00:00:00 → 00:00:02 กลัวตัวเองจะผิดหวังกลัวตัวเองจะล้มเหลว
00:00:02 → 00:00:05 ความคิดนี้อาจจะเชื่อถือไม่ได้แมเราก็ทำ
00:00:05 → 00:00:07 งานก็ได้เลื่อนขั่นมาตลอดแต่ไม่เคยรู้สึก
00:00:07 → 00:00:10 ชื่นชมตัวเองเลยมนุษย์ทุกคนเนี่ยเรามีจุด
00:00:10 → 00:00:12 ที่เราเก่งแล้วก็จะมีจุดที่เราไม่เก่งและ
00:00:12 → 00:00:14 แม้ว่าจุดที่เราเก่งก็จะมีคนที่เก่งกว่า
00:00:14 → 00:00:17 เราเสมอและจุดที่เราไม่เก่งก็จะมีคนที่
00:00:17 → 00:00:19 ไม่เก่งกว่าเราจริงๆเราทุกคนมีความ
00:00:19 → 00:00:21 ท็อกซิกสิ่งที่เราเลี่ยงไม่ได้เนาะภาษี
00:00:21 → 00:00:23 หัวหน้าและเพื่อนร่มงานทำไมเราไม่โทษคน
00:00:23 → 00:00:26 อื่นก่อนที่จะโทษตัวเองก็ลองโทษคนอื่นดู
00:00:26 → 00:00:29 ค่ะสมมุตินะคนเดันเป็นเจ้านายทำไงค่ะจบ
00:00:29 → 00:00:32 เออไม่จบผมก็ทุกขไปเรากดดันตัวเองไปเพื่อ
00:00:32 → 00:00:34 อะไรความเครียดต้องบอกว่ามันเป็นส่วน
00:00:34 → 00:00:36 หนึ่งของความสำเร็จไอ้ความไม่มีค่าเนี่ย
00:00:36 → 00:00:38 คืออยู่กับใครก็ไม่มีค่าอย่างเราเองเนี่ย
00:00:38 → 00:00:41 เราเคยขอบคุณตัวเองมอ่ะคนแรกที่เราต้อง
00:00:41 → 00:00:46 เมตตาคือตัวเราเกลาแก้โรคเกลานิสัยห่าง
00:00:46 → 00:00:48 ไกล
00:00:48 → 00:00:51 โรควันนี้เราอยู่กับคุณหมอเอิ้นนะคะแพทย์
00:00:51 → 00:00:55 หญิงพิยดาหาชัยภูมินะคะสวัสดีค่ะส
00:00:55 → 00:00:58 ค่ะเป็นการเปิดแบบไม่เปิดอ่ะคะวันนี้ค่ะ
00:00:58 → 00:01:01 พี่หมอเอิ้นเราจะมามาคุยกันเรื่องของโรค
00:01:01 → 00:01:04 ทางจิตใจหรืออาการทางใจในวัยทำงานค่ะ
00:01:04 → 00:01:08 โอ้โหถามก่อนดีกว่าว่าครั้งที่แล้วที่
00:01:08 → 00:01:11 เป็นอ่าวัยเด็กวัยรุ่นกับเรื่องของ
00:01:11 → 00:01:13 ครอบครัวคุณพ่อคุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ Ep
00:01:13 → 00:01:17 ที่แล้วโอก็เอ่อ Ep ที่แล้วก็จะดูแพนด้า
00:01:17 → 00:01:17 ดู
00:01:17 → 00:01:22 เด็กนะรู้สึกว่าพิธีกรจะแปรผันตามอายุของ
00:01:22 → 00:01:25 เทปนะคะเป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมายมาก
00:01:25 → 00:01:29 ค่ะอ่ะแต่ว่าถ้าใครยังไม่ได้ดู EP นั้นนะ
00:01:29 → 00:01:32 คะก็สามารถไปดูกันได้นะนี่ขึ้นที่ตัวไอ
00:01:32 → 00:01:35 เอออ่ะวันนี้ค่ะเราจะมาคุยกันที่วัยทำงาน
00:01:35 → 00:01:38 ค่ะพี่เอิ้นซึ่งแน่นอนว่าโรคทางจิตใจไปทำ
00:01:38 → 00:01:41 งานเนี่ยมีแน่นอนแล้วก็น่าจะหนักหนาด้วย
00:01:41 → 00:01:43 หลายๆคนที่มาฟังอยู่ตอนนี้ก็น่าจะอยากรู้
00:01:43 → 00:01:46 กันแล้วอันดับแรกค่ะพี่เอินหนูอยากรู้ว่า
00:01:46 → 00:01:48 เราจะมีวิธีรีเช็คจิตใจของเรายังไงว่าเ้ย
00:01:48 → 00:01:52 ตอนนี้เราจิตใจโอเคดีหรือว่าเรากำลังไม่
00:01:52 → 00:01:54 ค่อยดีหรือเปล่านะจริงๆเนี่ยคำถามนี้แต่
00:01:54 → 00:01:58 ละคนควรจะตอบได้ดีที่สุดเพราะว่าเรื่อง
00:01:58 → 00:02:00 ของใจมันเป็นเรื่องของเราจริงๆแล้วการที่
00:02:00 → 00:02:05 คนอื่นมาทักเนี่ยแสดงว่ามันอาจจะมากพอที่
00:02:05 → 00:02:08 คนอื่นจะมองเห็นเราเนี่ยจะเห็นความรู้สึก
00:02:08 → 00:02:10 ของใจเราได้เนี่ยพี่เอิ้นว่าเราอาจจะต้อง
00:02:10 → 00:02:14 หมั่นมีคำถามที่สำคัญอย่างเช่นเอ่อฉันรู้
00:02:14 → 00:02:18 สึกยังไงถ้าเกิดว่าเปรียบเป็นสีวันนี้สี
00:02:18 → 00:02:20 ของความรู้สึกแพนด้าให้เป็นสีอะไรคะตอน
00:02:20 → 00:02:24 นี้หรอคะหนสีเหลืองแล้วกันแล้วมันแทนความ
00:02:24 → 00:02:27 รู้สึกอะไรเป็นเรื่องของปัญญาได้มั้ยคะ
00:02:27 → 00:02:30 หนูกำลังใช้ปัญญาเยอะมากใช่ส่วนใหญ่สี
00:02:30 → 00:02:33 เหลืองก็จะแทนแบบความรู้สึกว่าเราคิดรู้
00:02:33 → 00:02:37 สึกกำลังสนุกกับความคิดก็ได้อใช่ม 1 คือ
00:02:37 → 00:02:40 เราต้องรู้ว่าเรารู้สึกยังไงอ่ะถ้าเกิด
00:02:40 → 00:02:42 ว่าเราอยากจะบอกว่าเราจะดูแลอารมณ์ตัวเอง
00:02:42 → 00:02:44 หรือดูแลจิตใจตัวเองเนาะงั้นเราต้องมี
00:02:44 → 00:02:46 ความสามารถในการเนี่ยเช็คเข้ามาว่าเรา
00:02:46 → 00:02:49 กำลังรู้สึกยังไงซึ่งความรู้สึกเนี่ยคน
00:02:49 → 00:02:52 ไม่ค่อยนิยามความรู้สึกตัวเองไม่ค่อยถูก
00:02:52 → 00:02:55 เราอาจจะใช้สีเนี่ยมาช่วยแทนก็ได้เช้าวัน
00:02:55 → 00:02:58 นี้ความรู้สึกเป็นสีเทาไปหมดเลยเอ้อวัน
00:02:58 → 00:03:02 นี้เช้ามาวันนี้สีฟ้าต่างมยค่ะต่างอ่ะ
00:03:02 → 00:03:05 เพราะงั้นพอรู้แล้วเนี่ยเราก็ค่อยๆดูว่า
00:03:05 → 00:03:08 ไอ้เนี่ยมันแทนความรู้สึกอะไรถ้าโดยปกติ
00:03:08 → 00:03:10 อ่ะไอ้สีพวกนี้มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแต่
00:03:10 → 00:03:13 เมื่อไหร่ก็ตามนะที่วันนั้นเนี่ยคือความ
00:03:13 → 00:03:16 รู้สึกเป็นสีเทารู้สึกอึดอัดหม่นมองหดหู่
00:03:16 → 00:03:19 ทั้งวันเลยหดหู่ทุกวันเลยอ่านี่เป็น
00:03:19 → 00:03:22 สัญญาณละเพราะความรู้สึกไม่เปลี่ยนแสดง
00:03:22 → 00:03:25 ว่ามีความผิดปกติบางอย่างอ่านี้เป็นวิธี
00:03:25 → 00:03:28 การง่ายๆนะคะพอมันเปลี่ยนไปนานๆเราจะ
00:03:28 → 00:03:31 สังเกตว่าพฤติกรรมเราจะเริ่มเปลี่ยนถาม
00:03:31 → 00:03:33 ตัวเองอีกคำถามนึงเรารู้สึกว่าเราเปลี่ยน
00:03:33 → 00:03:35 ไปมยเออก่อนหน้านี้เราเป็นคนอีกแบบนึงตอน
00:03:35 → 00:03:37 นี้เราเป็นคนอีกแบบนึงหรือเปล่าอืออย่าง
00:03:37 → 00:03:40 เช่นแต่ก่อนใจเย็นนะใครพูดอะไรก็คือใจ
00:03:40 → 00:03:43 เย็นเดี๋ยวนี้คือนิดนึงหงุดหงิดง่ายใช่มย
00:03:43 → 00:03:45 เราสังเกตเห็นตัวเองเปลี่ยนไปอย่างเงี้ย
00:03:45 → 00:03:47 งั้นอันนี้ก็จะเป็นจุดสังเกตแล้วว่าโอ้
00:03:48 → 00:03:50 งั้นอารมณ์ที่เปลี่ยนเนี่ยเริ่มมีอิทธิพล
00:03:50 → 00:03:52 กับความเป็นตัวตนของเราแล้วนะอ่าเป็นวิธี
00:03:53 → 00:03:56 ที่แบบน่าจะทำได้ง่ายเหมือนกันนะคะหมาย
00:03:56 → 00:03:58 ถึงว่าถ้าเราเริ่มที่สีก่อนเพราะบางครั้ง
00:03:58 → 00:04:00 เราอาจจะนิยามความรู้สึกที่มันมันมีไม่
00:04:00 → 00:04:03 ถูกอ่าเริ่มที่สีแล้วก็มาสังเกตพาเลสสี
00:04:03 → 00:04:05 ของเราสิว่าเฮ้ยในช่วงนี้เดือนนี้สัปดาห์
00:04:05 → 00:04:08 นี้สีมันไปทางไหนถ้ามันแบบเท้าเยอะๆมืดๆ
00:04:08 → 00:04:11 ดำๆเยอะๆอันนี้ก็เริ่มจะมีปัญหาแล้วะซึ่ง
00:04:11 → 00:04:15 ปกติแล้วอ่ะถ้าเกิดเรามีความเบิกบานมี
00:04:15 → 00:04:17 ความสนุกมีความสุขอย่างเงี้ยเราก็จะเพลิด
00:04:17 → 00:04:20 เพลินกับมันอยู่แล้วใช่มั้ยเราก็จะแบบ
00:04:20 → 00:04:24 เอ่อไปตามทำงานหรือใช้ชีวิตไปตามปกติอยู่
00:04:24 → 00:04:27 ะแต่ว่าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าเอ๊มัน
00:04:27 → 00:04:31 มันสะดุดจังเลยหรือว่าว่ามันเริ่มติดขัด
00:04:31 → 00:04:34 นะเริ่มรู้สึกไม่เหมือนเดิมอ่ะอันเนี้ย
00:04:34 → 00:04:37 เราอาจจะลองมาเช็คคำถามต่อไปค่ะถ้าสมมุติ
00:04:37 → 00:04:39 ว่าเราเป็นคนที่มี mindset ติดลบต่อตัว
00:04:39 → 00:04:42 เองตลอดเลยไซตติดลบคือเรารู้สึกว่าเราทำ
00:04:42 → 00:04:45 ไม่ได้หรอกเราเก่งไม่พอโปรเจคเนี้ยอย่ามา
00:04:45 → 00:04:47 ให้เราเลยอุยทำไม่ได้ทำไม่ได้ความรู้สึก
00:04:47 → 00:04:50 แบบเยค่ะที่มันเกิดขึ้นเนี่ยเราจะทำยังไง
