00:00:00 → 00:00:02 ถ้าเราสู้อย่างเดียวแล้วเราไม่พักอ่ะร่าง
00:00:02 → 00:00:05 กายจะพังเพราะมันผิดธรรมชาติเขาไม่ได้ถูก
00:00:05 → 00:00:08 สร้างมาแบบนั้นพลังงานก็คือตัวเรานี่แหละ
00:00:08 → 00:00:11 พลังงานที่สอดคล้องอ่ะก็คือสุขภาพที่ดี
00:00:11 → 00:00:13 ถ้าพลังงานข้างในเราเป็นยังไงอ่ะเราก็จะ
00:00:13 → 00:00:16 เลือกสิ่งที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์หรือว่า
00:00:16 → 00:00:19 ชีวิตของเราเราไม่รู้ว่าเราอยู่ในสิ่งแวด
00:00:19 → 00:00:22 ล้อมที่เป็นผิษหรือว่าอยู่ในสถานการณ์
00:00:22 → 00:00:24 ความเครียดเพราะความเครียดอ่ะดันเป็นเรา
00:00:24 → 00:00:28 ไปเลยเราชินกับความเครียดไปแล้วนิสัยเกิด
00:00:28 → 00:00:31 จากสิ่งที่เราคิดสิ่งที่เราคิดนำมาสู่
00:00:31 → 00:00:34 สิ่งที่เรารู้สึกสิ่งที่เรารู้สึกนำมาสู่
00:00:34 → 00:00:36 สิ่งที่เราลงมือทำพอเราลงมือทำซ้ำๆอ่ะมัน
00:00:36 → 00:00:40 กลายเป็นนิสัยเป็นบุคลิกภาพและกลายเป็น
00:00:40 → 00:00:43 โชคชะตาของเราถ้ามีวันใดที่เริ่มที่จะ
00:00:43 → 00:00:47 เปลี่ยนเรารู้สึก
00:00:47 → 00:00:53 ว่าเกลาแก้โรคเกลานิสัยห่างไกล
00:00:53 → 00:00:57 โรคสวัสดีค่ะยินดีต้อนรับเข้าสู่รายการ
00:00:57 → 00:01:00 เกลาแก้โรคค่ะทุกท่านเคยได้ยินยคะว่าคน
00:01:00 → 00:01:02 ที่พลังงานดีๆเนี่ยเามักจะสุขภาพดีกัน
00:01:02 → 00:01:05 หรือเราจะเคยเห็นผู้หลักผู้ใหญ่นะคะที่
00:01:05 → 00:01:07 อายุยืนเนี่ยท่านก็มักจะเวลาที่เราไปอยู่
00:01:07 → 00:01:09 ใกล้เนี่ยเราจะรู้สึกรับรู้ได้ถึงพลังงาน
00:01:09 → 00:01:12 เย็นๆสบายๆไม่ร้อนรุ่มเดี๋ยววันนี้แพนด้า
00:01:12 → 00:01:15 ว่าเรามาหาคำตอบกันดีกว่าค่ะว่าพลังงาน
00:01:15 → 00:01:17 กับสุขภาพเนี่ยเขาเกี่ยวข้องกันยังไงแล้ว
00:01:17 → 00:01:20 วันนี้นะคะแพนด้าก็อยู่กับคุณหมอท่านนึง
00:01:20 → 00:01:22 เป็นคุณหมอที่สวยมากแล้วก็น่าจะให้คำตอบ
00:01:22 → 00:01:25 ได้ดีมากๆด้วยก็คือคุณหมอฟ้าจากเพจหมอฟ้า
00:01:25 → 00:01:28 สมาธิสาสตร์สวัสดีค่ะสวัสดีค่ะสวัสดีค่ะ
00:01:28 → 00:01:31 น้องแพนด้าเป็นยังไงบ้างคะตื่นเต้นมั้ยคะ
00:01:31 → 00:01:34 ตื่นเต้นค่ะปกติพูดคนเดียวอ่าวันนี้อ๋อ
00:01:35 → 00:01:37 นับเป็นคนมั้ยคะับเป็นค่ะเป็นนะโอเควัน
00:01:37 → 00:01:40 นี้ได้คุยกับคนแล้วอโอเคค่ะเอค่ะทีนี้
00:01:40 → 00:01:43 อย่างที่แพนด้าเกริ่นไปเนาะว่าเออทำไมคน
00:01:44 → 00:01:47 บางคนที่เขาพลังงานดีๆเนี่ยเามีสุขภาพดี
00:01:47 → 00:01:49 อยากรู้ว่าจริงๆแล้วเรื่องพลังงานกับ
00:01:49 → 00:01:52 สุขภาพเนี่ยค่ะเขาเกี่ยวข้องกันมั้ยคะบาง
00:01:52 → 00:01:54 ทีอ่ะเราไปพูดคำว่าพลังงานอ่ะเราก็จะนึก
00:01:55 → 00:01:57 ถึงอะไรที่มันแบบออกจากตัวเราอ่ะค่ะแต่
00:01:57 → 00:02:00 จริงๆแล้วอ่ะพลังงานคือการเคลื่อนไหวใน
00:02:00 → 00:02:03 ร่างกายเราอ่ะอะไรที่มันเป็นการเคลื่อน
00:02:03 → 00:02:07 ไหวมีการเข้ามีการออกมีการหมุนเวียนเช่น
00:02:07 → 00:02:10 ลมหายใจหรือว่าการเต้นของหัวใจเห็นมั้ยคะ
00:02:10 → 00:02:13 จริงๆแล้วอ่ะพลังงานก็คือตัวเรานี่แหละ
00:02:13 → 00:02:16 พลังงานที่สอดคล้องอ่ะก็คือสุขภาพที่ดีพอ
00:02:16 → 00:02:18 เวลาที่เราพูดถึงพลังงานอยากให้ทุกคนแบบ
00:02:18 → 00:02:21 หรือว่าน้องแพนด้าค่อยๆจินตนาการถึงสิ่ง
00:02:21 → 00:02:23 ที่เคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายเราเออเราจะ
00:02:23 → 00:02:25 ได้แบบรู้ว่าอ๋อจริงๆมันก็คือตัวเรานี่
00:02:25 → 00:02:28 แหละคือลมหายใจของเราคือเซลล์ของเราคือ
00:02:28 → 00:02:31 ร่างกายของเราอือืคือมันอยู่ในเนื้อในตัว
00:02:32 → 00:02:35 ใช่อยู่ในเนื้อในตัวไอ้แสดงว่าก็มีส่วน
00:02:35 → 00:02:37 เกี่ยวข้องกับเรื่องของสุขภาพโดยตรงเลย
00:02:37 → 00:02:40 มั้ยคะอย่างงี้อ่าเกี่ยวข้องโดยตรงมั้ย
00:02:40 → 00:02:42 อันนี้ไอพี่อาจจะเล่าจากประสบการณ์แล้ว
00:02:42 → 00:02:46 กันค่ะลองนึกถึงเวลาที่เราเครียดเราก็จะ
00:02:46 → 00:02:49 ไปกินอะไรที่มันไม่ไม่ได้เป็นสุขภาพอ่ะ
00:02:49 → 00:02:51 อาจจะทานน้ำตาลเยอะหรือว่าทานอาหาร
00:02:51 → 00:02:55 ฟาสฟู้ดเราจะเลือกตามสิ่งที่ข้างในเรา
00:02:55 → 00:02:57 เป็นก็คือสุขภาพเราเป็นแบบไหนเราก็จะ
00:02:57 → 00:03:00 เลือกแบบนั้นเพราะฉะนั้นน่ะค่ะถ้าพลังงาน
00:03:00 → 00:03:02 ข้างในเราเป็นยังไงอ่ะเราก็จะเลือกสิ่ง
00:03:02 → 00:03:05 ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์หรือว่าชีวิตของ
00:03:05 → 00:03:07 เราออุยแต่ถ้าสมมุติว่าเราเถียงแทนบางคน
00:03:07 → 00:03:10 ที่บอกว่าอาหารจังฟหรือแบบช็อกโกแลตหรือ
00:03:10 → 00:03:13 น้ำตาลเป็นอาหารที่ดีสำหรับเขานะเพราะว่า
00:03:13 → 00:03:15 ช่วยฮิวใจเขาได้เลยอย่างเงี้ยอ่าอันนี้
00:03:15 → 00:03:18 อาจจะต้องตอบด้วยแบบสารเคมีในสมองจริงๆ
00:03:18 → 00:03:20 แล้วอ่ะคำว่าดีสำหรับเขาถูกต้องแล้วนะคะ
00:03:20 → 00:03:23 ท้องแพนด้าเพราะว่าเขาชินอือ่ามันเป็นสาร
00:03:23 → 00:03:26 เคมีในร่างกายของเขาอ่ะชินกับสิ่งนี้เขา
00:03:26 → 00:03:28 ก็เลยเลือกสิ่งนี้เออเหมือนแบบบางคนที่
00:03:28 → 00:03:31 กินชานมไข่เคยเห็นมั้ยนางก็จะต้องแบบกิน
00:03:31 → 00:03:34 ทุกวันเพราะว่าเรากำลังเสพติดสารเคมีใน
00:03:34 → 00:03:37 สมองหรือว่าสารเคมีในร่างกายของเราอือ๋อ
00:03:37 → 00:03:40 เวลาเรากินอะไรที่เรารู้สึกว่าอร่อยหรือ
00:03:40 → 00:03:43 เป็นน้ำตาลน้ำหวานอะไรพวกเนี้ยคือเราชอบ
00:03:43 → 00:03:46 กินแต่ไม่ได้หมายความว่าเราติดที่รสชาติ
00:03:46 → 00:03:48 มันหรอค่ะจริงๆมันเกิดจากความเครียดค่ะใน
00:03:48 → 00:03:51 ร่างกายเราอ่ะมันจะมีฮอร์โมนฮอร์โมนคือ
00:03:51 → 00:03:54 สิ่งที่มันแบบไหลเวียนในร่างกายเรา E ก็
00:03:54 → 00:03:56 คือพลังงานนี่แหละทีเนี้เวลาที่เราอ่ะรู้
00:03:56 → 00:03:58 สึกเครียดใช่่มยเวลาเรารู้สึกเครียดเราจะ
00:03:58 → 00:04:00 หลังแสนเคมีอย่าเช่นคอร์ติซอลเข้ามาพอ
00:04:01 → 00:04:03 คอร์ติซอลเข้ามาปุ๊บเราเครียดเราก็เลย
00:04:03 → 00:04:06 ต้องการน้ำตาลมามาเหมือนสนองนความเครียด
00:04:06 → 00:04:08 อ่ะเพราะฉะนั้นน่ะค่ะเวลาเสพติดอ่ะเราเสพ
00:04:08 → 00:04:12 ติดคอร์ติซอลออค่ะเสพติดสารเคมีแห่งความ
00:04:12 → 00:04:15 เครียดนั้นและเราอ่ะก็เลยเอาความหวานมา
00:04:15 → 00:04:18 ตอบสนองความเครียดนั้นจริงๆเรากำลังเสพ
00:04:18 → 00:04:22 ติดสารเคมีนี้มากกว่าค่ะอค่ะโน่าสนใจมากๆ
00:04:22 → 00:04:24 เลยแล้วเดี๋ยวมีบางคำถามที่มันได้อยากถาม
00:04:24 → 00:04:27 อ่ะถามไว้ก่อนดีกว่าคืออยากรู้ว่าแล้ว
00:04:27 → 00:04:30 อย่างคิอคือเราเสพติดใช่มั้ยคคะแต่ว่าถ้า
00:04:30 → 00:04:33 สมมุติเรารู้แล้วเนี่ยแต่เรายังมันคงจะ
00:04:33 → 00:04:36 หักดิบไม่ได้แต่ถ้าเราจะหักดิบเรามีวิธี
00:04:36 → 00:04:38 ยังไงบ้างแต่อย่าเพิ่งตอบนะคะเดี๋ยวไป
00:04:38 → 00:04:41 เรื่อยๆอยากให้ทุกท่านอยู่ฟังจนถึงนาที
00:04:41 → 00:04:44 นั้นที่คุณหมอตอบอ่าโอเคค่ะอย่างเมื่อกี้
00:04:44 → 00:04:46 ค่ะคุณหมอบอกว่าเฮ้ยบางครั้งนี่พอเรา
00:04:46 → 00:04:49 เครียดร่างกายก็เลยต้องการน้ำตาลอาจจะมี
00:04:49 → 00:04:52 บางคนที่เขาบอกว่าไม่ไม่ได้เครียดเลยแต่
00:04:52 → 00:04:56 แค่ชอบกินหวานเฉยๆมันเกี่ยวยังไงกับรงยัง
00:04:56 → 00:04:58 ไงเอาพูดจากประสบการณ์ฟันละกันค่ะจริงๆ
00:04:58 → 00:05:01 อ่ะการกินหวานวันเดียวอ่ะไม่เป็นไรรแต่
00:05:01 → 00:05:05 เราต้องดูว่าเราอ่ะติดเาไหมติดอ่ะคือเสพ
00:05:05 → 00:05:08 ติดหมายความว่าถ้าเรากินหวานแบบเอ้ยนิดๆ
00:05:08 → 00:05:10 หน่อยๆแล้วเรารู้สึกว่าเราแบบไม่มีเก็ได้
00:05:10 → 00:05:14 เอันนั้นคือการแบบกินหวานแต่ต้องกินทุก
00:05:14 → 00:05:17 วันหรือว่าเราจะต้องแบบกินกาแฟทุกวันกิน
00:05:17 → 00:05:19 หวานทุกวันนี่คือการแบบเสพติดค่ะฉะนั้น
00:05:19 → 00:05:22 แยกที่การเหมือนกับต้องได้รับมันทุกวันไม
00:05:22 → 00:05:24 ถ้าไม่ได้รับแล้วเรารู้สึกยังไงเรารู้สึก
00:05:24 → 00:05:26 กระวนกระวายมยที่จะต้องได้รับสิ่งนั้น
00:05:26 → 00:05:28 อะไรอย่างเงี้ยโอจริงๆถ้าคุยเรื่องนี้
00:05:28 → 00:05:31 เนี่ยอาจจะไม่จบได้เพราะว่าจริงๆก็มี
00:05:31 → 00:05:33 พฤติกรรมของผู้ใหญ่หลายๆท่านออย่างคุณพ่อ
00:05:34 → 00:05:37 คุณแม่ที่แบบตื่นเช้ามาก็จะมีการกินกาแฟ
00:05:37 → 00:05:40 อ่าก็คือก็กินเป็นกิจวัตรอ่ะค่ะคืออย่าง
