00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world by the
00:00:05 → 00:00:08 voice การกินของเราเนี่ยไม่ได้ขับ
00:00:08 → 00:00:10 เคลื่อนด้วยความหิวอย่างเดียวและแต่มัน
00:00:10 → 00:00:14 อาจจะเกิดจากความปรารถนาที่กินเพื่อความ
00:00:14 → 00:00:17 สุขกินแบบเนี้ยจะตอบสนองต่อความพึงพอใจ
00:00:17 → 00:00:21 ทางอารมณ์ของเรามันไม่อยู่ว่าแต่อยากและ
00:00:21 → 00:00:25 ความอยากไม่เคยปราณีใครเช่นเรากินขนมหวาน
00:00:25 → 00:00:28 หรืออาหารที่มีรสชาติอร่อยเวลาเราเครียดๆ
00:00:28 → 00:00:30 เราก็แบบเฮ้ยอยากกินขนมหวานอยากกิน
00:00:30 → 00:00:33 ไอศครีมเพื่อกินตอบสนองความสุขของเรา
00:00:33 → 00:00:36 เหมือนเสพติดอ่ะเสพติดน้ำตาลเสพติดความ
00:00:36 → 00:00:39 หวานความอร่อยแล้วเราเกิดความพึงพอใจปุ๊บ
00:00:39 → 00:00:41 เราต้องการเติมเต็มสิ่งเหล่าเนี้ยเมื่อ
00:00:41 → 00:00:44 เราเครียดเมื่อเราไม่ค่อยมีความสุขหรือ
00:00:44 → 00:00:47 เราต้องการแบบ
00:00:47 → 00:00:51 เตอนฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทย
00:00:51 → 00:00:54 ฟังรายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพร
00:00:54 → 00:00:58 ค่ะ This Is tha PBS podcast วันนี้
00:00:58 → 00:01:02 ค่ะคุณผู้ฟังคะเราจะมาชวนคุณผู้ฟังไปกิน
00:01:02 → 00:01:06 อาหารแบบเดนิค่ะคืออะไรไม่ใช่ไฮโดรโปรนิค
00:01:06 → 00:01:10 นะคะคุณผู้ฟังฟังชัดๆัเดนิเออแต่เป็นอะไร
00:01:10 → 00:01:13 นั้นเดี๋ยวคุยกับผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร
00:01:13 → 00:01:15 เอกราชบำรุงพืชจากวิทยาลัยการแพทย์
00:01:15 → 00:01:18 บุรณาการมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตค่ะ
00:01:18 → 00:01:21 สวัสดีค่ะอาจารย์ค่ะสวัสดีครับมาแนวใหม่
00:01:21 → 00:01:26 ละเดนิโอ้โหอันนี้คือแนวไหนแนวใดแบบไหนคะ
00:01:26 → 00:01:29 อาจารย์ครับผมก่อนอื่นต้องบอกก่อนเนาะว่า
00:01:29 → 00:01:33 เหตุเดนิอ่าคุณรีบอกเอ๊กินแบบเดนินะครับ
00:01:33 → 00:01:35 ว่าเอ๊ะมันกินแบบไหนเดนิเนี่ยจริงๆแล้ว
00:01:35 → 00:01:38 เนี่ยคำว่าเดนิเนี่ยมันมาจากคำว่าเดอน
00:01:38 → 00:01:42 เดอนเนี่ยเป็นภาษากรีกครับแปลว่าความสุขอ
00:01:42 → 00:01:45 อ่าเดอนเนี่ยแปลว่าความสุขภาษากรีกแล้ว
00:01:45 → 00:01:49 ยังไปตรงกับเทพีแห่งความสุขตามตำนานของ
00:01:49 → 00:01:52 เทพเจ้ากรีกด้วยโอ้โหมีเรื่องราวฉะนั้น
00:01:52 → 00:01:57 แล้วกินแบบเดนิก็คือกินแบบมีความสุขอออ่า
00:01:57 → 00:01:59 ฉะนั้นแล้วการกินของเราเนี่ยไม่ได้ขับ
00:02:00 → 00:02:02 เคลื่อนด้วยความหิวอย่างเดียวและค่ะแต่
00:02:02 → 00:02:06 มันอาจจะเกิดจากความปรารถนาที่กินเพื่อ
00:02:07 → 00:02:10 ความสุขอือ่าขับเคลื่อนด้วยความสุขบางคน
00:02:10 → 00:02:13 เรียกว่าเฮ้ยหิวเหมือนกันนะแต่หิวแบบ
00:02:13 → 00:02:17 สุขนิยมอ่าหรือกินแบบสุขนิยมอ่าคือกินแบบ
00:02:17 → 00:02:21 เนี้ยจะตอบสนองต่อความพึงพอใจทางอารมณ์
00:02:21 → 00:02:24 ของเราเป็นหลักเป็นหลักเลยต่อให้คุณรีบอก
00:02:24 → 00:02:29 ว่าเฮ้ยมันไม่หิวอ่ะแต่อยากและความอยาก
00:02:29 → 00:02:32 ไม่เคยปราณีใครถูกต้องเลยค่ะอาจารย์แล้ว
00:02:32 → 00:02:36 มันก็จะเกิดขึ้นจากการตอบสนองความพึงพอใจ
00:02:36 → 00:02:39 ของอารมณ์ของเราไม่ได้แบบเอ้ยกินเพราะหิว
00:02:39 → 00:02:41 หรือกินเพราะความจำเป็นทางโภชนาการเท่า
00:02:41 → 00:02:44 นั้นแต่การรับประทานอาหารกินแบบฮีโรอิค
00:02:44 → 00:02:48 นั้นเนี่ยกินเพราะต้องการความสุขอือ่าตัว
00:02:48 → 00:02:51 อย่างเช่นเรากินขนมหวานหรืออาหารที่มีรส
00:02:51 → 00:02:55 ชาติอร่อยเวลาเราเครียดๆค่ะเนี่ยเราก็แบบ
00:02:55 → 00:02:57 เฮ้ยอยากกินขนมหวานอยากกิน
00:02:57 → 00:03:01 ไอศกรีมเพื่อกินตอบสนหนองความสุขของเรา
00:03:01 → 00:03:03 เนาะเรารู้สึกแบบเอ๊ะหรือบางอย่างเราไป
00:03:03 → 00:03:07 กินแล้วแบบขนมเจ้านี้อร่อยมากอือ่าอาหาร
00:03:07 → 00:03:11 เจ้านี้อร่อยมากเราเหมือนเสพติดอ่ะค่ะเสพ
00:03:11 → 00:03:14 ติดน้ำตาลเสพติดความหวานนะความอร่อยแล้ว
00:03:14 → 00:03:17 เราเกิดความพึงพอใจปุ๊บเราต้องการเติม
00:03:17 → 00:03:20 เต็มสิ่งเหล่าเนี้ยเมื่อเราเครียดเมื่อ
00:03:20 → 00:03:22 เราไม่ค่อยมีความสุขหรือเราต้องการแบบ
00:03:22 → 00:03:28 เฮ้ยเอนเตอร์เทนอือ่าอแล้วกินแบบเดนิมัน
00:03:28 → 00:03:33 ก็คือการกินเพื่อตอบสนองความสุขของเรา
00:03:33 → 00:03:35 ความอยากที่จะแบบเฮ้ยมีความสุขออ่าไม่
00:03:35 → 00:03:38 เกี่ยวกับหิวและอิ่มนะค่ะอ่าอาจารย์ต้อง
00:03:38 → 00:03:41 บอกก่อนครับว่าความหิวความอิ่มของเรา
00:03:41 → 00:03:43 เนี่ยส่วนใหญ่แล้วเนี่ยหิวกับอิ่มของเรา
00:03:43 → 00:03:47 เนี่ยมันจะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในร่างกาย
00:03:47 → 00:03:52 อือเวลาเช้าตื่นขึ้นมาเราท้องว่างใช่มั้
00:03:52 → 00:03:55 ครับค่ะร่างกายของเราเนี่ยกระเพาะอาหาร
