น้ำปลาร้ามีประโยชน์อย่างไร และต้องระวังเรื่องอะไร

ส้มตำ คุณประโยชน์เมนูยอดฮิต by หมอแอมป์ [Dr. Amp Guide👨‍⚕️ & Dr.Amp Podcast] [Sub TH,EN,CH]

จากช่อง : DrAmp Team


ดูคำบรรยาย / View Transcript

00:00:1400:00:17 สวัสดีครับ พบกับรายการ Dr. Amp Podcast

00:00:1700:00:20 เรื่องเล่าสุขภาพดี กับผมหมอแอมป์

00:00:2000:00:24 นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ นะครับ

00:00:2400:00:28 อาทิตย์นี้ครับ หมอกลับมาพบท่านผู้ฟังที่รักทุกท่าน

00:00:2800:00:33 ในชื่อตอนที่หลายๆ คนน่าจะสนใจนะครับ

00:00:3300:00:39 แล้วก็อยู่ใกล้ตัวพวกเรามากๆ กับชื่อตอนที่ว่า

00:00:3900:00:43 ส้มตำเต็มๆ คำบำรุงสุขภาพ นะครับ

00:00:4300:00:45 ขึ้นชื่อว่าส้มตำนะครับ

00:00:4500:00:49 คงจะเป็นเมนูโปรดของหลายๆ ท่านแน่นอนนะครับ

00:00:4900:00:52 แล้วก็เป็นเมนูโปรดของหมอแอมป์ด้วยนะครับ

00:00:5200:00:55 ไม่ว่าจะเป็นคนไทยที่อยู่ในประเทศไทยเนี่ย

00:00:5500:00:57 หมอเชื่อว่าทุกคนต้องเคยกิน

00:00:5700:01:00 จะชอบเผ็ดมากหรือเผ็ดน้อยนะครับ

00:01:0000:01:03 แล้วก็คนไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศเนี่ย

00:01:0300:01:06 ก็ต้องคิดถึงส้มตำแน่นอนนะครับ

00:01:0600:01:09 บางคนกินกันหลายวันต่ออาทิตย์เลยทีเดียว

00:01:0900:01:12 วันนี้หมอก็เลยอยากจะมาทำ

00:01:1200:01:16 เนื้อหาสาระเนี่ยเกี่ยวกับส้มตำดูซิว่า

00:01:1600:01:21 ส้มตำเนี่ยประวัติความเป็นมาเป็นอย่างไรนะครับ

00:01:2100:01:23 แล้วที่กินกันเนี่ยแพร่หลาย

00:01:2300:01:26 ฮิตมากเลยในบ้านเราเองเนี่ย

00:01:2600:01:28 มีคุณประโยชน์อย่างไรบ้างนะครับ

00:01:2800:01:31 วันนี้ครับหมอแอมป์และทีมงาน Dr.Amp Team

00:01:3100:01:36 ก็เลยรวบรวมเนื้อหาสาระมาเล่าให้ฟังกันว่า

00:01:3600:01:40 ส้มตำเนี่ยมีคุณประโยชน์อย่างไรบ้าง

00:01:4000:01:42 ในแต่ละจานที่เราทานเข้าไปนะครับ

00:01:4200:01:44 ขึ้นชื่อว่าส้มตำเนี่ย

00:01:4400:01:47 แค่เริ่มต้นก็เริ่มรู้สึกแซบแล้วใช่ไหมครับ

00:01:4700:01:49 เดี๋ยววันนี้เรามาคุยกันครับว่า

00:01:4900:01:52 แต่ละสิ่งแต่ละอย่างที่หมอเอามาฝากวันนี้

00:01:5200:01:54 มีรายละเอียดยังไงกันบ้างนะครับ

00:01:5400:01:58 ไปเริ่มกันที่ส่วนประกอบสำคัญอันที่ 1 นะครับ

00:01:5800:02:00 ขึ้นชื่อว่าส้มตำนะครับ

00:02:0000:02:01 เดี๋ยวหมอจะบอกนะว่า

00:02:0100:02:04 ชื่อนี้เนี่ย ได้มาอย่างไรนะครับ

00:02:0400:02:06 ไม่ใช่เอาส้มมาตำนะครับ

00:02:0600:02:09 ตัวหลักหรือว่าพระเอกหลักของส้มตำเนี่ย

00:02:0900:02:11 ก็คือ มะละกอ นะครับ

00:02:1100:02:14 เราเริ่มต้นที่มะละกอกันก่อน

00:02:1400:02:18 หมอเคยพูดถึงคุณประโยชน์ของมะละกอไว้ในตอน

00:02:1800:02:22 5 สุดยอดอาหารชะลอวัยไกลโรคไปแล้วนะครับ

00:02:2200:02:25 วันนี้ก็จะมาขยายความเพิ่มเติมกันหน่อยนะ

00:02:2500:02:40 มะละกอชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อว่า Carica papaya L.

00:02:4000:02:43 Carica papaya L. คือชื่อของมะละกอ

00:02:4300:02:50 จัดอยู่ในวงศ์ Caricaceae

00:02:5000:02:53 จัดเป็นไม้ล้มลุกครับ เป็นพืชพื้นเมืองนะครับ

00:02:5300:02:58 พบได้ในทวีปอเมริกากลาง อเมริกาใต้นะครับ

00:02:5800:03:03 สมัยที่โคลัมบัสไปค้นพบทวีปอเมริกานะครับ

00:03:0300:03:07 ก็มีการบันทึกไว้ว่าได้มีการเอามะละกอ

00:03:0700:03:08 มาเผยแพร่นะครับ

00:03:0800:03:13 พร้อมกับยุคนั้นเป็นยุคการล่าอาณานิคมของสเปน

00:03:1300:03:15 จนมาถึงฟิลิปปินส์นะครับ

00:03:1500:03:19 ก็มีคนเอามะละกอมาปลูกที่มะละกานะครับ

00:03:2000:03:23 ส่วนมะละกอที่เข้ามาในประเทศไทยเมื่อไหร่

00:03:2300:03:26 ทีมงานหมอนี่ก็พยายามไปสืบเสาะนะครับ

00:03:2700:03:31 หาประวัตินะครับ อันที่ 1 ก็ได้ประวัติมา

00:03:3100:03:34 จากหนังสือศิลปวัฒนธรรม

00:03:3400:03:37 ฉบับ กุมภาพันธ์ 2555 ว่า

00:03:3800:03:44 มะละกอน่าจะเข้ามาสู่สยามในช่วงกรุงศรีอยุธยา

00:03:4400:03:46 ก่อนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์

00:03:4600:03:48 เพราะว่ามีบันทึกนะครับ

00:03:4800:03:53 ราชทูตเดอลาลูแบร์ได้บันทึกไว้ว่าพบผลมะละกอ

00:03:5300:03:55 แต่ชาวสยามเรียกว่าแตงไทย

00:03:5500:03:58 อันนี้ก็เป็นข้อมูลหนึ่งนะครับ

00:03:5800:04:01 อีกข้อมูลหนึ่งเนี่ยก็มีการบันทึกว่า

00:04:0100:04:05 คาดกันว่าน่าจะเข้ามาในประเทศไทยในช่วง

00:04:0500:04:07 ต้นรัตนโกสินทร์นะครับ

00:04:0700:04:10 อาจจะเข้ามาทางตอนใต้ของประเทศไทย

00:04:1000:04:12 โดยประเทศโปรตุเกส ไม่ก็สเปนนี่แหละครับ

00:04:1200:04:14 ที่นำเข้ามา

00:04:1400:04:17 ทั้งนี้ทั้งนั้นครับใครที่มีข้อมูลที่แน่ชัดเนี่ย

00:04:1700:04:21 เราก็สามารถเข้ามาช่วยกัน Comment

00:04:2100:04:23 ไว้ใน Comment ได้นะครับ

00:04:2300:04:26 ภาคกลางครับ เรียกมะละกอ

00:04:2600:04:29 ภาคอีสานครับเรียกว่าบักหุ่งครับ

00:04:2900:04:31 หรือไม่ก็หมากหุ่งนะครับ

00:04:3100:04:34 ภาคใต้ เรียก ลอกอ

00:04:3400:04:37 ภาคเหนือ เรียก บ่ะก้วยเต้ด

00:04:3700:04:39 นี่คือมะละกอนะครับ

00:04:3900:04:44 แสดงว่าแพร่หลายไปทั่วทุกภาคในประเทศไทย

00:04:4400:04:46 มีข้อมูลเพิ่มเติมครับ

00:04:4600:04:49 จากคอลัมน์ สุวรรณภูมิในอาเซียน

00:04:4900:04:52 หนังสือพิมพ์มติชนกล่าวว่า

00:04:5300:04:58 ส้มตำครับน่าจะเกิดขึ้นที่แรกเนี่ยที่กรุงเทพฯ

00:04:5800:05:01 หรือภาคกลางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

00:05:0100:05:04 โดยส้ม แปลว่า เปรี้ยว

00:05:0400:05:08 ส้มตำเนี่ยก็เลยหมายถึงของกินชนิดหนึ่ง

00:05:0800:05:11 ที่เอาผลไม้เนี่ยมาตำผสมเครื่องปรุง

00:05:1100:05:13 แล้วมีรสเปรี้ยวนำ

00:05:1300:05:17 ส้มตำครับ เริ่มแพร่กระจายจากกรุงเทพฯ สู่อีสานเนี่ย

00:05:1700:05:21 ช่วงราวๆ หลังในหลวงรัชกาลที่ 5

00:05:2100:05:24 ท่านทรงสร้างรถไฟไปอีสานนะครับ

00:05:2400:05:26 แล้วก็มาแพร่หลายมากขึ้นเนี่ย

00:05:2600:05:30 ในช่วงหลังจากการสร้างถนนมิตรภาพ

00:05:3000:05:33 อันนี้คือข้อมูลที่ได้มาจาก

00:05:3300:05:35 คอลัมน์สุวรรณภูมิในอาเซียนนะครับ

00:05:3500:05:39 ฉะนั้นในเรื่องประวัติ หมอออกตัวไว้ก่อนว่า

00:05:3900:05:42 หมอไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประวัติศาสตร์นะครับ

