไปก็ได้
00:29:07 → 00:29:08 บี 12 ที่อยู่บนผิวของพืชนั้น
00:29:08 → 00:29:11 ลำธารที่ใกล้ตัวที่สุดก็เต็มไปด้วยบี 12
00:29:12 → 00:29:14 ทุกครั้งที่ฝนตก น้ำก็ชะล้างจุลินทรีย์เหล่านี้ลงไปในลำธาร
00:29:15 → 00:29:18 พอเราลงไปดื่มน้ำที่ลำธาร ก็จะได้บี 12
00:29:18 → 00:29:21 ตอนนั้นมนุษย์ใช้ชีวิตที่ติดดินมาก
00:29:21 → 00:29:27 วิตามินบี 12 ที่ผ่านเข้าไปในลำไส้ของวัว หมู และแกะ
00:29:27 → 00:29:30 ก็ผ่านเข้าในตัวเราเหมือนกัน และก็ไม่มีใครขาดวิตามินบี 12
00:29:30 → 00:29:33 พอมาศตวรรษที่ 21 ไม่มีคนไหนดื่มน้ำจากลำธารอีกแล้ว
00:29:33 → 00:29:36 ไม่มีใครทานผักที่ไม่ได้ล้าง
00:29:37 → 00:29:38 และเนื่องจากสุขอนามัยในสมัยใหม่
00:29:39 → 00:29:42 แหล่งวิตามินบี12 ธรรมชาติ ก็หายไปในคนที่กินพืช
00:29:42 → 00:29:48 และนี่ก็คือเหตุผลที่คนที่ทานพืชต้องทานวิตามิน บี 12 เสริม
00:29:48 → 00:29:52 แต่อย่าคิดว่าวัวหรือหมูผลิตบี 12 ได้ พวกมันไม่ได้ผลิต พวกมันก็ได้มาจากที่เดียวกับที่เราเคยได้
00:29:52 → 00:29:57 ตอนนี้ก็มีการเลี้ยงจุลินทรีย์ที่ผลิตวิตามินบี 12 ในแท้งค์ใหญ่
00:29:57 → 00:30:01 และสกัดออกมาจากจุลินทรีย์โดยตรง
00:30:01 → 00:30:04 เพื่อนำมาทำวิตามินบี 12 ที่เราทานเสริมกัน
00:30:04 → 00:30:06 ฉะนั้นหากคุณทานพืชเป็นหลัก ก็ทานวิตามินบี 12 เสริม 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์
00:30:06 → 00:30:09 อาจจะเป็นชนิดเม็ดวางใต้ลิ้น หรือเป็นแบบพ่นสเปรย์ก็ได้
00:30:09 → 00:30:11 แค่นี้ก็จบ อย่าให้เรื่องบี 12 เป็นเหตุให้ไม่ทานพืช
00:30:12 → 00:30:14 อย่าคิดว่า โอ้ นั่นไม่ใช่วิธีที่ได้มาโดยธรรมชาติ
00:30:14 → 00:30:16 เพราะต้องมาทานวิตามินเสริม
00:30:16 → 00:30:20 ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะคุณไม่อยากจะเป็นไทฟอยด์ ท้องร่วง หรือไข้ จากการดื่มน้ำสกปรก
00:30:20 → 00:30:21 นี่คือเหตุผลที่ทำไมคุณควรเลือกทานเสริมแทน
00:30:21 → 00:30:27 แต่อย่าให้มันเป็นเหตุผลที่จะไม่ทานอาหาร Plant-based
00:30:28 → 00:30:31 ดิฉันขอถามเกี่ยวกับอาหารสุดโปรดของคุณหมอ
00:30:31 → 00:30:34 ที่ทานบ่อยๆ หรืออาจจะทุกวัน
00:30:35 → 00:30:36 อืมม..
00:30:37 → 00:30:40 ผมเป็นคนทานง่าย
00:30:40 → 00:30:45 อาหารโปรดของผมคือ ภรรยาผมจะจัดอาหารรวมกันเหมือนบาตรพระ
00:30:45 → 00:30:48 เขาจะใส่ผักใบเขียวเช่นเคล และชาร์ดรองก้นชาม
00:30:49 → 00:30:51 แล้วก็จะใส่คีนัวเยอะๆ ผมชอบคีนัว
00:30:51 → 00:30:54 เค้าจะใส่คีนัวประมาณ 1/3 ของชาม
00:30:55 → 00:30:58 แล้วเขาก็จะใส่ผัดผักที่ผัดด้วยน้ำซุปจากการต้มผัก
00:30:58 → 00:31:01 โรยหน้าด้วยเมล็ดงา
00:31:01 → 00:31:04 และน้ำราดสูตรพิเศษของเขา
00:31:04 → 00:31:07 ผมชอบอาหารง่ายๆแบบนี้มาก
00:31:08 → 00:31:11 แล้วผมก็ชอบทานเมล่อนมากๆ ผมชอบแคนตาลูป
00:31:11 → 00:31:14 ฮันนี่ดิว ก็เป็นผลไม้โปรดอย่างนึงของผม
00:31:17 → 00:31:18 แล้วก็...