00:03:55 → 00:03:57 มันจะหลั่งฮอร์โมนออกมาตัวนึงชื่อว่า
00:03:57 → 00:04:01 ฮอร์โมนเกลินอือืชื่อน่ารักเชียวเกลิน
00:04:01 → 00:04:04 ไพเราะเสนาะหูมากฮอร์โมนตัวเนี้จะส่ง
00:04:04 → 00:04:06 สัญญาณไปที่สมองส่วนกลางของเราที่
00:04:06 → 00:04:10 ไฮโปทาลามัสบอกว่าเฮ้ยหิวกินได้แล้วอ่า
00:04:10 → 00:04:13 หิวเกลินจะหลั่งออกมาที่กระเพาะอาหารของ
00:04:13 → 00:04:16 เราแล้วส่งสัญญาณว่าเฮ้ยให้เรากินได้แล้ว
00:04:16 → 00:04:21 อือ่าคือมีความหิวเกิดขึ้นมานะครับแล้วพอ
00:04:21 → 00:04:24 คุณรีทานอาหารเข้าไปได้กินแล้วอ่าได้กิน
00:04:24 → 00:04:27 แล้วในอาหารก็จะมีสารอาหารต่างๆใช่มั้ย
00:04:27 → 00:04:29 ครับโดยเฉพาะสารอาหารหลักคาร์โบไฮเดรต
00:04:29 → 00:04:32 โปรตีนไท้มั่นค่ะมันก็จะไปกระตุ้นศูนย์
00:04:32 → 00:04:36 อิ่มทำให้เราอิ่มอืโดยผ่านระบบทางเดิน
00:04:36 → 00:04:39 อาหารของเรานี่แหละครับค่ะอ่าเช่นลำไส้
00:04:39 → 00:04:42 เล็กพอลำไส้เล็กมันถูกอาหารเคลื่อนมาโดน
00:04:42 → 00:04:46 และสัมผัสปุ๊บมันก็หลั่งฮอร์โมนต่างๆอ่า
00:04:46 → 00:04:50 เช่นเอ่อโี่ซิติน GL lp1 อะไรโอ้โห
00:04:50 → 00:04:53 สารพัดชื่อเอ่อทางวิทยาศาสตร์นี่แหละนะ
00:04:53 → 00:04:56 ทางการแพทย์แล้วมันก็จะส่งสัญญาณไปที่
00:04:56 → 00:04:59 สมองสมองเรามีศูนย์หิวสูนย์อิ่มควบคุม
00:04:59 → 00:05:02 อยู่ครับครับอ่าั้นแล้วก็จะทำให้เรารู้
00:05:02 → 00:05:06 สึกเฮ้ยเริ่มอิ่มอือ่าด้วยฮอร์โมนจากทาง
00:05:06 → 00:05:09 เดินอาหารของเราที่หลัออกมาค่ะนอกเหนือ
00:05:09 → 00:05:13 จากนั้นครับเรายังมีฮอร์โมนนะที่ช่วยที่
00:05:13 → 00:05:16 ทำให้เราอิ่มอีกนะหลั่งออกมาจากเซลล์ไข
00:05:16 → 00:05:20 มันชื่อว่าเลปตินเคยได้ยินมั้ยครับอ่า
00:05:20 → 00:05:23 เลปตินนะทำให้เรารู้สึกอิ่มเกลินเมื่อกี้
00:05:23 → 00:05:27 ที่กระเพาะหิวหิวอ่าเลตินเลปตินทำให้เรา
00:05:27 → 00:05:30 อิ่มหลั่งมาจากเซลล์ไขมันนะอเพราะเป็น
00:05:30 → 00:05:33 เหมือนกลไกในการปกป้องตัวเราเองว่าแบบ
00:05:33 → 00:05:37 เฮ้ยเวลาเราอ้วนขึ้นไขมันมากขึ้นเล็บติน
00:05:37 → 00:05:41 หลั่งมากขึ้นเพื่อส่งสัญญาณไปที่สมองว่า
00:05:41 → 00:05:44 ให้อิ่มนะอย่าให้กินเยอะนะอันเนี้ยคือ
00:05:44 → 00:05:48 ความหิวความอิ่มที่เหมือนกับเปรียบประดุจ
00:05:48 → 00:05:54 ดังการเต้นแทงโก้แทบๆแทบๆๆฮึ้ยหิวอิ่มหิว
00:05:54 → 00:06:00 อิ่มชีวิตของเรานั้นคุณรีเคยอิ่มตลอด
00:06:00 → 00:06:02 ไม่ไม่เคยรู้สึกอิ่มตลอดแล้วเราเคยรู้สึก
00:06:02 → 00:06:06 หิวตลอดชีวิตมยเคยหิวตลอดอยู่ตลอดไม่ค่ะ
00:06:06 → 00:06:09 แต่หลังๆเริ่มแล้วค่ะเริ่มเริ่มหิตลอด
00:06:09 → 00:06:12 เวลามีความผิดปกติของไอ้นี่ก็ได้ใช่
00:06:12 → 00:06:14 ฮอร์โมนนี่แหละครับฮอร์โมนบางตัวอย่าง
00:06:14 → 00:06:18 เงี้ยเขาพบว่าเอ๊ะคนเนี้ยหลั่งได้ไม่ดี
00:06:18 → 00:06:21 ฉะนั้นแล้วเนี่ยกินเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยอิ่ม
00:06:21 → 00:06:24 อ่าไอ้พวกประเภทที่กินช้างไม่เหลือกิน
00:06:24 → 00:06:27 เสือไม่อิ่มนี่ขนาดตัวใหญ่แล้วนะยังไม่
00:06:27 → 00:06:30 อยู่เลยทำไมฉันกินเท่าไหร่ฉันก็รู้สึกไม่
00:06:30 → 00:06:35 ค่อยจะอิ่มเลยนะมันก็ทำให้กินนู่นกินนี่
00:06:35 → 00:06:39 วอรฟีดเข้าไปกินเกินเข้าไปก็ทำให้อ้วนได้
00:06:39 → 00:06:43 นะอันเนี้ยเราไม่เคยรู้สึกหิวนะอยู่ตลอด
00:06:44 → 00:06:46 หรืออิ่มตลอดชีวิตเราอ่ะมันก็มีหิวอิ่ม
00:06:46 → 00:06:49 หิวอิ่มอยู่ตลอดนี่แหละแค่หิวมากหิวน้อย
00:06:49 → 00:06:51 อิ่มมากอิ่มน้อยนะอันนี้คือความหิวความ
00:06:51 → 00:06:55 อิ่มที่มันเกิดขึ้นโดยเขาเรียกว่า
00:06:55 → 00:06:58 สรีรวิทยาของร่างกายอืเป็นเรื่อง
00:06:58 → 00:07:01 ธรรมชาติหิอิ่มหิวอิ่มมันก็เกิดขึ้นตั้ง
00:07:01 → 00:07:04 อยู่ดับไปถูกมั้ยครับเพราะเกิดขึ้นเพราะ
00:07:04 → 00:07:07 ฮอร์โมนนะแล้วมันก็ตั้งอยู่แล้วมันดับไป
00:07:07 → 00:07:12 เพราะดับความหิวด้วยอาหารก็อิ่มพออิ่มได้
00:07:12 → 00:07:15 สักพักนึง 4 ช่วโมงอิ่มน้ำตาลในเลือด
00:07:15 → 00:07:17 เริ่มต่ำอีกเป็นไงอีกครับเริ่มอันนี้จะ
00:07:17 → 00:07:21 เริ่มโหยค่ะก็หิวแล้วโหกอ่าเนี่ยคือความ
00:07:21 → 00:07:24 หิวความอิ่มที่เกิดขึ้นตามเอ่อ
00:07:25 → 00:07:28 สรีรวิทยาของร่างกายนะเเรียกตามฟลีของ
00:07:28 → 00:07:31 ร่างกายมีหิวมีอิ่มมีสารเคมีเกิดขึ้น
00:07:31 → 00:07:35 ฮอร์โมนต่างๆเกิดขึ้นนะแต่ความอยากอืไอ้
00:07:35 → 00:07:39 กินแบบที่เราเรียกว่าเฮดริกนั้นเมันคือ
00:07:39 → 00:07:41 ความอยากอ่ะเป็นหลักความปรารถนาเพราะอยาก
00:07:41 → 00:07:44 แล้วมันอร่อยคุณลีสังเกตว่าหุยกินอิ่ม
00:07:44 → 00:07:46 เท่าไหร่ก็ตามแต่เรากินอิ่มไปปุ๊บเนี่ย
00:07:46 → 00:07:49 หลังมื้ออาหารปุ๊บเราอยากกินขนมหวานขนม
00:07:49 → 00:07:52 หวานตบท้ายอยากกินตบท้ายไอศครีมมีขนมหวาน