00:05:4200:05:46 แต่ทีมงานพยายามจะไปสืบเสาะค้นหานะครับ

00:05:4600:05:51 เพื่อเอาข้อมูลเนี่ยมาให้ทุกท่านได้ทราบว่า

00:05:5100:05:54 มันมีที่มาที่ไปอย่างนี้นะครับ

00:05:5400:05:57 ถ้าใครมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

00:05:5700:05:59 หรือน่าสนใจหรือถูกต้อง

00:05:5900:06:03 ก็มาแลกเปลี่ยนกันในสังคมสุขภาพดีของเราได้นะครับ

00:06:0300:06:07 ประเด็นที่สำคัญครับที่หมออยากจะเอามาเล่าวันนี้

00:06:0700:06:08 เป็นเรื่องประโยชน์มากกว่า

00:06:0800:06:13 ของส้มตำและวัตถุดิบต่างๆ นะครับ

00:06:1300:06:15 กลับมาที่มะละกอครับ

00:06:1500:06:19 กว่าพันปีแล้วที่มนุษย์เราเนี่ยใช้มะละกอ

00:06:1900:06:21 ในการหมักเนื้อสัตว์ให้นุ่มนะครับ

00:06:2100:06:24 ผ่านเอนไซม์ที่ชื่อว่าปาเปนนะครับ

00:06:2400:06:30 Papain เป็นเอนไซม์หรือน้ำย่อยชนิดหนึ่งจากมะละกอ

00:06:3000:06:34 พอมาโดนกับเนื้อสัตว์ก็จะช่วยทำให้นุ่มขึ้นนะครับ

00:06:3400:06:38 มะละกอนะครับทานสุก ทานดิบก็ได้

00:06:3800:06:42 คนไทยจริงๆ ก็ทานมะละกอดิบเยอะทีเดียวนะครับ

00:06:4200:06:44 ถ้าทานดิบในช่วงท้องเนี่ย

00:06:4400:06:46 คนท้องต้องระวังนิดนึงนะครับ

00:06:4600:06:50 เพราะอาจจะมีการกระตุ้นให้บีบตัวของมดลูกได้

00:06:5000:06:53 จากลาเท็กซ์นะครับ ก็คือ ยางนะครับ

00:06:5300:06:56 หรือคนที่ทานมะละกอดิบเนี่ย

00:06:5600:07:00 ต้องระวังว่าถ้าเราเป็นคนแพ้ลาเท็กซ์หรือว่ายางเนี่ย

00:07:0000:07:02 อาจต้องระมัดระวังนิดหนึ่ง

00:07:0200:07:04 ถ้าคนที่เขาเคยแพ้เนี่ยเขาจะทราบครับ

00:07:0400:07:06 เวลาทานแล้วก็จะมีอาการ

00:07:0600:07:09 จะเป็นปากบวม จะเป็นคันต่างๆ นะครับ

00:07:0900:07:12 มะละกอครับ 1 ลูกเล็กนะครับ

00:07:1200:07:15 ขนาดประมาณ 1.5 ขีดอย่างนี้นะ

00:07:1500:07:17 อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ

00:07:1700:07:19 แต่เดี๋ยวนี้มีหลายขนาดมาก ลูกเล็ก

00:07:1900:07:22 หมอไปดูมีลูกกลาง มีลูกใหญ่

00:07:2200:07:24 มีหลายพันธุ์ด้วยนะครับ

00:07:2400:07:28 เช่น พันธุ์แขกดำ พันธุ์แขกนวล

00:07:2800:07:32 พันธุ์ฮอลแลนด์ พันธุ์ฮาวาย เป็นต้นนะครับ

00:07:3200:07:37 มะละกออุดมไปด้วยวิตามินเยอะแยะมากมายนะครับ เช่น

00:07:3700:07:41 วิตามินซี วิตามินเอ กรดโฟลิก นะครับ

00:07:4100:07:44 โพแทสเซียมก็เยอะ แมกนีเซียมนะครับ

00:07:4400:07:49 วิตามินบีนี่มีหมดเลย บี 1 บี 2 บี 3 บี 5 นะครับ

00:07:4900:07:53 วิตามินอีก็เยอะนะครับ อันนี้คือวิตามินครับ

00:07:5300:07:56 มีสารชื่อแคโรทีนอยด์ (Carotenoid)

00:07:5600:08:01 เป็น Antioxidant หรือสารต้านอนุมูลอิสระ

00:08:0100:08:03 ช่วยชะลอวัยนะครับ

00:08:0300:08:05 มีสารไลโคปีน (Lycopene) ครับ

00:08:0500:08:07 ช่วย Anti-inflammatory นะครับ

00:08:0700:08:10 หรือช่วยลดการอักเสบได้นะครับ

00:08:1000:08:13 ไลโคปีนบวกกับวิตามินซีเนี่ย

00:08:1300:08:17 มีการวิจัยว่าช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจนะครับ

00:08:1700:08:19 บำรุงสุขภาพผิวนะครับ

00:08:1900:08:23 ชะลอรอยย่นนะครับ ชะลอรอยตีนกา เป็นต้น

00:08:2300:08:27 มีสารต่อไปครับ ชื่อว่า ซีอาแซนทิน (Zeaxanthin) นะครับ

00:08:2700:08:30 บำรุงสุขภาพครับจอประสาทตา

00:08:3000:08:33 ช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมนะครับ

00:08:3300:08:38 หรือ AMD Age - Related Macular Degeneration เป็นต้นนะครับ

00:08:3800:08:39 กลับมาที่น้ำย่อยครับ

00:08:3900:08:45 น้ำย่อย หรือเอนไซม์ของมะละกอที่ช่วยย่อยเนื้อสัตว์

00:08:4500:08:47 เนี่ย เมื่อกี้มีชื่อปาเปนใช่ไหมครับ

00:08:4700:08:50 มีอีกตัวนึงชื่อ ไคโมปาเปน (Chymopapain) เป็นต้น

00:08:5100:08:54 คราวนี้ครับเรามาดูสรรพคุณกันนะครับ

00:08:5400:08:57 เจ้ามะละกอเนี่ยช่วยบำรุงผิวนะครับ

00:08:5700:09:01 เพราะมีวิตามินซีเยอะ เมื่อกี้ที่หมอบอกไป มีไลโคปีนเยอะนะครับ

00:09:0200:09:07 เพิ่ม Elasticity of skin ก็คือความยืดหยุ่นของผิวนะครับ

00:09:0700:09:10 ปาเปน แล้วก็ ไคโมปาเปน ครับ

00:09:1000:09:18 มีการวิจัยไว้ในวารสาร Biomedicine & Pharmacotherapy Journal ในปี 2017 ว่า

00:09:1800:09:21 ปาเปนช่วยรักษารอยแผลเป็นได้

00:09:2100:09:25 ช่วยรักษารอยสิวได้ ลดการอักเสบได้นะครับ

00:09:2500:09:29 มะละกอครับ ช่วยในการย่อยอาหารนะครับ

00:09:2900:09:32 เนื่องจากอุดมไปด้วยเอนไซม์ในการช่วยย่อยนะครับ

00:09:3200:09:36 ข้อต่อไปครับ ช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิดได้

00:09:3600:09:39 หรือโรคเลือดออกตามไรฟันนะครับ

00:09:3900:09:46 ยางมะละกอดิบนะครับ ยังมีสรรพคุณ ช่วยฆ่าเชื้อราบริเวณผิวได้อีกด้วยนะครับ

00:09:4600:09:49 สารไลโคปีนในมะละกอครับเมื่อกี้ที่แจ้งไป

00:09:4900:09:53 ช่วยบำรุงสุขภาพต่อมลูกหมากให้ผู้ชายด้วยนะครับ

00:09:5300:09:56 มีวิตามินและแร่ธาตุหลากชนิดมากนะครับ

00:09:5600:09:59 ที่ช่วยบำรุงความจำและสมองนะครับ

00:10:0000:10:03 มะละกอครับ มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ

00:10:0300:10:07 และก็มีไฟเบอร์สูงด้วยนะ ช่วยเรื่องระบบขับถ่ายนี้ก็ดี

00:10:0800:10:10 แถบรัฐฮาวายนะครับ

00:10:1000:10:13 ผู้หญิงคลอดบุตรเขานิยมทานมะละกอกันนะครับ

00:10:1300:10:16 เพื่อช่วยเพิ่มน้ำนมเป็นต้นนะครับ

00:10:1700:10:19 คราวนี้นะครับเราไปดูกันต่อว่า

00:10:1900:10:22 โอ้โห มะละกอนี้มีคุณค่ามากมายเลย ไม่ว่าจะเป็น

00:10:2200:10:27 มะละกอสุก สีส้ม หรือมะละกอดิบ สีเขียว

00:10:2700:10:31 คุณค่าทางอาหารของมะละกอดิบเนี่ย เอาดิบก่อนนะครับ

00:10:3200:10:34 ต่อ 100 กรัมก็คือ 1 ขีด นะ

00:10:3500:10:40 มะละกอดิบ 1 ขีดเนี่ย มีพลังงานประมาณ 20-24 กิโลแคลอรี

00:10:4000:10:43 เทียบกับมะละกอสุก 1 ขีดเช่นกันเนี่ย

00:10:4400:10:46 มีแคลอรี่ประมาณ 43 แคลอรีนะครับ

00:10:4700:10:50 แสดงว่าถ้าเทียบกันแล้วเนี่ย พอมะละกอสุกปุ๊บ

00:10:5000:10:55 แคลอรีจะเยอะกว่านะครับ น้ำตาลจะเยอะกว่า แป้งจะเยอะกว่านะ

00:10:5500:10:57 กลับมาดูตัวเลขนะครับ เอาดิบก่อน

00:10:5700:11:03 มะละกอดิบ 1 ขีด มีพลังงาน 20-24 กิโลแคลอรี

00:11:0300:11:07 มีคาร์โบไฮเดรต 5.4 กรัมโดยประมาณ

00:11:0700:11:10 มีน้ำตาล 3.5 กรัมโดยประมาณ

00:11:1000:11:15 มีเส้นใยหรือไฟเบอร์ 2.6 กรัมโดยประมาณ

00:11:1500:11:17 แล้วก็มีวิตามินต่างๆ

00:11:1700:11:20 เทียบกับมะละกอสุก 100 กรัมหรือ 1 ขีดนะครับ

00:11:2000:11:24 มีแคลอรี 43 กิโลแคลอรี

00:11:2400:11:28 มีคาร์โบไฮเดรต 11 กรัม มากกว่าดิบประมาณ 2 เท่านะครับ

00:11:2800:11:31 มีเส้นใย 1.7 กรัม มีน้อยกว่า

00:11:3200:11:37 แสดงว่ามะละกอดิบเนี่ย แคลอรีต่ำกว่า แป้งน้อยกว่า

00:11:3700:11:40 น้ำตาลน้อยกว่า แล้วก็เส้นใยมากกว่านะครับ

00:11:4100:11:44 มะละกอสุกครับ น้ำตาลประมาณ 7.8 กรัม

00:11:4400:11:49 เทียบกับระดับน้ำตาลของมะละกอดิบ ประมาณ 3.5 กรัมต่อ 1 ขีดนะครับ

00:11:4900:11:53 ระวังนิดนึงนะครับ มะละกอนะครับ โดยเฉพาะมะละกอสุก

00:11:5300:11:55 ถ้าเราทานมากเกินไป

00:11:5500:12:01 อาจจะทำให้สารไม่ว่าจะเป็น ไลโคปีน แคโรทีน มากเกินเนี่ย

00:12:0100:12:06 ทำให้เกิดภาวะตัวเหลือง มือเหลือง ตาเหลืองได้นะครับ

00:12:0600:12:10 เพราะว่าเจ้ามะละกอเนี่ย มีสารสีเหลืองอยู่นะครับ

00:12:1000:12:15 ถ้าใครทานทุกวันเนี่ย พยายามหมั่นสังเกตเล็บ หมั่นสังเกตมือเรานะครับ

00:12:1500:12:19 ว่าถ้าเริ่มเหลืองเนี่ย ต้องไปปรึกษาแพทย์หรือว่าหยุดทานก่อนนะครับ

00:12:2000:12:24 คนที่มีประวัติแพ้สารปาเปนนะครับต้องระมัดระวังนะครับ

00:12:2400:12:29 แล้วก็คนที่เป็นเบาหวานครับ มะละกอสุกเนี่ยน้ำตาลก็ไม่ได้มากนัก

00:12:2900:12:33 แต่ถ้าทานกัน ตั้งใจทานกัน เป็นลูกๆ หลายๆ ลูก หลายๆ กิโลกรัมเนี่ย

00:12:3300:12:36 ก็ต้องระมัดระวังน้ำตาลขึ้นเหมือนกันนะครับ

00:12:3600:12:40 นี่คือข้อมูลคร่าวๆ ของมะละกอครับ

00:12:4000:12:43 ต่อไปครับ ตัวที่ 2 นะครับ

00:12:4300:12:48 ที่เป็นนักแสดงอยู่ในหนังเรื่องส้มตำนะครับ

00:12:4800:12:49 เมื่อกี้พระเอกใช่ไหมครับ

00:12:4900:12:53 รู้เลยว่าต้องเป็นมะละกอแน่นอน โดยเฉพาะมะละกอดิบนะครับ

00:12:5400:12:59 ส่วนตัวที่ 2 นะครับที่มีประโยชน์มาก ในส้มตำก็คือพริกนะครับ

00:12:5900:13:03 พริก เป็นพืชในวงศ์ Solanaceae นะครับ

00:13:0300:13:11 สกุล Capsicum นะครับ นี่คือพริกนะครับ

00:13:1100:13:14 พริกเนี่ยมีหลายชนิดนะครับ เช่น

00:13:1400:13:17 1. พริกหวาน พริกหยวก พริกชี้ฟ้า ตระกูลนี้จะไม่เผ็ดมากนะครับ

00:13:2000:13:34 ชื่อวิทยาศาสตร์ครับ เขาชื่อว่า Capsicum annuum

00:13:3400:13:37 อันนี้คือกลุ่มที่ 1 นะครับ

00:13:3700:13:43 กลุ่มที่ 2 นะครับ พริกขี้หนูสวน พริกขี้หนูใหญ่ ตระกูลนี้เผ็ดนะครับ

00:13:4300:13:57 ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Capsicum frutescens

00:13:5700:14:00 นี่ก็เป็นอีกตระกูลหนึ่งนะครับ

00:14:0000:14:08 มนุษย์เริ่มมีการรับประทานพริกเนี่ย มาไม่ต่ำกว่า 7,000 ปีแล้วนะครับก่อนคริสต์ศักราช

00:14:0800:14:12 ก็ประมาณ 9 พันกว่าปีที่แล้ว นานมากเลยนะครับ

00:14:1200:14:14 เอ๊ รู้ได้ยังไงนะครับ?