00:31:19 → 00:31:21 ผมชอบทานฮัมมิสมากๆ
00:31:21 → 00:31:24 ผมมักจะเอาแท่งแครอท หรือคึ่นช่ายยักษ์จิ้มฮัมมิสทานเล่น
00:31:24 → 00:31:27 อ้อ แล้วก็ซุปผักที่มีผักเยอะๆ
00:31:27 → 00:31:29 ผมชอบซุปผักข้นๆ
00:31:30 → 00:31:33 ใส่ผัก ข้าวบาร์ลี่ และข้าวฟ่าง
00:31:33 → 00:31:37 แล้วก็....สลัดจานใหญ่ๆ แน่นอน
00:31:37 → 00:31:38 ผมเป็นมนุษย์ ซุป สลัด และผักใบเขียว
00:31:38 → 00:31:41 แค่มี ซุป สลัด และผักใบเขียวผมก็อยู่ได้เรื่อยๆ
00:31:41 → 00:31:44 และนั่นก็คือสิ่งที่ผมทาน
00:31:44 → 00:31:47 ดิฉันได้ฟังในงานสัมมนาบนเรือนี้หลายครั้ง
00:31:47 → 00:31:53 ว่าการทานแบบ Plant-based ที่คุณหมอทาน จะช่วยป้องกัน หรือสามารถรักษา โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง
00:31:53 → 00:31:57 คุณหมอช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมคะ มันทำได้จริงๆเหรอคะ
00:31:57 → 00:31:59 โอ้ แน่นอน
00:31:59 → 00:32:02 แต่อยากจะให้มองในทางกลับกัน
00:32:02 → 00:32:08 โรคเหล่านี้ เกิดจากการทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากนมวัว
00:32:08 → 00:32:11 น้ำตาลขัดขาว และน้ำมันพืชเติมไฮโดรเจน
00:32:11 → 00:32:14 การทานอาหารแบบตะวันตกเป็นอาหารที่เป็นพิษมาก
00:32:14 → 00:32:17 อาหารเหล่านี้เดินทางผ่านเส้นเลือด
00:32:17 → 00:32:21 จะทำให้ผนังเส้นเลือดเป็นแผล ทำให้เกิดการสะสมของไขมัน (Plaque)
00:32:21 → 00:32:23 ทำให้ความดันสูงขึ้น ไขมันอุดตัน
00:32:23 → 00:32:26 ใน Receptor จับอินซูลิน ทำให้เกิดเบาหวานประเภท 2
00:32:26 → 00:32:29 โรคพวกนี้เกิดขึ้นมาจากการทาน
00:32:29 → 00:32:32 อาหารพวกเนื้อสัตว์ หรือน้ำมันมากเกินไป
00:32:32 → 00:32:35 รู้ไหม เมื่อคุณหยุดเอาฆ้อนตีหัวตัวเอง
00:32:35 → 00:32:38 อาการปวดหัวของคุณก็จะหายไป
00:32:38 → 00:32:40 เมื่อคุณหยุดเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในเส้นเลือดคุณ
00:32:40 → 00:32:43 เส้นเลือดคุณจะสะอาดขึ้น ไขมันอุดตันจะสลายไป
00:32:43 → 00:32:46 ความอ้วนลดลง Receptor อินซูลินเริ่มทำงาน
00:32:46 → 00:32:49 เบาหวานก็จะหายไป คุณก็จะกลับมา
00:32:49 → 00:32:52 เป็นคนปกติอีกครั้งหนึ่ง
00:32:52 → 00:32:55 ใช่ สาเหตุหนึ่งคือพลังของพืช
00:32:55 → 00:32:58 แต่มันก็เพราะเราหยุดทำร้ายร่างกายตัวเองด้วย
00:32:58 → 00:33:01 อาหารแห่งความตาย
00:33:02 → 00:33:05 คุณกินความตายอยู่ เวลาที่คุณทานกล้ามเนื้อสัตว์
00:33:05 → 00:33:07 วันละ 3 ครั้ง
00:33:07 → 00:33:10 คุณเลือกที่จะส่งสารพิษต่างๆ
00:33:10 → 00:33:13 TMAO และ
00:33:13 → 00:33:16 โปรตีนออกซิไดซ์จากกล้ามเนื้อจำนวนมาก
00:33:16 → 00:33:19 อนุมูลอิสระ สารก่อมะเร็ง