00:07:52 → 00:07:55 อะไรมั้ยทั้งๆงที่อิ่มแล้วนะอาฮะแต่มัน
00:07:55 → 00:07:57 อยากอยู่อ่าเค้าก็บอกว่ามีอีกกระเพาะนึง
00:07:57 → 00:08:00 แยกไว้ตักห้าอ่าเราชอบบอกว่าเอ้ยเรามี 4
00:08:00 → 00:08:04 กระเพาะเหมือนสัตว์เคี้ยวเอื้องนะเพะเรา
00:08:04 → 00:08:06 เราเรากินเท่าไหร่เราก็ได้แล้วเพราะเรามี
00:08:06 → 00:08:10 แบบ 4 กระเพาะแต่จริงๆแล้วเนี่ยจะบอกว่า
00:08:10 → 00:08:13 ความอยากเนี่ยมันขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก
00:08:13 → 00:08:17 เป็นหลักและอือ่าปัจจัยภายนอกร่างกายนะ
00:08:17 → 00:08:19 เป็น External Factor หรือ non
00:08:19 → 00:08:22 physiological เป็นหลักเลยนะครับที่ไม่
00:08:22 → 00:08:24 ใช่แบบฮอร์โมนฮอร์โมนและอ่าฮะอ่ะเพราะต่อ
00:08:24 → 00:08:26 ให้อิ่มอ่ะแต่ความอยากอ่ะมันก็ยังอยาก
00:08:26 → 00:08:29 อยู่ถูกมั้ยคุณรีเห็นแล้วแบบอุ๊ยอยากมัน
00:08:29 → 00:08:33 จะถูกปัจจัยภายนอกเป็นหลักแล้วมันส่งผ่าน
00:08:33 → 00:08:36 ภายในนะทำให้เราอยากนะเช่นคุณลีเห็นว่า
00:08:36 → 00:08:40 หูยแหมขนมนี่น่ากินจังเลยอ่ะอืนึกออกมั้ย
00:08:40 → 00:08:43 ครับเห็นช็อกโกแลตลาวามาเยิ้มๆร้อนๆกุ่นๆ
00:08:43 → 00:08:47 นะมีไอศครีมราดนะนมข้นมาอะไรอย่างเงี้ย
00:08:48 → 00:08:51 คือเราก็จะรู้สึกแบบโอ้โหแหมมันอยากขึ้น
00:08:51 → 00:08:55 มาทันทีนั่นคือปัจจัยภายนอกนะมาตกกระทบ
00:08:55 → 00:08:58 อายตนะทั้ง 6 ตาหูจมูกลิ้นกายใจของเรา
00:08:58 → 00:09:00 เอ่า
00:09:00 → 00:09:04 ทำให้รู้สึกว่าอยากอยากมันล่อลวงความรู้
00:09:04 → 00:09:07 สึกมากถูกต้องเพราะตามันเห็นไงค่ะอ่าเออ
00:09:07 → 00:09:11 แล้วมันก็แบบอุยแหมมันน่ากินน่ะนะตาหู
00:09:11 → 00:09:14 จมูกลิ้นบางทีแบบโหเคี้ยวกรวบกรอบๆแหมมัน
00:09:15 → 00:09:17 เสี่ยงหรือเสียงทอดในกระทะอะไรก็แล้วแต่
00:09:17 → 00:09:21 นะเสียงสิปุ๊บเห็นปุ๊บสิ่งเร้าต่างๆอย่าง
00:09:21 → 00:09:25 เงี้ยจมูกได้กิ่นลิ้นลับรสใจมันสัมผัส
00:09:25 → 00:09:26 แล้วมันมีความสุขอาจารย์ถึงบอกไงมันคือ
00:09:26 → 00:09:31 อายตนะทั้งอกเรานะเออนทุกอย่างจริงๆเถครบ
00:09:31 → 00:09:35 หมดเลยที่เราแบบเป็นการสัมผัสหรือเสพ
00:09:35 → 00:09:40 อาหารนั้นๆจนเราติดไงก็แบบแหมเราอยากกิน
00:09:40 → 00:09:44 ค่ะช็อกโกแลตลาวาชิบูยะฮันนี้อ่าเราอยาก
00:09:44 → 00:09:50 จะกินรอ่าขนมนู่นนี่นั่นเพราะความสุขไงอื
00:09:50 → 00:09:53 หรือแม้แต่คนมาบอกว่าเฮ้ยไปร้านนี้สิ
00:09:53 → 00:09:56 อร่อยนะนู่นนี่นั่นก็เอาละความอยากมาใช่
00:09:56 → 00:09:58 เกถูกต้องมันเกิดแล้วไงเพราะจิตเราแบบว่า
00:09:58 → 00:10:02 อุ๊ยอร่อยเห็นมยมันไม่ตกกระทบแล้วมันก็
00:10:02 → 00:10:05 เกิดขึ้นแล้วมันเป็นเหมือนเมมี่อ่ะครับ
00:10:05 → 00:10:08 อือที่อยู่ในในในจิตของเราและเป็นภาพจำ
00:10:08 → 00:10:11 และเป็นภาพจำและอะไรที่อยู่ในจิตอ่ะ
00:10:11 → 00:10:14 เหมือนเขาบอกว่าเรียนแล้วต้องเข้าใจนะมัน
00:10:14 → 00:10:16 เข้าไปอยู่ในจิตในใจของเรามันไม่ได้อยู่
00:10:16 → 00:10:19 ในสมองนะอะไรที่อยู่ในใจอ่ะลืมไม่ลืมไม่
00:10:19 → 00:10:21 ลืมครับเหมือนเรามี poy Love อย่างเงี้ย
00:10:21 → 00:10:25 อเดินผ่านรักแรคนนี้รักแรกเราแหมมันอยู่
00:10:25 → 00:10:28 ในใจเลยมันก็ฝังอยู่ในใจของเราในจิตในใจ
00:10:28 → 00:10:32 ของเราอออือมันก็ไม่ลืมนะเหมือนความอร่อย
00:10:32 → 00:10:35 อย่างเงี้ยเคยเสื่อมมั้ยแบบผู้สูงอายุบาง
00:10:35 → 00:10:37 ทีแบบสมองเสื่อมแต่ก็ยังแบบหรือเริ่มไอ้
00:10:37 → 00:10:41 หลวงลงลืมแล้วแต่ไอ้สิ่งที่เขาชอบอ่ะอ่า
00:10:41 → 00:10:45 ยังนึกถึงยังอยู่ในใจเขตลอดเพราะมันฝัง
00:10:45 → 00:10:47 อยู่ในใจไงอย่างเงี้ยเรากินแล้วอร่อยมัน
00:10:47 → 00:10:50 ก็ฝังอยู่ในจิตในใจของเรามันก็ส่งผลให้
00:10:50 → 00:10:54 เราแบบปรารถนาอยากที่จะมาได้รับความสุข
00:10:54 → 00:10:56 นั้นๆน่ะค่ะเหมือนเรากินช็อกโกแลตเรากิน
00:10:56 → 00:10:59 ขนมลูกอมอะไรอย่างเงี้ยเออเด็กก็เหมือน
00:10:59 → 00:11:02 กันอย่าว่าแต่ผู้ใหญ่เลยลูกอาจารย์มีลูก
00:11:02 → 00:11:05 เล็กก็เหมือนกันชอบกินช็อกโกแลตชอบกินลูก
00:11:05 → 00:11:08 อมนู่นนี่นั่นอ่าเพราะมันกินแล้วเขามี
00:11:08 → 00:11:10 ความสุขไงมันหลั่งสารแห่งความสุขออกมาอ
00:11:10 → 00:11:14 โดยเฉพาะของหวานใช่แล้วเราเนี่ยมักจะถูก
00:11:14 → 00:11:18 ดึงดูดจากอาหารหวานอาหารมันนึกออกมั้ย
00:11:18 → 00:11:20 ครับอาหารหวานอาหารมันนี่แหละที่มักแฝงไป
00:11:20 → 00:11:23 ด้วยพลังงานส่วนเกินหรืออาหารเค็มค่ะ
00:11:23 → 00:11:25 อย่างเงี้ยเราจะรู้สึกแบบโอหมีความสุข
00:11:25 → 00:11:30 เมื่อกินอาหารหวานมันเค็มเข้าไปอืรสครบรส
00:11:30 → 00:11:32 เลยถูกมยความหวานเน้ำตาลอย่างเงี้ยมันก็
00:11:32 → 00:11:34 เหมือนสารเสพติดที่ทำให้ร่างกายเรารู้สึก
00:11:34 → 00:11:37 แบบเฮ้ยกินแล้วมันแฮปปี้ค่ะมันก็ทวีความ