00:14:1400:14:19 มีหลักฐานทางโบราณคดีว่าพบซากเมล็ดพริกนะครับ

00:14:1900:14:26 ในอุจจาระของชาวอินเดียนในเม็กซิโก ที่เมือง Huaca Prieta

00:14:2600:14:29 อายุประมาณ 9 พันปีนะครับ

00:14:2900:14:34 โอ้โห นานมากนะครับ ที่มนุษย์เราเนี่ยมีความผูกพันกับพริกนะครับ

00:14:3400:14:40 คราวนี้ครับไปดูกันต่อว่าข้อมูลอื่นๆ นะครับก็จะมีนะครับ

00:14:4000:14:46 เช่น ถ้าใครไปหาอ่าน ก็จะเจอชื่อของนาย Peter Martyr

00:14:4600:14:49 เป็นลูกเรือของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส

00:14:4900:14:52 ก็น่าจะไปเจอพริกนั่นแหละครับตอนท่องโลกนะครับ

00:14:5300:14:58 ก็เลยนำพริกเหนือจากทวีปอเมริกาสู่โลกภายนอกนะครับ

00:14:5800:15:03 มีประวัติอีกครับว่านาย Álvarez Chanca ชาวส

00:15:0300:15:07 เป็นเป็นบุคคลแรกๆ ที่นำพริกมาปลูกที่ประเทศสเปนนะครับ

00:15:0800:15:12 น่าจะราวๆ ปี ค.ศ. 1493

00:15:1200:15:15 คนสเปนก็เลยเรียกว่า Chilli

00:15:1500:15:19 ซึ่งเป็นคำแปลงมาจากคำว่าชิลี

00:15:1900:15:25 ซึ่งเป็นประเทศที่เขาไปค้นเจอ หรือว่าไปเจอเนี่ยพริกมานั่นเองนะครับ

00:15:2500:15:29 พริก เป็นของโปรดของหมอแอมป์อย่างนึงเลยนะครับ

00:15:2900:15:33 ใครที่ไม่ทราบเนี่ยบางคนเห็นหน้าหมอนี่อาจจะนึกว่า

00:15:3300:15:35 โอ้ย หมอแอมป์ไม่น่ากินเผ็ดนะครับ

00:15:3500:15:38 แต่ถ้าคนที่ใกล้ตัวหรือเพื่อนๆ จะทราบว่า

00:15:3800:15:41 หมอนี่เป็นคนกินเผ็ดมาแต่ไหนแต่ไร แล้วกินเผ็ดมากด้วย

00:15:4100:15:43 เป็นความชอบส่วนตัวนะครับ

00:15:4300:15:46 วันนี้ก็เลยเอาข้อมูลเรื่องพริกมาเล่าให้ฟังนะครับ

00:15:4600:15:50 พริกครับ 1 ช้อนโต๊ะประมาณสัก 15 กรัม

00:15:5000:15:53 ให้พลังงาน 6 กิโลแคลอรี

00:15:5300:15:56 มีโปรตีนประมาณ 0.3 กรัม

00:15:5700:15:59 มีแป้งประมาณ 1.3 กรัม

00:15:5900:16:01 มีไฟเบอร์ประมาณ 0.2 กรัม

00:16:0100:16:04 มีน้ำตาลนิดหน่อย 0.8 กรัม

00:16:0400:16:07 และก็มีไขมันน้อยมาก 0.1 กรัม

00:16:0800:16:12 ประโยชน์ของพริกครับ พริก มีวิตามินซีเยอะมากนะครับ

00:16:1200:16:15 เพราะว่าวิตามินซี เรียกว่าเป็นอะไรครับ

00:16:1500:16:18 เป็น Antioxidant หรือสารต้านอนุมูลอิสระ

00:16:1900:16:22 พริกก็เลยถือว่าเป็นอาหารที่มีวิตามินสูง

00:16:2400:16:28 เพิ่มเติมครับ มีวิตามิน B6 มีวิตามิน K1 นะครับ

00:16:2800:16:34 มีแร่ธาตุโพแทสเซียม ทองแดง มีวิตามิน A

00:16:3400:16:45 ในพริกมีสารที่ชื่อว่า Capsanthin เป็นสารแคโรทีนอยด์ตัวหนึ่ง

00:16:4500:16:50 สารแคโรทีนอยด์นี้ก็คือตัวที่ทำให้พริกเนี่ยมีสีแดง

00:16:5000:16:55 ถ้าพริกที่มีสีแดงเนี่ย สารนั้นมีชื่อว่า Capsanthin นะครับ

00:16:5500:16:59 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงมากนะครับ

00:16:5900:17:04 ตัวต่อไปครับ เป็นสารที่ชื่อว่า Violaxanthin

00:17:0400:17:08 เป็นสารแคโรทีนอยด์เช่นกันนะครับ ให้สีเหลืองในพริก

00:17:0800:17:13 ถ้าใครนึกภาพนะ พริกจะมีสีแดง สีเขียว สีเหลืองนะครับ

00:17:1300:17:17 เมื่อกี้สีแดงบอกไปแล้ว สีเหลืองบอกไปแล้วนะครับ

00:17:1700:17:19 ต่อไปเป็นพริกสีเขียวนะครับ

00:17:1900:17:22 พริกสีเขียวนี่จะเจอสารชื่อว่า ลูทีน (Lutein) เยอะนะครับ

00:17:2200:17:26 บำรุงสุขภาพตา จอประสาทตา

00:17:2600:17:28 คราวนี้มาถึงรสเผ็ดกันบ้างครับ

00:17:2800:17:30 รสเผ็ดเนี่ยจริงๆ ไม่ใช่รสชาตินะ

00:17:3000:17:37 เพราะว่าต่อมรับรสของลิ้นเราเนี่ย รับรู้รสหวาน รสเค็ม แล้วก็รสชาติต่างๆ

00:17:3700:17:41 จริงๆ ความเผ็ดเนี่ยเป็นความรู้สึก ไม่ใช่รสนะครับ

00:17:4100:17:45 ความรู้สึกเผ็ดร้อนเนี่ย เกิดมาจากสารที่ชื่อว่า

00:17:4500:17:49 แคปไซซิน (Capsaicin) ตัวนี้เป็นตัวหลักจดไว้ได้ก็ดีนะครับ

00:17:4900:17:55 Capsaicin นะครับ คืออะไร

00:17:5500:18:00 ก็คือความรู้สึกเผ็ดร้อนนะครับ เขาเป็นสารแอลคาลอยด์ชนิดหนึ่งนะครับ

00:18:0100:18:06 ระดับความเผ็ดของพริกเนี่ย ก็เลยวัดจากตัวที่ชื่อว่าแคปไซซิน

00:18:0700:18:09 สารแคปไซซินมีประโยชน์อย่างไรครับ

00:18:0900:18:13 1. ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

00:18:1300:18:16 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวบุคคลนะครับ

00:18:1600:18:21 เพราะว่าพริกเนี่ยเป็นเหมือนกับ วิทยายุทธอย่างหนึ่งเราต้องฝึกนะครับ

00:18:2100:18:26 แรกเริ่มเดิมทีเนี่ยเราเป็นเด็กเนี่ย ไม่มีใครกินเผ็ดเป็นสักคนหรอกครับ

00:18:2600:18:30 และความกินเผ็ดเนี่ยก็แค่คล้ายๆ กับคอแหละครับ

00:18:3000:18:37 คอจะแข็งแรงขึ้น ลิ้นจะแข็งแรงขึ้น ในการรับรู้ระดับความเผ็ดได้แค่เนี่ย

00:18:3700:18:39 ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน

00:18:3900:18:43 เมื่อก่อนหมอก็กินเผ็ดไม่เยอะ พอกินไปกินมาก็ชอบครับ

00:18:4300:18:48 ทำไมคนเราถึงชอบรสเผ็ด ทำไมคนเราถึงชอบความรู้สึกเผ็ดร้อน

00:18:4800:18:51 เมื่อไม่ใช่รสชาติเป็นความรู้สึกใช่ไหม

00:18:5100:18:57 มีข้อมูลครับ ที่หลายๆ คนเนี่ย ชอบความเผ็ดความแซ่บก็เพราะว่า

00:18:5800:19:03 เวลาเราเผ็ดเนี่ยร่างกายเราเนี่ย ต้องหลังสารออกมาชื่อว่าเอ็นโดรฟิน

00:19:0300:19:07 ชื่อคุ้นใช่ไหมครับ เอ็นโดรฟิน ก็คือความฟินหรือความสุขนั่นแหละครับ

00:19:0700:19:09 ออกมานะครับ

00:19:0900:19:12 หลั่งเจ้าสารนี้มาเพื่อช่วยลดความเจ็บปวดครับ

00:19:1200:19:17 เพราะว่าแคปไซซินเนี่ยทำให้เกิดความเจ็บปวด หรือว่าเผ็ดร้อนในช่องปากเรา

00:19:1700:19:19 ในลิ้นเราใช่ไหมครับ ในลำคอเรา

00:19:1900:19:22 ก็ต้องหลั่งสารออกมาเพื่อป้องกันตัวเองนะครับ

00:19:2300:19:27 เพราะฉะนั้นเวลาที่เราค่อยๆ กินเผ็ดขึ้นๆ

00:19:2700:19:30 สารนี้ก็จะค่อยๆ หลั่งมากขึ้นๆ นะครับ

00:19:3000:19:32 เพราะฉะนั้นแล้วครับนึกภาพนะ

00:19:3200:19:36 เหมือนคนเราแบบเจ็บแต่จบอ่ะ เจ็บแต่ฟินน่ะ

00:19:3600:19:38 ก็คือรู้แหละว่ามันร้อน มันเผ็ด

00:19:3800:19:41 แต่ถ้าใครกินเผ็ดแล้วจะรู้ว่าความรู้สึกนี้

00:19:4100:19:45 มันหาไม่ได้ในอาหารบางประเภทนะครับ

00:19:4500:19:50 โดยเฉพาะเวลาเราไปเมืองนอก เราไปกินอาหารฝรั่ง อร่อยยังไงก็ตามเนี่ย

00:19:5000:19:54 เรามักจะนึกถึงอาหารไทยจัง อยากกินอะไรแซ่บๆ

00:19:5400:19:59 พอเครื่องลงที่สุวรรณภูมิปุ๊บ แน่นอนครับหมอนี่เป็นคนนึงเลย

00:19:5900:20:04 มื้อแรกหลังจากกลับไปประชุม กลับจากประชุม ไปเรียนหนังสือเมืองนอกเนี่ย