00:33:19 → 00:33:21 คุณเลือกที่จะส่งสิ่งเหล่านั้นไปทั่วร่างกายของคุณ
00:33:21 → 00:33:24 มื้อแล้วมื้อเล่า ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า วันแล้ววันเล่า
00:33:24 → 00:33:27 เราจะประหลาดใจทำไม เมื่อเราเป็นโรคอ้วน
00:33:27 → 00:33:30 เส้นเลือดอุดตัน อักเสบ ความดันสูง หรือเบาหวาน
00:33:30 → 00:33:35 คุณหมอของคุณก็จะบอกว่า มันเป็นพันธุกรรม มันไม่ใช่พันธุกรรม
00:33:35 → 00:33:38 มันเกิดจากอาหารที่คุณกิน ที่ไหลไปทั่วร่างกายของคุณ
00:33:39 → 00:33:42 แล้วมันก็ทำให้เกิดโรคเหล่านั้น และหมอผิวหนังของคุณ
00:33:42 → 00:33:46 พอเห็นสะเก็ดเงินบนผิว หรือหมอหัวใจตรวจเจอเส้นเลือดอุดตัน
00:33:46 → 00:33:47 หรือหมออายุรเวชตรวจเจอความดันสูง
00:33:47 → 00:33:51 หรือหมอรูมาตอยด์เห็นอาการปวดข้อ
00:33:51 → 00:33:54 หรือหมอระบบทางเดินอาหารตรวจเจอลำไส้อักเสบ
00:33:54 → 00:33:57 พวกเขากำลังเห็นโรคเดียวกันทั้งหมด นั่นคือผลของการทานอาหารตะวันตก
00:33:57 → 00:34:00 ทำให้เป็นพิษในร่างกาย
00:34:00 → 00:34:03 พอเรากลับไปทานแบบ Whole-food Plant-based ที่ร่างกายเราออกแบบมาให้ใช้ตั้งแต่แรก
00:34:03 → 00:34:07 เราก็กลับไปเป็นคนปกติอีกครั้ง
00:34:07 → 00:34:10 มันเป็นการรักษาที่สวยงาม
00:34:10 → 00:34:13 แต่จริงๆแล้วก็คือการทำตามกฏธรรมชาติ
00:34:13 → 00:34:15 เวลาที่ดิฉันได้ยินที่คุณหมอพูดมา มันทำให้นึกถึง
00:34:15 → 00:34:18 คำหนึ่งที่คนไทยนิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง
00:34:18 → 00:34:21 คือคำว่า กินคลีน และเมื่อเขาพูดคำนี้
00:34:21 → 00:34:24 หรือคำว่าอาหารสุขภาพ เขาหมายถึง
00:34:24 → 00:34:27 การทานอกไก่ไร้หนัง หรือไข่ขาว
00:34:27 → 00:34:30 ซึ่งคือหัวใจหลักเมื่อคนไทยนึกถึงการกินคลีน
00:34:30 → 00:34:36 คุณหมอช่วยให้ความเห็นเรื่องการกินคลีนที่มีเนือไก่และไข่ขาวหน่อยได้ไหมคะ
00:34:38 → 00:34:40 อีกครั้งที่อุตสาหกรรมไก่ทำการตลาดเก่งมาก
00:34:40 → 00:34:43 ที่ใส่ความเชื่อนี้ในหัวของคนได้
00:34:43 → 00:34:46 ว่าเนื้อไก่จะสะอาด ไขมันน้อยกว่าเนื้อชนิดอื่นๆ
00:34:46 → 00:34:49 ว่าเนื้อขาวสะอาดกว่าเนื้อแดง
00:34:49 → 00:34:52 แต่ความเป็นจริงก็ไม่ต่างจากเรื่องของโรงฆ่าสัตว์
00:34:52 → 00:34:55 คือความจริงนั้นตรงข้ามกับความเชื่อ
00:34:55 → 00:34:58 ทำไมเนื้อไก่ถึงนุ่มละลายในปาก ก็เพราะนกเหล่านี้
00:34:58 → 00:35:03 ถูกเลี้ยงมาให้มีไขมันในเซลล์กล้ามเนื้อให้มากที่สุด
00:35:03 → 00:35:06 นี่เป็นเนื้อที่มันที่สุดในบรรดาเนื้อทั้งหลาย
00:35:06 → 00:35:09 คนจะคิดว่าเนื้อไก่จะมีไขมันน้อยที่สุด ไม่ใช่เลย มีไขมันเยอะที่สุดต่างหาก
