00:00:00 → 00:00:03 สมองเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อสขยะคือสิ่งที่
00:00:03 → 00:00:05 เรารับมาและทำให้เราเป็นทุกข์เพราะเราคิด
00:00:05 → 00:00:08 เยอะเราพักไม่เป็นเราคิดตลอดเวลาเพราะว่า
00:00:08 → 00:00:11 เรากำลังเสพติดความเครียดอยู่เรากำลังสอน
00:00:11 → 00:00:14 ร่างกายเรากำลังสอนสมองให้ชินกับความ
00:00:14 → 00:00:17 เครียดช่วงไหนที่รู้สึกเครียดกังวลเยอะๆ
00:00:17 → 00:00:19 ข้อมูลที่เข้ามาเข้ามาที่หัวแต่มันมีความ
00:00:19 → 00:00:22 รู้สึกที่ใจอะไรที่ทำให้เรารู้สึกที่มัน
00:00:22 → 00:00:24 ไม่ดีอ่ะถึงเวลาที่เราจะต้องเที่ยวการ
00:00:24 → 00:00:26 เล่นโซเชียลmedเดียที่น่ากลัวคือการสไลด์
00:00:26 → 00:00:29 เร็วๆบ่อยๆมันทำให้โดปามีนของเราอ่ะมัน
00:00:29 → 00:00:32 หลั่งง่ายเกินไปเราแทบจะไม่ต้องทำอะไร
00:00:32 → 00:00:35 เยอะเราก็ถูกสนองความต้องการมาแล้วเฮ้ย
00:00:35 → 00:00:38 เราไม่โอเคอ่ะเฮ้ยไม่ชอบคลิปนี้อ่ะดูไป 3
00:00:38 → 00:00:42 นาทีเราก็ปัดมันทำให้เราอ่ะอดทนในโลกแห่ง
00:00:42 → 00:00:44 ความเป็นจริงได้น้อยลงเพราะในโลกแห่ง
00:00:45 → 00:00:47 โซเชียลมีดีเราไม่ต้องทนอะไรเลยการใช้
00:00:47 → 00:00:50 ออนไลน์อ่ะไม่ได้เป็นแบบผู้ร้ายการใช้
00:00:50 → 00:00:52 โซเชียลมีดีก็ไม่ใช่ผู้ร้ายแต่เราต้องมี
00:00:52 → 00:00:55 เวลาพักเพื่อให้เรากลับมาถามตัวเองว่า
00:00:55 → 00:00:57 อะไรเป็นสิ่งที่ฉันต้องการถึงจะรู้ว่าเรา
00:00:57 → 00:01:00 จะโฟกัสที่ไหนถ้าวันนี้เรารู้สึกว่าเรา
00:01:00 → 00:01:03 อยากเป็นคนใหม่เปลี่ยนนิสัยใหม่เราต้องมี
00:01:03 → 00:01:04 การ
00:01:04 → 00:01:10 โฟกัสเกลาแก้โรคเกลานิสัยห่างไกล
00:01:10 → 00:01:14 โรคสวัสดีค่ะยินดีต้อนรับเข้าสู่รายการ
00:01:14 → 00:01:16 เกลาแก้โรคค่ะวันนี้แพนด้าอยากจะพาทุก
00:01:16 → 00:01:19 ท่านนะคะมาดูแลสมองของเราค่ะเพราะว่าสมอง
00:01:19 → 00:01:22 เนี่ยเป็นอวัยวะนึงที่สำคัญมากๆแล้วก็
00:01:22 → 00:01:24 อยู่กับเราตั้งแต่เกิดจนวันสุดท้ายของ
00:01:24 → 00:01:26 ชีวิตเลยแล้วสมองเนี่ยเราต้องดูแลยังไง
00:01:26 → 00:01:28 บอกก่อนเลยนะคะว่า EP นี้เนี่ยเราจะพาทุก
00:01:28 → 00:01:31 ท่านเนี่ยมาเพิ่มพลังโฟกัสด้วยสมาธิกัน
00:01:31 → 00:01:33 ค่ะแล้วจะเป็นใครไม่ได้นะคะที่จะให้คำตอบ
00:01:33 → 00:01:36 เรื่องนี้ได้ดีนั่นก็คือคุณหมอฟ้าจากเพจ
00:01:36 → 00:01:39 หมอฟ้าสมาธิศาสตร์สวัสดีค่ะคุณหมอสวัสดี
00:01:39 → 00:01:43 ค่ะอ่าวันนี้เจอกันอีกแล้วนะคะค่ะอยากชวน
00:01:43 → 00:01:45 คุยในเรื่องของการที่เราจะเพิ่มพลังโฟกัส
00:01:45 → 00:01:48 ค่ะด้วยการทำสมาธิก่อนอื่นแพนด้าอยากถาม
00:01:48 → 00:01:51 ก่อนว่าอย่างสมองของเราเนี่ยค่ะแพนด้าก็
00:01:51 → 00:01:53 จะรู้ว่าสมองของเราเนี่ยก็จะมีบางอย่าง
00:01:53 → 00:01:56 ที่เป็นขยะเนาะเออแล้วอะไรบ้างที่ถือเป็น
00:01:56 → 00:01:59 ขยะสมองคะอขยะสมองในที่เนี้ยอ่ะขยะเวลา
00:01:59 → 00:02:01 เรานึกถึงขยะก็คือสิ่งที่เราไม่ต้องการ
00:02:01 → 00:02:03 หรือว่าเราต้องการที่จะทิ้งใช่มั้คะสมอง
00:02:04 → 00:02:06 คือสิ่งที่อยู่ในความคิดเราอาจจะต้องกลับ
00:02:06 → 00:02:09 มาคิดว่าเอ้ยอันไหนที่เราคิดวนแล้วทำให้
00:02:09 → 00:02:11 เรารู้สึกเป็นทุกข์แล้วเราอยากจะกำจัดออก
00:02:11 → 00:02:14 อันนั้นน่ะถือว่าเป็นขยะเออคือเหมือนคิด
00:02:14 → 00:02:16 แล้วมันแบบไม่ได้เกิดอะไรขึ้นมาหรือว่า
00:02:16 → 00:02:18 อยู่ตรงนี้แล้วทำให้เราเป็นทุกข์อ่ะค่ะ
00:02:18 → 00:02:21 เออนั้นคือขยะที่เราแบบค่อยๆเคลียร์ออกไป
00:02:21 → 00:02:24 รวมถึงสิ่งที่เราสะสมมาโดยที่เราไม่รู้
00:02:24 → 00:02:26 ตัวด้วยมั้คะใช่เพราะว่าเวลาที่เราออกไป
00:02:26 → 00:02:28 ใช้ชีวิตอ่ะค่ะสื่อที่เราเซฟสิ่งที่เรา
00:02:28 → 00:02:31 เห็นโดยที่เราเข้ามาสิ่งนั้นน่ะพอเข้ามา
00:02:31 → 00:02:33 ที่สมองก็เข้าไปสู่จิตใต้สำนึกหรือว่าตัว
00:02:33 → 00:02:35 เราเหมือนกันอันนั้นก็ถือว่าเป็นขยะถ้า
00:02:35 → 00:02:38 เป็นสิ่งที่เราแบบไม่ต้องการหรือว่าไม่
00:02:38 → 00:02:40 ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นแล้วอย่างเงี้ยค่ะ
00:02:40 → 00:02:43 เราจะสามารถสังเกตร่างกายหรือว่ามีเอฟเฟค
00:02:43 → 00:02:45 ทางร่างกายอะไรบ้างที่จะทำให้เรารู้ว่า
00:02:45 → 00:02:48 เฮ้ยตอนเนี้ยสมองของเราเนี่ยมีขยะมากเกิน
00:02:48 → 00:02:51 ไปอันนี้อาจจะแชร์จากประสบการณ์ของพี่
00:02:51 → 00:02:53 แล้วกันนะคะเพราะฉะนั้นขยะคือสิ่งที่เรา
00:02:53 → 00:02:56 รับมาและทำให้เราเป็นทุกข์เออสำหรับพี่
00:02:56 → 00:02:58 อ่ะถ้าเกิดว่าเราเช็คก็คือพี่จะเช็คว่า
00:02:58 → 00:03:00 ช่วงนั้นน่ะพี่มีความเครียดหรือว่าวิตก
00:03:00 → 00:03:04 กังวลเยอะไหมหรือว่าทำอะไรแล้วแบบรีบๆลนๆ
00:03:04 → 00:03:07 โฟกัสไม่ได้แล้วรู้สึกแบบไม่สุขสบายอ่ะ
00:03:08 → 00:03:09 รู้สึกโฟกัสไม่ได้เพราะถ้าเกิดโฟกัสไม่
00:03:09 → 00:03:12 ได้มันเกิดแบบผลงานไม่ได้ไงคะเพราะฉะนั้น
00:03:12 → 00:03:15 ช่วงไหนที่รู้สึกเครียดเยอะๆกังวลเยอะๆ
00:03:15 → 00:03:18 คิดมากๆคิดในสิ่งที่ยังไม่เกิดแล้วทำให้
00:03:18 → 00:03:21 เรากลับมาวนๆอะไรอย่างเงี้ยคือให้รู้ว่า
00:03:21 → 00:03:23 เออตรงนั้นถึงเวลาที่เราจะต้องแบบมา
00:03:23 → 00:03:26 เคลียร์ละเราได้รับข้อมูลที่มากเกินไป
00:03:26 → 00:03:29 เพราะว่าข้อมูที่เข้ามาเข้ามาที่หัวแต่
00:03:29 → 00:03:31 มันมีความรู้สึกที่ใจไงเข้ามาแล้วมันทำ
00:03:31 → 00:03:33 ให้เรารู้สึกอะไรที่ทำให้เรารู้สึกที่มัน
00:03:33 → 00:03:36 ไม่ดีอ่ะคือนั่นแหละถึงเวลาที่เราจะต้อง
00:03:36 → 00:03:38 เที่ยวออค่ะแล้วอย่างถ้าสมมุติการนอนไม่
00:03:38 → 00:03:40 หลับอ่าอาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นกับ
00:03:40 → 00:03:43 ร่างกายเนี่ยค่ะสามารถสะท้อนกับสุขภาพ
00:03:43 → 00:03:45 สมองของเราได้มั้คะโอแน่นอนเพราะเราคิด
00:03:45 → 00:03:49 เยอะเราพักไม่เป็นเราคิดตลอดเวลาค่ะเพราะ
00:03:49 → 00:03:52 ฉะนั้นเราก็ชินกับความคิดติดอยู่ที่หัว
00:03:52 → 00:03:53 เพราะฉะนั้นเวลาที่เรารู้สึกว่าเราจะต้อง
00:03:53 → 00:03:55 พักอ่ะเขารู้สึกว่าโหมดพักเป็นโหมดที่เขา
00:03:56 → 00:03:59 ไม่ชินเขาก็เลยนอนเองไม่ได้หรือบางคนแบบ
00:03:59 → 00:04:01 ไปเที่ยวเออเหมือนจะไปพักเตก็กลับมาคิด