00:20:0400:20:08 หมอสั่งส้มตำเสมอเลย แล้วก็ขอแซ่บๆ ด้วยนะครับ

00:20:0800:20:12 บวกกับครับ น่าจะเป็นการฝึกวิชาตอนหมอใช้ทุนด้วยนะ

00:20:1200:20:15 ตอนหมอใช้ทุนเนี่ยหมออยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษนะครับ

00:20:1600:20:20 ตอนไปใหม่ๆ เนี่ยก็ยังกินเผ็ดไม่เยอะนะครับ

00:20:2000:20:22 แล้วก็กินปลาร้าไม่เป็นด้วยนะ

00:20:2200:20:28 พี่ๆ น้องๆ ที่อยู่ที่โรงพยาบาลศรีสะเกษนี่แหละครับ แล้วก็โรงพยาบาลยางชุมน้อยเนี่ย

00:20:2900:20:33 เป็นคนสอนนะครับ เรียกได้ว่าเป็นผู้ชักนำเข้าสู่วงการนะครับ

00:20:3300:20:38 ไม่ว่าจะเป็นการกินเผ็ดเยอะขึ้นนะครับ แล้วก็เป็นการกินปลาร้าด้วยนะ

00:20:3800:20:44 จนพอกลับมาเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพฯ เนี่ยพ่อกับแม่นี่งงเลยนะครับ

00:20:4400:20:48 หมอแอมป์สมัยนู่น 10 กว่าปี 15-20 ปีแล้วนะครับ

00:20:4800:20:51 พอนั่งปุ๊บสั่งเลยตำปูปลาร้านะครับ

00:20:5100:20:55 ตอนก่อนไปกินไม่เป็นนะ แต่พอกลับมาปุ๊บชอบกิน

00:20:5500:20:59 แต่ก็ต้องเลือกนะ ปลาร้า เดี๋ยววันนี้หมอก็มีรายละเอียดมาเล่าให้ฟัง

00:20:5900:21:02 กลับมาต่อ เดี๋ยวจะไปไกลกันเกินไปนะครับ

00:21:0200:21:06 ประโยชน์ของสารแคปไซซินในข้อที่ 2

00:21:0600:21:11 ช่วยเผาผลาญไขมันครับ ช่วยลดน้ำหนักครับ ช่วยลดความหิวนะครับ

00:21:1100:21:15 มีการวิจัยครับ แบบ Randomized Control trial นะครับ

00:21:1500:21:19 ใน The American Journal of Clinical Nutrition

00:21:1900:21:26 ในปี ค.ศ. 2012 โดยคณะคุณ Takeshi Yoneshiro

00:21:2600:21:31 ว่าสาร Capsinoids สามารถเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน

00:21:3100:21:36 และกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ในเซลล์ไขมันสีน้ำตาลได้นะครับ

00:21:3600:21:40 นี่ไงครับ เวลาเรารู้สึกเผ็ดร้อนเนอะมีประโยชน์ด้วยนะครับ

00:21:4000:21:42 แต่อย่าลืมนะครับเหมือนที่หมอบอก

00:21:4200:21:45 ไม่ได้แปลว่าฟังปุ๊บ หมอแอมป์บอกพริกดี

00:21:4500:21:49 วันนี้เราเริ่มกินเผ็ดเยอะเลย เท่าเพื่อนที่เขากินแซบๆ ไม่ได้นะครับ

00:21:5000:21:54 เหมือนกันครับเช่นเดียวกัน คือหมอไม่ได้แนะนำให้ไปกินเหล้านะ

00:21:5400:21:58 แต่ว่าหมอมักจะเปรียบเทียบว่าทำไมเหล้าขวดเดียวกัน

00:21:5800:22:00 คนนึงคออ่อน คนนึงคอแข็ง

00:22:0000:22:04 ก็เพราะว่าต้องค่อยๆ ฝึกฝน แต่อันนั้นในทางไม่ดีนะครับ

00:22:0400:22:07 ก็คืออย่าไปทานเยอะนะสุรา แอลกอฮอล์เป็นพิษนะครับ

00:22:0800:22:11 กลับมาที่พริกครับ คนที่ฝึกมานานก็กินเผ็ดขึ้น

00:22:1100:22:14 ส้มตำพริก 3 เม็ด 8 เม็ด 9 เม็ด 10 เม็ด

00:22:1400:22:19 คนที่เริ่มเบบี้กินไม่ไหว ก็เริ่มครึ่งเม็ดก่อนอย่างนี้เป็นต้นนะครับ

00:22:1900:22:24 เพราะประสิทธิภาพไม่ได้แปลว่า ถ้าคนกินไม่เป็น แม้ว่าพริกจะเผาผลาญไขมัน

00:22:2400:22:27 แต่ว่าถ้าลิ้นและช่องปากคุณรับไม่ไหวเนี่ย

00:22:2700:22:31 เบิร์นนะครับ ก็คือร้อนนะครับ แล้วก็แสบด้วยนะครับ

00:22:3100:22:35 ประโยชน์ต่อไปครับ ของสารแคปไซซินนะครับ ก็คือ

00:22:3500:22:40 เมื่อนำมาทำเป็นยาทา ช่วยบรรเทาอาการปวดได้นะครับ

00:22:4000:22:42 อันนี้ก็คือคร่าวๆ นะครับ

00:22:4200:22:49 และก็สารแคปไซซินเนี่ยนะครับ เป็นสารที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่นนะครับ ละลายน้ำได้น้อยมากๆ

00:22:4900:22:53 ข้อนี้ต้องจำนะครับ ทนร้อนและทนเย็นได้อย่างดีนะครับ

00:22:5300:22:56 เพราะฉะนั้นเมื่อละลายน้ำได้น้อยครับ เวลาเราเผ็ดมากๆ เป็นไงครับ

00:22:5600:23:01 กินน้ำเข้าไปไม่ค่อยหายนะครับ เพราะเขาไม่ละลายในน้ำนะครับ

00:23:0100:23:04 เราเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นดีกว่านะครับ

00:23:0400:23:09 พริกสุกนะครับจะมีแคปไซซินมากกว่าพริกที่ยังไม่สุก

00:23:0900:23:12 แสดงว่าพริกเขียวกับพริกแดงเนี่ย

00:23:1200:23:16 พริกแดงเนี่ยถ้าเทียบกันต้นเดียวกันนี้จะเผ็ดกว่านะครับ

00:23:1600:23:20 แล้วถ้ายิ่งเอาไปตากแห้งเนี่ยจะยิ่งเผ็ดขึ้นไปอีกนะครับ

00:23:2000:23:25 แสดงว่าพริกแห้งเนี่ย สารแคปไซซินยิ่งเข้มข้นนะครับ ก็จะเผ็ดมากนะครับ

00:23:2600:23:28 เช่นเดียวกันครับ เมื่อกี้ย้อนกลับไปนิดนึง

00:23:2800:23:32 สารต้านอนุมูลอิสระเนี่ย ในพริกแดงก็มากกว่าพริกเขียวนะครับ

00:23:3300:23:36 แต่เวลาเราทาน เราก็จะทานแบบรวมๆ กันมีหลายๆ สี

00:23:3600:23:39 อันนี้ก็ไม่ได้ต่างกันมากจนเกินไปครับ

00:23:4000:23:41 ไปกันต่อครับ

00:23:4100:23:47 ความเผ็ด หรือความรู้สึกเผ็ดร้อนเนี่ย ของพริกเนี่ย ถูกวัดด้วยหน่วยอะไร

00:23:4700:23:50 เขามีหน่วยวัดนะครับโดยเฉพาะใครชอบกินแซ่บๆ นะ

00:23:5000:23:56 ชื่อว่า SHU นะครับ Scoville Heat Units

00:23:5600:23:58 เดี๋ยวทีมงานจะขึ้นภาษาอังกฤษให้นะ

00:23:5800:24:02 SHU - Scoville Heat Units

00:24:0200:24:05 คะแนนนะครับ ตั้งแต่ 0 คะแนนขึ้นไป คือไม่เผ็ดเลย

00:24:0600:24:10 ไปจนถึงคะแนนแบบเผ็ดมากเลยคือ 15 ล้านยูนิต

00:24:1000:24:12 คิดภาพนะครับ 15 ล้านยูนิต

00:24:1200:24:15 แหม หมอแอมป์คิดไม่ออกเลยอ่ะ

00:24:1500:24:19 มีข้อมูลมาแชร์นะ สำหรับคนชอบกินเผ็ดนะครับ

00:24:1900:24:21 เอาตัวที่ 1 ก่อน เปรียบเทียบคะแนน

00:24:2100:24:27 พริกจินดาสดนะครับ มีดัชนีความเผ็ดหรือ SHU เนี่ย

00:24:2700:24:32 อยู่ที่ประมาณ 28,000 - 40,000 SHU นี่พริกจินดาสดนะ

00:24:3200:24:40 ถ้าเป็นพริกขี้หนูสดนะครับ ประมาณ 19,500 - 28,000 SHU

00:24:4100:24:49 ถ้าเป็นพริกชี้ฟ้าสด ไม่ค่อยเผ็ดใช่ไหม คะแนนประมาณ 7,500 - 16,500 SHU นะครับ

00:24:4900:24:55 อันนี้เป็นข้อมูลจากทีมงาน คุณนิภาพรรณ คุ้มเงินนะครับ ในปี พ.ศ. 2547 นะครับ

00:24:5500:25:00 แล้วถ้าไปเป็นพริกขี้หนูสวนแห้ง พริกขี้หนูสวนนะ แห้งด้วยนะ

00:25:0000:25:06 คะแนนดีดขึ้นไป 342,600 SHU เผ็ดเลยนะครับ

00:25:0600:25:10 ถ้าเป็นพริกขี้หนูนก ชื่อว่าพริกขี้หนูนกนะ

00:25:1000:25:15 100,000 - 225,000 SHU คะแนนโหดมากนะครับ

00:25:1600:25:21 แล้วถ้าเป็นพริกหวานล่ะคะ พริกหวานเนี่ย 0 คะแนนก็คือไม่เผ็ดนะครับ

00:25:2100:25:27 พริกกะเหรี่ยงนี่คะแนนเยอะมากนะ 100,000 SHU อย่างนี้เป็นต้นนะ

00:25:2700:25:31 พอเราไปดูพริกอันดับ 1 ของโลกคะแนนเท่าไหร่รู้ไหม

00:25:3100:25:36 ถ้าเราดูพริกขี้หนูสวนแห้งบ้านเราแบบเผ็ดสุดเนี่ย ประมาณ 3 แสนกว่าคะแนนเนี่ย

00:25:3600:25:39 อันดับ 1 ของโลกนะครับ พริกเนี่ย เขาชื่อว่า

00:25:3900:25:49 แคโรไลนา รีปเปอร์ (Carolina Reaper) คะแนนสูงถึง 2.2 ล้าน SHU โอ้โห สูงมากนะครับ

00:25:4900:25:51 หมอเคยดูรายการเขาแข่งกันกินพริกเนี่ย

00:25:5100:25:55 คือดูแล้วแบบเผ็ดมาที่หน้าจอเลยนะครับ

00:25:5500:25:59 ดูแบบไม่รู้ว่ามันน่าจะเลยจุดแซบไปไกลแล้วแบบนั้นน่ะนะ

00:25:5900:26:02 คงจะเป็นการแข่งขันกันเอาแบบสถิติมากกว่า

00:26:0200:26:06 แต่หมอว่าความเผ็ดมากเกินบางทีก็ไม่ได้อร่อย

00:26:0600:26:09 ต้องมีรสชาติอื่นแล้วก็มีความกลมกล่อมด้วย

00:26:0900:26:11 หมอว่าเอาคะแนนสักหลักหมื่นก็พอนะ

00:26:1100:26:16 ไม่ต้องไปซื้อแบบแหม 2.2 ล้านคะแนน แคโรไลนา รีปเปอร์มาทานเนี่ย

00:26:1600:26:22 หมอว่ากินเข้าไปแล้วต้องไปปรึกษาแพทย์แน่เลยนะครับ ปากเบิร์น หรือปากบวมแน่