00:04:50 → 00:04:52 ดีเพราะว่ามันเริ่มกระทบกับการทำงานแล้ว
00:04:52 → 00:04:54 อ่ะพี่อนว่าเหมือนกันกับความรู้สึกเมื่อ
00:04:54 → 00:04:57 ตะกีนี้ก็คือว่าอันนี้เป็นความคิดละความ
00:04:57 → 00:05:00 คิดก็คล้ายความรู้สึกอย่างนึงก็คือคือว่า
00:05:00 → 00:05:02 จริงๆแล้วมันไม่มีอะไรแน่นอนแต่ความผิด
00:05:02 → 00:05:04 ปกติของความคิดนี้คืออะไรรู้มั้ยแน่นอน
00:05:04 → 00:05:06 เลยว่าฉันไม่ทำไม่ได้แน่นอนไม่มีความ
00:05:07 → 00:05:09 สามารถแน่นอนเมื่อไหร่ที่รู้สึกอย่าง
00:05:09 → 00:05:12 เงี้ยตลอดเนี่ยหมายความว่าความคิดนี้อาจ
00:05:12 → 00:05:14 จะเชื่อถือไม่ได้เพราะมันอาจจะเป็นความ
00:05:14 → 00:05:17 คิดที่มันอาจจะมาจากความกลัวกลัวตัวเองจะ
00:05:17 → 00:05:20 ผิดหวังกลัวตัวเองจะล้มเหลวแค่นั้นเองแต่
00:05:20 → 00:05:21 ไม่ได้เกี่ยวกับความสามารถของเรานึกออก
00:05:21 → 00:05:24 มั้ยเราไปสะกดจิตเราเองเรียบร้อยเลยแล้ว
00:05:24 → 00:05:27 เราพอเราเชื่อมันมันจะเหมือนกับเราเป็น
00:05:27 → 00:05:30 สิ่งนั้นจริงๆแต่จริงๆมันอาจจะเป็นแค่
00:05:30 → 00:05:32 ความกลัวกลัวไม่ถูกใจคนอื่นถ้าทำแล้วก็
00:05:32 → 00:05:36 คือมันมีสำเร็จกับล้มเหลวใช่มใช่ค่ะเลย
00:05:36 → 00:05:38 ไม่อยากทำเพราะกลัวล้มเหลวเพราะงั้นมันก็
00:05:38 → 00:05:41 จะผลิตความคิดแบบนี้ขึ้นมาได้ังนั้นถ้า
00:05:41 → 00:05:44 เกิดมันมันไม่มีอย่างอื่นเลยอ่ะคืออันนี้
00:05:44 → 00:05:46 เรื่องนี้ฉันเก่งว่ะแต่เรื่องนี้ทำไม่ได้
00:05:46 → 00:05:48 เรื่องนี้ไม่ค่อยถนัดเรื่องนี้ถนัดน้อย
00:05:48 → 00:05:51 เรื่องนี้ถนัดมากเห็นมยมันก็มีแบบเฉดของ
00:05:51 → 00:05:53 ความคิดเหมือนกันน่ะถ้ามันไม่เป็นแบบนี้
00:05:53 → 00:05:57 เลยนะคือไม่ได้หรอกเออฉันไม่เก่งพอฉัน
00:05:57 → 00:05:59 อะไรอย่างเงี้ยตลอดเวลาเนี่ยอันอันเนี้ย
00:05:59 → 00:06:03 เชื่อถือไม่ได้ละอ่าดังนั้นอันแรกอย่า
00:06:03 → 00:06:06 เชื่อถือให้มาดูว่าออแล้วเพราะอะไรคิดแบบ
00:06:06 → 00:06:08 นี้อาจจะเป็นเพราะว่าความกลัวหรือเปล่า
00:06:08 → 00:06:10 เพราะงั้นสิ่งที่เราต้องมาจัดการก็คือ
00:06:10 → 00:06:13 ความกลัวถ้าเกิดเกิดความคิดนี้เกิดขึ้น
00:06:13 → 00:06:16 มันไม่ได้ผิดอะไรฉันจะทำได้มพอเราไม่
00:06:16 → 00:06:19 เชื่อมันแล้วเนี่ยเราถอยออกมานิดนึง
00:06:19 → 00:06:22 ปัจจัยภายนอกจริงหรอที่เราทำไม่ได้ลองมอง
00:06:22 → 00:06:25 ในอีกมุมนึงของุที่ 3 นี้ใช่ใช่เราลองเรา
00:06:25 → 00:06:29 ลองเป็นคนอื่นเอ้อแล้วลองประเมินเราเออ
00:06:29 → 00:06:32 ใช่เอเราลองมเป็นคนอื่นที่ประเมินเราดู
00:06:32 → 00:06:34 เราทำไม่ได้จริงหรือเป่าถ้าจะมันตอบว่า
00:06:34 → 00:06:37 จริงเพราะอะไรบางทีเราจะพบว่าอ๋อทั้งหมด
00:06:37 → 00:06:40 คิดไปเองทั้งหมดเพราะว่าแค่ความกลัวเอง
00:06:40 → 00:06:44 อ่อองค์ประกอบมีแล้วทีมมีแล้วทักษะมีแล้ว
00:06:44 → 00:06:47 เวลามีแล้วเหลืออย่างเดียวเชื่อตัวเอง
00:06:47 → 00:06:50 เหมือนจะง่ายหือว่าก็ไม่ค่อยง่ายนะคะถ้า
00:06:50 → 00:06:52 ถ้าคนที่อยู่ในภาวะนั้นจริงๆเพราะงั้นถ้า
00:06:52 → 00:06:55 เชื่อตัวเองไม่ได้ทำคือเปลี่ยนจากความคิด
00:06:55 → 00:06:59 เป็นแอชงั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือการกระทำดี
00:06:59 → 00:07:02 กว่าเราล่มสลายทุกอย่างเพียงแค่ว่าสิ่ง
00:07:02 → 00:07:05 ที่เราเชื่อว่าเราเป็นทั้งๆที่จริงๆแล้ว
00:07:05 → 00:07:08 มันอาจจะแค่เป็นความคิดที่เป็นผลผลิตของ
00:07:08 → 00:07:10 ความกลัวแค่นั้นเองแล้วก็จะมีอีกกลุ่มนึง
00:07:10 → 00:07:12 ค่ะที่เป็นคนที่เราไม่รู้ว่าจะเรียกว่า
00:07:12 → 00:07:14 มนุษย์บ้างานได้มยอ่ะแต่ว่าอาจจะเป็นคน
00:07:14 → 00:07:17 เก่งแล้วกันก็คือกลุ่มเยค่ะที่ดีเท่าไหร่
00:07:17 → 00:07:21 ก็ไม่พอคนชมก็รับไม่เป็นอ่าก็จะรู้สึกว่า
00:07:21 → 00:07:23 เราแบบไม่เหมาะสมที่จะได้รับคำชมจากใคร
00:07:23 → 00:07:25 เลยหรือเราไม่เชื่อว่าเราเก่งถึงแม้ว่าคน
00:07:25 → 00:07:28 อื่นจะชื่นชมเราก็ตามถ้าเราเป็นคนแบบนี้
00:07:28 → 00:07:30 หรือมีอาการแบบนี้เราคควรจะทำยังไงดีค่ะ
00:07:30 → 00:07:33 จริงๆในชีวิตจริงก็ปรากฏอยู่แล้วเนาะแหม
00:07:33 → 00:07:35 เราก็ทำงานก็ได้เลื่อนคั่นมาตลอดเลยหน้า
00:07:35 → 00:07:39 ที่การงานมาถึงตำแหน่งนี้ได้มาถึงในจุด
00:07:39 → 00:07:42 นี้ได้แต่ไม่เคยรู้สึกชื่นชมตัวเองเลยรู้
00:07:42 → 00:07:47 สึกว่าโชคช่วยตลอดเวลาโอ้เราโชคดีไม่ได้
00:07:47 → 00:07:51 ทำอะไรคนชมว่าเราดีก็ไม่กล้ารับและที่
00:07:51 → 00:07:54 สำคัญนะตัวเราอ่ะก็คือเชื่อไปแล้วว่าเรา
00:07:54 → 00:07:56 อ่ะไม่เก่งหรอกแล้วกลัวคนอื่นเนี่ยเขาจะ
00:07:56 → 00:07:59 รู้ด้วยว่าเราอ่ะเก่งไม่จริงทั้งทๆจริงๆ
00:07:59 → 00:08:01 เราเก่งงั้นคนกลุ่มนี้ก็จะเหนื่อยมากเลย
00:08:02 → 00:08:04 เหนื่อยตรงที่ว่าเหมือนมันต้องทำตลอดเวลา
00:08:05 → 00:08:08 สำคัญคือทำแล้วไม่ชื่นใจมันไม่มีแบบสิ่ง
00:08:08 → 00:08:10 ที่มาเป็นความมั่นใจในตัวเองเพราะว่าอะไร
00:08:10 → 00:08:13 เพราะว่าปัญหาก็คือความมั่นใจนั่นแหละเรา
00:08:13 → 00:08:16 ไม่มั่นใจในตัวเองคือการที่เราไม่ได้มอง
00:08:16 → 00:08:19 ตัวเองตามความเป็นจริงว่าจริงๆแล้วมนุษย์
00:08:19 → 00:08:23 ทุกคนเนี่ยเรามีจุดที่เราเก่งแล้วก็จะมี
00:08:23 → 00:08:26 จุดที่เราไม่เก่งและแม้ว่าจุดที่เราเก่ง
00:08:26 → 00:08:28 ก็จะมีคนที่เก่งกว่าเราเสมอและจุดที่เรา
00:08:28 → 00:08:31 ไม่เก่งก็จะมีคนที่ไม่เก่งกว่าเราไปอีก
00:08:31 → 00:08:33 เสมออันนี้เขาจะเรียกว่า imposter
00:08:33 → 00:08:35 Syndrome คเป็นกลุ่มก้อนอาการเลยคือเก่ง
00:08:35 → 00:08:37 เท่าไหร่ก็ยังไม่พอเนี่ยสิ่งสำคัญถ้าเรา
00:08:38 → 00:08:40 จับสัญญานี้ได้อ่ะพี่เอิ้นแนะนำให้ทำ
00:08:40 → 00:08:43 อย่างงนี้นะถ้าใครมาชมเราอ่ะให้ฝึกขอบคุณ
00:08:43 → 00:08:45 คือแม้ว่าใจเราจะปฏิเสธนะอย่าเพิ่งไปรีบ
00:08:45 → 00:08:48 ปฏิเสธสิ่งสำคัญก็คือเราต้องให้เกียรติคน
00:08:48 → 00:08:52 ที่ชมเราด้วยอืจริงค่ะเออว่าเมองเห็นบาง
00:08:52 → 00:08:55 อย่างในตัวเราถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาพ
00:08:55 → 00:08:57 เดียวกับที่เรามองตัวเองเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:08:57 → 00:08:59 การที่เราปฏิเสธนี่ถือว่าเราไม่ให้เกียต
00:08:59 → 00:09:03 เขานะแรกๆมันอาจจะขอบคุณแต่ปากนะแต่พอเรา
00:09:03 → 00:09:06 ฝึกที่จะขอบคุณเนี่ยพอขอบคุณแล้วเราลอง
00:09:06 → 00:09:08 สัมผัสความรู้สึกเราว่าเวลาเราขอบคุณเรา
00:09:08 → 00:09:11 รู้สึกยังไงเวลาเราขอบคุณเรารู้อาจจะรู้
00:09:11 → 00:09:13 สึกดีเกิดขึ้นเนี่ยร่างกายเราเกิด
00:09:13 → 00:09:16 ปฏิกิริยาอะไรใจเรามันเต้นยังไงลองลอง
00:09:16 → 00:09:19 สัมผัสกับความรู้สึกในร่างกายงั้นความ
00:09:19 → 00:09:23 ภูมิใจมันจะค่อยๆค่อยๆสะสมค่อยๆกลับมา
00:09:23 → 00:09:26 จริงๆก็คล้ายๆกับก่อนหน้านี้เลยเนาะถ้า
00:09:26 → 00:09:28 เป็นเรื่องของความความเชื่อมั่นที่มีต่อ
00:09:28 → 00:09:31 ตัวเองอืหรือความมั่นใจก็ตามถ้าบางครั้ง