00:05:40 → 00:05:43 งี้ค่ะคือร่างกายเราอ่ะมันจะมีกระบวนการ
00:05:43 → 00:05:47 ในการทำให้เราอยู่กับสิ่งนั้นได้เช่นเคย
00:05:47 → 00:05:50 เดินเข้าไปในห้องที่มันเหม็นสีมมหรือว่า
00:05:51 → 00:05:53 เดินเข้าไปในห้องที่แบบว่ามีกลิ่นขยะห
00:05:53 → 00:05:55 กลิ่นเหม็นอะไรอย่างเงี้ยตอนแรกเราจะรู้
00:05:55 → 00:05:57 สึกว่ามันเหม็นแต่พอเราอยู่ไปสักพักนึง
00:05:57 → 00:06:00 อ่ะสิ่งที่เกิดขึ้นคือเราจะชินเพราะเรา
00:06:00 → 00:06:03 รู้สึกว่าเราอยู่กับเขาได้อันนี้คือกลไก
00:06:03 → 00:06:06 ร่างกายเพื่อให้เราอ่ะอยู่รอดเพราะฉะนั้น
00:06:06 → 00:06:09 ในวันที่เราเครียดตอนแรกเราจะรู้สึกว่า
00:06:09 → 00:06:11 มันเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตมากเอ้ยฉันมาทำ
00:06:11 → 00:06:14 งานที่เนี่ยแบบทำงานตลอดตั้งแต่เช้าจลด
00:06:14 → 00:06:16 เย็นมันเป็นแบบเรื่องเครียดอ่ะแต่ถ้าเกิด
00:06:16 → 00:06:19 ผ่านไปสักพักอ่ะเราจะรู้สึกว่ามันอยู่ได้
00:06:19 → 00:06:23 เพราะร่างกายมีกระบวนการแบบโสติคือกระบวน
00:06:23 → 00:06:26 การรักษาสมดุลเพื่อให้เราอยู่กับสิ่งนั้น
00:06:26 → 00:06:28 ได้เพราะฉะนั้นเนี่ยสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
00:06:28 → 00:06:32 บางทีอ่ะเราไม่รู้ว่าเราอยู่ในสิ่งแวด
00:06:32 → 00:06:35 ล้อมที่เป็นพิษหรือว่าอยู่ในอะไรที่มัน
00:06:35 → 00:06:37 แบบอยู่ในสถานการณ์ความเครียดเพราะความ
00:06:37 → 00:06:40 เครียดอ่ะดันเป็นเราไปแล้วเราชินกับความ
00:06:40 → 00:06:43 เครียดไปแล้วอ่ะค่ะเออเราอยู่กับสิ่งนั้น
00:06:43 → 00:06:45 ได้เราอยู่กับกลิ่นสีในห้องนั้นได้ไปแล้ว
00:06:45 → 00:06:48 อ่ะมันก็เลยไม่ได้ทุกข์ไม่ได้ร้อนจนบางที
00:06:48 → 00:06:50 เราอาจจะต้องแยกแกะว่าเฮ้ย 1 เราไม่ได้
00:06:51 → 00:06:53 เครียดหรือว่า 2 จริงๆเราเครียดแล้วเรา
00:06:53 → 00:06:55 ไม่รู้เพรางั้นสิ่งที่เราจะรู้ได้เราต้อง
00:06:55 → 00:06:58 ดูจากพฤติกรรมค่ะแล้วก็กลับมาจับความรู้
00:06:58 → 00:07:00 สึกอาจจะต้องเปรียบเทียบอ่ะถ้าเกิดว่าเรา
00:07:00 → 00:07:02 เครียดดนนชิ้นใช่มเราลองแบบไปเที่ยวอ่ะ
00:07:02 → 00:07:05 หรือว่าทำตัวที่แบบสบายๆอ่ะแล้วความรู้
00:07:05 → 00:07:08 สึกมันต่างกันมถ้ามันต่างกันเราถึงจะวัด
00:07:08 → 00:07:11 ได้ว่าเออจริงๆแล้วฉันชินกับความเครียดนะ
00:07:11 → 00:07:13 เพราะว่าวัดในตอนที่เขาเครียดอ่ะมันไม่
00:07:13 → 00:07:17 รู้อ่ะเราอยู่สิ่งนั้นจนชินไปแล้วอ่ะอือ
00:07:17 → 00:07:20 ค่ะก็เป็นวิธีนึงที่เราจะสามารถเช็คได้
00:07:20 → 00:07:22 ว่าเฮ้ยเรากำลังชินกับความเครียดหรรือ
00:07:22 → 00:07:25 เปล่าคือลองพาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อม
00:07:25 → 00:07:28 ที่สบายๆขึ้นหรือว่าแตกต่างที่แตกต่างจาก
00:07:28 → 00:07:32 ที่เราชินใช่คามรึใช่หรือง่ายๆนะถ้ารู้
00:07:32 → 00:07:35 สึกว่ามีวันหยุดอ่ะค่ะแล้วรู้สึกว่าฉันจะ
00:07:35 → 00:07:39 ต้องไปหาธรรมชาติฉันจะต้องพักวันหยุดแสดง
00:07:39 → 00:07:41 ว่าจริงๆแล้วที่ที่เราอยู่อ่ะร่างกายเขา
00:07:42 → 00:07:44 กำลังบอกว่าอันเนี้ยเขาไม่ได้เขาไม่ได้
00:07:44 → 00:07:45 ชอบเพราะถ้าตรงนี้มันเป็นที่ที่เราอยู่
00:07:46 → 00:07:48 สบายจริงๆเราไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งหน้า
00:07:48 → 00:07:51 ตั้งตาพักขนาดนั้นอะไรอย่างเงี้ยเอ้อใช่
00:07:51 → 00:07:54 อออันนี้ชัดเจนค่ะเช่นแบบแบบฉันจะต้อง
00:07:54 → 00:07:57 หยุดแล้วนะอะไรงเงี้ยมีอยากเสาร์อาทิตย์
00:07:57 → 00:08:00 นี้ต้องมีทริปหรืออยากไปหาธรรมชหรือว่า
00:08:00 → 00:08:02 นอนทั้งวันเพราะว่าร่างกายเาต้องการพัก
00:08:02 → 00:08:05 ผ่อนอะไรเงี้ค่ะแสดงว่าชีวิตส่วนใหญ่ที่
00:08:05 → 00:08:07 เราอยู่อ่ะเขาแบบรู้สึกว่าเขาไม่ได้พักเ
00:08:07 → 00:08:10 ต้องวิ่งเขาเหนื่อยเออวันที่เราพักเราก็
00:08:10 → 00:08:12 เลยแบบไม่อยากทำอะไรและอะไรอย่างเงี้ยมัน
00:08:12 → 00:08:16 เป็นกระบวนการรักษาสมดุลของร่างกายก็เช็ค
00:08:16 → 00:08:19 ตัวเองกันได้ใช่ค่ะแต่มันไม่ได้มีอะไรตาย
00:08:19 → 00:08:21 ตัวเนาะก็ให้สังเกตตัวเองกันเยอะๆแล้วกัน
00:08:21 → 00:08:23 ว่าอันนี้มันเป็นปกติของเราหรือเปล่าหรือ
00:08:23 → 00:08:27 ว่าอันนี้ไม่ปกติของเราค่ะแล้วเรื่องพลัง
00:08:27 → 00:08:32 งานกับนิสัยค่ะอมันความคะจริงๆพลังงานคือ
00:08:32 → 00:08:35 นิสัยเลยอาจจะพูดง่ายๆแบบนี้ที่ตอนแรกพี่
00:08:35 → 00:08:37 บอกไปว่าพลังงานคือการเคลื่อนไหวใช่มั้ย
00:08:37 → 00:08:40 คะสิ่งหนึงที่สำคัญมากอ่ะคือความรู้สึก
00:08:40 → 00:08:43 สังเกตมยเวลาที่เราแบบโกรธมากๆน้องเพนด้า
00:08:43 → 00:08:46 เคยโกรธมากๆมยเคยถ้าโกรดมากๆบางทีแบบ
00:08:46 → 00:08:49 เนื้อตัวเราจะสั่นเออสายตาเราก็จะไม่
00:08:49 → 00:08:52 เหมือนเดิมเราจะพูดเสียงดังขึ้นใช่มั้ยคะ
00:08:52 → 00:08:55 มันคือพลังงานที่ถูกส่งออกมาเออพลังงาน
00:08:55 → 00:08:57 คือความรู้สึกทีเนี้ยเราต้องรู้ว่านิสัย
00:08:57 → 00:09:01 เกิดมาได้ยังไงจริงๆอ่ะนิสัยเกิดจากสิ่ง
00:09:01 → 00:09:04 ที่เราคิดในมนุษย์เราอ่ะค่ะเขาจะมีอเลก
00:09:04 → 00:09:07 magnetic field คือหมายความว่ารอบๆตัว
00:09:07 → 00:09:10 เราอ่ะมันจะมีสนามพลังงานเช่นแบบว่าแฟน
00:09:10 → 00:09:13 เรางอนที่อยู่ในรถที่เป็นแบบพื้นที่ปิด
00:09:13 → 00:09:16 เขาไม่ได้พูดอะไรเลยนะแต่เรารับรู้ได้ถึง
00:09:16 → 00:09:19 แบบรังสีอัมหิตอ่ะที่เขาส่งมาโดยที่เขา
00:09:19 → 00:09:20 ไม่ต้องพูดอะไรเพราะว่าจริงๆแล้วเนี่ย
00:09:20 → 00:09:24 มนุษย์ส่งพลังงานหากันตลอดเวลาหรือเคยเจอ
00:09:24 → 00:09:27 แบบไม่รู้จักคนนี้เลยแต่เข้าไปทีไรแล้ว
00:09:27 → 00:09:29 เรารู้สึกไม่ชอบคนนี้จังเลยอ่ะโดยที่ไม่
00:09:30 → 00:09:32 ต้องพูดอะไรเลยหรือว่าเรารู้สึกว่าอยู่
00:09:32 → 00:09:34 ใกล้คนนี้แล้วเรารู้สึกสบายใจจังเลยโดย
00:09:34 → 00:09:37 ที่เราอาจจะไม่ได้รู้จักกันมาก่อนหมาย
00:09:37 → 00:09:39 ความว่าเออจริงๆแล้วอ่ะเราไม่ได้คุยกัน
00:09:39 → 00:09:42 ที่คำอย่างเดียวเราคุยกันทางแบบสิ่งที่
00:09:42 → 00:09:44 มองไม่เห็นด้วยเอออย่างเงี้ยก็จะเห็นภาพ
00:09:44 → 00:09:46 อย่างเช่นเราไม่ชอบคนเนี้ยเออเขาไม่ได้มา
00:09:46 → 00:09:48 ทำอะไรให้ฉันแต่รู้สึกไม่ถูกชะตาเลยอ่ะ
00:09:49 → 00:09:51 เพราะว่าเขาก็ส่งพลังงานหาเราหรือบางคน
00:09:51 → 00:09:54 แบบออล่ามากเลยเดินมาแล้วแบบเคยเห็นคนที่
00:09:54 → 00:09:56 เด็กๆวิ่งเข้าหามยหรือว่าไปอยู่ที่ไหนก็
00:09:56 → 00:09:59 รู้สึกสบายใจจังเลยหรือว่าเวลาเราไปหหา
00:09:59 → 00:10:01 พระอะไรที่เรารู้สึกสงบร่มเย็นน่ะค่ะ
00:10:01 → 00:10:04 เพราะว่ามันมีพลังงานออกมาทีเนี้ยพลังงาน
00:10:04 → 00:10:06 เกี่ยวข้องกับนิสัยตรงที่ว่านิสัยที่เรา
00:10:06 → 00:10:09 บอกอ่ะมันเกิดจากสิ่งที่เราคิดสิ่งที่เรา
00:10:09 → 00:10:12 คิดนำมาสู่สิ่งที่เรารู้สึกสิ่งที่เรารู้
00:10:12 → 00:10:14 สึกนำมาสู่สิ่งที่เราลงมือทำเออพอเราลง
00:10:14 → 00:10:17 มือทำซ้ำๆอ่ะมันกลายเป็นนิสัยเป็น
00:10:17 → 00:10:21 บุคลิกภาพและกลายเป็นโชคชะตาของเราอ่ะยก
00:10:21 → 00:10:23 ตัวอย่างง่ายๆถ้าวันเนี้ยค่ะเราแบบเริ่ม
00:10:23 → 00:10:26 จะลดน้ำหนักแหละเราต้องคิดก่อนใช่ไหมว่า
00:10:26 → 00:10:29 เอ้ยฉันจะเป็นคนสุขภาพดีแล้วเราก็มี
00:10:29 → 00:10:31 inspiration เราก็มีแรงบันดาลใจเรารู้
00:10:31 → 00:10:34 สึกเออพอเริ่มรู้สึกปุ๊บเราจะเริ่มปรับ
00:10:34 → 00:10:38 เปลี่ยนอาหารที่เรากินเริ่มไปยิมพอไปยิ้ม
00:10:38 → 00:10:40 ซ้ำๆอ่ะมันก็เริ่มน้ำหนักลงมันก็เริ่มแบบ
00:10:40 → 00:10:43 มีกล้ามเนื้อถูกไมมคะอันนั้นก็เลยกลาย
00:10:43 → 00:10:46 เป็นคนสุขภาพดีสิ่งที่คนเห็นว่าเ้ยคนนี้
00:10:46 → 00:10:49 หุ่นดีจังเลยอ่ะจริงๆแล้วมันคือการลงมือ
00:10:49 → 00:10:52 ทำซ้ำๆจนเป็นนิสัยแต่มันเริ่มจากสิ่งเล็ก
00:10:52 → 00:10:55 ๆก็คือสิ่งที่เขาคิดอ่ะเขาเห็นตัวเองว่า
00:10:55 → 00:10:58 เขาไม่ควรสุขภาพดีเขาถึงลงมือทำสอดคล้อง
00:10:58 → 00:11:01 กับสิ่งที่เขาคิดเพราะฉะนั้นนิสัยที่เรา
00:11:01 → 00:11:05 เห็นภายนอกบุคลิกภาพของคนนี้หรือว่าแบบ
00:11:05 → 00:11:07 เอ้ยคนนี้เป็นคนแบบเนี้ยจริงๆเกิดจากสิ่ง
00:11:07 → 00:11:10 ที่เล็กที่สุดคือสิ่งที่เขาคิดและสิ่งที่
00:11:10 → 00:11:13 เขารู้สึกมันก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมสิ่ง