00:04:01 → 00:04:03 อีกอะไรเงี้ยค่ะเพราะฉะนั้นการคิดบนเป็น
00:04:03 → 00:04:05 เรื่องสำคัญมากเพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับ
00:04:05 → 00:04:08 การเปลี่ยนแปลงสมองด้วยคุณหมอบอกแพนด้า
00:04:08 → 00:04:10 ว่าจริงๆสมองของคนเราเนี่ยสามารถเปลี่ยน
00:04:10 → 00:04:13 ได้เปลี่ยนเส้นทางได้ด้วยเอ้ามันคืออะไร
00:04:13 → 00:04:15 อ่ะคะอเอ่ออันเนี้ยเขาเรียกว่าเป็น neur
00:04:15 → 00:04:19 plasticity ne คือสมองพลาสติกคือยืด
00:04:19 → 00:04:22 หยุ่นเปลี่ยนเส้นทางได้พี่พูดอย่างงี้
00:04:23 → 00:04:25 เวลาที่อ่ะพี่คุยกับแพนด้าอย่างเงี้ยมี
00:04:25 → 00:04:27 เสียงเข้ามาหรือว่าเราเห็นอะไรอ่ะค่ะมัน
00:04:27 → 00:04:30 จะเกิดสัญญาณขึ้นในสมองแล้วเวลาสมองเคย
00:04:30 → 00:04:32 เห็นที่เขา้าเป็นโครงข่ายมั้ยค่ะเออเขาจะ
00:04:32 → 00:04:35 เกิดการคุยกันด้วยสารเคมีคือเขาจะแบบ
00:04:36 → 00:04:38 อย่างเงี้ยแล้วเขาจะคุยกันด้วยสารเคมีเขา
00:04:38 → 00:04:40 เรียกกระบวนการเว่าเป็นการไซapอ่ามันเป็น
00:04:40 → 00:04:42 ศัพท์การแพทย์แบบไม่ต้องสนใจหรอกพูดง่ายๆ
00:04:42 → 00:04:45 คือทุกครั้งที่เราได้รับอะไรมาเขาจะคุย
00:04:45 → 00:04:47 กันแล้วเขาเกิดการเชื่อมกันเพราะฉะนั้น
00:04:47 → 00:04:50 เนี่ยสิ่งที่เราทำซ้ำๆจะกลายเป็นสิ่งที่
00:04:50 → 00:04:52 เขาคุยกันและเชื่อมกันแบบนี้อืแล้วมันจะ
00:04:52 → 00:04:55 ถูกเซตอ่ะเป็นแบบเหมือนกับเชื่อมแข็งไป
00:04:55 → 00:04:58 แล้วอ่ะในตอนที่อายุ 25 สังเกตว่าหลังอาย
00:04:58 → 00:05:00 25 เราจะแบบเปลี่ยนแปลงได้ยากเพราะว่า
00:05:00 → 00:05:03 มันถูกเซตอ่ะค่ะสมองที่ถูกเซ็ตคือตัวเรา
00:05:03 → 00:05:06 ที่ถูกเซตทีนี้เคยเห็นคนที่เป็นอัมพฤก์
00:05:06 → 00:05:09 อัมพาตมั้ยที่บางทีเขาเป็นสโตกสตกคือเส้น
00:05:09 → 00:05:11 เลือดในสมองตีบถูกมั้คะและตอนแรกเขาอาจจะ
00:05:12 → 00:05:14 แบบยังเดินไม่ได้สักพักเขาเริ่มเดินได้
00:05:14 → 00:05:16 มันอาจจะไม่ได้กลับมา 100% แต่ว่าเขาจะ
00:05:16 → 00:05:19 กลับมาเดินได้นั่นแหละเกิดจากการที่สมอง
00:05:19 → 00:05:22 เขาสามารถซ่อมสร้างตัวเองได้ทีเนี้ยจุด
00:05:22 → 00:05:24 สำคัญก็คือว่าเขาเคยเชื่อมกันอย่างเงี้ย
00:05:24 → 00:05:28 มา 25 ปีจุดสำคัญคือถ้าวันนี้เรารู้สึก
00:05:28 → 00:05:30 ว่าเราอยากเป็นคนใหม่เราจะเปลี่ยนแปลง
00:05:30 → 00:05:34 สมองอ่ะมันเลยต้องกลับมาที่การโฟกัสมัน
00:05:34 → 00:05:36 คือกลับมาจุดของปัจจุบันขณะแล้วเกิดการ
00:05:36 → 00:05:39 โฟกัสก่อนเพราะว่าเวลาเขาเชื่อมกันอย่าง
00:05:39 → 00:05:41 เงี้ยเขาเชื่อมเป็นออโตแมติเขาเชื่อมเป็น
00:05:41 → 00:05:43 ระบบประสาทอัตโนมัติไปแล้วเคยทำแบบนี้มา
00:05:43 → 00:05:46 ตั้ง 25 ปีเขาทำแบบนี้ซ้ำๆอ่ะค่ะงั้นการ
00:05:46 → 00:05:49 ที่เราจะเปลี่ยนนิสัยใหม่เป็นคนใหม่เรา
00:05:49 → 00:05:52 เลือกเส้นทางใหม่เราต้องมีการโฟกัสอื
00:05:52 → 00:05:56 เพราะถ้าไม่โฟกัสเราจะกลับไปที่ร่องสมอง
00:05:56 → 00:05:58 เดิมงั้นเนี่ยสมองสามารถเปลี่ยนแปลงได้
00:05:58 → 00:06:01 แต่คุณสมบัติสำคัญคือเราจะต้องกลับมาที่
00:06:01 → 00:06:04 จุดของการโฟกัสก่อนอืเออเพื่อรู้ก่อนว่า
00:06:04 → 00:06:07 เฮ้ยเนี่ยมันเป็นแบบตัวเก่าของฉันนะฉันจะ
00:06:07 → 00:06:10 เป็นคนใหม่มันต้องรู้ตัวกลับมาจุดตรงนี้
00:06:10 → 00:06:14 ก่อนอืคือสมองจะเปลี่ยนได้เราต้องมีโฟกัส
00:06:14 → 00:06:18 ใช่อ่าถามต่อค่ะว่าแล้วพฤติกรรมอะไรบ้าง
00:06:18 → 00:06:21 ที่ทำลายโฟกัสของเราอ่ะอย่างแบบมากสุด
00:06:21 → 00:06:25 ทำลายโฟกัสโฟกัสคือแสงเลเซอร์อคือทำสิ่ง
00:06:26 → 00:06:29 หนึ่งในครั้งนึงอ่าให้นึกถึงเคยเล่นเกม
00:06:29 → 00:06:32 แบบตอนเด็กๆคะที่เราเอาแว่นขยายมาคือแสง
00:06:32 → 00:06:34 แดดมันก็แค่ร้อนใช่ป่ะแต่ถ้าเราเอาแว่น
00:06:35 → 00:06:37 ขยายมาเขาสามารถโฟกัสแล้วมันทำให้กระดาษ
00:06:37 → 00:06:41 ไหม้ได้อ่ะโฟกัสคือทำ 1 อย่างณชั่วขณะ
00:06:41 → 00:06:44 นั้นจนเป็นแสงเลเซอร์เลยเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:06:44 → 00:06:46 ตรงข้ามกับการทำโฟกัสคือทำมันทุกอย่าง
00:06:46 → 00:06:49 เพราะฉะนั้นพอทำทุกอย่างเราไม่สามารถใส่
00:06:49 → 00:06:52 โฟกัสไปในอะไรได้อ่ะค่ะถามว่ามันเกิดงาน
00:06:52 → 00:06:55 มั้อ่ะเกิดงานแต่ว่าถามว่าคุณภาพจะเป็น
00:06:55 → 00:06:57 แบบไหนอ่ะอันนี้อีกเรื่องนึงแต่ไม่ดีกับ
00:06:57 → 00:07:00 สมองแน่ๆเพราะว่าสมองเขาแบบไม่ได้เกิดมา
00:07:00 → 00:07:03 เพื่อมันทสอ่ะขนาดเขาจะเปลี่ยนเขายังต้อง
00:07:03 → 00:07:05 โฟกัสเลยอ่ะเขาถึงจะเปลี่ยนได้เพราะมัน
00:07:05 → 00:07:07 เป็นธรรมชาติของเขาอะไรเงี้ยออืคือทำอะไร
00:07:08 → 00:07:11 ทำทีละอย่างก่อนทีละอย่างอ่าค่ะแต่ว่าใน
00:07:11 → 00:07:14 ปัจจุบันเนี้ยค่ะโลกมันหมุนไวมากเนาะแล้ว
00:07:14 → 00:07:17 ก็เราต้องใช้ชีวิตให้มันทันกับโรคที่หมุน
00:07:17 → 00:07:21 ไวอ่าก็จะมีเรื่องของการบริหารเวลาเกิด
00:07:21 → 00:07:24 ขึ้นเช่นบางคนรู้สึกว่าใน 1 ชั่วโมงเฉัน
00:07:24 → 00:07:26 ต้องทำอะไรให้มันได้เยอะๆถึงจะแบบรู้สึก
00:07:26 → 00:07:30 ว่าเป็นคนโปรดักเป็นคนที่แบบเออมีคุณภาพ
00:07:30 → 00:07:32 เงี้ยอ่าจริงๆสิ่งนี้มันดีหรือไม่ดียังไง
00:07:32 → 00:07:35 คะแบบไม่ได้อยากบอกว่าแบบดีไม่ดีเลยเพราะ
00:07:35 → 00:07:39 ว่าแต่ละคนเขาก็จะมีแบบสไตล์ของเขาพี่อาจ
00:07:39 → 00:07:41 จะแชร์ในมุมของพี่แล้วกันว่าในสำหรับพี่
00:07:41 → 00:07:44 อ่ะค่ะที่แบบเออเราฝึกสมาธิมาแล้วก็เราทำ
00:07:44 → 00:07:46 งานแบบหลายอย่างด้วยอ่ะการโฟกัสอ่ะเป็น
00:07:46 → 00:07:50 สิ่งที่พี่ทำเสมอคือทำได้แค่ 1 อย่างณ
00:07:50 → 00:07:53 ชั่วขณะนั้นนะคะแล้วสิ่งสำคัญคือมันไม่
00:07:53 → 00:07:55 เครียดอ่ะสมมุติว่าอันนั้นเราก็ต้องทำอัน
00:07:56 → 00:07:58 นี้ก็ต้องทำอ่ะค่ะมากกว่าสมองเครียดอ่ะ
00:07:58 → 00:08:01 คือร่างกายเราเครียดนะสังเกตมว่าทำอะไร
00:08:01 → 00:08:03 เราก็จะแบบรีบไปหมดอ่ะเพราะว่าเรากำลัง
00:08:04 → 00:08:06 เสพติดความเครียดอยู่อ่ะค่ะเรากำลังสอน
00:08:06 → 00:08:09 ร่างกายเรากำลังสอนสมองให้ชินกับความ
00:08:09 → 00:08:12 เครียดเพราะฉะนั้นน่ะสำหรับพี่อ่ะการ
00:08:12 → 00:08:15 โฟกัสอ่ะเป็นสิ่งที่เราทำแล้วมันได้ผลน่ะ