00:11:37 → 00:11:40 รุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆนะความมันก็เหมือนกัน
00:11:40 → 00:11:42 แหมยิ่งเคี้ยวยิ่งมันสังเกตเวลาเรากิน
00:11:42 → 00:11:44 อาหารมันๆอร่อยมั้ยครับอาหารทอดอ่ะก็ก็
00:11:44 → 00:11:47 โอโหสนุกนึกออกมั้ยครับสมมุติเรากินกล้วย
00:11:47 → 00:11:51 ทอดอย่างเงี้ยโอโหหวานๆหน่อยมันๆหน่อยกัด
00:11:51 → 00:11:54 เออกัดเข้าไปดังกรบแป้งกรอบๆยิ่งไอ้เศษ
00:11:54 → 00:11:57 แป้งนี่ยิ่งอร่อยเลยนะหรือเรากินอาหารเี่
00:11:57 → 00:12:01 บางคนชอบกินแบบเค็มเค็มเพราะว่ามันนัวอ่า
00:12:01 → 00:12:04 อ่ามันก็กลายเป็นว่าโหเราก็เสพน้ำตาลเข้า
00:12:04 → 00:12:07 ไปเยอะเสพไขมันเข้าไปมากแคลอรี่ก็มากเกิน
00:12:07 → 00:12:11 อนะหรือได้รับเค็มมากๆโซเดียมมากเกินก็
00:12:11 → 00:12:14 ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพครับมันมี
00:12:14 → 00:12:17 งานวิจัยนะครับคุณรีตีพิมพ์ในวสาร journal
00:12:17 → 00:12:18 of Human nutrition and dietetic
00:12:18 → 00:12:22 เขาบอกว่าการกินศึกษาการกินแบบเดนิเนี่ย
00:12:22 → 00:12:25 อือไปสัมพันธกับความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
00:12:25 → 00:12:29 อ้วนที่เพิ่มขึ้นเอาแล้วอ่าถึงบอกว่ามัน
00:12:29 → 00:12:32 ไม่ต้องสงสัยเลยนะเค้ามีงานวิจัยเยอะมาก
00:12:32 → 00:12:35 ที่เกี่ยวข้องเนี่ยเป็นเป็น 10 ๆการศึกษา
00:12:35 → 00:12:38 วิจัยเลยว่าเฮ้ยการกินแบบบางคนบอกเอ้ยกิน
00:12:38 → 00:12:42 ตามอารมณ์อือ่าเพราะอยากมีความสุขไงอ่า
00:12:42 → 00:12:44 เพราะมันไม่เกี่ยวกับหิวกับอิ่มแล้วนะอ่า
00:12:44 → 00:12:48 ออยากกินน่ะก็อยากกินน่ะแล้วก็แบบเฮ้ยกิน
00:12:48 → 00:12:51 เพื่อตอบสนองเพราะมันมันอร่อยมันเป็นความ
00:12:51 → 00:12:54 สุขกลายเป็นว่ามันสำคัญกับสัมพันธ์กับ
00:12:54 → 00:12:56 แคลอรี่ intake หรือพลังงานที่ได้รับ
00:12:56 → 00:13:00 เพิ่มมากขึ้นอือ่าแล้วมันก็ทำให้เสี่ยง
00:13:00 → 00:13:04 ต่อการเกิดโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้นค่ะอ่า
00:13:04 → 00:13:07 เนี้ยตรงมาตรงไปเลยนะแต่อาจารย์บอกเลยว่า
00:13:07 → 00:13:10 เราไม่ได้ห้ามว่าแบบเอ๊ะเนี่ยจะกินแบบ
00:13:10 → 00:13:15 ฮีโรนิคเพื่อให้สนองความสุขเนี่ยแบบจะไม่
00:13:15 → 00:13:19 ได้คือเราไม่ได้ต้องการหยุดว่าแบบเฮ้ยคุณ
00:13:19 → 00:13:21 เลิกกินนะเพราะความสุขของคุณคือการกินเรา
00:13:21 → 00:13:25 ก็เข้าใจแต่แค่ว่าเราต้องเปลี่ยนไอ้ความ
00:13:25 → 00:13:29 สุขนั้นเนี่ยไปสู่อาหารที่มันดีกับสุขภาพ
00:13:29 → 00:13:33 โอ้โหนึกออกมั้ยครับอือ่าเราเราต้องค่อยๆ
00:13:33 → 00:13:37 ปรับนะเข้าใจคอนเซปต์มั้กินได้แต่แค่ว่า
00:13:37 → 00:13:39 อ้าคุณก็เลือกกินให้มัน Healthy หน่อย
00:13:39 → 00:13:42 หรือคุณการวางแผนการรับประทานอาหารให้มัน
00:13:42 → 00:13:47 ดีหน่อยก่อนที่คุณจะกินขนมหวานปิดท้ายคุณ
00:13:47 → 00:13:50 เปิดมาด้วยไฟเบอร์คุณกินสลัดผักเข้าไปนะ
00:13:51 → 00:13:55 เพื่อเอาใยอาหารเนี่ยลองท้องรองไว้ก่อน
00:13:55 → 00:13:58 อ่าลองลังไว้ก่อนซึ่งทฤษฎีเยมันมีการ
00:13:58 → 00:14:00 ศึกษาวิจัอย่างที่อาจารย์เคยแชร์ให้ฟัง
00:14:00 → 00:14:02 ว่าเขาเรียกว่า
00:14:02 → 00:14:06 vmr v แรกเนี่ยตัว v เนี่ยมันย่อมาจาก
00:14:06 → 00:14:11 Vegetable ผักองอฮะ M คือมีทเนื้อ R คือ
00:14:11 → 00:14:14 ไรซข้าวแป้งรวมไปถึงคาร์โบไฮเดรตขนมหวาน
00:14:15 → 00:14:18 ทั้งหลายแหลอ่าว่าไปแต่ก็คือก็คือ V ก็
00:14:18 → 00:14:20 คือผักเนี่ยต้องมาก่อนถูกมาก่อนตัว v มา
00:14:20 → 00:14:23 ก่อนเลยฉะนั้นแล้วก่อนที่ทุกท่านจะกิน
00:14:23 → 00:14:28 อาหารเพื่อสนองความสุขสนองนี้นะท่านก็
00:14:28 → 00:14:31 ต้องปูท้องทองท้องไปด้วยไฟเบอร์โอยาย
00:14:31 → 00:14:34 อาหารก่อนโอ้โหอ่าเหมือนทุกวันนี้จะกิน
00:14:34 → 00:14:41 ข้าวหมูแดงเหรอนะก็เอาฝรั่งเอาชมพู่ไปลอง
00:14:41 → 00:14:44 ท้องไว้ก่อนลองหลังไว้ก่อนเดี๋ยมันอิ่ม
00:14:44 → 00:14:48 ก่อนดีซะอีกเพราะว่านี่ไงพอกุลีบอกเดี๋ยว
00:14:48 → 00:14:52 อิ่มก่อนเนี่ยมันก็ทำให้เรากินอาหารพวกไข
00:14:52 → 00:14:55 มันอะไรพวกนี้ได้น้อยลงอ่าน้ำตาลสูงแขมัน
00:14:55 → 00:14:58 สูงเนี่ยลดลงเพราะสมองของเราเนี่ยอาจารย์
00:14:58 → 00:15:01 บอกเลยว่าไอ้ศูนย์ควบคุมความหิวความอิ่ม
00:15:01 → 00:15:04 เนี่ยหลังจากเรากินอาหารเข้าไปแล้วประมาณ
00:15:04 → 00:15:09 15-20 นาทีเราจะเริ่มรู้สึกอิ่มอืแต่ละ
00:15:09 → 00:15:11 คนตอบสนองต่างกันนะอันนี้คือระบบสมอง
00:15:12 → 00:15:14 ฮอร์โมนต่างๆเนี่ยควบคุมความหิวความอิ่ม
00:15:14 → 00:15:16 หลังจากเรารับประทานอาหารเป็นระยะเวลา
00:15:16 → 00:15:20 ประมาณ 15-20 นาทีเราจะเริ่มรู้สึกอิ่ม
00:15:20 → 00:15:24 และค่ะฉะนั้นแล้วเนี่ยการรับประทานอาหาร
00:15:24 → 00:15:29 เขาถึงบอกไงว่าเราต้องกินแบบมีสติ
00:15:29 → 00:15:33 นเริ่มตั้งแต่การเคี้ยวเลยค่ะเราจะสุขภาพ