00:11:13 → 00:11:16 ที่เรามองไม่เห็นน่ะมันถึงส่งผลกับสิ่ง
00:11:16 → 00:11:18 ที่มองเห็นเออหรือที่เขาเรียกว่าการ
00:11:18 → 00:11:21 manifest อะไรเงี้ยซึ่งเดี๋ยวเราคุยกัน
00:11:21 → 00:11:24 ต่อไปค่ะเมื่อกี้ค่ะที่คุณหมอบอกว่าเอ่อ
00:11:24 → 00:11:27 จริงๆเราไม่ได้คุยกันแค่คำพูดมีสนามพลัง
00:11:27 → 00:11:30 งานอยู่รอบตัวเราออาจจะมีคำถามนึงค่ะที่
00:11:30 → 00:11:33 แปลกๆอีกและจ้ะเช่นแล้วอย่างงี้อ่ะค่ะบาง
00:11:33 → 00:11:37 คนที่สงสัยเรื่องกระแสจิตอือันนี้เกี่ยว
00:11:37 → 00:11:41 ข้องกับสนามพลังงานตรงนี้มั้ยคะที่แบบส่ง
00:11:41 → 00:11:44 แพนด้าเคยมีประสบการณ์สักครั้งมยที่นึก
00:11:44 → 00:11:48 ถึงใครแลเขาแบบว่าทักมาหาเรามีค่ะเพื่อน
00:11:48 → 00:11:50 สนิทเอหรือว่าทุกคนที่แบบว่าดูช่องนี้ก็
00:11:50 → 00:11:54 ได้ลองนึกดูว่าอยู่ดีๆอ่ะเออนึกถึงคนนี้
00:11:54 → 00:11:58 แล้วเขาโทรมาหรือว่านึกถึงอยากกินทุเรียน
00:11:58 → 00:12:00 อะไรอย่างเงี้ยเอเออมันมันก็จะเข้ามาอะไร
00:12:00 → 00:12:02 อย่างเงี้ยจริงๆอ่ะเราสื่อสารแบบนั้นแต่
00:12:02 → 00:12:04 ว่าถ้าอธิบายมันก็จะลึกจริมันจะลึกมันจะ
00:12:04 → 00:12:07 ลึกใช่โอเคค่ะก็ไม่เป็นไรแต่ว่าถ้าถ้า
00:12:07 → 00:12:09 อยากรู้เพิ่มนี่ก็คือติดตามช่องคุณหมอได้
00:12:09 → 00:12:13 ได้ค่ะขอบคุณค่ะทีนี้อย่างที่เราคุยกัน
00:12:13 → 00:12:16 ว่านิสัยเนี่ยกับพลังงานจริงๆก็คือเป็น
00:12:16 → 00:12:20 สิ่งเดียวกันเลยอ่าแล้วนิสัยอะไรที่ส่ง
00:12:20 → 00:12:23 เสริมพลังงานบวกและนิสัยอะไรที่ส่งเสริม
00:12:23 → 00:12:26 พลังงานลบในตัวเราอ่ะค่ะอืโอเคถ้าแบบ
00:12:26 → 00:12:30 เนี้ยพี่ขอพูดในมุมมองของฮอร์โมนหรือว่า
00:12:30 → 00:12:33 ในมุมมองของร่างกายเพราะฉะนั้นเนี่ยถ้า
00:12:33 → 00:12:36 เกิดว่าเป็นนิสัยลบเราก็จะมองว่าอออะไรนะ
00:12:36 → 00:12:38 ที่ทำให้เกิดการหลังฮอร์โมนแห่งความ
00:12:38 → 00:12:41 เครียดหรือว่าฮอร์โมนคอร์ติซอลอย่างเช่น
00:12:41 → 00:12:43 การที่เรารู้สึกไม่ดีกับตัวเองอะไรอย่าง
00:12:43 → 00:12:45 เงี้ยค่ะหรือว่าการเปรียบเทียบตัวเองการ
00:12:45 → 00:12:48 อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ทำให้เรารู้สึก
00:12:48 → 00:12:50 เครียดทำให้เกิดฮอร์โมนคอร์ติซอลเมื่อ
00:12:50 → 00:12:53 หลังซ้ำๆอ่ะสิ่งนั้นก็จะทำให้เราเลือก
00:12:53 → 00:12:55 พฤติกรรมความเครียดแล้วก็เป็นคนที่นิสัย
00:12:55 → 00:12:57 ในเชิงลบอ่ะค่ะแต่มีอันนึงที่พี่รู้สึก
00:12:57 → 00:13:01 ว่าสำคัญมากๆเที่อยากจะบอกก็คือว่าไม่
00:13:01 → 00:13:05 อยากให้ตีความว่าอันเนี้ยมันเป็นนิสัย
00:13:05 → 00:13:09 เชิงบวกหรือว่านิสัยเชิงลบขนาดนั้นพี่
00:13:09 → 00:13:12 อยากให้มองว่าทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นน่ะ
00:13:12 → 00:13:15 เป็นเรื่องปกติเป็นเรื่องธรรมดาสิ่งที่
00:13:15 → 00:13:19 พี่เจอก็คือว่าหลายๆคนน่ะค่ะพยายามผลักใส
00:13:19 → 00:13:22 เอ้ยเดี๋ยวแบบหมอฟ้าบอกว่าอันนี้มันเป็น
00:13:22 → 00:13:25 นิสัยเชิงลบนะมันเป็นนิสัยที่ทำให้เราแบบ
00:13:25 → 00:13:27 อยู่ในอารมณ์ไม่ดีอ่ะแล้วฉันอยากจะเอา
00:13:27 → 00:13:30 สิ่งนี้ออกไปอ่ะค่ะมันทำให้เราแบบกลาย
00:13:30 → 00:13:32 เป็นคนที่แบบว่าปฏิเสธตัวเองด้วยเพราะ
00:13:32 → 00:13:34 จริงๆแล้วเนี่ยทั้งบวกและลบมันก็คือความ
00:13:35 → 00:13:37 เป็นมนุษย์อ่ะเออให้แบบค่อยๆกลับมายอมรับ
00:13:37 → 00:13:39 ตรงเนี้ยถึงจะทำให้เราเป็นคนที่แบบพลัง
00:13:39 → 00:13:42 งานดีจริงๆอะไรอย่าเงี้ยแพนด้าเคยเห็น
00:13:42 → 00:13:44 สเกลนึงค่ะที่เป็น scale of Emotion ก็
00:13:44 → 00:13:48 คือเป็นที่เขาไล่ระดับอารมณ์อ่าอันนี้
00:13:48 → 00:13:50 อยากให้หมอฟ้าช่วยอธิบายเพิ่มเติมหน่อย
00:13:50 → 00:13:53 ค่ะออโอเคค่ะอันนั้นน่ะเขาเรียกว่าเป็น
00:13:53 → 00:13:56 emotional guidance scale คือเขาเอา
00:13:56 → 00:13:59 อารมณ์ของมนุษย์นี่แหละค่ะมาตีว่าอันเย
00:13:59 → 00:14:02 ฉันอยู่ในอารมณ์ระดับไหนนะถ้าเกิดว่าโกรธ
00:14:02 → 00:14:05 หรือว่าเกลียดฉันอยู่ใน 50 ถ้าฉันมีความ
00:14:05 → 00:14:08 อยากฉันอยู่ใน 100 เพื่อให้ดูว่าเราอยู่
00:14:08 → 00:14:12 ในเลเวลไหนซึ่งอันเนี้ยค่ะมันเป็นมันเป็น
00:14:12 → 00:14:14 ดาบ 2 คมเหมือนกันหมายความว่าหลายครั้ง
00:14:14 → 00:14:17 อ่ะเราจะอยากที่จะไปอยู่ในสเกลสูงก็คือ
00:14:17 → 00:14:20 ความสุขหรือว่าสิ่งที่ทำให้เราแบบดึงดูด
00:14:20 → 00:14:23 สิ่งดีๆมีความสุขอะไรอย่าเงี้ยจนเราลืม
00:14:23 → 00:14:26 ปฏิเสธไม่เอาด้านล่างอ่ะเออไม่เอาอารมณ์
00:14:26 → 00:14:30 ทางด้านลบซึ่งการตีสเกลนี้ค่ะไม่ได้หมาย
00:14:30 → 00:14:33 ความว่าถ้าฉันรู้สึกโกรธแล้วมันจะเป็นแบบ
00:14:33 → 00:14:37 100 เลยนะเเกลนั้นคือเหมือนขั้นบันไดที่
00:14:37 → 00:14:41 เรายืนอยู่ค่ะเออถ้าเคยแบบนึกถึงชื่อ
00:14:41 → 00:14:45 เพื่อนคนนึงแล้วแบบคนนี้เท่ากับเป็นคนแบบ
00:14:45 → 00:14:50 ไหนมอคนเนี้ยเป็นคนขี้โมโหคนเนี้ยเป็นคน
00:14:50 → 00:14:55 ขี้หงุดหงิดคนนี้เป็นคนอารมณ์ดีนะเออไอ้
00:14:55 → 00:14:59 คำว่าเป็นคนน่ะค่ะการเป็นน่ะคือสิ่งที่
00:14:59 → 00:15:03 ที่เขารู้สึกซ้ำๆและทำบ่อยๆอืคนภายนอกก็
00:15:03 → 00:15:06 เลยเห็นเขาเป็นแบบนั้นเช่นคนนี้แบบโอเจอ
00:15:06 → 00:15:09 ทุกครั้งแบบนางวีนแตกทุกครั้งแสดงว่าไม่
00:15:09 → 00:15:12 ว่าอะไรมากระทบคนนี้ก็วีนหรือคนเนี้ยเป็น
00:15:12 → 00:15:15 คนใจเย็นเออแสดงว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
00:15:16 → 00:15:19 นางก็ใจเย็นมันคือสิ่งที่เขาตอบสนองกับ
00:15:19 → 00:15:23 โลกซ้ำๆนั่นน่ะคือการเป็นก็คือนิสัยอ่ะ
00:15:23 → 00:15:26 ทุกคนจะค่อยๆเห็นแบบโมเมนตัมว่าเออจริงๆ
00:15:26 → 00:15:29 แล้วอ่ะค่ะไอ้พวกแบบพลังงานที่เขาบอกมัน
00:15:29 → 00:15:31 คืออารมณ์พออารมณ์มันเกิดขึ้นซ้ำๆเาทำซ้ำ
00:15:31 → 00:15:35 ๆมันเลยกลายเป็นนิสัยอเออคือขั้นบันไดที่
00:15:35 → 00:15:38 เขาอยู่อ่ะว่าคนนี้ขี้โกรธคนนี้ขี้แบบ
00:15:38 → 00:15:41 อิจฉาคนนี้ขี้อันนี้คือสิ่งที่เราทำซ้ำๆ
00:15:41 → 00:15:42 เพราะฉะนั้น emotional guidance scale
00:15:43 → 00:15:45 ไม่ใช่แค่อารมณ์ใน 1 ฉากแต่อารมณ์ที่เกิด
00:15:45 → 00:15:48 ขึ้นซ้ำๆจนเขาเสพติดอารมณ์นั้นและเป็นคน
00:15:48 → 00:15:51 แบบนั้นเขาก็จะปล่อยคลื่นพลังงานแบบนั้น
00:15:51 → 00:15:53 ออกมาอย่างเท่านั้นเองเข้าใจมากขึ้นแล้ว
00:15:53 → 00:15:56 แปลว่าจริงๆแล้วเนี่ยไอ้ชาร์จที่เราขึ้น
00:15:56 → 00:15:58 ให้ดูตอนเนี้ยค่ะจริงๆแล้วถ้าเราดูเป็น
00:15:58 → 00:16:03 ปกติอย่างอคือจริงทุค่ะแทบทุกสกลอ่าเป็น
00:16:03 → 00:16:07 เรื่องปกติเลยแต่ว่าสกลอ่าชั้นไหนที่เรา
00:16:07 → 00:16:10 แบบมีอยู่บ่อยๆอันนั้นน่ะมันคือการเป็น
00:16:10 → 00:16:12 ของเราแล้วใช่ฉันไปยืนอยู่ตรงนั้นแหละอ
00:16:12 → 00:16:15 แล้วก็ทำให้คนอื่นจดจำเราแบบนี้ใช่ข่าวดี
00:16:15 → 00:16:18 ก็คือว่าถ้าเราอยู่ในชั้นที่ไม่ค่อยจะชอบ
00:16:18 → 00:16:22 ไม่ค่อยโอเคก็เปลี่ยนได้ได้ได้อันนี้ก็
00:16:22 → 00:16:24 เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่เออจริงๆแล้วอ่ะเรา
00:16:24 → 00:16:27 สามารถเปลี่ยนตัวเราเองได้เปลี่ยนนิสัยพอ
00:16:27 → 00:16:31 เปลี่ยนนิสัยจะเปลี่ยนโชคชะตาชีวิตออเออ
00:16:31 → 00:16:33 เปลี่ยน Destiny เลยค่ะอุ๊ยแต่ว่าถ้า
00:16:33 → 00:16:37 อย่างเราอาจจะไม่รู้นะคะว่าตอนนี้เราอยู่
00:16:37 → 00:16:41 ในชั้นไหนมีวิธีในการสังเกตเรามยคะรู้ตัว
00:16:41 → 00:16:45 อมันเลยเป็นจุดเริ่มต้นของสติว่าทำไมสติ
00:16:45 → 00:16:48 ถึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างนิสัยหรือ
00:16:48 → 00:16:51 ว่าจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงชีวิตเลย
00:16:51 → 00:16:55 เพราะถ้าเราไม่รู้ตัวเราจะไหลไปกับสิ่ง
00:16:55 → 00:16:58 ที่เราเคยชินต้องบอกก่อนว่าตัวเราอ่ะมัน
00:16:58 → 00:17:01 คือระบบอัตโนมัติคำว่าระบบอัตโนมัติคือ
00:17:01 → 00:17:05 เราเคยทำแบบไหนเคยเลือกแบบไหนเราจะเลือก
00:17:05 → 00:17:07 แบบนั้นเพราะว่าสมองเราอ่ะค่ะต้องเซต
00:17:08 → 00:17:11 อัตโนมัตินางเป็นอวัยวะที่ใช้พลังงานเยอะ
00:17:11 → 00:17:13 เพราะฉะนั้นเนี่ยเขาจะต้องทำยังไงก็ได้
00:17:13 → 00:17:16 ให้เขาใช้พลังงานน้อยคือเซต automattic
