00:00:00 → 00:00:03 ขอต้อนรับสู่หมอพัทรพcส talk ความรู้
00:00:03 → 00:00:07 สุขภาพลึกและฟรีมีที่นี่เคยรู้สึกมั้ครับ
00:00:07 → 00:00:09 ว่าหลังกินข้าวแล้วแทนที่จะมีแรงกลับรู้
00:00:09 → 00:00:12 สึกเพลียซะงั้นหรือบางทีก็หิวมากทั้งๆที่
00:00:13 → 00:00:15 เพิ่งกินอิ่มไปไม่นานอาการแบบนี้เนี่ยอาจ
00:00:15 → 00:00:17 จะเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าระดับน้ำตาลใน
00:00:17 → 00:00:20 เลือดพุ่งสูงหรือ Blood Sugar Spike ก็
00:00:20 → 00:00:22 ได้นะครับคือเราได้ยินคำนี้กันบ่อยมากๆ
00:00:22 → 00:00:25 เลยแต่จริงๆแล้วมันน่ากังวลขนาดนั้นเลย
00:00:25 → 00:00:26 เหรอวันนี้เราจะมาเจาะลึกวิทยาศาสตร์
00:00:27 → 00:00:28 เบื้องหลังเรื่องนี้กันครับเพื่อให้เรา
00:00:28 → 00:00:30 เข้าใจร่างกายตัวเองได้ดีขึ้นโดยที่ไม่
00:00:30 → 00:00:32 ต้องมานั่งแปะป้ายว่าอาหารชนิดไหนดีหรือ
00:00:32 → 00:00:35 ไม่ดีอีกต่อไปและนี่คือสิ่งที่เราจะคุย
00:00:35 → 00:00:37 กันวันนี้ครับเราจะเริ่มจากตัวเลขสำคัญ
00:00:37 → 00:00:41 เลยคือ 180 ว่ามันมีความหมายว่าอะไรจาก
00:00:41 → 00:00:44 นั้นก็ดูกันว่าอินซูลินในร่างกายเราทำงาน
00:00:44 → 00:00:46 ยังไงทำไมบางทีถึงปล่อยให้น้ำตาลพุ่งขึ้น
00:00:46 → 00:00:49 มาได้แล้วก็จะไปดูเคล็ดลับง่ายๆในการกิน
00:00:49 → 00:00:52 คาฟอย่างฉลาดขึ้นแล้วปิดท้ายด้วยการมาคิด
00:00:52 → 00:00:55 กันใหม่ว่าเอ๊อาหารlowฟเนี่ยมันคือคำตอบ
00:00:55 → 00:00:58 สำหรับทุกคนจริงๆหรือเปล่าเอาล่ะครับมา
00:00:58 → 00:01:00 เริ่มกันที่ประเด็นเป็นแรกที่สำคัญที่สุด
00:01:00 → 00:01:04 เลยตัวเลข 180 มกัต่อเดซิลทำไมผู้เชี่ยว
00:01:04 → 00:01:07 ชาญถึงขีดเส้นไว้ที่ตัวเลขนี้กันนะคือการ
00:01:07 → 00:01:10 ที่น้ำตาลจะพุ่งจนเรียกว่าน่ากังวลจริงๆ
00:01:10 → 00:01:13 เนี่ยมันต้องสูงแค่ไหนกันแน่นี่น่าจะเป็น
00:01:14 → 00:01:17 คำถามที่หลายคนเอ่อคาใจกันอยู่ใช่มั้ครับ
00:01:17 → 00:01:21 โดยเฉพาะคนที่เริ่มใส่ใจสุขภาพพอเห็นตัว
00:01:21 → 00:01:24 เลขน้ำตาลมันขยับขึ้นหลังกินข้าวทีไรก็
00:01:24 → 00:01:27 เริ่มกังวลแล้วว่านี่คือปัญหาหรือเปล่า
00:01:28 → 00:01:31 ตกลงแล้วไอ้การที่มันขึ้นลงเล็กๆน้อยๆใน
00:01:31 → 00:01:34 แต่ละวันเนี่ยเราต้องซีเรียสกับมันทุก
00:01:34 → 00:01:37 ครั้งเลยจริงเหรอคำตอบที่ชัดเจนจากหลัก
00:01:37 → 00:01:39 ฐานทางวิทยาศาสตร์เลยนะฮะเค้าชี้ไปที่ตัว
00:01:40 → 00:01:44 เลขนี้เลยครับ 180 มกรัต่อเดซลนี่เลยครับ
00:01:44 → 00:01:47 คือเส้นแบ่งที่สำคัญมากๆระหว่างความผัน
00:01:47 → 00:01:50 ผวนที่ร่างกายเรายังรับมือได้ตามปกติกับ
00:01:50 → 00:01:53 ระดับที่เริ่มส่งสัญญาณแล้วว่าเฮ้ยอาจจะ
00:01:53 → 00:01:56 เป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้นะคือ
00:01:56 → 00:01:59 มันน่าสนใจมากเลยนะครับเพราะตอนที่นัก
00:01:59 → 00:02:01 วิทยาศาสตร์ไปศึกษาคนหนุ่มสาวที่สุขภาพดี
00:02:01 → 00:02:04 มากๆเนี่ยเพบว่าร่างกายมีกลไกป้องกันที่
00:02:04 → 00:02:07 แข็งแกร่งสุดๆเลยไม่ว่าจะกินมื้อหนักแค่
00:02:07 → 00:02:09 ไหนนะฮะร่างกายจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อ
00:02:09 → 00:02:12 ไม่ให้น้ำตาลเกิน 180 ให้ได้โดยส่วนใหญ่
00:02:12 → 00:02:15 แล้วเนี่ยจะคุมให้อยู่ในโซนสีเขียวคือไม่
00:02:15 → 00:02:19 เกิน 140 ด้วยซ้ำไปครับแล้วทีนี้คำถามคือ
00:02:19 → 00:02:21 เราจะรู้ได้ไงล่ะว่าน้ำตาลเราเคยพุ่งเกิน
00:02:22 → 00:02:25 180 ไปแล้วคือในร่างกายเราเนี่ยมันมี
00:02:25 → 00:02:28 เหมือนอ่าสายลับคอยจับผิดอยู่ครับเรียก
00:02:28 → 00:02:32 เรียกว่า 15 แอนไฮโดรกรูซิทอนหรือ 15AG
00:02:32 → 00:02:35 ลองนึกภาพตามนะครับปกติสารตัวนี้จะรออยู่
00:02:35 → 00:02:38 ในเลือดของเราชิลๆแต่ทันทีที่น้ำตาลใน
00:02:38 → 00:02:42 เลือดพุ่งทะลุ 180 ปุ๊บไตของเราจะขับเจ้า
00:02:42 → 00:02:44 AG เนี่ยทิ้งไปพร้อมกับน้ำตาลส่วนเกิน
00:02:44 → 00:02:47 ทางตัสสาวะเลยนั่นก็หมายความว่าถ้าเจาะ
00:02:47 → 00:02:51 เลือดแล้วเจอว่าระดับ 15AG มันต่ำลงก็
00:02:51 → 00:02:53 เป็นหลักฐานมัดตัวเลยครับว่าน้ำตาลเคย
00:02:53 → 00:02:56 พุ่งสูงปรี๊ดมาก่อนและนี่แหละครับคือจุด
00:02:56 → 00:02:59 ที่มันน่ากังวลจริงจริงเพราะการที่ระดับ
00:02:59 → 00:03:02 15 AG ต่ำลงเนี่ยมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
00:03:02 → 00:03:04 เลยนะครับมันมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความ
00:03:04 → 00:03:06 เสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคร้ายแรงหลาย
00:03:06 → 00:03:09 อย่างเลยทั้งโรคหัวใจและหลอดเลือดโรคไต
00:03:09 → 00:03:12 เรื้อรังไปจนถึงอัตราการเสียชีวิตจาก
00:03:12 → 00:03:14 มะเร็งที่สูงขึ้นและที่สำคัญที่สุดเลยนะ
00:03:14 → 00:03:16 ฮะคือความเสี่ยงนี้มันเกิดขึ้นโดยไม่
00:03:16 → 00:03:19 เกี่ยวกับค่าน้ำตาลสะสมหรือ HBA1C ที่เรา
00:03:19 → 00:03:22 คุ้นเคยกันเลยด้วยซ้ำแต่เดี๋ยวก่อนก่อน
00:03:22 → 00:03:24 ที่จะแพนิคกันมาใหญ่นะครับต้องย้ำตรงนี้
00:03:24 → 00:03:26 ก่อนว่าเป้าหมายของเราไม่ใช่การมานั่ง
00:03:26 → 00:03:29 จ้องตัวเลขน้ำตาลที่มันขยับขึ้นลงนิดๆ
00:03:29 → 00:03:32 หน่อยๆตลอดทั้งวันนะครับการสร้างความกลัว
00:03:32 → 00:03:34 จนไม่กล้ากินอะไรเลยเนี่ยบางทีมันอาจจะ
00:03:34 → 00:03:36 ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตมากกว่าประโยชน์ที่
00:03:36 → 00:03:39 ได้ด้วยซ้ำไปสิ่งที่เราควรจะโฟกัสจริงๆก็
00:03:39 → 00:03:42 คือการหลีกเลี่ยงการพุ่งทะลุเกิน 180
00:03:42 → 00:03:46 บ่อยๆนั่นเองครับโอเคพอเรารู้แล้วว่าไอ้
00:03:46 → 00:03:48 การที่น้ำตาลมันพุ่งสูงเนี่ยมันอันตราย
00:03:48 → 00:03:51 ยังไงคำถามต่อมาก็คือแล้วมันเกิดขึ้นได้
00:03:51 → 00:03:54 ยังไงล่ะทำไมร่างกายของบางคนถึงปล่อยให้
00:03:54 → 00:03:57 น้ำตาลพุ่งสูงขนาดนั้นได้เรามาเจาะลึกที่
00:03:57 → 00:04:00 ต้นตอของปัญหากันครับหัวใจของเรื่องนี้
00:04:00 → 00:04:02 เลยนะฮะมันอยู่ที่สิ่งที่เรียกว่าการตอบ
00:04:03 → 00:04:06 สนองของอินซูลินในระยะแรกอ่ะลองนึกภาพตาม
00:04:06 → 00:04:08 แบบนี้นะครับให้ตับอ่อนเป็นเหมือนหน่วย
00:04:08 → 00:04:11 ดับเพลิงที่มีรสน้ำสแตนบายรอไว้อยู่แล้ว