00:26:2200:26:25 อันนี้คือเรื่องราวเกี่ยวกับพริกครับ

00:26:2500:26:31 ตัวต่อไปนะครับที่เป็นตัวละครใน หนังเรื่องส้มตำของเรานะครับ

00:26:3100:26:34 ตัวที่ 3 ครับชื่อว่าถั่วลิสงนะครับ

00:26:3500:26:50 หรือว่า Peanuts ครับ ภาษาวิทยาศาสตร์มีชื่อว่า Arachis hypogaea นะครับ

00:26:5000:26:58 เพราะฉะนั้นครับ เจ้าถั่วลิสงเป็นอาหารที่ อยู่ในหลายๆ จานของของอร่อยในบ้านเราเลยนะครับ

00:26:5800:27:02 แต่ส้มตำเนี่ย ถ้าส้มตำไทยใส่ใช่ไหมฮะ ส้มตำลาวอาจจะไม่ใส่

00:27:0200:27:05 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นครับขึ้นอยู่กับความชอบนะครับ

00:27:0500:27:10 ไปดูถั่วลิสงครับ คนที่ 3 ของนักแสดง ในเรื่องส้มตำเรานะครับ

00:27:1000:27:14 ถั่วลิสง 2 ช้อนโต๊ะครับ ขนาดประมาณ 20 กรัม

00:27:1400:27:20 ให้แคลอรีประมาณ 120 กิโลแคลอรี่ มีโปรตีนมากนะครับ ไขมันดีเยอะนะครับ

00:27:2100:27:25 ถั่วลิสงครับ 20 กรัม มีโปรตีนตั้ง 6 กรัม

00:27:2500:27:31 มีแป้งอยู่ 4 กรัม และก็มีไขมัน ส่วนใหญ่เป็นไขมันดีนะประมาณ 10 กรัมนะครับ

00:27:3100:27:35 ถั่วลิสงครับ ประกอบไปด้วยวิตามินต่างๆ และแร่ธาตุด้วยนะครับ

00:27:3600:27:43 เช่น ไบโอติน กรดโฟลิก วิตามิน B1 B3 นะครับ วิตามินอี

00:27:4300:27:48 ทองแดงนี่ก็มี แมงกานีส แมกนีเซียมอยู่ในถั่วลิสงนะครับ

00:27:4800:27:50 ที่สำคัญครับต้องระวังนะครับ

00:27:5000:27:55 ถั่วลิสงเนี่ยมีประโยชน์เยอะก็จริง แต่ก็ต้องระวังเชื้อราด้วยนะครับ

00:27:5600:28:00 โดยเฉพาะเชื้อราที่ชื่อว่า Aspergillus flavus

00:28:0100:28:05 สร้างสารที่ชื่อว่าอัลฟาทอกซิน (aflatoxin) ใครเคยได้ยินบ้างครับ ตอนเรียนหนังสือใช่ไหม

00:28:0500:28:11 เขาจะมีสอนไว้เลยว่าระวังสารก่อมะเร็งที่ชื่อว่า อะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) นะครับ

00:28:1100:28:14 เจ้าสารนี้ครับเป็นพิษต่อร่างกาย

00:28:1400:28:18 ส่งผลอันตรายต่อตับ และก็สุขภาพนะครับ

00:28:1800:28:22 รวมถึงอาจจะเสี่ยงทำให้เป็นมะเร็งเลยนะครับ

00:28:2200:28:28 เพราะฉะนั้นต้องระวังครับ โดยเฉพาะถั่วที่บดทิ้งไว้นะครับ หรือมีความชื้น

00:28:2800:28:32 แนะนำครับว่าควรคั่วสดใหม่ทุกครั้งก่อนรับประทานนะครับ

00:28:3200:28:35 เพราะฉะนั้นแสดงว่าเราถ้าเราทานส้มตำนะครับ

00:28:3500:28:40 เราก็ควรที่จะคั่วนะครับ แล้วก็ถั่วเนี่ยทำใหม่ทุกครั้งนะครับ

00:28:4000:28:44 ประเภทที่แบบใส่ถ้วยเอาไว้ข้างล่างชื้นๆ เกาะกันๆ เนี่ย

00:28:4400:28:48 แล้วดูแล้วมีขาวๆ เนี่ยต้องระมัดระวังมากนะครับ

00:28:4800:28:53 แล้วก็ผู้ที่แพ้ถั่วลิสงนะครับ ก็ไม่แนะนำให้ทานถั่วลิสงนะครับ

00:28:5300:28:55 อันนี้คือตัวที่ 3 นะครับ

00:28:5500:29:00 ตัวต่อไปนะครับ จะพูดถึงน้ำปลาร้านิดนึง

00:29:0000:29:04 น้ำปลาร้าเนี่ยเป็นอาหารดั้งเดิมนะครับ มีมาหลายพันปีเลยนะ

00:29:0400:29:08 เพราะว่ามีหลักฐานทางโบราณคดีในแถบอีสาน

00:29:0800:29:11 พบวัสดุคล้ายไหหมักปลาร้า

00:29:1100:29:17 แล้วก็ยังมีเศษซากปลาร้าที่กลายเป็นฟอสซิลนะครับ หรือกลายเป็นหินเนี่ยอยู่ข้างในด้วยนะครับ

00:29:1700:29:21 น้ำปลาร้าครับ เป็นการถนอมอาหาร

00:29:2100:29:27 ทำให้มีจุลินทรีย์ช่วยบำรุงลำไส้และร่างกาย ที่เรียกว่าโปรไบโอติก

00:29:2700:29:30 ทั้งนี้ทั้งนั้นครับ ต้องคำนึงถึงความสะอาดด้วยนะครับ

00:29:3000:29:33 ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มตั้งแต่ทำปลานะครับ

00:29:3300:29:36 แล้วก็กระบวนการหมัก กระบวนการเก็บ

00:29:3600:29:42 แล้วก็ก่อนจะรับประทานเนี่ย ก็อาจจะต้องต้มเพื่อฆ่าเชื้อแบบนี้เป็นต้นนะครับ

00:29:4300:29:45 กระบวนการผลิตเนี่ยมีความสำคัญมาก

00:29:4500:29:52 แต่ปัจจุบันหมอเห็นว่า ด้วยเทคโนโลยีทางด้านอาหาร หรือ ฟู้ดไซน์

00:29:5200:29:55 ทำให้น้ำปลาร้าเนี่ยมีรูปแบบมากมายเลย

00:29:5500:29:57 จะเป็นแบบพาสเจอไรซ์บรรจุมา

00:29:5700:30:03 อันนี้ก็น่าจะช่วยลดการปนเปื้อนของเชื้อโรคไม่ดีได้ด้วยนะครับ

00:30:0300:30:09 น้ำปลาร้าก็จะมีโปรไบโอติก มีโอเมก้า 3 (Omega 3)

00:30:0900:30:11 มีแคลเซียมจากก้างหรือกระดูกปลานะครับ

00:30:1200:30:16 แต่ข้อระวังครับ 1 ช้อนโต๊ะของน้ำปลาร้าเนี่ย

00:30:1600:30:21 มีโซเดียมถึง 623 มิลลิกรัม ถือว่าสูงนะครับ

00:30:2100:30:23 เดี๋ยวหมอจะเล่าให้ฟังเรื่องโซเดียมหน่อยดีกว่าวันนี้

00:30:2300:30:27 ไหนๆ มีโอกาสคุยกันเรื่องส้มตำ กันเรื่องประโยชน์แล้วเนี่ย

00:30:2700:30:32 หลายๆ ตอนเนี่ยยังไม่ได้ลงลึกหรือว่าเตือน ท่านผู้ฟังทุกท่านถึงสิ่งที่ชื่อว่าโซเดียมเลยนะครับ

00:30:3500:30:40 โซเดียม (Sodium) ครับ Na นะครับ ก็คือชื่อแร่ ชื่อภาษาอังกฤษ

00:30:4000:30:44 เป็นเกลือแร่ชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเรามาก

00:30:4400:30:47 ควบคุมของเหลวและเกลือแร่ในร่างกายเรา

00:30:4700:30:51 ควบคุมระดับความดันโลหิต ระบบประสาท

00:30:5100:30:54 ระบบกล้ามเนื้อ ระบบหัวใจนะครับ

00:30:5400:30:58 มีน้อยเกินก็เกิดโทษ มีมากเกินก็เกิดโทษนะครับ

00:30:5800:31:03 องค์การอนามัยโลก หรือ WHO แนะนำไว้เลยว่า

00:31:0300:31:10 ในทุกๆ วันมนุษย์เราสามารถบริโภคโซเดียม หรือเกลือเนี่ยหรือความเค็มเนี่ยได้นะครับ

00:31:1000:31:13 แต่ไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวันนะครับ

00:31:1400:31:16 2,000 มิลลิกรัม จำให้มั่นเลยนะครับ

00:31:1600:31:19 1 วันไม่ควรกินเค็มไม่ควรกินเกลือหรืออะไรก็ตาม

00:31:1900:31:23 ที่มีโซเดียมเนี่ยเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวันนะครับ

00:31:2300:31:26 2,000 มิลลิกรัมต่อวันเท่ากับเท่าไหร่

00:31:2600:31:29 เท่ากับเกลือ 1 ช้อนชานั่นแหละครับ

00:31:2900:31:33 คือ 1 วันเนี่ยรวมมื้อเช้า มื้อกลาง วัน มื้อเย็น มื้อว่าง มื้อดึกเนี่ย

00:31:3300:31:36 ไม่ควรกินเกลือเกิน 1 ช้อนชานะครับ

00:31:3600:31:39 หรือถ้าเป็นน้ำปลาเนี่ยไม่เกิน 1.5 ช้อนโต๊ะ

00:31:4000:31:44 แต่พอไปดูตัวเลขจาก สสส. ว่า

00:31:4400:31:51 คนไทยเนี่ยรับประทานโซเดียมเกินกว่าปกติเนี่ย ถึง 2-3 เท่า โอ้โห น่ากลัวนะครับ

00:31:5100:31:54 คือบางคนทาน 4,000 กว่ามิลลิกรัมต่อวัน

00:31:5400:31:58 บางคนทาน 5,000 บางคนทาน 6,000 ใช่ไหมครับ

00:31:5800:32:02 แสดงว่าบางทีเรากินก๋วยเตี๋ยวเนี่ย เราเติมน้ำปลาไปหลายๆ ช้อนเนี่ย

00:32:0200:32:03 โอ้โห เกินเกณฑ์ไปแล้วนะครับ

00:32:0400:32:08 การกินโซเดียมมากเกินครับ หรือการรับประทานเกลือมากเกินเนี่ย

00:32:0800:32:10 ทำให้เกิดโรคต่างๆ นะครับ

00:32:1000:32:15 ข้อนี้หมออยากจะเตือนให้มากเลยว่า คนไทยเนี่ยหลายท่านกินเค็มเกินไปนะครับ

00:32:1500:32:17 ทำให้สุขภาพไม่แข็งแรง

00:32:1700:32:24 เช่น ตัวบวม น้ำหนักขึ้น ขาบวม เป็นโรคไต เป็นโรคความดันสูง

00:32:2400:32:28 แล้วพอโรคความดันสูงมาเนี่ย ก่อให้เกิดโรคยากๆ อีกเต็มเลย

00:32:2800:32:31 เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือโรคหัวใจ เป็นต้น

