00:00:00 → 00:00:01 น้ำอัดลมอ่ะมันจะไม่ใช่หวานอย่างเดียวนะ
00:00:01 → 00:00:04 มันจะมีเปรี้ยวนิดๆมันมาจากกรดตัวนึงครับ
00:00:05 → 00:00:06 ในเฉพาะน้ำสีดำด้วย
00:00:06 → 00:00:09 ถ้าน้ำสีดำยี่ห้อนึงใส่กรดที่ชื่อว่า
00:00:09 → 00:00:12 ฟอสฟอิถ้าดูตามฉลากมันคือ INS 338 แต่
00:00:12 → 00:00:15 อีกยี่ห้อนึงจะใส่กรดมานาหรือกรดิริก INS
00:00:15 → 00:00:18 330 คือเขาจะไม่เขียนชื่อ
00:00:18 → 00:00:18 ออ
00:00:18 → 00:00:20 ให้เห็นน่ะเขาจะใส่เป็นรหัสไว้ก็ต้อง
00:00:20 → 00:00:23 ไอ้กดกดฟอสฟิมันมันคืออะไรฮะ
00:00:23 → 00:00:26 ไอ้ตัวนี้แหละคือตัวประเด็นที่เขา้าเป็น
00:00:26 → 00:00:28 ข้อถกเถียงกันอยู่ว่ามันทำให้เกิดโรค
00:00:28 → 00:00:30 กระดูกพุนหรือเปล่า
00:00:30 → 00:00:32 เราก็รู้กันว่าน้ำอารมณ์โดยเฉพาะโคล่า
00:00:32 → 00:00:34 เนี่ยเป็นสิ่งที่กินเยอะเกินไปแล้วมันก็
00:00:34 → 00:00:36 ไม่ดีกับร่างกายเราครับแต่มันก็หยุดไม่
00:00:36 → 00:00:39 ได้ EP นี้เราเลยชวนเชฟทักเจ้าของเพจทัก
00:00:39 → 00:00:41 The SHฟมาคุยกันว่าสิ่งที่เขาบอกว่าไม่
00:00:41 → 00:00:44 ดีในน้ำอัดลมกับโคล่าเนี่ยมันคืออะไรบ้าง
00:00:44 → 00:00:46 แล้วมันไม่ดียังไงและถ้าเกิดเราอยากจะ
00:00:46 → 00:00:48 ดื่มต้องดื่มแค่ไหนถึงก็เรียกว่าพอดีตอน
00:00:48 → 00:00:51 ท้ายของรายการเรามีแถมสูตรทำโคล่าดื่มเอง
00:00:51 → 00:00:53 จากเชฟทักด้วยนะครับทั้งหมดนี้ติดตามชม
00:00:53 → 00:00:59 ได้ใน East Direction EP นี้ครับ
00:00:59 → 00:01:02 Eat Direction คุยกับคนในวงการอาหารว่า
00:01:02 → 00:01:09 เราควรกินอะไรถึงจะดี
00:01:09 → 00:01:12 ผมชวนเชฟทักมาคุยเนี่ยเพราะว่าเห็นช่วง
00:01:12 → 00:01:14 นี้กำลังทำคฟโคล่าอยู่
00:01:14 → 00:01:17 ใช่ครับกำลังแกะสูตรคฟโคล่า
00:01:17 → 00:01:19 คือจริงๆแล้วเนี่ยก็เลยสนใจเรื่องเแหละ
00:01:19 → 00:01:21 เพราะว่าอยากคุยเรื่องน้ำอัดลมเนาะรู้สึก
00:01:21 → 00:01:25 ว่าคนก็จะพูดน้ำอารมณ์ในแง่ไม่ค่อยเยอะ
00:01:25 → 00:01:28 มากเช่นแบบเป็นอันตรายกินเยอะๆก็ไม่ดี
00:01:28 → 00:01:31 อะไรอย่างเงี้ยฮะจริงๆแล้วมันมันอันตราย
00:01:31 → 00:01:32 แค่ไหนแล้วมันอันตรายจริงหรือเปล่าเช
00:01:32 → 00:01:34 ความจริงทุกอย่างในโลกนี้แม้กระทั่งน้ำ
00:01:34 → 00:01:36 เปล่าเองอ่ะครับถ้า
00:01:36 → 00:01:38 ได้รับปริมาณน้อยไปหรือมากไปอันตรายทั้ง
00:01:38 → 00:01:40 หมดมันก็จะมีเรangeที่พอดีอยู่
00:01:40 → 00:01:42 ครับเพราะงั้นตัวน้ำอัดลมไม่ว่าจะเป็นน้ำ
00:01:42 → 00:01:44 ดำน้ำสีเขียวน้ำสีแดงอะไรพวกเยครับถ้ากิน
00:01:44 → 00:01:47 อยู่ในปริมาณที่พอดีมันไม่เป็นไรไม่กิน
00:01:47 → 00:01:49 เลยก็ยิ่งดีอันนี้แน่นอนอยู่ละ
00:01:49 → 00:01:51 อแล้วมันมีอันตรายอะไรอีกบ้างครับอยู่ใน
00:01:51 → 00:01:51 น้ำอัดลม
00:01:51 → 00:01:53 การที่จะรู้ว่ามันอันตรายหรือไม่ดีหรือดี
00:01:53 → 00:01:55 ต่อสุขภาพยังไงต้องมาแกะแกะส่วนผสม
00:01:55 → 00:01:56 อื
00:01:56 → 00:01:57 นะครับน้ำอัดลม
00:01:57 → 00:01:59 องค์ประกอบหลักคือน้ำน้ำเปล่าถูกมั้ครับ
00:01:59 → 00:02:01 ในการผลิตน้ำเปล่าก็ไม่มีอะไรอยู่ละอีก
00:02:01 → 00:02:03 อย่างนึงคือแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
00:02:03 → 00:02:04 อือ
00:02:04 → 00:02:06 คือพอแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มันมาเจอกับน้ำ
00:02:06 → 00:02:07 มันจะกลายเป็นกดคาร์บอนิคทำให้เกิดความ
00:02:07 → 00:02:10 ซ่าหลายคนเข้าใจผิดคิดว่ากินน้ำอัดลมแล้ว
00:02:10 → 00:02:13 กระดูกพรุนหรือว่าอะไรหลายคนคิดว่าตัวนี้
00:02:13 → 00:02:14 แต่ความจริงไม่ใช่
00:02:14 → 00:02:15 หมายถึงตัวคาร์บอนิค
00:02:15 → 00:02:17 กดคาร์บอนิคไม่ได้เป็นอะไรครับ
00:02:17 → 00:02:18 คือถ้าเอามาแยกองค์ประกอบมันคือ
00:02:18 → 00:02:20 คาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำคาร์บอนไดออกไซด์
00:02:20 → 00:02:21 ก็คือลมหายใจออกด้วยซ้ำอ่ะ
00:02:21 → 00:02:23 อ๋อมันก็อยู่ในร่างกายเราอยู่แล้วสิ่ง
00:02:23 → 00:02:23 นั้นอยู่แล้ว
00:02:23 → 00:02:25 ใช่เพราะฉะนั้นกดคาร์บคาร์บอนิคไม่ใช่
00:02:25 → 00:02:26 เป็นตัวอันตราย
00:02:26 → 00:02:28 ที่พูดมาเนี่ยมันคือองค์ประกอบของน้ำ
00:02:28 → 00:02:29 อารมณ์ทุกชนิดเลยป่ะครับ
00:02:29 → 00:02:32 ทุกชนิดที่รู้สึกซ่าแม้กระทั่งโซดาเอง
00:02:32 → 00:02:34 เนี่ยโซดาที่มันซ่าได้องค์ประกอบของโซดา
00:02:34 → 00:02:37 คือน้ำกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่เขาอัด
00:02:37 → 00:02:39 ในสภาวะความดันสูง
00:02:39 → 00:02:39 อ
00:02:39 → 00:02:40 จนมันกลายเป็นกรดคาร์บอนิค
00:02:40 → 00:02:43 มันเกิดขึ้นเพราะอะไรเชฟทำไมมันคนถึงต้อง
00:02:43 → 00:02:45 แบบสร้างไอ้สิ่งนี้ขึ้นมาในโลก
00:02:45 → 00:02:46 มันรู้สึกสดชื่น
00:02:46 → 00:02:47 ออมันกินเพื่อความเข้าสดชื่นเนาะ
00:02:47 → 00:02:49 ใช่ปัจจุบันนี้ผมก็ติดโซดา
00:02:49 → 00:02:49 อื
00:02:49 → 00:02:52 เมื่อก่อนผมก็ชอบน้ำสีดำนี่แหละครับแต่พอ
00:02:52 → 00:02:54 รู้ว่ามันไม่ดียังไงซึ่งเดี๋ยวเราจะคุย
00:02:54 → 00:02:57 กันต่อไปใช่มแล้วก็กลับมากินน้ำโซดาแทน
00:02:57 → 00:02:58 เพราะอย่างน้อยโซดามันสดชื่นสมมุติเราไป
00:02:58 → 00:03:00 กินส้มตำไก่ย่างหรือกินสเต็กที่มันค่อน
00:03:00 → 00:03:03 ข้างเลี่ยนอย่างเงี้ยน้ำโซดามันช่วย
00:03:03 → 00:03:07 ล้างความความคาวของไขมันได้ดีกว่าน้ำปลัก
00:03:07 → 00:03:10 เลนเออจริงเพราะว่าถามๆหลายคนแล้วแบบว่า
00:03:10 → 00:03:12 ตอนไหนที่จะอยากกินน้ำอารมณ์ขึ้นมาบ้าง
00:03:13 → 00:03:13 บอกส้มตำ
00:03:14 → 00:03:14 ส้มตำไก่ย่างพิซซ่า
00:03:14 → 00:03:17 ส้มตำไก่ย่างเออพิซซ่าส้มตำไก่ย่างมันจะ
00:03:17 → 00:03:19 ต้องมีสิ่งเนี้ยมาคู่เบอกว่ามันการตลาด
00:03:19 → 00:03:21 ป่าวะก็คือแบบเหมือนเขาสร้างภาพมาตลอด
00:03:21 → 00:03:24 หลายๆหลายๆแบรนด์เนาะว่าต้องกินคู่กับส้ม
00:03:24 → 00:03:27 ตำอะไรเงี้ยโอเคมันก็เป็นอย่างงั้นแล้ว
00:03:27 → 00:03:29 แบบบางคนก็กินเพื่อให้มันระบายลมอ่ะผมก็
00:03:30 → 00:03:31 ไม่รู้เหมือนกันจริงหรือเปล่า
00:03:31 → 00:03:33 ความจริงลมที่มันระบายออกมาก็คือตัว
00:03:33 → 00:03:35 คาร์บอนิที่มันปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออก
00:03:35 → 00:03:36 มาเท่านั้นเอง
00:03:36 → 00:03:37 กินตอนแรกความจริงมันจะรู้สึกอืดท้องแต่
00:03:37 → 00:03:38 คนไม่ค่อยรู้สึก
00:03:38 → 00:03:39 อือ
00:03:39 → 00:03:40 แต่มันจะรู้สึกฟินตอนที่มัน
00:03:41 → 00:03:47 เรอออกมาแค่นั้นเองอือๆ
00:03:47 → 00:03:49 แต่ว่าจริงๆแล้วอ่ะถ้าเกิดเรากินโซดา
00:03:49 → 00:03:52 เนี่ยมันก็ทำสร้างความสดชื่นได้เหมือนกัน
00:03:52 → 00:03:54 ก็ได้เหมือนได้เหมือนกันแต่แค่จะไม่มี
00:03:54 → 00:03:54 ความหวาน
00:03:54 → 00:03:57 ไม่มีความหวานแล้วก็ไม่มีคาเฟอีนซึ่งเป็น
00:03:57 → 00:03:59 อีกองค์ประกอบนึงที่ทำให้คนคนส่วนใหญ่
00:03:59 → 00:04:00 ทั้งโลกอ่ะติด
00:04:00 → 00:04:01 น้ำอัดลมสีดำ
00:04:01 → 00:04:02 อครับ
00:04:02 → 00:04:04 ต้องสีดำด้วยเหรอครับ
00:04:04 → 00:04:05 สีอื่นไม่ใส่คาเฟอีน
00:04:05 → 00:04:06 อ๋อ
00:04:06 → 00:04:07 ครับเฉพาะสีดำ
00:04:07 → 00:04:08 โอเค
00:04:08 → 00:04:11 อืแต่มันอาจจะมียี่ห้ออื่นที่สีอื่น