00:04:11 → 00:04:13 ในร่างกายที่แข็งแรงเนี่ยพอมีน้ำตาลเข้า
00:04:13 → 00:04:15 มาปุ๊บหน่วยดับเพลิงนี้จะส่งรดน้ำที่
00:04:15 → 00:04:18 เตรียมไว้ออกไปจัดการทันทีเลยแต่ละการตอบ
00:04:18 → 00:04:21 สนองนี้มันช้าหรือไม่มีรถเตรียมไว้น้ำตาล
00:04:21 → 00:04:23 ก็เหมือนไฟที่ลามไปทั่วแล้วกว่าจะผลิต
00:04:23 → 00:04:26 อินซูลินออกมาได้ก็ไม่ทันการระดับน้ำตาล
00:04:26 → 00:04:29 ก็พุ่งสูงปรี๊ดไปเรียบร้อยแล้วครับแล้ว
00:04:29 → 00:04:31 เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้นนะครับพอน้ำตาล
00:04:31 → 00:04:34 มันพุ่งปรี๊ดขึ้นไปเนี่ยร่างกายเราก็จะตก
00:04:34 → 00:04:37 ใจแล้วก็จะปล่อยอินซูลินออกมาแบบตื่น
00:04:37 → 00:04:41 ตระหนกซึ่งมันมักจะมากเกินไปผลก็คือน้ำ
00:04:41 → 00:04:44 ตาลในเลือดจะดิ่งวบลงมาอย่างรวดเร็วจน
00:04:44 → 00:04:47 เกิดเป็นภาวะน้ำตาลต่ำหรือที่เรียกว่า
00:04:47 → 00:04:50 reactive hypซemiaนี่แหละครับคือสาเหตุ
00:04:50 → 00:04:54 ของอาการตัวสั่นหิวโซหรือรู้สึกกังวลแปลก
00:04:54 → 00:04:57 ๆหลังกินข้าวพอพอเข้าใจปัญหาเข้าใจสาเหตุ
00:04:57 → 00:05:00 แล้วทีนี้ก็มาถึงช่วงที่ทุกคนรอคอยนั่นก็
00:05:00 → 00:05:04 คือทางออกครับข่าวดีก็คือเรามีกลยุทธ์
00:05:04 → 00:05:06 ง่ายๆเลยที่จะช่วยจัดการกับการตอบสนองของ
00:05:06 → 00:05:09 ร่างกายต่อคาร์โบไฮเดรตได้โดยที่ไม่ต้อง
00:05:09 → 00:05:12 เลิกกินของอร่อยๆไปเลยเราจะมาดู 3 เคล็ด
00:05:12 → 00:05:15 ลับเด็ดๆเลยนะครับที่มีงานวิจัยรองรับแถม
00:05:15 → 00:05:17 ยังทำตามได้ง่ายมากๆไม่ว่าจะเป็นพลังของ
00:05:17 → 00:05:20 ข้าวเย็นที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงความลับของ
00:05:20 → 00:05:23 มื้อก่อนหน้าที่ส่งผลต่อมื้อถัดไปและการ
00:05:23 → 00:05:26 ใช้ของเปรี้ยวๆในครัวให้เป็นประโยชน์ครับ
00:05:26 → 00:05:28 เคล็ดลับแรกเนี่ยอาจจะฟังดูแปลกๆหน่อยนะ
00:05:29 → 00:05:32 ครับนั่นก็คือการกินข้าวหรือมันฝรั่งที่
00:05:32 → 00:05:35 ผ่านการทำให้เย็นมาก่อนคือพอเราปรุงอาหาร
00:05:35 → 00:05:38 แป้งเสร็จแล้วเอาไปแช่เย็นเนี่ยโครงสร้าง
00:05:38 → 00:05:40 ของแป้งบางส่วนมันจะเปลี่ยนไปครับกลาย
00:05:40 → 00:05:43 เป็นสิ่งที่เรียกว่าแป้งทนการย่อยซึ่ง
00:05:43 → 00:05:46 ร่างกายเราจะดูดซึมได้ช้าลงมากกระบวนการ
00:05:47 → 00:05:49 เนี้ยเขาเรียกว่า retrogardation และข่าว
00:05:49 → 00:05:52 ดีสุดๆเลยก็คือถึงเราจะเอากลับมาอุ่นให้
00:05:52 → 00:05:54 ร้อนอีกครั้งไอ้แป้งดีๆชนิดนี้ก็ยังอยู่
00:05:54 → 00:05:57 เหมือนเดิมครับอันนี้ก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่
00:05:57 → 00:06:00 น่าสนใจมากๆเลยครับเขาเรียกว่าผลกระทบจาก
00:06:00 → 00:06:04 มื้อก่อนหน้าลองนึกภาพตามนะครับถ้ามื้อ
00:06:04 → 00:06:06 กลางวันเรางดคาฟไปเลยแล้วไปจัดเต็มมื้อ
00:06:06 → 00:06:10 เย็นทีเดียวน้ำตาลจะพุ่งสูงปรี๊ดเลยครับ
00:06:10 → 00:06:12 แต่ในทางกลับกันถ้าเรากินาฟสักหน่อยใน
00:06:12 → 00:06:15 มื้อกลางวันมันเหมือนเป็นการส่งซิกไปบอก
00:06:15 → 00:06:18 ร่างกายว่าเฮ้เตรียมตัวไว้นะพอถึงมื้อ
00:06:18 → 00:06:21 เย็นร่างกายก็จะพร้อมรับมือได้ดีกว่าเยอะ
00:06:21 → 00:06:23 ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูงน้อยลงอย่างเห็น
00:06:23 → 00:06:26 ได้ชัดเลยครับกลยุทธ์สุดท้ายนี่หาได้ง่าย
00:06:26 → 00:06:29 ๆในครัวเราเลยครับนั่นคือการใช้ประโยชน์
00:06:29 → 00:06:32 จากกรดในอาหารไม่ว่าจะเป็นน้ำส้มสายชู
00:06:32 → 00:06:36 มะนาวหรือของหมักดองอย่างกิมจิกรดพวกนี้
00:06:36 → 00:06:38 จะเข้าไปช่วยชะลอการทำงานของเอนไซมที่ใช้
00:06:38 → 00:06:41 ย่อยแป้งพูดง่ายๆก็คือมันช่วยเบรคให้
00:06:41 → 00:06:44 คาร์โบไฮเดรตค่อยๆถูกย่อยและดูดซึมทำให้
00:06:44 → 00:06:46 ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งพรวดพลาดนั่น
00:06:46 → 00:06:50 เองครับพอเรารู้เทคนิคจัดการคาฟแบบนี้
00:06:50 → 00:06:53 แล้วหลายคนอาจจะเริ่มคิดไปอีกสเต็ปนึงว่า
00:06:53 → 00:06:56 เอ๊ะถ้าอย่างงั้นการตัดาฟออกไปให้หมดเลย
00:06:56 → 00:06:59 มันจะง่ายกว่ามยในส่วนสุดท้ายนี้เราจะมา
00:06:59 → 00:07:02 คิดเรื่องนี้กันใหม่เพื่อหาความสมดุลที่
00:07:02 → 00:07:05 ใช่สำหรับร่างกายแต่ละคนครับใช่ครับมัน
00:07:05 → 00:07:08 เป็นคำถามที่สมเหตุสมผลมากเลยนะในเมื่อ
00:07:08 → 00:07:11 คาร์โบไฮเดรตมันดูเป็นตัวสร้างปัญหาทำไม
00:07:11 → 00:07:14 เราไม่ตัดมันทิ้งไปเลยล่ะการกินแบบโลคาบ
00:07:14 → 00:07:16 หรือคีโตไปเลยเนี่ยน่าจะแก้ปัญหาได้ตรง
00:07:16 → 00:07:20 จุดที่สุดใช่มั้เช่อคำตอบอาจจะทำให้หลาย
00:07:20 → 00:07:22 คนแปลกใจนะครับคือจริงๆแล้วเนี่ยคนที่
00:07:22 → 00:07:25 สุขภาพภาพดีมากๆหลายคนเลยเขาสามารถกิน
00:07:25 → 00:07:29 คาร์โบไฮเดรตได้สบายๆโดยที่น้ำตาลไม่เคย
00:07:29 → 00:07:32 พุ่งเกิน 140 ด้วยซ้ำไปเคล็ดลับที่เราคุย
00:07:32 → 00:07:34 กันมาทั้งหมดนี้จึงเป็นเหมือนเครื่องมือ
00:07:34 → 00:07:37 สำหรับคนที่อยากจะกินคาฟแต่ต้องการจัดการ
00:07:37 → 00:07:40 ตอบสนองของร่างกายให้ดีขึ้นไม่ใช่กดเหล็ก
00:07:40 → 00:07:43 ที่บอกว่าทุกคนห้ามกินคาฟเด็ดขาดครับแล้ว
00:07:43 → 00:07:46 มันก็มีอีกประเด็นนึงที่น่าสนใจมากๆครับ
00:07:46 → 00:07:49 เกี่ยวกับคนที่กินโลขาบมานานๆร่างกายเรา
00:07:49 → 00:07:53 จะฉลาดมากครับมันจะคิดว่าอ๋อช่วงช่วงนี้
00:07:53 → 00:07:55 ไม่ค่อยมีขาบเข้ามางั้นก็ไม่ต้องเตรียม
00:07:55 → 00:07:58 อินซูลินไว้เยอะๆก็ได้นี่คือการปรับตัว
00:07:58 → 00:08:01 ตามปกติเลยนะฮะแต่ผลข้างเคียงก็คือพอวัน
00:08:01 → 00:08:03 ไหนที่เราเกิดอยากจะกินเค้กหรือข้าว
00:08:03 → 00:08:06 เหนียวมะม่วงขึ้นมาร่างกายที่ไม่ได้ซ้อม
00:08:06 → 00:08:09 รับมือกับขาบมานานก็จะตอบสนองได้ช้าทำให้
00:08:09 → 00:08:12 น้ำตาลมีโอกาสพุ่งสูงกว่าคนทั่วไปได้ครับ
00:08:12 → 00:08:14 เอาล่ะครับเราคุยกันมาทั้งหมดนี่ตั้งแต่
00:08:14 → 00:08:17 เรื่องตัวเลข 180 ไปจนถึงเคล็ดลับข้าว
00:08:17 → 00:08:19 เย็นแล้วบทสรุปของเรื่องนี้ประเด็นสำคัญ
00:08:19 → 00:08:21 ที่สุดที่เราควรจะจำให้ขึ้นใจเลยคืออะไร
00:08:22 → 00:08:23 กันแน่
00:08:23 → 00:08:25 สรุปง่ายๆแบบนี้เลยครับเป้าหมายหลักของ