00:08:15 → 00:08:19 ถ้ามันมัลติสองเราจะใช้พลังงานเยอะเพราะ
00:08:19 → 00:08:22 ฉะนั้นเขาก็จะเหนื่อยเขาก็จะล้าอาจจะลอง
00:08:22 → 00:08:25 ดูก็ได้ค่ะวันที่เราโฟกัสอาจจะ 1 อย่าง
00:08:25 → 00:08:27 กับวันที่เราแบบทำทุกอย่างลองดูว่าผลงาน
00:08:27 → 00:08:30 มันเป็นยังไงอืลองค่อยๆชั่งน้ำหนักแล้วก็
00:08:30 → 00:08:33 บาลานซเอาอ่าแล้วถ้าสมมุติบางคนที่เ้าไม่
00:08:33 → 00:08:35 สามารถวันนึงทำแค่อย่างเดียวได้ด้วยหน้า
00:08:35 → 00:08:38 ที่การงานหรือด้วยอ่ะสมมุตินะคะเช่นเป็น
00:08:39 → 00:08:42 คุณแม่อ่าต้องดูแลลูกด้วยต้องทำงานด้วย
00:08:42 → 00:08:45 ต้องดูแลบ้านต้องดูแลสามีอ่ามันคงเป็นไป
00:08:45 → 00:08:48 ไม่ได้หรอกที่เราจะเลือกทำแค่สิ่งที่ที่
00:08:48 → 00:08:51 อยากทำแล้วเขาจะทำยังไงให้เยังต้องทำสิ่ง
00:08:51 → 00:08:55 หลายๆอย่างเนี้ยแล้วเป็นผลดีต่อสมองใช่
00:08:55 → 00:08:58 เป็นผลดีต่อคนรอบตัวความสัมพันธ์แล้วก็
00:08:58 → 00:09:01 สมองของตัวเองออโอเคสำหรับพี่นะงั้นงั้น
00:09:01 → 00:09:04 แชร์แล้วกันเพราะว่าพี่ก็แบบทำหมอฟันด้วย
00:09:04 → 00:09:07 เป็นแม่ด้วยอะไรอย่างเงี้ยค่ะให้ดูว่า
00:09:07 → 00:09:10 กิจกรรมไหนที่มันไม่ต้องใช้โฟกัสเยอะเช่น
00:09:10 → 00:09:14 การกวาดบ้านถ้ากวาดบ้านแล้วเอาลูกเข้ามา
00:09:14 → 00:09:16 เป็นส่วนหนึ่งของการกวาดบ้านการกวาดบ้าน
00:09:16 → 00:09:19 อาจจะไม่ใช่การกวาดบ้านะเราสามารถแบบใช้
00:09:19 → 00:09:21 เวลานั้นกับลูกอันนี้ถือว่าเป็นแมนติ
00:09:21 → 00:09:24 ส่วนหนึ่งที่แบบดีอาจจะดูว่ากิจกรรมไหน
00:09:24 → 00:09:27 ที่เราไม่ต้องใช้ความคิดเยอะขับรถหรือฟัง
00:09:27 → 00:09:31 พcสก็ได้นะอ้าหรือเนี่ยแบบฟังเกาอะไร
00:09:31 → 00:09:33 อย่างเงี้ยเพราะว่าการขับรถมันถูกเซตเป็น
00:09:33 → 00:09:36 ออโต้ไปแล้วและเราไม่จำเป็นที่จะต้อง
00:09:36 → 00:09:38 เปลี่ยนแต่ถ้าอะไรที่เราจำเป็นที่จะต้อง
00:09:38 → 00:09:41 เปลี่ยนใช้พลังโฟกัสเยอะเป็นงานที่เราจะ
00:09:41 → 00:09:43 ต้อง concentrate อันนั้นน่ะต้องทำ 1
00:09:43 → 00:09:46 อย่างแต่่งงานไปเลไปเรื่อยอ่ะเออแบบว่า
00:09:46 → 00:09:49 เรื่องปกติทั่วไปที่ไม่ใช้พลังงานเยอะไม่
00:09:49 → 00:09:52 จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนอาจจะเอาสิ่งอื่น
00:09:52 → 00:09:54 เล็กๆน้อยๆเข้ามาแทรกได้อาจจะทำให้เรา
00:09:54 → 00:09:56 balance ได้เพราะฉะนั้นสรุปก็คือถ้าเป็น
00:09:56 → 00:09:58 งานที่เราต้องโฟกัสช่วงที่พี่จะต้องทำ
00:09:58 → 00:10:00 คลิปช่วงจะต้องเขียนสิปเรา concentrate
00:10:00 → 00:10:03 เราไม่สามารถทำกับอันอื่นได้เลยแต่แบบ
00:10:03 → 00:10:05 เอ้ยบางอันที่เราจะต้องแบบอ่าล้างจานเรา
00:10:05 → 00:10:08 ก็ทำกับอย่างอื่นได้ลองดูความสำคัญดูค่ะ
00:10:08 → 00:10:10 อืแสดงว่าจริงๆแล้วแต่ละท่านเนี่ยไม่ได้
00:10:10 → 00:10:13 เหมือนกันเลยอาจจะต้องดูว่ากิจกรรมอะไร
00:10:13 → 00:10:15 ที่เอ้ยเราทำจนมันเป็นกิจวัตรจนทำจนแบบ
00:10:16 → 00:10:18 เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างอัตโนมัติแล้วเรา
00:10:18 → 00:10:20 อาจจะเพิ่มสิ่งอื่นเข้ามาได้จริงๆเกณฑ
00:10:20 → 00:10:23 หรือว่าสิ่งที่ทำให้เราดูได้คือตัวเราเอง
00:10:23 → 00:10:26 ไม่ได้รู้สึกว่ามันมากระทบหรือเปล่าคะไม่
00:10:26 → 00:10:29 ได้รู้สึกว่าสิ่งนี้มาขัดมารู้สึกหงุด
00:10:29 → 00:10:32 หยิบอะไรอย่างเงี้ยใช่แล้วก็ว่าสำคัญน่ะ
00:10:32 → 00:10:35 คือจับความรู้สึกตัวเราเองค่ะแบบมันไม่
00:10:35 → 00:10:38 ได้มีถูกว่าเอ้ยโฟกัสดีหรือว่าเป็น
00:10:38 → 00:10:40 multิทestดีเราก็โฟกัสในบางงานเพียงแต่
00:10:40 → 00:10:43 ว่าถ้าเราทำให้เราค่อยๆปรับในขอบเขตที่
00:10:43 → 00:10:45 เรารู้สึกว่ามันโอเคแล้วไม่กดดันตัวเอง
00:10:45 → 00:10:48 เกินไปเราเคยมัลติสอย่างวันนี้ปั๊บอกให้
00:10:48 → 00:10:51 ทำ 1 อย่างมันก็เยอะไปอ่ะค่ะให้เราค่อยๆ
00:10:51 → 00:10:54 ปรับไปทีละนิดตามไลฟ์สไตล์ออืที่สำคัญก็
00:10:54 → 00:10:56 คือเรื่องของความเครียดในระหว่างที่ทำ
00:10:56 → 00:10:59 เนาะว่าบางคนอาจจะทำได้หลายอย่างแต่ว่าเา
00:10:59 → 00:11:01 ทำได้ flow ไม่ได้เครียดอันนี้ก็ไม่ได้
00:11:01 → 00:11:04 ไม่ได้มีปัญหาอะไรอใช่ๆค่ะสุดท้ายถ้าเขา
00:11:04 → 00:11:06 แบบสามารถไปต่อได้นี่เป็นไลฟ์สไตล์ที่เรา
00:11:06 → 00:11:09 รู้สึกว่าเราโอเคก็ถือว่าแบบดีตามนั้นเลย
00:11:09 → 00:11:11 อแต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มันหนักไปอ่ะ
00:11:11 → 00:11:14 เดี๋ร่างกายเขาจะบอกเราเองใช่ให้กลับมา
00:11:14 → 00:11:17 เช็คผ่านร่างกายเยอะๆเช่นแบบเราเริ่มแบบ
00:11:17 → 00:11:20 นอนไม่หลับละเราเริ่มกังวลคนกระวายเรา
00:11:20 → 00:11:22 เริ่มหายใจไม่โอเคร่างกายเรามันไม่ดีอ่ะ
00:11:22 → 00:11:25 ค่ะอันนั้นเป็นลักษณะที่ว่าเฮ้ยจริงๆอ่ะ
00:11:25 → 00:11:27 คำว่า multitest มันอาจจะหมายถึงการที่
00:11:27 → 00:11:29 เราเสพติดคอติซอลหรือว่าฮอร์โมความเครียด
00:11:29 → 00:11:32 ก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องทำ
00:11:32 → 00:11:34 เยอะกว่านี้มากกว่านี้เราถึงจะโอเคได้รับ
00:11:35 → 00:11:37 การยอมรับเราอาจจะต้องเช็คกายเป็นหลัก
00:11:37 → 00:11:39 เพราะว่ากายจะบอกถึงภาวะของใจหรือว่าความ
00:11:39 → 00:11:42 รู้สึกทุกวันเนี้ค่ะเราทุกคนก็ใช้โซเชียล
00:11:42 → 00:11:44 เนาะใช้โทรศัพท์ใช้เครื่องมือสื่อสารใน
00:11:44 → 00:11:47 การที่จะสื่อสารกันเป็นยุคของการที่แบบ
00:11:47 → 00:11:50 ออนไลน์อืออ่าทีนี้แพนด้าอยากรู้ว่าการ
00:11:50 → 00:11:53 ใช้ออนไลน์เยอะๆหรือว่าการใช้โทรศัพท์
00:11:53 → 00:11:55 เครื่องมือสื่อสารเยอะๆเนี่ยค่ะเยอะแค่
00:11:55 → 00:11:58 ไหนที่มันเริ่มจะส่งผลต่อร่างกายของเรา
00:11:58 → 00:12:01 เราจะสามารถดูร่างกายได้ยังไงว่าเฮ้ยขณะเ
00:12:01 → 00:12:05 เราใช้โซเชียลมากเกินไปนะคือเช็คความเป็น
00:12:05 → 00:12:07 ธรรมชาติถ้าสมมุติว่าเล่นโทรศัพท์แล้วแบบ
00:12:07 → 00:12:10 ทำให้เราตื่นกลางคืนเช้ามาไม่สดชื่นปวด
00:12:10 → 00:12:13 ค้อบลัยอะไรอย่างเงี้ยคือเช็คฐานกายไปเลย
00:12:13 → 00:12:15 ว่ามีตรงไหนที่เขาปวดมยมีตรงไหนที่แบบ
00:12:15 → 00:12:18 เฮ้ยฉันเคยแบบสมองปอดโป่งอ่ะตอนนี้มันไม่