00:32:3200:32:35 ดังนั้นนะครับหมออยากจะมาช่วยรณรงค์นะครับ

00:32:3500:32:41 ชวนทุกคนนะครับให้ ลดการกินเค็มลงนะครับ ครึ่งหนึ่งก็ยังดีนะครับ

00:32:4100:32:45 ลดการบริโภคโซเดียมให้น้อยกว่า 2000 มิลลิกรัมต่อวันนะครับ

00:32:4500:32:52 นี่คือสิ่งที่หมอขอความร่วมมือแล้วก็ อยากจะแชร์ให้กับมิตรรักแฟนคลับทุกท่านว่า

00:32:5200:32:59 ทำเถอะครับ มีประโยชน์ในบั้นปลาย หรือมีประโยชน์ในอนาคตแน่นอนนะครับ

00:32:5900:33:04 เราไปดูกันครับว่า อาหารประเภทไหนที่มีโซเดียมเยอะนะครับ

00:33:0500:33:09 1 ครับ อาหารที่มีโซเดียมเยอะๆ ก็คือพวกอาหารแปรรูปนี่แหละครับ

00:33:0900:33:14 ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก แฮม หมูยอ ลูกชิ้น

00:33:1400:33:19 อาหารกระป๋องบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลาเค็ม แล้วก็ผักกาดดองนะครับ

00:33:1900:33:23 ยกตัวอย่างนะครับ โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป 1 กระป๋องเนี่ย

00:33:2300:33:28 มีโซเดียมตั้ง 1,900 มิลลิกรัม คือกินไป 1 กระป๋องนี่เกินแล้ว

00:33:2800:33:31 ขาดอีกร้อยเดียวเนี่ย วันนี้ทั้งวันยังไงก็ต้องเกินนะครับ

00:33:3100:33:33 เพราะวันนึงห้ามเกิน 2,000 มิลลิกรัม

00:33:3300:33:36 1 กระป๋อง ล่อไป 1,900 มิลลิกรัม แล้วนะครับนะ

00:33:3600:33:39 ไปดูตัวอื่นๆ นะครับ น้ำปลาหวานอย่างนี้นะ

00:33:3900:33:44 บางคนกินมะม่วงจิ้มน้ำปลาหวาน 1 ถ้วยใส่กุ้งแห้ง

00:33:4400:33:48 มีโซเดียม 5,900 มิลลิกรัม น้ำปลาหวานนะครับ

00:33:4900:33:54 กุ้งแห้ง 1 ขีด มีโซเดียม 3,240 มิลลิกรัม

00:33:5400:33:57 ขีดนึงก็เกินไปไกลแล้ว สองเท่าแล้ว เท่าครึ่งแล้ว

00:33:5800:34:03 เครื่องปรุงรสต่างๆ นะครับ ซอสปรุงรสต่างๆ ผงชูรสนี่ก็ต้องระวัง

00:34:0400:34:08 ผงปรุงรส 1 ช้อนชามีโซเดียม 815 มิลลิกรัม

00:34:0900:34:13 ผงชูรส 1 ช้อนชามีโซเดียม 500 มิลลิกรัม

00:34:1300:34:19 ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ มีโซเดียม 450 มิลลิกรัม

00:34:1900:34:24 เต้าเจี้ยว 1 ช้อนโต๊ะ มีโซเดียม 640 มิลลิกรัม เยอะนะครับนะ

00:34:2500:34:30 น้ำพริกกะปิ เอ้าไปต่อ น้ำพริกกะปิ 1 ถ้วย ประมาณ 100 กรัมนะ ประมาณ 100 กรัมเนี่ย

00:34:3000:34:35 มีโซเดียม 2,250 มิลลิกรัม สูงมากนะครับ

00:34:3600:34:42 น้ำจิ้มสุกี้ครับ 1 ช้อนโต๊ะมีโซเดียม 280 มิลลิกรัม

00:34:4200:34:46 น้ำปลาพริก 1 ช้อนชามีโซเดียม 500 มิลลิกรัม

00:34:4700:34:51 ไข่เค็ม 1 ฟองมีโซเดียม 480 มิลลิกรัม

00:34:5100:34:56 เทียบกับไข่ต้มมีโซเดียม 90 มิลลิกรัม ต่างกันเยอะมากนะครับ

00:34:5600:35:01 ปลาอินทรีย์สด 1 ขีดมีโซเดียม 75 มิลลิกรัม ง

00:35:0100:35:08 พอเอาไปทำเป็นปลาเค็มปุ๊ป 1 ขีด มีโซเดียม 32,000 มิลลิกรัม เป็นไงครับ

00:35:0800:35:13 บางอย่างอยู่ใกล้ตัวมาก หมอพูดนี่ไม่ได้แปลว่าหมอไม่ได้กินนะ

00:35:1300:35:16 บางทีหมอก็เผลอไป กินข้าวผัดกระเพราตักน้ำปลาพริกใส่

00:35:1600:35:19 คือบางทีก็เค็มอยู่แล้ว ไปเจออีกเขาวางไว้บนโต๊ะ

00:35:1900:35:22 เราเผลอไง เพราะว่าเรากินมาตั้งแต่เด็ก

00:35:2200:35:26 เราใส่ก็เข้าไปก็เกินนะ พยายามอย่าเติมนะ พยายามอย่าปรุงเยอะ

00:35:2600:35:31 หรือว่าชิมก่อนปรุง รสชาติเค็มแล้วไม่ต้องเติมแล้ว

00:35:3100:35:33 หลายคนบางทีเป็น ยังไม่ทันชิมเลย

00:35:3300:35:37 จำได้ใส่พริกเท่านี้ ใส่น้ำส้มสายชูเท่านี้ ใส่น้ำปลาเท่านี้

00:35:3700:35:40 ใส่แบบออโต้หรืออัตโนมัติ

00:35:4000:35:44 พอกินอีกทีเค็มเกินนะครับ สงสารไต สงสารหัวใจ

00:35:4400:35:50 สงสารการไหลเวียน การขับน้ำร่างกาย ต้องระมัดระวังนะครับนะ

00:35:5000:35:56 นี่คือสิ่งสำคัญที่หมอบอกเรื่อง โซเดียมในวันนี้ขอนะครับ ขอทุกท่านเลยว่า

00:35:5600:36:00 ต้องช่วยร่วมมือกัน แล้วบอกคนที่เรารักด้วยนะครับ

00:36:0100:36:05 ครับ คราวนี้เนี่ยมาถึงช่วงสุดท้ายของรายการ ก็คือ

00:36:0600:36:09 หมอรวบรวมมานะว่าตัวอย่างส้มตำต่างๆ เนี่ย

00:36:0900:36:13 เป็นยังไงบ้างนะครับ และมีแคลอรีเท่าไหร่อะไรยังไง

00:36:1300:36:16 คงไม่ได้เล่าให้ได้ฟังครบหมดนะครับทุกส้มตำ

00:36:1600:36:20 แต่เอาสำคัญๆ เนี่ยมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

00:36:2000:36:24 เพิ่มเติมนะครับ มะเขือเทศเนี่ยมีสารไลโคปีนเยอะนะครับ

00:36:2400:36:26 สามารถช่วยบำรุงผิวพรรณนะครับ

00:36:2700:36:32 โดยเฉพาะท่านชายเนี่ยบำรุงต่อมลูกหมากได้ดีมาก เพราะมีสารชื่อว่าไลโคปีนนะครับ

00:36:3200:36:38 คราวนี้ครับ พอเราจะมาเข้าสู่ช่วง แคลอรีต่างๆ ของส้มตำต่างๆ

00:36:3800:36:41 ในช่วงสุดท้ายนะครับของรายการวันนี้นะครับ

00:36:4100:36:44 เราไปเริ่มต้นกันก่อนที่ฐานส้มตำ

00:36:4400:36:48 ฐานส้มตำคืออะไร คือนึกภาพว่าเราจะตำอะไรก็ตามแต่เนี่ย

00:36:4800:36:53 หมอรวบรวมมาให้เข้าใจง่ายเลยว่าฐานส้มตำคือมีดังนี้ก่อน

00:36:5400:36:57 มีมะละกอดิบ 1 ขีดนะครับ มีมะเขือเทศ 20 กรัม

00:36:5800:37:02 มีแครอท 10 กรัม มีถั่วฝักยาว 30 กรัม

00:37:0200:37:05 มีพริกขี้หนู 10 กรัมมีมะนาว 15 กรัม

00:37:0500:37:10 อันนี้เป็นฐานนะ ประมาณสัก 1 ถ้วยตวงใช่ไหม ก็จะแบบคิดภาพ

00:37:1000:37:13 มีมะละกอดิบ มีแครอทนิดๆ มีถั่วฝักยาวหน่อยๆ

00:37:1300:37:20 มีพริกขี้หนู มีมะเขือเทศ รวมหมดเนี่ยประมาณ 42 กิโลแคลอรี

00:37:2000:37:22 อันนี้คือฐานของตัวส้มตำ

00:37:2200:37:26 ถ้าเราจะเปลี่ยนเป็นข้าวโพดเป็นอะไรเดี๋ยวมีข้อมูลเพิ่มเติมนะ

00:37:2600:37:31 เพราะฉะนั้นตัวฐานส้มตำเนี่ยก็จะรวมอยู่กับอะไรอีกนะครับ

00:37:3100:37:37 ก็จะมีนะครับก็คือพื้นฐานนี่คือ เอาซักน้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะพอ

00:37:3700:37:44 ฐานเนี่ยตักน้ำตาลปี๊บหรือน้ำตาลมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ ก็ประมาณ 52 กิโลแคลอรีนะครับ

00:37:4400:37:49 ใส่น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะนี่โซเดียมเยอะมากนะ

00:37:4900:37:55 น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะโซเดียม 1,303 มิลลิกรัม ประมาณนี้

00:37:5500:38:01 บางยี่ห้อ 1,500 บางยี่ห้อ 1,200 หมอเฉลี่ยให้ประมาณ 1,300 นะ

00:38:0100:38:06 แสดงว่าฐานส้มตำเนี่ยคือเป็นมะละกอ มะเขือเทศ แครอท ถั่วฝักยาว

00:38:0600:38:11 พริกขี้หนู มะนาว น้ำตาล น้ำปลา รวมหมดเนี่ยเรียกว่าฐานนะครับ

00:38:1100:38:17 ในฐานเนี่ยมีแคลอรีหรือพลังงาน 94 กิโลแคลอรี ถือว่าต่ำมากนะ

00:38:1700:38:22 แล้วก็โซเดียม ใส่น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะเนี่ย 1,300 มิลลิกรัม

00:38:2300:38:25 อย่าใส่เยอะกว่านี้ อันนี้คือฐานนะ

00:38:2600:38:29 คราวนี้เราไปเข้าสู่ไฮไลท์กันเลยว่าเริ่มต้นนะครับ

00:38:2900:38:33 ตัวที่ 1 ก็ต้องเป็นส้มตำไทยใช่ไหม ฮิตสุดนะครับ

00:38:3400:38:39 ส้มตำไทยครับ โดยเฉลี่ย 1 จานเนี่ย จะแบ่งออกเป็นตัวฐานใช่ไหม

00:38:3900:38:46 เนื้อมะละกอ 1 ขีด ใส่ผักใส่อะไรเข้าไปเนี่ย ประมาณ 94 กิโลแคลอรีนะครับ

00:38:4600:38:48 มีแคลอรีเพิ่มเติมมาจากถั่วลิสง

00:38:4900:38:57 เราใส่ถั่วลิสงลงไป 2 ช้อนโต๊ะ 20 กรัมนะครับ เท่ากับ 120 กิโลแคลอรีนะครับ

00:38:5700:39:03 หยิบกุ้งแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ ปึ้งๆ ใส่ลงไปอีก 31 กิโลแคลอรีนะครับ