00:09:31 → 00:09:34 การเปลี่ยนความรู้สึกหรือเปลี่ยนความคิด
00:09:34 → 00:09:36 มันยากก็เปลี่ยนที่การกระทำก่อนเหมือน
00:09:36 → 00:09:38 เดิมอันนี้ก็คือเวลาคนชมเราเราอาจจะรู้
00:09:38 → 00:09:40 สึกว่าเฮ้ยเราไม่ได้เราไม่ได้เหมาะสมกับ
00:09:40 → 00:09:43 คำชมนั้นแต่ก็ขอบคุณค่ะขอบคุณไปก่อนแล้ว
00:09:43 → 00:09:46 พอเราขอบคุณแล้วสัมผัสความรู้สึกณโมเมนต์
00:09:46 → 00:09:48 นั้นว่าเฮ้ยจริงๆก็รู้สึกดีนี่นาใช่อ่า
00:09:48 → 00:09:50 แล้วสิ่งนี้ก็จะค่อยๆเข้าไปเปลี่ยนเรา
00:09:50 → 00:09:55 ข้างในใช่ทีนี้คนที่เป็นอีกแบบนึงนะคะจาก
00:09:55 → 00:09:58 เมื่อกี้ไม่ค่อยมั่นใจกับคนนี้ที่แบบมั่น
00:09:58 → 00:10:00 ใจจังเลยโอโหเห็นมาตั้งแต่ระยะ 10 เมตรคน
00:10:01 → 00:10:04 นี้มั่นใจมากๆมั่นใจจนดูเกินไปอันเนี้ยใน
00:10:04 → 00:10:07 ทางการแพทย์แล้วอันตรายมั้ยคะหรือว่าแบบ
00:10:07 → 00:10:12 ปกติมั้ยคือถ้ามั่นใจในแบบคุณภาพเอหรือ
00:10:12 → 00:10:16 ว่ามั่นใจที่เกิดจากการที่เ้ามีสุขภาพจิต
00:10:16 → 00:10:20 ที่ดีจริงๆมี Self Extreme เรียกว่าการ
00:10:20 → 00:10:23 มองเห็นคุณค่าของตัวเองตามความเป็นจริง
00:10:23 → 00:10:27 อ่ะใช้โค้ดคำนี้นะว่าตามความเป็นจริงความ
00:10:27 → 00:10:30 มั่นใจนี้จะไม่ค่อยเดือดร้อนใครแต่ถ้า
00:10:30 → 00:10:32 ความมั่นใจเนี้ยมันเดือดร้อนคนอื่นเช่น
00:10:33 → 00:10:36 คือไม่ฟังใครเลยเตือนไม่ได้แต่ต้องไม่ได้
00:10:36 → 00:10:41 ฉันเก่งที่สุดเก่งตลอดเวลาอืเนเพราะงั้น
00:10:41 → 00:10:44 อันเนี้ยอันตรายมันก็อาจจะเป็นการชดเชย
00:10:44 → 00:10:47 ความไม่มั่นใจเหมือนกันอ้าอาที่เราเห็น
00:10:47 → 00:10:50 มั่นใจนี้ลึกๆอาจจะไม่มั่นใจลึกๆก็อาจจะ
00:10:50 → 00:10:53 ไม่มั่นใจอืค่ะเลยต้องมีเกราะในความมั่น
00:10:53 → 00:10:57 ใจบางอย่างขึ้นมาอันนี้เป็นได้ในอีกแบบ
00:10:57 → 00:11:00 นึงอันที่ 2 ก็คืออาจจะมาจากการที่มี
00:11:00 → 00:11:03 บุคคลิกภาพที่ผิดปกติอย่างเช่นเราอาจจะ
00:11:03 → 00:11:06 เคยได้ยินเรื่องนาซิมเงี้ยเพราะฉะนั้น
00:11:06 → 00:11:10 เนี่ยการที่มีความหลงตัวเองซึ่งไม่ได้
00:11:10 → 00:11:13 พิ่งเกิดนะอันนี้คือเหมือนกับว่ามันก็จะ
00:11:13 → 00:11:15 เป็นสิ่งที่มันมีประสบการณ์อะไรบางอย่าง
00:11:15 → 00:11:18 ตั้งแต่วัยเด็กเลยแล้วกูมเป็นบุคลิกขึ้น
00:11:18 → 00:11:22 มาอันเนี้ยก็จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุก
00:11:22 → 00:11:25 พื้นที่ของชีวิตนะไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่
00:11:25 → 00:11:28 ไหนก็ตามงั้นก็จะส่งผลกระทบกับคลรอบข้าง
00:11:28 → 00:11:32 อ่าอันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องระวังต้องบอก
00:11:32 → 00:11:35 ว่าต้องมีติดเบรกให้กับตัวเองนิดนึงงั้น
00:11:36 → 00:11:39 กลุ่มนี้ถ้าเจอสัญญาณนี้นะก็แนะนำว่าให้
00:11:39 → 00:11:43 ฝึกที่จะฟังสมมุติว่าเราแบบดูมั่นใจเกิน
00:11:43 → 00:11:45 เบิดจริงๆอะไรอย่างเงี้ยนะแต่ถ้าเกิดเป็น
00:11:45 → 00:11:48 คนที่อยู่รอบข้างเนี่ยอันนี้ก็ต้องอาจจะ
00:11:48 → 00:11:51 ดูในระยะความสัมพันธ์น่ะแล้วก็ดูในระยะ
00:11:51 → 00:11:53 ของบทบาทด้วยเพราะบางทีอันนี้เราก็ไปแตะ
00:11:53 → 00:11:56 ต้องเยากเหมือนกันแต่การจะฟังก็ยากเหมือน
00:11:56 → 00:12:00 กันสำหรับคนที่แบบมั่นใจมากๆออืออืแต่ถือ
00:12:00 → 00:12:02 ว่ามันเป็นการพัฒนาตัวเองอย่างหนึ่งเพราะ
00:12:02 → 00:12:06 ว่าจริงๆบางคนนะคือเขาก็ดันเก่งจริงไง
00:12:06 → 00:12:08 เก่งแต่คราวนี้ลืมไปว่าเราไม่จำเป็นต้อง
00:12:09 → 00:12:11 เก่งตลอดเวลาก็ได้บางทีเก่งจนโดดเดี่ยว
00:12:11 → 00:12:14 อ่ะเก่งนักใช่มยทำเองะกันเก่งบางทีก็มี
00:12:14 → 00:12:17 ทุกข์ของความเก่งของความมั่นใจในตัวเองจน
00:12:17 → 00:12:20 เกินไปดังนั้นเนี่ยถ้าเรามองว่าเออมัน
00:12:20 → 00:12:22 เป็นสิ่งที่ทำให้เราก็พัฒนาตัวเองได้นะ
00:12:22 → 00:12:25 ไม่งั้นเเก่งทุกอย่างเชีวิตไม่มีสีสัน
00:12:25 → 00:12:27 อะไรแล้วอือถ้าเราลุกปัญหาแล้วว่าเราอาจ
00:12:27 → 00:12:29 จะเป็นคนที่ดูมั่นใจจนเกินไปเพราะอาจจะมี
00:12:30 → 00:12:32 สัญญาณจากรอบตัวว่าเฮ้ยคนเริ่มห่างอไปจาก
00:12:32 → 00:12:35 เราทำไมเราก็เก่งดิทำไมคนอื่นเแบบไม่เข้า
00:12:35 → 00:12:38 หาเราอะไรอย่าเงี้ยอลองฟังคนอื่นมากขึ้น
00:12:38 → 00:12:41 เขาอาจจะไม่ได้เก่งเท่าเราก็ได้นะแต่ว่า
00:12:41 → 00:12:43 อาจจะได้เรื่องความสัมพันธ์อ่าลองพูดน้อย
00:12:44 → 00:12:47 ลงค่ะลองฟังมากขึ้นเมื่อกี้เรื่องของคน
00:12:47 → 00:12:50 หลงตัวเองเอ่าแล้วก็จะมีอีกอย่างนึที่เรา
00:12:50 → 00:12:53 น่าจะเจอในสังคมการทำงานคือคนท็อกซิกค่ะ
00:12:53 → 00:12:56 พี่เอิ้ลถ้าเราเจอคนท็อกซิกเนี่ยเราจะรับ
00:12:56 → 00:13:00 มือยังไงดีคะจริงๆเรื่องของคนทกิพี่เอิน
00:13:00 → 00:13:02 ว่าเราต้องเข้าใจก่อนว่าจริงๆเราทุกคนมี
00:13:02 → 00:13:05 ความท็อกซิกงั้นคำว่า toxic People หรือ
00:13:05 → 00:13:08 คนทกิเนี่ยหมายถึงว่าคนๆนั้นเนี่ยมี
00:13:08 → 00:13:10 พฤติกรรมบางอย่างที่สร้างความเครียดให้
00:13:10 → 00:13:14 กับคนรอบข้างได้ถามว่าเราแม้กระทั่งพี่
00:13:14 → 00:13:17 เอิ้นเองเนี่ยนะพี่เอินก็อาจจะเป็นสาเหตุ
00:13:17 → 00:13:18 ของความเครียดให้กับใครบางคนอยู่ก็ได้
00:13:19 → 00:13:21 อย่างเช่นสามีที่บ้านกับบางอย่างงั้น
00:13:21 → 00:13:23 สำหรับ toxic People เนี่ยพี่เอินอยาก
00:13:23 → 00:13:26 ให้เรามองเป็นเรื่องของพฤติกรรมมากกว่า
00:13:26 → 00:13:28 เรื่องของความเป็นตัวตนของคนเนาเพราะ
00:13:28 → 00:13:31 ฉะนั้นเนี่ยสมมุติว่าเรา 2 คนเนี่ยเราทำ
00:13:31 → 00:13:33 งานด้วยกันเนี่ยเออเราเป็นเพื่อนร่วมงาน
00:13:33 → 00:13:36 กันเนี่ยคือในบางงานในบางโปรเจคอ่ะพี่
00:13:36 → 00:13:39 เอิ้นอาจจะมีความคาดหวังกับแพนด้าแล้วก็
00:13:39 → 00:13:41 อยากให้แพนด้าทำแบบเนี้ยเป็นคนแบบเนี้ย
00:13:41 → 00:13:44 แต่แพนด้าไม่เป็นเก็จะรู้สึกว่าแพนด้า
00:13:44 → 00:13:47 ท็อกซิกล่ะอืไม่ได้ดั่งใจเราอย่างเงี้ย
00:13:47 → 00:13:50 หรอคะเออคือหมายถึงว่าแพนด้าก็เป็นเหตุ
00:13:50 → 00:13:54 ของความเครียดอ๋อใช่มยของพี่เอิ้นเพราะ
00:13:54 → 00:13:57 งั้นนิยามของ People ทิมันคืออย่างงี้นะ
00:13:57 → 00:14:00 คือคนที่แบบเรามีพฤติกรรมที่ไปสร้างความ
00:14:00 → 00:14:03 เครียดเพราะงั้นถ้าฟังแบบนี้คือเราทุกคน
00:14:03 → 00:14:05 มีสิทธิ์เป็นพิพท็อกซิกหมดเลยซึ่งบาง
00:14:06 → 00:14:08 ครั้งถ้าอย่างกรณีเมื่อกี้แพนด้าเองก็ไม่
00:14:08 → 00:14:10 ได้ตั้งใจที่จะทำให้พี่เอิ้นเครียดด้วยนะ
00:14:10 → 00:14:14 ใช่อ้าแล้วสรุปใครท็อกซิกใช่ใช่เพราะ
00:14:14 → 00:14:17 ฉะนั้นเนี่ยพี่เอิ้ลเลยอยากให้เราเวลาเรา
00:14:17 → 00:14:20 รู้สึกว่าเฮ้ยคนนี้ท็อกซิกให้เราระวังว่า
00:14:20 → 00:14:22 เราอย่าเพิ่งไปตัดสินเขาให้เรามองเป็น
00:14:22 → 00:14:26 พฤติกรรมอย่างเช่นคนเนี้ยชอบนินทาเน้
00:14:26 → 00:14:30 นินทาก็คือเป็นพฤติกรรมคนนินทาอาจจะไม่
00:14:30 → 00:14:33 ได้รู้สึกว่าตัวเองนินทานะเป็น
00:14:33 → 00:14:36 ห่วงพูดถึงเฉย