00:17:16 → 00:17:18 เคยมที่แบบเวลาเราขับรถเคยไปทำงานทางขวา
00:17:18 → 00:17:20 อย่าเงี้ยแต่วันนี้ฉันไม่ต้องทำงานแล้วนะ
00:17:20 → 00:17:23 แต่ฉันก็ยังจิตจดจำอยู่อะไรเงี้ยจำว่าเรา
00:17:23 → 00:17:26 ต้องไปทางนั้นเราเคยแบบว่าโมโหทุกครั้ง
00:17:26 → 00:17:29 ที่มีอะไรมากระทบอ่ะเราจะทำสิ่งนโดย
00:17:29 → 00:17:32 อัตโนมัติอืเออเพราะว่าเราชินไงค่ะเพราะ
00:17:32 → 00:17:35 ฉะนั้นเนี่ยถ้าเกิดว่าวันเนี้ยเรารู้ตัว
00:17:35 → 00:17:38 ว่าเราเป็นคนขี้หงุดหงิดอ่ะจุดเปลี่ยนว่า
00:17:38 → 00:17:40 เราจะเปลี่ยนอะไรได้เราต้องกลับมารู้ตัว
00:17:40 → 00:17:43 เยอะๆเอ้ยตอนเนี้ยฉันกำลังหงุดหงิดแล้วนะ
00:17:43 → 00:17:47 เพื่อให้เราเลือกทางใหม่อ่ะจากปกติแบบรถ
00:17:47 → 00:17:52 ตัดหน้าฉันจะด่าละเราเคยตอบสนองแบบนี้จน
00:17:52 → 00:17:55 เป็นออติใช่ไหมมคะแต่ในวันที่เราอ่ะจะตัด
00:17:56 → 00:17:58 สินใจว่าเราจะเป็นคนใจเย็นคือเราจะไม่ตอบ
00:17:58 → 00:18:00 สนองแล้วแล้วอ่ะมันต้องมีสติรู้อ่ะไอ้จุด
00:18:00 → 00:18:03 ตรงกลางเพื่อให้เราเลือกใหม่ว่าฉันจะไม่
00:18:03 → 00:18:07 ด่าอเออซึ่งซึ่งถ้าไม่มีจุดของการรู้ตัว
00:18:07 → 00:18:09 หรือว่าสติตรงเนี้ยมันเปลี่ยนไม่ได้อืมัน
00:18:09 → 00:18:13 จะไหลเราจะชินเราจะทำแบบที่เราเคยทำเพราะ
00:18:13 → 00:18:15 ว่ามันใช้พลังงานน้อยค่ะเออมันไม่ต้องใช้
00:18:15 → 00:18:19 พลังงานเยอะมันไม่เหนื่อยอืเออสมองจะเซต
00:18:19 → 00:18:22 แบบนี้อือจริงๆแล้วการเปลี่ยนนิสัยเนี่ย
00:18:22 → 00:18:24 คือบางท่านอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่อง
00:18:24 → 00:18:25 ใหญ่เหมือนกันเนาะเพราะว่านิสัยเป็นสิ่ง
00:18:25 → 00:18:29 ที่เราสะสมมานานอแต่ว่าอย่างที่คุณหมอยก
00:18:29 → 00:18:31 ตัวอย่างเนี่ยชัดเจนมากว่าเริ่มให้ได้
00:18:31 → 00:18:33 ก่อนใช่เออเพราะว่าเมื่อเริ่มแล้วรู้ตัว
00:18:33 → 00:18:37 ทุกครั้งเนี่ยมันจะค่อยๆเปลี่ยนไปเองใช่
00:18:37 → 00:18:39 ใช่อย่างน้อยที่สุดอ่ะค่ะให้กลับมารู้ตัว
00:18:39 → 00:18:42 รู้ตัวในที่เนี้ยไม่จำเป็นที่จะต้องนั่ง
00:18:42 → 00:18:45 ทำสมาธิอย่างเช่นพี่คุยกับแพนด้าก็คือรู้
00:18:45 → 00:18:48 ตัวขับรถให้รู้ตัวเพื่อให้กลับมาอยู่ตรง
00:18:48 → 00:18:51 เนี้ยอือเหมือนเป็นการฝึกกำลังจิตให้มัน
00:18:51 → 00:18:53 แข็งแรงอ่ะค่ะเหมือนเรายกเวทอ่ะเออให้ตรง
00:18:53 → 00:18:56 เแข็งแรงเพราะว่าเราก็ต้องยอมรับอ่ะว่า
00:18:56 → 00:18:59 เวลาเราจะสร้างนิสัยหรือทำอะไรมันใช้เวลา
00:19:00 → 00:19:02 มันใช้กำลังมันเหมือนเราจะต้องค่อยๆไปที
00:19:02 → 00:19:05 ละนิดอ่ะค่ะโอแล้วถ้าสมมุติบางคนที่กำลัง
00:19:05 → 00:19:08 อยู่ในขั้นตอนในการเปลี่ยนนิสัยเอ่อเริ่ม
00:19:08 → 00:19:12 รู้ตัวมากขึ้นละแต่ว่าสมมุตินะคะว่าเขาทำ
00:19:12 → 00:19:15 มาได้สักอาทิตย์นึงละเริ่มเริ่มเริ่มไป
00:19:15 → 00:19:18 อีกขั้วนึงดีขึ้นละแต่อยู่มาวันที่ 8
00:19:18 → 00:19:21 กลับไปเป็นคนขหงุดหงิดเหมือนเดิมแบบเนี้ย
00:19:21 → 00:19:23 แล้วเขารู้สึกว่าแบบฉันคงเปลี่ยนไม่
00:19:23 → 00:19:26 สำเร็จหรอกอ่าคุณหมอมีคำแนะนำยังไงถ้ามี
00:19:26 → 00:19:30 วันใดที่เริ่มที่จะเปลี่ยนเรารู้สึกว่า
00:19:30 → 00:19:34 ยังทำไม่ได้อ่ะค่ะให้กลับมาให้อภัยตัวเอง
00:19:34 → 00:19:36 การให้อภัยตัวเองหรือว่าการยอมรับอ่ะมัน
00:19:36 → 00:19:39 ทำให้เราไปต่อได้คือไอ้สเต็ปที่แบบเออไม่
00:19:39 → 00:19:42 ได้อ่ะแล้วแบบเออไม่เป็นไรเอาใหม่อ่ะอัน
00:19:42 → 00:19:44 นั้นสำคัญมากกว่าอีกเพราะว่ามันทำให้เรา
00:19:44 → 00:19:48 แบบไปต่อได้พี่มีแบบหลายเคสมากค่ะที่เขา
00:19:48 → 00:19:51 ต้องการที่จะเปลี่ยนจุดสำคัญเวลาแบบหลาย
00:19:51 → 00:19:53 ครั้งที่เราโคชิหรือว่าเราคุยกับคุณน่ะ
00:19:53 → 00:19:55 ค่ะไม่ใช่แค่แบบวันที่ปรบมือให้เขาคในวัน
00:19:55 → 00:19:58 ที่เขาทำสำเร็จนะแต่คือการปบมือให้เขาคใน
00:19:58 → 00:20:00 วันที่เขาทำไม่ได้ด้วยเพื่อให้เขาอ่ะรู้
00:20:00 → 00:20:02 สึกว่าการที่มันล้มเหลวบ้างอะไรอย่าง
00:20:02 → 00:20:05 เงี้ยคือเรื่องธรรมดาแล้วเดี๋ยวเขาจะไป
00:20:05 → 00:20:08 ได้เองใช่มันก็คือขั้นตอนนึงใช่มันกลับมา
00:20:08 → 00:20:12 ยอมรับอ่ะให้อภัยยอมรับอือืแต่ว่าจริงๆ
00:20:12 → 00:20:15 เนาะพอถ้าเราพูดถึง scale of Emotion
00:20:15 → 00:20:17 อย่างกรณีเมื่อกี้เช่นทำมาได้ 7 วันความ
00:20:17 → 00:20:20 ถี่ก็คือ 7 วันละแต่อาจจะวันที่ 8 อาจจะ
00:20:20 → 00:20:22 มีครั้งนึงที่แบบกลับไปรู้สึกไม่ดีรู้สึก
00:20:22 → 00:20:25 โมโหอีกแต่ว่าความถี่มันต่างกันแล้วไงไอ้
00:20:25 → 00:20:28 สิ่งที่พลังงานที่เราอยู่สูงๆมันมากกว่า
00:20:28 → 00:20:31 แล้วใช่มั้ยคะเมื่อกี้ใช่มยในวันที่เรา
00:20:31 → 00:20:34 แบบไม่ได้อ่ะแต่ในวันที่เรายอมรับอ่ะค่ะ
00:20:34 → 00:20:37 สเกลมันขึ้นไป 300 หร 350 แล้วอ่ะเพราะ
00:20:37 → 00:20:41 ฉะนั้นน่ะแค่กลับมายอมรับว่าไม่ได้เออไม่
00:20:41 → 00:20:43 ได้ก็คือไม่ได้อ่ะมันคือคลื่นสูงแล้วนะคะ
00:20:43 → 00:20:46 เออเพราะต้องยอมรับก่อนมันถึงไปต่อได้อื
00:20:46 → 00:20:50 จริงๆยอมรับก็ใช่ขึ้นสูงแล้วยอมรับว่าเออ
00:20:50 → 00:20:52 มันก็ไม่ได้อ่ะมันก็มีวันที่ไม่ได้มันทำ
00:20:52 → 00:20:54 ให้เราไปต่อได้ที่ควรไปต่อไม่ได้เพราะว่า
00:20:54 → 00:20:57 ทำไมฉันถึงทำไม่ได้นะเออทำไมฉันเป็นคนแบบ
00:20:58 → 00:21:00 นี้อ่ะมันก็เลยถูกติดอยู่ในแบบระดับล่าง
00:21:00 → 00:21:04 อ่ะค่ะแต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้เราขึ้น 350
00:21:04 → 00:21:07 แล้วนะมันก็จะไปต่อได้เองมันคือการที่แบบ
00:21:07 → 00:21:09 อยู่กับปัจจุบันเรื่อยๆโอเคอันนี้ไม่ได้
00:21:09 → 00:21:11 ไม่เป็นไรจบไปแล้วเอาอันใหม่ทำใหอยู่กับ
00:21:11 → 00:21:15 อันปัจจุบันใหม่ใช่โอเคค่ะค่ะแพนด้าเคย
00:21:15 → 00:21:18 ได้ยินเ่าการใช้ชีวิตแบบนึงมาค่ะคือการ
00:21:18 → 00:21:21 ใช้ชีวิตแบบ Survival Mode ก็รู้มาบ้าง
00:21:21 → 00:21:23 ว่าจริงๆโหมดนี้เป็นโหมดของการเอาตัวรอด
00:21:23 → 00:21:26 เนาะแต่ว่าอยากให้พี่หมอฟ้าเนี่ยช่วยแนะ
00:21:26 → 00:21:28 นำหน่อยว่าเอ้ยจริงๆ surviv มดเนี่ยมัน
00:21:28 → 00:21:31 คืออะไรแล้วเราอย่างตัวแพนด้าเองเนี่ยมี
00:21:31 → 00:21:34 โอกาสอยู่ใน Survival มดมั้ยอ่าโอเคค่ะ
00:21:34 → 00:21:37 คือร่างกายมนุษย์อ่ะอันนี้จะอธิบายในเชิง
00:21:37 → 00:21:40 ของระบบประสาทอัตโนมัติค่ะอัตโนมัติหมาย
00:21:40 → 00:21:43 ความว่าทำเองเราไม่สามารถบังคับเขาได้
00:21:43 → 00:21:46 เช่นอะไรเช่นแบบหายใจอย่างเงี้ยเออเราไม่
00:21:46 → 00:21:49 สามารถบังคับเถ้าเคมีจังหวะของเขาใช่มยคะ
00:21:49 → 00:21:52 การเต้นของหัวใจการไหลของเลือดการบีบตัว
00:21:52 → 00:21:54 ของลำไส้พวกนี้เขาเรียกว่าอัตโนมัติค่ะ
00:21:54 → 00:21:56 เราไม่สามารถควบคุมได้อย่างเช่นเบอกว่า
00:21:56 → 00:21:59 เออน้องแพนด้าแบบกำมืออันนี้คือได้แต่เรา
00:21:59 → 00:22:02 แบบหัวใจหยุดเต้นสินั้นก็จะแบบไม่ได้อ่า
00:22:02 → 00:22:05 นี้คือระบบอาสาอัตโนมัติทีเนี้ยร่างกาย
00:22:05 → 00:22:08 มนุษย์อ่ะค่ะเขาจะมี 2 เส้น 2 สายในการ
00:22:08 → 00:22:11 ที่จะรักษาร่างกายของเราอันแรกอ่ะก็คือ
00:22:11 → 00:22:14 โหมดสู้หรือหนีหรือว่า Survival Mode
00:22:14 → 00:22:16 อันเนี้ยจะถูกควบคุมโดยระบบประสาท
00:22:16 → 00:22:19 อัตโนมัติซาติคือซิก็คือชั้นสู้หรือหนี
00:22:19 → 00:22:22 อีกอันนึงอันที่ 2 ก็คือพาราซิมพาราซิม
00:22:22 → 00:22:26 คือผ่อนคลายอเพราะฉะนั้นพี่ไม่ได้อยากบอก
00:22:26 → 00:22:28 ว่าเฮ้ยวันนี้เราไม่ดีเพราะเราอยู่ในโหมด
00:22:28 → 00:22:31 ไล่ลไม่ใช่ค่ะชีวิตที่สมดุลน่ะคือมีทั้ง
00:22:31 → 00:22:35 โหมดไล่ล่าและโหมดพักผ่อนให้นึกถึงเคย
00:22:35 → 00:22:38 เห็นคนที่เขาแบบแบกโอ่งมั้ยแบกโอ่งเวลาไฟ
00:22:38 → 00:22:41 ไหม้อ่ะอันนั้นเขาต้องใช้สู้หรือหนีอ่า
00:22:41 → 00:22:45 มันจะต้องเกิดการสู้ก่อนหรือพูดง่ายๆเคย
00:22:45 → 00:22:49 เห็นแบบกวางที่โดนเสือไล่ล่าอ้าตอนที่คือ
00:22:49 → 00:22:52 ถ้านางไม่หมดสู้อ่ะนางก็ตายเขาจำเป็นที่
00:22:52 → 00:22:54 จะต้องมีโหมดสู้หรือหนีคือเขาจะมีการทำ
00:22:54 → 00:22:57 งานของร่างกายเพื่อให้พ้นตรงนั้นไปซึ่ง
00:22:57 → 00:22:59 สู้หรือหนีเนี่ยมันหลังข 2 บรหลังฮอร์โมน