00:04:11 → 00:04:14 มีคาเฟอีนแต่น้อยส่วนใหญ่อ่ะหรือแบบ 99%
00:04:14 → 00:04:17 สีอื่นสีเขียวสีแดงสีส้มแม้กระทั่งสี
00:04:17 → 00:04:20 น้ำเงินเขาจะไม่นิยมเติมคาเฟอีนหลายคนถาม
00:04:20 → 00:04:21 ว่าเฮ้ยทำไม
00:04:21 → 00:04:25 ติดชาร์ไทยติดน้ำอารมณ์สีดำติดเครื่อง
00:04:25 → 00:04:29 ดื่มชูกำลัง 2 องค์ประกอบที่ทำให้คนหรือ
00:04:29 → 00:04:31 มนุษย์อ่ะติดคือน้ำตาลและแคฟอีนเมื่ออยู่
00:04:31 → 00:04:34 ร่วมกันมันจะเกิดการเสพติดมากกว่าน้ำตาล
00:04:34 → 00:04:40 เดี่ยวๆหรือคาเฟอีนเดี่ยวๆ
00:04:40 → 00:04:41 การทำงานของน้ำตาลเนี่ยมันทำงานยังไงกับ
00:04:41 → 00:04:42 ร่างกายเรานะฮะ
00:04:42 → 00:04:45 ถ้าคนที่ปกติใช่มั้ครับน้ำตาลอยู่ในเลือด
00:04:45 → 00:04:48 พอน้ำตาลในเลือดสูงปึ๊บอินซูลินจะดึงน้ำ
00:04:49 → 00:04:51 ตาลอินซูลินมีสมบัติทำให้น้ำตาลในเลือด
00:04:51 → 00:04:52 อ่ะลดลงกลับมาปกติอ
00:04:52 → 00:04:55 ใช่มั้ครับก็คือเขาจะดึงน้ำตาลจากเลือด
00:04:55 → 00:04:57 เอาไปสะสมเป็นไกลโคเจนในเซลล์กล้ามเนื้อ
00:04:57 → 00:05:00 เพราะฉะนั้นเลือดก็จะมีปริมาณน้ำตาลลดลง
00:05:00 → 00:05:01 มันก็จะสู่สภาวะปกติ
00:05:01 → 00:05:02 อือ
00:05:02 → 00:05:05 แต่ถ้าอินซูลินมันดื้อเรากินหวานเยอะหวาน
00:05:05 → 00:05:06 เยอะ
00:05:06 → 00:05:08 เซลล์ตับอ่อนมันผลิตอินซูลินจนเหนื่อย
00:05:08 → 00:05:09 แล้วอ่ะครับ
00:05:09 → 00:05:09 อือ
00:05:09 → 00:05:12 น้ำตาลมาใช่มั้ยไม่ผลิตอินซูลินละน้ำตาล
00:05:12 → 00:05:14 อยู่ในเลือดไม่ยอมลงสักที
00:05:14 → 00:05:14 อือ
00:05:14 → 00:05:18 ก็จะมีผลทำให้เกิดโรคอะไรบ้างครับความดัน
00:05:18 → 00:05:18 อื
00:05:18 → 00:05:20 ไต่คิดดูดิครับจากเลือดปกติกลายเป็นเลือด
00:05:20 → 00:05:23 ที่เชื่อมเชื่อ
00:05:23 → 00:05:26 ใช่ไมันโดนความเชื่อมันกระทบทำสุดๆ
00:05:26 → 00:05:28 เเลยบอกว่าเบาหวานอย่าเป็นเลยดีกว่าถ้า
00:05:28 → 00:05:31 เบาหวานเป็น 1 โรคอ่ะโหโรคอื่นตามมาไม่
00:05:31 → 00:05:34 รู้กี่โรคหัวใจก็ทำงานหนักมากขึ้นร่างกาย
00:05:34 → 00:05:36 อักเสบมากขึ้นอักเสบก็เกิดมะเร็งอีก
00:05:36 → 00:05:37 อือ
00:05:37 → 00:05:39 เขาบอกว่าเบาหวานน่ะคือเป็นอะไรก็ได้อย่า
00:05:39 → 00:05:41 อย่าเป็นเบาหวานเบาหวานมา 1 โรคโรคอื่น
00:05:41 → 00:05:42 มันจะมาแบบ
00:05:42 → 00:05:43 ของแถมเต็มไปหมด
00:05:43 → 00:05:43 นั่นแหละครับ
00:05:43 → 00:05:44 เออ
00:05:44 → 00:05:48 อื
00:05:48 → 00:05:51 ทีนี้แบบพอพูดเรื่องน้ำตาลเนี่ยมันจะมี
00:05:51 → 00:05:54 หลายๆอย่างเนาะคือน้ำอารมณ์มันมีแน่ๆคือ
00:05:54 → 00:05:56 ผลิตภัณฑ์ปราศจากน้ำตาลอ
00:05:56 → 00:05:56 ครับ
00:05:56 → 00:05:59 แล้วก็อีกหลายอย่างเลยที่เป็นน้ำตาลทดแทน
00:05:59 → 00:06:00 อะไรอย่างเงี้ยฮะ
00:06:00 → 00:06:00 อื
00:06:00 → 00:06:02 สารให้ความหวานแทนน้ำตาลให้ความหวานแท้
00:06:02 → 00:06:02 น้ำตาล
00:06:03 → 00:06:06 พวกเนี้ยมันมันมีความปลอดภัยหรืออันตราย
00:06:06 → 00:06:06 อะไรมั้ฮะ
00:06:06 → 00:06:08 มันแบ่งเป็น 2 กลุ่มถ้าเทียบกับน้ำตาล
00:06:08 → 00:06:10 ปกติเลยเทียบ Apple to Apple เลยอ่ะน้ำ
00:06:10 → 00:06:13 สารให้ความหวานแทนน้ำตาล
00:06:13 → 00:06:15 เลวน้อยกว่าไม่ได้บอกว่าดีกว่านะเลวน้อย
00:06:15 → 00:06:15 กว่า
00:06:15 → 00:06:17 เร็วเหมือนกันแต่เลวเลวเลวน้อยกว่าน้ำตาล
00:06:17 → 00:06:19 ทรายกลับมาที่เรื่องแบ่งเป็น 2 กลุ่มมัน
00:06:19 → 00:06:22 แบ่งเป็นกลุ่มที่เค้าเรียกว่า BK Sweeter
00:06:22 → 00:06:25 คือต้องใส่เยอะพอกับน้ำตาลทรายสมมุติใน
00:06:25 → 00:06:26 สูตรนึงใส่น้ำตาลทราย 10 กรัม
00:06:27 → 00:06:29 ไอ้น้ำตาลกลุ่มนึงต้องใส่แบบ 1213 กรัม
00:06:29 → 00:06:29 ถึงจะหวานเท่าเดิม
00:06:29 → 00:06:30 อ๋อ
00:06:30 → 00:06:33 BK Sweet Tener คือsugar้าแอลกอฮอล์
00:06:33 → 00:06:37 เช่นไอ้พวกอะไรที่ลงท้ายด้วยอ้ออ่ะ Erital
00:06:37 → 00:06:38 ไitalอะไรพวกเนี้ยครับ
00:06:38 → 00:06:39 ไitalเคยได้ยินครับ
00:06:39 → 00:06:42 อ่าแต่ตัวสตัวอื่นไม่ได้เคยได้ยินไทอยู่
00:06:42 → 00:06:43 ในยาสีฟันกับหมาฝรั่ง
00:06:43 → 00:06:44 อหมาฝรั่ง
00:06:44 → 00:06:46 ฮะอันนี้เค้าเรียกว่า B sweeter ต้องใส่
00:06:46 → 00:06:48 จำนวนใกล้ๆกับน้ำตาลอีกตัวนึงคือ Intense
00:06:48 → 00:06:51 Sweeter ใส่แค่ขี้เล็บใส่แค่น้อยกว่าน้ำ
00:06:51 → 00:06:53 ตาลทราย 200 เท่าสมมุติน้ำตาลไซส์ในสูตร
00:06:53 → 00:06:54 เดิมอ่ะมี 10 กรัม
00:06:54 → 00:06:55 10 อ
00:06:55 → 00:06:57 ไอ้ตัวนี้ดีดไปแค่ 0.1 1
00:06:57 → 00:06:58 โหน้อยมากนะ
00:06:58 → 00:07:00 เ้าเรียกว่าเลยเรียกว่า intense สารกลุ่ม
00:07:00 → 00:07:02 นี้ทุกคนได้ยินกันเยอะหญ้าหวานหล่อ
00:07:02 → 00:07:05 ฮังก๊วยซูคาโรสม KP แซคาริน
00:07:05 → 00:07:08 มันปลอดภัยมั้ยฮะหญ้าหวาน
00:07:08 → 00:07:10 มันจะมีมาตรฐานที่เป็นลิมิตอยู่
00:07:10 → 00:07:11 ถ้ากินเกินเท่านี้
00:07:11 → 00:07:15 เริ่มส่งผลไม่ดีต่อร่างกายเอากลุ่มเบก่อน
00:07:15 → 00:07:19 มั้ยกลุ่มเบอะจะเกิดอาการที่ว่า laxative
00:07:19 → 00:07:21 effectฟเฟectคือถ่ายท้องหรือไม่ก็ท้องอืด
00:07:21 → 00:07:22 เพราะมันย่อยไม่ได้ไง
00:07:22 → 00:07:22 อ๋อ
00:07:22 → 00:07:23 จุลินทรีย์มันก็แบบ
00:07:23 → 00:07:26 อย่างเงี้ยใช่มั้ยครับแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
00:07:26 → 00:07:29 เนี่ยกลุ่มเนี้ยบางตัวเดันเดันพบว่าเป็น
00:07:29 → 00:07:31 ประโยชน์กับจุลินทรีย์ตัวดีด้วยซ้ำ
00:07:31 → 00:07:33 กลุ่มนี้คือกลุ่มที่จะต้องใส่เยอะกว่า
00:07:33 → 00:07:34 ปกติใช่
00:07:34 → 00:07:35 ที่ลงด้วยอ้ออ้อ
00:07:35 → 00:07:35 เออ
00:07:35 → 00:07:37 เพราะร่างกายคนย่อยไม่ได้มันไปถึงลำไส้
00:07:37 → 00:07:39 ใหญ่จุลินทรีย์บางตัวมัน
00:07:39 → 00:07:40 มันมองเห็นว่าเป็นอาหาร
00:07:40 → 00:07:41 อื
00:07:41 → 00:07:44 เพราะฉะนั้นถ้าพูดแบบคร่าวๆคือบางตัวที่
00:07:44 → 00:07:46 เป็นชูการแอลกอฮอล์มีสมบัติพรีไบโอติก
00:07:46 → 00:07:47 ด้วยซ้ำ
00:07:47 → 00:07:47 อ๋อ
00:07:47 → 00:07:49 แต่หลักฐานมันยังไม่ได้ชัดมาก
00:07:49 → 00:07:52 ครับซึ่งตัวนี้เป็นสารเอ่ออนินทรีย์หมด
00:07:52 → 00:07:53 เลยป่ะฮะทั้งหมด
00:07:53 → 00:07:54 บางตัวเป็นอินทรีย์บางตัวเป็นอนินทรีย์
00:07:54 → 00:07:57 บางตัวก็พบในในในผลไม้ทั่วไปในแิคอใน
00:07:57 → 00:08:00 องุ่นก็มีพวกชูแก้แอลกอฮอล์บางตัวก็สั่ง
00:08:00 → 00:08:02 คอขึ้นมาใหม่แต่ intense ก็เหมือนกันมี
00:08:02 → 00:08:05 ทั้งตัวธรรมชาติตัวธรมชาติก็สวียก็คือ
00:08:05 → 00:08:07 หญ้าหวานใช่มั้ยครับแล้วก็หล่อฮางกวย
00:08:07 → 00:08:08 ส่วนตัวที่เหลือส่วนใหญ่เป็นตัว
00:08:08 → 00:08:10 สังเคราะห์หมดแสปตมก็สังเคราะห์จากกด
00:08:10 → 00:08:12 อะมิโนซุคาโรสก็สังเคราะห์จากน้ำตาลซ้าย
00:08:12 → 00:08:14 ปกติแล้วก็เติม florine เข้าไปมันเยอะมาก
00:08:14 → 00:08:17 แต่ข้อเสียของไอ้ฝั่งขวาที่มันเป็น
00:08:17 → 00:08:18 intensive retainer คือกินเข้าไปแล้วมี
00:08:18 → 00:08:20 รสขมติดลินทุกคนน่าจะทราบดี
00:08:20 → 00:08:21 อื
00:08:21 → 00:08:24 แต่หญ้าหวานพอได้ยินว่าเอ้ยมันมาจาก
00:08:24 → 00:08:26 ธรรมชาตินะคิดว่ามันปลอดภัยเปล่าครับงาน