00:14:36 → 00:14:40 ๆเออคือเป็นเป็นเรื่องของพฤติกรรมแต่ถ้า
00:14:40 → 00:14:43 เกิดสมมุติว่าเฮ้ยคนเนี้ยนินทาคือเท่ากับ
00:14:43 → 00:14:48 เลวอืจบเลยนะเราจะไม่อยากเจอหน้าคนนี้เลย
00:14:48 → 00:14:50 เราไม่อยากปฏิสัมพันธ์ไม่อยากทำอะไรไม่
00:14:50 → 00:14:52 อยากแม้แต่อยู่ใกล้เลยสิ่งที่เราเรี่ยง
00:14:52 → 00:14:56 ไม่ได้เนาะภาษีหัวหน้าและเพื่อนร่ม
00:14:56 → 00:14:59 งานยุกเลาออก
00:14:59 → 00:15:02 ใช่มยเออเพราะฉะนั้นเนี่ยยังไงอ่ะทำงาน
00:15:02 → 00:15:05 อยู่ด้วยกันเนี่ยยังไงก็ต้องเจอคือมันแค่
00:15:05 → 00:15:08 เห็นว่าคนนี้มีพฤติกรรมแบบนี้แล้วเราอ่ะ
00:15:08 → 00:15:11 จะอยู่ยังไงกับพฤติกรรมนี้อืเพราะฉะนั้น
00:15:11 → 00:15:13 เนี่ยเราก็คือเราก็อยู่กับพฤติกรรมที่ดี
00:15:13 → 00:15:16 ของเขาอย่างอื่นสิพฤติกรรมที่ไม่ดีเราอาจ
00:15:16 → 00:15:18 จะหลีกเลี่ยงหรือว่าไม่จำเป็นจะต้อง
00:15:18 → 00:15:20 คอนแทคกับเขาเรื่องนี้งั้นเรามีความทุกข์
00:15:20 → 00:15:22 อะไรเราก็จะไม่ได้ระบายกับคนนี้ละอืค่ะ
00:15:23 → 00:15:25 อ่ะอันที่ 2 ก็คือเพื่อนคิดว่าการที่ใคร
00:15:25 → 00:15:28 สักคนนึงมีพฤติกรรมที่ไม่ดีเนี่ยมันเป็น
00:15:28 → 00:15:31 สัญญาของความทุกข์ของเขานะไม่ใช่ปัญหาของ
00:15:31 → 00:15:34 เราหรือเกิดจากก้นบึ้งของความอิจฉาบาง
00:15:34 → 00:15:37 อย่างอ่ะก็เลยต้องพูดอะไรที่ทำให้อีกคน
00:15:37 → 00:15:40 นึงดิสเครดิตหรือเสียเครดิตไปนถามว่าคน
00:15:40 → 00:15:45 ที่ใจมีความอิจฉาดิษยามีความอยากดีอยาก
00:15:45 → 00:15:49 ได้แข่งคนอื่นเขาจะมีความสุขมยก็คงจะร้อน
00:15:49 → 00:15:52 ลนเออ 1 ก็คือร้อนลนแน่นอนความร้อนรนนี้
00:15:53 → 00:15:55 เกิดจากเอาจจะรู้สึกเขาไม่มีตัวตนบาง
00:15:55 → 00:15:58 อย่างอ่ะเเลยต้องมีตัวตนขึ้นมาเพราะเห็นม
00:15:58 → 00:16:00 ว่าจรริงคนที่เรามองว่าท็อกซิกคือเขาก็
00:16:01 → 00:16:03 ไม่ได้สุขเขก็ทุกข์เหมือนกันเผลอๆทุกข์
00:16:03 → 00:16:05 กว่าเราอีกเราก็ต้องมองอย่างเข้าใจอาจจะ
00:16:05 → 00:16:07 ยังเข้าใจไม่ได้แต่คืออย่าให้ทุกข์มัน
00:16:07 → 00:16:10 เกิดกับเราใช่คือถ้าทุกข์เกิดกับเราเนี่ย
00:16:10 → 00:16:12 ก็คือเราก็แค่ต้องรู้ตัวรู้ตัวแล้วอย่า
00:16:12 → 00:16:15 เพิ่งไปไปเล่นกับความทุกข์นั้นตอนนี้ไม่
00:16:15 → 00:16:19 สบายใจอะไรที่สบายใจไปทำดูแลใจตัวเองดูแล
00:16:19 → 00:16:21 ร่างกายตัวเองให้ดีความทุกข์เนี่ยบางที
00:16:21 → 00:16:24 มันเป็นสัญญาณว่าดูแลฉันหน่อยนะอันที่ 2
00:16:24 → 00:16:27 พอเริ่มมีสติได้แล้วก็คือนี่แหละกลับมา
00:16:27 → 00:16:29 มองว่าไอ้ที่ทุกข์เนี่ยเนี่ยเตัดสินอยู่
00:16:29 → 00:16:32 หรือเปล่าอันที่ 2 ก็คือว่าเราเกิดการ
00:16:32 → 00:16:34 เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้อันที่ 3 ก็คือ
00:16:34 → 00:16:38 เราจบเกมได้มั้ยอย่าเสียเวลากับเรื่องที่
00:16:38 → 00:16:41 ไม่สำคัญมันปล่อยผ่านได้มันเป็นเรื่อง
00:16:41 → 00:16:46 เล็กๆน้อยๆก็จงปล่อยวางแต่ถ้าสมมุติว่า
00:16:46 → 00:16:49 มันดันไม่ใช่เรื่องเล็กล่ะมันเป็นเรื่อง
00:16:49 → 00:16:53 ที่เกิดซ้ำๆมันเป็นเรื่องที่เราต้องลสื่อ
00:16:53 → 00:16:57 สารยังไงพี่ผมได้ยินคนพูดเรื่องนี้มาแล้ว
00:16:57 → 00:16:59 ไม่สบายใจเลย
00:16:59 → 00:17:03 ว่าพี่พูดแบบนี้ผมขอให้ยุติเรื่องนี้ได้
00:17:03 → 00:17:06 มยอะไรอย่างเงี้ยงั้นเราจะสื่อสารยังไง
00:17:06 → 00:17:10 เราจะรับฟังเขยังไงอันเนี้ยก็คือการลเนา
00:17:10 → 00:17:13 ก็ต้องลให้เป็นต่อมาก็คือต้องจำไว้ว่าเรา
00:17:13 → 00:17:15 อย่าเป็นคนท็อกซิกซะเองสุดท้ายเนี่ยก็คือ
00:17:15 → 00:17:19 ว่าทั้งหมดทั้งมวลเขมาเพื่อบอกเราว่าเรา
00:17:19 → 00:17:21 อยากเป็นคนแบบนี้เหมือนดีเฟคสะท้อนตัวเรา
00:17:21 → 00:17:25 ด้วยใช่ใช่อืเราจะเห็นประโยคนึงค่ะใน
00:17:25 → 00:17:29 โซเชียลที่จะมาแรงมากก็คือทำไมเราไม่โทษ
00:17:29 → 00:17:31 คนอื่นก่อนที่จะโทษตัวเองลองโทษคนอื่นดู
00:17:31 → 00:17:34 รึยังอะไรเงี้อ่าก็ลองโทษคนอื่นดู
00:17:34 → 00:17:38 ค่ะอันอันนี้ไม่ได้กวนนะเพราะว่าจริงๆ
00:17:38 → 00:17:40 แล้วพี่เอิ้นคิดว่ามันเป็นเวลาของแต่ละคน
00:17:40 → 00:17:42 ที่จะเข้าใจเรื่องนี้ไม่เหมือนกันบางคน
00:17:42 → 00:17:45 เนี่ยเขาจะเรียนรู้ก็ต่อเมื่อเขาต้อง
00:17:45 → 00:17:47 ทุกข์ให้เพียงพอก่อนชีวิตมันคือการเรียน
00:17:47 → 00:17:50 รู้เนาะเราลองผิดลองถูกกับมันได้อ่ะเรา
00:17:50 → 00:17:54 เราโทษคนอื่นแล้วเราก็ลองดูว่ามันมีผลยัง
00:17:54 → 00:17:58 ไงอันนี้เราไม่สามารถตอบได้เนาะมันมีผล
00:17:58 → 00:18:01 ยังไงมันได้ผลจริงมยเออแล้วเราต้องอยู่
00:18:01 → 00:18:04 กับในสภาวะนั้นนานแค่ไหนสมมุติว่าจบจบ
00:18:04 → 00:18:06 จริงเป่าเดี๋ยวมาแทงไม่ข้างหน้าก็ข้าง
00:18:06 → 00:18:08 หลังหรือเปล่าคือถ้าเรามองเป็นการเรียน
00:18:08 → 00:18:11 รู้ก็ได้นะวันนึงถ้ามันเจ็บอ่ะเราก็จะรู้
00:18:11 → 00:18:14 เองว่าออสุดท้ายเนี่ยชีวิตสุขเร็วสุดก็
00:18:14 → 00:18:17 คือจัดการตัวเองนี่แหละเนาะเพราะงั้นความ
00:18:17 → 00:18:20 คิดนี้ยัดเยียดกันไม่ได้แต่หนูว่าสังคม
00:18:20 → 00:18:23 การทำงานจริงๆอาจจะมีความรู้สึกหรือคนที่
00:18:23 → 00:18:27 คิดว่าก็เขาทำไม่ดีกับเราอ่ะทำไมเราต้อง
00:18:27 → 00:18:29 ไปแบบทำไมต้องมาจบที่เราด้วยต้องเอาคืน
00:18:29 → 00:18:31 ดดีอย่างเงี้ยคือมันเห็นแต่ความไม่ดีคน
00:18:31 → 00:18:33 อื่นอ่ะแล้วก็รู้สึกว่าแล้วทำไมฉันต้อง
00:18:33 → 00:18:35 จัดการตัวเองแล้วต้องไปจัดการเ้าหรือ
00:18:35 → 00:18:37 เปล่าอถูกต้องโดยส่วนใหญ่คนก็จะเป็นแบบ
00:18:37 → 00:18:41 นั้นอยู่แล้วแต่ถามว่าจบไหมมันไม่จบมันมี
00:18:41 → 00:18:45 แต่ความขัดแย้งไปเรื่อยๆด้วยซ้ำอืค่ะนะ
00:18:45 → 00:18:47 ไม่ขัดแย้งข้างหน้าก็ขัดแย้งข้างหลังอัน
00:18:47 → 00:18:53 ที่ 2 สมมุตินะคนเดันเป็นเจ้านายทำไงจบก็
00:18:53 → 00:18:55 ต้องยอมป่ะเออแล้วถ้าไม่ยอมแล้วใครทุกข์
00:18:55 → 00:18:59 เราเออจบแค่นั้นเองค่ะ
00:18:59 → 00:19:04 เออไม่จบก็ทุก์ไปแค่นั้นเองยอมค่ะทุกคน
00:19:04 → 00:19:08 มอบค่ะมอบทีนี้เรื่องการทำงานค่ะพี่เอิ้น
00:19:08 → 00:19:11 เจอกับคนไปและอันนี้มาเป็นเจอกับงาน
00:19:11 → 00:19:15 Battle กับงานความกดดันที่มาจากการทำงาน
00:19:15 → 00:19:18 ไม่ว่าจะเป็นแบบว่าเอ่อเราทำงานร่วมกับคน
00:19:18 → 00:19:21 อื่นๆที่มีความกดดันจากภายนอกเข้ามาหรือ
00:19:21 → 00:19:23 ว่าถ้าคนที่เป็นฟรีแลนซ์ก็อาจจะมีความกด
00:19:23 → 00:19:25 ดันเรื่องเดดไลน์เราจะรับมือกับความกดดัน
00:19:26 → 00:19:28 ที่เกิดขึ้นนี้ยังไงดีคะงั้นจริงๆเรื่อง
00:19:28 → 00:19:32 ของของ Deadline เนี่ยคือถือว่าเป็นสิ่ง
00:19:32 → 00:19:35 ที่กระตุ้นความเครียดได้ค่อนข้างสูงเนาะ
00:19:35 → 00:19:37 คือ 1 มันเป็นช่วงเวลาที่สั้นที่เราต้อง
00:19:38 → 00:19:41 บีบเค้น Performance หรือว่าผลงานของเรา
00:19:41 → 00:19:45 ออกมาให้ดีที่สุดข้อที่เราจะต้องคำนึงก็
00:19:45 → 00:19:48 คือว่าความเหนื่อยนี้มันมีจุดสิ้นสุด
00:19:48 → 00:19:52 เพราะมันมี Dead อืข้อเสียมันคือมี Dead