00:22:59 → 00:23:01 แห่งความเครียดเราจะต้องเค้นพละกำลังทั้ง
00:23:01 → 00:23:05 หมดให้ผ่านตรงนั้นไปถูกมั้ยคะพอพอกวางตัว
00:23:05 → 00:23:07 นั้นมันรอดจากเสือปุ๊บอ่ะมันจะเป็นหมวด
00:23:07 → 00:23:11 พักชั้นรอดและชั้นพักอันเนี้ยพาราซิมจะ
00:23:11 → 00:23:15 กลับขึ้นมาทำงานก็คือพอตอนแรกเราหลั่ง
00:23:15 → 00:23:17 ฮอร์โมนแห่งความเครียดพอเราพักปุ๊บอ่ะ
00:23:17 → 00:23:20 ฮอร์โมนความเครียดจะต่ำลงฮอร์โมนอีกชุด
00:23:20 → 00:23:22 นึงจะขึ้นมาเพื่อให้เราซ่อมสร้างสิ่งที่
00:23:22 → 00:23:26 ถูกทำลายไปเออเพราะฉะนั้นเนี่ยร่างกายคือ
00:23:26 → 00:23:29 เกิดการสมดุลคือสู้ด้วยพักด้วยสู้ด้วย
00:23:29 → 00:23:32 แล้วก็พักด้วยแต่สิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน
00:23:32 → 00:23:36 นี้ก็คือว่าเราสู้ไม่พักลองจินตนาการว่า
00:23:36 → 00:23:39 กวางตัวเนี้ยมันวิ่งตลอดเวลาสุดท้ายกวาง
00:23:39 → 00:23:42 จะไม่ได้ตายจากเสือกวางจะตายไปด้วยตัวของ
00:23:42 → 00:23:44 เขาเองเพราะว่าธรรมชาติมนุษย์อ่ะมันไม่
00:23:44 → 00:23:47 ได้ถูกสร้างมาให้วิ่งตลอดเวลาค่ะแต่ว่า
00:23:48 → 00:23:50 ทุกวันเนี้ยเราวิ่งตลอดเวลาแล้วสิ่ง
00:23:50 → 00:23:54 กระตุ้นเราอ่ะมันเล็กน้อยไปเรื่อยๆเช่น
00:23:54 → 00:23:57 เมื่อก่อนอย่างเงี้ยกวางจะต้องเห็นเสือ
00:23:57 → 00:24:00 ตัวใหญ่ๆนางถึงจะวิ่งแต่เดี๋ยวเยค่ะตัว
00:24:00 → 00:24:04 เราอ่ะใบไม้ไหวอ่ะเราก็เครียดะสมมุติว่า
00:24:04 → 00:24:06 เราเล่นโซเชียลมีเดียเราเดินออกไปความ
00:24:06 → 00:24:09 วุ่นวายของสังคมที่เราอยู่อ่ะมันทำให้เรา
00:24:09 → 00:24:13 อ่ะร่างกายของเรารับรู้ได้ว่าฉันวิ่งตลอด
00:24:13 → 00:24:15 เวลาแล้วเหมือนรถที่มันไม่ได้มีแบบพัก
00:24:15 → 00:24:20 เติมน้ำมันค่ะมันมีแบบใช้ตลอดเวลาแต่ไม่
00:24:20 → 00:24:23 ได้พักเพื่อซ่อมสร้างร่างกายเราก็เลยแบบ
00:24:23 → 00:24:26 พังไปเรื่อยๆอ่ะค่ะเกิดจากการที่เราขาด
00:24:26 → 00:24:29 สมดุลเพราะฉะนั้นการที่อยู่ในว่าโหมดอ่ะ
00:24:29 → 00:24:31 ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเอาโหมดพักอย่าง
00:24:31 → 00:24:33 เดียวถ้าพักอย่างเดียวจะไม่เกิดการก้าว
00:24:33 → 00:24:37 หน้าเออเราจะเป็นคนแบบหนืดๆฉันอยากนอน
00:24:37 → 00:24:39 ตลอดเวลาอะไรอย่างเงี้ยแต่ถ้าเราสู้อย่าง
00:24:39 → 00:24:42 เดียวแล้วเราไม่พักอ่ะร่างกายจะพังเพราะ
00:24:42 → 00:24:45 มันผิดธรรมชาติเไม่ได้ถูกสร้างมาแบบนั้น
00:24:45 → 00:24:47 เราไม่ใช่แบบหุ่นยนต์อ่ะพอเราอยู่โมดนี้
00:24:47 → 00:24:49 ตลอดเราก็เลยทำให้เราอ่ะเป็นโรคเครียด
00:24:49 → 00:24:53 หรือว่าเรารู้สึกว่านอนไม่หลับซึ่งลองคิด
00:24:53 → 00:24:56 ดูนะแบบเรื่องนอนอ่ะเป็นเรื่องธรรมชาติ
00:24:56 → 00:24:59 ของความเป็นมนุษย์อ่ะมนุษย์ไม่ควรจะกินยา
00:24:59 → 00:25:00 นอนหลับเอออันนี้เดี๋ยวมันจะเกิดข้อ
00:25:00 → 00:25:02 คอนฟลิกหมายความว่าถ้าใครกินก็คือกินน่ะ
00:25:02 → 00:25:05 ค่ะแต่ลองค่อยๆถอยออกมาแล้วเห็นความ
00:25:05 → 00:25:09 ธรรมชาติอ่ะการนอนควรจะเป็นเรื่องธรรมดา
00:25:09 → 00:25:12 ที่เราไม่ควรจะมีอะไรไปเสริมเพื่อให้เรา
00:25:12 → 00:25:14 นอนหลับเพราะมันเป็นเรื่องของชีวิตอ่ะแต่
00:25:14 → 00:25:16 ที่เราต้องใช้อะไรไปเสริมอ่ะเพราะว่าเรา
00:25:16 → 00:25:19 ผิดธรรมชาติหมายความว่าเราใช้ชีวิตอยู่ใน
00:25:19 → 00:25:22 โหมด Survival แล้วทำให้เราอ่ะพักไม่เป็น
00:25:22 → 00:25:25 ถึงคราวที่จะพักอ่ะมันเลยไม่สามารถพักได้
00:25:25 → 00:25:28 แบบธรรมชาติคือหัวถึงหมอแล้วหลับเพราะั้น
00:25:28 → 00:25:30 น่ะบางทีเรานึกถึงแบบโอ๊ยพลังงานดีบางที
00:25:30 → 00:25:33 แค่อาจจะเป็นการแบบกินดีหัวถึงหมอนแล้ว
00:25:33 → 00:25:35 เราหลับถึงเวลาตื่นแล้วเราตื่นได้เองแล้ว
00:25:35 → 00:25:38 เราสดชื่นมันคือการกลับสู่แบบธรรมชาติอ่ะ
00:25:38 → 00:25:41 เท่านั้นเอง Survival Mode ก็คือว่าคน
00:25:41 → 00:25:44 ที่ไม่ได้พักเลยมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา
00:25:44 → 00:25:48 จนเอฟเฟคกระทบต่อร่างกายเราอ่าพลังงาน
00:25:49 → 00:25:51 กิจวัตรหลายๆอย่างเนาะเพราะว่าอย่างที่
00:25:51 → 00:25:53 เราจะเห็นได้ชัดดมากอย่าง Survival Mode
00:25:53 → 00:25:56 อาจจะเกิดขึ้นในกลุ่มวัยทำงานที่ต้องทำ
00:25:56 → 00:25:59 งานตลอดงานเยอะหรือว่าว่าสมมติจบงานแล้ว
00:25:59 → 00:26:03 ก็ต้องมีเข้าสังคมหรืออะไรก็ตามทำให้ไม่
00:26:03 → 00:26:05 ค่อยได้ใช้ชีวิตตามรูทีนที่ควรจะเป็นตาม
00:26:05 → 00:26:08 ธรรมชาติรไม่ได้ใช้ชีวิตตามพระอาทิตย์
00:26:08 → 00:26:12 ด้วยซ้ำใช่ๆถึงเวลานอนแล้วก็อาจจะแบบไม่
00:26:12 → 00:26:14 ได้นอนอะไรอย่างเงี้ยค่ะแล้วก็ถึงเวลาพัก
00:26:14 → 00:26:18 เราก็ไม่ได้พักหรือเคยมยเราอาจจะพักไป
00:26:18 → 00:26:21 เที่ยวทะเลแต่หัวเราอ่ะคิดตลอดเพราะว่า
00:26:21 → 00:26:24 เราชินกับความความไม่ได้ผักอ่ะคววามที่
00:26:24 → 00:26:26 เราไล่ล่าหรือว่าความที่เราแบบต้องทำงาน
00:26:26 → 00:26:30 นะฉันต้องทำมากกว่านี้เราชิกับสภาวะนั้น
00:26:30 → 00:26:33 จนมันปิดโหมดไม่ได้อ่ะค่ะจริงๆฟังดู
00:26:33 → 00:26:37 เหมือนไม่มีอะไรแต่ว่ามีสำคัญมากเลยเออ
00:26:37 → 00:26:39 สำคัญต่อสุขภาพกายแล้วก็สำคัญต่อสุขภาพ
00:26:39 → 00:26:41 จิตด้วยพี่ว่า
00:26:41 → 00:26:44 นะถึงแม้ว่าเราอาจจะเป็นคนนึงที่อยู่ใน
00:26:44 → 00:26:47 Survival หมดค่ะแล้วก็สมมุติฟังคลิปนี้
00:26:47 → 00:26:49 แล้วก็รู้สึกว่าโอเคเราจะเริ่มหาเวลาพัก
00:26:49 → 00:26:51 ให้กับตัวเองมากขึ้นแต่อย่างที่บอกเนาะ
00:26:51 → 00:26:53 ว่าพอร่างกายมันชินกับการอยู่ในโหมดไล่
00:26:53 → 00:26:57 ล่ามาโดยตลอดค่ะพอไปพักปุ๊บมันก็ยังไม่
00:26:57 → 00:27:00 ได้ใช่มยอเราทำยดีที่จะค่อยๆปรับสมดุล
00:27:00 → 00:27:03 ร่างกายเราให้มาอยู่ในหมดพักได้มากขึ้น
00:27:03 → 00:27:06 อ๋อโอเคการหายใจเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด
00:27:06 → 00:27:10 เป็นของขวัญที่แบบว่ามีในมนุษย์ทุกคนน้อง
00:27:10 → 00:27:13 แพนด้าลองจินตนาการเคยแบบวิ่งแข่งมยค่ะ
00:27:13 → 00:27:16 ตอนที่เราวิ่งเสร็จอ่ะเราหายใจแบบไหนหนก็
00:27:16 → 00:27:20 เฮือกใหญ่นเออคือเราจะหายใจหอบใช่มคะเออ
00:27:20 → 00:27:24 แบบเราจะหายใจแบบหอบอ่ะเหนื่อยลองดูนะ
00:27:24 → 00:27:27 เวลาที่เราเหนื่อยเราจะหอบพอหอบเนี่ยเรา
00:27:27 → 00:27:30 จะหายใจแล้วก็6กกระเพื่อมอถูกป่ะอันนั้น
00:27:30 → 00:27:32 น่ะคือหมดไล่ล่าแต่เวลาที่เราไปเดินชาย
00:27:32 → 00:27:35 ทะเลมีความสุขอ่ะค่ะเราจะหายใจอีกแบบนึ
00:27:35 → 00:27:38 เพราะฉะนั้นเนี่ยการที่เราอ่ะจะพาร่างกาย
00:27:38 → 00:27:40 เข้าสู่โหมดพักผ่อนน่ะไม่จำเป็นที่จะต้อง
00:27:40 → 00:27:43 ไปใช้ทะเลทุกวันแต่คือการที่เราต้องหายใจ
00:27:43 → 00:27:46 ให้ถูกและหายใจให้เป็นคือจริงๆแล้ว
00:27:46 → 00:27:50 ธรรมชาติของมนุษย์เราเกิดมาและหายใจลงไป
00:27:50 → 00:27:52 ที่ท้องน้องแพลองดูก็ได้ค่ะหรือว่าทุกคน
00:27:52 → 00:27:55 ลองดูก็ได้ว่าอาจจะเอาแบบมือขวาวางไว้ใช่
00:27:55 → 00:27:58 ไหมแล้วก็มือซ้ายอันนี้อ่ะแล้วลองหายใจ
00:27:58 → 00:28:04 เข้าหายใจออกอกหรือว่าท้องขยับของไม่หน้า
00:28:04 → 00:28:07 ท้องนะเออมีใครแบบว่าอยู่ที่อกมยคะอันนี้
00:28:07 → 00:28:11 ลองค่อยๆเช็คได้นะแต่ทีมงานบักท้อง
00:28:11 → 00:28:14 ใหญ่จริงๆแล้วอ่ะธรรมชาติของมนุษย์อ่ะค่ะ
00:28:14 → 00:28:17 เราหายใจไปที่ท้องเออเขาเรียกว่าเป็น diag
00:28:17 → 00:28:20 Matic breathing คือหายใจแล้วท้องป่อง
00:28:20 → 00:28:23 แต่ทีเนี้ยเวลาที่เราแสดงว่าเยเป็นภาวะ
00:28:23 → 00:28:26 พักเด็กน้อยเนี่ยเขาจะหายใจไปที่ท้องหลาย
00:28:26 → 00:28:29 ครั้งมากตอนแรกที่พี่ทำคำเอ่อสอนเรื่อง
00:28:29 → 00:28:32 การหายใจอ่ะคนหายใจที่อกเยอะมากค่ะเพราะ
00:28:32 → 00:28:35 ว่าจริงๆแล้วการหายใจที่อกคือโหมดไล่ล่า
00:28:35 → 00:28:38 แต่ท้องอ่ะคือการหายใจแบบผ่อนคลายหรือว่า
00:28:38 → 00:28:41 เข้าสู่ภาวะพักแต่พอเราอยู่ในภาวะแบบ
00:28:41 → 00:28:43 เครียดตลอดเวลาสิ่งแวดล้อมที่เป็นเครียด
00:28:43 → 00:28:47 ตลอดเวลามนุษย์วิวัฒนาการเออคือมนุษย์จะ
00:28:47 → 00:28:51 ปรับร่างกายให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมเหมือน
00:28:51 → 00:28:55 เหมือนอะไรนะีฟอ่ะค่ะที่คอต้องยาวมนุษย์