00:15:33 → 00:15:36 ดีเนี่ยในการกินเนี่ยเริ่มต้นที่การ
00:15:36 → 00:15:39 เคี้ยว 1 คำทุกวันนี้เราเคี้ยวกี่ครั้ง
00:15:39 → 00:15:43 โอ้ไม่เคยนับเลยอ่ะอ่าแสดงว่าเคี้ยวเยอะ
00:15:43 → 00:15:46 ใช่มั้ยหรือว่าพฤติกรรมส่วนใหญ่ของพี่ไทย
00:15:46 → 00:15:50 เราคือฉับฉับเอืกฉับฉับเอืกน่าจะแค่ 2 2
00:15:50 → 00:15:55 เคี้ยวเห็นฉับๆเอืกฉับๆเอืกรีบๆๆรีบเลย
00:15:55 → 00:15:57 อ่ะแล้วเนี่ยมันมีงานวิจัยแม้กระทั่งการ
00:15:57 → 00:15:59 กินเร็วเนี่ยครับสัมพันธ์กับไขมันพอกตัก
00:15:59 → 00:16:01 เพิ่งงานวิจัยเพิ่งตีพิมพ์ออกมาเมื่อ
00:16:01 → 00:16:03 เดือนที่แล้วนี่เองโออะไรกันเคี้ยวเนี่ย
00:16:03 → 00:16:06 นะใช่ครับเพราะน้ำตาลมันจะขึ้นสูงปรี๊ด
00:16:06 → 00:16:09 มากคุณลีนึกออกมั้ยครับว่ากินเร็วนะ
00:16:09 → 00:16:12 เคี้ยวอย่างรวดเร็วมันก็เหมือนฟีดอ่ะอัดๆ
00:16:12 → 00:16:17 ๆๆๆๆๆเข้าไปน้ำตาลก็ขึ้นในลูกสูงปรี๊ดเลย
00:16:17 → 00:16:19 นะมันฮอร์โมนอินซูลินก็หลั่งอย่างหนัก
00:16:19 → 00:16:23 หนวงนะเคลียร์ไขไอ้อาหารสารอาหารที่เข้า
00:16:23 → 00:16:25 มาไม่ทันโดยเฉพาะในกลุ่มน้ำตาลต่างๆเนี่ย
00:16:25 → 00:16:29 ไขมันเปลี่ยนไปเป็นไขมันพอกตับและภาระใน
00:16:29 → 00:16:31 การย่อยกระเพาะอาหารลำไส้เราก็ต้องทำงาน
00:16:31 → 00:16:34 หนักนึกออกมั้ยครับเราไม่ค่อยๆไม่ใช่ค่อย
00:16:34 → 00:16:38 ๆลำเลียงอาหารเข้าไปอ่ะแต่เราแบบหยัด
00:16:38 → 00:16:42 เยียบมันเข้าไปนี่แหละมันก็ฟรีดเข้าไปฉับ
00:16:42 → 00:16:45 ๆเอืกฉับๆเอืกแล้วเรา 1 คำอ่ะอ่ะเรา
00:16:45 → 00:16:47 เคี้ยวซะอย่างน้อยเนี่ยสัก 15 ครั้งก็ยัง
00:16:47 → 00:16:50 ดีจริงๆแล้วตามทฤษฎีไปนู่นถึง 30 ครั้ง
00:16:50 → 00:16:54 เลยนะต่อ 1 คำอ่ะนะใช่ครับหูควรจะแบบ
00:16:55 → 00:16:57 อย่างน้อย 20-30 ครั้งแต่อาจารย์บอกเฮ้ย
00:16:57 → 00:16:59 เอาเบาๆ 10-15 ครั้งค่อยๆค่อยฝึกไปอแล้ว
00:16:59 → 00:17:03 คุณลีเปรียบเทียบกินกับกัน 2 แบบนะถ้าคุณ
00:17:03 → 00:17:07 ลีกินแบบอฉับๆเอืกฉับๆเอกเป็นไงครับจับ
00:17:07 → 00:17:09 เวลาเท่ากันกับอาจารย์เรียกคุณใหญ่ให้มา
00:17:09 → 00:17:12 นั่งกินข้าวให้นั่งกินข้าวด้วยกันนี่แหละ
00:17:12 → 00:17:15 อ่ะคุณลีกินเร็วมากฉับๆเอืกผ่านไป 20
00:17:15 → 00:17:20 นาทีคุณลีรู้สึกอิ่มและอ่าฮะเป็นไงครับ
00:17:20 → 00:17:22 ผ่านไป 20 นาทีคุณลีฟาดได้เยอะกว่าคุณ
00:17:22 → 00:17:27 ใหญ่เพราะคุณใหญ่เคี้ยว 15 ครั้งกินแบบมี
00:17:27 → 00:17:30 สติกินแบบเคี้ยวแบบเฮ้ยค่อยๆเคี้ยวเพื่อ
00:17:30 → 00:17:34 แบ่งเบาไม่ให้ทางเดินอาหารลำส้่งลำไส้
00:17:34 → 00:17:37 กระเพาะอาหารของเราเนี่ยมันทำงานหนักต้อง
00:17:37 → 00:17:39 เอออ่าน้ำตาลก็ค่อยๆถูกดูดซึมเข้าสู่
00:17:40 → 00:17:42 กระแสเลือดอ่าตับอ่อนก็ไม่ต้องทำงานหนัก
00:17:43 → 00:17:45 ในการหลังเพราะมันค่อยๆลำเลียงเข้าไปค่อย
00:17:45 → 00:17:48 ๆป้อนเข้าไปแล้วพอครบ 15 นาที 20 นาทีที่
00:17:48 → 00:17:51 สมองเรารู้สึกอิ่มคุณลีฟาดไป 1000
00:17:51 → 00:17:54 แคลอรี่คุณใหญ่เพิ่งกินได้ 500 แคลอรี่
00:17:54 → 00:17:58 เห็นมครับโอเดี๋ยวจะหิวมยน่ะไม่หิวครับ
00:17:58 → 00:18:01 เพราะว่าน้ำตาลมันค่อยๆขึ้นไงอ๋อแต่อัน
00:18:01 → 00:18:03 นี้คืออ่าแล้วรู้สึกอิ่มเหมือนกันแต่อีก
00:18:03 → 00:18:07 อันนึงอ่ะยัดอ่าส่วนอีกคนนึงค่อยๆรับ
00:18:07 → 00:18:09 ประทานอย่างมีสติอ่ะเขาก็บอกว่าเคี้ยว
00:18:09 → 00:18:13 เอื้องกันไปใช่ั้นแล้วเรื่องของการกินแบบ
00:18:13 → 00:18:15 มีสติอันนี้สำคัญ
00:18:15 → 00:18:18 นะเนี่ยเอยถ้ายุคเนี้ยน่าจะได้นะถ้าสมัย
00:18:18 → 00:18:21 ก่อนนี้คุณพ่อเอาไม้เรียวรอฟ้าแล้วดัก
00:18:21 → 00:18:23 ขึ้นเพราะว่าอมข้าวอันนั้นอีกเรื่องนึง
00:18:24 → 00:18:27 นะแมคคุณลีให้เวลาเท่ากันเราต้องมองอย่าง
00:18:27 → 00:18:31 งี้อเวลาในการกินเท่ากันอยู่ที่มื้อเนี้ย
00:18:31 → 00:18:34 ให้กิน 15 นาทีคุณลีกินเร็วปัๆๆๆๆมันก็
00:18:34 → 00:18:38 ฟีดไป 1000 แคลอรี่แต่คุณใหญ่ค่อยๆกินอือ
00:18:38 → 00:18:42 ฮึสมองมันอิ่มอ่ะที่เวลาเท่ากันอ่ะอ๋อแต่
00:18:42 → 00:18:45 ปริมาณอาริได้น้อยกว่าอ่าเขาก็น้อยกว่า
00:18:45 → 00:18:48 ทั้งั้งที่สมองมันเริ่มอิ่มแล้วนะอ่าฮะ
00:18:48 → 00:18:51 อ่าแล้วจริงๆแล้วเนี่ยเรื่องของไอ้โภชนะ
00:18:51 → 00:18:55 เมตันยุตาหรือกินแบบแต่พอดีเนี่ยตามหลัก
00:18:55 → 00:18:57 สายกลางเนี่ยมันมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
00:18:57 → 00:19:00 แล้วครับอือพระเจ้าปเสนทิโกศลแนน่เคย
00:19:00 → 00:19:03 เรียนพุทธศาสนาจำได้มั้ยครับจำไม่ได้เลย
00:19:03 → 00:19:05 ค่ะพระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชามาเข้าเฝ้า
00:19:05 → 00:19:10 พระพุทธเจ้าออตอนบ่ายค่ะนะเพิ่งกินอาหาร
00:19:10 → 00:19:13 กลางวันมาอย่างอิ่มแปร้เลยอพระพุทธเจ้า
00:19:13 → 00:19:15 เห็นเหมือนคุณลีสมมุติว่าไปกินอาหารกลาง