00:08:26 → 00:08:29 วิจัยประมาณ 5-6 ปีให้หลังเนี่ยเค้าค้นพบ
00:08:29 → 00:08:31 ว่าหญ้าหวานน่ะมันทำให้จุลินทรีย์ชนิดดิน
00:08:31 → 00:08:34 ในร่างกายโปรไบโอติกอ่ะจำนวนลดลง
00:08:34 → 00:08:35 หมายถึงว่ามันตายเงี้ยเหรอ
00:08:35 → 00:08:36 มันตายมันลดลง
00:08:36 → 00:08:37 เป็นเพราะว่าอะไร
00:08:37 → 00:08:39 มันไม่ย่อยในกระเพาะอาหารมันไม่ย่อลำไส้
00:08:39 → 00:08:41 เล็กมันไปถึงลำไส้ใหญ่
00:08:41 → 00:08:43 แล้วมันก็แตกตัวเป็นสติอกับอนุพันธ์ของ
00:08:43 → 00:08:46 มันแล้วเโพดว่าไอ้สารที่เป็นสารลูกที่ได้
00:08:46 → 00:08:48 จะเกินแตกจากการแตกตัวของหญ้าหวานนะครับ
00:08:49 → 00:08:49 ครับ
00:08:49 → 00:08:51 จุนินทรีย์ชนิดดีไม่ชอบ
00:08:51 → 00:08:51 อื
00:08:51 → 00:08:54 มันไปรบกวนระบบนิเวศของมันเพราะปกติ
00:08:54 → 00:08:56 จุลินทรีย์ชนิดดีอาหารของมันคือใยอาหาร
00:08:56 → 00:08:58 ถูกมั้ครับก็คือพรีไบโอติกใช่เป็นไฟเบอร์
00:08:58 → 00:09:01 มันก็กินใยอาหารมาตลอดชีวิตเรากินสารสิ่ง
00:09:01 → 00:09:04 แผกปลอมเข้าไปกินหญ้าหวานเข้าไปจนเฮ้ยอัน
00:09:04 → 00:09:06 นี้คืออะไรอ่ะมันก็มันก็อาจจะหยุดโตหรือ
00:09:06 → 00:09:08 ว่าลดจำนวนลงได้
00:09:08 → 00:09:10 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คือเรื่องปริมาณที่
00:09:10 → 00:09:11 กินเข้าไป
00:09:11 → 00:09:12 ใช่แต่อย่างน้อยที่ผมบอกว่าถ้ามองเป็นภาพ
00:09:13 → 00:09:15 รวมอ่ะทำไมผมถึงบอกว่ามันเลวน้อยกว่าน้ำ
00:09:15 → 00:09:17 ตาลทราย 1 มันไม่ให้พลังงาน
00:09:17 → 00:09:17 เออ
00:09:17 → 00:09:19 หรือให้พลังงานน้อยกว่า
00:09:19 → 00:09:19 อือ
00:09:19 → 00:09:23 ไอ้กลุ่มเป๊าอ่ะถามว่าให้มั้ยส่วนใหญ่ให้
00:09:23 → 00:09:25 น้อยกว่าน้ำตาลทรายครึ่งนึงแต่กลุ่มเนี้ย
00:09:25 → 00:09:27 ที่เป็น Intensive Rainer อ่ะไม่ให้เลย
00:09:27 → 00:09:28 อือ
00:09:28 → 00:09:30 หรือให้น้อยจนแบบสามารถตัดออกไปได้
00:09:30 → 00:09:32 ซึ่งพอไม่รวมพลังงานเข้าไปในการกินเนี่ย
00:09:32 → 00:09:35 มันก็ดีกว่าน้ำตาล
00:09:35 → 00:09:36 ความจริงไม่ใช่เรื่องของพลังงานด้วยซ้ำ
00:09:37 → 00:09:39 มันเป็นเรื่องของมันไม่กระตุ้นอินซูลิน
00:09:39 → 00:09:42 น้อยกว่าน้ำตาลใช่ๆแต่ถามว่ากระตุ้นมั้ย
00:09:42 → 00:09:44 เกือบทุกตัวกระตุ้นครับเพราะการกระตุ้น
00:09:44 → 00:09:46 อินซูลินมันมี 2 เฟสอ่ะระยะเค้าเรียกว่า
00:09:46 → 00:09:48 ระยะหัวกับระยะหลังดูดซึมน้ำตาลทรายระยะ
00:09:48 → 00:09:49 หัวหมายความว่า
00:09:49 → 00:09:53 พี่หมีแค่กินน้ำตาลเทียมอยู่ในปากต้อง
00:09:53 → 00:09:54 กลืนเลยนะ
00:09:54 → 00:09:56 อินซูลินหลั่งแล้ว
00:09:56 → 00:09:58 แค่หยุดมันหลีมันหลั่งตั้งแต่มันแตะลิ้น
00:09:58 → 00:09:59 พร้อม
00:09:59 → 00:10:00 คือมันดูดซึมเร็วมาก
00:10:00 → 00:10:02 มันไม่ได้ดูดซึมสมองบอกว่าเฮ้ยรับรสหวาน
00:10:02 → 00:10:04 นะเตรียมตัวหลั่ง
00:10:04 → 00:10:07 แต่การหลั่งอินซูลินแค่ที่ระยะหัวมันสัด
00:10:07 → 00:10:10 ส่วนมันน้อยมากมันสมมุติสมมติอินซูลินมัน
00:10:10 → 00:10:12 หลัง 100% ใช่มั้ครับดูดซึมเข้าไปแล้ว
00:10:12 → 00:10:15 อินซูลินจะหลังประมาณ 95% มันระยะหัวมัน
00:10:15 → 00:10:16 แค่ 2-5%
00:10:16 → 00:10:16 อือ
00:10:16 → 00:10:18 เพราะฉะนั้นกลไกในการหลั่งระยะหัวหรือว่า
00:10:18 → 00:10:20 เฟaricfaceสอ่ะภาษาลาตินที่แปลว่าหัวลิ้น
00:10:20 → 00:10:22 รับรสหวานแล้วหลั่งเลย
00:10:22 → 00:10:22 อือื
00:10:22 → 00:10:25 ดังนั้นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลเกือบทุก
00:10:25 → 00:10:27 ตัวที่มันไม่ให้พลังงานหรือมันไม่ดูดซึม
00:10:27 → 00:10:30 อ่ะก็ไม่ต้องดูดซึมไงแต่ทุกตัวมันให้รส
00:10:30 → 00:10:32 หวานมันก็กระตุ้นเหมือนกันแต่ถามว่า
00:10:32 → 00:10:34 กระตุ้นมั้กระตุ้นแต่กระตุ้นน้อยอันนี้
00:10:34 → 00:10:34 คือกลไก
00:10:34 → 00:10:35 อืออือ
00:10:35 → 00:10:35 ครับ
00:10:35 → 00:10:39 แล้วเครื่องดื่มที่เป็นการให้ความหวานแ
00:10:39 → 00:10:41 น้ำตาลเนี่ยส่วนใหญ่เค้าใช้อะไรกันฮะ
00:10:41 → 00:10:44 ใช้เบนไม่มีไม่ค่อยมีตัวไหนที่ใช้ตัวใด
00:10:44 → 00:10:46 ตัวหนึ่งเพราะเบนแล้วรสชาติจะดีกว่าถ้า
00:10:46 → 00:10:48 เป็นเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่ไม่ใส่น้ำตาล
00:10:48 → 00:10:52 น่ะอ่าเมื่อก่อนเขาจะใใช้แอสปแตมแต่
00:10:52 → 00:10:54 แอสปาแตม 3 ปีที่แล้วหรือ 2 ปีที่แล้วนี่
00:10:54 → 00:10:56 แหละเขาพบว่ามันมันมีแนวโน้มเป็นสารกรอบ
00:10:56 → 00:10:58 มะเร็งเขาก็เลยเปลี่ยนเป็นซูคาโรสกับ
00:10:58 → 00:11:00 อซิซัลเฟมโปแทสเซียม
00:11:00 → 00:11:00 อื
00:11:00 → 00:11:03 ที่ที่มันเป็นเครื่องดื่มที่เขาจะบอกว่า
00:11:03 → 00:11:05 เฮ้ยมันไม่ให้พลังงานนะเป็น 0 กแควอะไร
00:11:05 → 00:11:08 ประมาณเนี้ยเขาจะใช้ 2 ตัวนี้เป็นหลัก
00:11:08 → 00:11:11 ครับมันจะให้รถที่ค่อนข้างสะอาดแล้วก็ไม่
00:11:11 → 00:11:12 ติดขมมาก
00:11:12 → 00:11:14 ถ้าไปใช้สตีเวีย
00:11:14 → 00:11:17 ธรรมชาติก็จริงแต่จะติดขมเขาก็จะขายไม่
00:11:17 → 00:11:17 ได้
00:11:17 → 00:11:20 อืแต่มันมีความรู้สึกว่ากินพวกนี้มันจะมี
00:11:20 → 00:11:22 อะไรสักอย่างติดลิ้นเลยนั่นแหละครับซึ่ง
00:11:22 → 00:11:24 กลุ่มที่เป็น intensive returner อ่ะเขา
00:11:24 → 00:11:25 เรียกว่าเป็น
00:11:25 → 00:11:27 bitterness after test
00:11:27 → 00:11:27 อื
00:11:27 → 00:11:30 แวบแรกยังไม่รู้สึกขมต้องกลืนเข้าไปก่อน
00:11:30 → 00:11:35 ความขมมันจะติดอยู่ที่ควนลิ้น
00:11:36 → 00:11:38 เครื่องดื่มอ่าน้ำอัดลมอ่ะมันจะมีมันจะ
00:11:38 → 00:11:40 ไม่ใช่หวานอย่างเดียวนะมันจะมีเปรี้ยวนิด
00:11:40 → 00:11:40 ๆ
00:11:40 → 00:11:42 ถูกมั้ครับมันจะมีเปรี้ยวแบบ
00:11:42 → 00:11:43 อติดลิ้น
00:11:43 → 00:11:44 ปลายๆ
00:11:44 → 00:11:45 อมันมาจากกรดตัวนึงครับ
00:11:46 → 00:11:47 ในเฉพาะน้ำสีดำด้วย
00:11:47 → 00:11:50 ถ้าน้ำสีดำยี่ห้อนึงใส่กรดที่ชื่อว่า
00:11:50 → 00:11:53 ฟอสฟอรถ้าดูตามฉลากมันคือ INS 338 แต่
00:11:53 → 00:11:56 อีกยี่ห้อนึงจะใส่กรดมานาหรือกรดิริก INS
00:11:56 → 00:11:59 330 คือเขาจะไม่เขียนชื่อ
00:11:59 → 00:11:59 อ๋อ
00:11:59 → 00:12:01 ให้เห็นน่ะเขาจะใส่เป็นรหัสไว้ก็ต้อง
00:12:01 → 00:12:05 ไอ้กดกดฟอสฟิมันมันคืออะไรฮะ
00:12:05 → 00:12:08 ไอ้ตัวนี้แหละคือตัวประเด็นที่เขา้าเป็น
00:12:08 → 00:12:10 ข้อถกเถียงกันอยู่ว่ามันทำให้เกิดโรค
00:12:10 → 00:12:11 กระดูกพุนหรือเปล่า
00:12:11 → 00:12:14 กฎฟอสฟอรชื่อมันบอกอยู่แล้วว่ามันมีอ่า
00:12:14 → 00:12:15 ฟอสฟอรัส
00:12:15 → 00:12:17 ใช่มั้ครับปกติร่างกายคนต้องการฟอสฟอรัส
00:12:17 → 00:12:18 อยู่แล้วเพราะมัน
00:12:18 → 00:12:20 มันเป็นส่วนหนึ่งของกระดูกแต่ปกติ
00:12:20 → 00:12:23 ฟอสฟอรัสที่เรากินน่ะตามไม่ว่าจะเป็นอะไร
00:12:23 → 00:12:26 อ่ะผักผลไม้เนื้อนมไข่มันอยู่ในรูปที่
00:12:26 → 00:12:28 เรียกว่าฟอสฟอรัสออร์แกนิคหรือฟอสฟอรัส
00:12:28 → 00:12:31 อินทรีย์อยู่ในรูปออร์แกนิคอ
00:12:31 → 00:12:32 ซึ่งฟอสฟอรัสตัวเนี้ยครับมันจะดูดซึมไม่
00:12:32 → 00:12:33 ค่อยดี
00:12:33 → 00:12:34 อือ
00:12:34 → 00:12:38 แต่ในน้ำอัดลมสีดำอ่ะกดฟอสฟอริกตัวเนี้ย