00:28:55 → 00:28:59 เลยวิวัฒนาการมาหายใจที่อกตลอดเวาตลอดจน
00:28:59 → 00:29:02 กลายเป็นธรรมชาติใหม่ของเขาและนั่นทำให้
00:29:02 → 00:29:05 ร่างกายเขารับรู้ได้ว่าต้องล่าตลอดเวลา
00:29:05 → 00:29:08 ด้วยเพราะฉะนั้นการฝึกให้ร่างกายแบบเข้า
00:29:08 → 00:29:11 สู่หมดผ่อนคลายคือการที่เราต้องฝึกหายใจ
00:29:11 → 00:29:15 ไปที่ท้องค่ะคือพอเราหายใจไปที่ท้องปุ๊บ
00:29:15 → 00:29:19 อ่ะมันคือการส่งสัญญาณว่าพักว่าพักแล้วก็
00:29:19 → 00:29:22 เหมือนค่อยๆเหมือนหยอดกระปุกสอนร่างกาย
00:29:22 → 00:29:26 ใหม่ว่าจริงๆแล้วอเธอพักได้นะเธอหยุดได้
00:29:26 → 00:29:29 นะรู้ไหมว่าแค่เรื่องหายใจที่อกกับที่
00:29:29 → 00:29:33 ท้องอ่ะคนติดเยอะมากคนบอกพี่ว่าแบบหมอฟ้า
00:29:33 → 00:29:36 พี่ว่ามันไม่น่าจะใช่นะพี่ว่าคนน่ะต้อง
00:29:36 → 00:29:39 หายใจที่อกเพราะว่าพี่หายใจที่ท้องแล้ว
00:29:39 → 00:29:42 พี่เหนื่อยฟ้าก็เลยบอกว่าพี่อาจจะต้องแบบ
00:29:42 → 00:29:45 ลองกลับไปดูเด็กน้อยเด็กน้อยจะหายใจไปที่
00:29:45 → 00:29:47 ท้องแต่ที่เราหายใจที่ท้องไม่ได้เพราะว่า
00:29:47 → 00:29:51 เราชินกับการหายใจไปที่อกเราชินกับการไล่
00:29:51 → 00:29:54 ล่าค่ะร่างกายเลยเกิดการวิวัฒนาการเพราะ
00:29:54 → 00:29:58 ฉะนั้นถ้าช่วงแรกในการที่เราจะปรับให้เรา
00:29:58 → 00:30:01 แบบได้มีโหมดพักขึ้นฟ้ารู้สึกว่ากลับมา
00:30:01 → 00:30:04 ที่ลมหายใจ 1 ให้กลับมารู้ลมหายใจ 2 หาย
00:30:04 → 00:30:07 ใจไปที่ท้องถ้าช่วงแรกเหนื่อยให้ฝึกตอน
00:30:07 → 00:30:10 นอนก่อนนอนแบบเหมือนตอนที่เรากำลังจะหลับ
00:30:10 → 00:30:13 ตาแล้วเราก็เอามือวางไว้ที่ท้องเออแล้วก็
00:30:13 → 00:30:17 ฝึกให้แบบหายใจท้องป่องเพื่อให้ส่งสัญญาณ
00:30:17 → 00:30:21 ใหม่ให้ร่างกายอ่ะค่ะว่าแบบเอ้ยพักพักนะ
00:30:21 → 00:30:24 ค่ะอันนี้คือพักซึ่งนี้เรื่องใหญ่มากนะ
00:30:24 → 00:30:28 บางคนนอนเองไม่ได้กินยานอนหลับแบบเป็น 10
00:30:28 → 00:30:33 ปีแค่ฝึกหายใจแบบนี้นะคะแบบชีวิตประจำวัน
00:30:33 → 00:30:35 หายใจอะไรก็หายใจไปใช่มมแล้วตอนตอนก่อน
00:30:35 → 00:30:39 นอนอ่ะแค่กลับมาที่ท้องอ่ะเคค่อยๆลดยานอน
00:30:39 → 00:30:41 หลับนะเพราะว่ามันคือการที่บอกร่างกายว่า
00:30:41 → 00:30:45 ถึงเวลาพักแล้วอมันเป็นการคุยกับร่างกาย
00:30:45 → 00:30:48 ผ่านลมหายใจอ่ะค่ะว่าถึงเวลาพักแล้วเข้า
00:30:48 → 00:30:50 โหมดพาราซิมแล้วแล้วสุดท้ายอ่ะเขาเลือกยา
00:30:50 → 00:30:52 นอนหลับแล้วเ้าบอกว่าเรื่องนี้เรื่องใหญ่
00:30:52 → 00:30:55 นะเพราะว่าการที่เรากินยานอนหลับมา 10 ปี
00:30:55 → 00:30:58 อ่ะเราชินกับสิ่งนี้แต่สมมุติก็เราค่อยๆ
00:30:58 → 00:31:01 ลดเองอ่ะค่ะหมายถึงว่าค่อยๆลดไปทีละนิดจน
00:31:01 → 00:31:03 วันที่เราไม่ต้องใช้เ้าแล้วอ่ะมันคือการ
00:31:03 → 00:31:07 ที่เราแบบเหมือนชนะอ่ะเออชนะตัวเองอ่ะเออ
00:31:07 → 00:31:09 ซึ่งเรื่องเนี้ยยิ่งใหญ่มากการหายใจเป็น
00:31:09 → 00:31:12 เรื่องพี่มองว่ามันแบบมองว่าเป็นเรื่อง
00:31:12 → 00:31:16 เล็กๆแต่คนไม่เห็นคุณค่าความสำคัญและเป็น
00:31:16 → 00:31:20 สิ่งที่สำคัญมากๆเพราะว่าจริงๆแล้วลมหาย
00:31:20 → 00:31:23 ใจก็ทำให้สุขภาพดีขึ้นหรือแยหรือแย่ลงได้
00:31:23 → 00:31:27 ด้วยได้ถ้าสิ่งนี้สามารถวิวัฒนาการมนุษย์
00:31:27 → 00:31:30 ได้อ่ะมันมันมันสำคัญในการที่เราจะ
00:31:30 → 00:31:33 เปลี่ยนได้เลยถามเป็นเทคนิคนิดนึงค่ะว่า
00:31:33 → 00:31:37 แล้วจะหายใจยังไงให้ถึงท้องคือคือเราบอก
00:31:37 → 00:31:40 ว่าอ๋อท้องขึ้นมั้ยอ่ะบางคนก็รู้สึกว่า
00:31:40 → 00:31:42 ท้องขึ้นแล้วแต่มันอาจจะยังไม่ถูกก็ได้
00:31:42 → 00:31:46 อ๋อพี่รู้สึกว่าแบบอาจจะไม่ต้องมีมาตรวัด
00:31:46 → 00:31:49 ว่าถูกหรือผิดก็ได้อค่ะอ่ะให้ทำในขอบเขต
00:31:49 → 00:31:53 ที่เราทำได้เช่นถ้าใช้ชีวิตปกติทำไม่ได้
00:31:53 → 00:31:56 เลยขอแค่ตอนเช้ากับตอนนอนได้ไในภาวะที่
00:31:56 → 00:31:59 แบบเออเราค่อยๆเหมือนมาจ่ายให้กับตัวเอง
00:31:59 → 00:32:02 อ่ะให้เริ่มจากทีละนิดก่อนเพราะว่าพี่จะ
00:32:02 → 00:32:05 ไม่ค่อยใส่แบบทุกอย่างไปในทีเดียวว่าเธอ
00:32:05 → 00:32:08 จะต้องหายใจที่ท้องนะหายใจทั้งวันนะกลาย
00:32:08 → 00:32:10 เป็นว่าทั้งวันไม่ทำอะไรแล้วอ่ะเครียด
00:32:10 → 00:32:13 หนักกว่าเดิมอีกอ่ะในการกลับมาจ้องท้อง
00:32:13 → 00:32:17 ให้ขอแค่แบบสบายๆค่ะรู้ตัวก็กลับมาทำได้
00:32:17 → 00:32:20 ก็ทำทำไม่ได้ก็ปล่อยผ่านแล้วก็อยู่กับเขา
00:32:20 → 00:32:22 ไปไเพราะสุดท้ายลมหายใจก็อยู่กับเราทั้ง
00:32:22 → 00:32:25 ชีวิตอยู่แล้วอ่ะเพราะฉะนั้นน่ะค่อยๆปรับ
00:32:25 → 00:32:28 ไปตามตามสิ่งที่เราทำได้
00:32:28 → 00:32:33 โหลมหายใจนี่มหัศจรรย์มากๆจ้น้องแม้าเรา
00:32:33 → 00:32:35 จะต้องลองไปแบบลองทำดูแต่สำคัญคืออย่า
00:32:35 → 00:32:37 เครียดเพราะว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ทำอะไร
00:32:37 → 00:32:39 เราเครียดเนี่ยเดี๋ยวมันเอฟเฟคมากกว่า
00:32:39 → 00:32:42 เดิมใช่อ่าค่ะชินี้ที่เราติดเอาไว้อยู่
00:32:42 → 00:32:45 ตอนแรกค่ะที่พูดว่าเรื่องของการที่เราเสพ
00:32:45 → 00:32:46 ติด
00:32:46 → 00:32:51 อ่าฮอร์โมนบางอย่างอ่าของการกินของหวาน
00:32:51 → 00:32:54 แล้วก็ถ้าคนที่รู้สึกว่าโอเครู้แล้วล่ะใน
00:32:54 → 00:32:57 เชิงทฤษฎีรู้ะทีนี้ในเชิงปฏิบัติข่ะว่าอื
00:32:58 → 00:33:01 จะต้องลดหรอลดแค่ไหนมันก็เป็นความสุขนะ
00:33:01 → 00:33:04 หรือว่าทำยังไงที่มันดีต่อร่างกายเรามาก
00:33:04 → 00:33:07 ขึ้นอืค่ะอันดับแรกนะคะร่างกายเราอ่ะมัน
00:33:07 → 00:33:11 สมมุติว่าเขาเสพติดไปแล้วอ่ะเราจะต้องทำ
00:33:11 → 00:33:15 เหมือนค่อยๆเป็นกบฏอ่ะอย่ากระโตกกระตาก
00:33:15 → 00:33:19 เพราะว่าเค้าเถูกเซตออโต้มาแล้วมันเหมือน
00:33:19 → 00:33:22 Comfort โซนของเขาเป็นพื้นที่ปลอดภัยของ
00:33:22 → 00:33:25 เขาเช่นเากินกาแฟทุกวันหรือว่ากินน้ำตาล
00:33:25 → 00:33:27 ทุกวันน่ะเออมันเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเขา
00:33:27 → 00:33:30 ทีนี้ถ้าเราต้องการที่จะลดการยาน้ำตาลไม่
00:33:30 → 00:33:34 ต้องแบบฉันจะประกาศไม่ต้องค่ะค่อยๆปรับทำ
00:33:34 → 00:33:37 เหมือนเป็นกบดเล็กๆน้อยๆอ่ะจากปกติเรากิน
00:33:37 → 00:33:42 แบบน้ำหวานแก้วนึงเออเราลองลดหวานน้อยลง
00:33:42 → 00:33:45 มานิดนึงหรือปกติกินวันละแก้วอ่ะกลายเป็น
00:33:45 → 00:33:48 วันละ 2 2 วันแก้วได้ไหหรือว่ากินครึ่ง
00:33:48 → 00:33:50 นึงแบ่งกับเพื่อนครึ่งนึงอะไรอย่างเงี้ย
00:33:50 → 00:33:53 ค่ะค่อยๆทำมันเป็นกระบวนการเมตตาตัวเอง
00:33:54 → 00:33:57 อ่ะไม่ใช่บอกว่าเขาบอกว่าการไม่กินน้ำตาล
00:33:57 → 00:33:59 ดีนะแต่มันก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในความสุข
00:33:59 → 00:34:02 ของเราก็ได้เพราะฉะนั้นลองปรับจากเคยใช้
00:34:02 → 00:34:05 น้ำตาลที่เป็นแบบซูโดที่เป็นแบบน้ำตาลเลย
00:34:05 → 00:34:07 อ่ะลองเปลี่ยนเป็นหญ้าหวานได้ไหรือว่าลอง
00:34:08 → 00:34:11 เปลี่ยนเป็นน้ำตาลหล่อฮังก๊วยได้ไหให้บาน
00:34:11 → 00:34:14 ความสุขและบานแบบร่างกายเราไม่จำเป็นที่
00:34:14 → 00:34:18 จะต้องตัดทุกอย่างอ่ะค่ะลองแบบบานเวลาเรา
00:34:18 → 00:34:21 ใช้ชีวิตอ่ะมันมันมีแบบหลายมิติไงเพราะ
00:34:21 → 00:34:23 ว่าพี่ก็แบบไม่ได้งดได้ 100% บางวันฉันก็
00:34:23 → 00:34:26 อยากหวานมากอะไรอย่างเงี้ยค่ะแต่ค่อยๆ
00:34:26 → 00:34:30 อยู่กับเขาคๆไปกับเขาอยากกระตกกระตากพอ
00:34:30 → 00:34:34 กระตกกระตากปุ๊บเดี๋ยวจะมีการดึงกลับโยโย
00:34:34 → 00:34:36 ใช่ๆดึงกลับมันเป็นเรื่องเดียวกับลดน้ำ
00:34:36 → 00:34:40 หนักเอ่อก่อนหน้าที่จะมามาอัดอ่ะค่ะมีพี่
00:34:40 → 00:34:43 คนนึงถามเขว่าแบบเออถ้าเขาจะลดน้ำหนักอ่ะ
00:34:43 → 00:34:46 เค้าตั้งไว้ว่าเขาจะลดน้ำหนัก 65 ภายในปี
00:34:46 → 00:34:49 นี้แล้วมันไม่เคยได้สักทีเลยแล้วมันวน
00:34:49 → 00:34:52 หลูบใครเคยเจอใช่มยจริงๆอ่ะเนี้ยค่ะมัน
00:34:52 → 00:34:54 เกิดจากการที่เราอ่ะลืมเมตตาตัวเองหรือ
00:34:54 → 00:34:57 ว่าเรากระตกกระตากจริงๆการลดน้ำหนักอ่ะ
00:34:57 → 00:34:59 เราต้องแบบไม่ต้องคิดว่าเป็นการลดน้ำำ
00:34:59 → 00:35:03 หนักแต่คิดว่าค่อยๆปรับวิถีชีวิตแต่เรา
00:35:03 → 00:35:05 อาจจะไม่ต้องตั้งธงว่าจะลดกี่กโลในเท่า
00:35:05 → 00:35:08 ไหร่มันเหมือนเป็นการประกาศก้าวและร่าง
00:35:08 → 00:35:11 กายนั้นก็จะแบบเกิดการแอนตี้พอเรารู้สึก