00:35:09 → 00:35:12 และถ้าคุณไม่เชื่อ ให้นึกถึงครั้งล่าสุดที่คุณเห็นคนต้มไก่
00:35:12 → 00:35:15 ครั้งล่าสุดที่คุณเห็นคนต้มไก่
00:35:15 → 00:35:18 อะไรหรอที่ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ คุณจะเห็นชั้นไขมันออกมา
00:35:18 → 00:35:21 มันมาจากไหนเหรอ มันก็อยู่ในกล้ามเนื้อไง
00:35:21 → 00:35:24 เวลาที่คุณเอาเนื้อไก่ไปส่องกล้องจุลทรรศน์ คุณจะเห็นว่าระหว่างทุกเซลล์จะมีเซลล์ไขมันแทรกอยู่
00:35:24 → 00:35:27 กล้ามเนื้อนี้เต็มไปด้วยไขมัน
00:35:27 → 00:35:31 การที่จะคิดว่าเนื้อนี้คลีน ดีต่อสุขภาพ
00:35:31 → 00:35:33 นั้นไม่เข้าท่า มันเป็นเนื้อที่เต็มไปด้วยไขมัน
00:35:33 → 00:35:36 แล้วมันก็จะพาคุณไปหาโรคต่างๆที่เกิดจากไขมันอิ่มตัว
00:35:36 → 00:35:39 คอเลสเตอรอล โปรตีนออกซิไดซ์ในกล้ามเนื้อ
00:35:39 → 00:35:43 เหมือนกับเนื้อวัวและเนื้อหมู
00:35:43 → 00:35:46 มันไม่ใช่แค่ ไม่ทำให้สุขภาพดีนะ
00:35:46 → 00:35:49 แต่นกพวกนี้โดนกักบริเวณ
00:35:49 → 00:35:53 ในโรงเลี้ยงอย่างหนาแน่น
00:35:53 → 00:35:56 ร่วมกับไก่อีกเป็นร้อยเป็นพันตัว
00:35:56 → 00:35:59 พวกมันก็เสี่ยงต่อการติดโรค จึงมีการให้ยาปฏิชีวินะ
00:35:59 → 00:36:02 ให้สารแร่งโต และถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่มียากำจัดศัตรูพืชตกค้าง
00:36:02 → 00:36:07 ซึ่งสารเหล่านี้จะเพิ่มความเข้มข้นในเนื้อของนก
00:36:07 → 00:36:10 สารเหล่านี้ละลายได้ดีในไขมัน แล้วมันก็จะไปอยู่ในไขมันของไก่
00:36:10 → 00:36:13 การที่จะคิดว่าเนื้อไก่นั้น
00:36:13 → 00:36:16 ดีต่อสุขภาพ มันเป็นเรื่องของการตลาดทั้งหมด
00:36:16 → 00:36:18 แต่ความจริงนั้นต่างไปมาก
00:36:19 → 00:36:22 อีกอย่างนึง ไก่นั้นสามารถเป็นมะเร็งเม็ดเลือด และมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้
00:36:22 → 00:36:25 ซึ่งเกิดจากการติดไวรัส
00:36:25 → 00:36:28 คนที่สัมผัสไก่มักเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่า
00:36:28 → 00:36:33 คนที่ทานไก่มักเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่า นกพวกนี้ป่วย
00:36:33 → 00:36:36 แล้วคนก็เอาร่างของไก่พวกนี้มาละเลงบนเขียง
00:36:36 → 00:36:39 พวกเขากำลังแพร่เชื้อโรคในครัวของตัวเอง
00:36:39 → 00:36:43 ขอย้ำอีกครั้ง ว่าการคิดว่าเนื้อไก่นั้นดีต่อสุขภาพ
00:36:43 → 00:36:46 ไม่มีอะไรจะไกลความจริงได้มากกว่านี้
00:36:46 → 00:36:48 แล้วไข่ขาวล่ะคะ
00:36:48 → 00:36:51 ไข่ขาวเป็นแหล่งโปรตีนที่เข้มข้นที่สุดในโลก
00:36:51 → 00:36:55 และโปรตีนที่เข้มข้นไม่ดีต่อสุขภาพเรา
00:36:55 → 00:36:57 สิ่งแรกคือมันทำร้ายไต
00:36:57 → 00:37:00 เวลาที่คุณกินโปรตีนเข้มข้นนี้ มันจะพุ่งชน