00:12:38 → 00:12:40 เป็นฟอสฟอรัสที่อยู่ในรูปสารอนินทรีย์ก็
00:12:40 → 00:12:42 คือออรแกanic
00:12:42 → 00:12:43 มันคืออะไรครับ
00:12:43 → 00:12:45 กินเข้าไปมันจะดูดซึมเข้าเลือดแบบเกือบ
00:12:45 → 00:12:45 100% เลย
00:12:46 → 00:12:48 พอดูดซึมเข้าเลือดเลือดบอกเฮ้ยฟอสฟอรัส
00:12:48 → 00:12:51 อยู่ในเลือดเยอะขึ้นร่างกายจะมีการปรับ
00:12:51 → 00:12:54 สมดุลครับเพราะฟอสฟอรัสเยอะตัวนึงที่มัน
00:12:54 → 00:12:56 ต้องเยอะตามฟอสฟอรัสเพื่อให้เลือดเราอยู่
00:12:56 → 00:12:59 ในสภาวะสมดุลน่ะคือแคลเซียมพอฟอสฟอเลือด
00:12:59 → 00:13:03 เยอะร่างกายบอกสมองบอกเฮ้ยต้องแคลเซียม
00:13:03 → 00:13:05 เยอะขึ้นแล้วแคลเซียมจะมาจากไหน
00:13:05 → 00:13:06 อื
00:13:06 → 00:13:08 มันก็ไปดึงแคลเซียมจากกระดูกมา
00:13:08 → 00:13:10 แล้วร่างกายเรามีแคลเซียมแค่กระดูกเท่า
00:13:10 → 00:13:10 นั้น
00:13:10 → 00:13:13 ส่วนใหญ่อยู่ในกระดูกเลือดมันมันมีไม่ได้
00:13:13 → 00:13:15 เยอะมากส่วนใหญ่ก็อยู่สะสมตามกระดูกมันก็
00:13:15 → 00:13:18 ไปดึงแคลเซียมอันนี้คือกลไกที่เขาบอกว่า
00:13:18 → 00:13:19 ทำไมกดฟอสฟอรส
00:13:19 → 00:13:21 เริ่มมีหลักฐานแล้วว่ามันดึงแคลเซียมออก
00:13:21 → 00:13:22 จากกระดูก
00:13:22 → 00:13:24 แล้วมันเป็นปัจจัยนึงที่ทำให้เกิดโรค
00:13:24 → 00:13:25 กระดูกพุนอ
00:13:25 → 00:13:26 อื
00:13:26 → 00:13:26 ครับ
00:13:26 → 00:13:29 แต่ถ้าเราดื่มไม่ได้เยอะมากเนี่ยร่างกาย
00:13:29 → 00:13:31 มันก็จะมีการจัดการของมันในแต่ละวัน
00:13:31 → 00:13:33 ใช่ครับใช่เพราะคือ
00:13:33 → 00:13:35 อย่าลืมว่าไอ้แคลเซียมที่มันดึงออกมาจาก
00:13:35 → 00:13:38 กระดูกอ่ะในวันวันนึงเราก็กินแคลเซียม
00:13:38 → 00:13:41 เข้าไปพอสมควรถูกมั้ยครับจากกระดูกปลาจาก
00:13:41 → 00:13:43 นมจากอะไรจากอาหารปกติมันก็มีแคลเซียม
00:13:43 → 00:13:44 อยู่แล้วแต่ถามว่า
00:13:44 → 00:13:45 อ
00:13:45 → 00:13:48 คนไทยอ่ะพฤติกรรมการกินไม่ได้กินปลาตัว
00:13:48 → 00:13:51 เล็กตัวน้อยหรือน้มเยอะเท่าคนต่างประเทศ
00:13:51 → 00:13:53 เพราะฉะนั้นจำนวนแคลเซียมถ้าไปดูตัวเลข
00:13:53 → 00:13:56 อ่ะครับคนไทยกินแคลเซียมไม่ถึงปริมาณที่
00:13:56 → 00:13:59 กรมอนามัยหรืออย.เค้ากำหนดด้วยซ้ำอ่ะมัน
00:13:59 → 00:14:02 ไม่มีงานวิจัยอันนี้นะแต่มันมีหลักฐาน
00:14:02 → 00:14:05 เชิงแบบเชิงพูดต่อๆกันน่ะว่าคนใกล้ตัว
00:14:05 → 00:14:07 หรือแม้กระทั่งตัวเขาเองอ่ะที่กินน้ำอัด
00:14:07 → 00:14:09 ลมสีดำค่อนข้างเยอะแม้กระทั่งหมอก็มา
00:14:09 → 00:14:11 คอมเมนต์เ้าบอกว่า
00:14:11 → 00:14:14 มวลกระดูกมากกว่าวัยเยอะมากกว่าวัยว่า
00:14:14 → 00:14:17 หลายคนไปตรวจอายุ 20 มวลกระดูกไปแล้ว 40
00:14:17 → 00:14:17 อย่างเงี้ย
00:14:17 → 00:14:19 คือมันจะหายไปเท่าคนแก่แล้ว
00:14:19 → 00:14:20 หายใช่ๆเยอะมาก
00:14:20 → 00:14:21 เออ
00:14:21 → 00:14:22 เพราะกินเยอะ
00:14:22 → 00:14:22 เออ
00:14:22 → 00:14:25 ผมไม่ติดกับคนที่กินแค่วันละแก้วหรือ 200
00:14:25 → 00:14:28 มม. 2 แก้วก็ยังพอได้แต่หลายคนที่เขากิน
00:14:28 → 00:14:29 ติด
00:14:29 → 00:14:29 อือ
00:14:29 → 00:14:32 แบบต่างน้ำอ่ะเขากินกันวันละเกือบ 2 ลิตร
00:14:32 → 00:14:32 อ
00:14:32 → 00:14:32 อือๆ
00:14:32 → 00:14:34 ครับเพราะฉะนั้นใน 1 ขวดฟอสฟอรัสน้อยจริง
00:14:34 → 00:14:36 แต่ 2 ลิตร
00:14:36 → 00:14:36 อื
00:14:36 → 00:14:43 ก็เยอะจนส่งผลกระทบต่อกระดูกได้อ
00:14:43 → 00:14:46 รูปกระดูกพุนมันมีผลยังไงหรือเป็นยังไงนะ
00:14:46 → 00:14:49 ครับโอ้โหฟังเผินๆเฮ้ยกระดูกพุนมัน
00:14:49 → 00:14:51 อันตรายมันน่ากลัวกว่ามะเร็งหรือเบาหวาน
00:14:52 → 00:14:53 หรือเปล่าความก็นึกภาพท่ากระดูกพุนมวล
00:14:53 → 00:14:55 กระดูกพุนอย่างเงี้ย
00:14:55 → 00:14:58 ผมมีญาติผู้ใหญ่คนนึงคุณย่าท่านนี้เขาก็
00:14:58 → 00:15:00 กินน้ำอัดลมต่าง
00:15:00 → 00:15:00 น้ำ
00:15:00 → 00:15:03 น้ำแล้วพอวาระสุดท้ายของชีวิตอ่ะครับ 1
00:15:03 → 00:15:05 เดินไม่ได้ก่อนแน่นอน
00:15:05 → 00:15:05 อ
00:15:05 → 00:15:08 พอกระดูกมันมันมันไม่มีแล้วอ่ะ
00:15:08 → 00:15:09 พอเดินไม่ได้พอนั่งรถเข็น
00:15:09 → 00:15:12 เวลาแขนไปชนสมมุติเราชนโต๊ะแค่เนี้ยเรา
00:15:12 → 00:15:15 ไม่เป็นไรของคุณย่าร้าวแล้วหักร้าวเลย
00:15:15 → 00:15:16 อื
00:15:16 → 00:15:18 พอร้าวแล้วหักถ้าเป็นที่ขามันก็กลายเป็น
00:15:18 → 00:15:20 เดินไม่ได้กลายเป็นขยับตัวมันกลายเป็น
00:15:20 → 00:15:22 immobility เลยอ่ะคือมันก็ทรมานมาก
00:15:22 → 00:15:22 อือ
00:15:22 → 00:15:24 แล้วมันก็เดี๋ยวโรคอื่นๆมันก็ตามมา
00:15:24 → 00:15:27 แต่อันนี้เราพูดถึงแค่แคลเซียมนะอือฮึ
00:15:27 → 00:15:31 ในในน้ำอมสีดำเราพูดถึงแต่ตัวกรดฟอสฟอริก
00:15:31 → 00:15:35 เนาะแต่มันมีอีก 2 ตัวที่มันส่งผลต่อการ
00:15:35 → 00:15:37 สูญเสียมวลกระดูกด้วยเช่นกันก็คือน้ำตาล
00:15:37 → 00:15:40 กับแคอีนเพราะฉะนั้นในน้ำอัดลม 1 ขวดมัน
00:15:40 → 00:15:42 ไม่ได้สารที่ทำให้มนกระดูกรสมันไม่ได้มี
00:15:42 → 00:15:44 แค่กดฟอสฟอริตัวเดียวอ่ะ
00:15:44 → 00:15:45 อือ
00:15:45 → 00:15:47 มันกลายเป็นมีน้ำตาลแคเฟอีนฟอสฟอริก 3
00:15:47 → 00:15:48 ตัวแทคทีมกัน
00:15:49 → 00:15:49 อื
00:15:49 → 00:15:50 ครับ
00:15:50 → 00:15:52 คือเราไม่ได้บอกให้คนกลัวนะแต่ว่า
00:15:52 → 00:15:56 มันก็ควรจะระวังแต่ว่าอย่างอย่างวันนึง
00:15:56 → 00:15:58 เราควรจะกินแค่ไหนนะฮะ
00:15:58 → 00:16:00 ก็อย่างที่ผมบอกวันละแก้วมันไม่มันไม่
00:16:00 → 00:16:01 ซีเรียส
00:16:01 → 00:16:04 วันละแก้วคือ 200 มิมก็โอเคแต่ตามเปเปอร์
00:16:04 → 00:16:05 เลยอ่ะเค้าเรียกว่าเป็น meta analysis
00:16:05 → 00:16:08 คือเอางานวิจัยหลายๆงานมารวมกันเสำรวจมา
00:16:08 → 00:16:09 แล้ว
00:16:09 → 00:16:14 ว่าการกินน้ำอัดลมสีดำนะผลออกมานะครับแค่
00:16:14 → 00:16:18 สีดำอ่ะมวลกระดูกลดแล้วความเสี่ยงในการ
00:16:18 → 00:16:21 ที่เกระดกกระดูกสะโพกหักอ่ะสูงกว่ากลุ่ม
00:16:21 → 00:16:22 อื่น
00:16:22 → 00:16:24 กลุ่มอื่นคืออะไรบ้างน้ำอัดลมที่ไม่ใช่สี
00:16:24 → 00:16:25 ดำ
00:16:25 → 00:16:25 อื
00:16:25 → 00:16:27 หรือคนที่กินน้ำเปล่ากลุ่มนั้นน่ะคือเกิน
00:16:27 → 00:16:28 4 แก้วต่อวัน
00:16:28 → 00:16:28 อ๋อ
00:16:28 → 00:16:29 ก็คือเกินลิตรนึง
00:16:30 → 00:16:32 ซึ่งคนกินน้ำดำเกินลิตรนึงในประเทศไทย
00:16:32 → 00:16:33 เยอะมาก
00:16:34 → 00:16:36 ผมนึกว่าน้อยผมนึกว่าแต่ส่วนใหญ่ก็คือกิน
00:16:36 → 00:16:38 วันละกระป๋องอ่ะ
00:16:38 → 00:16:41 ก็ถ้าคนกินวันละกระป๋องอ่ะเช่นหลายคนก็
00:16:41 → 00:16:42 บอกปู่วนbuฟเฟetใช่มั้ย
00:16:42 → 00:16:43 เออ
00:16:43 → 00:16:45 เค้าก็อายุ 94 แล้วอ่ะเค้าก็บอกเกินน้ำดำ
00:16:45 → 00:16:46 ทุกวัน
00:16:46 → 00:16:47 อือ
00:16:47 → 00:16:49 ไม่เห็นเป็นอะไรเลยปู่วอเรนเ้าอาจจะกิน
00:16:49 → 00:16:50 แค่วันละแก้วก็ไม่เป็นไร
00:16:50 → 00:16:51 อือ
00:16:51 → 00:16:53 เพราะตามเปอร์มันออกมาบอกแล้วว่ามันต้อง
00:16:53 → 00:16:56 กินถึงแบบเกินวันละ 4 แก้วมันถึงจะเอฟเฟค
00:16:56 → 00:16:59 ทางสถิติอย่างมีนัยยะสำคัญทางนี้มันก็
00:16:59 → 00:17:01 ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นด้วยพันธุกรรมหรือ
00:17:01 → 00:17:03 ว่าสมมุติว่าบางคนบอกกินวันละ 4 แก้วไม่