00:08:25 → 00:08:27 เราคือการป้องกันไม่ให้น้ำตาลมันพุ่งทะลุ
00:08:27 → 00:08:30 180 บ่อยๆไม่ใช่การมานั่งเครียดกับการ
00:08:30 → 00:08:33 ขึ้นลงเล็กๆน้อยๆในแต่ละวันแทนที่จะกลัว
00:08:33 → 00:08:35 อาหารลองหันมาใช้กลยุทธ์ต่างๆเพื่อทำความ
00:08:35 → 00:08:38 เข้าใจและจัดการร่างกายของเราเองดีกว่า
00:08:38 → 00:08:40 นี่คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหาร
00:08:40 → 00:08:42 ไม่ใช่การตั้งกฎเกณฑ์ที่เต็มไปด้วยความ
00:08:42 → 00:08:45 กลัวครับและสุดท้ายเนี้ยผมอยากจะฝากคำถาม
00:08:45 → 00:08:48 นี้ไว้ให้ลองไปคิดกันต่อดูนะครับในมื้อ
00:08:48 → 00:08:51 อาหารมื้อต่อไปเนี่ยแทนที่จะถามแค่ว่ากิน
00:08:51 → 00:08:54 อะไรดีลองเปลี่ยนมาถามตัวเองว่าเราจะกิน
00:08:54 → 00:08:57 สิ่งนี้อย่างไรเพื่อให้ร่างกายของเราทำ
00:08:57 → 00:09:00 งานได้ดีที่สุดลองดูนะครับการเปลี่ยนแปลง
00:09:00 → 00:09:02 เล็กๆน้อยๆแค่นี้อาจให้ผลลัพธ์ที่ยิ่ง
00:09:02 → 00:09:06 ใหญ่กว่าที่เราคิดก็ได้
00:09:06 → 00:09:08 >> สวัสดีครับกลับมาอีกครั้งกับการเจาะลึก
00:09:09 → 00:09:12 ข้อมูลที่เราสนใจกันนะครับครั้งก่อนเราลง
00:09:12 → 00:09:14 รายละเอียดเรื่องกลยุทธ์จัดการระดับน้ำ
00:09:14 → 00:09:17 ตาลในเลือดหลังเมื่ออาหารคาร์โบไฮเดรตสูง
00:09:17 → 00:09:20 ไปก็ปรากฏว่ามีคำถามเข้ามาเยอะเลยทีเดียว
00:09:20 → 00:09:20 ครับ
00:09:20 → 00:09:23 >> ใช่ค่ะเราเลยรวบรวมคำถามยอดฮิตมา 7 ข้อ
00:09:23 → 00:09:26 เลยจากแหล่งข้อมูลที่เราดูกันเพื่อมาคุย
00:09:26 → 00:09:29 กันให้เคลียร์วันนี้ทั้งเรื่องว่าเอ่อไอ้
00:09:29 → 00:09:31 เจ้าอาการน้ำตาลพุ่งสูงหรือblชug spike
00:09:31 → 00:09:34 เนี่ยมันน่ากังวลแค่ไหนกันแน่แล้วทำไมเรา
00:09:34 → 00:09:37 ถึงไม่แนะนำให้ทุกคนแบบว่าหันไปทานโลขาไป
00:09:37 → 00:09:40 เลยล่ะมันเกี่ยวอะไรกับภาวะดื้ออินซูลิน
00:09:40 → 00:09:41 หรือเปล่าคะ
00:09:41 → 00:09:43 >> ครับรวมถึงคำถามที่เจาะลึกลงไปในเทคนิค
00:09:43 → 00:09:46 อย่างเอ่อ retrogradation การทำให้แป้ง
00:09:46 → 00:09:49 เย็นตัวลงกับปรากฏการณ์ที่น่าสนใจอย่าง
00:09:49 → 00:09:50 Second M effect Effect ด้วยวันนี้
00:09:51 → 00:09:53 เราจะมาค่อยๆแกะดูกันครับว่ากลไกเบื้อง
00:09:53 → 00:09:56 หลังมันคืออะไรกันแน่เพื่อให้เข้าใจชัด
00:09:56 → 00:09:58 เจนขึ้นแล้วก็นำไปปรับใช้จริงได้
00:09:58 → 00:10:01 >> ค่ะเป้าหมายของเราก็คือการสกัดเอาความรู้
00:10:01 → 00:10:04 ความเข้าใจสำคัญออกมาโดยไม่ทำให้รู้สึก
00:10:04 → 00:10:07 เหมือนเอ่อกำลังอ่านตำราเรียนนะคะมาเริ่ม
00:10:07 → 00:10:09 กันที่คำถามแรกเลยดีมั้ยคะที่คนสงสัยกัน
00:10:10 → 00:10:10 มากที่สุด
00:10:10 → 00:10:13 >> ครับผมประเด็นแรกเลยที่คนถามกันเยอะมาก
00:10:13 → 00:10:16 หลังฟังครั้งก่อนก็คือไอ้เรื่อง
00:10:16 → 00:10:18 Blัชugar้า Spike เนี่ยครับตกลงว่ามันน่า
00:10:18 → 00:10:21 กลัวอย่างที่คิดกันจริงๆหรือเปล่าครับบาง
00:10:21 → 00:10:23 ทีเห็นตัวเลขมันขึ้นก็แอบตกใจเหมือนกันนะ
00:10:23 → 00:10:26 โดยเฉพาะในข้อมูลที่เราดูกันครั้งก่อน
00:10:26 → 00:10:29 เา้าระบุว่า SPE ที่อาจจะต้องระวังคือ
00:10:29 → 00:10:33 ระดับน้ำตาลสูงเกิน 180 มกรัต่อเดซลหลัง
00:10:33 → 00:10:36 อาหารเอ่อตัวเลขนี้มันมีที่มาที่ไปยังไง
00:10:36 → 00:10:36 ครับ
00:10:36 → 00:10:40 >> ค่ะเป็นคำถามที่ดีมากค่ะตัวเลข 180 MGDL
00:10:41 → 00:10:44 นี่นะคะมีที่มาจากข้อมูลสำคัญอยู่ 2 ส่วน
00:10:44 → 00:10:48 ค่ะส่วนแรกเลยคือการศึกษาในกลุ่มคนที่
00:10:48 → 00:10:51 เอ่อเรียกว่าสุขภาพภาพดีมากๆจริงๆคืออายุ
00:10:51 → 00:10:53 น้อยรูปร่างสมส่วนแล้วก็ไม่มีประวัติ
00:10:53 → 00:10:56 ปัญหาเรื่องการเผาผลาญน้ำตาลเลยพอให้
00:10:56 → 00:10:59 กลุ่มนี้ลองติดเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาล
00:10:59 → 00:11:03 ต่อเนื่องหรือ CGM นะคะก็พบว่า 99% ของ
00:11:03 → 00:11:05 ค่าที่วัดได้ตลอดวันจะแกว่งอยู่ในช่วง
00:11:05 → 00:11:10 70-140 MGDL เท่านั้นเองคือแทบจะไม่เคย
00:11:10 → 00:11:12 เห็นค่าเกิน 180 เลยไม่ว่าจะทานอะไรเข้า
00:11:12 → 00:11:15 ไปก็ตามอันนี้ก็เป็นสัญญาณนะคะว่าร่างกาย
00:11:15 → 00:11:18 ที่แข็งแรงจริงๆเนี่ยพยายามอย่างมากที่จะ
00:11:18 → 00:11:22 รักษารักษาระดับน้ำตาลให้อยู่ในกรอบ 70-10
00:11:22 → 00:11:24 แล้วก็หลีกเลี่ยงการเกิน 180 อย่างที่สุด
00:11:24 → 00:11:24 ค่ะ
00:11:24 → 00:11:29 >> อืถ้ามันเกิดเกิน 180 บ่อยๆขึ้นมาก็อาจจะ
00:11:29 → 00:11:32 ไม่ใช่สัญญาณที่ดีนักแม้จะยังไม่ได้ถูก
00:11:32 → 00:11:34 วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานก็ตาม
00:11:34 → 00:11:37 >> ก็มีแนวโน้มเป็นอย่างนั้นค่ะแล้วส่วนที่ 2
00:11:37 → 00:11:40 ที่มาสนับสนุนเรื่องนี้นะคะก็คือหลักฐาน
00:11:40 → 00:11:44 ทางอ้อมจากสารชีวเคมีตัวนึงชื่อว่า 1.5 5
00:11:44 → 00:11:46 แอนไฮดรูโคซิ
00:11:46 → 00:11:49 หรือเรียกสั้นๆว่า 15AG
00:11:49 → 00:11:52 คือสารตัวนี้เป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งที่มีใน
00:11:52 → 00:11:55 เลือดเราทุกคนระดับของมันปกติจะค่อนข้าง
00:11:55 → 00:11:58 คงที่แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ระดับน้ำตาลใน
00:11:58 → 00:12:01 เลือดสูงเกินเกณฑ์ประมาณ 180 mg/ dl นะ
00:12:01 → 00:12:05 ค่ะไตของเราจะเริ่มขับกลูโคสส่วนเกินทิ้ง
00:12:05 → 00:12:08 ทางปัสสาวะแล้วกระบวนการนี้เองมันจะดึง
00:12:08 → 00:12:11 เอาเจ้า 15AG ออกไปด้วยพร้อมกันค่ะ
00:12:11 → 00:12:15 >> อ๋อเข้าใจแล้วครับแสดงว่ายิ่งน้ำตาลพุ่ง
00:12:15 → 00:12:19 เกิน 180 บ่อยเท่าไหร่ระดับ 15AG ในเลือด
00:12:19 → 00:12:20 ก็จะยิ่งลดต่ำลงเท่านั้น
00:12:20 → 00:12:23 >> ชิ้นเลยค่ะที่เชื่อมโยงอย่างชัดเจนว่าคน
00:12:23 → 00:12:27 ที่มีระดับสาร HPACG ในเลือดต่ำซึ่งก็บ่ง
00:12:27 → 00:12:30 ชี้ว่ามีภาวะน้ำตาลพุ่งเกิน 180 เกิดขึ้น
00:12:30 → 00:12:33 บ่อยๆน่ะค่ะมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการ
00:12:33 → 00:12:36 เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดโรคไตเรื้อรัง
00:12:36 → 00:12:38 หรือแม้กระทั่งการเสียชีวิตจากมะเร็งบาง
00:12:38 → 00:12:42 ชนิดด้วยค่ะและที่สำคัญมากๆคือความเสี่ยง