00:19:52 → 00:19:54 แต่ข้อดีของมันก็คือมันมี Dead นั่นแหละ
00:19:54 → 00:19:57 ก็คือมันมีจุดสิ้นสุดของมันอยู่แต่ว่าเรา
00:19:57 → 00:20:00 อาจจะต้องแลกด้วยกันที่ใช้พลังงานมากๆถ้า
00:20:01 → 00:20:03 เราคาดการณ์ไว้ก่อนว่าเราจะต้องเจออะไร
00:20:03 → 00:20:07 งั้นความแพนิคความจุกจิกอ่ะมันจะมันจะหาย
00:20:07 → 00:20:10 ไปเพราะมันคาดการณ์ได้อยู่แล้วแต่ปัญหาก็
00:20:10 → 00:20:12 คือว่านานๆครั้งไม่เป็นไรแต่ถ้ามันเกิด
00:20:12 → 00:20:15 บ่อยๆเนี่ยอันเนี้ยหมดพลังได้เลยาครั้ง
00:20:15 → 00:20:17 ไม่เป็นไรแต่ถ้าเกิดโอ้โหนะเด็กๆแบบสอบ
00:20:17 → 00:20:19 ทุก 2 อาทิตย์เลยอะไรอย่างเงี้ยอันเนี้ย
00:20:19 → 00:20:23 คือเราก็จะเสี่ยงต่อสภาวะของการหมดไฟมากๆ
00:20:23 → 00:20:26 เลยงั้นสิ่งที่จะมาช่วยเราเนี่ยเราต้องมา
00:20:26 → 00:20:29 พิจารณาแล้วเราคิดเวิร์ดของตัวเองถูกต้อง
00:20:29 → 00:20:32 หรือเปล่าใช่มยมีกระบวนการทำงานในทีมเป็น
00:20:32 → 00:20:36 ยังไงเรามีการจัดสรรเวลาของเรายังไงแล้ว
00:20:36 → 00:20:39 Tool ในการทำงานอะไรที่มาช่วยเราได้เรา
00:20:39 → 00:20:42 ก็จะเคยได้ยินเนาะว่าการที่เราจะแบ่งงาน
00:20:42 → 00:20:48 เป็นงานสำคัญเร่งด่วนงานสำคัญไม่เร่งด่วน
00:20:48 → 00:20:51 งานเร่งด่วนไม่สำคัญงานไม่สำคัญแล้วไม่
00:20:51 → 00:20:54 เร่งด่วนอย่างเงี้ยคือเราได้มีการแบ่งแบบ
00:20:54 → 00:20:59 นั้นมเราได้มีการแพลนงานมงั้นถ้าเกิดมัน
00:20:59 → 00:21:01 เกิดทีทเนี่ยหมายความว่าเราต้องมาพิจารณา
00:21:01 → 00:21:04 เรื่องเหล่านี้ละอันนี้ก็จะช่วยได้อัน
00:21:04 → 00:21:07 เมื่อสักครู่นี้เป็นการกดดันจากมี Factor
00:21:07 → 00:21:10 มีปัจจัยจากอย่างอื่นออีกอันนึงที่เกิด
00:21:10 → 00:21:15 ขึ้นกับหลายๆคนก็คือกดดันตัวเองการกดดัน
00:21:15 → 00:21:18 ตัวเองเนี่ยมันมันเกิดมาจากอะไรคะแล้วก็
00:21:18 → 00:21:20 ถ้าเราเป็นคนที่มีความกดดันตัวเองเราจะทำ
00:21:20 → 00:21:24 ยังไงดีเพราะว่ามันเหนื่อยจริงๆเหตุผลของ
00:21:24 → 00:21:28 ความกดดันแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกันพี่อน
00:21:28 → 00:21:31 คิดว่าอาจจะไม่สามารถตอบในมุมของความ
00:21:31 → 00:21:34 สมบูรณ์แบบของความกดดันได้เนาะอย่างเช่น
00:21:34 → 00:21:37 บางคนก็เกิดมาในครอบครัวที่พร้อมทุกอย่าง
00:21:37 → 00:21:39 คุณพ่อคุณแม่ก็ปล่อยฟรีสไตล์อะไรทุกอย่าง
00:21:39 → 00:21:44 เลยแต่คือรู้สึกว่าอุ้ยฉันก็เกิดมาสบาย
00:21:44 → 00:21:47 คือเกิดมาดีแล้วต้องดีอีกแต่บางคนคือ
00:21:47 → 00:21:49 เริ่มต้นด้วยความยากลำบากครอบครัวลำบาก
00:21:49 → 00:21:53 อยากให้ครอบครัวสบายมีแรงในการผลักดัน
00:21:53 → 00:21:56 ขึ้นมาเพราะงั้นเนี่ยตอบค่อนข้างยากแต่
00:21:56 → 00:21:59 ที่แน่ๆก็คือว่าคนที่มีความกดเนี่ยก็คือ
00:21:59 → 00:22:02 ว่าคนๆนั้นมีความคาดหวังในตัวเองมากกว่า
00:22:02 → 00:22:04 เพะเรามีความคาดหวังว่าเราจะต้องเป็น
00:22:04 → 00:22:08 อย่างไรเราถึงจะได้รับการยอมรับเราถึงจะ
00:22:08 → 00:22:12 มีตัวตนเราถึงจะมีคุณค่างั้นเมื่อไหร่ก็
00:22:12 → 00:22:15 ตามที่เรารู้สึกว่าปัญหาของเราหรือความ
00:22:15 → 00:22:18 ทุกข์ของเราเนี่ยมันคือการกดดันตัวเองให้
00:22:18 → 00:22:21 เรากลับมามองสิ่งเนี้ยคือเรากำลังให้คุณ
00:22:21 → 00:22:23 ค่ากับอะไรเรากดดันตัวเองไปเพื่ออะไรแล้ว
00:22:23 → 00:22:26 เราจะกดดันตัวเองไปอีกนานแค่ไหนการกดดัน
00:22:26 → 00:22:29 ตัวเองไม่ได้ไม่ได้เป็นเรื่องไม่ไม่ดีนะ
00:22:29 → 00:22:31 มันเป็นเรื่องดีในบางเรื่องบางครั้งแต่
00:22:31 → 00:22:35 มันไม่ดีถ้ามันเป็นอยู่ตลอดเวลาอกดดันตัว
00:22:35 → 00:22:38 เองบ้างเมื่อมันจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง
00:22:38 → 00:22:41 ให้สำเร็จใช่ๆเพรานั้นเนี่ยเอ่อทุกอย่าง
00:22:41 → 00:22:43 มันมีมันมีข้อดีั่วเสียทุกอย่างมันเป็น
00:22:43 → 00:22:45 ประโยชน์แต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มันเป็น
00:22:45 → 00:22:48 ความอัตโนมัติของเราอ่ะคือมันเกิดขึ้นดย
00:22:48 → 00:22:50 อัตโนมัติเลยแล้วเป็นกับเรื่องไม่ต้องกด
00:22:50 → 00:22:53 ดันก็กดดันเรื่องที่ต้องสบายก็มากดดัน
00:22:53 → 00:22:55 อย่างเงี้ยอ่าอันนี้ก็เป็นเรื่องที่เรา
00:22:55 → 00:22:57 ต้องมีสติละว่าอะไรที่ทำให้เราต้องคาด
00:22:57 → 00:22:58 หวังกับตัวเองขนาดนั้น
00:22:59 → 00:23:02 แล้วเราจะมีคุณค่าเมื่อไหร่จริงๆเราอาจจะ
00:23:02 → 00:23:04 พบว่าเฮ้ยจริงๆทุกวันนี้ฉันก็มีคุณค่า
00:23:04 → 00:23:06 อยู่แล้วนะฉันไม่ต้องเก่งขนาดนั้นฉันต้อง
00:23:06 → 00:23:09 ไม่ต้อง Perfect มากกว่าดีก็ได้ความมีคุณ
00:23:09 → 00:23:11 ค่ามีอยู่แล้วแล้วความกดดันมันก็ลดลงเอง
00:23:11 → 00:23:15 แปลว่าคนที่มีภาวะความกดดันตัวเองก็ควร
00:23:15 → 00:23:19 ที่จะมีเวลาที่จะอยู่กับตัวเองเพื่อคุย
00:23:19 → 00:23:21 กับตัวเองที่เราเป็นอยู่เนี่ยยมันเพื่อ
00:23:21 → 00:23:24 อะไรกันแน่อืที่สำคัญตอนคุยกับตัวเอง
00:23:24 → 00:23:27 เนี่ยเราควรอยู่ในสภาวะที่สบายนะไม่ใช่กด
00:23:27 → 00:23:29 ดันตัวเองแล้วก็คุยกับตัวเองอุหนักกว่า
00:23:29 → 00:23:33 เดิมต่าตัวเองเลยคราวนี้อือค่ะแล้วเมื่อ
00:23:33 → 00:23:35 กี้พี่เอิ้นบอกว่าจริงๆความกดดันตัวเองก็
00:23:35 → 00:23:39 มีข้อดีทุกอย่างมันมี 2 ด้านแล้วความ
00:23:39 → 00:23:41 เครียดหร่ะคะความเครียดเนี่ยพอพูดถึงปุ๊บ
00:23:41 → 00:23:44 หลายๆคนจะรู้สึกแบบความเครียดมันติดลบอ่ะ
00:23:44 → 00:23:47 แต่ในทางอ่าจิตแพทย์แล้วเนี่ยความเครียด
00:23:47 → 00:23:49 มีข้อดีมั้ยคะโอ้จริงๆแล้วความเครียดมี
00:23:49 → 00:23:54 ข้อดีพอๆกับข้อเสียยกตัวอย่างนะสมมุติว่า
00:23:54 → 00:23:57 พู้นี้ต้องพรีเซนต์งานต้องนำเสนอผู้
00:23:57 → 00:24:00 บริหารอือืมก็เครียดเครียดค่ะสิ่งที่เรา
00:24:00 → 00:24:04 จะทำแน่นอนคือเราจะเตรียมงานใช่มยงานที่
00:24:04 → 00:24:06 เราจะพรีเซนต้องเสร็จแสดงว่าเราต้องมี
00:24:07 → 00:24:09 โฟกัสใช่มยเรามีความกระตืนล้นในการที่จะ
00:24:09 → 00:24:12 ทำใช่มยนั่นแหละสิ่งเหล่านั้นเกิดจากสาร
00:24:12 → 00:24:14 ในความเครียดทั้งนั้นน่ะเพราะเวลาที่เรา
00:24:14 → 00:24:18 เกิดความเครียดเกิดขึ้นนะอสารอย่างเช่น
00:24:18 → 00:24:21 คอร์ติซอลอย่างเงี้ยมันก็จะหลังถามว่าเรา
00:24:21 → 00:24:24 ห้ามร่างกายไม่ให้หลังสารนี้ได้มยไม่ได้
00:24:24 → 00:24:27 นะต้องตัดไตทิ้งอย่างเดียวเลยนะ
00:24:27 → 00:24:31 ค่ะห้ามไม่ได้ค่ะห้ามไม่ได้มันเป็นสัญญาณ
00:24:31 → 00:24:34 ที่ทำให้เรารอดถ้าเราไม่มีสารแ่งความ
00:24:34 → 00:24:36 เครียดนะเราจะไม่มีชีวิตอยู่เลย 1 เพราะเ
00:24:36 → 00:24:39 เราเจออันตรายเนี่ยเราจะไม่กระตือรือล้น
00:24:39 → 00:24:42 เราจะไม่ใช้ Survival Mode อ่ะอย่างเช่น
00:24:42 → 00:24:45 ไฟไหม้เคยได้ยินว่าไฟไหม้แล้วยกโอคอะไร
00:24:45 → 00:24:49 งี้ใช่มเออก็คือสัญชาตญาณของการเอาตัวรอด
00:24:49 → 00:24:51 ของเราเนี่ยมันก็จะไม่ทำงานอันที่ 2 คือ
00:24:51 → 00:24:53 เราจะไม่ตื่นขึ้นมาเลยเราจะกลายเป็นผัก
00:24:53 → 00:24:56 เลยเออเพราะว่าเวลาที่เราตื่นนอนตอนเช้า
