00:00:12 → 00:00:14 สวัสดีครับท่านผู้ฟังทุกท่านครับ
00:00:14 → 00:00:18 พบกับรายการ Dr.Amp Podcast กับผมหมอแอมป์
00:00:18 → 00:00:22 ในอาทิตย์นี้เราจะมาคุยกันในตอน "กาแฟ"
00:00:22 → 00:00:26 มีผู้ฟังผู้ชมหลายท่านถามเข้ามาเรื่องสรรพคุณ
00:00:26 → 00:00:28 ข้อดีของกาแฟ ข้อเสียของกาแฟ
00:00:28 → 00:00:30 เราเริ่มต้นกันเลยแล้วกัน
00:00:30 → 00:00:36 กาแฟเป็นอาหารที่อยู่กับมนุษย์เรามาช้านาน
00:00:36 → 00:00:41 กาแฟนี่จริงๆ แล้วสารออกฤทธิ์ก็คือคาเฟอีน
00:00:41 → 00:00:44 ในกาแฟนี่มีสารออกฤทธิ์หลายอย่างนะครับ
00:00:44 → 00:00:46 วันนี้หมอจะแยกเป็น 2 ส่วน
00:00:46 → 00:00:49 ส่วนที่ 1 คือ ประโยชน์ของกาแฟ
00:00:49 → 00:00:53 แล้วส่วนที่ 2 ก็คือข้อเสียของกาแฟ
00:00:53 → 00:00:56 แน่นอนนะครับกาแฟหรืออาหารทุกชนิดบนโลก
00:00:56 → 00:01:00 หมอมักจะไม่ตอบว่าอะไรดี อะไรไม่ดี
00:01:00 → 00:01:04 เพราะตัวอาหารต่างๆ ถูกสร้างมาจากธรรมชาติ
00:01:04 → 00:01:05 ให้แตกต่างกัน
00:01:05 → 00:01:09 ขึ้นอยู่กับว่าใครรับประทานแล้วดี
00:01:09 → 00:01:11 ใครรับประทานแล้วไม่ดี
00:01:11 → 00:01:15 ตัวอาหารไม่ได้ผิด เพียงแต่ว่าเหมาะกับใครแค่นั้นเอง
00:01:15 → 00:01:17 ฉะนั้นวันนี้ กาแฟก็เช่นกันครับ
00:01:17 → 00:01:22 ทุกอย่างที่เป็นอาหาร ต้องดำเนินตามทางสายกลาง
00:01:22 → 00:01:26 ทานเยอะเกินไป คิดไว้เลยอาจจะเกิน อาจจะไม่ดี
00:01:26 → 00:01:30 ทานน้อยเกินไป อาจจะไม่ออกฤทธิ์ อาจจะไม่ได้ผล
00:01:30 → 00:01:34 กาแฟนี่ก็จะมีเพื่อนๆ ที่มีสารคาเฟอีนอยู่ในนั้น
00:01:34 → 00:01:35 มีอะไรบ้างครับ
00:01:35 → 00:01:38 มีชา มีกาแฟ มีโกโก้
00:01:38 → 00:01:43 มีช็อกโกแลต มีน้ำอัดลม มีเครื่องดื่มบำรุงกำลัง
00:01:43 → 00:01:45 มียาหลายชนิดที่ใส่คาเฟอีน
00:01:45 → 00:01:48 มีพืชที่ชื่อว่า เยอบา มาเต (Yerba mate)
00:01:48 → 00:01:50 มีพืชที่ชื่อว่ากวาราน่า (Guarana)
00:01:50 → 00:01:55 ทั้งหมดคือญาติพี่น้องกัน ที่มีสารคาเฟอีนอยู่ในนั้น
00:01:55 → 00:01:57 ย้อนกลับไปเลยครับตามประวัติ
00:01:57 → 00:02:00 2737 ปีก่อนคริสตกาล
00:02:00 → 00:02:05 หรือประมาณ 2157 ปีก่อนพุทธศักราช
00:02:05 → 00:02:07 ได้มีประวัติเขียนไว้ว่า
00:02:07 → 00:02:10 จักรพรรดิชาวจีน ชื่อ จักรพรรดิเฉินหนง
00:02:10 → 00:02:12 ท่านต้มน้ำเดือดอยู่
00:02:12 → 00:02:16 แล้วกิ่งใบชาหล่นลงไปในหม้อต้มนั้น
00:02:16 → 00:02:18 พอท่านเอากิ่งออก ใบไม้ออก
00:02:18 → 00:02:20 โอ้กลิ่นดี
00:02:20 → 00:02:25 นั่นเป็นจุดเริ่มต้นเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนที่มนุษย์ดื่มครั้งแรก
00:02:25 → 00:02:29 หลังจากที่กษัตริย์จักรพรรดิชาวจีนท่านค้นพบชา
00:02:29 → 00:02:31 หลังจากนั้นอีกนานหลายร้อยปี