00:12:42 → 00:12:44 นี้มันเพิ่มขึ้นแม้ในคนที่ยังไม่ได้เป็น
00:12:44 → 00:12:47 เบาหวานก็ตามนะคะผลนี้ยังคงอยู่แม้ว่าจะ
00:12:47 → 00:12:50 พิจารณาปัจจัยอื่นๆแล้วอย่างเช่นระดับน้ำ
00:12:50 → 00:12:54 ตาลสะสมหรือ HPA1C หรือระดับน้ำตาลตอนอด
00:12:54 → 00:12:55 อาหารค่ะ
00:12:55 → 00:12:58 >> โหฟังดูน่ากังวลเหมือนกันนะครับเนี่ยแสดง
00:12:58 → 00:13:00 ว่าถึงเราจะยังไม่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นเบา
00:13:00 → 00:13:03 หวานแต่การพยายามคุมไม่ให้ระดับน้ำตาล
00:13:03 → 00:13:07 พุ่งเกิน 180 บ่อยๆก็เหมือนการเอ่อลงทุน
00:13:07 → 00:13:10 เพื่อสุขภาพหัวใจไต่แล้วก็ลดความเสี่ยง
00:13:10 → 00:13:12 มะเร็งในระยะยาวด้วยไม่ใช่แค่เครื่องเบา
00:13:12 → 00:13:13 หวานอย่างเดียว
00:13:13 → 00:13:16 >> ใช่ค่ะนั่นคือมุมมองที่ข้อมูลนี้ชี้ให้
00:13:16 → 00:13:19 เห็นเลยแต่ก็มีข้อควรระวังนิดหน่อยนะคะ
00:13:19 → 00:13:21 คือข้อมูลที่เรามีเนี่ยไม่ได้บอกว่าการ
00:13:21 → 00:13:24 ที่น้ำตาลขึ้นเล็กน้อยหลังอาหารอย่างเช่น
00:13:24 → 00:13:27 จาก 90 ไป 120 หรือ 130 ซึ่งมันยังอยู่ใน
00:13:27 → 00:13:30 ช่วงปกติน่ะค่ะว่ามันเป็นเรื่องอันตรายนะ
00:13:30 → 00:13:32 คะการไปกังวลกับความผันผวนเล็กๆน้อยๆใน
00:13:33 → 00:13:35 กรอบปกติมากเกินไปอาจจะสร้างความเครียด
00:13:35 → 00:13:38 ทางจิตใจโดยไม่จำเป็นประเด็นหลักเลยก็คือ
00:13:38 → 00:13:41 การพยายามหลีกเลี่ยงการพุ่งสูงเกิน 180
00:13:41 → 00:13:44 mgdl แล้วก็ดูแลรักษาระดับน้ำตาลตอนอด
00:13:44 → 00:13:47 อาหารกับ HBA A1C ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติให้
00:13:47 → 00:13:49 ได้มากที่สุดค่ะ
00:13:49 → 00:13:52 >> โอเคครับเข้าใจชัดเจนขึ้นเยอะเลยครับที
00:13:52 → 00:13:55 นี้ก็มีอีกคำถามตามมาเลยว่าเอ่อในเมื่อ
00:13:55 → 00:13:57 คาร์โบไฮเดรตนี่แหละครับที่ทำให้น้ำตาล
00:13:57 → 00:14:00 ขึ้นทำไมครั้งที่แล้วเราเน้นแต่วิธี
00:14:00 → 00:14:04 เลี่ยงสปดาบล่ะครับทำไมไม่แนะนำให้ตัด
00:14:04 → 00:14:07 หรือลดาฟลงไปเลยมันน่าจะตรงจุดกว่ามั้
00:14:07 → 00:14:07 ครับ
00:14:07 → 00:14:11 >> ค่ะก็เป็นคำถามที่สมเหตุสมผลมากค่ะต้องขอ
00:14:11 → 00:14:13 ย้ำเจตนาของข้อมูลที่เราคุยกันครั้งก่อน
00:14:14 → 00:14:17 นิดนึงนะคะคือไม่ได้มีเป้าหมายจะบอกว่า
00:14:17 → 00:14:19 ทุกคนจำเป็นต้องกินคาร์โบไฮเดรตสูงเพื่อ
00:14:19 → 00:14:23 สุขภาพที่ดีนะคะแต่เป็นการยอมรับความจริง
00:14:23 → 00:14:25 ที่ว่าเอ่ออาหารที่มีคาร์โบไฮเรตสูงเนี่ย
00:14:25 → 00:14:28 มันเป็นส่วนประกอบหลักในวัฒนธรรมการกิน
00:14:28 → 00:14:31 ของผู้คนส่วนใหญ่ทั่วโลกเลยกลยุทธ์ต่างๆ
00:14:31 → 00:14:34 ที่นำเสนอไปก็เพื่อให้คนที่ยังคงทานอาหาร
00:14:34 → 00:14:37 รูปแบบนี้อยู่สามารถจัดการให้ระดับน้ำตาล
00:14:37 → 00:14:40 ไม่พุ่งสูงจนเกินไปได้ค่ะ
00:14:40 → 00:14:43 >> อ๋ออ๋อหมายความว่าถ้าคนที่มีปัญหาเรื่อง
00:14:43 → 00:14:45 เบาหวานอยู่แล้วหรือว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง
00:14:46 → 00:14:48 ภาวะก่อนเบาหวานวิธีการที่เราคุยกันไป
00:14:48 → 00:14:50 ครั้งก่อนอาจจะยังไม่พอ
00:14:50 → 00:14:53 >> ถูกต้องค่ะในกรณีเหล่านั้นการจำกัดอาหาร
00:14:53 → 00:14:56 ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงหรือไฮจอนะคะซึ่ง
00:14:56 → 00:14:59 ก็คืออาหารที่ย่อยเป็นน้ำตาลได้เร็วหรือ
00:14:59 → 00:15:01 อาจจำเป็นต้องลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตโดยรวม
00:15:01 → 00:15:04 ลงไปเลยหรือเน้นการปรับปรุงความสามารถของ
00:15:04 → 00:15:07 ร่างกายในการจัดการกับน้ำตาลหรือกลูโคส
00:15:07 → 00:15:08 tolerance น่าจะเป็นเรื่องที่ต้อง
00:15:08 → 00:15:11 พิจารณาอย่างจริงจังค่ะแต่ในขณะเดียวกัน
00:15:11 → 00:15:14 นะคะจากข้อมูลเรื่องคนสุขภาพดีที่เรา
00:15:14 → 00:15:16 เพิ่งคุยไปก็ชี้ให้เห็นว่ามีคนจำนวนไม่
00:15:16 → 00:15:18 น้อยเลยที่สามารถทานคาร์โบไฮเดรตได้ตาม
00:15:18 → 00:15:21 ปกติโดยที่ระดับน้ำตาลแทบไม่เคยเกินเกณฑ์
00:15:21 → 00:15:24 70-140 เลยซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีหลัก
00:15:24 → 00:15:27 ฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นพอนะคะที่จะ
00:15:27 → 00:15:29 บอกได้ว่าการทานคาร์โบไฮเดรตในคนกลุ่มนี้
00:15:29 → 00:15:31 ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
00:15:31 → 00:15:35 >> อืมสรุปได้ว่าถ้าใครที่ระบบจัดการน้ำตาล
00:15:35 → 00:15:38 ยังทำงานได้ดีอยู่การทานขาบก็อาจไม่ใช่
00:15:38 → 00:15:40 ปัญหาหลักแต่ถ้าเริ่มสังเกตเกตเห็นว่าตัว
00:15:40 → 00:15:43 เองมีสป.บ่อยๆการลองใช้กลยุทธ์ต่างๆที่
00:15:43 → 00:15:46 เราเคยคุยกันก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
00:15:46 → 00:15:47 ในการจัดการครับ
00:15:47 → 00:15:49 >> โดยหลักการแล้วเป็นอย่างนั้นเลยค่ะเป็น
00:15:49 → 00:15:51 การหาจุดสมดุลให้เหมาะกับร่างกายของแต่ละ
00:15:51 → 00:15:52 คนนะคะ
00:15:52 → 00:15:55 >> โอเคครับชัดเจนครับมาต่อกันที่เรื่อง
00:15:55 → 00:15:58 เทคนิคการทำอาหารบ้างครับเรื่อง
00:15:58 → 00:16:01 Retrogradation หรือการทำให้แป้งเปลี่ยน
00:16:01 → 00:16:04 สภาพโดยทำให้เย็นลงหลังปรุงสุกอย่างการ
00:16:04 → 00:16:07 เอาข้าวสวยหรือมันฝรั่งต้มไปแช่ตู้เย็นที
00:16:07 → 00:16:10 นี้มีคนสงสัยเข้ามาครับว่าถ้าเราเอาอาหาร
00:16:10 → 00:16:13 ที่ผ่านกระบวนการนี้แล้วมาอุ่นซ้ำก่อนกิน
00:16:13 → 00:16:16 มันจะยังช่วยลดสปได้อยู่ไหมครับหรือว่า
00:16:16 → 00:16:19 ความร้อนทำให้มันกลับไปเป็นเหมือนเดิม
00:16:19 → 00:16:22 >> ค่ะต้องขออภัยค่ะครั้งก่อนอธิบายส่วนนี้
00:16:22 → 00:16:25 ไม่ชัดเจนนะคะหลักการสำคัญคือเมื่อเรา
00:16:25 → 00:16:28 ปรุงอาหารประเภทแป้งอย่างข้าวพาสต้ามัน
00:16:28 → 00:16:31 ฝรั่งแล้วนำไปทำให้เย็นลงแป้งบางส่วนจะ
00:16:31 → 00:16:34 เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่ะกลายเป็น
00:16:34 → 00:16:37 สิ่งที่เรียกว่าแป้งทนย่อยหรือ Resistance
00:16:37 → 00:16:39 Stch ซึ่งร่างกายของเราจะย่อยและดูดซึม
00:16:39 → 00:16:42 เป็นน้ำตาลได้ชัดช้าลงแล้วก็น้อยลงผลก็