00:12:18 → 00:12:19 ได้เป็นเหมือนเดิมแล้วอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:12:19 → 00:12:22 แล้วก็มีอย่างนึงก็คือระหว่างการใช้
00:12:22 → 00:12:24 ออนไลน์กับการใช้โซเชียล Media ไม่เหมือน
00:12:24 → 00:12:28 กันนะอือ่าเพราะว่าสมมุติว่าอ่ะทุกคนนั่ง
00:12:28 → 00:12:31 ดูเกลาค่ะนั่งดูแบบ 1 ชมงอ่ะจริงๆเรา
00:12:31 → 00:12:34 concrate เราอาจจะขับรถไปด้วยแต่มันคือ
00:12:34 → 00:12:37 การเปิดยาว 1 ชมงแต่การเล่นโซเชียลmedดia
00:12:37 → 00:12:41 ที่น่ากลัวคือการสไลด์เร็วๆบ่อยๆอือืหรือ
00:12:41 → 00:12:44 ว่าเราทำงานแล้วเราเปิดคอมที่เราต้องใช้
00:12:44 → 00:12:46 อินเทอร์เน็ตในการหาข้อมูลแต่เรา
00:12:46 → 00:12:47 concentrate อันนั้นอันนี้ก็ถือว่าเป็น
00:12:47 → 00:12:50 อะไรที่ที่โอเคนะคะเพราะฉะนั้นการใช้
00:12:50 → 00:12:52 ออนไลน์อ่ะไม่ได้เป็นแบบผู้ร้ายแม้
00:12:52 → 00:12:54 กระทั่งการใช้โซเชียลmedเดียก็ไม่ใช่ผู้
00:12:54 → 00:12:57 ร้ายค่ะแต่ให้ระวังตรงที่เวลาที่เราแบบ
00:12:57 → 00:12:59 ใช้บ่อยๆเลื่อนบ่อยๆเพราะว่าอันนี้มันนำ
00:12:59 → 00:13:03 ไปเกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมองเราอืเกี่ยว
00:13:03 → 00:13:05 ข้องยังไงคะการเลื่อนบ่อยๆเพราะว่ามันไป
00:13:05 → 00:13:07 เกี่ยวกับสารเคมีตัวนึงที่เราเรียกว่า
00:13:07 → 00:13:11 โดปามีนจริงๆโดปามินก็ไม่ใช่ผู้ร้ายจริงๆ
00:13:11 → 00:13:14 เขาเป็นฮอร์โมนของแรงบันดาลใจเคยมั้ที่
00:13:14 → 00:13:17 แบบว่ามีแรงบันดาลใจในการทำสิ่งอื่นหรือ
00:13:17 → 00:13:20 ว่าเวลาเราอยากทำความฝันให้เป็นจริงเรา
00:13:20 → 00:13:23 ใช้โดมีนะมันเป็นฮมของการขับเคลื่อนแต่
00:13:23 → 00:13:26 ว่าจุดก็คือว่าฮอร์โมนโดปามีนจะเกิดขึ้น
00:13:26 → 00:13:29 เมื่อเราลงมือทำฮอร์โมนหลั่งแล้วทำให้
00:13:29 → 00:13:32 เกิดการเสพติดเวลาที่เราแบบเคยชนะอะไร
00:13:32 → 00:13:35 เล่นเกมอะไรแล้วชนะเราจะอยากชนะแต้มใหญ่
00:13:35 → 00:13:39 ไปอีกเออหรือว่าเล่นเกมเลเวลต่อไปเออหรือ
00:13:39 → 00:13:41 ว่าถ้าเราติดอะไรในเชิงไม่ดีก็อย่างเช่น
00:13:41 → 00:13:44 แบบติดการพนันน่ะสังเกตมั้ยพอเราได้อัน
00:13:44 → 00:13:47 นึงอ่ะเราจะอยากได้ใหญ่ไปอีกเเรียกเรียก
00:13:47 → 00:13:49 ว่าเป็นวงจรของการ addict หรือว่าวงจรของ
00:13:49 → 00:13:53 การเสพติดค่ะคือลงมือทำแล้วก็จะหลั่งสาร
00:13:53 → 00:13:56 เกิดการเสพติดแล้วเกิดทำให้เราอ่ะอยากทำ
00:13:56 → 00:13:58 สิ่งนั้นไปเรื่อยๆอันนี้เป็นเรื่องปกติ
00:13:58 → 00:14:01 ของธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์เราขับเคลื่อน
00:14:01 → 00:14:03 แต่ว่าจุดก็คือว่าเวลาที่เราเล่น
00:14:03 → 00:14:06 โซเชียลมีดีที่เราสไลด์เร็วๆอ่ะมันทำให้
00:14:06 → 00:14:09 โดปามีนของเราอ่ะมันหลั่งง่ายเกินไปเค้า
00:14:09 → 00:14:11 เรียกว่าเป็น sheepat โดปามีนก็คือว่าเรา
00:14:11 → 00:14:14 แทบจะไม่ต้องทำอะไรเยอะเราก็ถูกสนองความ
00:14:14 → 00:14:17 ต้องการแล้วเช่นถ้าเรารู้สึกไม่สบายใจอ่ะ
00:14:17 → 00:14:19 เมื่อก่อนถ้าเราไม่ได้มีโซเชียลมีเดียเรา
00:14:19 → 00:14:22 อาจจะมีกระบวนการที่มันแบบเอ้ยเราต้อง
00:14:22 → 00:14:24 เคลื่อนย้ายตัวเองออกไปเดินจะต้องไปคุย
00:14:24 → 00:14:27 กับเพื่อนไปทำอะไรที่มันแบบมีความพยายาม
00:14:27 → 00:14:28 นิดนึงอ่ะค่ะแต่เวลาที่เราเล่น
00:14:28 → 00:14:31 โซเชียลมีเดียเฮ้ยเราไม่โอเคอ่ะไม่โอเค
00:14:31 → 00:14:34 เราก็ปัดเฮ้ยไม่ชอบคลิปนี้อ่ะดูไป 3 นาที
00:14:34 → 00:14:37 เราก็ปัดเพราะฉะนั้นน่ะมันทำให้เราอ่ะคะ
00:14:37 → 00:14:40 มีความอดทนน้อยลงเราอดทนในโลกแห่งความ
00:14:41 → 00:14:44 เป็นจริงได้น้อยลงเพราะในโลกแห่งโซเชียล
00:14:44 → 00:14:46 medดีiaเราไม่ต้องทนอะไรเลยแล้วมันแบบมัน
00:14:47 → 00:14:49 ล็อคเราไว้ด้วยสารเคมีเพราะว่าพอเราพึงพอ
00:14:49 → 00:14:52 ใจอ่ะเราเลื่อนแล้วเราพึงพอใจใช่มั้ยคะ
00:14:52 → 00:14:55 พึงพอใจปุ๊บหลั่งโดปามีนพอหลั่งโดปามีน
00:14:55 → 00:14:58 ปุ๊บเกิดการติดสังเกตมยเวลาที่เราเล่น
00:14:58 → 00:15:00 โซเชียลmedมีเดียเรากะจะเล่นแบบ 15 นาที
00:15:00 → 00:15:03 มันไม่เคย 15 นาทีเพราะมันเกิดการไหล
00:15:03 → 00:15:06 สังเกตเวลาเราเล่นโซเชียลมีดีเนี่ยเรารู้
00:15:06 → 00:15:09 ตัวน้อยมากเราไหลไปกับสิ่งที่อยู่ข้างนอก
00:15:09 → 00:15:12 ค่ะแล้วเราโฟกัสน้อยมากมันคือการทำงานที่
00:15:12 → 00:15:14 แบบเราไม่เหลือความแบบปัจจุบันขณะหรือว่า
00:15:14 → 00:15:17 สติรู้ตัวเลยอ่ะมันก็คือเรื่องเดียวกัน
00:15:17 → 00:15:19 กับที่เราแบบมีนิสัยทุกวันนี้เพราะเราเซฟ
00:15:19 → 00:15:22 ออโต้ไงอมันเป็นเรื่องเดียวกันน่ะค่ะมัน
00:15:22 → 00:15:24 ทำให้จิตเราไม่มีกำลังในการที่เราจะแบบ
00:15:24 → 00:15:27 สร้างชีวิตที่ดีหรือมีอะไรอย่างเงี้ยอื
00:15:27 → 00:15:30 ค่ะโอการสไลด์บ่อยๆคือทำให้เรารู้สึกว่า
00:15:30 → 00:15:33 สำเร็จละสำเร็จละมันคือการเพิ่มขึ้นของ
00:15:33 → 00:15:38 จำนวนสะสมที่มากขึ้นอืแต่ว่าไอ้ความว่าพอ
00:15:38 → 00:15:41 ใจและสำเร็จนั้นน่ะมันดันไม่ใช่ความ
00:15:41 → 00:15:44 สำเร็จในชีวิตจริงไงอืค่ะเพราะเวลาสมมุติ
00:15:44 → 00:15:47 ว่าเราจะทำอะไรใหม่แม้กระทั่งเราจะแบบมี
00:15:47 → 00:15:50 สุขภาพที่ดีเราจะมีซแพคอ่ะมันไม่ได้ง่าย
00:15:50 → 00:15:53 ขนาดนั้นน่ะเราต้องแบบมีความช่วงเวลาที่
00:15:53 → 00:15:56 เราต้องอดทนมีช่วงเวลาของการพ้นผ่านอะไร
00:15:56 → 00:16:00 อย่างเงี้ยค่ะแต่เราดันไปติดความง่ายที่
00:16:00 → 00:16:02 มันถูกตอบสนองมันทำให้เวลาที่เราไปใช้
00:16:02 → 00:16:06 ชีวิตจริงอ่ะเราปรับตัวไม่ได้อืเออเราทน
00:16:06 → 00:16:09 ไม่ได้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆเพราะว่าใน
00:16:09 → 00:16:11 โซเชียลmedเดียเราไม่ต้องทนอเราไม่ชอบเรา
00:16:11 → 00:16:14 ก็แค่เลื่อนผ่านแต่ในชีวิตจริงอ่ะมันเป็น
00:16:14 → 00:16:16 ไปไม่ได้ไงเรามีเรื่องที่เราต้องทนหรือ
00:16:16 → 00:16:18 ว่ามีเรื่องที่เราต้องผ่านแต่เราไม่ได้
00:16:18 → 00:16:21 ฝึกค่ะว่าแต่จริงๆคือการใช้โซเชียล
00:16:21 → 00:16:23 medเดียถ้าใช้อย่างไม่ได้มีสติใช้อย่าง
00:16:23 → 00:16:25 ไหลตามคือบางครั้งเราก็รู้สึกว่ามันไม่
00:16:25 → 00:16:27 ได้มีอะไรแต่จริงๆแล้วมันเปลี่ยนนิสัยของ