00:19:16 → 00:19:18 วันเยอะแล้วเราไปอบรมอ่ะตอนบ่ายๆเป็นไง
00:19:18 → 00:19:20 ครับอย่าว่านักศึกษาเนี่ยกินข้าวกลางวัน
00:19:20 → 00:19:22 มาแล้วมานั่งเรียนกับอาจารย์ส่วนใหญ่กลาง
00:19:22 → 00:19:24 วันบ่ายๆเป็นไงจะไปเฝ้าพระอินร์กันใช่
00:19:24 → 00:19:27 มั้ยอจะหลับกันอย่างเงี้ยพระพุทธเจ้าเห็น
00:19:27 → 00:19:32 ปุ๊บพระองค์บอกเลยบอกว่ามนุษย์ผู้มีสติ
00:19:32 → 00:19:37 อยู่ทุกเมื่อรู้จักประมาณในอาหารอืย่อมมี
00:19:37 → 00:19:42 ความสุขค่ะแก่ช้าและอายุยืนโอ๊ยตายลชอบ
00:19:42 → 00:19:46 ต้องแก่ช้านี่แหละใช่จริงๆแล้วาตชะลอวัย
00:19:46 → 00:19:49 มีตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วครับอืท่านถึง
00:19:49 → 00:19:53 บอกไงว่ามนุษย์เนี่ยที่รู้จักประมาณใน
00:19:53 → 00:19:56 อาหารต้องฟังแล้วตีความนะเอ๊เราประมาณใน
00:19:56 → 00:19:59 อาหารมั้ยเออันนี้เป็นคนตื่น
00:19:59 → 00:20:01 ไม่ใช่คนตื่นทำไม่ใช่อาจารย์เบียร์นะนี้
00:20:01 → 00:20:03 อาจารย์เอกราชคน
00:20:03 → 00:20:07 เดิมนะฮะแล้วเนี่ยถ้าเรารู้จักในประเอ่อ
00:20:07 → 00:20:10 การประมาณในอาหารอนะมีสติอยู่ทุกเมื่อใน
00:20:10 → 00:20:13 การกินอืเห็นมั้ยครับพระพุทธเจ้าท่านยัง
00:20:13 → 00:20:18 บอกเลยเราจะมีความสุขเราจะแก่ช้าและเราจะ
00:20:18 → 00:20:22 อายุยืนอืนี่คือสิ่งที่เราต้องการเลยนะ
00:20:22 → 00:20:25 ความสุขด้วยแก่ช้าด้วยอายุยืนด้วยเราไม่
00:20:25 → 00:20:28 ต้องการอายุยืนแบบไม่มีความสุขนอนอยู่บน
00:20:28 → 00:20:30 เตียงคุณอายุเป็น 100 ปีเอามั้ยไม่เอาไม่
00:20:30 → 00:20:32 มันก็ไม่ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีถูกมั้ย
00:20:32 → 00:20:35 ครับงั้นแล้วเนี่ยเราก็อยากที่จะมีความ
00:20:35 → 00:20:38 สุขเราก็อยากที่จะแก่ช้าเราก็อยากจะอายุ
00:20:38 → 00:20:40 ยืนอย่างมีคุณภาพเราต้องเริ่มต้นที่รู้
00:20:40 → 00:20:44 จักประมาณในอาหารมีสติในการกินอ่าไม่ใช่
00:20:44 → 00:20:47 ว่ากินไม่ได้ไม่ได้ห้ามการกินแบบ
00:20:47 → 00:20:53 ฮีนิมสติในการกินอ่าอ่าั้นค่อยๆเริ่มปรับ
00:20:53 → 00:20:56 นะต้องเริ่มแล้วแหละบางคนกินเร็วกดไหล
00:20:56 → 00:20:59 ย้อนด้วยไขมันพอกตับด้วยนึกออกออกมั้ย
00:20:59 → 00:21:00 ครับวิถีมันทำให้เราแบบเคี้ยวเป็นเอื้อง
00:21:00 → 00:21:03 ไม่ได้เลยอ่ะเพราะทุกวันนี้มนุษย์เราใช้
00:21:04 → 00:21:07 วิถีชีวิตเร่งรีบค่ะนึกออกมั้ยครับอ่า
00:21:07 → 00:21:09 เช้าตึงมาก็ต้องรีบและเดี๋ยวฉันต้องมีไป
00:21:09 → 00:21:11 ประชุมเดี๋ยวเจ้านายเรียกประชุมตั้งแต่
00:21:11 → 00:21:13 เช้าเดี๋ยวฉันต้องไปส่งลูกโอ้โหนู่นนี่
00:21:13 → 00:21:16 นั่นอแล้วเราเราใช้ชีวิตในวิถีชีวิตเร่ง
00:21:16 → 00:21:19 รีบเราก็เลยไม่ได้ทำตามนาฬิกาชีวิตที่
00:21:19 → 00:21:22 อาจารย์บอกใช่ทุกวันนี้เราทำสวนทางนาฬิกา
00:21:22 → 00:21:25 ชีวิตหมดเวลากินเรานอนเวลานอนเรากินค่ะ
00:21:25 → 00:21:29 หรือเราไปนั่งทำงานออ่ากินไปด้วยนั่งทำ
00:21:29 → 00:21:33 งานไปด้วยก็มีอ้าเห็นมั้ยอ่าในตอนดึกด้วย
00:21:33 → 00:21:36 ซึ่งมันเป็นเวลาที่ชีวิตมนุษย์อย่าเรา
00:21:36 → 00:21:39 ต้องนอนใช่อ่าเราอย่างเงี้ยเช้าตื่นมาให้
00:21:39 → 00:21:42 กินข้าวอเรือกนอนต่อกินอื
00:21:42 → 00:21:48 อ่าแล้วเราต้องต้องมีสติในการกินนะแล้ว
00:21:48 → 00:21:50 เราเลือกกินได้อย่างมีความสุขอาหารบาง
00:21:50 → 00:21:53 อย่างเอาจารย์บอกเลยมันช่วยควบคุมความหิว
00:21:53 → 00:21:57 ให้เราอิ่มได้นานได้อ่าอะไรคะอาจารย์ช่วย
00:21:57 → 00:21:59 แนะนำที่อาจารย์บอกเงี้ยเฮ้ยทำไม่อิ่มได้
00:21:59 → 00:22:01 นานนะไอ้ความอิ่มนานเนี่ยมันก็มีประโยชน์
00:22:01 → 00:22:04 ในการที่เราช่วยควบคุมน้ำหนักเนาะอ่าหรือ
00:22:04 → 00:22:07 บางคนเอิ่มและแล้วมีสติทำให้การกินแบบ
00:22:07 → 00:22:10 โดนิคเนี่ยอาจจะน้อยลงหรือมีสติในการ
00:22:10 → 00:22:14 เลือกออืไม่แบบว่าผลีผลามหรือว่ามาด้วย
00:22:14 → 00:22:17 ความหิวโหยแล้วก็หิวโหยเลยในบรรดาสาร
00:22:17 → 00:22:19 อาหารทั้งหมดคาร์โบไฮเดรตโปรตีนไขมัน
00:22:19 → 00:22:21 เนี่ยจากการศึกษาวิจัยเขาพบว่า
00:22:21 → 00:22:24 คาร์โบไฮเดรตทำให้เราอิ่มได้มากที่สุดและ
00:22:24 → 00:22:28 อิ่มได้นานที่สุดอองั้นแล้วในมื้อนั้นๆ
00:22:28 → 00:22:30 เนี่ยเราจะต้องมีคาร์โบไฮเดรตให้เพียงพอ
00:22:30 → 00:22:34 ค่ะอ่าไม่ใช่แบบเอ้ยมื้อนั้นๆนะกินเบาๆนะ
00:22:34 → 00:22:36 เน้นข้าวเน้นแป้งมันกินเท่าไหร่มันก็ไม่
00:22:36 → 00:22:40 อิ่มนะเออเรากินข้าวกินแป้งไขมันมันก็ไม่
00:22:40 → 00:22:44 อิ่มเท่ากับการกินโปรตีนอแล้วมื้อนั้นๆจะ
00:22:44 → 00:22:48 ต้องมีโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอนะต่อแต่
00:22:48 → 00:22:51 ละคนตามความต้องการแต่ละคนเช่นอาจารย์
00:22:51 → 00:22:53 หนัก 63 วันนึงอาจารย์ต้องการโปรตีน 63
00:22:53 → 00:22:58 กรัมค่ะอ่าแล้วอ๋อ 1 1 ส่วนของโปรโตี