00:16:42 → 00:16:45 คือระดับน้ำตาลในเลือดจะขึ้นช้ากว่าและ
00:16:45 → 00:16:47 น้อยกว่าการกินอาหารชนิดเดียวกันตอนที่
00:16:47 → 00:16:50 ยังร้อนๆอยู่และจุดสำคัญที่ถามมานะคะคือ
00:16:50 → 00:16:52 เมื่อแป้งได้เปลี่ยนรูปเป็น Resistance
00:16:52 → 00:16:55 Starch ไปแล้วมันจะคงสภาพนั้นอยู่แม้ว่า
00:16:55 → 00:16:58 จะนำไปอุ่นซ้ำก็ตามค่ะมันจะไม่เปลี่ยน
00:16:58 → 00:17:00 กลับไปเป็นแป้งที่ย่อยง่ายเหมือนเดิม
00:17:00 → 00:17:05 >> อ๋อจริงเหรอครับกระจ่างเลยครับแสดงว่าเอา
00:17:05 → 00:17:08 ข้าวที่แช่เย็นไว้มาเข้าไมโครเวฟอุ่นกิน
00:17:08 → 00:17:10 ก็ยังได้ประโยชน์จาก resistance Start
00:17:10 → 00:17:13 อยู่แบบนี้ก็สะดวกขึ้นเยอะเลยครับ
00:17:13 → 00:17:17 >> ใช่ค่ะรวมถึงกรณีของขนมปังถ้าเราหั่นเป็น
00:17:17 → 00:17:20 แผ่นแล้วนำไปแช่แข็งก็เกิดกระบวนการ
00:17:20 → 00:17:23 Retradดชนี้ได้เช่นกันซึ่งปกติเราก็นำมา
00:17:23 → 00:17:25 ละลายน้ำแข็งแล้วอาจจะปิ้งก่อนทานอยู่
00:17:25 → 00:17:26 แล้วนะคะ
00:17:26 → 00:17:29 >> แล้วถ้าเป็นพวกอาหารแช่แข็งสำเร็จรูปที่
00:17:29 → 00:17:32 เราซื้อตามซุเปอร์มาร์เก็ตล่ะครับอย่าง
00:17:32 → 00:17:35 เช่น French fry แช่แข็งหรือพิซซ่าแช่
00:17:35 → 00:17:38 แข็งพวกนี้ผ่านกระบวนการที่ทำให้เกิด
00:17:38 → 00:17:40 resistance st บ้างบ้างมั้ครับ
00:17:40 → 00:17:43 >> อ๋ออันนี้ต้องออกตัวก่อนนะคะว่าดิฉันไม่
00:17:43 → 00:17:45 ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร
00:17:45 → 00:17:48 โดยตรงนะคะเป็นการคาดการณจากหลักการที่พอ
00:17:48 → 00:17:52 ทราบคือการแช่แข็งที่มีแป้งเป็นส่วน
00:17:52 → 00:17:56 ประกอบก็อาจทำให้เกิดรดชได้บ้างแต่ผลจะ
00:17:56 → 00:17:59 ชัดเจนกว่ามากถ้าอาหารนั้นผ่านการปรุงสุก
00:17:59 → 00:18:02 มาก่อนแล้วค่อยนำไปแช่แข็งตัวอย่างเช่น
00:18:02 → 00:18:05 เฟรนชฟรแช่แข็งส่วนใหญ่มักจะผ่านการทอด
00:18:05 → 00:18:08 หรือลวกมาระดับนึงก่อนที่จะแช่แข็งก็มี
00:18:08 → 00:18:10 ความเป็นไปได้ว่าอาจจะมี Resistance
00:18:10 → 00:18:13 Starch เกิดขึ้นอยู่พอสมควรค่ะส่วน
00:18:13 → 00:18:15 พิซซ่าแช่แข็งมักจะเป็นแป้งดิบที่ขึ้นรูป
00:18:16 → 00:18:18 แล้วแช่แข็งเลยกรณีนี้คาดว่าน่าจะมี
00:18:18 → 00:18:20 Resistance Starch เกิดขึ้นน้อยกว่ามาก
00:18:20 → 00:18:21 ค่ะ
00:18:21 → 00:18:24 >> ครับแต่ถึง French Fries อาจจะมี
00:18:24 → 00:18:26 Resistance Starch อยู่บ้างก็ไม่ได้
00:18:26 → 00:18:28 หมายความว่ากินแล้วจะดีต่อสุขภาพเท่ากิน
00:18:29 → 00:18:30 ผักต้มนะครับ
00:18:30 → 00:18:32 >> ใช่ค่ะถูกต้องเลยค่ะนั่นเป็นข้อสรุปที่
00:18:32 → 00:18:35 สำคัญมากเลยคุณประโยชน์ด้านอื่นๆแล้วก็
00:18:35 → 00:18:37 ปริมาณไขมันหรือโซเดียมก็ยังเป็นเรื่อง
00:18:37 → 00:18:39 ที่ต้องพิจารณาอยู่เสมอค่ะ
00:18:39 → 00:18:42 >> ครับผมไปต่อกันที่อีกเรื่องที่หลายคนยัง
00:18:42 → 00:18:46 สงสัยอยู่ครับคือ Second M effect หรือ
00:18:46 → 00:18:49 ผลกระทบของมื้ออาหารก่อนหน้าต่อการตอบ
00:18:49 → 00:18:53 สนองของน้ำตาลในมื้อถัดไปช่วยอธิบายกลไก
00:18:53 → 00:18:56 ตรงนี้ให้เห็นภาพชัดๆอีกครั้งได้มั้ครับ
00:18:56 → 00:18:59 ฟังดูมันน่าสนใจแต่ก็ยังเอ่องงๆนิดหน่อย
00:18:59 → 00:19:00 ครับ
00:19:00 → 00:19:03 >> ได้เลยค่ะลองนึกภาพตามง่ายๆนะคะสมมุติเรา
00:19:04 → 00:19:07 กำลังจะทานมื้อเย็นเรารู้ดีว่าระดับน้ำ
00:19:07 → 00:19:09 ตาลในเลือดหลังมื้อเย็นจะขึ้นมากน้อยแค่
00:19:09 → 00:19:12 ไหนส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณ
00:19:12 → 00:19:15 อาหารที่เราทานในมื้อเย็นนั่นเองถ้าทาน
00:19:15 → 00:19:18 แต่ข้าวขาวล้วนๆหรือมันฝรั่งอบเยอะๆซึ่ง
00:19:18 → 00:19:21 เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีGอสูงน้ำตาลก็จะ
00:19:21 → 00:19:24 พุ่งสูงได้ง่ายแต่ถ้าเลือกทานเป็นถั่ว
00:19:24 → 00:19:27 เลนส์ทิ้วต้มในปริมาณพอเหมาะร่วมกับ
00:19:27 → 00:19:31 โปรตีนไขมันดีแล้วก็ผักใบเขียวมากๆน้ำตาล
00:19:31 → 00:19:34 ก็จะขึ้นน้อยกว่าอันนี้เป็นพื้นฐานที่เรา
00:19:34 → 00:19:35 เข้าใจกันดีนะคะ
00:19:35 → 00:19:37 >> ครับอันนี้พอเข้าใจได้ครับ
00:19:37 → 00:19:40 >> ทีนี้ Second M effect ความซับซ้อนอีก
00:19:40 → 00:19:44 ชั้นนึงค่ะมันบอกว่าการตอบสนองของน้ำตาล
00:19:44 → 00:19:47 ในมื้อเย็นไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาหารมื้อ
00:19:47 → 00:19:49 เย็นเพียงอย่างเดียวแต่มันยังได้รับ
00:19:50 → 00:19:52 อิทธิพลจากสิ่งที่เราทานในมื้อก่อนหน้า
00:19:52 → 00:19:56 ด้วยซึ่งในกรณีนี้ก็คือมื้อกลางวันโดย
00:19:56 → 00:19:58 เฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราทานคาร์โบไฮเดรตใน
00:19:58 → 00:20:02 มื้อกลางวันมันจะส่งผลช่วยทำให้ระดับน้ำ
00:20:02 → 00:20:05 ตาลในมื้อเย็นแม้ว่ามื้อเย็นอาจจะมี
00:20:05 → 00:20:08 คาร์โบไฮเดรตสูงก็ตามขึ้นน้อยลงเมื่อ
00:20:08 → 00:20:10 เทียบกับสถานการณ์ที่เราแทบไม่ทาน
00:20:10 → 00:20:12 คาร์โบไฮเดรตเลยในมื้อกลางวันค่ะ
00:20:12 → 00:20:16 >> เดี๋ยวนะครับที่บอกว่าการกินขาบในมื้อ
00:20:16 → 00:20:19 กลางวันช่วยให้การตอบสนองต่อน้ำตาลในมื้อ
00:20:19 → 00:20:23 เย็นดีขึ้นเอ่อฟังดูย้อนแย้งนิดๆนะครับ
00:20:23 → 00:20:26 ปกติเราคิดว่ายิ่งกินขาบน้อยยิ่งดีใช่
00:20:26 → 00:20:27 มั้ยครับ
00:20:27 → 00:20:29 >> ใช่ค่ะอาจจะฟังดูขัดกับความรู้สึกนิด
00:20:29 → 00:20:33 หน่อยแต่การศึกษาพบว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
00:20:33 → 00:20:35 แล้วไม่ใช่แค่คาร์โบไฮเดรตเท่านั้นนะคะ
00:20:35 → 00:20:38 การทานโปรตีนแล้วก็ใยอาหารที่เพียงพอใน
00:20:38 → 00:20:41 มื้อกลางวันก็แสดงให้เห็นว่ามีส่วนช่วยลด
00:20:41 → 00:20:44 ความรุนแรงของสปคในมื้อเย็นได้เช่นกันค่ะ
00:20:44 → 00:20:46 ดังนั้นหากเรารู้ล่วงหน้าว่ามื้อเย็นอาจ
00:20:46 → 00:20:48 จะต้องทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตค่อนข้าง
00:20:48 → 00:20:51 เยอะการวางแผนให้มื้อกลางวันมี
00:20:51 → 00:20:53 คาร์โบไฮเดรตอยู่บ้างร่วมกับโปรตีนและใย
00:20:53 → 00:20:56 อาหารก็อาจจะเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ช่วยได้