00:17:03 → 00:17:07 เป็นไรเขาอาจจะกินนมที่มีแคลเซียมเยอะมัน
00:17:07 → 00:17:10 ก็โอเคใช่ๆอันนั้นคือเสำรวจของฝรั่งนะ
00:17:10 → 00:17:11 เปเปอร์นั้นน่ะ
00:17:11 → 00:17:14 แต่คนไทยปริมาณเ้าบอกเบอกอย่ากินเกิน 4
00:17:14 → 00:17:16 แก้วคนไทยอาจจะเหลือแค่ 2 หรือ 3 เพราะ
00:17:16 → 00:17:18 อย่าลืมว่าแคลเซียมอินเทคของคนไทยน้อยมาก
00:17:18 → 00:17:20 อืไม่ได้กินนมเป็นแบบขนาดนั้นด้วย
00:17:20 → 00:17:21 ถูกๆนั่นแหละครับ
00:17:21 → 00:17:24 อือันนี้อาจจะออกนอกเรื่องหน่อยคือมันมี
00:17:24 → 00:17:25 คาเฟอีนอยู่อ่ะครับ
00:17:25 → 00:17:27 คนที่กินคาเฟอีนในทางอื่นน่ะเช่นกาแฟหรือ
00:17:28 → 00:17:31 ชาเนี่ยมันมีผลต่อมนกระดูกเหมือนกัน
00:17:31 → 00:17:32 มีน้อยกว่าผมพูดถึง meta analysis บ่อย
00:17:32 → 00:17:35 มากมันคืองานวิจัยเชิงอภิมานที่สรุปงาน
00:17:35 → 00:17:37 วิจัยเป็นร้อยหรือเป็นหลายๆ 10 อ่ะมาอยู่
00:17:37 → 00:17:40 อันเดียวกันเ้าบอกว่ากาแฟเ้าสำรวจแล้วคน
00:17:40 → 00:17:43 ที่กินกาแฟแม้ว่ากินถึงวันละ 4 แก้วอ่ะ
00:17:43 → 00:17:46 ครับมวลกระดูกไม่ได้ลดลงคือไม่ได้มีความ
00:17:46 → 00:17:48 สัมพันธ์กับการที่มวลกระดูกลดลงหมายความ
00:17:48 → 00:17:50 ว่ากาแฟ
00:17:50 → 00:17:52 ยังดื่มได้ปกติความเสี่ยงต่อการเป็นโรค
00:17:52 → 00:17:55 กระดูกพุนน่ะน้อยกว่าการกินน้ำดำคือยัง
00:17:55 → 00:17:56 ดื่มได้
00:17:56 → 00:17:56 อื
00:17:56 → 00:17:58 ครับแต่ถ้าแต่เขาก็บอกว่าเฮ้ยถ้ามันดื่ม
00:17:58 → 00:18:02 เกินแบบ 4 แก้วเช่น 5-6 แก้วคาเฟอีนมัน
00:18:02 → 00:18:05 เริ่มเยอะเกินลิมิตที่เราจะได้ก็ใช้เค้า
00:18:05 → 00:18:08 ใช้คำว่าเมอ่ะครับก็มีโอกาสที่มวลกระดูก
00:18:08 → 00:18:11 จะลดได้ลดลงได้แต่คนที่กินถึง 5-6 แก้ว
00:18:11 → 00:18:15 มันน้อยมาก
00:18:15 → 00:18:17 ถ้าบอกว่าเป็นน้ำดำเนี่ย
00:18:17 → 00:18:17 ครับ
00:18:17 → 00:18:19 มันจะมีอีกหลายอย่างเลยเช่น root เบี้
00:18:19 → 00:18:22 อย่างเงี้ยมันคือส่วนประกอบเดียวกันมั้ฮะ
00:18:22 → 00:18:23 มีส่วนประกอบเดียวกันรึเปล่า
00:18:23 → 00:18:26 ไม่รูเบียร์ไม่ได้ใส่รูเบียร์เจ้าที่เรา
00:18:26 → 00:18:28 รู้จักกันน่ะเขาไม่ได้ใส่กรด
00:18:28 → 00:18:29 ฟอสฟอร
00:18:29 → 00:18:30 อือ
00:18:30 → 00:18:32 นะครับหรือคาเฟอีนบางยี่ห้อก็ใส่บาง
00:18:32 → 00:18:36 ยี่ห้อก็ไม่ได้ใส่เพราะฉะนั้นผมเคยไปหา
00:18:36 → 00:18:38 พวกงานวิจัยรถเบียร์มีส่งผลต่อมวลกระดูก
00:18:38 → 00:18:41 หรือเปล่าด้วยความที่มันไม่ได้มีผลอะไร
00:18:41 → 00:18:44 แล้วคนไม่ได้กินเยอะเท่าเท่า
00:18:44 → 00:18:45 นี้ครับ
00:18:45 → 00:18:47 แปลว่าจริงๆแล้วก็
00:18:47 → 00:18:49 เอ่อ root เบียร์เนี่ยไม่ได้มีฟอสฟอริก็
00:18:49 → 00:18:52 จริงแต่มันก็มีน้ำตาลอยู่มีน้ำตาลน้ำตาล
00:18:52 → 00:18:55 ไม่ได้ส่งผลต่อมวลกระดูกโดยตรง
00:18:55 → 00:18:57 ไม่ได้เป็นตัวที่ดึงออกมาแต่มันเป็นทาง
00:18:57 → 00:18:59 อ้อมๆมันจะมีหลายกลไกซึ่งซึ่งไม่จำเป็น
00:18:59 → 00:19:01 ต้องพูดตอนนี้ก็ได้แต่มันมีเปเปอร์จริงๆ
00:19:02 → 00:19:04 ก็ meta analysis เหมือนกันเขาก็ดูว่าคน
00:19:04 → 00:19:07 ที่กินงานนั้นน่าจะเรียกว่า soft drink
00:19:07 → 00:19:08 อื
00:19:08 → 00:19:10 ก็คือ sf drink ส่วนใหญ่มีน้ำตาลทรายก็
00:19:10 → 00:19:11 คือน้ำตาลซูโคoseเนี่ยครับ
00:19:11 → 00:19:12 อือ
00:19:12 → 00:19:20 มีความสัมพันธ์กับมวลกระดูกที่ลดลงจริง
00:19:20 → 00:19:23 พูดมาขนาดเนี้ยแล้วมันดูแบบโหจะจะหยุดกิน
00:19:23 → 00:19:25 มันยังไงถ้าแบบอยากกินอยู่อ่ะกินยังไงให้
00:19:25 → 00:19:28 มันยังได้กินอยู่แต่ยังปลอดภัยอยู่ฮะ
00:19:28 → 00:19:30 แนะนำว่าอย่าหักดิบ
00:19:30 → 00:19:31 อย่าหักดิบ
00:19:31 → 00:19:34 หักดิบปึ๊บคือถ้าใครหักดิบแล้วมีสติกับ
00:19:34 → 00:19:37 ชีวิตประจำวันได้ผมเคารพเลย
00:19:37 → 00:19:37 เออ
00:19:37 → 00:19:40 เช่นวันนี้กินน้ำอัดลม 2 ลิตรพรุ่งนี้
00:19:40 → 00:19:41 เหลือ 0
00:19:41 → 00:19:42 อือ
00:19:42 → 00:19:46 ถ้าทำได้อาจจะลงแดงแค่อาทิตย์แรกโอเคคือ
00:19:47 → 00:19:49 คาเฟอีนกับอ่าน้ำตาลน่ะมันไปหลั่งโดปามีน
00:19:49 → 00:19:53 ในสมองพอหลังเราจะรู้สึกความอันคือกลไก
00:19:53 → 00:19:55 การเสพติดแบบคร่าวๆ
00:19:55 → 00:19:55 อ
00:19:55 → 00:19:58 วันนี้กิน 2 ลิตรอีกวันนึงไม่กินเลย
00:19:58 → 00:20:00 โดปามีนไม่หลั่งมันจะรู้สึกdeสเลยแบบ
00:20:00 → 00:20:02 อ้าวซึมๆ
00:20:02 → 00:20:03 ซึม
00:20:03 → 00:20:04 แล้วไม่มีคาเฟอีนอีก
00:20:04 → 00:20:05 ปวดหัว
00:20:05 → 00:20:09 ใช่ปวดหัวอะไรไปหมดถ้าทนตรงนั้นได้แล้ว
00:20:09 → 00:20:11 หลังจากวันที่กิน 2 ลิตรแล้วไม่กินเลยถ้า
00:20:12 → 00:20:15 ทำได้ดีเลยครับแต่มันมีแค่คนประมาณ 0.001%
00:20:15 → 00:20:16 001% นี้ทำได้
00:20:16 → 00:20:18 ผมแนะนำนะผมเลิกกินน้ำอัดลม
00:20:18 → 00:20:19 ครับ
00:20:19 → 00:20:21 แต่ผมจำไม่ได้แล้วผมเลิกกินมานานมากแล้ว
00:20:21 → 00:20:24 แต่ว่าสิ่งที่เพิ่งเลิกได้เลยคือกาแฟ
00:20:24 → 00:20:25 อ๋อเหรอฮะ
00:20:25 → 00:20:28 เออผมผมเลิกกินกาแฟมาสัก 2 ปีแล้วผมใช้
00:20:28 → 00:20:30 วิธีนั้นแหละฮะแบบผมรู้ว่าถ้าผมหยุดกิน
00:20:30 → 00:20:32 กาแฟเมื่อไหร่เนี่ยผมจะต้องปวดหัวในทันที
00:20:32 → 00:20:33 เลย
00:20:33 → 00:20:34 วันนึงปวดหัวง่วง
00:20:34 → 00:20:37 ง่วงซึมแบบมืดไปหมดเลยอะไรอย่างเงี้ย
00:20:37 → 00:20:41 ผมใช้ว่าช่วงนั้นผมเป็นโควิดแล้วผมก็ป่วย
00:20:41 → 00:20:43 ปวดหัวอยู่แล้วต้องนอนอยู่บ้าน
00:20:43 → 00:20:45 อ๋อกินพารา
00:20:45 → 00:20:47 เออไม่ก็คือก็คือผมก็ต้องงดกาแฟเพื่อจะ
00:20:47 → 00:20:48 นอนผมก็
00:20:48 → 00:20:52 ผมก็ผมก็จะงดกาแฟไปเลยประมาณ 4-5 วันที่
00:20:52 → 00:20:53 ต้องแบบป่วยนอนโควิด
00:20:53 → 00:20:58 แล้วแบบพอเราหายจากโควิดแล้วอ่ะมันก็จะ
00:20:58 → 00:21:01 ไม่มีความปวดหัวละจากการที่ไม่ได้กินกาแฟ
00:21:01 → 00:21:02 เพราะว่ามันอยู่ในช่วงที่แบบ
00:21:02 → 00:21:03 โอ
00:21:03 → 00:21:06 หักดิบไปแล้ว 5 วันผมแนะนำว่าถ้าใครมี
00:21:06 → 00:21:07 ช่วงที่แบบตัวเองไม่สบายอยู่เนี่ย
00:21:07 → 00:21:09 อ๋อพี่หมีหักดิบ 5 วันเองโดย
00:21:09 → 00:21:10 จากการที่ป่วยเนาะอ
00:21:10 → 00:21:14 เพราะว่าผมอ่ะเคยเคยหักดิบกาแฟแต่เอ่อโดย
00:21:14 → 00:21:17 ที่ไม่ได้ป่วยนะมันประมาณ 3 วันนั่นแหละ
00:21:17 → 00:21:20 มันก็จะดีขึ้นค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆฮะแต่ว่า
00:21:20 → 00:21:23 ถ้าแนะนำก็รู้สึกว่าหักดิบเนี่ยในช่วงที่
00:21:23 → 00:21:26 เราต้องพักผ่อนร่างกายเนี่ยเป็นช่วงที่ดี
00:21:26 → 00:21:26 มาก
00:21:26 → 00:21:28 ก็ก็เป็นอีกทางเลือกนึงแต่อีกทางเลือกนึง
00:21:28 → 00:21:30 มันจะมีหลักมันจะมีหลายเทคนิคมากมันใช้
00:21:31 → 00:21:32 มันเป็นเทคนิคเดียวกับการลดหวานลดเค็มเลย
00:21:32 → 00:21:35 ครับ 1 หักดิบ 2 ค่อยๆลดสมมุติว่าวันนึง
00:21:35 → 00:21:36 เรากิน 2 ลิตรอ
00:21:36 → 00:21:39 ก็ให้ตัวเองกิน 2 ลิตรไปอีกสัก 2 อาทิตย์
00:21:39 → 00:21:40 ครับ
00:21:40 → 00:21:41 ถ้ายังมีชีวิตอยู่นะ
00:21:41 → 00:21:42 อือ
00:21:42 → 00:21:45 แล้วแล้วแล้วสัปดาห์ที่ 3 ก็เหลือ 1 ลิตร
00:21:45 → 00:21:46 ค่อยๆลดลง