00:37:00 → 00:37:03 ระบบกรองของไตและทำให้มันบาดเจ็บ
00:37:03 → 00:37:08 คนที่ทานอาหารแบบเน้นโปรตีนสูง กำลังเขียนใบสั่งไปยังเครื่องฟอกไตให้ตัวเอง
00:37:08 → 00:37:09 ประเด็นที่สอง
00:37:09 → 00:37:12 เมื่อคุณทานไข่ขาวที่มีโปรตีนสูง
00:37:12 → 00:37:16 ตับของคุณจะเต็มไปโปรตีน
00:37:16 → 00:37:18 ตับก็จะตอบสนองด้วยการหลั่งโมเลกุล
00:37:18 → 00:37:22 ที่เรียกว่า IGF-1 Insulin-like Growth Factor 1
00:37:22 → 00:37:25 ซึ่งเป็นโมเลกุลเร่งโตที่แรงที่สุด
00:37:25 → 00:37:28 เท่าที่พบมาในสาขาชีววิทยา
00:37:28 → 00:37:30 ทำไมร่างกายทำแบบนี้ล่ะ
00:37:30 → 00:37:33 ถ้าคุณยื่นชุดก่อสร้างจำลองให้เด็กอายุแปดขวบ
00:37:33 → 00:37:36 เขาก็จะใช้มันสร้างสิ่งต่างๆ ตับก็เหมือนกัน
00:37:36 → 00:37:39 ถ้าคุณยื่นกรดอะมิโนจำนวนมากให้ตับของคุณ มันก็จะเอาไปสร้างสิ่งต่างๆ
00:37:39 → 00:37:43 ถ้าคุณเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
00:37:43 → 00:37:46 พอมันได้ IGF-1 มันก็จะโตขึ้น ถ้าคุณเป็นมะเร็งเต้านมและได้รับ IGF-1
00:37:46 → 00:37:49 มันก็จะโต ฉะนั้นที่คิดว่า
00:37:49 → 00:37:52 โปรตีนเข้มข้นนี้ดีต่อสุขภาพ
00:37:52 → 00:37:55 เป็นแค่ภาพลวงตา
00:37:55 → 00:37:58 เรามีภาพในหัวว่า โปรตีน เท่ากับ พละกำลัง
00:37:58 → 00:38:01 และผู้ชายต้องมีกล้ามเยอะๆ แต่ความจริงแล้ว
00:38:01 → 00:38:05 ผมอยากให้ทุกคนได้ดูภาพยนตร์ที่จะออกมาในอีกไม่ช้า
00:38:05 → 00:38:07 ชื่อว่า The Game Changers แล้วคุณจะเห็นนักกีฬาที่มีกล้ามใหญ่มาก
00:38:07 → 00:38:10 และนักวิ่งระดับโลก
00:38:10 → 00:38:13 และนักกล้าม คนเหล่านี้กินแต่พืช
00:38:13 → 00:38:16 คุณไม่ต้องกินกระทิง ถึงจะแข็งแรงเหมือนกระทิง
00:38:16 → 00:38:19 กล้ามเนื้อของกระทิงทั้งหมดก็มาจากพืช
00:38:19 → 00:38:22 และเราก็ได้กล้ามมาจากพืชเช่นกัน
00:38:22 → 00:38:25 ลองนึกถึงลิงกอริลล่าดูสิ มันเป็นสัตว์ที่ใหญ่และแข็งแรงมาก
00:38:25 → 00:38:28 เป็นลิงที่แข็งแรงที่สุดในโลก แต่มันเป็นวีแกน
00:38:28 → 00:38:31 มันกินแต่พืช
00:38:31 → 00:38:34 จะไปบอกให้กอริลล่าเลิกกินพืชและหันไปกินไก่
00:38:34 → 00:38:37 มันจะนั่งหัวเราะเยาะคุณ ระหว่างที่มันฉีกคุณเป็นชิ้นๆ
00:38:37 → 00:38:40 ล้อเล่นๆ กอริลล่าเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างรักสงบที่สุด
00:38:40 → 00:38:43 ชนิดหนึ่งในโลก
00:38:43 → 00:38:46 สรุปแล้ว เราต้องถอยออกมาจากความเขื่อ
00:38:46 → 00:38:48 ที่ว่า เนื้อสัตว์ = พละกำลัง
00:38:48 → 00:38:51 มันเป็นความเชื่อโบราณ ที่ไม่ถูกต้อง เพราะทำให้คนเข้าใจผิด
00:38:51 → 00:38:54 และหันมาทานเนื้อ