00:20:56 → 00:20:57 ค่ะ
00:20:57 → 00:21:00 >> โอ้น่าสนใจมากครับแสดงว่าร่างกายเรามีการ
00:21:00 → 00:21:02 ปรับตัวตามสิ่งที่ได้รับเข้าไปก่อนหน้า
00:21:02 → 00:21:06 จริงๆไปที่คำถามต่อไปเลยนะครับเราทราบกัน
00:21:06 → 00:21:09 ว่าน้ำส้มใส่ชูซึ่งมีกรดอะซิติกช่วยชะลอ
00:21:09 → 00:21:12 การขึ้นของน้ำตาลได้และพวกกรดชนิดอื่นๆ
00:21:12 → 00:21:15 ที่เราเจอในอาหารทั่วไปล่ะครับเช่นกรดจาก
00:21:15 → 00:21:18 มะนาวหรือกรดในของหมักดองมันมีผลคล้ายๆ
00:21:18 → 00:21:18 กันมั้ครับ
00:21:18 → 00:21:21 >> ค่ะเป็นประเด็นที่เม่าสนใจมากค่ะหนึ่งใน
00:21:21 → 00:21:24 กลไกที่เชื่อกันของน้ำส้มใสชูก็คือความ
00:21:24 → 00:21:27 เป็นกรดของมันไปรบกวนการทำงานของเอนไซม์
00:21:27 → 00:21:30 อไมเลสที่ใช้ย่อยคาร์โบไฮเดรตในปากและลำ
00:21:31 → 00:21:34 ไส้ทำให้การย่อยแป้งเป็นน้ำตาลช้าลงการ
00:21:34 → 00:21:36 ดูดซึมกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดจึงช้าตาม
00:21:37 → 00:21:40 ไปด้วยซึ่งตามหลักการนี้นะคะกรดอินทรีย์
00:21:40 → 00:21:42 หรืออรแกนic acid ชนิดอื่นๆก็น่าจะมีผล
00:21:42 → 00:21:45 คล้ายคลึงกันได้ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ
00:21:45 → 00:21:48 กรดซิริกcิricacซิดแล้วก็กรดิ ctic
00:21:48 → 00:21:49 acciid ค่ะ
00:21:49 → 00:21:52 >> กรดซิริกนี่ก็คือกรดที่ให้รสเปรี้ยวใน
00:21:52 → 00:21:54 มะนาวเลมอนใช่ไหมั้ครับ
00:21:54 → 00:21:57 >> ถูกต้องค่ะพบมากในผลไม้ตระกูลซิตรัสโดย
00:21:57 → 00:22:00 เฉพาะมะนาวและเลมอนแล้วก็พบในปริมาณน้อย
00:22:00 → 00:22:03 ลงมาในส้มหรือเกรปฟรุตมีงานวิจัยอย่าง
00:22:03 → 00:22:06 น้อย 2 ชิ้นนะคะที่ตีพิมพ์แล้วพบว่าการ
00:22:06 → 00:22:09 เติมน้ำมะนาวลงไปในมื้ออาหารสามารถช่วยลด
00:22:09 → 00:22:11 ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหารลงได้อย่างมี
00:22:11 → 00:22:15 นัยยะสำคัญค่ะดังนั้นคนที่อาจจะไม่ชอบรส
00:22:15 → 00:22:18 น้ำส้มสายชูแต่ชอบน้ำสลัดที่ปรุงรสมะนาว
00:22:18 → 00:22:21 ก็น่าจะคาดหวังผลในการช่วยลดสปได้ในระดับ
00:22:21 → 00:22:22 หนึ่งค่ะ
00:22:22 → 00:22:27 >> อืแล้วกรดแลคติกล่ะครับที่พบในพวกของหมัก
00:22:27 → 00:22:28 ดองต่างๆ
00:22:28 → 00:22:31 >> ค่ะกรดแลคติกเป็นผลผลิตจากขระบวนการหมัก
00:22:31 → 00:22:34 โดยแบคทีเรียในอาหารหลายชนิดเลยเช่น
00:22:34 → 00:22:38 กะหล่ำปลีดองแบบเยอรมันเซาครอกิมจิ
00:22:38 → 00:22:41 โยเกิร์ตหรือคีเฟอร์แต่น่าเสียดายที่ณ
00:22:41 → 00:22:44 ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยโดยตรงที่ทดสอบ
00:22:44 → 00:22:46 ว่าการเพิ่มอาหารหมากดองเหล่านี้เข้าไปใน
00:22:46 → 00:22:49 มื้ออาหารจะช่วยลดการตอบสนองของระดับน้ำ
00:22:49 → 00:22:51 ตาลในมื้อนั้นๆได้หรือไม่แต่ถ้าให้คาด
00:22:52 → 00:22:54 การณ์จากหลักการนะคะการทานกะหล่ำปลีดอง
00:22:54 → 00:22:57 หรือกินจิในปริมาณที่เหมาะสมควบคู่ไปกับ
00:22:57 → 00:23:00 อาหารที่มีแป้งก็มีความเป็นไปได้ค่ะที่จะ
00:23:00 → 00:23:03 ช่วยลดสปได้ส่วนนึงอาจจะมาจากความเป็นกรด
00:23:03 → 00:23:05 ของกรดแลคติกเองแล้วก็อีกส่วนหนึ่งก็มา
00:23:05 → 00:23:08 จากปริมาณใยอาหารที่ค่อนข้างสูงในผักดอง
00:23:08 → 00:23:10 เหล่านี้ด้วยค่ะ
00:23:10 → 00:23:13 >> ครับผมมาถึงคำถามที่อาจจะเชื่อมโยงหลายๆ
00:23:13 → 00:23:16 เรื่องเข้าด้วยกันครับคือเรื่องที่ว่าการ
00:23:16 → 00:23:18 ที่เรามี Blood Sugar Spike บ่อยๆเนี่ย
00:23:18 → 00:23:21 มันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเรากำลังมีภาวะ
00:23:21 → 00:23:24 ดื้ออินซูลิน Insulin Resistance อยู่
00:23:24 → 00:23:27 หรือเปล่าครับมันเกี่ยวข้องกันโดยตรงมั้ย
00:23:27 → 00:23:30 >> ค่ะคำตอบสำหรับคำถามนี้นะคะคือเรายังไม่
00:23:30 → 00:23:33 สามารถสรุปได้แน่ชัด 100% ว่าสาเหตุที่ทำ
00:23:33 → 00:23:36 ให้บางคนเกิดสปikeได้ง่ายกว่าคนอื่นคือ
00:23:36 → 00:23:38 อะไรกันแน่แต่มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอย่าง
00:23:38 → 00:23:41 หนึ่งคือในหลายๆคนที่ประสบปัญหาน้ำตาล
00:23:41 → 00:23:44 พุ่งสูงหลังอาหารลักษณะการขึ้นของน้ำตาล
00:23:44 → 00:23:47 มักจะเร็วมากคือระดับน้ำตาลเริ่มสูงขึ้น
00:23:47 → 00:23:49 อย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่ 15-30 นาทีหลัง
00:23:50 → 00:23:52 เริ่มทานอาหารซึ่งลักษณะการตอบสนองที่รวด
00:23:52 → 00:23:55 เร็วแบบนี้ไม่น่าจะใช่ผลโดยตรงจากภาวะ
00:23:55 → 00:23:58 ดื้ออินซูลินแบบที่เราเข้าใจกันทั่วไปค่ะ
00:23:58 → 00:24:02 >> อ้าวเหรอครับถ้าไม่ใช่ภาวะดื้ออินซูลิน
00:24:02 → 00:24:04 โดยตรงแล้วมันน่าจะเกิดจากอะไรได้บ้าง
00:24:04 → 00:24:06 ครับที่ทำให้น้ำตาลขึ้นเร็วขนาดนั้น
00:24:06 → 00:24:09 >> มีความเป็นไปได้หลักๆที่ถูกตั้งสมุติฐาน
00:24:09 → 00:24:12 ไว้ 2 อย่างค่ะอย่างแรกคืออาจจะเกี่ยว
00:24:12 → 00:24:14 ข้องกับอัตราการเคลื่อนตัวของอาหารออกจาก
00:24:14 → 00:24:17 กระเพาะอาหารที่เร็วผิดปกติหรือ
00:24:17 → 00:24:19 Accelerated Gastric empting ทำให้
00:24:19 → 00:24:22 อาหารถูกส่งไปย่อยและดุจซึมที่ลำไส้เล็ก
00:24:22 → 00:24:26 เร็วขึ้นหรืออย่างที่ 2 ซึ่งน่าสนใจมาก
00:24:26 → 00:24:27 และอาจเชื่อมโยงกับ second meal
00:24:27 → 00:24:30 effectect ที่เราคุยกันไปคืออาจเป็น
00:24:30 → 00:24:33 สัญญาณของสิ่งที่เรียกว่าการตอบสนองของ
00:24:33 → 00:24:37 อินซูลินในระยะแรกที่ช้าลงหรือ defect in
00:24:37 → 00:24:39 first phase insulin response ค่ะ
00:24:39 → 00:24:43 >> การตอบสนองของอินซูลินระยะแรกอันนี้เริ่ม
00:24:43 → 00:24:45 ซับซ้อนแล้วครับมันคืออะไรหรอครับ
00:24:45 → 00:24:48 >> ค่ะตามปกติแล้วนะคะเมื่อเราทานอาหารที่มี
00:24:48 → 00:24:51 กลูโคสเข้าไปร่างกายของเราโดยเฉพาะเซลล์
00:24:51 → 00:24:54 ในลำไส้และตับอ่อนจะตรวจจับการเปลี่ยน
00:24:54 → 00:24:57 แปลงนี้ได้อย่างรวดเร็วและภายในเวลาไม่
00:24:57 → 00:25:00 กี่นาทีเซลล์เบต้า Betells ในตับอ่อนจะ
00:25:00 → 00:25:02 ตอบสนองทันทีโดยการหลั่งอินซูลินที่มัน
00:25:03 → 00:25:05 สร้างและเก็บสะสมไว้ล่วงหน้าออกมาสู่
00:25:05 → 00:25:07 กระแสเลือดเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับน้ำ