00:21:46 → 00:21:48 สัปดาห์ที่ 4 1 ลิตรสัปดาห์ที่ 5 1
00:21:48 → 00:21:50 ลิตรสัปดาห์ที่ 6 เหลือ 0.75 75 ครับ
00:21:50 → 00:21:51 ค่อยๆลด
00:21:51 → 00:21:55 พอมันเหลืออ่าวันละแก้วใช่มั้ครับก็ขยับ
00:21:55 → 00:21:58 ไปเป็น 2 วันแก้ว 2 วันแก้วอีกสักเดือน
00:21:58 → 00:22:00 นึงค่อยๆเฟสลงไปแบบนี้จะยั่งยืนแล้วมันจะ
00:22:01 → 00:22:02 ไม่รู้สึกทรมานอ
00:22:02 → 00:22:02 อือๆ
00:22:02 → 00:22:04 นะครับอันนี้คือ
00:22:04 → 00:22:08 วิธีที่ 2 วิธีที่ 3 คือให้ทำน้ำมัดลมสี
00:22:08 → 00:22:08 ดำ
00:22:08 → 00:22:09 อือ
00:22:09 → 00:22:10 หรือสีอะไรก็ได้ทำเองอ
00:22:10 → 00:22:11 อือ
00:22:11 → 00:22:13 เพราะพอทำเองอ่ะเรา 1 ไม่ต้องเติมแคอีนก็
00:22:13 → 00:22:14 ได้
00:22:14 → 00:22:16 น้ำตาลเราสามารถเลือกจะเป็นชนิดไหนก็ได้
00:22:16 → 00:22:19 จะใส่น้ำตาลปกติก็ได้จะใส่น้ำตาลที่เรา
00:22:19 → 00:22:21 เชื่อว่าปลอดภัยก็ได้
00:22:21 → 00:22:27 หรือไม่ใส่คาเฟอีนหรือใส่คาฟอีนก็ได้
00:22:27 → 00:22:28 เป็นคฟโคล่าเนาะที่
00:22:28 → 00:22:29 อเค้าเรียกว่าฟโล่า
00:22:29 → 00:22:31 cฟโคล่าฟาร่าตอนนี้มันเป็น
00:22:31 → 00:22:33 ค่อนข้างเป็นเทรนด์ในต่างประเทศอยู่นะ
00:22:33 → 00:22:34 ญี่ปุ่นเนาะ
00:22:34 → 00:22:36 ญี่ปุ่นเยอะมากอะไรเงี้ยแล้วก็
00:22:36 → 00:22:40 ไปญี่ปุ่นจะเห็นมีทั้งเอ่อเป็นกระป๋องขาย
00:22:40 → 00:22:40 ครับ
00:22:40 → 00:22:43 เทียบกับเจ้าอื่นๆใหญ่ๆเนี่ยมีเป็นเจ้า
00:22:43 → 00:22:46 เล็กๆที่เป็นคาเฟ่คฟโคล่าอย่างเดียวก็มี
00:22:46 → 00:22:48 นะแต่ตอนนี้ก็รู้สึกว่าคนไทยก็เริ่มทำคฟ
00:22:48 → 00:22:49 โคล่าเองมากขึ้น
00:22:49 → 00:22:50 ครับ
00:22:50 → 00:22:53 แต่ว่าอย่างของเชฟทักเนี่ยก็คือทำมาสัก
00:22:53 → 00:22:53 พักใหญ่แล้วเนาะ
00:22:53 → 00:22:56 อความจริงฟาร่าเนี่ยผมแกะสูตร
00:22:56 → 00:22:59 ตั้งแต่เมืองไทยยังฟาร่ายังไม่ดังอ
00:22:59 → 00:23:03 ประมาณ 4 4-5 ปีที่แล้วอืแต่พอมันเริ่ม
00:23:03 → 00:23:06 ดังคือผมไม่รู้มันดังดังเพราะอะไรนะแต่ผม
00:23:06 → 00:23:08 ก็ดีใจที่ที่คนไทยหันมาเริ่มทำcฟคaเอง
00:23:08 → 00:23:10 เพราะอย่างน้อยแสดงว่าเขาคเcิร์นเรื่อง
00:23:10 → 00:23:12 สุขภาพแม้ว่าต้นทุนในการทำcฟ cola จะแพง
00:23:12 → 00:23:16 กว่าตัวน้ำดำที่ดำเพราะว่ามันทำจากวัตถุ
00:23:16 → 00:23:20 ดิบธรรมชาติโคล่าเนี่ยมันสามารถแกะด้วย
00:23:21 → 00:23:23 โครงสร้างเดียวกับตัวโคล่าที่ขายได้เลย
00:23:23 → 00:23:23 มั้ฮะ
00:23:23 → 00:23:26 ปัจจุบันสูตรของโคล่าจริงๆเขาก็บอกเป็น
00:23:26 → 00:23:29 ความลับมากแม้ว่ามันจะมีข่าวลือว่ามันมี
00:23:29 → 00:23:32 คนไปที่รัฐแอตแลนต้าแล้วไปเปิดตู้เซฟแล้ว
00:23:32 → 00:23:34 ถ่ายออกมาเป็นลักษณะลายมือซึ่งลายมืออัน
00:23:34 → 00:23:37 นั้นน่ะเา้าก็บอกหมดว่าว่าใส่อะไรบ้างมัน
00:23:37 → 00:23:39 คือผมไม่รู้ว่ามันมันจริงหรือเปล่านะหรือ
00:23:39 → 00:23:42 มันอาจจะเป็นอันมakeขึ้นมาหรือเปล่า
00:23:42 → 00:23:43 อ
00:23:43 → 00:23:46 สูตรของน้ำดำอ่ะเค้าเรียกว่ามันเป็นเบน
00:23:46 → 00:23:49 ระหว่างซิrัสกับเครื่องเทศ
00:23:49 → 00:23:49 อื
00:23:49 → 00:23:52 ซึ่งไอ้ในสูตรอันนั้นที่เขาเขียนน่ะซิrัส
00:23:52 → 00:23:56 เขาเขียนว่ามีมีซิrัสอยู่ทั้งหมด 3 ตัวก็
00:23:56 → 00:23:58 คือเลมอนเหลืองไม่ใช่ของไทยแล้วก็มะนาว
00:23:58 → 00:24:02 เขียวก็คือบ้านเรามีแล้วก็ดอกส้ม orange
00:24:02 → 00:24:04 blossom นะครับอันนี้คือกลุ่มซีตัส
00:24:04 → 00:24:06 แต่ถ้าใส่แต่ซิัสอย่างเดียวแล้วมาใส่โซดา
00:24:06 → 00:24:08 มันก็กลายเป็นโซดาหรือว่ามะนาวโซดาอะไร
00:24:09 → 00:24:09 ประมาณนี้
00:24:09 → 00:24:12 เอกลักษณ์ของน้ำดำอีกอันนึงนอกจากสีแล้ว
00:24:12 → 00:24:13 ก็คือเครื่องเทศ
00:24:13 → 00:24:13 อื
00:24:13 → 00:24:15 เครื่องเทศเค้าเขียนไว้อยู่ว่ามีอบเชย
00:24:15 → 00:24:18 ซินามอนนะครับมีเม็ดผักชีปกติตัวนี้เม็ด
00:24:18 → 00:24:21 ผักชีใส่ในของคามไก่ท่อถาดใหญ่ใส่ในแกง
00:24:21 → 00:24:23 แดงอะไรประมาณเนี้ยครับแล้วก็มีนัดเหม็ก
00:24:23 → 00:24:24 หรือลูกจันทร์เทศครับ
00:24:24 → 00:24:27 อ่าคาดมลูกกวาแล้วเขาก็ใส่เบนกันเพราะ
00:24:27 → 00:24:29 งั้นพอกลิ่นเครื่องเทศมาเจอกลิ่นซีตรัส
00:24:29 → 00:24:31 แล้วมีความคาราเมลนิดๆ
00:24:31 → 00:24:31 อือ
00:24:31 → 00:24:33 มันก็จะได้เอกลักษณ์ของความเป็นโคล่าออก
00:24:33 → 00:24:37 มาเอกลักษณ์ของโคล่าหรือน้ำดำมันคือศิลปะ
00:24:37 → 00:24:39 การblนflวอเลยครับคือเท่าที่ผมสังเกตอ่ะ
00:24:39 → 00:24:41 มันจะไม่มีตัวไหนเด่นกว่ากัน
00:24:41 → 00:24:41 อือ
00:24:41 → 00:24:44 ถ้าซีตัสเด่นมันก็จะไม่ใช่ละหรือว่าถ้า
00:24:44 → 00:24:46 เครื่องเทศเด่นมันก็จะกลายเป็นออกพะโล้
00:24:46 → 00:24:47 อือ
00:24:47 → 00:24:50 ทุกตัวไม่ได้ไม่ได้นำใครแต่ทุกตัวมันแบบ
00:24:50 → 00:24:53 มาเท่าๆกันจนเราไม่สามารถแยกได้อันนี้ตาม
00:24:53 → 00:24:55 ที่ผมเคยทดลองอันเนี่ยอันนี้ผมก็
00:24:55 → 00:24:57 เพิ่งต้มตะกี้เองเพิ่งต้มเมื่อเช้า
00:24:57 → 00:25:00 มันก็จะมีคราฟโคล่าอันนี้คือหัวน้ำเชื่อม
00:25:00 → 00:25:00 อ่า
00:25:00 → 00:25:01 เนี่ยครับอันนี้เป็นคราฟโคล่า
00:25:01 → 00:25:04 กี้ถามว่าไอ้ตัวความหวานของมันนะครับส่วน
00:25:04 → 00:25:05 ใหญ่มันจะใช้อะไรนะ
00:25:05 → 00:25:06 น้ำตาลทราย
00:25:07 → 00:25:10 น้ำตาลทรายหรือบางสูตรก็ใช้น้ำตาลทรายแดง
00:25:10 → 00:25:11 อื
00:25:11 → 00:25:13 แต่น้ำตาลทรายแดงพอใช้มันจะมีกลิ่นกากน้ำ
00:25:13 → 00:25:14 ตาลจากโมลันิดหน่อย
00:25:14 → 00:25:16 ก็ก็เป็นก็เป็นเค้าเรียกว่าเป็นเสน่ห์ของ
00:25:16 → 00:25:21 ของฟัล่าดีเหมือนกัน
00:25:21 → 00:25:25 ซึ่งคาเฟอีนก็จะอยู่ในไหนของส่วนประกอบ
00:25:25 → 00:25:28 คาเฟอีนดั้งเดิมแล้วตอนที่เขาคิดค้นโคล่า
00:25:28 → 00:25:31 ตั้งแต่ถ้าเทียบนะไทยคือรัชกาลที่ 5 130
00:25:31 → 00:25:32 140 ปีที่แล้ว
00:25:32 → 00:25:32 อ
00:25:32 → 00:25:34 มันอยู่ในโคล่านัท
00:25:34 → 00:25:35 อือ
00:25:35 → 00:25:36 คาเฟอีนมาจากตัวนั้น
00:25:36 → 00:25:39 แต่ปัจจุบันวัตถุดิบนี้มันน้อยลงปัจจุบัน
00:25:39 → 00:25:41 เขาก็เลยมีการเติมคาเฟอีนบริสุทธิ์ก็คือ
00:25:41 → 00:25:42 เป็นผงอ่ะเติมลงไปเลย
00:25:43 → 00:25:43 ออ
00:25:43 → 00:25:45 ไม่ต้องใช้โคล่านัทแล้ว
00:25:45 → 00:25:46 ไอ้ตัวโคล่านัทเนี่ย
00:25:46 → 00:25:51 เอ่อมันมีเจ้านึงที่ผมเคยทำคอลัมน์ใน The
00:25:51 → 00:25:52 Cloud เนี่ยของญี่ปุ่นนะ
00:25:52 → 00:25:54 ชื่ออิโยชิโค่าไปดูได้ฮะอันเนี้ยคือเป็น
00:25:54 → 00:25:57 คนญี่ปุ่นที่เขาไปแอฟริกาเพื่อไปเอา
00:25:57 → 00:25:57 โคลนัสนะ
00:25:57 → 00:25:59 อ๋อใช่โนัสมันมันต้นกำหนดอยู่อเมริกา
00:25:59 → 00:26:01 ออฟริกาเบอกว่าจริงๆแล้วไอ้ตัวเมันเป็น
00:26:01 → 00:26:03 ตัวที่มันมีคาเฟอีนผสมอยู่
00:26:03 → 00:26:03 ครับ
00:26:03 → 00:26:06 ในตัวมันมันก็เลยใช้ตัวเเป็นเบสของไอ้ตัว
00:26:07 → 00:26:09 เรียกว่าเป็นบอดี้ของของคาเฟอีนที่อยู่ใน
00:26:09 → 00:26:10 ตัวโคล่า่
00:26:10 → 00:26:13 เออแต่ทีนี้ผมก็เคยได้ยินว่าบ้านเราเนี่ย
00:26:13 → 00:26:15 ไม่แน่ใจอาจจะถูกผิดเลยต้องเช็คอีกทีครับ
00:26:15 → 00:26:17 เพราะว่าเค้าบอกว่าบ้านเราเนี่ยตัวโคนนั