00:24:56 → 00:24:58 เนี่ยเราตื่นเมื่อไหร่เมื่อสารึงความ
00:24:59 → 00:25:03 เครียดเราสะสมในปริมาณที่มันสูงมากพอที่
00:25:03 → 00:25:05 จะทำให้ร่างกายของเราจากการหลับไหลเนี่ย
00:25:05 → 00:25:08 มันตื่นตัวก็เนี่ยความเครียดต้องบอกว่า
00:25:08 → 00:25:10 มันเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จเลยด้วยซ้ำ
00:25:10 → 00:25:15 ก็มีงานวิจัยมากมายเลยค่ะที่บอกว่าระดับ
00:25:15 → 00:25:17 ของความเครียดเนี่ยมีความสัมพันธ์กับ
00:25:17 → 00:25:19 Performance ในการทำงานอย่างมีนัยยะ
00:25:19 → 00:25:23 สำคัญก็คือความเครียดที่พอดีนะทำให้คนทำ
00:25:23 → 00:25:26 งานเนี่ยทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงแต่คือ
00:25:26 → 00:25:29 ถ้าในจุดๆนึงอ่ะก็ก็คือว่าถ้ามันเยอะเกิน
00:25:29 → 00:25:31 ไป Performance หรือว่าประสิทธิภาพในการ
00:25:31 → 00:25:34 ทำงานเราจะเริ่มดรอปละอ่าดังนั้นเนี่ย
00:25:34 → 00:25:36 เครียดบ้างไม่เครียดบ้างอโอไม่ใช่ว่า
00:25:36 → 00:25:39 เครียดต่อเนื่องต่อเนื่องต่อเนื่องสะสม
00:25:39 → 00:25:43 ยาวนานอันที่ 2 ก็คือเครียดแต่พอดีโอเคนะ
00:25:43 → 00:25:47 ความเครียดไม่ใช่ปัญหาปัญหาคือเราต้องมี
00:25:47 → 00:25:49 วิธีการในการดูแลความเครียดแล้วความ
00:25:49 → 00:25:53 เครียดในระดับไหนคะที่มันจะนำไปสู่การ
00:25:53 → 00:25:56 เป็นโรคเครียดแล้วอ่ะโรคเครียดเนี่ยถ้า
00:25:56 → 00:25:59 เกิดว่าเป็นภาษาใช่มั้ยทางการแพทย์เนี่ย
00:25:59 → 00:26:02 ส่วนใหญ่เราเราใช้ในเรื่องของการตอบสนอง
00:26:02 → 00:26:05 ต่อปัญหาเราใช้เราใช้คำนี้มากกว่าการตอบ
00:26:05 → 00:26:08 สนองต่อปัญหาที่มันอาจจะผิดปกติซึ่งคำว่า
00:26:08 → 00:26:10 ผิดปกติจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เมื่อเรารู้
00:26:10 → 00:26:13 สึกว่าเราควบคุมไม่ได้คือเราไม่สามารถ
00:26:13 → 00:26:15 บริหารจัดการอย่างเช่นพอเราเครียดแล้วเรา
00:26:15 → 00:26:18 เกิดความคิดลบมันลบไปหมดทุกอย่างมันลบกับ
00:26:18 → 00:26:21 ตัวเองเนาะมันเริ่มมีทัศนคติลบบอารมณ์มัน
00:26:22 → 00:26:24 เริ่มควบคุมไม่ได้มันเริ่มหงุดหงิดง่าย
00:26:24 → 00:26:28 หรือว่าบางคนไม่เป็นโทนหงุดหงิดก็คือเป็น
00:26:28 → 00:26:31 เป็นโทนแบบกระวนกระวายกังวลหรือบางคนอาจ
00:26:31 → 00:26:34 จะเป็นโทนของความแบบเบื่อหน่ายแต่ละคนไม่
00:26:34 → 00:26:36 เหมือนกันคือภาพมันจะค่อนข้างกว้างต่อมา
00:26:36 → 00:26:40 คือมันเป็นในช่วงเวลานึงคืออาจจะเป็นช่วง
00:26:40 → 00:26:43 2 อาทิตย์หรือมันยังไม่ทำให้เหมือนเรา
00:26:43 → 00:26:46 รู้สึกถึงขนาดว่าบุคลิกภาพของตัวเราเนี่ย
00:26:46 → 00:26:49 มันเปลี่ยนไปอันนี้ก็คืออยู่ในระดับเริ่ม
00:26:49 → 00:26:51 เริ่มต้นเนาะเพราะงั้นเนี่ยถ้าเราจับ
00:26:51 → 00:26:55 สัญญาณเนี้ยได้ว่าความคิดความรู้สึกของ
00:26:55 → 00:26:57 เราเนี่ยมันเริ่มเปลี่ยนไปแล้วมันเริ่ม
00:26:57 → 00:27:00 ส่งสผลกระทบแต่เรายังไม่เสียความเป็นตัว
00:27:00 → 00:27:02 ตนนะคเพราะั้นถ้าเสียความเป็นตัวตนเนี่ย
00:27:02 → 00:27:05 อาจจะเทิรนไปอีกแบบนึงละอีกความเครียดนึง
00:27:05 → 00:27:10 ในวัยทำงานอาจจะนำไปสู่ภาวะเบิร์น Out
00:27:10 → 00:27:13 หรือว่าหมดไฟค่ะออือฮึจนบางคนเนี่ยรู้สึก
00:27:13 → 00:27:16 ว่าอยากลาออกอืออ่าภาวะนี้ที่เกิดขึ้น
00:27:16 → 00:27:18 หรือความรู้สึกนี้ที่เกิดขึ้นค่ะเราจะจัด
00:27:18 → 00:27:22 การกับมันยังไงดีคะจริงๆภาวะ burn Out อ
00:27:22 → 00:27:24 ส่วนใหญ่ก็จะต่อเนื่องมาจากความเครียด
00:27:24 → 00:27:26 นั่นแหละที่พี่เอิ้นบอกว่ามันจะเทิรนไป
00:27:26 → 00:27:27 อีกแบบนึงก็คือนี่แหละมันก็จะอาจจะกลาย
00:27:27 → 00:27:30 เป็นคำว่า burn Out ได้ burn Out คือ
00:27:30 → 00:27:34 การที่เราหมดพลังกายแล้วก็หมดพลังใจ
00:27:34 → 00:27:36 เหมือนกับว่าเราแก้ปัญหาในเหตุที่เกิด
00:27:36 → 00:27:38 ขึ้นไม่ได้สมมุติว่าเรามีปัญหาเรื่องงาน
00:27:38 → 00:27:41 แล้วมันก็เกิดซ้ำซากแบบนั้นน่ะอืค่ะอยู่
00:27:41 → 00:27:43 อย่างงั้นน่ะเราแล้วเราไปเปลี่ยนองค์กร
00:27:43 → 00:27:45 ไม่ได้แล้วเราไปเปลี่ยนอะไรไม่ได้เราก็
00:27:45 → 00:27:47 ต้องอยู่กับมันอย่างงั้นน่ะอือฮึอ่าเรา
00:27:47 → 00:27:50 เปลี่ยนเหตุของจุดนั้นไม่ได้มันก็ส่งผลทำ
00:27:50 → 00:27:53 ให้เรารู้สึกหมดพลังซึ่ง burn Out เนี่ย
00:27:53 → 00:27:55 มันจะมีอันที่ 2 ก็คือเราจะเริ่มหลีก
00:27:55 → 00:27:59 เลี่ยงหลีกเลี่ยงเรื่องงานเราจะมีความ
00:27:59 → 00:28:01 หลีกเลี่ยงเรื่องความสัมพันธ์ในงานอันที่
00:28:01 → 00:28:05 3 ก็คือเราจะเริ่มมีประสิทธิภาพการทำงาน
00:28:05 → 00:28:08 ที่หลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดแล้วเราก็จะ
00:28:09 → 00:28:11 เริ่มรู้สึกแย่กับตัวเองไอ้ความรู้สึกแย่
00:28:11 → 00:28:13 ที่เรามีกับตัวเองเนี่ยแหละคือสิ่งที่ทำ
00:28:13 → 00:28:15 ให้เรามักจะอยู่ไม่ได้เราก็ไม่อยากเห็น
00:28:15 → 00:28:18 ชีวิตเราเป็นแบบนี้แล้วบางคนก็จะเริ่ม
00:28:18 → 00:28:20 กลัวกลัวว่าถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่างเนี่ย
00:28:20 → 00:28:23 เราจะยิ่งเป็นมากกว่านี้หรือเปล่าซึ่งมัน
00:28:23 → 00:28:25 ก็มีโอกาสเป็นได้นะต้องบอกว่า burn Out
00:28:25 → 00:28:27 ยังไม่ใช่โรคอีก burn out เป็นสภาวะแต่
00:28:27 → 00:28:30 ถ้าเกิดว่าไม่ดูแลอีกมีองค์ประกอบ 3
00:28:30 → 00:28:33 อย่างเี่แล้วนะหมดพลังกายหมดพลังใจเริ่ม
00:28:33 → 00:28:37 มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงทั้งงานแล้วก็ทั้ง
00:28:37 → 00:28:39 เรื่องความสัมพันธ์เริ่มมี Performance
00:28:39 → 00:28:42 ประสิทธิภาพล้อนลงยังไม่ฟังอีกเราอาจะ
00:28:42 → 00:28:45 เทิร์นเป็นโรคอาจะเป็นโรควิตกกังวลได้
00:28:45 → 00:28:50 หรือจะเป็นโรคซึมเศร้าได้แล้วโรคซึมเศร้า
00:28:50 → 00:28:53 เนี่ยค่ะแค่ไหนที่อันเนี้ยเริ่มมีภาวะ
00:28:53 → 00:28:55 เข้าสู่ความเป็นโรคซึมเศร้าแล้วอ่ะเมื่อ
00:28:55 → 00:28:59 กี้เราบอกว่าพอเบิ Out ใช่มยนะงั้นเบเ
00:28:59 → 00:29:02 เนี่ยจริงๆเรายังจะมีความรู้สึกที่หลาก
00:29:02 → 00:29:04 หลายได้อยู่นะคือมันอาจจะรู้สึกแบบหมด
00:29:04 → 00:29:06 พลังรู้สึกเหนื่อยแต่มันอาจจะเกิดในช่วง
00:29:06 → 00:29:09 เวลางานอย่างเดียวแต่ว่าพอเราอยู่เมาาน
00:29:09 → 00:29:11 เนี่ยก็คือเหมือนความคิดความรู้สึกเรามัน
00:29:11 → 00:29:15 จะกลืนไปในทุกอนูของชีวิตล่ะเพรางั้นพอ
00:29:15 → 00:29:17 มันกลายเป็นโรคซึมเศร้าเนี่ยมันจะกลาย
00:29:17 → 00:29:21 เป็นว่าเราอ่ะรู้สึกแย่กับตัวเองรู้สึก
00:29:21 → 00:29:24 แย่กับสิ่งแวดล้อมรู้สึกแย่กับสิ่งที่เจอ
00:29:24 → 00:29:27 บนโลกใบนี้แล้วเกิดเป็นความเศร้าซึ่งเกิด
00:29:27 → 00:29:30 ในทุกที่ทุกเวลาจะไม่เฉพาะเรื่องงานอือฮึ
00:29:30 → 00:29:33 ทุกมิติเลยเออใช่ไอ้ความไม่มีค่าเนี่ยคือ
00:29:33 → 00:29:36 อยู่กับใครก็ไม่มีค่าอยู่กับคนรักโหดีมาก
00:29:36 → 00:29:39 ก็รู้สึกตัวเองไม่มีค่าอยู่กับลูกที่ผ่าน
00:29:39 → 00:29:42 มาก็รู้สึกไม่มีค่าอยู่ที่ทำงานก็รู้สึก