00:16:27 → 00:16:32 เราไปเลยอมากอืมากเลยเปลี่ยนเป็นคนที่จาก
00:16:32 → 00:16:35 คนที่อาจจะเคยมีความพยายามก็อาจจะรู้สึก
00:16:35 → 00:16:37 ว่าอันนี้มันง่ายคือมันดูไม่มีอะไรมันดู
00:16:37 → 00:16:39 แค่สิ่งที่อยู่ในมือเนาะแต่มันเอฟเฟคกับ
00:16:39 → 00:16:42 จิตใจความสมองของเราใช่ใช่อีกอย่างนึงที่
00:16:43 → 00:16:45 พี่ว่าสำคัญคือเวลาที่เราเสพโซเชียล
00:16:45 → 00:16:48 medดีiaทุกคนก็จะโพสต์ด้านที่ดูดีเพราะ
00:16:48 → 00:16:50 ว่ามันเป็นด้านที่เขาต้องการจะโชว์ใช่ม
00:16:50 → 00:16:52 เพราะฉะนั้นน่ะมันยิ่งทำให้เรากลับมารู้
00:16:52 → 00:16:54 สึกว่าแบบเอ้อตัวฉันไม่เห็นดีอย่างเขาเลย
00:16:54 → 00:16:56 เขาไปเที่ยวต่างประเทศตลอดเลยเขาขับรถ
00:16:56 → 00:16:58 นั่นรถนี่อ่ะแต่จริงๆแล้วความเป็นมนุษย์
00:16:58 → 00:17:01 อ่ะมันก็มีด้านที่ดีด้านที่ไม่ดีแต่เรา
00:17:01 → 00:17:03 ได้เสพเฉพาะด้านเดียวที่เขาต้องการให้เรา
00:17:03 → 00:17:06 รับรู้ไงมันยิ่งทำให้เรากลับมายิ่งแบบรู้
00:17:06 → 00:17:08 สึกแย่งกับตัวเองอีกเออเพราะฉะนั้นแบบสาร
00:17:08 → 00:17:11 เคมีก็ถูกล็อคคเทนพิเศษก็ทำให้เรากลับมา
00:17:11 → 00:17:14 แบบไม่ได้ดูแลหัวใจเราอีกอะไรอย่างเงี้ย
00:17:14 → 00:17:17 ค่ะตอนที่เราได้คุยกันค่ะคุณหมอพูดถึงว่า
00:17:17 → 00:17:20 จริงๆแล้วเนี่ยคนเราอ่ะคนเนี่ยถูกกำหนด
00:17:20 → 00:17:24 ให้เป็นอิสระอือ่าแต่ว่าด้วยหลายๆอย่างทำ
00:17:24 → 00:17:27 ให้เราอ่ะไปยึดไปบล็อกตัวเองอยากให้คุณ
00:17:27 → 00:17:30 หมอช่วยอธิบายเรื่องนี้มั้คะคำว่าอิสระ
00:17:30 → 00:17:33 คือสมมุติว่าถ้าเราย้อนกลับไปที่ manifest
00:17:33 → 00:17:37 อ่ะเราสามารถตั้งความฝันอะไรก็ได้และถ้า
00:17:37 → 00:17:39 เราลงมือทำสอดคล้องอ่ะสิ่งนั้นจะเกิด
00:17:39 → 00:17:42 เพียงแต่ว่าเราอาจจะรอไม่ได้เราอยากให้
00:17:42 → 00:17:45 มันเกิดขึ้นเร็วกว่าอืแต่จริงๆมันเกิดแต่
00:17:45 → 00:17:47 เราอยากให้มันเร็วกว่านี้ค่ะความอดทนเรา
00:17:48 → 00:17:51 ไม่ได้เพียงพอแต่เวลาที่เราอยู่ในโลกของ
00:17:51 → 00:17:54 โซเชียลมีดียหรือว่าโลกที่เราอยู่ปกตินี่
00:17:54 → 00:17:58 แหละมันแบบเออ้ยคนนั้นก็ดีคนนี้ก็ดีอะไร
00:17:58 → 00:17:59 อย่างเงี้ยค่ะคนนั้นก็มีรถคนนี้ก็
00:17:59 → 00:18:02 อันเนี้ยมันทำให้ความอิสระหรือว่าตัวเรา
00:18:02 → 00:18:05 อ่ะมันน้อยตรงที่บางทีเราไปตั้งความฝัน
00:18:05 → 00:18:08 หรือว่าสิ่งที่เราต้องการตามสังคมอ่ะโดย
00:18:08 → 00:18:09 ที่เราไม่ได้กลับมาถามว่าอันนี้มันเป็น
00:18:09 → 00:18:12 ความฝันของฉันจริงๆใช่มยอะไรอย่างเงี้ย
00:18:12 → 00:18:14 ค่ะเคยมีช่วงนึงนึงที่พี่เคยตั้งว่าแบบ
00:18:14 → 00:18:16 อุ้ยต้องไปเที่ยวต่างประเทศทุกปีกับพ่อ
00:18:16 → 00:18:18 แม่เว้ยแล้วก็กลับไปถามพ่อว่าเออเนี่ยเรา
00:18:18 → 00:18:21 จะไปญี่ปุ่นด้วยกันนะอะไรอย่างเงี้ยเพราะ
00:18:21 → 00:18:23 ว่าเรารู้สึกว่ามันเป็นความฝันแล้วพ่อพี่
00:18:23 → 00:18:25 ก็บอกพี่ว่าแบบเอ้ยจริงๆเขาไม่ได้อยากไป
00:18:25 → 00:18:28 เขาไม่ได้อยากแบบนั่งเครื่องบินเขาไม่ได้
00:18:28 → 00:18:30 อยากไปญี่ปุ่นที่มันหนาวอะไรอย่างเงี้ย
00:18:30 → 00:18:33 มันเลยทำให้เราเข้าใจว่าเออว่ะภาพของ
00:18:33 → 00:18:36 สังคมอ่ะที่อาจจะบอกว่าการทำสิ่งนี้คือ
00:18:36 → 00:18:38 ประสบความสำเร็จอ่ะแต่ถ้าเราไม่เงียบฟัง
00:18:38 → 00:18:40 ตัวเองอ่ะเราจะรู้สึกว่าเราไปยึดติดกับ
00:18:40 → 00:18:42 สิ่งเนี้ยว่าคือความสำเร็จแต่มันอาจอาจจะ
00:18:42 → 00:18:45 ไม่ใช่ความสำเร็จสำหรับเราก็ได้คนที่เรา
00:18:45 → 00:18:47 รักอาจจะไม่ได้ต้องการสิ่งนั้นก็ได้อื
00:18:47 → 00:18:51 แล้วการที่เราพอใจในชีวิตของเราอ่ะค่ะมัน
00:18:51 → 00:18:54 มีผลดีกับการพัฒนาตัวเองมั้คะเพราะว่าบาง
00:18:54 → 00:18:57 ครั้งคือแพนด้าจะเคยได้ยินมาแล้วว่าจริงๆ
00:18:57 → 00:18:59 มันต้องกลับมาพอใจแล้วมันจะรู้สึกคือหลาย
00:18:59 → 00:19:02 ๆอย่างมันจะดีขึ้นอ่าแต่ถ้าสมมุติเราพอใจ
00:19:02 → 00:19:05 จนเราแบบไม่พัฒนาเลยอ๋ออันนี้เป็นคำถาม
00:19:05 → 00:19:07 inside ที่คนผ่านการทำงานกับตัวเองมา
00:19:07 → 00:19:11 แล้วคือแบบนี้จริงๆแล้วการ manifest อ่ะ
00:19:11 → 00:19:13 ค่ะเท้าต้องแน่นหมายความว่าแบบนี้ลอง
00:19:13 → 00:19:16 จินตนาการว่าเรายืนอยู่อ่ะค่ะแล้วเราแบบ
00:19:16 → 00:19:19 ส่งไปว่าเราต้องการอะไรใช่ป่ะแต่สิ่งนั้น
00:19:19 → 00:19:22 จะเกิดขึ้นได้เมื่อเรายอมรับหรือว่าพอใจ
00:19:22 → 00:19:25 ในสิ่งที่เรามีแล้วเพราะว่าเวลาที่เราพอ
00:19:25 → 00:19:29 ใจเราจะสามารถขอบคุณในสิ่งที่เรามีได้พอ
00:19:29 → 00:19:31 เราขอบคุณในสิ่งที่เรามีได้เราจะเกิดการ
00:19:31 → 00:19:33 เชื่อมต่อหรือว่า connect the dog และ
00:19:33 → 00:19:37 ก้าวไปเรื่อยๆพอเราขอบคุณปุ๊บจะมีโอกาส
00:19:37 → 00:19:39 เข้ามาตามการ manifest แล้วเราก็จะแบบ
00:19:39 → 00:19:42 โอเคเติบโตไปตามจังหวะค่ะมันเหมือนตัวเรา
00:19:42 → 00:19:46 แน่นน่ะนั่นคือความพอใจแต่ถ้าลิงก์กับสาร
00:19:46 → 00:19:48 เคมีในสมองจริงๆแล้วอ่ะการพอใจไปเชื่อม
00:19:48 → 00:19:52 โยงกับสารซิโลโตนินมันคนละโหหมวดกัน
00:19:52 → 00:19:54 ซิโลตนินเนี่ยเป็นสารที่เป็น Fundamental
00:19:54 → 00:19:58 ก็คือเป็นฐานใหญ่มากเป็นฮอร์โมนที่หลัง
00:19:58 → 00:20:02 โดยที่ไม่ต้องทำอะไรโดปามีนเนี่ยนะต้องทำ
00:20:02 → 00:20:04 เป็นฮอร์โมนแห่งการวิ่งต้องทนกับความ
00:20:04 → 00:20:07 ลำบากและได้รับส่วนซีโรโตนินน่ะเป็น
00:20:07 → 00:20:10 ฮอร์โมนของความพึงพอใจถ้าวันนี้เราสามารถ
00:20:10 → 00:20:13 ยืนอยู่แล้วเราสามารถขอบคุณชีวิตได้
00:20:13 → 00:20:16 ขอบคุณโลกใบเนี้ยโดยที่เราไม่ต้องทำอะไร
00:20:17 → 00:20:20 อ่ะค่ะมันเป็นฮอร์โมนของการรับรู้ว่ามี
00:20:20 → 00:20:22 อันนั้นน่ะถึงจะทำให้เราอ่ะเป็นต้นกำเนิด
00:20:22 → 00:20:25 ของการ manifest เพราะรู้ว่ามีอ่ะมัน
00:20:25 → 00:20:27 เหมือนว่าเราได้รับไปแล้วไงเพราะฉะนั้น
00:20:27 → 00:20:30 มันไม่เหมือนกันตรงที่ว่าเวลาที่เรารับ
00:20:30 → 00:20:33 รู้ได้ว่ามีอ่ะมันคือการที่เราไม่วิ่งไม่
00:20:33 → 00:20:36 ไล่ล่าเราถึงดึงดูดหรือว่า manifest แต่
00:20:36 → 00:20:38 เวลาที่เราแบบอยากไปอีกแล้วไม่สามารถรับ
00:20:38 → 00:20:41 รู้ได้ถึงการมีเรากำลังวิ่งตลอดตลอดเวลา