00:22:58 → 00:23:03 เนี่ยให้ 7 กรัมให้ 7 กรัมนั่นก็คือหารไป
00:23:03 → 00:23:07 เอา 63 ตั้งหารด้วย 7 ได้ 9 ส่วนอ่าฮะอ่า
00:23:07 → 00:23:10 อาจารย์ก็ต้องกินมื้อละ 3 ส่วนหไปอ่าถูก
00:23:10 → 00:23:12 ต้อง 3 มื้ออย่างเงี้ยสมมุติกิน 2 มื้อ
00:23:12 → 00:23:14 คุณก็หารไป 2 คุณบางคนบอกกิน 2 มื้อได้
00:23:15 → 00:23:17 มั้ยคะอาจารย์ถ้าคุณกินสารอาหารพอคุณกิน
00:23:17 → 00:23:19 ได้นะ 2 มื้อเออ 2 มื้อถ้าคุณได้รับคดด
00:23:19 → 00:23:22 โปรตีนไขมันวิตามินแร่ทธาต่างๆพอคุณกิน
00:23:22 → 00:23:25 มื้อเช้ามื้อบ่ายได้ค่ะอ่างั้นแล้วมันก็
00:23:25 → 00:23:28 จะถ่อให้เพียงคุณกินน้อยมื้อแต่คุณเพียง
00:23:28 → 00:23:30 พอต่อความต้องการน่ะโดยเฉพาะโปรตีนที่
00:23:30 → 00:23:33 เป็นคีย์หลักทำให้เราเนี่ยคุมหิวอิ่มได้
00:23:33 → 00:23:37 นานนะหรือกาแฟดำก็มีผลว่าเฮ้ยมันช่วยคุม
00:23:37 → 00:23:39 หิวได้ทำให้เราอิ่มได้นานได้บางคนทำ
00:23:39 → 00:23:44 ฟาสติ้งอย่างเงี้ยก็จะแนะนำอ่ะกินอกาแฟดำ
00:23:44 → 00:23:47 หรือบางคนอาจจะพวกเอ่อ mct Oil เคยได้
00:23:47 → 00:23:49 ยินมั้ยครับที่เขาสกัดมาจากน้ำมันมะพร้าว
00:23:49 → 00:23:53 ออ่ามันก็คุมหิวอิ่มนานเพิ่มการเผาผาญของ
00:23:53 → 00:23:56 ร่างกายนะหรือแิไซเดอร์เวก้าพวกนี้ก็มีกด
00:23:56 → 00:24:00 ไขมันสายสั้นอือย่านะครับมันก็เป็นอาหาร
00:24:00 → 00:24:03 ที่ช่วยควบคุมความหิวความอยากอาหารนอกจาก
00:24:03 → 00:24:06 นี้แล้วนะประเด็นสุดท้ายเลยที่มันมีผลใน
00:24:06 → 00:24:08 การควบคุมความหิวความอิ่มและความอยากใน
00:24:08 → 00:24:12 ร่างกายเราคือจุลินทรีย์ที่ลำไส้ของเรา
00:24:12 → 00:24:15 ที่อาจารยอาหารของเรากัดไมโครไบโอต้านี่
00:24:15 → 00:24:17 แหละครับค่ะดังนั้นแล้วเนี่ยจุลินทรีย์
00:24:17 → 00:24:19 ที่เราไส้มีผลต่อการควบคุมความหิวความ
00:24:19 → 00:24:22 อิ่มนะมีผลต่อฮอร์โมนเกลินเลปตินอย่างที่
00:24:22 → 00:24:25 อาจารย์บอกที่หิวให้อิ่มและมีผลต่ออีกหน
00:24:25 → 00:24:27 ฮอร์โมนที่เราทำให้เรามีความสุขสงบผ่อน
00:24:27 → 00:24:29 คลายคือซีโรโทนิน
00:24:29 → 00:24:33 อ่าเจ้าจุลินทรีย์ที่ดีหรือโปรไบโอติกที่
00:24:33 → 00:24:36 ทางเดินอาหารมันช่วยควบคุมความอยากอาหาร
00:24:36 → 00:24:39 หรือควบคุมความสุขในการกินของเราด้วยควบ
00:24:39 → 00:24:41 คุมความสุขถูกต้องครับแล้วเนี่ยเริ่มอยู่
00:24:42 → 00:24:45 ไม่สุกและครอนนี้อ่ะแล้วอย่างอย่าพวกแบบ
00:24:45 → 00:24:47 กินพรีไบโอติกหรือหรืออะไรที่ได้จาก
00:24:47 → 00:24:50 โยเกิร์ตพวกเนี้ยเรากินตอนช่วงเวลาไหนดี
00:24:50 → 00:24:53 ที่สุดคะดีที่สุดใช่มั้ยครับคือช่วงเวลา
00:24:53 → 00:24:56 ที่เขาให้กินก็คือช่วงมาหมดอ่ะตลอดเวลา
00:24:56 → 00:25:01 เลยเช้าถึงเย็นเลยอ่าแล้วบางคนบอกว่าเอ๊ะ
00:25:01 → 00:25:04 ถ้ากินระหว่างมื้ออาหารคือไม่เจอกรดเจอ
00:25:04 → 00:25:06 ความเป็นกรดเป็นอะไรต่างๆเนี่ยถ้าในกรณี
00:25:06 → 00:25:08 ที่กินเป็นเสริมเนี่ยคุณจะกินแบบนั้นก็
00:25:08 → 00:25:11 ได้แต่ถ้าคุณกินเป็นโยเกิร์ตค่ะที่ไม่ใช่
00:25:12 → 00:25:15 เป็นเม็ดเป็นซองเป็นผงนะอ่าเป็นโยเกิร์ต
00:25:15 → 00:25:17 ยังไงเราก็มีโปรตีนจากนมมีอะไรอยู่แล้ว
00:25:17 → 00:25:19 ที่กระตุ้นการหลั่งกดหลั่งน้ำย่อยหลั่ง
00:25:19 → 00:25:22 เอนไซม์ต่างๆอยู่แล้วแต่โดยส่วนใหญ่การ
00:25:22 → 00:25:24 คัดเลือกสายพันธุ์ของจุลินทรีย์พวก
00:25:24 → 00:25:27 โปรไบโอติกอ่ะเขาจะมีคุณสมบัติในการทนกด
00:25:27 → 00:25:29 ทนด่างที่ทางเอาหารอยู่แล้วก็กินตอนไหนก็
00:25:30 → 00:25:32 ได้อ่าตอนไหนก็ได้เอาตามสะดวกขอให้กิน
00:25:32 → 00:25:34 แล้วกินเวลาไหนเนี่ยส่วนใหญ่อาจารย์จะแนะ
00:25:34 → 00:25:37 นำให้กินเวลานั้นเหมือนการเติมน้ำมันน่ะ
00:25:37 → 00:25:39 ครับคอ่ารถวิ่งไปทั้งวันแลพรุ่งนี้เช้า
00:25:39 → 00:25:42 เอามาเติมอีกอย่างเงี้ยนะครับก็พยายามที่
00:25:42 → 00:25:44 จะเป็นเวลาเดิมถ้าใครแบบเอ้ยท้องว่างก็
00:25:44 → 00:25:46 ตามนั้นแต่ถ้าใครเป็นโยเกิร์ตบางทีอย่า
00:25:46 → 00:25:49 เงี้ยอ่ะอาจารย์กินโยเกิร์ตหลังมืออาหาร
00:25:49 → 00:25:51 เพราะอะไรมันได้ความหวานๆเปรี้ยวๆมัน
00:25:51 → 00:25:53 เหมือนขนมออไม่ต้องไปแต่มันได้โปรตีนในนม
00:25:53 → 00:25:57 ได้แคลเซียมด้วยและได้โปรไบโอติกที่มัน
00:25:57 → 00:26:00 ช่วยทำให้เราแบบเฮ้ยผลิตฮอร์โมนแห่งความ
00:26:00 → 00:26:04 สุขได้ด้วยอก็เป็นอีกหนึ่งตัวสำคัญเลยนะ
00:26:04 → 00:26:08 ที่เราช่วยทำให้เราเนี่ยกินแบบเดนิได้
00:26:08 → 00:26:11 อย่าง Healthy นะสุขภาพดีมีความสุขนะ
00:26:11 → 00:26:13 เพราะความสุขของเราคือการกินการกินนั่น
00:26:13 → 00:26:18 เองก็เเชื่อเดนิเเราจะได้กินเราก็เฮ้ใช่
00:26:18 → 00:26:21 ถูกต้องอารมณ์ประมาณนั้นเลยครับเฮ้คือแบบ
00:26:21 → 00:26:24 ว่าแฮปปี้ไงอืแค่คิดว่าจะได้ไปกินน่ะมัน
00:26:24 → 00:26:27 ก็มีความสุขแล้วพอได้ไปกินแล้วมันอร่อย