00:29:42 → 00:29:44 ไม่มีค่าความรู้สึกเยมันแทบจะสิงอ่ะอยู่
00:29:44 → 00:29:48 ในทุกที่ทุกเวลาและมันก็จะเริ่มทำให้เรา
00:29:48 → 00:29:51 สูญเสียการดูแลตัวเองอย่างเห็นได้ชัดก็
00:29:51 → 00:29:53 คือเริ่มจะไม่รู้สึกไม่อยากจะดูแลตัวเอง
00:29:53 → 00:29:57 ละเริ่มอยากจะห่างไกลจากความสัมพันธ์มาก
00:29:57 → 00:29:59 ขึ้นเริ่มอยากจะจะเก็บเนื้อเก็บตัวมาก
00:29:59 → 00:30:01 ขึ้นงั้นเริ่มมีผลกับความสัมพันธ์ละเริ่ม
00:30:01 → 00:30:04 มีผลกับงานแน่นอนเพราะงั้นอย่าง burn Out
00:30:04 → 00:30:06 มันอาจจะมีผลโดยเฉพาะงานใช่มยใช่ค่ะแต่
00:30:06 → 00:30:09 ว่าอันเนี้ยคือมันเริ่มมีผลทุกอนูและทั้ง
00:30:09 → 00:30:12 การใช้ชีวิตประจำวันทั้งความสัมพันธ์ใน
00:30:12 → 00:30:15 ครอบครัวเองก็เหมือนกันถ้าเรารู้สึกว่า
00:30:15 → 00:30:18 เ้ยเรานี่แหละน่าจะภาวะซึมเศร้าหรือโรค
00:30:18 → 00:30:20 ซึมเศร้าแล้วเนี่ยเราจะมีวิธีการปรับ
00:30:20 → 00:30:23 พฤติกรรมยังไงที่จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น
00:30:23 → 00:30:26 น่ะค่ะจริงๆถ้าเราก้าวข้ามแดนไปแล้วนะเรา
00:30:26 → 00:30:29 อาจจะต้องไปไปหาผู้เชี่ยวชาญเพราะว่าสิ่ง
00:30:29 → 00:30:32 สำคัญหมายถึงว่ามันส่งผลกระทบต่อโครง
00:30:32 → 00:30:35 สร้างหรือว่าสารเคมีในสมองของเราบางอย่าง
00:30:35 → 00:30:37 อันนี้ถ้าเป็นถึงโรคซึมเศร้าแล้วใช่ถ้า
00:30:37 → 00:30:40 เป็นโรคซึมเศร้าต้องบอกว่าการที่จะให้
00:30:40 → 00:30:43 เค้าออกจากหลุมของความเศร้าเนี่ยมันไม่
00:30:43 → 00:30:46 ใช่เรื่องง่ายดังนั้นเนี่ยบางทีเนี่ยเรา
00:30:46 → 00:30:48 ต้องไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะประเมิน
00:30:48 → 00:30:51 และเพื่อที่จะลำดับการดูแลเนี่ยสำคัญเรา
00:30:51 → 00:30:56 จะดูแลเรื่องของเคมีก่อนมยหรือว่าอันนี้
00:30:56 → 00:30:59 ยังพอได้อยู่เราดูในเรื่องของการทำจิต
00:30:59 → 00:31:03 บำบัดก่อนหรือเราจะต้องทำในเรื่องของจิต
00:31:03 → 00:31:06 สังคมไปด้วยก็คือเขาอาจจะอยู่กับคนใน
00:31:06 → 00:31:08 ครอบครัวคนครอบครัวก็ไม่เข้าใจอีกอะไร
00:31:08 → 00:31:10 อย่างเงี้ยแล้วก็ต้องทำความเข้าใจหรือการ
00:31:10 → 00:31:12 สื่อสารกันไปด้วยคือ 3 อย่างเยมันต้อง
00:31:12 → 00:31:15 เริ่มทำไปด้วยกันครานี้ถ้าเกิดว่าเป็นตัว
00:31:15 → 00:31:18 คนที่แบบมีปัญหาซึมเศร้าเองเนี่ยอยากให้
00:31:18 → 00:31:20 เราเริ่มต้นก็คือว่าเราสามารถล้องขอความ
00:31:20 → 00:31:23 ช่วยเหลือได้นะเพราะว่าปัญหานึงของคนที่
00:31:23 → 00:31:25 มีปัญหามเศร้าก็คือรู้สึกว่าตัวเองไม่มี
00:31:25 → 00:31:28 ค่าอยู่แล้วเนาะเพราะฉะนั้นเนี่ยบางทีที
00:31:28 → 00:31:30 ก็จะไม่อยากจะแบบไปรบกวนคนอื่นหรือรู้สึก
00:31:30 → 00:31:33 ว่าเงี้ยก็คือเราสามารถที่จะขอความช่วย
00:31:33 → 00:31:35 เหลือจากคนอื่นได้นะอันที่ 2 คือถ้าเรา
00:31:35 → 00:31:38 รู้สึกว่าเรามีปัญหากับอารมณ์เศร้านะหรือ
00:31:38 → 00:31:40 สงสัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าดังนั้นเนี่ยเรา
00:31:40 → 00:31:44 อย่าเชื่ออารมณ์นี้มากเพราะแสดงว่ามันไม่
00:31:44 → 00:31:47 ได้ปกติอารมณ์ที่ไม่ปกติเนี่ยหลอกเราได้
00:31:47 → 00:31:50 ฉะนั้นอารมณ์ที่ปกติจะเป็นยังไงก็คือฉัน
00:31:50 → 00:31:53 เศร้าแล้วฉันก็ไม่เศร้าได้ก็เหมือนความ
00:31:53 → 00:31:55 เครียดเครียดบ้างก็ได้เศร้าบ้างก็ได้เอ
00:31:55 → 00:31:59 ใช่เออเศร้าเนี่ยเราก็เ้าบ้างก็ได้ใช่มย
00:31:59 → 00:32:01 แต่สมมุติว่าคือเศร้าแล้วมันเศร้าตลอด
00:32:01 → 00:32:05 เวลาแล้วมันไม่รู้ว่าความสุขอยู่แห่งหน
00:32:05 → 00:32:08 ไหนเลยเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากๆจนรู้สึก
00:32:08 → 00:32:11 หมดหวังในการที่เราจะมีชีวิตอยู่อันเนี้ย
00:32:11 → 00:32:14 ก็คือเป็นสัญญาณละที่ว่าความเศร้านี้ไม่
00:32:14 → 00:32:18 ปกตินะอืดังนั้นค่ะคำว่าไม่ปกติก็คืออย่า
00:32:18 → 00:32:22 เชื่ออย่าเพิ่งเชื่อแล้วเราก็คือต้องไปพบ
00:32:22 → 00:32:25 ผู้เชี่ยวชาญให้ช่วยใช่อ่ะก็คือขอความ
00:32:25 → 00:32:28 ช่วยเหลือใช่เราขอความช่วยเหลือได้ค่ะถ้า
00:32:28 → 00:32:30 อันนี้อาจจะเป็นเรื่องของโรคที่ว่าจะต้อง
00:32:30 → 00:32:33 พึ่งผู้เชี่ยวชาญแต่ถ้าเราแค่อาจจะเศร้า
00:32:33 → 00:32:35 หรืออาจกำลังเบิน Out อยู่อย่างเงี้ยค่ะ
00:32:35 → 00:32:38 พี่เอิลเราจะปรับพฤติกรรมตัวเองยังไงดี
00:32:38 → 00:32:40 ให้ความรู้สึกติดลบเหล่านั้นน่ะเอ้ยมันดี
00:32:40 → 00:32:43 ขึ้นนะอืต้องบอกว่าเราไปกระชากความรู้สึก
00:32:43 → 00:32:45 ยากมากเพราะว่าเรากำลังตกหลุมของความรู้
00:32:45 → 00:32:48 สึกอยู่อืดังนั้นสิ่งที่จะช่วยเราคือร่าง
00:32:48 → 00:32:51 กายอย่างที่บอกเนาะคือความรู้สึกเนี่ยมัน
00:32:51 → 00:32:54 เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นน่ะเออเพราะงั้น
00:32:54 → 00:32:57 เนี่ยเราเราก็บางทีเราก็จะแยกยากดังนั้น
00:32:57 → 00:33:00 เนี่ยสิ่งสิ่งที่เราอ่ะให้ความสนใจได้ก็
00:33:00 → 00:33:03 คือร่างกายอันนี้จริงใช่มมันมันเป็นรูป
00:33:03 → 00:33:05 ธรรมกว่าใช่ค่ะเออถ้าเราไปอินกับความรู้
00:33:05 → 00:33:07 สึกเนี่ยมันเดี๋ยวมันจะไปกันใหญ่ดังนั้น
00:33:07 → 00:33:10 เนี่ยให้เราวางความรู้สึกไว้ว่าเออตอน
00:33:10 → 00:33:13 เนี้ยความรู้สึกเราอาจจะใช้งานไม่ได้เอา
00:33:13 → 00:33:15 เลนส์ของความเศร้าเนี่ยไปคิดไปตัดสินใจ
00:33:15 → 00:33:18 อย่างอื่นเนี่ยไม่ได้หรือตัดสินชีวิตตัว
00:33:18 → 00:33:20 เองโดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆเงี้ยไม่ได้ดัง
00:33:20 → 00:33:23 นั้นเนี่ยกลับมาดูแลร่างกายก่อนกินดีอ่า
00:33:23 → 00:33:26 นอนเป็นยังไงที่สำคัญคือออกกำลังกายปรับ
00:33:26 → 00:33:29 กิจวัตรของเราใช่เราเรามาปรับกิจวัตรคือ
00:33:29 → 00:33:32 เรามาดูแลร่างกายตัวเองก่อนคือทำเท่าที่
00:33:32 → 00:33:36 ทำได้แล้วเวลาที่เราสมมุตินะเราออกกำลัง
00:33:36 → 00:33:39 กายแล้วเราเกิดความสดชื่นให้เราสัมผัส
00:33:39 → 00:33:42 ความสดชื่นเราดูจากกายก่อนแล้วให้กาย
00:33:42 → 00:33:46 สัมผัสถึงใจมันถึงจะเชื่ออืแต่ถ้าเกิด
00:33:46 → 00:33:49 สมมุติเราไปทะเลาะกับใจเลยไม่มีหลักฐาน
00:33:49 → 00:33:52 เออความคิดกับความรู้สึกเราตีกันใหญ่เลย
00:33:52 → 00:33:54 คราวนี้พี่เอื้อนอยากแนะนำให้เราดูแลร่าง
00:33:54 → 00:33:58 กายก่อนอย่างน้อยมันมีสิ่งที่เราทำได้อือ
00:33:58 → 00:34:01 ฮึเพราะว่าหนูเคยได้ยินมาว่ากายกับใจเขา
00:34:01 → 00:34:04 สัมพันธ์กันอือออันนี้ก็คือรูปแบบใช่ไหมม
00:34:04 → 00:34:08 คะใช่ทีนี้ถ้าเราอยู่ในความเครียดความ
00:34:09 → 00:34:11 เศร้าหรือหลายๆอย่างที่มันความกดดันที่
00:34:11 → 00:34:14 มันเกิดจากการทำงานแล้วเรารู้สึกว่ากำลัง
00:34:14 → 00:34:17 ใจเรามันถดถอยอ่ะเราอยากมีกำลังใจอยาก
00:34:17 → 00:34:20 สร้างพลังใจพี่เอิ้นแนะนำให้เราทำยังไง
00:34:20 → 00:34:24 ได้บ้างคะเพราะเราอยากมีกำลังใจใช่มพี่
00:34:24 → 00:34:27 เอิ้นว่าเราต้องฝึกนะที่จะขอบคุณตัวตัว