00:26:17 → 00:26:19 มันอาจจะไม่ได้ถูกกฎหมาย
00:26:19 → 00:26:21 ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าขนส่งจากแอฟริกา
00:26:21 → 00:26:23 หรือเปล่าหรือมันมีสารอะไรบางอย่างในนั้น
00:26:23 → 00:26:26 หรือเปล่าที่แบบสามารถเอาไปให้เป็นอย่าง
00:26:26 → 00:26:27 อื่นได้อะไรอย่างเงี้ย
00:26:27 → 00:26:29 มันไม่น่ามีสารอะไรแต่ด้วยความที่อ่ามัน
00:26:29 → 00:26:32 เป็นวัตถุดิบที่ค่อนข้างใหม่มากมันยังไม่
00:26:32 → 00:26:34 ผ่านกระบวนการอย.อะไรประมาณเนี้ยผมคิดว่า
00:26:34 → 00:26:37 ก็เลยยังไม่ยังไม่ได้ถูกกฎหมายในเชิงนั้น
00:26:37 → 00:26:38 ไม่คงไม่ได้ถูกกฎหมายในเชิงมันมีสารเสพ
00:26:38 → 00:26:39 ติด
00:26:39 → 00:26:39 อือๆ
00:26:39 → 00:26:41 แต่ความจริงน้ำดำสมัยก่อนน่ะมันจะนอกจาก
00:26:41 → 00:26:45 มีคนลาที่เป็นแคเฟอีนแล้วเขาจะผสมใบโคคา
00:26:45 → 00:26:47 ก็คือมันจะมีโคเคนมันจะเป็นวัตถุดิบนึง
00:26:47 → 00:26:49 ที่ช่วยลดความเจ็บปวดเป็นสารเสพติด
00:26:49 → 00:26:51 อันเนี้ยอันเนี้ยผิดกฎหมายจริง
00:26:51 → 00:26:52 ผมเคยได้ยินเรื่องนี้เหมือนกันว่าเมื่อ
00:26:53 → 00:26:54 ก่อนเนี่ยเขามีไโคจริง
00:26:54 → 00:26:57 ต้นกำเนิดของน้ำดำอ่ะคือมาจากอเมริการัฐ
00:26:57 → 00:26:58 จอร์เจีย
00:26:58 → 00:26:59 อือ
00:26:59 → 00:27:02 เป็นเภสัชกรที่เขาผลิตภสัชกร
00:27:02 → 00:27:03 นั้นน่ะไปรบแล้วบาดเจ็บอ่า
00:27:03 → 00:27:06 เเลยติดมรฟีนเขาก็เลยจะหาสารอื่นที่แบบ
00:27:06 → 00:27:08 เฮ้ยมันมีสารอื่นที่เแทนมอร์ฟีนได้เขาก็
00:27:09 → 00:27:09 เลย
00:27:09 → 00:27:11 formulate ตัว
00:27:11 → 00:27:11 น้ำ
00:27:11 → 00:27:13 โคล่าขึ้นมาเป็นครั้งแรกของโลกตอนแรกเลย
00:27:14 → 00:27:16 เขาเอาไบโคมาต้มกับไวนไวนแดงก่อน
00:27:16 → 00:27:17 อือ
00:27:17 → 00:27:19 แต่ปรากฏว่าเขาบอกอ่าเหมือนแอลกอฮอล์มัน
00:27:19 → 00:27:21 ผิดกฎหมายไม่ให้เอเมริกาไม่อนุญาตให้ใช้
00:27:21 → 00:27:23 อะไรประมาณเนี้ยเก็เลยเปลี่ยนเป็นน้ำ
00:27:23 → 00:27:23 เชื่อม
00:27:23 → 00:27:25 แล้วใช้โค้ดล่านัดเป็นแหล่งของแคฟอีนอ
00:27:25 → 00:27:26 อือๆ
00:27:26 → 00:27:28 อันนี้คือคือต้นกำเนิดต้นกำเนิดแบบสูตร
00:27:28 → 00:27:30 แรกเลยอ่ะของโคล่า
00:27:30 → 00:27:32 อซึ่งโคล่าเนี่ยโคล่านั้นเนี่ยผมว่าถ้า
00:27:32 → 00:27:35 ใครหาได้ก็ลองน่าจะลองนะคือผมมีเพื่อนที่
00:27:35 → 00:27:37 ทำเหมือนกันแล้วก็เาเคยใช้โคลานัสเนี่ยมา
00:27:37 → 00:27:38 ทำ
00:27:38 → 00:27:41 กลิ่นมันจะไม่ใช่อย่างที่เรากินคาฟโคล่า
00:27:41 → 00:27:45 ทั่วไปและเอ่อโคล่าในยี่ห้อต่างๆนะ
00:27:45 → 00:27:47 กลิ่นเป็นถั่วๆผมไม่รู้นะ
00:27:47 → 00:27:49 ผมผมจำไม่ได้ว่ากลิ่นมันแต่มันกลิ่นมันจะ
00:27:49 → 00:27:50 พิเศษมากครับกลิ่นมันจะไม่ใช่แบบ
00:27:50 → 00:27:52 อ๋อดีหรือไม่ดี
00:27:52 → 00:27:53 ผมว่าไม่คุ้น
00:27:53 → 00:27:54 ไม่คุ้นดีกว่าครับ
00:27:54 → 00:27:56 เออผมว่าคนกินน่ะไม่รู้สึกว่าเฮ้ยอันนี้
00:27:56 → 00:27:59 คืออะไรวะไม่นึกนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร
00:27:59 → 00:28:00 มันไม่ใช่กลิ่นที่เราคุ้นเลย
00:28:00 → 00:28:02 ตอนแรกผมได้ยินคำว่าโคล่านัทผมอ่ะ expect
00:28:02 → 00:28:04 ว่ามันจะจะต้องกินแบบเหมือนโคล่าเลยแบบ
00:28:04 → 00:28:06 ไม่ต้องมาใส่ไอ้พวกเครื่องเทศพวกนี้
00:28:06 → 00:28:09 ไม่ใช่เลยซึ่งจริงๆอย่างที่เชฟบอกว่า
00:28:09 → 00:28:10 กลิ่นพวกโคราชเนี่ยหลักๆมันคือกลิ่น
00:28:10 → 00:28:12 สมุนไพรเนาะ
00:28:12 → 00:28:12 ครับ
00:28:12 → 00:28:13 กับซีตัสนั่นแหละอือ
00:28:13 → 00:28:18 แต่เวลาเวลาทำเองมันสนุกดีฮะก็ก็จะได้ทด
00:28:18 → 00:28:20 ลองสูตรของตัวเองไปเรื่อยๆเนาะ
00:28:20 → 00:28:23 อเนี่ยผมลองดมสมมุติว่ากินเลมอนเฉยๆก็ไม่
00:28:23 → 00:28:24 ใช่โคล่า
00:28:24 → 00:28:27 ซินอนเฉยๆนี้ก็กินเหมือนเหมือน r ใช่มั้ย
00:28:27 → 00:28:27 แต่พอแบบ
00:28:27 → 00:28:28 อ
00:28:28 → 00:28:29 มาคู่กันน่ะ
00:28:29 → 00:28:30 อ
00:28:30 → 00:28:30 ใช่
00:28:31 → 00:28:35 [เพลง]
00:28:35 → 00:28:38 ทีนี้ตัวคฟโคล่าที่เชฟทำเนี่ยเห็นว่าทำ
00:28:38 → 00:28:39 เป็นแบบไม่มีน้ำตาล
00:28:39 → 00:28:43 ต้นตำรับอ่ะคือคาฟโคล่าที่มีน้ำตาลปกติ
00:28:43 → 00:28:44 ครับ
00:28:44 → 00:28:48 นะครับลองเดี๋ยวผมเทออกมาให้ดม
00:28:48 → 00:28:50 ต้องดมแบบเนี้ยไม่งั้นไม่งั้นกลิ่นไม่ออก
00:28:50 → 00:28:51 อือ
00:28:51 → 00:28:54 เนี่ยอันนี้คือคาฟโคล่าที่มีน้ำตาลปกติ
00:28:55 → 00:28:55 อื
00:28:55 → 00:28:57 อันนี้โคล่าแล้วอันนี้คือโคล่าแล้วอันนี้
00:28:57 → 00:28:58 คือตัวไม่มีน้ำตาลใช่มั้
00:28:58 → 00:28:59 ถ้า
00:28:59 → 00:29:01 กลิ่นมันจะต่างกันมั้โอเค
00:29:01 → 00:29:04 อ่ะตะกี้ตะกี้ดมตัวมีน้ำตาลแล้วเนาะอัน
00:29:04 → 00:29:07 นี้เดี๋ยวผมให้ดมตัวที่เป็น
00:29:07 → 00:29:11 ซีโรแควอ่าไม่ไม่ได้ใช้ไม่ได้ใช้น้ำตาล
00:29:11 → 00:29:12 นี้คือเป็นแบบซีโรว
00:29:12 → 00:29:14 ซีโร่แคว
00:29:14 → 00:29:16 คือกลิ่นทั้งคู่มันเหมือนกันนะแต่มันแค่
00:29:16 → 00:29:17 แบบอันนึงใช้น้ำตาล
00:29:17 → 00:29:19 น้ำตาลทรายปกติน้ำตาลทรายขาว
00:29:19 → 00:29:21 เออแต่ว่ามันก็จะมีอชัที่แบบเราไม่ได้
00:29:21 → 00:29:23 อยากได้น้ำตาลทรายขาวเนี่ยเราสามารถใช้
00:29:23 → 00:29:24 อะไรแทนได้บ้างฮะ
00:29:24 → 00:29:25 เพื่อลดแคลอรี่
00:29:25 → 00:29:28 อ่าสามารถใช้หญ้าหวานหรือรอฮังกวยได้
00:29:28 → 00:29:30 เพราะตอนนี้มันมีขายทั่วไปตามของตลาดอยู่
00:29:30 → 00:29:33 แล้วแต่ต้องผสมดีๆเพราะว่าบางยี่ห้ออ่ะ
00:29:33 → 00:29:36 ใส่แล้วติดขมมากแต่ความจริงเครื่องดื่ม
00:29:36 → 00:29:38 น้ำอัดลมสีดำที่เขาขายตามท้องตลาดอ่ะเวลา
00:29:38 → 00:29:40 กินมันก็รู้อยู่แล้วว่ามันมันจะมีติดขม
00:29:40 → 00:29:41 นิดๆจาก
00:29:41 → 00:29:43 คือรู้อ่ะกินแล้วรู้ว่าเป็นน้ำตาลเทียม
00:29:43 → 00:29:44 อ่าฮะ
00:29:44 → 00:29:46 มันเพราะฉะนั้นอย่าไป expect ว่ารสมันจะ
00:29:46 → 00:29:48 คลีนเหมือนน้ำตาลปกติมันยังไงมันก็มีติด
00:29:48 → 00:29:50 ขมแต่มันมันไม่ใช่ขมแบบ
00:29:50 → 00:29:51 ขม
00:29:51 → 00:29:53 มันไม่ใช่ขมแบบน้ำดำอ่ะมันขมติดลิ้นแล้ว
00:29:53 → 00:29:55 กินรู้ว่าเป็นน้ำตาลเทียมอ่ะมันหวานแบบ
00:29:55 → 00:29:56 หลอกๆ
00:29:56 → 00:29:56 เออโอเค
00:29:56 → 00:29:58 มันก็ต้องมีคomiseตรงนี้บ้าง
00:29:58 → 00:30:01 ครับจริงๆแล้วอ่ะมันมันขบแน่นอนอยู่แล้ว
00:30:01 → 00:30:04 เพราะว่าเปลือกเลมอนหรือเปลือกมะนาวก็ตาม
00:30:04 → 00:30:07 เนี่ยถ้าไม่ได้มันจะติดขมอยู่บ้างอะไร
00:30:07 → 00:30:10 ใช่มันติดขมแม้กระทั่งแคเฟอีนตัวมันเอง
00:30:10 → 00:30:11 คือให้รสขมโดยตรง
00:30:11 → 00:30:14 อ่าใช่ใช่แล้วก็อีกอันนึงที่ที่น่าจะต้อง
00:30:14 → 00:30:17 บอกก็คือเราจะต้องต้มทั้งผิวอ่ะ
00:30:17 → 00:30:17 ค่ะ
00:30:17 → 00:30:19 เพราะฉะนั้นแล้วถ้าหาพวกเนี้ยเป็น
00:30:19 → 00:30:21 ออร์แกนิคได้จะดีมากเพราะว่าเราต้องใส่
00:30:21 → 00:30:22 เข้าไปทั้งผิวจริงๆอ
00:30:22 → 00:30:25 หรือเอามาก็ช่วยขัดเกลือขัดอะไรให้ล้างๆ
00:30:25 → 00:30:28 หลายๆรอบแล้วส่วนใหญ่มะนาวพวกเนี้ยครับเ
00:30:28 → 00:30:30 บางบางอันนะไม่ใช่ทุกอันเบางทีเขาชอบ