00:38:54 → 00:38:57 ทั้งๆที่เป็นการทำร้ายสุขภาพตัวเอง
00:38:57 → 00:39:00 ถ้าอย่างนั้น เราก็ทานไก่ เนื้อสัตว์ ไข่ ไม่ได้
00:39:00 → 00:39:01 แล้วปลาล่ะคะ
00:39:02 → 00:39:05 ปลาและอาหารทะเล
00:39:05 → 00:39:08 ควรจะทำให้เราฉลาด และทำให้สมองทำงานดีเยี่ยม
00:39:08 → 00:39:10 และป้องกันไม่ให้เราเป็นโรคอัลไซเมอร์
00:39:10 → 00:39:13 เราทานปลาได้ไหมคะ
00:39:13 → 00:39:16 คุณทานปลาได้ครับ แต่มันจะไม่ทำให้คุณสุขภาพดีขึ้น
00:39:16 → 00:39:18 เพราะเหตุผลหลายอย่าง
00:39:18 → 00:39:21 เรามองทะเลและแม่น้ำ เหมือนกับมันเป็นที่เทขยะของโลก
00:39:21 → 00:39:24 ปลาเดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยสารปรอท
00:39:24 → 00:39:27 ยาฆ่าแมลง ไดออกซิน และสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม
00:39:27 → 00:39:33 ที่เราทื้งลงทะเล ซึ่งจะทวีความเข้มข้นขึ้นในเนื้อของปลา
00:39:33 → 00:39:35 และมันก็จะเป็นอันตรายโดยเฉพาะกับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์
00:39:35 → 00:39:38 ที่จะกินทูน่าหรือปลาพวกนี้
00:39:38 → 00:39:41 เนื่องจากสารปรอทที่ปนเปื้อนในปลาเหล่านี้
00:39:41 → 00:39:44 มากกว่านั้น ปัญหาระดับโลกอีกอย่างคือ
00:39:44 → 00:39:47 เรากำลังล้างผลาญทะเลของเรา
00:39:47 → 00:39:50 เรากำลังแผ้วถางปลาด้วยการใช้อวนยักษ์ยาวห้าไมล์
00:39:50 → 00:39:53 ที่ช้อนทุกอย่างขึ้นมารวมทั้งปลาวาฬ ปลาโลมา
00:39:53 → 00:39:56 เต่า นกทะเล
00:39:56 → 00:39:59 คุณไม่เห็นสิ่งนี้เวลาคุณซื้อแซลมอนเป็นชิ้นๆ
00:39:59 → 00:40:02 แต่เรากำลังทำลายมหาสมุทรของเรา
00:40:02 → 00:40:04 เรากำลังกอบโกยผลผลิตสุดท้ายจากทะเล
00:40:04 → 00:40:07 และจะไม่มีอะไรเหลือให้ลูกหลานของเรายกเว้นแมงกะพรุน
00:40:07 → 00:40:09 มันถึงเวลาแล้วที่จะปล่อยปลาไปซะที
00:40:09 → 00:40:12 มันไม่มีอะไรในเนื้อปลาที่เราต้องการ
00:40:12 → 00:40:15 อ้าวแล้วโอเมก้า 3 จากน้ำมันปลาล่ะ
00:40:16 → 00:40:20 ปลาไม่ได้ผลิตโอเมก้า 3 ทำนองเดียวกับวัวที่ไม่ได้ผลิตวิตามินบี 12
00:40:20 → 00:40:23 โอเมก้า 3 ที่สมองเราต้องการเหล่านี้
00:40:23 → 00:40:26 พบได้ในปลา
00:40:26 → 00:40:29 แต่ปลาไม่ได้ผลิตเอง มันผลิตโดยพืช
00:40:29 → 00:40:32 ซึ่งก็คือสาหร่ายที่ลอยอยู่ในทะเล
00:40:32 → 00:40:34 พวกสาหร่ายนี้ต่างหากที่ผลิต EPA DHA ซึ่งคือโอเมก้า 3 เหล่านี้
00:40:34 → 00:40:37 พวกปลาก็อ้าปากว่ายน้ำอยู่ในทะเล กินสาหร่ายอยู่ทั้งวัน
00:40:37 → 00:40:43 และ DHA จากสาหร่ายก็เข้าไปอยู่ในเนื้อปลา
00:40:43 → 00:40:46 จริงอยู่ที่คุณสามารถฆ่าปลาแล้วนำเนื้อมาบดและบีบเอาน้ำมัน
00:40:46 → 00:40:49 ที่มี โอเมก้า 3 DHA ออกมา