00:25:07 → 00:25:10 ตาลที่กำลังจะถูกดูดซึมเข้ามานี่คือสิ่ง
00:25:10 → 00:25:12 ที่เราเรียกว่าการตอบสนองระยะแรกหรือ
00:25:12 → 00:25:15 First Phase Insulin Response ค่ะ
00:25:15 → 00:25:17 หลังจากนั้นเมื่อน้ำตาลเข้าสู่เลือดมาก
00:25:17 → 00:25:20 ขึ้นเรื่อยๆร่างกายก็จะค่อยๆสร้างและหลัง
00:25:20 → 00:25:22 อินซูลินเพิ่มออกมาอย่างต่อเนื่องเป็นการ
00:25:22 → 00:25:24 ตอบสนองระยะที่ 2 หรือ Second Phase
00:25:24 → 00:25:26 Insulin Response
00:25:26 → 00:25:29 >> อ๋อครับแล้วทำไมการตอบสนองในระยะแรกถึงมี
00:25:29 → 00:25:31 ความสำคัญเป็นพิเศษล่ะครับ
00:25:31 → 00:25:34 >> เพราะว่าการที่การตอบสนอง 2 ระยะแรกนี้บก
00:25:34 → 00:25:37 พร่องหรือแทบไม่มีเลยถือเป็นลักษณะสำคัญ
00:25:37 → 00:25:40 อย่างนึงที่พบในผู้ต่วยเบาหวานค่ะและ
00:25:40 → 00:25:43 เชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในสัญญาณเริ่มต้นของ
00:25:43 → 00:25:46 การที่ตับอ่อนเริ่มทำงานผิดปกติซึ่งอาจนำ
00:25:46 → 00:25:49 ไปสู่การเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ในอนาคต
00:25:49 → 00:25:52 นอกจากนี้นะคะยังมีอีกสถานการณ์หนึ่งที่
00:25:52 → 00:25:54 อาจทำให้การตอบสนองระยะแรกนี้ลดลงชั่ว
00:25:54 → 00:25:57 คราวได้นั่นคือการทานอาหารแบบ
00:25:57 → 00:26:01 คาร์โบไฮเดรตต่ำมากๆหรือโลคาบเป็นเวลานาน
00:26:01 → 00:26:03 หรือแม้กระทั่งการที่มื้ออาหารก่อนหน้ามี
00:26:03 → 00:26:06 ปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อยมากๆซึ่งตรงนี้ก็
00:26:06 → 00:26:08 เชื่อมโยงกลับไปที่ second effect นะค่ะ
00:26:09 → 00:26:11 ร่างกายจะปรับตัวโดยลดการสร้างและเก็บ
00:26:11 → 00:26:14 อินซูลินสำรองไว้พอเจอคาร์โบไฮเดรตในมื้อ
00:26:14 → 00:26:17 ถัดไปการตอบสนองระยะแรกจึงช้าลงหรือไม่
00:26:17 → 00:26:19 เพียงพออาจต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลาย
00:26:19 → 00:26:21 สัปดาห์ในการทานคาร์โบไฮเดรตอย่างสม่ำ
00:26:21 → 00:26:24 เสมอเพื่อให้การตอบสนองระยะแรกกลับมาทำ
00:26:24 → 00:26:27 งานได้เต็มที่อีกครั้งหลังจากที่ทานโลคาบ
00:26:27 → 00:26:28 มานานค่ะ
00:26:28 → 00:26:31 >> โอ้โหฟังดูซับซ้อนเหมือนกันนะครับแล้วคน
00:26:31 → 00:26:34 ทั่วไปอย่างเราจะรู้ได้อย่างไรครับว่าการ
00:26:34 → 00:26:37 ตอบสนองระยะแรกของเรายังปกติดีอยู่ไหม
00:26:37 → 00:26:40 >> ค่ะสำหรับคนทั่วไปแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
00:26:40 → 00:26:43 ค่ะพี่จะทราบเพราะต้องอาศัยการทดสอบพิเศษ
00:26:43 → 00:26:46 ทางการแพทย์แต่ลองนึกภาพตามง่ายๆนะคะถ้า
00:26:46 → 00:26:49 คนที่มีการตอบสนองระยะแรกบกพร่องอยู่ไม่
00:26:49 → 00:26:51 ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามไปทานอาหารที่มี
00:26:51 → 00:26:54 คาร์โบไฮเดรตสูงและมี G สูงในปริมาณมาก
00:26:55 → 00:26:57 โดยไม่มีโปรตีนไขมันหรือใยอาหารมาช่วย
00:26:57 → 00:27:00 ชะลอการดูดซึมเลยก็มีแนวโน้มสูงมากที่จะ
00:27:01 → 00:27:03 เกิดสปคอย่างรวดเร็วและรุนแรงเพราะ
00:27:03 → 00:27:06 อินซูลินที่ควรจะออกมาจัดการตั้งแต่นั้น
00:27:06 → 00:27:08 มันออกมาไม่ทันหรือไม่พอในตอนแรกค่ะ
00:27:08 → 00:27:12 >> อืมถ้างั้นสำหรับคนที่กังวลเรื่องสปikeก็
00:27:12 → 00:27:15 ควรจะเน้นไปที่การใช้กลยุทธ์ต่างๆเพื่อ
00:27:15 → 00:27:18 ชะลอการย่อยและการดูดซึมกลูโคสเช่นการทาน
00:27:18 → 00:27:22 โปรตีนไขมันใยอาหารหรือแม้กระทั่งการใช้
00:27:22 → 00:27:25 น้ำส้มสายชูหรือน้ำมะนาวร่วมด้วยควบคู่ไป
00:27:26 → 00:27:28 กับพยายามส่งเสริมให้การตอบสนองระยะแรกทำ
00:27:28 → 00:27:30 งานได้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้
00:27:30 → 00:27:33 >> ในมื้ออาหารก่อนหน้าอยู่บ้านตามหลักของ
00:27:33 → 00:27:36 Second M effect นั่นเองค่ะเพื่อเป็น
00:27:36 → 00:27:38 การกระตุ้นให้เซลล์เบต้าเตรียมพร้อมสร้าง
00:27:38 → 00:27:41 อินซูลินสำรองไว้เสมอย้ำว่านี่ไม่ได้หมาย
00:27:42 → 00:27:44 ความว่าต้องทานไคาฟตลอดเวลานะคะแค่การมี
00:27:44 → 00:27:47 คาร์โบไฮเดรตอย่างสม่ำเสมอในระดับนึงจะ
00:27:47 → 00:27:48 ช่วยให้ร่างกายพร้อมรับมือกับ
00:27:48 → 00:27:51 คาร์โบไฮเดรตในมื้อถัดไปได้ดีขึ้นสำหรับ
00:27:51 → 00:27:54 คนที่เลือกทันlowฟก็ควรตระหนักไว้ว่าหาก
00:27:54 → 00:27:57 มีบางมื้อที่อาจจะทันาฟมากกว่าปกติก็อาจ
00:27:57 → 00:28:00 จะสปคได้ง่ายกว่าก็ควรใช้กลยุทธ์อื่นๆ
00:28:00 → 00:28:03 เช่นการทานโปรตีนไขมันร่วมด้วยหรือลำดับ
00:28:03 → 00:28:06 การทานอาหารมาช่วยเสริมหรือไม่ก็ต้องทาน
00:28:06 → 00:28:10 โลคอย่างสม่ำเสมอจริงๆแต่ที่สำคัญคือต้อง
00:28:10 → 00:28:12 ไม่ลืมว่าการเกิดสปคหรือไม่ไม่ได้เป็นตัว
00:28:13 → 00:28:15 ชี้วัดโดยตรงว่าใครดื้ออินซูลินหรือไม่นะ
00:28:16 → 00:28:16 คะ
00:28:16 → 00:28:19 >> ชัดเจนเลยครับมาถึงคำถามสุดท้ายแล้วครับ
00:28:19 → 00:28:23 เรื่องนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กันเลยคือมันมี
00:28:23 → 00:28:26 ความเชื่อมโยงกันมครับระหว่างการที่น้ำ
00:28:26 → 00:28:29 ตาลพุ่งสูงปริ๊ดหลังอาหารกับอาการที่บาง
00:28:29 → 00:28:33 คนรู้สึกเหมือนน้ำตาลตาลตกน้ำมืดวิงเวียน
00:28:33 → 00:28:36 หรือหิวโซตามมาหาจากนั้นไม่นาน
00:28:36 → 00:28:38 >> มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรงเลยค่ะภาวะนี้
00:28:39 → 00:28:42 ทางการแพทย์เรียกว่า reactive hyplyซemia
00:28:42 → 00:28:45 หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังอาหารกลไก
00:28:45 → 00:28:47 มันต่อเนื่องมาจากการตอบสนองของอินซูลิน
00:28:47 → 00:28:50 ที่เราคุยกันไปตะกี้นี้เลยค่ะอย่างที่บอก
00:28:50 → 00:28:53 ว่าสปikeที่รุนแรงอาจเกิดจากอินซูลินระยะ
00:28:53 → 00:28:57 แรกออกมาไม่ทันหรือออกมาน้อยเกินไปเมื่อ
00:28:57 → 00:29:00 ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นไปมากๆร่าง
00:29:00 → 00:29:03 กายก็จะพยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการหลั่ง
00:29:03 → 00:29:06 อินซูลินออกมาอย่างมหาศาลในระยะที่ 2
00:29:06 → 00:29:09 เพื่อดึงระดับน้ำตาลที่สูงผิดปกตินั้นลง
00:29:09 → 00:29:10 มาให้ได้ค่ะ