00:20:41 → 00:20:44 เราอยู่ในเลนสไล่ล่าตลอดเวลามันจะไม่ใช่
00:20:44 → 00:20:47 การดึงดุทีนี้ถ้าเรากลับมาที่เรื่องของ
00:20:47 → 00:20:50 อ่าชีปโดูปามีนที่เราเสพติดจากการไถฟีด
00:20:50 → 00:20:54 ต่างๆเนี่ยค่ะเอิ่มแน่นอนว่าณขณะนั้นที่
00:20:54 → 00:20:57 เรากำลังอยู่ในวงจรเนี้ยมันแdมันติดน่ะ
00:20:57 → 00:21:00 คือมันค่อนข้างจะยากเหมือนกันนะที่จะถอน
00:21:00 → 00:21:04 ตัวเองออกมาอ่าเราจะมีวิธีการในการหยุดวง
00:21:04 → 00:21:07 จรนี้ได้ยังไงบ้างคะที่แบบคุณหมออยากแนะ
00:21:07 → 00:21:10 นำแล้วเราก็เอาไปทำได้จริงอถ้าจะหยุดวงจร
00:21:10 → 00:21:14 นี้คือมันจะกลับไปที่วิธีการสร้าง
00:21:14 → 00:21:17 พฤติกรรมใหม่เราอาจจะต้องใช้สิ่งแวดล้อม
00:21:17 → 00:21:20 ในการช่วยสร้างเช่นเราอาจจะแบบเอา
00:21:21 → 00:21:24 โทรศัพท์วางไว้นอกห้องก่อนที่จะนอนถ้าเรา
00:21:24 → 00:21:26 เป็นคนตื่นมาแล้วชอบหยิบโทรศัพท์อ่ะจัด
00:21:26 → 00:21:29 การสิ่งแวดล้อมง่ายกว่าจัดการใจเพราะว่า
00:21:29 → 00:21:32 จัดการสิ่งแวดล้อมอ่ะมันง่ายอ่ะใจมันใช้
00:21:32 → 00:21:34 Wel Power หรือว่ากำลังของจิตเยอะถ้า
00:21:34 → 00:21:36 เรารู้เป็นคนตื่นมาแล้วเราแบบชอบจับ
00:21:36 → 00:21:38 โทรศัพท์เอาเ้าไปไว้ที่อื่นหรือบอกกับตัว
00:21:38 → 00:21:42 เองว่ากินข้าวไม่จับโทรศัพท์ถ้าจะเข้าไป
00:21:42 → 00:21:44 กินข้าวเอาโทรศัพท์ไปไว้ที่อื่นเคลียร์
00:21:44 → 00:21:46 แบบนี้ก่อนค่ะแล้วเวลาที่เราจะเกิด
00:21:46 → 00:21:50 พฤติกรรมได้คือหลังจากที่ทำให้กลับมา
00:21:50 → 00:21:52 รีวอร์ดก็คือจะต้องให้รางวัลตัวเองในวัน
00:21:52 → 00:21:55 ที่ทำได้จะต้องกลับมาแบบเออเธอทำได้แล้ว
00:21:55 → 00:21:58 นะคือต้องกลับมาให้เหมือนชื่นชมด้วยอ่ะ
00:21:58 → 00:22:00 มันถึงจะเกิดวงจรของโดปามีนอีกอันนึงมัน
00:22:01 → 00:22:04 คือทำหลั่งโดปามีนแล้วได้รางวัลมันถึงจะ
00:22:04 → 00:22:07 เกิดการทำซ้ำเราแค่ต้องทำพฤติกรรมใหม่ใน
00:22:07 → 00:22:10 อีกวงจรนึงถ้าสมมุติว่าเราอ่ะอ่ะตื่นมา
00:22:10 → 00:22:12 แล้วเราไม่ได้จับโทรศัพท์กลับมาชมตัวเอง
00:22:12 → 00:22:14 ด้วยเพื่อให้เกิดรางวัลกับตัวเราเองแล้ว
00:22:14 → 00:22:17 เราอยากจะทำเส้นใหม่เนี้ยซ้ำอ่ะเพราะว่า
00:22:17 → 00:22:19 อันนี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีมันเกิดจาก
00:22:19 → 00:22:21 โดปามีนหลูปนี้แหละแต่เราต้องไปสร้าง
00:22:21 → 00:22:25 พฤติกรรมใหม่ด้วยการทำให้รางวัลตัวเอง
00:22:25 → 00:22:28 แล้วกลับมาทำซ้ำๆมันจะอยากเสกซ้ำๆอ่ะค่ะ
00:22:28 → 00:22:31 เอออก็เป็นเหมือนการสร้างเส้นทางใหม่ใน
00:22:31 → 00:22:34 สมองของเราใช่วิธีการสร้างพฤติกรรมใหม่
00:22:34 → 00:22:36 หรือว่าเปลี่ยนเส้นทางอ่ะทำแบบนี้อาจจะ
00:22:36 → 00:22:39 เชื่อมโยงกับพี่ยกตัวอย่างแบบลูกพี่คือ
00:22:39 → 00:22:41 ลูกพี่อ่ะ 3 ขวบเพราะฉะนั้นเป็นช่วงที่
00:22:41 → 00:22:44 เขาปรับพฤติกรรมเช่นถ้าเราอยากให้เขากิน
00:22:44 → 00:22:48 ข้าวเองเขาไปกินข้าวเองเราชมแบบตบมือเล่น
00:22:48 → 00:22:51 ใหญ่เขาจะทำอีกมันเหมือนเด็กที่แบบบ้ายอ
00:22:51 → 00:22:55 อ่ะตัวเราเองอ่ะก็บ้ายอเราชอบได้ยินคำชม
00:22:55 → 00:22:58 เราชอบการที่คนมองเห็นความสำคัญเหมือนกัน
00:22:58 → 00:23:01 ค่ะถ้าทำอะไรสำเร็จในการแบบปรับพฤติกรรม
00:23:01 → 00:23:03 เล็กๆน้อยๆกลับมาชมตัวเองด้วยอือเออแล้ว
00:23:03 → 00:23:06 เราจะอยากทำสิ่งนั้นมากขึ้นไปอีกอือแล้ว
00:23:06 → 00:23:09 ถ้าเป็นการให้รางวัลตัวเองแบบนี้นะคะเช่น
00:23:09 → 00:23:12 อ่าเราไม่เล่นโทรศัพท์ตอนนี้เราตั้งใจจะ
00:23:12 → 00:23:14 โซเชียลดีท็อกซ์ห่างโทรศัพท์อือๆอ่าแล้ว
00:23:14 → 00:23:17 ก็อ่ะเดี๋ยวทำซักครึ่งวันแล้วพอหลังครึ่ง
00:23:17 → 00:23:20 วันทำได้อ่ะทำได้แล้วนั้นเล่นให้รางวัล
00:23:20 → 00:23:22 ด้วยการเล่นโทรศัพท์อันนี้การให้รางวัล
00:23:22 → 00:23:26 ต้องไม่ใช่แบบสิ่งนั้นแล้วก็สิ่งสำคัญก็
00:23:26 → 00:23:29 คือว่าระหว่างแบบดีท็อกซ์ยาวๆอ่ะกับฝึก
00:23:29 → 00:23:33 เล็กๆอ่ะฝึกเล็กๆมีผลกว่าอืพฤติกรรมให้
00:23:33 → 00:23:36 เอาแบบเหมือนเอาจิ๊กซอมาต่อทีละนิดอ่ะค่ะ
00:23:36 → 00:23:38 มากกว่าการที่แบบฉันเลิกเล่น 3 วันเหมือน
00:23:38 → 00:23:41 คนจะลดน้ำหนักแล้วกลับมาโยโยอ่ะให้พยายาม
00:23:41 → 00:23:44 พฤติกรรมอยู่ในชีวิตปรับจากชีวิตค่ะ
00:23:44 → 00:23:48 เหมือนความถี่อย่างงี้ใช่มั้คะใช่ใช่
00:23:48 → 00:23:50 เหมือนความถี่ในเมื่อเราติดจากความถี่ที่
00:23:50 → 00:23:52 มากขึ้นเราต้องสร้างเส้นทางใหม่จากความ
00:23:52 → 00:23:57 ถี่ทำบ่อยสำคัญกว่าทำนานทีเดียวอ่ะอ๋อ
00:23:57 → 00:23:59 เหมือนกับการที่อย่างที่เราคุยกันตอนแรก
00:23:59 → 00:24:02 ว่าจริงๆเราเปลี่ยนสมองได้คือเราสร้าง
00:24:02 → 00:24:04 เส้นทางใหม่ได้คือเหมือนการขุดร่องใหม่
00:24:04 → 00:24:07 เนี่ยคือทำซ้ำๆยิ่งทำก็ยิ่งขุดยิ่งทำนั่น
00:24:07 → 00:24:08 ใช่
00:24:08 → 00:24:12 ใช่มันก็เหมือนขุดวางขุดวางแต่มันก็ยัง
00:24:12 → 00:24:15 ไม่เกิดร่องใหม่ใช่ค่ะอย่างที่คุณหมอบอก
00:24:15 → 00:24:18 ว่าจริงๆแล้วการที่เราจะเปลี่ยนอะไรสัก
00:24:18 → 00:24:20 อย่างเนี่ยอย่างเมื่อกี้ความถี่ก็คือเป็น
00:24:20 → 00:24:22 เป็นสิ่งนึงที่ช่วยให้เปลี่ยนสำเร็จแต่
00:24:22 → 00:24:24 ว่าก่อนที่เราจะเปลี่ยนมันต้องมีโฟกัส
00:24:24 → 00:24:28 ก่อนอ่าแล้วทีเนี้ยค่ะเราจะทำยังไงได้
00:24:28 → 00:24:30 บ้างให้เราแบบมีโฟกัสมากขึ้นหรือว่าอะไร
00:24:30 → 00:24:32 ที่จะช่วยเปลี่ยนให้เราเป็นคนที่มีโฟกัส
00:24:32 → 00:24:36 ได้ดีขึ้นจริงๆโฟกัสอ่ะมันคือการที่เรา
00:24:36 → 00:24:39 รู้มันจะพุ่งไปโฟกัสไปที่ไหนคำว่าโฟกัส
00:24:39 → 00:24:41 มันต้องมีจุดหมายปลายทางค่ะเพราะฉะนั้น
00:24:42 → 00:24:44 น่ะการที่ทำให้เรามีโฟกัสอ่ะมันการคือการ
00:24:44 → 00:24:48 ที่เรากลับมาอยู่ตรงนี้มันคือการที่เรา
00:24:48 → 00:24:52 ให้เสียงในตัวเรามันชัดขึ้นไม่ใช่หมาย
00:24:52 → 00:24:54 ความว่าการเสพโซเชียลมีดีไม่ดีแต่เราต้อง
00:24:54 → 00:24:57 มีเวลาพักเพื่อให้เรากลับมาถามตัวเองว่า
00:24:57 → 00:25:00 อะไรเป็นสิ่งที่ฉันต้องการชีวิตฉัน
00:25:00 → 00:25:03 ต้องการอะไรเป้าหมายของฉันคืออะไรเพราะ
00:25:03 → 00:25:06 นั่นน่ะถึงจะรู้ว่าเราจะโฟกัสที่ไหนถ้า