00:35:11 → 00:35:14 ว่าเราอยากลดอ่ะแสดงว่าเราอ่ะรู้สึกว่า
00:35:14 → 00:35:18 มันไม่โอเคกับตอนนี้เราไม่โอเคกับร่างนี้
00:35:18 → 00:35:20 เออเพราะฉะนั้นเนี่ยร่างกายจะรู้สึกว่า
00:35:20 → 00:35:22 เขาเครียดแล้วเขาจะหลังฮอร์โมนแห่งความ
00:35:22 → 00:35:25 เครียดขึ้นมาเราเลยลดไม่ได้สักทีวิธีการ
00:35:25 → 00:35:30 ก็คือว่าเราจะต้องกินให้ช้าลงเพื่อรับรู้
00:35:30 → 00:35:32 แล้วก็ใช้การกินนั้นในการกลับมาบอกรัก
00:35:32 → 00:35:34 ร่างกายถ้าเราไม่ชอบตรงนี้แสดงว่าเรา
00:35:34 → 00:35:36 เกลียดอ่ะมันเป็นอารมณ์เชิงข้างล่างอ่ะ
00:35:36 → 00:35:39 ค่ะเราเรวนหลูแต่ถ้าทุกการกินเราทำมา
00:35:39 → 00:35:42 เพื่อแบบบอกรักอ่ะมันเป็นอารมณ์เชิงบวก
00:35:42 → 00:35:44 เออเพราะฉะนั้นเราจะทำได้ง่ายขึ้นแล้ว
00:35:44 → 00:35:47 ค่อยๆปรับเช่นแบบอาจจะเปลี่ยนจากการกิน
00:35:47 → 00:35:50 น้ำหวาน 2 แก้วเป็นแก้วนึงเปลี่ยนจากข้าว
00:35:50 → 00:35:53 ขาวเป็นข้าวอันเงี้ยค่อยๆทำทีละนิดอ่ะค่ะ
00:35:53 → 00:35:56 มันจะทำได้สำเร็จมากกว่าอืค่ะที่สำคัญก็
00:35:56 → 00:36:00 คือว่าอย่างที่พี่หมอฟ้าบอกเลยว่าต้องไม่
00:36:00 → 00:36:02 แข่งกับใครเพราะว่าการเปรียบเทียบตัวเอง
00:36:02 → 00:36:04 กับคนอื่นอมันก็เป็นพลังงานที่ต่ำอีก
00:36:04 → 00:36:08 เหมือนกันอืใช่ๆลองดูก็ได้ค่ะเวลาที่เรา
00:36:08 → 00:36:11 เปรียบเทียบกับคนอื่นเราจะรู้สึกว่าคน
00:36:11 → 00:36:13 อื่นสูงกว่าเพราะฉะนั้นน่ะเราจะรู้สึกว่า
00:36:13 → 00:36:17 เราอ่ะดีไม่พอสักทีไอ้คำว่าแบบทำเท่าไหร่
00:36:17 → 00:36:21 ก็ดีไม่พอสักทีอ่ะมันเป็นูปที่ไม่สามารถ
00:36:21 → 00:36:25 ขึ้นมาได้อ่ะค่ะแต่ถ้าเรายอมรับไปเลยนะ
00:36:25 → 00:36:27 ว่าก็ทำได้เท่าเนี้ยมันขึ้นไป 300 50
00:36:27 → 00:36:31 แล้วอ่ะเออแต่ไอ้คำว่าแบบเออฉันมันไม่ดี
00:36:31 → 00:36:33 หรือว่าฉันดีไม่พอมันได้แค่แบบ 50 หรือ
00:36:33 → 00:36:36 ว่า 100 นึงอ่ะค่ะมันมันต่างกันมากังว่า
00:36:36 → 00:36:39 ยอมรับไปเลยทำได้เท่านี้ก็เท่านี้แล้วไป
00:36:39 → 00:36:41 ในจังหวะของแบบตัวเองล้วนแล้วแต่เป็น
00:36:41 → 00:36:44 เรื่องที่ต้องฝึกเนาะทุกอย่างใชไม่ใช่ว่า
00:36:44 → 00:36:47 แบบคิดแล้วเข้าใจวันนี้แล้วคิดว่ามันจะ
00:36:47 → 00:36:49 ได้ในไม่กี่วันไม่ใช่คือมันต้องฝึกซ้ำๆ
00:36:49 → 00:36:52 เรื่อยๆทีนี้แพด้าเคยได้ยินมาอีกแล้วค่ะ
00:36:52 → 00:36:55 ว่าการสวดมนต์เนี่ยค่ะคุณมฟ้าจะช่วย
00:36:55 → 00:36:58 สามารถเปลี่ยนโมเลกุลน้ำในร่างกายของเรา
00:36:58 → 00:37:01 ได้เออทำให้เราเป็นคนที่แบบพลังงานดีขึ้น
00:37:01 → 00:37:03 อาจจะมีออร่ามากขึ้นอะไรอย่างเงี้ยโอเ
00:37:03 → 00:37:06 เกี่ยวกันมั้ยคะจริงๆอันนี้มีงานวิจัยของ
00:37:06 → 00:37:10 ดรมาซารุอิโตที่เขาเอาน้ำขึ้นมาค่ะแล้วก็
00:37:10 → 00:37:12 อันนึงเป็นน้ำปกติแล้วก็อีกอันนึงเ่ะเขา
00:37:12 → 00:37:14 ไม่ได้เป็นสวดมนต์นะเป็นเหมือนกับบอกรัก
00:37:14 → 00:37:19 อ่ะฉันรักเธอนะฉันชอบเธอนะฉันภูมิใจในตัว
00:37:19 → 00:37:21 เธอแล้วก็เอาผลึกของน้ำเนี่ยมาเข้าก้อง
00:37:21 → 00:37:24 จุลทัศน์แล้วก็ดูว่ามันเป็นยังไงสรุปก็
00:37:24 → 00:37:27 คือว่าน้ำที่เราแบบพูดคำดีๆอ่ะเขากลาย
00:37:27 → 00:37:29 เป็นผลึกที่แบบสวยงามแต่ถ้าเกิดว่าเอา
00:37:29 → 00:37:32 อันเนี้ยมาลิงก์กับการสวดมนต์น่ะจริงๆอ่ะ
00:37:32 → 00:37:35 ความลับก็คือว่ารู้ไมว่าการสวดมนต์นะคะ
00:37:35 → 00:37:38 หรือว่าการที่เราท่องบทอะไรอย่างเงี้ยมัน
00:37:38 → 00:37:41 ไปสอดคล้องกับลมหายใจ 1 คือเรื่องของผลึก
00:37:41 → 00:37:44 น้ำเออที่มีการทำทดลองแบบเยอะมากค่ะไม่
00:37:44 → 00:37:46 ว่าจะเป็นเรื่องน้ำหรือว่าเรื่องที่เขา
00:37:46 → 00:37:50 แบบเอาข้าวมาเออแล้วอันนึงพูดว่าเกลียด
00:37:50 → 00:37:52 อ่ะจะขึ้นลาเร็วแต่อันไหนที่เราบอกว่ารัก
00:37:52 → 00:37:55 เขาจะอยู่ได้นานส่วนนึงนะแต่ว่าการสวด
00:37:55 → 00:37:58 มนต์ที่ทำให้ร่างกายเราแข็งแรงดีหรือถือ
00:37:58 → 00:38:00 ว่าแบบอยู่ในสภาวะที่ดีมันเกี่ยวข้องกับ
00:38:00 → 00:38:03 การหายใจการหายใจอ่ะมันจะมีจังหวะนึงเขา
00:38:03 → 00:38:05 เรียกว่าเป็น coherent breathing ก็คือ
00:38:05 → 00:38:09 การหายใจที่สอดคล้องเข้า 5.5 วินีออก 5.5
00:38:09 → 00:38:15 วินนี่คือลมหายใจที่ไปสอดคล้องกับการเต้น
00:38:15 → 00:38:19 ของหัวใจสอดคล้องกับสมดุลร่างกายอ่ะค่ะ
00:38:19 → 00:38:22 แล้วเชื่อไหมว่ามีแบบงานวิจัยที่บอกว่า
00:38:22 → 00:38:26 เวลาเราสวดมนต์จังหวะที่สวดมนต์น่ะค่ะมัน
00:38:26 → 00:38:29 ทำให้เราหายใจ 5.5 วนสังเกตไม่ว่าจะเป็น
00:38:29 → 00:38:31 บวชสวดมนต์หรือเวลาเราร้องเพลงอ่ะมันจะ
00:38:31 → 00:38:35 เป็นจังหวะอืเออไอ้จังหวะนั้นน่ะมันสอด
00:38:35 → 00:38:37 คล้องกับลมหายใจกับร่างกายมันก็เลยทำให้
00:38:37 → 00:38:40 เราอ่ะสุขภาพดีอ้าแล้วถ้าสมมุติบางคนสวด
00:38:40 → 00:38:44 มนต์แต่ว่าแรปอะไรนะแรปค่ะสวดเร็วสดแบบมี
00:38:44 → 00:38:48 จังหวะเป็นของตัวเองออ่าๆๆๆมันยังจะ 5.5
00:38:48 → 00:38:50 วิปค่ะอันเนี้ยน่าจะไม่ 5.5 จริงๆมันมีบท
00:38:50 → 00:38:53 ของเขาว่าคำไหนที่แบบเป็น 5.5 นะแต่
00:38:53 → 00:38:56 สำหรับพี่อ่ะการที่แบบว่าสวดมนต์อ่ะค่ะ
00:38:56 → 00:38:58 อย่างน้อยที่สุดสุดอ่ะมันคือการที่ฝึกเขา
00:38:58 → 00:39:01 อยู่กับปัจจุบันขณะมันคือการที่เขาแบบฝึก
00:39:01 → 00:39:04 อยู่อย่างน้อยก็ไม่ได้คิดอะไรแบบในตอน
00:39:04 → 00:39:06 นั้นเพราะว่าสวดมนต์ส่วนมากเราก็จะสวด
00:39:06 → 00:39:08 มนต์ออกเสียงเวลาเราออกเสียงเเราก็จะอยู่
00:39:08 → 00:39:10 กับโฟกัสในบทนั้นใช่ป่ะเออเราก็จะแบบอยู่
00:39:11 → 00:39:13 กับปัจจุบันขณะด้วยเออเพราะฉะนั้นการสวด
00:39:13 → 00:39:15 มนต์มีทั้งหลายอย่างค่ะ 1 เขาเปลี่ยน
00:39:15 → 00:39:18 โมเลกุลน้ำในร่างกายเออทำให้เราอยู่กับ
00:39:18 → 00:39:21 ปัจจุบันขณะทำให้ลมหายใจเราสอดคล้องกับ
00:39:21 → 00:39:23 ร่างกายอีกแล้วมีอะไรอีกบ้างมั้ยคะที่จะ
00:39:24 → 00:39:26 ช่วยเปลี่ยนโมเลกุลน้ำในร่างกายของเราได้
00:39:26 → 00:39:28 น่าจะเป็นอันเมื่อกี้ที่พี่แบบบอกกับ
00:39:28 → 00:39:32 แพนด้าก็คือการพูดสิ่งดีๆอ่ะขนาดตัวเรา
00:39:32 → 00:39:34 อ่ะเราอยู่กับเราตลอดเวลาค่ะการที่เราแบบ
00:39:34 → 00:39:37 พูดสิ่งดีๆกับตัวเราเองอ่ะอันเนี้ยมีผล
00:39:37 → 00:39:40 กับเซลส์ในร่างกายมีผลกับโมเลกุลน้ำด้วย
00:39:40 → 00:39:43 อือือคำพูดของเราที่มีต่อตัวเราเองใช่
00:39:43 → 00:39:45 เพราะมันพูดซ้ำๆอ่าถ้ายังไม่ออกมาเป็นคำ
00:39:45 → 00:39:48 พูดแต่เป็นความคิดที่มีต่อตัวเรามีผลหมด
00:39:48 → 00:39:51 ต้องค่อยๆรู้ตัวเนาะโอสำคัญมากเพราะบาง
00:39:51 → 00:39:55 ครั้งเหมือนเราคิดสมมุติเราคิดไม่ดีกับคน
00:39:55 → 00:39:58 อื่นอ่ะแพนด้าเคยได้ยินมาว่าจริงจริงคน
00:39:58 → 00:40:00 แรกที่รู้อ่ะคือตัวเราคือเราเพราะว่าเรา
00:40:00 → 00:40:03 แค่คิดปุ๊บมันก็สั่นสะเทือนในเราแล้วอะไร
00:40:03 → 00:40:05 อย่างเงี้ยค่ะทีนี้เราเข้าใจกันแล้วค่ะ
00:40:05 → 00:40:09 ว่าถ้าเรามีพลังงานที่ดีนิสัยที่ดีก็อาจ
00:40:09 → 00:40:12 จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นได้พน้า
00:40:12 → 00:40:15 อยากรู้ว่าแล้วอย่างเงี้ยค่ะสมาธิมีส่วน
00:40:15 → 00:40:17 ช่วยในการที่ทำให้เราพลังงานดีขึ้นได้ไม
00:40:17 → 00:40:21 คะออืจริงๆสมาธิเป็นเครื่องมือที่ทำให้
00:40:21 → 00:40:25 เราเห็นตัวเองสังเกตมยเวลาเรานั่งสมาธิ
00:40:25 → 00:40:29 อ่ะเราหลับตาใช่มคะแล้วเรากลับมาที่ลมหาย
00:40:29 → 00:40:31 ใจไม่ว่ามีความคิดอะไรเรากลับมาที่ลมหาย
00:40:31 → 00:40:34 ใจมันเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราเห็นตัว
00:40:34 → 00:40:37 เองมากขึ้นว่าอ๋อจริงๆแล้วเนี่ยฉันเป็นคน
00:40:37 → 00:40:39 ที่แบบเห็นอะไรฉันก็ตอบสนองหมดหรือฉัน
00:40:40 → 00:40:42 เป็นคนแบบนั้นแบบนี้อะไรเงี้ยค่ะเพื่อให้
00:40:42 → 00:40:44 เสียงข้างนอกมันเบาลงแล้วเราได้ยินเสียง
00:40:44 → 00:40:47 ตัวเองเยอะขึ้นสมาธิอ่ะพี่มองว่าคือ
00:40:47 → 00:40:50 เหมือนกันยกเวททางใจอ่ะหรือว่ายกเวททาง
00:40:50 → 00:40:52 จิตอ่ะเวลาที่เราฝึกจิตเหมือนกับถ้าเรา
00:40:52 → 00:40:54 อยากมีกล้ามเราก็ต้องยกเวทชีวิตจริงแต่
00:40:54 → 00:40:56 ถ้าเกิดว่าเราอยากให้กำลังจิตเราแข็งแรง
00:40:56 → 00:40:59 อ่ะก็คือการที่เราฝึกสมาธิเพราะว่าทุก