00:29:10 → 00:29:12 >> อ๋อแล้วอินซูลินที่หลั่งออกมาเยอะเกินไป
00:29:12 → 00:29:15 ในระยะที่ 2 นี่เองที่เป็นตัวการทำให้
00:29:15 → 00:29:18 ระดับน้ำตาลมันดิ่งลงต่ำกว่าปกติ
00:29:18 → 00:29:22 >> ถูกต้องค่ะบางครั้งการตอบสนองในระยะที่ 2
00:29:22 → 00:29:25 นี้มันก็รุนแรงเกินไปหรืออินซูลินทำงาน
00:29:25 → 00:29:28 ได้ดีเกินคาดทำให้มันดึงระดับน้ำตาลใน
00:29:28 → 00:29:31 เลือดลงมาเร็วและแรงจนกระทั่งต่ำกว่า
00:29:31 → 00:29:35 เกณฑ์ปกติโดยทั่วไปคือต่ำกว่า 70 mgl
00:29:35 → 00:29:38 ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการของภาวะน้ำตาลตกต่ำ
00:29:38 → 00:29:40 มาโดยอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นภายใน
00:29:40 → 00:29:43 ช่วงเวลาประมาณ 45 นาที -2 ชมงหลังจากทาน
00:29:43 → 00:29:45 อาหารมื้อที่กระตุ้นให้เกิดสปikeไปแล้ว
00:29:46 → 00:29:46 ค่ะ
00:29:46 → 00:29:49 >> แล้วอาการของ reactive ไฮปโปไกซีemiaนี่
00:29:49 → 00:29:51 มันเป็นอย่างไรบ้างครับพอจะสังเกตได้
00:29:51 → 00:29:52 อย่างไรบ้าง
00:29:52 → 00:29:55 >> ค่ะถ้าระดับน้ำตาลเริ่มต่ำกว่าประมาณ 60
00:29:55 → 00:29:59 mgdl มักจะเริ่มมีอาการที่รู้สึกได้ชัด
00:29:59 → 00:30:03 ชัดเจนค่ะเช่นรู้สึกใจสั่นเวียนศีรษะมือ
00:30:03 → 00:30:07 สั่นเหงื่อออกกระสับกระส่ายรู้สึกวิตก
00:30:07 → 00:30:10 กังวลและที่เด่นชัดมากๆคือจะรู้สึกหิว
00:30:10 → 00:30:13 อย่างรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากทานของ
00:30:13 → 00:30:15 หวานๆหรืออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงๆทัน
00:30:16 → 00:30:19 ทีซึ่งเป็นกลไกของร่างกายที่พยายามจะหา
00:30:19 → 00:30:22 แหล่งพลังงานมาเติมน้ำตาลที่ต่ำลงไปเป็น
00:30:22 → 00:30:25 ภาวะที่ไม่พึงประสงค์และอาจเป็นอันตราย
00:30:25 → 00:30:28 ได้ถ้าระดับน้ำตาลต่ำลงไปมากๆมีตัวอย่าง
00:30:28 → 00:30:31 จากแหล่งข้อมูลที่เราศึกษาคือมีภาท่าน
00:30:31 → 00:30:33 หนึ่งประสบกับอาการเหล่านี้เป็นประจำหลัง
00:30:33 → 00:30:36 มื้ออาหารมานานหลายปีโดยไม่ทราบสาเหตุจน
00:30:36 → 00:30:39 กระทั่งได้ลองใช้เครื่อง CGM จึงค้นพบว่า
00:30:39 → 00:30:42 อาการน้ำตาลตกที่เกิดขึ้นนั้นสัมพันธ์กับ
00:30:42 → 00:30:44 การเกิดภาวะน้ำตาลพุ่งสูงมากๆหรือสปท.
00:30:44 → 00:30:46 ก่อนหน้าเสมอเลยค่ะ
00:30:46 → 00:30:49 >> โอ้โหแสดงว่าถ้าใครเคยมีประสบการณ์หรือ
00:30:49 → 00:30:52 สังเกตตัวเองว่ามีอาการคล้ายๆแบบนี้เช่น
00:30:52 → 00:30:57 วิงเวียนใจสั่นหิวโซหลังทานอาหารโดยเฉพาะ
00:30:57 → 00:30:59 มือที่มีคาร์โบฮินเรตเยอะๆก็อาจจะต้อง
00:30:59 → 00:31:03 สงสัยภาวะreีactivehyฮyปไลซีเมียนี้และ
00:31:03 → 00:31:06 การหันมาใช้กลยุทธ์ต่างๆที่เราคุยกัน
00:31:06 → 00:31:08 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสไปท์ที่รุนแรง
00:31:08 → 00:31:10 ตั้งแต่แรกก็น่าจะเป็นการช่วยลดความ
00:31:10 → 00:31:13 เสี่ยงของอาการน้ำตาลตกที่อาจได้ด้วย
00:31:13 → 00:31:16 >> ใช่เลยค่ะถือเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
00:31:16 → 00:31:18 โดยตรงเลยทีเดียวค่ะ
00:31:18 → 00:31:21 >> โอ้โหวันนี้เราได้เจาะลึกคำถามสำคัญๆคัญ
00:31:21 → 00:31:23 ที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับ Blood Sugar
00:31:23 → 00:31:25 Spikes กันไปครบถ้วนเลยนะครับตั้งแต่
00:31:26 → 00:31:28 เรื่องความน่ากังวลจริงๆของมันการเปรียบ
00:31:28 → 00:31:31 เทียบกับการทาน Low Cฟความเข้าใจที่ถูก
00:31:31 → 00:31:33 ต้องเกี่ยวกับ Retrogradation และ Second
00:31:34 → 00:31:36 M effect ถึงเรื่องกรดชนิดอื่นๆที่อาจ
00:31:37 → 00:31:40 มีประโยชน์ความสัมพันธ์ที่เอ่อซับซ้อนกับ
00:31:40 → 00:31:43 การตอบสนองของอินซูลินและปิดท้ายด้วยภาวะ
00:31:43 → 00:31:45 น้ำตาลตกหลังอาหารที่เกี่ยวเนื่องกัน
00:31:45 → 00:31:48 >> ค่ะก็หวังว่าข้อมูลที่เราคุยกันในวันนี้
00:31:48 → 00:31:51 จะเป็นประโยชน์นะคะช่วยให้เราเข้าใจกลไก
00:31:51 → 00:31:54 ในร่างกายของตัวเองแล้วก็ผลกระทบจากอาหาร
00:31:54 → 00:31:57 ที่เราเลือกทานได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นแต่
00:31:57 → 00:32:00 สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการนำความรู้นี้ไป
00:32:00 → 00:32:03 ปรับใช้อย่างสมเหตุสมผลและสมดุลนะคะไม่
00:32:03 → 00:32:05 จำเป็นต้องถึงกับเคร่งเครียดหรือหมกมุ่น
00:32:05 → 00:32:08 กับตัวเลขทุกครั้งที่ทานอาหารเป้าหมาย
00:32:08 → 00:32:10 ระยะยาวคือการมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน
00:32:10 → 00:32:11 นะคะ
00:32:11 → 00:32:14 >> ใช่เลยครับลองนำประเด็นต่างๆที่เราคุยกัน
00:32:14 → 00:32:17 วันนี้ไปลองสังเกตตัวเองดูนะครับหรือหาก
00:32:17 → 00:32:20 มีข้อกังวลเกี่ยวกับสุขภาพโดยตรงการ
00:32:20 → 00:32:22 ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก็ยังเป็นทาง
00:32:22 → 00:32:24 เลือกที่ดีที่สุดเสมอครับ
00:32:24 → 00:32:27 >> ค่ะและก่อนจะจากกันไปในวันนี้ดิฉันอยากจะ
00:32:27 → 00:32:30 ทิ้งท้ายด้วยคำถามชวนคิดเล็กน้อยค่ะจาก
00:32:30 → 00:32:32 ที่เราได้เห็นว่าปรากฏการณ์อย่าง second
00:32:32 → 00:32:34 meal effectเฟectหรือการปรับตัวของการ
00:32:34 → 00:32:38 ตอบสนองอินซูลินระยะแรกนั้นมันเปลี่ยน
00:32:38 → 00:32:41 แปลงได้ตามลักษณะอาหารที่เราทานก่อนหน้า
00:32:41 → 00:32:43 มันทำให้เราอาจจะต้องกลับมาคิดทบทบทวนมั้
00:32:43 → 00:32:46 คะว่าบางทีความสม่ำเสมอในรูปแบบการทาน
00:32:46 → 00:32:49 อาหารของเราไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตามที่
00:32:49 → 00:32:52 เราเลือกอาจจะมีบทบาทสำคัญต่อการรักษา
00:32:52 → 00:32:55 สมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดโดยรวมมากกว่า
00:32:55 → 00:32:57 ที่เราเคยให้ความสำคัญกับมันเสียอีก
00:32:57 → 00:33:01 >> อืมเป็นประเด็นที่น่าสนใจให้เราได้นำไปขบ
00:33:01 → 00:33:04 คิดต่อยอดกันจริงๆครับสำหรับวันนี้ขอบคุณ
00:33:04 → 00:33:07 สำหรับการติดตามการเจาะลึกข้อมูลสุขภาพ
00:33:07 → 00:33:09 ที่น่าสนใจนะครับแล้วพบกันใหม่ในครั้งต่อ
00:33:09 → 00:33:12 ไปสวัสดีครับ
00:33:12 → 00:33:29 [เพลง]