00:25:06 → 00:25:08 เราแบบมีเป้าหมายที่จะอ่ะฉันจะมีอายุยืน
00:25:08 → 00:25:11 ยาวถึง 80 อันนี้คือจุดโฟกัสแล้วนะคะเรา
00:25:11 → 00:25:14 ถึงจะทำอะไรให้มันสอดคล้องได้อ่ะแต่ถ้า
00:25:14 → 00:25:16 เกิดว่าเสียงข้างนอกมันดังไปหมดเลยอ่ะเรา
00:25:16 → 00:25:18 จะวิ่งทุกอย่างเนี่ยจนเราไม่รู้ว่าจริงๆ
00:25:18 → 00:25:20 แล้วความต้องการมันคืออะไรเพราะฉะนั้น
00:25:20 → 00:25:24 โฟกัสอ่ะมาหลังจากการที่เรากลับมาที่ตัว
00:25:24 → 00:25:27 เองเราต้องกลับมาที่ตัวเองก่อนเราถึงจะ
00:25:27 → 00:25:30 เข้าใจตัวเองแล้วเราถึงจะรู้ว่าเราจะ
00:25:30 → 00:25:33 โฟกัสอะไรเราต้องรู้ก่อนที่จะโฟกัสไม่
00:25:33 → 00:25:37 งั้นมันไม่เกิดจุดโฟกัสได้อเออเราจะกลับ
00:25:37 → 00:25:39 มาที่ตัวเองมีวิธียังไงบ้างคะที่กลับมา
00:25:39 → 00:25:43 ที่ตัวเองให้เวลาตัวเองอืแต่บางคนคือให้
00:25:43 → 00:25:45 เวลาตัวเองก็ให้นะคะแต่คือเขาก็อาจจะแบบ
00:25:45 → 00:25:48 สมมุตินะวันนี้ตั้งใจลาหยุด 1 วันอยากให้
00:25:48 → 00:25:51 เวลาตัวเองอ่ะแต่ไม่รู้ว่าไอ้ 1 วันเนี้ย
00:25:51 → 00:25:54 ต้องทำอะไรหรอคืออะไรคือที่จะจะทำให้แบบ
00:25:54 → 00:25:57 เนี่ยคือให้เวลาตัวเองแล้วอ่ะสำหรับพี่นะ
00:25:57 → 00:26:01 อาจจะไม่ต้องแบบลา 1 วันแต่ขอลองดูว่าภาย
00:26:01 → 00:26:05 ใน 1 วันน่ะมีเวลาโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
00:26:05 → 00:26:08 ซัก 5 5 นาทีหรือ 10 นาทีได้ไหมอยากคิด
00:26:08 → 00:26:11 ว่าเป็นเรื่องแบบสั้นๆนะเรื่องเนี้ยแบบ
00:26:11 → 00:26:13 เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเพราะว่าหลายคนติด
00:26:14 → 00:26:16 เพราะว่าเรารู้สึกกับการติดในการที่จะทำ
00:26:16 → 00:26:20 ลงมือทำให้ฉันรู้สึกดีการลงมือทำให้ฉัน
00:26:20 → 00:26:22 รู้สึกว่าฉันมีค่าทำให้ฉันรู้สึกว่าฉัน
00:26:22 → 00:26:25 โปรtiveแต่เวลาที่เราอยู่นิ่งๆอ่ะเรารู้
00:26:25 → 00:26:28 สึกว่าแบบบางคนจะรู้สึกว่าโอ้ฉันแบบไร้
00:26:28 → 00:26:31 ค่ามากเลยทั้งๆที่ถ้าเราไม่เงียบอ่ะเรา
00:26:31 → 00:26:34 ไม่ได้ยินแล้วเสียงข้างนอกอ่ะมันดังกว่า
00:26:34 → 00:26:36 เสียงข้างในเราอยู่แล้วเพราะฉะนั้นน่ะค่ะ
00:26:36 → 00:26:39 ให้เวลาตัวเองอาจจะแค่ 5 นาทีต่อวันที่จะ
00:26:39 → 00:26:42 วางทุกอย่างแล้วลองอยู่เงียบๆแล้วลองดู
00:26:42 → 00:26:45 ว่าในตอนที่มันไม่ได้ทำอะไรเลยอ่ะมันมี
00:26:45 → 00:26:48 อะไรขึ้นมาแล้วเราจะค่อยๆกลับไปทำความรู้
00:26:48 → 00:26:51 จักตัวเองครั้งนึงอ่ะถ้าไม่เงียบอ่ะไปต่อ
00:26:51 → 00:26:54 ไม่ได้เหมือนมันมันดังไปหมดอ่ะทำไปหมดอ่ะ
00:26:54 → 00:26:57 มันไม่มีช่องว่างเลยอ่ะค่ะอืแต่ว่าคือทุก
00:26:58 → 00:27:00 คนก็จะเป็นอย่างี้ใช่มั้ยคะคือแค่เรา
00:27:00 → 00:27:03 เงียบเราปิดการรับรู้จากคนอื่นบ้างใช่อ่า
00:27:03 → 00:27:05 แล้วเสียงเรามันจะดังขึ้นมาจริงเลยใช่
00:27:05 → 00:27:07 เพราะว่าจริงๆเขาบอกเราอยู่แล้วเสื่อสาร
00:27:07 → 00:27:10 กับเราอยู่แล้วเในที่นี้คือร่างกายค่ะเออ
00:27:10 → 00:27:12 อยู่แล้วแต่เราแบบไม่ได้ยินเหมือนเรื่อง
00:27:12 → 00:27:15 ป่วยอ่ะก่อนที่พี่จะเป็นภาวะซึมเศร้าอ่ะ
00:27:15 → 00:27:17 มันไม่ได้อยู่ดีๆเป็นนะคือเราแบบไม่มี
00:27:17 → 00:27:21 ความสุขกับการทำงานพี่ปวดคอจนแบบไม่
00:27:21 → 00:27:24 สามารถหันซ้ายหันขวาได้เป็นหลักเดือนไม่
00:27:24 → 00:27:27 สามารถนอนเองได้เพราะว่าปวดทางร่างกายแต่
00:27:27 → 00:27:30 เราไม่ได้ยินไงเราไม่ได้ยินเราเพิกเฉย
00:27:30 → 00:27:32 สิ่งที่มันเป็นเรื่องเล็กๆมันก็เลยเป็น
00:27:32 → 00:27:34 เรื่องที่ยิ่งใหญ่เขาแค่ตะโกนบอกแล้วว่า
00:27:34 → 00:27:36 เค้าไม่ไหวแล้วเพราะฉะนั้นน่ะทุกอย่างที่
00:27:36 → 00:27:38 เกิดขึ้นน่ะมันเกิดจากการที่เราไม่หยุด
00:27:38 → 00:27:41 ฟังเราแบบเสียงดังไปหมดอ่ะเพราะฉะนั้นถ้า
00:27:41 → 00:27:44 เราหยุดฟังอ่ะเราจะได้ยินเค้าแน่นอนค่ะ
00:27:44 → 00:27:46 อยู่นิ่งๆหรือว่าอยู่เงียบๆกับตัวเองอ่ะ
00:27:46 → 00:27:50 อันนี้สำคัญมากพี่มีแบบเคสนึงเนาะเขาแบบ
00:27:50 → 00:27:51 ได้เข้ามาเรียนหรือว่าได้คุยกันอะไรอย่าง
00:27:51 → 00:27:56 เงี้ยค่ะเขาเป็นคุณหมอที่ยุ่งมากแล้วก็มี
00:27:56 → 00:27:59 ภาวะ SL SLE คือภาวะภูมิคุ้มกันเขาทำลาย
00:27:59 → 00:28:02 ตัวเองค่ะเป็นเลือดเพราะฉะนั้นเนี่ยเขาก็
00:28:02 → 00:28:04 เลยไม่สามารถมีลูกได้คุณหมอเนี่ยก็บอกว่า
00:28:04 → 00:28:06 เอ้ยมีลูกยากนะไม่ได้หมายความว่าแบบไม่มี
00:28:06 → 00:28:09 ได้เลยมียากทีเนี้ยพอมันยุ่งไปหมดอ่ะเขา
00:28:09 → 00:28:13 ไม่ได้มีเวลากลับมาให้ตัวเองเชื่อมว่าแค่
00:28:13 → 00:28:15 แบบมีเวลาให้ตัวเองนะมันเหมือนได้กลับมา
00:28:16 → 00:28:18 เชื่อมโยงกับตัวเองอ่ะตอนหลังครั้งล่าสุด
00:28:18 → 00:28:21 อ่ะคือเค้าแบบไปเช็คอ่ะเลือด SLE อ่ะกลับ
00:28:21 → 00:28:24 มาปกติอีกสักพักนึงอ่ะเขาสามารถกลับมามี
00:28:24 → 00:28:27 ลูกได้แล้วตอนนี้เขาท้องแบบน่าจะ 5 เดือน
00:28:27 → 00:28:29 แล้วอ่ะเออแล้วเขาก็กลับมาบอกพี่ว่าเออ
00:28:29 → 00:28:32 หมอฟ้ารู้มว่าไอ้การที่แบบกลับมาอยู่กับ
00:28:32 → 00:28:35 ตัวเองบ้างอ่ะมันทำให้เค้าอ่ะได้กลับมา
00:28:35 → 00:28:38 เชื่อมโยงกับตัวเองแล้วแบบพลังงานในตัว
00:28:38 → 00:28:41 เราอ่ะมันจะค่อยๆดีขึ้นน่ะค่ะเออแล้วเขา
00:28:41 → 00:28:43 ก็แบบสุดท้ายก็ได้มีลูกแล้วพยายามมาแบบ
00:28:43 → 00:28:46 หลายปีมาก 4-5 ปีอย่างที่คุณหมอบอกว่า
00:28:46 → 00:28:49 จริงๆแล้วการให้เวลากับตัวเองอะไรอย่าง
00:28:49 → 00:28:52 เงี้ยมันไม่ได้จำเป็นว่าเราจะต้องลา 1
00:28:52 → 00:28:55 วันหรือเป็นกิจลักษณะหรือแบบเอ้ยเดี๋ยว
00:28:55 → 00:28:57 เดี๋ยวทริปหน้านะเดี๋ยวจะให้เวลากับตัว
00:28:57 → 00:29:00 เองอันนี้ไม่ใช่แต่เราควรจะทำให้มันเป็น
00:29:00 → 00:29:02 กิจวัตรคือทำให้มันอยู่ในชีวิตประจำวัน
00:29:02 → 00:29:07 ใช่อ่าอืทุกวันสำคัญกว่าลานานๆเพราะว่า
00:29:07 → 00:29:10 สิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันจะกลายเป็นกิจวัตร
00:29:10 → 00:29:13 สิ่งที่เป็นกิจวัตรจะกลายเป็นนิสัยและสุด
00:29:13 → 00:29:16 ท้ายมันจะกลายเป็นตัวตนของเราเออเพราะ
00:29:16 → 00:29:20 ฉะนั้นน่ะทำทุกวันสำคัญกว่าหยุด 3 วัน 5