00:02:31 → 00:02:33 มาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9
00:02:33 → 00:02:36 เราก็มีประวัติเพิ่มเติมเข้ามาว่า
00:02:36 → 00:02:40 ชาวเอธิโอเปียเขามีรูปวาดชื่อดัง
00:02:40 → 00:02:42 คาลดี คนเลี้ยงแพะ (Kaldi and the dancing goats)
00:02:42 → 00:02:44 ชาวเอธิโอเปียคนนี้ก็เลี้ยงแพะไป
00:02:44 → 00:02:48 แล้วเจ้าแพะก็ไปกินเมล็ดกาแฟดิบ
00:02:48 → 00:02:50 แล้วก็คึกคักแรงเยอะ
00:02:50 → 00:02:52 คนเลี้ยงแพะก็เลยเอามาทานด้วย
00:02:52 → 00:02:55 แล้วก็มีพลัง กำลังวังชา
00:02:55 → 00:02:57 ในประวัติเขาว่าอย่างนั้น
00:02:57 → 00:02:59 หลังจากเวลานั้น มาจนถึงเวลานี้
00:02:59 → 00:03:02 มนุษย์ก็เลยได้รู้จักกับ กาแฟ
00:03:02 → 00:03:06 กาแฟ มี 2 สายพันธุ์หลักๆ ในโลกใบนี้
00:03:06 → 00:03:09 1. ก็คือกาแฟพันธุ์โรบัสตา
00:03:09 → 00:03:11 ต้นกำเนิดนานมาแล้วครับ
00:03:11 → 00:03:15 เจอในภาคกลางและภาคตะวันตกของทวีปแอฟริกา
00:03:15 → 00:03:19 อีกชนิดหนึ่งเรียกว่ากาแฟอราบิกา
00:03:19 → 00:03:23 ต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศเอธิโอเปีย และประเทศเยเมน
00:03:23 → 00:03:24 ปัจจุบันนี้ครับ
00:03:24 → 00:03:27 เขาทำการวิจัยไว้จากมนุษย์ทั่วโลก
00:03:27 → 00:03:31 ประมาณ 80% ทานคาเฟอีนทุกวัน
00:03:31 → 00:03:33 80% ของคนทั้งโลก
00:03:33 → 00:03:33 แบ่งออกเป็น
00:03:33 → 00:03:36 71% ทานกาแฟ
00:03:36 → 00:03:40 16% ทานน้ำอัดลม เครื่องดื่มบำรุงกำลัง
00:03:40 → 00:03:42 แล้วก็ 12% ทานชา
00:03:42 → 00:03:47 จะเห็นว่าคาเฟอีนนี่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
00:03:47 → 00:03:49 เด็กๆ พ่อแม่ไม่ให้ทานเนอะ
00:03:49 → 00:03:53 พอเริ่มโตขึ้นมาหน่อย เริ่มจะสอบ เริ่มจะอ่านหนังสือ
00:03:53 → 00:03:56 ก็จะเริ่มแล้ว ไม่เราทานก่อน ก็เพื่อนๆ ชักชวน
00:03:56 → 00:03:58 วันนี้หมอจะมาเล่าให้ฟังว่า
00:03:58 → 00:04:01 เขามีประโยชน์และมีโทษอยู่ในนั้นหรือเปล่า
00:04:01 → 00:04:03 เพราะฉะนั้นเวลาเราคุยเรื่องกาแฟ
00:04:03 → 00:04:06 ก็หมายถึงคาเฟอีนไปโดยปริยาย
00:04:06 → 00:04:08 แล้วเวลาเราพูดถึงคาเฟอีน ก็หมายถึงช็อกโกแลต
00:04:08 → 00:04:11 หมายถึงโกโก้ หมายถึงน้ำอัดลม
00:04:11 → 00:04:15 คราวนี้เรามาดูระดับคาเฟอีนในอาหารและเครื่องดื่มกันหน่อย
00:04:15 → 00:04:18 ยกตัวอย่างประมาณแก้วเล็กแล้วกันนะ
00:04:18 → 00:04:20 แก้วเล็กก็ประมาณ 8 ออนซ์
00:04:20 → 00:04:22 หรือประมาณ 240 ซีซี
00:04:22 → 00:04:25 ในเอสเพรสโซ จะมีคาเฟอีนสูงถึงประมาณ
00:04:25 → 00:04:29 240-720 มิลลิกรัม
00:04:29 → 00:04:30 สูงเลยนะครับ
00:04:30 → 00:04:34 กาแฟดำ มีประมาณ 1-200 มิลลิกรัมแล้วแต่ยี่ห้อ
00:04:34 → 00:04:37 แล้วแต่เผ่าพันธุ์ แล้วแต่ชนิด
00:04:37 → 00:04:40 อะไรที่เกินกว่านี้ก็จะกระตุ้นเยอะ