00:40:49 → 00:40:52 แต่ปลาไม่ได้ผลิต มันผลิตโดยสาหร่ายในทะเล
00:40:52 → 00:40:55 ตอนนี้มีการเพาะเลี้ยงสาหร่ายที่ผลิต DHA พวกนั้น
00:40:55 → 00:40:58 ในแท้งค์ใหญ่ที่ใส่น้ำทะเล
00:40:58 → 00:41:01 แล้วก็เก็บเกี่ยวสาหร่ายพวกนี้
00:41:01 → 00:41:04 และสกัด DHA จากสาหร่ายโดยตรง
00:41:04 → 00:41:07 คุณสามารถเข้าไปร้านวิตามิน หรือร้านออนไลน์
00:41:07 → 00:41:09 แล้วมองหา DHA ที่มาจากสาหร่าย
00:41:09 → 00:41:13 ถ้าคุณต้องการ DHA เพิ่ม ให้ทานจากสาหร่ายโดยตรง
00:41:13 → 00:41:15 นอกจากนั้น ลองทานถั่ววอลนัทซัก 1 กำมือทุกวัน
00:41:15 → 00:41:18 หรือใส่เมล็ดแฟล็กซ์ 2-3 ช้อนโต็ะบนเซีเรียล
00:41:18 → 00:41:21 คุณจะผลิต DHA ที่คุณต้องการซะส่วนใหญ่
00:41:21 → 00:41:24 คุณอาจจะไม่ต้องทานเข้าไปด้วยซ้ำ
00:41:24 → 00:41:26 แต่ถ้าคุณต้องการทานเสริม ก็ไปร้านขายอาหารเสริม
00:41:26 → 00:41:29 แล้วซื้อแบบที่สกัดมาจากสาหร่าย แต่อย่าคิดว่าการทานเนื้อปลา
00:41:29 → 00:41:32 จะเป็นแหล่งที่ดีของโอเมก้า 3
00:41:32 → 00:41:35 เพราะในเวลาเดียวกัน คุณก็ได้รับสารปรอท ยาฆ่าแมลง และไดออกซิน เพื่อที่จะได้โอเมก้า 3
00:41:35 → 00:41:38 นิดๆหน่อยๆ ควรจะทานจากสาหร่ายโดยตรง
00:41:38 → 00:41:41 โดยรวมแล้ว
00:41:42 → 00:41:44 ไม่ว่าการทานปลาจะมีบทบาทแค่ใหน
00:41:44 → 00:41:48 และมันก็มีบทบาทมากในประวัติศาสตร์มนุษย์ มาจนถึงตอนนี้
00:41:48 → 00:41:51 พวกเรามองไม่เห็นกันหรือ
00:41:51 → 00:41:54 ว่าสิ่งที่เราควรจะตระหนัก ในฐานะคนๆหนึ่งที่อยากมีสุขภาพดี
00:41:54 → 00:41:57 และในฐานะของสปีชีส์หนึ่งบนโลก
00:41:57 → 00:42:01 คือไม่ว่าการทานเนื้อสัตว์จะมีบทบาทอะไรในอดีต
00:42:01 → 00:42:05 ยุคนั้นจบแล้ว เราหมดยุคของการทานเนื้อสัตว์แล้ว
00:42:05 → 00:42:07 เราหมดยุคของการทำประมงแล้ว
00:42:07 → 00:42:10 ถึงเวลาที่เราจะเข้าสู่ยุคใหม่
00:42:10 → 00:42:13 และสิ่งที่ต้องสื่อให้สปีชีส์ โฮโม เซเปี่ยนส์ของเรา
00:42:13 → 00:42:16 คือ หากเรายังต้องการจะใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ต่อไป
00:42:16 → 00:42:19 ทั้งหมด 9 พันล้านคน
00:42:19 → 00:42:21 สิ่งที่ขอให้คุณทำคือ คุณต้องปรับการทานอาหาร
00:42:21 → 00:42:24 มาเป็นการรับประทานพืชเป็นหลัก ไม่เช่นนั้นเราจะมีชีวิตต่อไปอีกได้ไม่นาน
00:42:25 → 00:42:28 และนี่ก็คือหน้าที่ของเรา ถึงเวลาแล้วที่จะปล่อยปลาให้อยู่ในทะเล
00:42:28 → 00:42:31 ถึงเวลาที่จะหยุดฆ่าสัตว์
00:42:31 → 00:42:34 ถึงเวลาที่เราจะดูแลสุขภาพตัวเองด้วยอาหารดีๆจากพืช
00:42:34 → 00:42:37 และหากเราทำแบบนี้ สิ่งมีชีวิตต่างๆจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง
00:42:37 → 00:42:39 ลูกหลานเราก็จะมีอนาคตที่สดใส
00:42:39 → 00:42:45 แต่ถ้าเรายังยึดติดกับการทานเนื้อสัตว์ที่นองเลือดแบบนี้ต่อไป
00:42:45 → 00:42:47 เราก็จะต้องพบกับชะตากรรมที่น่าทรมานทั้งกับตัวเอง
00:42:47 → 00:42:49 และกับมนุษยชาติ
00:42:49 → 00:42:52 ฉะนั้นผมขอให้รับฟังข้อมูลนี้ และนี่คือเหตุผลของการพูดคุยครั้งนี้
00:42:52 → 00:42:55 เพื่อจะให้ความรู้นี้กระจายออกไป
00:42:55 → 00:42:58 ถึงเวลาแล้วที่เราจะพัฒนาวิธีการกินของเราไปสู่การทานแบบ Plant-based
00:42:58 → 00:43:01 ทุกคนจะได้ประโยชน์ แม้กระทั่งเด็กๆ
00:43:01 → 00:43:04 ดิฉันเห็นด้วยกับคุณหมอมากๆค่ะ
00:43:04 → 00:43:07 ผู้ชมจะติดตามคุณหมอได้อย่างไรบ้าง
00:43:07 → 00:43:10 หลังจากนี้คะ
00:43:10 → 00:43:13 เพราะว่าถ้าคนไหนอยากเริ่มทาน Plant-based
00:43:13 → 00:43:16 พวกเขาจะเริ่มอย่างไร
00:43:16 → 00:43:18 และติดตามคุณหมอได้ที่ไหนคะ
00:43:18 → 00:43:21 ยินดีมากครับ ทุกคนมาที่เวปของผม doctorklaper.com
00:43:21 → 00:43:26 doctorklaper.com มี P ตัวเดียว
00:43:26 → 00:43:32 ผมมีบทความ วิดีโอ และข้อมูลมากมาย
00:43:32 → 00:43:35 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และยังมีแหล่งข้อมูลที่ดีอีกมากมาย
00:43:35 → 00:43:38 เช่น เวปของ นพ.ไมเคิล เกรเกอร์ nutritionfacts.org
00:43:40 → 00:43:45 และยังมีเวปดีๆอีกหลายแห่ง เช่น vegetarian resource group หรือ pcrm.org
00:43:45 → 00:43:47 เดี๋ยวนี้คุณสามารถหาข้อมูลดีๆบนเวปได้ง่ายมาก
00:43:47 → 00:43:50 มองไปรอบๆตัว เริ่มทีละมื้อ
00:43:50 → 00:43:53 บอกตัวเองว่า คุณสามารถทานมื้อเช้าที่ไม่มีเนื้อสัตว์ได้
00:43:53 → 00:43:56 อาจจะทานโจ๊ก หรือผลไม้
00:43:56 → 00:43:59 และนมถั่วเหลือง หรือนมถั่วอื่นๆ เริ่มจากอาหารเช้าที่ดี
00:43:59 → 00:44:02 สำหรับมื้อกลางวันและมื้อเย็น
00:44:02 → 00:44:06 ให้นึกถึง 4 S - ซุป สลัด ผักนึ่ง และแป้งที่ดี
00:44:06 → 00:44:10 บนจานของคุณ
00:44:10 → 00:44:14 ควรมีแป้งที่ดี เช่นข้าว คีนัวร์ หรือมันเทศ
00:44:14 → 00:44:19 และควรมีซุปผัก หรือสลัดชามใหญ่
00:44:19 → 00:44:22 รวมทั้งผักนึ่งสีเหลืองและสีเขียว
00:44:22 → 00:44:25 แล้วนั่นก็จะเป็นมื้อที่ดี
00:44:25 → 00:44:28 ลองเริ่มแบบนี้ และยังมีอาหารนานาชาติที่อร่อย
00:44:28 → 00:44:31 ที่รอคุณอยู่
00:44:31 → 00:44:37 อาหารไทยก็อร่อยและเต็มไปด้วยรสที่ละมุน
00:44:37 → 00:44:41 หาวิธีที่ทำให้ผักเหล่านี้มีรสที่อร่อยจากสูตรอาหารแบบ Plant-based
00:44:41 → 00:44:46 อาหารอร่อยๆรอคุณอยู่ นี่ไม่ใช่การอดอาหารเลย
00:44:46 → 00:44:48 อาหารอร่อยมากๆค่ะ
00:44:48 → 00:44:50 ดิฉันลองแล้วชอบมากค่ะ