00:40:59 → 00:41:01 ครั้งที่มีความคิดแล่นกลับเข้ามามีความ
00:41:01 → 00:41:03 คิดแล่นเข้ามากลับมาที่จุดศูนย์กลางมัน
00:41:03 → 00:41:06 คือทำให้ตรงเนี้ยแข็งแรงแลตรงนี้แข็งแรง
00:41:06 → 00:41:08 มันมีผลต่อการสร้างนิสัยเพราะว่าเวลาเรา
00:41:08 → 00:41:10 สร้างนิสัยอ่ะเราต้องใช้กำลังจิตที่แข็ง
00:41:10 → 00:41:13 แรงนะใช้ความตั้งจิตตั้งใจอ่ะเช่นฉั้นจะ
00:41:13 → 00:41:15 เป็นคนใหม่แล้วอย่างเงี้ยและต่อเนื่องยาว
00:41:15 → 00:41:17 นานพอด้วยเราใช้กำลังจิตเยอะมากค่ะเพราะ
00:41:17 → 00:41:20 ฉะนั้นสมาธิเป็นจุดที่ทำให้เราฝึกกำลัง
00:41:20 → 00:41:22 จิตให้แข็งแรงเป็นฝึกที่ทำให้เราแบบกลับ
00:41:22 → 00:41:25 มาอยู่กับปัจจุบันขณะไม่ได้ไหลไปกับระบบ
00:41:25 → 00:41:27 ออโต้ที่มันถูกเซตอัตโนมัติที่ทำให้เรา
00:41:27 → 00:41:30 แบบมีชีวิตที่เราแบบอาจจะยังไม่โอเคกับ
00:41:30 → 00:41:33 ตอนเนี้ยเอออค่ะแปลว่าถ้าสมมุติใครที่
00:41:33 → 00:41:35 กำลังรู้สึกว่าอยากเปลี่ยนพลังงานอยาก
00:41:35 → 00:41:38 เปลี่ยนนิสัยแล้วก็เริ่มทำในเชิงปฏิบัติ
00:41:38 → 00:41:40 ละแต่ว่าเหมือนทำๆไปสักพักนึงแล้วอาจจะ
00:41:40 → 00:41:42 แบบกลับไปนิสัยเดิมหรืออะไรอย่างงี้แล้ว
00:41:42 → 00:41:45 ก็รู้สึกหมดกำลังใจสมาธิก็ช่วยตรงนี้ได้
00:41:46 → 00:41:49 ทำให้เรามีกำลังใจต่ออืมทำให้เรารู้ตัว
00:41:49 → 00:41:52 ค่ะพอเรารู้ตัวเราจะรู้สึกว่ามันเป็น
00:41:52 → 00:41:55 เรื่องธรรมดาที่เกิดเรื่องพวกนี้ได้หรือ
00:41:55 → 00:41:58 ว่าทำให้เรากลับมายอมรับตัวเองอืถ้าง่าย
00:41:58 → 00:42:00 กว่านั้นก็หมายความว่าณขณะนั้นที่เรา
00:42:00 → 00:42:03 กำลังทำอะไรแล้วเรารู้ตัวเนี่ยอสมาธิก็
00:42:03 → 00:42:06 คือลมหายใจใช่หลายทีเราจะรู้สึกว่าเอ้ย
00:42:06 → 00:42:09 สมาธิต้องแบบนั่งเป็นจริงเป็นจังไปหลายๆ
00:42:09 → 00:42:11 วันอะไรอย่างเงี้ยสำหรับพี่อ่ะสมาธิก็คือ
00:42:11 → 00:42:15 กกลับมารู้ตัวกลับมาที่ลมหายใจเพราะมัน
00:42:15 → 00:42:18 คือการแบบสมาธิแบบไสล Meditation น่ะใช้
00:42:18 → 00:42:21 ชีวิตไปกับสมาธินี่แหละคำถามสุดท้ายค่ะ
00:42:21 → 00:42:24 แ้าอยากรู้ว่าแล้วเราจะทำยังไงให้เรา
00:42:24 → 00:42:27 เนี่ยเป็นคนที่มีพลังงานดีๆดยอ่ะไม่หลอก
00:42:27 → 00:42:31 ตัวเองคือการยอมรับเราจะกลับไปที่จุดเดิม
00:42:31 → 00:42:33 คือแม้กระทั่ง emotional guidance scale
00:42:33 → 00:42:36 อ่ะที่เราอาจจะแบบอุ๊ยอันนี้โซนบวกนะค่ะ
00:42:36 → 00:42:39 อันนี้โซนลบนะแต่การที่มันเป็นเราอ่ะมัน
00:42:39 → 00:42:42 คือทั้งบวกและลบมันคือการยอมรับในวันที่
00:42:42 → 00:42:46 เราแบบก็มีความกลัวมีความอิจฉามีความคิด
00:42:46 → 00:42:50 ลบเป็นเรื่องธรรมดาโดยที่เราอาจจะต้องให้
00:42:50 → 00:42:54 ตัวเองได้รู้สึกอ่ะค่ะไม่ต้องพยายามกำจัด
00:42:54 → 00:42:58 ความคิดลบแต่ให้มองเห็นเขาและมีพื้นที่
00:42:58 → 00:43:01 ให้เขาได้รู้สึกด้วยถ้าแบบนั้นน่ะความคิด
00:43:01 → 00:43:03 ลบหรืออะไรที่เราบอกว่ามันลบอ่ะมันจะกลาย
00:43:03 → 00:43:05 เป็นเรื่องธรรมดาแต่หลายทีอ่ะที่เราติด
00:43:05 → 00:43:08 อ่ะเพราะเราอยากเอาเขาออกไปเรารู้สึกว่า
00:43:08 → 00:43:10 สิ่งนี้มันไม่ดีเลยอ่ะทำไมฉันต้องรู้สึก
00:43:10 → 00:43:13 แบบนี้แต่นี่มันคือฉันเพราะฉะนั้นการที่
00:43:13 → 00:43:16 เราแบบต้องคิดบวกทิดบวกอ่ะพี่รู้สึกว่า
00:43:16 → 00:43:19 แบบผิดธรรมชาติอ่ะพี่รู้สึกว่าการที่เรา
00:43:19 → 00:43:21 มีบวกด้วยแล้วในวันที่เราลบเราก็รู้อ่ะ
00:43:21 → 00:43:24 แล้วมันก็จะไหลผ่านไปเหมือนสายลมอ่ะค่ะ
00:43:24 → 00:43:27 มันก็คือแบบความธรรมดาอืแล้วเราจะจะรู้
00:43:27 → 00:43:29 ถึงพลังงานที่ดีของตัวเองจริงๆได้ยังไง
00:43:29 → 00:43:31 มันจะสัมผัสได้ยังไงว่าอันนี้คือพลังงาน
00:43:32 → 00:43:34 ที่ดีอออ๋อมันจะรู้สึกประมาณไหนอะไรอย่าง
00:43:34 → 00:43:37 เงี้ยค่ะอโอเคอันเนี้ยพี่แนะนำว่ากลับมา
00:43:37 → 00:43:39 เช็คที่ฐานกายค่ะเพราะว่าเวลาที่มันเป็น
00:43:39 → 00:43:43 ความคิดความรู้สึกอ่ะมันจับต้องไม่ได้แต่
00:43:43 → 00:43:45 เวลาที่เรากลับมาที่กายลองกลับมาดูดิว่า
00:43:45 → 00:43:48 ในวันที่เราโกรธอ่ะลมหายใจเรามันเป็นแบบ
00:43:48 → 00:43:51 ไหนหัวใจเรามันเต้นแบบไหนในวันที่เรารู้
00:43:51 → 00:43:54 สึกว่าเราแบบรู้สึกรักตัวเองจังเลยหัวใจ
00:43:54 → 00:43:57 เรามันเต้นแบบไหนลมหายใจเรามันเป็นแบบไหน
00:43:57 → 00:44:00 เพราะว่ากายกับจิตแล้วก็สิ่งที่อยู่ข้าง
00:44:00 → 00:44:03 ในมันสอดคล้องกันเพฉะนั้นน่ะถ้าเราจะรู้
00:44:03 → 00:44:05 ว่าอันเนี้ยเราพลังงานดีและกลับมาเช็คที่
00:44:05 → 00:44:09 ฐานกายเราโอเคไหร่างกายเราโอเคไหหรือใน
00:44:09 → 00:44:11 วันที่เรารู้สึกเครียดลองสังเกตตรงไหนมัน
00:44:11 → 00:44:14 ตึงลมหายใจเราสั้นลงไปหรือเปล่ากินนอนได้
00:44:14 → 00:44:17 ไหมกลับมาที่ฐานกายเลยค่ะอันนั้นคือ
00:44:17 → 00:44:19 เครื่องในการวัดพลังงานหรือว่าความรู้สึก
00:44:19 → 00:44:23 ของเราอือค่ะเพราะเขาบอกกันไว้ว่าร่างกาย
00:44:23 → 00:44:26 ไม่เคยโกหกใช่ใช่แล้วอยู่ที่ว่าเราจะยอม
00:44:26 → 00:44:30 รับหรือเปล่าเป่าอเราจะเห็นมั้ยเอวันนี้
00:44:30 → 00:44:32 ต้องขอขอบคุณคุณหมอฟ้ามากๆนะคะเพราะว่า
00:44:32 → 00:44:34 สิ่งที่เราคุยกันแพนด้าว่าเป็นประโยชน์
00:44:34 → 00:44:37 กับทุกๆคนที่มาฟังแน่ๆเพราะว่าเรื่องของ
00:44:37 → 00:44:39 การปรับนิสัยการเปลี่ยนพลังงานตัวเองมัน
00:44:40 → 00:44:41 สอดคล้องกันมันเป็นแทบจะเป็นสิ่งเดียวกัน
00:44:42 → 00:44:43 เลยอย่างที่บอกเนาะเพราะว่าทุกอย่างตรง
00:44:43 → 00:44:47 นี้เนี่ยพอเราเริ่มทำได้ค่อยๆปรับได้ก็จะ
00:44:47 → 00:44:49 ทำให้สุขภาพของเราดีขึ้นอ่ามันเกี่ยวข้อง
00:44:49 → 00:44:51 กันยังไงก็คือตามที่คุณหมอได้พูดไปหมด
00:44:51 → 00:44:54 แล้วว่าเอ้ยจริงๆมันก็วิทยาศาสตร์นะไม่
00:44:54 → 00:44:57 ไม่ใช่แค่แบบเป็นความเชื่อนะค่ะแล้วก็ก็
00:44:57 → 00:44:59 ไม่ว่าวันนี้เราจะหรือขณะนี้เราจะมีความ
00:44:59 → 00:45:02 รู้สึกแบบไหนอาจจะเป็นความรู้สึกบวกหรือ
00:45:02 → 00:45:04 อาจจะเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีก็อยาก
00:45:04 → 00:45:07 ให้ยอมรับเห็นและยอมรับก็ไม่ต้องไปผลัก
00:45:08 → 00:45:10 ดันเขาออกหรือไปกรีดกันเคเพราะว่าเขาคก็
00:45:10 → 00:45:12 คือส่วนนึงของของเรานี่แหละอ่าก็แค่เรียน
00:45:12 → 00:45:15 รู้ไปแล้วก็ถ้าเรามีเป้าหมายที่จะปรับ
00:45:15 → 00:45:19 นิสัยก็ค่อยๆทำแล้วก็รู้ตัวทุกครั้งอ่า
00:45:19 → 00:45:21 ถึงแม้ว่าจะพลาดบ้างก็ให้อภัยตัวเองหน่อย
00:45:21 → 00:45:25 ก็ไม่เป็นไรเออแล้วทุกอย่างจะค่อยๆดีเอง
00:45:25 → 00:45:28 เออคะแล้วก็วันนี้ค่ะทางเราก็มีเสื้อเกลา
00:45:28 → 00:45:31 ค่ะนี่เอาใส่ไว้แล้วก็จะได้เกลาตัวเองทุก
00:45:31 → 00:45:34 วันโออ่าหรือว่าเกลาวันที่อยากเกลาก็ได้
00:45:34 → 00:45:37 ค่ะค่ะแล้วก็มอบให้คุณหมอนะคะและถ้าท่าน
00:45:37 → 00:45:40 ไหนสนใจเสื้อแบบนี้นะคะก็สามารถสนับสนุน
00:45:40 → 00:45:42 เราได้ที่ใต้ Description นี้นะคะทางเกลา
00:45:42 → 00:45:45 ยังมีหมวกนะคะแล้วก็มีกระเป๋าผ้าด้วยค่ะ
00:45:45 → 00:45:47 หวังว่าจะได้มาเป็นครอบครัวเดียวกันนะคะ
00:45:47 → 00:45:50 ขดีมากให้คุณหมอเลยค่ะขอคหวังว่าดูคลิป
00:45:50 → 00:45:53 นี้แล้วนะคะจะได้แรงบันดาลใจดีๆได้ความ
00:45:53 → 00:45:55 รู้ดีๆนะคะแล้วก็อยากให้ช่วยคอมเมนต์บอก
00:45:56 → 00:45:57 กับพวกเราหน่อยนะคะว่าดูคลิปนี้แล้วเป็น
00:45:57 → 00:45:59 ยังไงบ้างได้อะไรบ้างนะคะพวกเราจะได้มี
00:45:59 → 00:46:02 กำลังใจเนาะในการทำต่อไปแล้วก็อย่าลืมกด
00:46:02 → 00:46:04 ไลค์กดแชร์กด Subscribe ช่องเกาด้วยนะคะ
00:46:04 → 00:46:07 แล้วก็อย่าลืมไปกดติดตามนะคะเพจแล้วก็
00:46:07 → 00:46:10 YouTube ของคุณหมอด้วยนะคะฝากได้เลยค่ะ
00:46:10 → 00:46:13 ก็ติดตามได้ที่เพจนะคะ Facebook YouTube
00:46:13 → 00:46:16 นะคะหมอฟ้าสมาธิสาสตร์ค่ะเดี๋ยว EP หน้า
00:46:16 → 00:46:19 เรามาคุยกันต่อค่ะยังมีเรื่องอื่นๆที่โอห
00:46:19 → 00:46:21 น่าจะเป็นประโยชน์มากๆแล้วตัวเพนด้าเองก็
00:46:21 → 00:46:23 อยากรู้ด้วยได้ค่ะยินดีมากๆเลยค่ะค่ะ
00:46:23 → 00:46:26 เดี๋ยวเรามาเจอกันใน EP ต่อๆไปนะคะสำรับ
00:46:26 → 00:46:30 นี้ขอบคุณค่ะขุณค่ะ
00:46:30 → 00:46:49 [เพลง]