00:39:0300:39:08 และก็โซเดียมนะครับ 1 ช้อนโต๊ะของกุ้งแห้ง 300 กว่ามิลลิกรัม

00:39:0800:39:14 วันนี้ใส่ไป 2 ช้อนโต๊ะได้โซเดียมไป 632 มิลลิกรัม นะครับ

00:39:1400:39:17 ใส่น้ำตาลปี๊บเพิ่มใช่ไหม ตำไทยจะติดหวานหน่อยนะ

00:39:1700:39:19 ถ้าใครฝึกลิ้นก็พยายามอย่าหวานเยอะนะครับ

00:39:1900:39:22 เพราะในฐานเมื่อกี๊ใส่ไปแล้ว 1 ช้อนโต๊ะ

00:39:2200:39:25 อันนี้ถ้าเติมไปอีก 1.5 ช้อนโต๊ะให้มันเป็นรสชาติตำไทย

00:39:2500:39:27 อันนี้ทีมงานหมอทดลองมาแล้ว

00:39:2700:39:30 ว่าตำไทยที่ซื้อกันเองจะใส่ประมาณเท่านี้นะครับ

00:39:3000:39:37 ก็คือ 2.5 ช้อนโต๊ะ เพราะเมื่อกี๊ ในฐานมีแล้ว 1 ช้อนโต๊ะใช่ไหมจากน้ำตาล

00:39:3700:39:42 คราวนี้เติมอีก 1.5 ช้อนโต๊ะ ก็เพิ่มไปอีก 75 กิโลแคลอรีนะครับ

00:39:4200:39:47 เพราะฉะนั้นครับรวมตำไทยนะ 1 จาน 1 จานนะ

00:39:4700:39:50 ตำไทยใส่ถั่วลิสง ใส่กุ้งแห้งนะครับ

00:39:5000:39:55 มีแคลอรี 323 กิโลแคลอรี ก็โอเคนะครับ

00:39:5600:39:59 ถ้าเทียบว่าวันหนึ่งเราจะกินไม่เกิน 2,000 กิโลแคลอรี

00:39:5900:40:01 ถ้าคนลดน้ำหนักกินสัก 1,500 นะ

00:40:0100:40:06 ถ้ามื้อนี้ส้มตำสัก 300 กว่า ถ้าเราใช้ข้าวเหนียวเป็นแบบข้าวเหนียวดำนะ

00:40:0600:40:08 หรือข้าวเหนียวไรซ์เบอรี่นะครับ

00:40:0800:40:12 เดี๋ยวกินกับขนมจีนอย่างนี้ เราก็อาจจะไม่ถึง 500 กิโลแคลอรีนะ

00:40:1200:40:15 ก็ยังถือว่าเป็นอาหารสุขภาพนะครับ อันนี้คือส้มตำไทย

00:40:1700:40:25 คะแนนรวม 323 กิโลแคลอรี โซเดียม 1,970 โซเดียมเกินนะครับ

00:40:2500:40:27 เพราะว่าเกลือวันนึงกินไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม

00:40:2700:40:30 เจอส้มตำไทยก็ไปเนี่ย โซเดียมล่อไป 1,900 แล้ว

00:40:3000:40:36 อย่างนี้เราอาจจะต้องลดน้ำปลาลงหน่อย หรือใส่กุ้งแห้งแค่ 1 ช้อนโต๊ะก็พอนะครับ

00:40:3600:40:39 ไปต่อครับ ส้มตำไทย + หมูยอ

00:40:3900:40:43 บางท่านแบบวันนี้เราจะลดน้ำหนัก หมอแอมป์บอกให้กินส้มตำ

00:40:4300:40:48 ก็เลยสั่งส้มตำหมูยอแล้วไม่ค่อยผอมนะครับ ไปดูเนื้อหากัน

00:40:4800:40:56 ไขมันครับ ถ้าเราใส่หมูยอเพิ่มเนี่ย ประมาณ 1.5 ถ้วยตวงก็ประมาณ 260 กรัม

00:40:5600:41:04 ประมาณ 1.5 ถ้วยตวงใส่หมูยอลงไป 260 กรัม แคลอรีจะเพิ่มมาอีก 383 กิโลแคลอรี นะครับ

00:41:0400:41:11 ไขมันเพิ่มขึ้นมาอีก 32 กรัม โซเดียมเพิ่มขึ้นมาอีก 989 มิลลิกรัม

00:41:1100:41:15 และถ้ามีการเติมน้ำปลาร้าด้วยนี่โซเดียมยิ่งเกินนะ

00:41:1500:41:18 อันนี้หมอคำนวณแบบไม่ใส่น้ำปลาร้าแล้วกันนะ

00:41:1900:41:25 ถ้าเติมหมูยอเข้าไปในจานนี้ก็จะไหลเป็น 565 กิโลแคลอรี เยอะนะครับ

00:41:2500:41:30 จานนึงสัก 200-300 กิโลแคลอรี เนี่ยหมอว่าดี กำลังลดน้ำหนักสุขภาพดีได้วิตามิน

00:41:3100:41:33 พอ 500 กว่าหมอว่าเยอะไปนะครับ

00:41:3300:41:38 แต่โซเดียมนี่สิครับ ถ้าใส่เข้าไปด้วยเนี่ยขึ้นแน่ เพราะเมื่อกี้ก็เกือบ 2,000 แล้ว

00:41:3800:41:44 ถ้าบวกอีกประมาณ 1,000 โซเดียมของ ส้มตำไทยหมูยอก็กลายเป็น 3,000 มิลลิกรัม

00:41:4400:41:45 เกินต่อวันนะครับ

00:41:4500:41:48 อย่างนี้ก็แนะนำให้กินแยกกันดีกว่านะ

00:41:4800:41:52 หรือว่าหมูยอก็กินน้อยๆ เพราะเป็นอาหารแปรรูปนานๆ ทีนะครับ

00:41:5200:41:55 หมอเองเมื่อก่อนก็ชอบทาน แต่ว่าหลังๆ ก็อาจจะสักเดือนละครั้ง

00:41:5600:41:59 เพราะว่าเป็นอาหารแปรรูปด้วย ทานเยอะก็เสี่ยงเป็นมะเร็ง

00:41:5900:42:04 ไปต่อ ตัวที่ 3 ครับ ส้มตำข้าวโพดไข่เค็ม ใครชอบบ้าง

00:42:0400:42:06 ส้มตำข้าวโพดไข่เค็มครับ

00:42:0600:42:12 ตัวนี้ครับ ตัวฐานมะละกอเนี่ยก็ 94 กิโลแคลอรีอย่างที่บอกไป

00:42:1200:42:14 เราบวกข้าวโพด 1 ฝักกลางแล้วกันนะ

00:42:1400:42:23 ข้าวโพด 1 ฝักกลางแคลอรีเพิ่มมาอีก 154 กิโลแคลอรี ได้แป้งมาอีก 31 กรัมนะครับ

00:42:2300:42:28 บวกไข่เค็ม 1 ฟองนะ ได้มาอีก 74 กิโลแคลอรี

00:42:2800:42:33 โซเดียมไข่เค็ม 1 ฟองก็คือ 198 มิลลิกรัม

00:42:3300:42:38 ต้องใส่ถั่วลิสงใช่ไหม ถั่วลิสง 2 ช้อนโต๊ะ 120 กิโลแคลอรี

00:42:3800:42:44 กุ้งแห้งอีก 2 ช้อนโต๊ะ 31 กิโลแคลอรี กับโซเดียม 632 มิลลิกรัม

00:42:4400:42:52 รวมส้มตำข้าวโพดไข่เค็มอยู่ที่ 473 กิโลแคลอรี ก็ยังน้อยกว่าหมูยอนะครับ

00:42:5200:42:58 โซเดียมครับประมาณ 2,171 นะครับ ก็เกินไปนิดหน่อย

00:42:5800:43:01 หมอก็แนะนำให้ใส่น้ำตาลน้อยลงหน่อยนะครับ

00:43:0100:43:05 แคลอรีก็จะดี น้ำปลาก็จะไม่เกินอย่างนี้เป็นต้น

00:43:0500:43:09 อันนี้ก็คือเป็นส้มตำข้าวโพดไข่เค็มนะ

00:43:0900:43:12 ไปกันต่อนะครับ อันนี้ก็เป็นที่หลายๆ คนชอบนะครับ

00:43:1200:43:15 อันนี้ทีมงานหมอรวบรวมมานะจากพนักงานต่างๆ

00:43:1500:43:18 เขาสั่งอะไรกันบ้างเวลาเขากินส้มตำนะครับ

00:43:1800:43:22 ตัวที่ 4 ครับ ส้มตำปูม้า

00:43:2200:43:26 แคลอรีจากปูม้าดองเนี่ย ปูม้าเขาต้องไปดองก่อนนะ

00:43:2600:43:29 โดยน้ำตาลในการดองปูม้าเนี่ย ประมาณซัก 2 ช้อนโต๊ะนะ ประมาณ 28-30 กรัมนะ

00:43:3200:43:36 แต่มักจะไม่ใส่ถั่วลิสงเนอะใช่ไหม ส้มตำปูม้าก็จะเป็นมะละกอ แล้วก็เป็นปูม้า

00:43:3600:43:40 ไม่มีถั่วลิสง ไม่มีกุ้งแห้งนะครับ

00:43:4000:43:42 ทำให้โซเดียมลดลงเพราะไม่มีกุ้งแห้ง

00:43:4300:43:45 แล้วก็ไขมัน แคลอรีอาจจะน้อยลง

00:43:4500:43:48 แต่จริงๆ ถั่วลิสงก็เป็นไขมันดีซะเยอะนะครับ

00:43:4800:43:51 แล้วก็ได้โปรตีนเพิ่มเติมมาจากปูม้านะครับ

00:43:5100:43:55 ตัวฐานส้มตำมะละกอนะครับประมาณ 94 กิโลแคลอรีนะ

00:43:5500:43:59 โซเดียมน้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะประมาณ 1,300 มิลลิกรัม

00:43:5900:44:03 ปูม้าดอง 1 ขีด ประมาณ 160 กิโลแคลอรี นะครับ

00:44:0300:44:08 แต่โซเดียมเยอะใช่ไหม ขึ้นมาอีก 763 มิลลิกรัม ต่อ 1 ขีด

00:44:0800:44:14 รวมแล้วส้มตำปูม้าแคลอรีน้อยนะ 254 กิโลแคลอรี

00:44:1400:44:19 แต่โซเดียมอาจจะเกินนิดนึง ประมาณ 2,086 มิลลิกรัม ก็ถือว่าใช้ได้นะครับ

00:44:2000:44:23 ไปต่อครับ ส้มตำปูปลาร้า

00:44:2300:44:27 ส้มตำปูปลาร้าครับ ใช้ปูเค็มเนี่ยเป็นปูดอง

00:44:2700:44:31 ส่วนผสมนี้ก็คือ น้ำปลา แล้วก็เกลือ แล้วน้ำตาลนะครับ

00:44:3100:44:35 ตัวฐานส้มตำมะละกอมีประมาณ 94 กิโลแคลอรี

00:44:3500:44:40 โซเดียมจากน้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะประมาณ 1,323 มิลลิกรัม

00:44:4000:44:46 ปูเค็ม 0.5 ถ้วยตวงก็คือประมาณ 125 กรัม ก็คือครึ่งถ้วยตวงเนี่ย

00:44:4600:44:53 ก็จะบวกเพิ่มไป 100 กิโลแคลอรี นะครับ แล้วก็ได้โซเดียมอีก 298 มิลลิกรัม