00:34:27 → 00:34:32 เองบางทีอ่ะเราเห็นคนอื่นเคทำนู่นทำนี่ทำ
00:34:32 → 00:34:35 ดีเราขอบคุณเราขอบคุณเขาได้เราขอบคุณเขา
00:34:35 → 00:34:38 ง่ายเนาะแต่ว่าอย่างเราเองเนี่ยเราเคย
00:34:38 → 00:34:43 ขอบคุณตัวเองมอ่ะโอ้เฮ้ยวันนี้เธออดทนดี
00:34:43 → 00:34:47 มากเลยสุดยอดเก่งมาแได้เออใช่อะไรอย่าง
00:34:47 → 00:34:50 เงี้ยนะคือเราเคยขอบคุณตัวเองมยว่าเออเรา
00:34:51 → 00:34:54 เอ้ยวันนี้เราทำอะไรดีๆเนาะโดยที่ไม่ต้อง
00:34:54 → 00:34:56 รอให้คนอื่นเขามาชมเราอ่ะเออเอ้ยวันนี้
00:34:56 → 00:34:59 เราได้ช่วยพี่คนเนี้ยเออเราเอ้ยวันนี้เรา
00:34:59 → 00:35:02 ได้ทำงานนี้สำเร็จอ่ะเราเฮ้ยขอบคุณแกนะ
00:35:02 → 00:35:05 เนี่ยโหนี่ถ้าแกอดไม่อดทนไม่มีวินัยเนี่ย
00:35:05 → 00:35:08 แกทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จเลยนะอะไรอย่าง
00:35:08 → 00:35:10 เงี้ยหรือเราได้ได้ใช้ความสามารถของเราใน
00:35:10 → 00:35:12 การที่จะไปช่วยเหลือคนอื่นอะไรอย่างเงี้ย
00:35:12 → 00:35:14 ไม่ต้องรอให้เขาต้องมาแบบอู้ขอบคุณนะอะไร
00:35:14 → 00:35:17 อย่างเงี้ยเราขอบคุณตัวเองเลยก็คือฝึกใน
00:35:17 → 00:35:20 การที่จะขอบคุณตัวเองฝึกในการที่เราจะพอ
00:35:20 → 00:35:25 ใจคือการที่เราจะพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่
00:35:25 → 00:35:28 ให้ง่ายอย่างที่พี่เอิ้นบอกเนาะว่าจริงๆ
00:35:28 → 00:35:31 แล้วอ่ะทุกคนมีความเก่งแล้วก็มีเรื่องที่
00:35:31 → 00:35:32 เราเก่งแล้วก็มีเรื่องที่เราไม่เก่งแล
00:35:32 → 00:35:34 เรื่องที่เราเก่งจะมีคนที่เก่งกว่าเสมอ
00:35:34 → 00:35:37 อยู่แล้วใช่ค่ะเรื่องที่เราไม่เก่งก็จะมี
00:35:37 → 00:35:39 คนที่ไม่เก่งกว่าเราอยู่แล้วเพราะฉะนั้น
00:35:39 → 00:35:43 เนี่ยเราทำอะไรได้แค่ไหนเนี่ยสำคัญคือเรา
00:35:43 → 00:35:46 พอใจได้มวันนี้ฉันทำได้เท่านี้พรุ่งนี้
00:35:46 → 00:35:48 ฉันอาจจะทำได้มากขึ้นก็ได้แต่สำคัญคือวัน
00:35:48 → 00:35:51 เนี้ยเราได้พอใจกับตัวเองในวันนี้หรือ
00:35:51 → 00:35:54 เปล่าการพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นสำคัญมาก
00:35:55 → 00:35:57 อันเนี้ยเนี่ยก็คือทำให้ซีโรโทนินหลัเลย
00:35:57 → 00:36:02 อืใช่มั้ยคะก็ฝึกฝึกที่จะพอใจพอใจง่ายๆ
00:36:02 → 00:36:06 บางคนพอใจยากเหลือเกินมีความคาดหวัง
00:36:06 → 00:36:09 สูงอย่างเงี้ยก็เราให้ฝึกเเราเห็นความคาด
00:36:09 → 00:36:11 หวังเนี่ยแหละแล้วฝึกอ่ะแค่นี้พอไอ้ที่
00:36:11 → 00:36:14 อยากได้เนี่ยมันไม่ได้ไม่เป็นไรฝึกเอาแค่
00:36:14 → 00:36:19 นี้พอคือฝึกพอใจง่ายๆนะขอบคุณพอใจแล้วก็
00:36:19 → 00:36:23 อันที่ 3 ก็คือฝึกที่จะให้คำพูดที่ดีกับ
00:36:23 → 00:36:27 คนอื่นอือหรือฝึกที่จะช่วยเหลือคนอื่นถาม
00:36:27 → 00:36:31 ว่านี้มันจะช่วยยังไงก็คือว่าเวลาที่เรา
00:36:31 → 00:36:34 ได้เป็นผู้ให้เราได้ช่วยเหลือคนอื่นแล้ว
00:36:34 → 00:36:37 คนอื่นเรู้สึกดีเไม่ต้องชมหรอกนะแต่เรา
00:36:37 → 00:36:40 สัมผัสได้ว่าสิ่งที่เราทำออกไปงั้นเรารู้
00:36:40 → 00:36:43 สึกดีเนี่ยไอ้ความรู้สึกดีตรงนี้เนี่ยเา
00:36:43 → 00:36:45 เรียกว่าความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ที่ดีก็
00:36:45 → 00:36:49 จะช่วยให้เรามีกำลังใจที่ดีสุดท้ายก็คือ
00:36:49 → 00:36:55 ฝึกในการที่จะทำอะไรให้สำเร็จเล็กๆน้อยๆ
00:36:55 → 00:36:58 ใน 1 วันบางคนเนี่ยเราโอ้ตั้งเป้าอายุ 30
00:36:59 → 00:37:03 เอ่อต้องมีบ้านหรืออายุเท่านี้ต้องมีรถ
00:37:03 → 00:37:05 อายุเท่านี้ต้องเป็นผู้บริหารบางทีเรารอ
00:37:05 → 00:37:07 ไปถึงขนาดนั้นน่ะคราวนี้เราลองมีความ
00:37:07 → 00:37:11 สำเร็จง่ายๆเล็กๆง่ายๆวันละ 1 อย่างก็พอ
00:37:11 → 00:37:13 วันนี้ตั้งใจทำเรื่องเนี้ยทำเรื่องนี้
00:37:13 → 00:37:15 สำเร็จนี่คือสำเร็จอันเนี้ยก็คือโดปามีน
00:37:15 → 00:37:19 หลังละเพรางั้นเราทำครบทุกข้อนี้นะสาแห่ง
00:37:19 → 00:37:21 ความสุขเราหลั่งเต็มที่เลยแล้วก็มีกำลัง
00:37:21 → 00:37:25 ใจใช่แล้วเราก็จะมีกำลังใจที่เราเติมให้
00:37:25 → 00:37:28 ตัวเองได้เมื่อสักครู่นี้เป็นการอ่าปรับ
00:37:28 → 00:37:31 พฤติกรรมหรือว่าสิ่งที่เราสามารถทำได้เลย
00:37:31 → 00:37:33 แล้วเรื่องของสมาธิล่ะคะพี่เอิญสมาธิ
00:37:34 → 00:37:36 เนี่ยมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูสภาพจิตใจของ
00:37:36 → 00:37:40 เราได้ยังไงบ้างสมาธิต้องบอกว่ามันเหมือน
00:37:40 → 00:37:45 เป็นการออกกำลังใจนะอืค่ะเออก็เป็นการออก
00:37:45 → 00:37:47 กำลังใจอย่างนึงก็คืออย่างอย่างที่พี่
00:37:48 → 00:37:51 เอิ้นเคยคุยอ่ะว่าจริงๆสมาธิมันเป็นพื้น
00:37:51 → 00:37:55 ฐานสำคัญของการที่เราจะมีสติงั้นนะดัง
00:37:55 → 00:37:58 นั้นมันเหมือนกับการที่เราเข้ายิมอย่าง
00:37:58 → 00:38:02 ร่างกายเราเวลาเราจะฟิตเนสคือเรายกเวท
00:38:02 → 00:38:05 กล้ามเนื้อใช่มสมาธิก็เหมือนกันมันคือ
00:38:05 → 00:38:08 สิ่งที่ทำให้เรามีกำลังแต่มันเป็นกำลังใจ
00:38:08 → 00:38:12 กำลังใจที่เราจะมีความสงบงั้นอันนี้ก็คือ
00:38:12 → 00:38:15 เป็นเบื้องต้นเนาะเป็นแบบสิ่งพื้นฐาน
00:38:15 → 00:38:18 เบื้องต้นเลยที่อยากให้ทุกคนลองฝึกถ้าเรา
00:38:18 → 00:38:21 อยากจะฝึกให้ใจของเรามันมีกำลังมีอีกคำ
00:38:21 → 00:38:24 ถามนึงค่ะเป็นคำถามสุดท้ายของ EP นี้เรา
00:38:24 → 00:38:28 จะมีเมตตายังไงในโลกที่มีแต่การแข่งขัน
00:38:28 → 00:38:30 ค่ะพี่เอิ้นว่าคนแรกที่เราต้องเมตตาคือ
00:38:31 → 00:38:33 ตัวเราเพราะว่าเดี๋ยวเราจะต้องใช้พลังงาน
00:38:33 → 00:38:36 อีกเยอะกับโลกภายนอกเนาะค่ะเพราะฉะนั้น
00:38:36 → 00:38:40 เนี่ยความเมตตาไม่ได้มีไว้สำหรับคนอื่น
00:38:40 → 00:38:43 เท่านั้นความเมตตาที่จะทำให้เรายังสามารถ
00:38:43 → 00:38:46 ส่งต่อความเมตตาได้มากขึ้นก็คือเราต้อง
00:38:46 → 00:38:49 เมตตาตัวเราเองดังนั้นการเมตตาตัวเราเอง
00:38:49 → 00:38:52 ที่ดีที่สุดก็คือการที่เราเริ่มต้นในการ
00:38:52 → 00:38:56 ดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจของเราให้ดีดีอื
00:38:56 → 00:39:00 เช่นดูเกลาแก้โลกค่ะอ่าอย่างเช่นดูเกลา
00:39:00 → 00:39:03 แก้โลค EP นี้นะคะดีมากๆเลยแล้วก็แพนด้า
00:39:03 → 00:39:07 ก็เป็นหนึ่งในวัยทำงานใช่ค่ะโแล้วนะ
00:39:07 → 00:39:09 แพนด้าก็เลยรู้สึกเหมือนตัวเองโดนบำบัด
00:39:09 → 00:39:12 ใช่มั้ยคะอ่าได้บำบัดค่ะอุ๊ยขอบคุณมากเลย
00:39:12 → 00:39:14 ค่ะสำหรับโอกาสในครั้งนี้หวังว่าหลายๆ
00:39:14 → 00:39:18 ท่านที่ดูนะคะก็น่าจะได้อะไรดีๆแล้วก็ได้
00:39:18 → 00:39:20 ดูไปรีเฟลกตัวเองไปด้วยได้สะท้อนตัวเองไป
00:39:20 → 00:39:23 ด้วยว่าเราเป็นยังไงบ้างหรือเราจะช่วย
00:39:23 → 00:39:26 เหลือตัวเองได้ยังไงแล้วก็ถ้าใครที่ดู
00:39:26 → 00:39:28 แล้วนะคะมีมีความคิดเห็นยังไงสามารถ
00:39:28 → 00:39:31 คอมเมนต์บอกกับเราได้หรือว่าอยากที่จะฝาก
00:39:31 → 00:39:33 คำถามอะไรถึงพี่เอิ้ลก็คอมเมนต์บอกกับเรา
00:39:33 → 00:39:35 ได้เหมือนกันนะคะสำหรับ EP นี้ก็ขอบคุณ
00:39:35 → 00:39:40 พี่เอินมากค่ะสวัสดีค่ะขอบคุณ
00:39:40 → 00:39:56 [เพลง]
00:39:56 → 00:40:00 ค่ะ n