00:26:27 → 00:26:29 อย่างที่เราคิดจริงๆนะโอ้โหมันแบบว่าเติม
00:26:29 → 00:26:32 เต็มสมัยเนี้ยคุณีต้องบอกคุณผู้ฟังเลยว่า
00:26:32 → 00:26:36 ของอร่อยนะและสุขภาพดีมันมีให้เราเลือก
00:26:36 → 00:26:38 เยอะขึ้นแล้วไม่ใช่ว่าของอร่อยมักจะแบบ
00:26:38 → 00:26:41 ว่าไม่มักจะไม่แบบดีกับสุขภาพมันมี
00:26:41 → 00:26:44 Healthy Choice ที่แบบเฮ้ยอร่อยทำลาย
00:26:44 → 00:26:47 สุขภาพน้อยลงอน้อยลงอทำลายน้อยลงใช่มันก็
00:26:47 → 00:26:50 เอออย่างน้อยก็ยังเยียวยาจิตใจเนาะแล้วก็
00:26:50 → 00:26:53 อาศัยนี่แหละพวกพืชพวกผักทั้งหลายแหละที่
00:26:53 → 00:26:56 ไปช่วยชะลอไอ้สิ่งที่ไม่ดีไอ้พวกความหวาน
00:26:56 → 00:26:58 ความมันความเค็มทั้งหลายแหละคนะครับอัน
00:26:58 → 00:27:01 นี้มันก็จะทำให้เรากินแบบเนิได้อย่าง
00:27:01 → 00:27:05 แฮปปี้เฮได้ครับอ่าได้แนวทางไปแล้วนะคะ
00:27:05 → 00:27:08 นี่ก็จะชะลอไวกันเลยต่อไปนะคะขอบคุณ
00:27:08 → 00:27:11 อาจารย์เอกราชค่ะสวัสดีค่ะครับสวัสดีครับ
00:27:11 → 00:27:13 เอาล่ะค่ะคุณผู้ฟังได้แนวทางแล้วนะคะเรา
00:27:13 → 00:27:15 จะได้กินอย่างมีความสุขค่ะแล้วก็สุขภาพดี
00:27:15 → 00:27:18 ด้วยวันนี้ลาไปก่อนนะคะสวัสดี
00:27:18 → 00:27:22 ค่ะ This Is tha PBS podcast ต่างกัน
00:27:22 → 00:27:25 เกินไปหนึ่งในเหตุผลของการจบความสัมพันธ์
00:27:25 → 00:27:27 สัญญาณอะไรที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ผู้
00:27:27 → 00:27:30 ช่วยสาจารย์ดรจันทวิภาลกสัมพันธ์ผู้
00:27:30 → 00:27:32 เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์และครอบครัวมา
00:27:32 → 00:27:36 เล่าให้ฟังครับคนเราบางครั้งที่มาจอยู่
00:27:36 → 00:27:38 ร่วมกันเนี่ยมันไม่ได้ขึ้นกับความรักเสมอ
00:27:38 → 00:27:42 ไปหลายคนก็มีเหตุผลต่างๆนานาบางคนอาจจะมี
00:27:42 → 00:27:45 ความรักเป็นพื้นฐานแบบหวานชื่นแต่บางคนก็
00:27:45 → 00:27:49 เป็นเรื่องของจังหวะชีวิตหรือมาในเรื่อง
00:27:49 → 00:27:53 ของความพร้อมที่เหมาะสมอะไรต่างๆเหล่านี้
00:27:53 → 00:27:56 มันก็เป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตคู่แต่ที
00:27:56 → 00:27:59 นี้พอใช้ชีวิตคู่ร่วมกันไปแล้วสักพักนึง
00:27:59 → 00:28:02 โดยเฉพาะในสังคมยุคปัจจุบันเนี่ยเราไม่
00:28:02 → 00:28:05 แคร์หรอกว่าแต่งหรือไม่แต่งมีพิธีหรือไม่
00:28:05 → 00:28:08 มีพิธีหรืออะไรก็ตามแต่เราก็ใช้คำว่า
00:28:08 → 00:28:11 ชีวิตคู่ในชีวิตคู่ในที่นี้อาจจะหมายถึง
00:28:11 → 00:28:14 แค่เป็นแฟนกันก่อนหรือบางคนอาจจะอยู่ร่วม
00:28:14 → 00:28:17 กันฉันสามีภรรยาแล้วก็ได้แต่ทีเนี้ยมันก็
00:28:17 → 00:28:20 มีสัญญาณต่างๆบางคนอาจจะเริ่มด้วยความรัก
00:28:20 → 00:28:23 แต่บางคนอาจจะเริ่มด้วยความใคร่บางคนอาจ
00:28:23 → 00:28:26 จะเริ่มด้วยต้องการสิ่งประกอบในชีวิตหรือ
00:28:26 → 00:28:29 บางคนก็พ่อแม่เห็นว่าเหมาะสมสมกันดีก็มา
00:28:29 → 00:28:33 จับคู่กันเราก็เห็นว่าอ๊ะก็โอเคทางนี้ก็
00:28:33 → 00:28:36 โอเคนะฮะเสร็จแล้วมันก็มีสัญญาณบางอย่าง
00:28:36 → 00:28:39 ที่ทำให้เราเริ่มระแคะระคายว่าเอ๊ะมัน
00:28:39 → 00:28:42 อย่างไรสัญญาณแรกเลยค่ะความรู้สึกหวาน
00:28:42 → 00:28:45 ชื่นหวานแหวกุ๊กกิ๊กมุ้งมิ้งมันค่อยๆลด
00:28:45 → 00:28:48 น้อยถอยลงหรือแทบจะไม่มีเลยพอเป็นอย่าง
00:28:48 → 00:28:50 นี้แล้วถ้ายิ่งต่างคนต่างรู้สึกอย่างนี้
00:28:50 → 00:28:54 ต่อกันมันก็จะเกิดความเฉยชาไม่สนใจกันไม่
00:28:54 → 00:28:57 ใส่ใจในกันและกันเลยเวลาที่เราเป็นแฟนกัน
00:28:57 → 00:29:00 เนี่ยแหมรู้สึกมันมันเข้ากันได้หมดอ่ะ
00:29:00 → 00:29:03 อย่าลืมว่าตอนที่เราอยากจะจีบให้ติดเนี่ย
00:29:03 → 00:29:05 เราก็มักจะเสแสร้งเป็นอะไรที่เราไม่ได้
00:29:05 → 00:29:08 เป็นทั้งๆที่ใจไม่ได้ชอบพอมาอยู่ด้วยกัน
00:29:08 → 00:29:11 แล้วอ่ะความเป็นตัวตนของตัวเองมันเริ่ม
00:29:11 → 00:29:13 ฉายชัดออกมาเพราะว่าไอ้ตอนนั้นน่ะมันเป็น
00:29:13 → 00:29:17 ช่วงโปรโมชั่นอยากจะให้อีกฝ่ายนึงชอบใจ
00:29:17 → 00:29:19 เราหรือยอมรับเราว่าเราสามารถจะทำกิจกรรม
00:29:20 → 00:29:23 ที่เค้าชอบได้นะฮะแต่พอมาเป็นตัวของตัว
00:29:23 → 00:29:26 เองแล้วต่างคนก็เริ่มมีไปสนใจกิจกรรมของ
00:29:26 → 00:29:29 ตัวเองไม่แบ่งใจหรือไม่พยายามที่จะเข้ามา
00:29:29 → 00:29:31 ร่วมกิจกรรมของอีกฝ่ายหนึ่งเพราะฉะนั้น
00:29:31 → 00:29:33 การใช้ชีวิตเนี่ยมันก็จะเริ่มต่างกันต่าง
00:29:34 → 00:29:36 กันต่างกันจนกระทั่งเราใช้คำว่าต่างกัน
00:29:36 → 00:29:39 มากเกิน
00:29:39 → 00:29:44 ไป This Is Thai PBS
00:29:44 → 00:29:47 podcast ติดตามรายการของ Thai PBS
00:29:47 → 00:29:49 podcast ได้ทางเว็บไซต์
00:29:49 → 00:29:58 www.thaipbs.or.th
00:29:58 → 00:30:02 spotify YouTube Apple podcast และ
00:30:02 → 00:30:04 soundcloud
00:30:04 → 00:30:07 [เพลง]