00:44:5300:44:58 น้ำปลาร้าเนี่ยเป็นของที่ดีแต่โซเดียมเยอะนะครับ

00:44:5800:45:03 ถ้าใครเป็นผู้ประกอบการ ทำน้ำปลาร้าแบบโซเดียมต่ำ

00:45:0300:45:06 หรือทำน้ำปลาแบบ low sodium เดี๋ยวนี้หมอเห็นแล้ว

00:45:0600:45:10 มีน้ำปลาแบบเกลือน้อย โซเดียมน้อยเนี่ย ก็จะช่วยประชาชนได้เยอะ

00:45:1000:45:14 น้ำปลาร้าครับไปดูกัน ถ้าน้ำปลาร้า 1 ช้อนโต๊ะ

00:45:1400:45:19 จะมีโซเดียมหรือเกลือเนี่ย 623 มิลลิกรัม นี่ 1 ช้อนโต๊ะ

00:45:2000:45:22 แต่ปกติเท่าที่ไปสืบมาเนี่ย

00:45:2200:45:27 ส้มตำปูปลาร้าเนี่ยจะใส่ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะหรือ 3 ช้อนโต๊ะนะ

00:45:2700:45:32 ถ้าใส่ไป 2 ช้อนโต๊ะ ตัวโซเดียมก็ขึ้นมาเป็น 1,200 มิลลิกรัม

00:45:3200:45:35 ถ้าใส่ไป 3 ช้อนโต๊ะเพิ่มเป็น 1,800 มิลลิกรัม

00:45:3500:45:39 โอ้โห ถ้าโดนน้ำปลาร้า 3 ช้อนโต๊ะนี่เกินโควต้าไปไกล

00:45:3900:45:43 เพราะฉะนั้นส้มตำปูปลาร้าครับ โดยรวมเนี่ยมีแคลอรีน้อยนะ

00:45:4300:45:47 ประมาณ 203 กิโลแคลอรีต่อ 1 จานเท่านั้นเองนะครับ

00:45:4800:45:52 แต่ถ้าใส่โซเดียมเยอะเนี่ย เช่น ใส่น้ำปลาร้า 2-3 ช้อนโต๊ะเนี่ย

00:45:5200:45:56 โซเดียมอาจจะขึ้นไปถึง 3,000-4,000 มิลลิกรัม

00:45:5600:45:59 อันนี้ขึ้นอยู่กับปลาร้า เพราะว่าปูเค็มก็เค็มแล้วนะครับ

00:45:5900:46:01 น้ำปลาร้าก็ใส่น้อยหน่อยนะ

00:46:0100:46:06 หรือว่าถ้าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน เวลาหมักก็อาจจะต้องใส่ให้น้อยหน่อยนะครับ

00:46:0600:46:08 ก็คือให้โซเดียมน้อยลงหรือเราใส่น้อยลง

00:46:0800:46:13 ตัวต่อไปนะครับ ส้มตำมังสวิรัติ เอ๊ะ เป็นยังไง

00:46:1300:46:17 ส้มตำมังสวิรัติก็คือไม่ใส่กุ้งแห้งอะไรแบบนี้นะครับ

00:46:1700:46:21 ส้มตำฐานะครับ มะละกอ + แครอท + มะเขือเทศ บวกที่หมอบอกเนี่ย

00:46:2200:46:27 1.5 ถ้วยตวงนะครับ ก็ประมาณ 42 กิโลแคลอรีนะครับ

00:46:2700:46:35 มีแป้งอยู่ 3 กรัม มีโปรตีนอยู่ 4 กรัม มีโซเดียมอยู่ 13 มิลลิกรัม นะครับ

00:46:3500:46:40 เติมน้ำตาลปี๊บเพื่อไป 1.5 ช้อนโต๊ะนะ ก็ประมาณ 52 กิโลแคลอรี

00:46:4000:46:45 ใส่น้ำปลาไปก็ประมาณ 1,300 มิลลิกรัมของโซเดีย

00:46:4500:46:50 ถั่วลิสงอีกประมาณสัก 2 ช้อนโต๊ะ ก็ประมาณ 120 กิโลแคลอรี

00:46:5000:46:52 ก็ถือว่าเป็นอาหารสุขภาพนะครับ

00:46:5200:46:59 1 จานของส้มตำมังสวิรัติเนี่ย ก็จะมีแคลอรีประมาณ 214 กิโลแคลอรีนะครับ

00:46:5900:47:03 แต่ถ้าไม่ใส่ถั่วลิสงนะครับ แคลอรีก็จะลดลงมาเหลือแค่

00:47:0300:47:06 94 กิโลแคลอรีต่อจานเท่านั้นเองนะครับ

00:47:0600:47:09 ไปต่อครับ ตําซั่วปลาร้านะครับ

00:47:0900:47:15 ตําซั่วปลาร้าก็จะได้แหล่งคาร์โบไฮเดรต หรือแป้งนะจากขนมจีน

00:47:1500:47:20 ขนมจีนจริงๆ มีแคลอรีต่ำ อันนี้ให้หนึ่งจับใหญ่เลยนะ

00:47:2000:47:25 1 จับใหญ่เนี่ย ประมาณ 1 ขีด มีแคลอรีประมาณ 105 กิโลแคลอรี

00:47:2500:47:28 มีคาร์โบไฮเดรต ประมาณ 24 กรัม

00:47:2800:47:33 ส้มตำที่เป็นฐานนะครับ ตัวเนื้อมะละกอเนี่ย ประมาณ 94 กิโลแคลอรี

00:47:3300:47:36 ถ้าใครใส่น้ำปลาร้าลงไปใช่ไหม เอา 1 ช้อนโต๊ะพอ

00:47:3600:47:39 หมอแอมป์แนะนำไม่งั้นโซเดียมเยอะเกินนะครับ

00:47:3900:47:43 น้ำปลาร้า 1 ช้อนโต๊ะ ก็ได้โซเดียม 623 มิลลิกรัม

00:47:4300:47:51 ฉะนั้นนะครับตำซั่วปลาร้าก็ คือใส่ขนมจีนใช่ไหม มีแคลอรี 208 กิโลแคลอรี

00:47:5100:47:54 ก็ถือว่าไม่เยอะเลยนะ กินลดน้ำหนักได้นะครับ

00:47:5400:47:58 แล้วก็โซเดียมเนี่ย 2600 มิลลิกรัม

00:47:5800:48:00 คือถ้าเรากินส้มตำมีน้ำปลาอยู่แล้วเนี่ย

00:48:0000:48:03 พอไปเจอน้ำปลาร้าด้วยเนี่ย โซเดียมมักจะเกิน

00:48:0300:48:05 หรืออาจจะแนะนำให้ใส่อย่างใดอย่างหนึ่ง

00:48:0500:48:10 ถ้ามีน้ำปลาร้าแล้วก็ไม่ต้องใส่น้ำปลา หรือถ้ามีน้ำปลาร้า น้ำปลาต้องน้อยหน่อยนะครับ

00:48:1000:48:15 แล้วก็ตัวสุดท้ายนะครับ ที่เอามาฝากกันวันนี้ ก็คือตำถั่วฝักยาวนะ

00:48:1500:48:20 ตำถั่วฝักยาวเนี่ย เราไปเริ่มนับจากถั่วฝักยาว 1 ขีดนะครับ

00:48:2000:48:22 + มะเขือเทศ + แครอท + พริกขี้หนู

00:48:2200:48:26 ก็จะมีแคลอรีประมาณ 48 กิโลแคลอรีนะครับ

00:48:2600:48:32 น้ำตาลปี๊บ 1.5 ช้อนโต๊ะ ก็มีแคลอรีมาอีก 78 กิโลแคลอรี

00:48:3200:48:35 น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะได้โซเดียม 1,300 มิลลิกรัม

00:48:3500:48:39 กุ้งแห้ง 1 ช้อนโต๊ะไดโซเดียมอีก 300 มิลลิกรัม

00:48:3900:48:42 น้ำปลาร้า 1 ช้อนโต๊ะ ได้โซเดียมอีก 600 กว่ามิลลิกรัม

00:48:4300:48:51 แสดงว่าตำถั่วฝักยาวเนี่ยแคลอรีต่ำ แคลอรีรวมเนี่ยแค่ 139 กิโลแคลอรี

00:48:5100:48:53 ถือว่ากินลดน้ำหนักได้เลย

00:48:5300:48:59 แต่ถ้าใครใส่น้ำปลาร้าเยอะนะครับ หรือใส่น้ำปลาเยอะ โซเดียมก็จะเกินนะครับ

00:48:5900:49:01 ถ้าตามสูตรที่หมอบอกมา คือ

00:49:0100:49:05 น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ กุ้งแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำปลาร้า 1 ช้อนโต๊ะ

00:49:0500:49:11 โซเดียมก็จะเท่ากับ 2,239 มิลลิกรัม ซึ่งก็เกินเกณฑ์ต่อวันนะครับ

00:49:1100:49:16 นั่นแหละครับ วันนี้นะครับถือว่าเป็นข้อมูลสนุกๆ

00:49:1600:49:24 ที่หมอกับทีมงานอยากจะนำของใกล้ตัวเรา มาใส่ความรู้ทางด้านสุขภาพ

00:49:2400:49:28 ไม่อยากจะให้เรื่องการแพทย์เนี่ยเป็นเรื่องที่น่าเบื่

00:49:2800:49:32 อ หรือว่าเปิดมาแล้วแบบ แหม ไปฟังอย่างอื่นดีกว่านะคุณหมอแอมป์มาอีกแล้ว

00:49:3200:49:37 หมอเลยอยากจะให้ความรู้แล้วก็ความบันเทิงเนี่ยไปด้วยกันนะครับ

00:49:3700:49:43 เพื่อร่วมสร้างสังคมสุขภาพดีไปด้วยกัน อย่างที่หมอพูดมาในทุกตอนนะครับ

00:49:4300:49:50 วันนี้ก็เลยหยิบจับอาหารที่อยู่ใกล้ตัวเนี่ย มาใส่ประโยชน์นะครับ มาใส่ความรู้นะครับ

00:49:5000:49:52 วันนี้เราก็เลยได้ความรู้กันเยอะนะครับว่า

00:49:5200:49:57 ส้มตำเนี่ยนะมีหลายๆ อย่างที่ดี บำรุงสุขภาพนะครับ

00:49:5700:50:01 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นครับ ในของดีเนี่ยก็จะมีของเสีย

00:50:0100:50:07 ขึ้นอยู่กับว่าเราเนี่ย Balance หรือสมดุลความเหมาะสมอย่างไรนะ

00:50:0700:50:11 ถ้าเราจะทานส้มตำแล้วมีประโยชน์มากมาย

00:50:1100:50:16 เบาเค็มลงหน่อย เบาน้ำปลาลงหน่อย เบาน้ำปลาร้าลงหน่อย

00:50:1600:50:20 ดูแลถั่วลิสงด้วยให้สดสะอาดปลอดภัยนะครับ

00:50:2000:50:25 เท่านี้แหละครับ ก็คือที่มาหรือเคล็ดลับนะครับ

00:50:2500:50:28 ในการที่เราจะดูแลสุขภาพเราได้นะครับ

00:50:2800:50:31 วันนี้ครับพอสมควรแก่เวลานะครับ

00:50:3100:50:39 หมอมีความดีใจเป็นอย่างมากที่ได้ กลับมาเล่าให้มิตรรักแฟนคลับทุกท่านเนี่ยฟังอีกครั้งหนึ่งนะครับ

00:50:3900:50:43 คาดว่าจะได้เจอกันอีกในไม่ช้านะครับ

00:50:4300:50:45 วันนี้นะครับก็ขอลาไปก่อน

00:50:4500:50:50 ขอให้ทุกท่านนะครับสุขภาพดี ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บนะครับ

00:50:5100:50:54 กินเพื่ออยู่นะครับ กินให้เป็นยา

00:50:5400:50:58 เราจะได้ไม่ต้องมาป่วยแล้วทานยาแทนอาหารนะครับ

00:50:5800:51:00 จงกินอาหารให้เป็นยากันนะครับ

00:51:0000:51:03 ร่วมสร้างสังคมสุขภาพดีไปด้วยกันนะครับ

00:51:0300:51:05 ขอบคุณมากครับ สวัสดีครับ