00:30:30 → 00:30:32 เคลือบแวกมาเพื่อให้มันอยู่ใน
00:30:32 → 00:30:33 ซุเปอร์มาร์เก็ตได้นาน
00:30:33 → 00:30:33 อือๆ
00:30:33 → 00:30:37 อาจจะล้างน้ำอุ่นน้ำร้อนเหมือนๆที่หลายคน
00:30:37 → 00:30:39 ทดลองกับแอปเปิลแอปเปิ้ลอย่างเงี้ยครับ
00:30:39 → 00:30:41 เอาน้ำร้อนเทอ่ะ
00:30:41 → 00:30:43 คราบขาวลอยขึ้นมาเลยเพราะมันเป็นแวกที่
00:30:43 → 00:30:44 เขาไว้เคลือบผลไม้อ
00:30:44 → 00:30:45 อ่าฮะ
00:30:45 → 00:30:46 ลดการคายน้ำ
00:30:46 → 00:30:50 อืแต่ทีนี้คาฟโคล่าเราทำกินเอง
00:30:50 → 00:30:53 ส่วนใหญ่เนี่ยมันไม่สามารถใส่โซดาแล้ว
00:30:53 → 00:30:55 ทิ้งไว้ในตู้เย็นนะมันก็จะแบบไม่งั้นมัน
00:30:55 → 00:30:56 จะกลายเป็นแบบฟองมันก็จะหายหมด
00:30:56 → 00:30:57 อื
00:30:57 → 00:31:01 เราจะต้องทำเป็นหัวเชื้ออย่างเงี้ยคนใช่
00:31:01 → 00:31:04 แล้วก็เวลาจะกินก็จะค่อยใส่โซดาใส่น้ำ
00:31:04 → 00:31:05 แข็งแบบนี้นะขออนุญาต
00:31:05 → 00:31:07 ใช่อันนี้อันนี้ตัวน้ำตาลปกติใช่มย
00:31:07 → 00:31:09 อ่าอ่าใช่ครับ
00:31:09 → 00:31:11 ใช่
00:31:11 → 00:31:11 น้ำตาล
00:31:11 → 00:31:13 ใส่เลยครับอันนี้น้ำตาลปกติมันก็ใส่ลงไป
00:31:13 → 00:31:17 ก่อนแล้วก็ต้องผสมผสมโซดา
00:31:17 → 00:31:20 อัตราส่วนคนจะเท่าไหร่
00:31:20 → 00:31:24 ผมไม่เคยกะเลยชอบถ้าชอบหวานก็ใส่โซดาน้อย
00:31:24 → 00:31:28 นะครับน่าจะสัก 2 แก้วอ่ะพี่ใส่ลงไป
00:31:28 → 00:31:34 2 แก้วแล้วกัน
00:31:34 → 00:31:39 เนี่ยครับแล้วก็คนหน่อยไม่งั้นมันนอนก้น
00:31:39 → 00:31:40 อื
00:31:40 → 00:31:42 อันนี้อันนี้แบบน้ำตาลอ๋อโอเคเดี๋ยว
00:31:42 → 00:31:43 เดี๋ยวลองชิมแบบซีโร่ตามหลัง
00:31:43 → 00:31:46 ได้
00:31:46 → 00:31:49 เนี่ยปัญหาปัญหานึงอีกอันนึงไม่รู้คนอื่น
00:31:49 → 00:31:51 เป็นหรือเปล่าแต่ผมอ่ะเป็นคือผมเลี่ยงกิน
00:31:52 → 00:31:54 น้ำอัดลม 1 อย่างเพราะว่าผมกินแล้วมันปวด
00:31:54 → 00:31:56 ท้องผมก็เลยแบบว่าจะถามเชฟว่า
00:31:56 → 00:31:58 จริงจริงๆแล้วไอ้พวกโซดาเนี่ยไม่ต้องไม่
00:31:58 → 00:32:01 ต้องรวมถึงโคล่านะแต่ว่าโซดาปกติอ่ะมันมี
00:32:01 → 00:32:04 ผลกับร่างกายอันตรายกับร่างกายมั้ยโซดา
00:32:04 → 00:32:06 มันถือว่าเป็นกรดอ่อนชนิดนึงนะครับเพราะ
00:32:06 → 00:32:07 นั้นถ้ากิน
00:32:07 → 00:32:09 เยอะๆคือถ้ามันหลุดซึมเข้าเลือดแล้วมัน
00:32:09 → 00:32:10 ไม่เป็นไร
00:32:10 → 00:32:11 เพราะตะกี้ที่ผมบอกตอนต้นรายการน่ะกด
00:32:11 → 00:32:13 คาร์โบอิคมันไม่ได้มีอะไรอยู่แล้วแต่มัน
00:32:13 → 00:32:16 เป็นมีมันมันมีปัญหาเชิงเชิงกายภาพคือพอ
00:32:16 → 00:32:19 มันทุกอย่างที่เป็นกรดอ่ะแม้กระทั่งน้ำ
00:32:19 → 00:32:19 มะนาว
00:32:19 → 00:32:20 อือ
00:32:20 → 00:32:22 ถ้ามันเข้มข้นมากๆมันจะไม่มันจะไปกัดตาม
00:32:22 → 00:32:25 เนื้อเยื่อของร่างกายครับทำให้
00:32:25 → 00:32:28 อะไรนะที่เคลือบฟันเอาเมลมันมันสึกกร่อน
00:32:28 → 00:32:30 ได้หรือถ้าใครที่เขาเป็นโรคกระเพาะอ
00:32:30 → 00:32:30 ผมนั่นแหละ
00:32:30 → 00:32:34 นั่นแหละแล้วกินไม่ต้องน้ำดำหรือโซดาปกติ
00:32:34 → 00:32:35 อ่ะ
00:32:35 → 00:32:37 มันเป็นกดมันก็จะไปทำให้แผลมัน
00:32:38 → 00:32:38 ระคายเคืองเลย
00:32:38 → 00:32:41 ระคายเคืองหลายคนกินเพราะงั้นวิธีการแก้
00:32:41 → 00:32:44 คือถ้ายังอยากกินอยู่คือควรกินพร้อมอาหาร
00:32:44 → 00:32:46 หรือหลังอาหารจะดีกว่าอย่ากินตอนทองว่าง
00:32:46 → 00:32:46 ครับ
00:32:46 → 00:32:47 อโอเค
00:32:47 → 00:32:49 หรือว่าถ้าเป็นเรื่องเคลือบฟันน่ะไม่ควร
00:32:49 → 00:32:52 กินแบบตะกี้พี่หมีกินเขาบอกให้ใช้หลอด
00:32:52 → 00:32:53 ดูดร
00:32:53 → 00:32:55 เพราะมันจะหลอดดูดมันทำให้ของเหลวอ่ะผ่าน
00:32:55 → 00:32:57 ลงนี่นี่ไปเลยไม่โดนฟัน
00:32:57 → 00:32:57 อ๋อ
00:32:57 → 00:32:59 ไม่โดนฟันหลายคนที่ชอบกินน้ำมะนาวเค้าทำ
00:32:59 → 00:33:01 อย่างี้ก็คือใช้หลอดดูด
00:33:01 → 00:33:03 ถ้ากินแบบเนี้ยมันจะโดนฟันไปเรื่อยๆ
00:33:03 → 00:33:05 ผมเคยได้ยินเรื่องนี้จากคอมบูชาครับ Apple
00:33:05 → 00:33:08 ไเดอร์ vinica คือเขาจะบอกว่า
00:33:08 → 00:33:08 อ่าใช่
00:33:08 → 00:33:10 ให้หลอดดูดดีกว่า
00:33:10 → 00:33:13 ใช่ๆหรือเจือจังน้ำให้เยอะๆก็จะดีหรืออีก
00:33:13 → 00:33:15 อย่างนึงถ้าไม่มีหลอดดูดทำไมรู้มั้ครับ
00:33:15 → 00:33:18 กินอันนี้เข้าไปใช่มั้ครับถ้ามีสติเอาน้ำ
00:33:18 → 00:33:23 เปล่าตามมันก็จะเหมือนล้างอ่ะ
00:33:23 → 00:33:26 มันก็เป็นหนึ่งทางเลือกเนาะในการที่แบบ 1
00:33:26 → 00:33:29 เราจะลดในการกินโคล่าหรือน้ำอัดลม
00:33:29 → 00:33:30 ครับ
00:33:30 → 00:33:32 ค่อยๆลดแบบที่เชฟบอกมี 2 วิธีคือหักดิบ
00:33:32 → 00:33:33 หรือ
00:33:33 → 00:33:36 เราค่อยๆลดไปเป็นทีละน้อยหรือทำเองก็เป็น
00:33:36 → 00:33:36 วิธีนึง
00:33:36 → 00:33:38 ทำเองก็ได้คือสูตรในอินเทอร์เน็ตมีเยอะ
00:33:38 → 00:33:42 มากนะครับแต่ถ้าใครอยากได้สูตรแบบเนี้ย
00:33:42 → 00:33:45 ผมมีคลาสออนไลน์ก็ทักมาที่เพจได้หาเรื่อง
00:33:45 → 00:33:48 ขายของเองก็คือเพจของเชฟทักเลยเนาะ
00:33:48 → 00:33:50 ก็ก็เพจ Facebook ผมผมมีแค่ Facebook ผม
00:33:50 → 00:33:52 ในเพจผมไม่ได้มี IG หรือ TikTok อ่ะครับ
00:33:52 → 00:33:54 ก็ทัก The Chef เสิร์ชมาแล้วก็ทักข้อ
00:33:54 → 00:33:57 ความมาก็มาเรียนทำได้แบบซีโร่กับแบบ
00:33:57 → 00:33:58 อ
00:33:58 → 00:33:59 น้ำตาลปกติ
00:33:59 → 00:33:59 อือๆ
00:33:59 → 00:34:00 หวานมั้ยครับ
00:34:00 → 00:34:02 ไม่หวานมากผมว่ามันปรับเองได้แล้วแบบสุด
00:34:03 → 00:34:05 ท้ายไปเรียนผมว่าไปเรียนกับเชฟดีแล้ว
00:34:05 → 00:34:06 เรียน
00:34:06 → 00:34:09 เรียนให้ดูเบสิคก่อนแล้วก็มาปรับเองก็จะ
00:34:09 → 00:34:10 โอเ
00:34:10 → 00:34:12 เพื่อนผมบางคนชอบกลิ่นเลมอนนำเก็ใส่เลมอน
00:34:12 → 00:34:15 เยอะก็เป็นก็เป็น preference ของเขาแต่ผม
00:34:15 → 00:34:16 จะให้สูตรมาตรฐานไป
00:34:16 → 00:34:19 อืนั่นแหละฮะก็คือถ้าทำเองได้เดี๋ไปทำเอง
00:34:19 → 00:34:22 แต่ว่าผมสุดท้ายแล้วไม่มีใครพก
00:34:22 → 00:34:25 เอ่อคาฟโคล่าไปกินข้างนอกนะไม่
00:34:25 → 00:34:28 ไม่มีสสุดท้ายแล้วอ่ะการอยากกินตรงนั้น
00:34:28 → 00:34:29 น่ะมันก็อยากกินตรงนั้น
00:34:29 → 00:34:31 ก็จะต้องไปซื้อตามซุปเปอร์หรือร้านสะดวก
00:34:31 → 00:34:32 ซื้ออยู่ดี
00:34:32 → 00:34:35 อันนั้นน่ะก็ถ้าจะให้ดีคือดูฉลาก
00:34:35 → 00:34:36 ดูฉลาก
00:34:36 → 00:34:39 ว่าควรกินปริมาณแค่ไหนแล้วก็เอ่อกินให้
00:34:39 → 00:34:41 มันมีปริมาณที่ถูกต้อง
00:34:41 → 00:34:44 ที่ถูกต้องแต่ดีสุดคือค่อยๆลดแล้วสุดท้าย
00:34:44 → 00:34:47 เราจะหายไปเองเพราะฉะนั้นถ้าเราไปข้างนอก
00:34:47 → 00:34:50 เราไม่มีคาฟโคล่าเราก็ไม่มีความเสพติด
00:34:50 → 00:34:50 ความหวาน
00:34:50 → 00:34:51 อืครับ
00:34:51 → 00:34:55 กับตัวน้ำอัดลมซึ่งพอมันไม่กินน้ำอัดลม
00:34:55 → 00:34:57 น้ำตาลก็ลดไปด้วยครับก็ดีกับร่างกายครับ
00:34:57 → 00:35:00 อือๆวันนี้ได้ความรู้จากเชฟเยอะมากครับ
00:35:00 → 00:35:02 ต้องขอบคุณเชฟมากแล้วเดี๋ยว
00:35:02 → 00:35:04 คิดว่าในโอกาสหน้าจะชวนมาคุยกันอีกเรื่อง
00:35:04 → 00:35:06 อื่นครับขอบคุณมากนะครับ
00:35:06 → 00:35:08 ขอบคุณครับขอบคุณ
00:35:08 → 00:35:09 เลย
00:35:09 → 00:35:17 [เพลง]