00:29:20 → 00:29:22 วันหรือว่าหยุดเดือนนึงอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:29:22 → 00:29:26 เอออค่ะแล้วการที่เราให้เวลาตัวเองเป็น
00:29:26 → 00:29:30 ประจำทุกวันอย่างเงี้ยค่ะมันขุดร่องใหม่
00:29:30 → 00:29:33 อะไรในสมองของเราหรือเปล่าคะเวลาที่เราจะ
00:29:33 → 00:29:36 เปลี่ยนสมองนะ 1 คือเราต้องมีโฟกัสว่าเรา
00:29:36 → 00:29:39 จะไปที่ไหนแต่การที่จะเปลี่ยนได้อ่ะคือ
00:29:39 → 00:29:42 ต้องผ่อนคลายเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลง
00:29:42 → 00:29:45 ชีวิตในขณะที่เรารีบไปหมดได้ลองสังเกตใน
00:29:45 → 00:29:48 เวลาที่เช้าสายบที่นเราแบบสเกลเต็มไปหมด
00:29:48 → 00:29:52 อ่ะเราจะคิดอะไรออกมยไม่เพราะเราจะทำทุก
00:29:52 → 00:29:55 อย่างตามสกดuleคือทำแล้วไหลเพราะฉะนั้นใน
00:29:56 → 00:29:57 การที่เราจะเปลี่ยนอะไรใหม่เราต้องผ่อน
00:29:57 → 00:30:00 คลายการที่เรามีเวลาให้ตัวเองได้ผ่อนคลาย
00:30:00 → 00:30:03 อ่ะมันคือช่วงเวลาที่ที่ทำให้เราอ่ะเซ็ต
00:30:03 → 00:30:05 เส้นทางใหม่เวลาจะเปลี่ยนสมองเวลาจะ
00:30:05 → 00:30:08 โปรแกรมอะไรทำอะไรที่เกี่ยวกับจิตอ่ะค่ะ
00:30:08 → 00:30:10 ต้องผ่อนคลายเออสมาธิเลยกลายเป็น
00:30:10 → 00:30:13 คีย์เวิร์ดนึงเพราะว่าสมาธิทำให้คลื่น
00:30:13 → 00:30:15 สมองเราอ่ะอยู่ในคลื่นผ่อนคลายเราเลย
00:30:15 → 00:30:18 สามารถ manifest ก็คือการที่เรามีภาพใช่
00:30:18 → 00:30:20 มยมีภาพแล้วใส่เข้าไปเลยทำตอนทำสมาธิ
00:30:20 → 00:30:23 เพราะว่ามันผ่อนคลายค่ะในภาวะปกติเราแบบ
00:30:23 → 00:30:25 โอ้โหเครียดอ่ะความเครียดในคลื่นสมองเขา
00:30:25 → 00:30:27 จะเป็นเบต้าหรือว่าคลื่นเร็วเพราะฉะนั้น
00:30:27 → 00:30:31 น่ะมันไม่ผ่อนคลายเขาจะเขาจะรับไม่ได้เขา
00:30:31 → 00:30:33 จะเอาถ้าสมมุติเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน
00:30:34 → 00:30:36 ได้ก็เช่นไม่ต้องรอเวลาพักไม่ต้องรอตอน
00:30:36 → 00:30:40 เย็นหรืออะไรเรารู้ตัวตอนไหนเราก็พักสัก
00:30:40 → 00:30:44 นิดนึงออฮะค่ะแล้วมีวิธีที่จะช่วยรีเซต
00:30:44 → 00:30:47 ได้ในขณะนั้นเลยมั้ยคะสำหรับพี่ก็ยังกลับ
00:30:47 → 00:30:49 ไปที่ลมหายใจอยู่เพราะว่าลมหายใจเป็นสิ่ง
00:30:49 → 00:30:52 ที่เราไม่ต้องมีกระบวนการเยอะถ้าเราจะ
00:30:52 → 00:30:54 เปลี่ยนอะไรอ่ะมันต้องไม่มีกระบวนการเยอะ
00:30:54 → 00:30:58 ขอแค่โอเครู้ตัวปุ๊บอ่ะหายใจไปที่ท้องนะ
00:30:58 → 00:31:01 หายใจช้าลงก็ได้ถ้าตอนนี้ยังท้องไม่ได้
00:31:01 → 00:31:03 ฉันยังหายหายใจที่อกก็ไม่เป็นไรค่ะขอช้า
00:31:03 → 00:31:06 ลงหน่อยได้มแค่นั้นเองถ้าหายใจช้าไม่ได้
00:31:07 → 00:31:10 รู้ตัวก่อนได้มทำอะไรก็ได้ค่ะให้เริ่ม
00:31:10 → 00:31:14 น้อยที่สุดแต่ทำไปเลยอือืทีละเล็กๆแต่ว่า
00:31:14 → 00:31:18 ทำเลยทำเลยทำตอนนั้นเลยไม่งั้นจะเปลี่ยน
00:31:18 → 00:31:20 ไม่ได้แล้วก็แบบการเปลี่ยนมันต้องแบบทำ
00:31:20 → 00:31:23 ทันทีอ่ะขอแค่รู้ตัวค่ะมันก็เป็นจุดที่
00:31:23 → 00:31:26 แบบหัวใจเราก็จะแบบแข็งแรงขึ้นและเริ่ม
00:31:26 → 00:31:28 เปลี่ยนได้แล้วโหจากที่เราคุยกันมาทั้ง
00:31:28 → 00:31:29 หมดของวันนี้เนาะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการ
00:31:29 → 00:31:32 ที่เราอ่ะจะเปลี่ยนชีวิตของเราก็คือต้อง
00:31:32 → 00:31:35 เปลี่ยนสมองอ่าซึ่งจะเปลี่ยนสมองได้ก็
00:31:35 → 00:31:37 ต้องเปลี่ยนนิสัยแล้วก็ไอ้นิสัยเจะ
00:31:37 → 00:31:39 เปลี่ยนได้ก็ต้องมีโฟกัสเมื่อทำ 1 อ่ะ
00:31:39 → 00:31:42 เดี๋ยวมันจะกระชบชิ่งไปเองอ่าแต่ต้อง
00:31:42 → 00:31:44 เริ่มให้ถูกก่อนแล้วก็สิ่งที่สำคัญมากๆ
00:31:44 → 00:31:47 คือเรื่องของโฟกัสที่ว่าอะไรบ้างทุกวัน
00:31:47 → 00:31:49 นี้ที่แบบทำลายโฟกัสเราอยู่เราจำเป็นต้อง
00:31:50 → 00:31:52 รู้เพื่อที่เราจะต้องหลีกเลี่ยงแล้วก็ลด
00:31:52 → 00:31:54 แล้วก็รวมถึงโดปามีนที่เราเสพติดชีป
00:31:55 → 00:31:58 โดปามีนด้วยว่าเฮ้ยจริงๆแล้วถ้าเรารู้ตัว
00:31:58 → 00:32:06 แล้วเราก็ลองเปลี่ยนอีกแผนนึง
00:32:06 → 00:32:10 ชำลังทำโดยใช้ความพยายามมากขึ้นก็จะทำให้
00:32:10 → 00:32:13 เรามีโดปามีนที่เป็นโดปามีนราคาแพงมาก
00:32:13 → 00:32:16 ขึ้นซึ่งมันก็จะดีต่อร่างกายของเราซึ่ง
00:32:16 → 00:32:18 ทั้งหมดที่คุยมาแพนด้าว่าดีมากๆแล้วก็น่า
00:32:18 → 00:32:21 จะช่วยให้หลายๆท่านเนี่ยมีแนวทางในการที่
00:32:21 → 00:32:24 จะไปเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วก็พอเปลี่ยนนิด
00:32:24 → 00:32:26 นึงก็อย่างที่บอกเนาะเดี๋ยวชีวิตเราก็จะ
00:32:26 → 00:32:28 ค่อยๆดีขึ้นเองแล้ววันนี้ค่ะเราคุยกัน
00:32:28 → 00:32:30 เรื่องสมองเนาะอ่า
00:32:30 → 00:32:33 แพนด้าก็เลยมีสิ่งนึงค่ะช่วยปกป้องสมอง
00:32:33 → 00:32:34 ของ
00:32:34 → 00:32:38 เราหมวกเกลาค่ะอันนี้มามอบให้คุณหมอนะคะ
00:32:38 → 00:32:41 จริงๆข้างในเป็นสีดำอ่าสามารถใส่ได้ 2
00:32:41 → 00:32:44 ด้านเลยพริกด้านไหนก็ใส่ได้เหมือนกันค่ะ
00:32:44 → 00:32:46 แล้วก็ถ้าท่านไหนสนใจหมวกแบบนี้นะคะรับ
00:32:46 → 00:32:49 รองว่าหูใส่แล้วชิกมากใส่แล้วดีแล้วก็อาจ
00:32:49 → 00:32:51 จะได้เตือนให้เราแบบเอ่อปกป้องสมองของเรา
00:32:51 → 00:32:54 ด้วยก็ฝากอุดหนุนได้นะคะที่ใต้
00:32:54 → 00:32:56 description นี้นะคะแล้วก็ยังมีเสื้อ
00:32:56 → 00:32:58 เกลานะคะแล้วก็กระเป๋าผ้าเกาด้วยค่ะยังไง
00:32:58 → 00:33:00 ก็เป็นเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะคะอัน
00:33:00 → 00:33:03 นี้ให้คุณหมอเลยค่ะขอบคแล้วก็ดูคลิปนี้
00:33:03 → 00:33:05 แล้วนะคะได้ประโยชน์ยังไงบ้างหรือว่าอยาก
00:33:05 → 00:33:07 แชร์อะไรประสบการณ์ส่วนตัวนี้เราก็ยินดี
00:33:07 → 00:33:10 รับฟังนะคะคอมเมนต์บอกกันเอาไว้ได้นะคะ
00:33:10 → 00:33:12 แล้วก็อย่าลืมกดไลค์กดแชร์แล้วก็กด
00:33:12 → 00:33:14 Subscribe เป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะคะ
00:33:14 → 00:33:17 รวมถึงตามไปกดไลก์กดแชร์ช่องคุณหมอช่อง
00:33:17 → 00:33:20 ไหนคะหมอฟ้าสมาธิศาสตร์ค่ะอ่าไปติดตามกัน
00:33:20 → 00:33:22 ได้คุณหมอจะมีไลฟ์ประจำวันไหนคะทุกวัน
00:33:22 → 00:33:25 อังคารค่ะอ่าทุกวันอังคารก็ไปติดตามไลฟ์
00:33:25 → 00:33:27 ช่องคุณหมอได้ค่ะสำหรับวันนี้ก็ต้องขอ
00:33:27 → 00:33:33 ขอบคุณมากๆเลยนะคะขอบคุณค่ะ
00:33:33 → 00:33:52 [เพลง]