00:04:40 → 00:04:45 เดี๋ยวจะดีด เดี๋ยวจะ Alert เดี๋ยวจะกะปรี้กะเปร่ามากเกินไป
00:04:45 → 00:04:50 เครื่องดื่มบำรุงกำลังมีประมาณ 50-160 มิลลิกรัม
00:04:50 → 00:04:52 ต่อ 240 ซีซี
00:04:52 → 00:04:57 ชา มีประมาณ 40-120 มิลลิกรัมคาเฟอีน
00:04:57 → 00:04:59 เยอบา มาเต เป็นพืชชนิดหนึ่ง
00:04:59 → 00:05:04 ในแอฟริกา ในอเมริกาใต้เขาเอามาต้มน้ำ
00:05:04 → 00:05:09 มีคาเฟอีนอยู่ในนั้นประมาณ 65-130 มิลลิกรัม
00:05:09 → 00:05:11 ในน้ำอัดลมก็มีนะครับ
00:05:11 → 00:05:16 ใครๆ ให้เด็กกินน้ำอัดลมต้องระวังเพราะมีคาเฟอีนเยอะ
00:05:16 → 00:05:19 ประมาณ 20-40 มิลิกรัม
00:05:19 → 00:05:23 ในโกโก้มีประมาณ 2-10 มิลลิกรัม
00:05:23 → 00:05:25 ในช็อกโกแลตก็มีนะครับ
00:05:25 → 00:05:28 ประมาณ 2-10 มิลลิกรัมเช่นกัน
00:05:28 → 00:05:29 ในกาแฟดีแคฟ
00:05:29 → 00:05:31 เขาเรียกกาแฟ Decafeiented
00:05:31 → 00:05:34 หรือว่าเอาคาเฟอีนออกไปแล้วโดยกระบวนการ
00:05:34 → 00:05:36 ก็ยังมีคาเฟอีนนะครับ
00:05:36 → 00:05:41 หลายท่านบอกว่าเข้าไปร้านกาแฟกินดีแคฟ
00:05:41 → 00:05:43 ทำไมกลางคืนนอนไม่หลับครับหมอแอมป์
00:05:43 → 00:05:46 เพราะยังเหลือคาเฟอีนประมาณ 3%
00:05:46 → 00:05:49 คือเขาสกัดแล้ว แต่สกัดได้ประมาณ 97%
00:05:49 → 00:05:53 ยังเหลือใน 1 แก้วประมาณ 3-12 มิลลิกรัม
00:05:53 → 00:05:56 ในช็อกโกแลต 1 ชิ้น ดาร์กช็อกโกแลต
00:05:56 → 00:05:58 ประมาณ 30 กรัมต่อชิ้น
00:05:58 → 00:06:02 มีคาเฟอีนประมาณ 5-35 มิลลิกรัม
00:06:02 → 00:06:03 อันนี้ตัวอย่างคร่าวๆ
00:06:03 → 00:06:06 ใครอยากรู้เพิ่มเติมลงค้นหาดูในอินเตอร์เน็ต
00:06:06 → 00:06:10 หมอแค่มาเล่าให้ฟังว่าแต่ละอย่างมีคาเฟอีนมากน้อยแค่ไหน
00:06:10 → 00:06:13 คราวนี้ก่อนจะไปเรื่องประโยชน์และโทษ
00:06:13 → 00:06:16 มีการพูดคุยกันมากเหลือเกินว่า
00:06:16 → 00:06:18 ทำไมบางคนกินกาแฟแล้วดี
00:06:18 → 00:06:21 ทำไมคนกินกาแฟก่อนนอนแล้วหลับได้
00:06:21 → 00:06:24 บางคนกินแค่ช่วงบ่ายกลางคืนไม่หลับเสียแล้ว
00:06:24 → 00:06:26 ทำไมมนุษย์เราแต่ละคนต่างกันจัง
00:06:26 → 00:06:30 ในปัจจุบันมีการวิจัยออกมารองรับแล้วนะครับว่า
00:06:30 → 00:06:34 ร่างกายมนุษย์เราไม่เหมือนกันสักคน
00:06:34 → 00:06:37 โดยเฉพาะเรื่องยีนส์ หรือ Genetics
00:06:37 → 00:06:39 ยีนส์ หรือรหัสพันธุกรรมในร่างกายเรา
00:06:39 → 00:06:40 อันนี้ฟังดีๆ
00:06:40 → 00:06:44 จะมีอยู่ประมาณ 2-3 ยีนส์ในปัจจุบันที่วิจัยว่า
00:06:44 → 00:06:46 มีส่วนรับผิดชอบสำคัญ
00:06:46 → 00:06:48 ในเรื่องของการจัดการ
00:06:48 → 00:06:51 ขจัดคาเฟอีนในร่างกายเรา
00:06:51 → 00:06:55 เวลาเรารับประทานกาแฟหรืออะไรก็ตามที่มีคาเฟอีน
00:06:55 → 00:06:59 ก็จะถูกเข้าไปในร่างกายเพื่อออกฤทธิ์
00:06:59 → 00:07:02 คาเฟอีนเวลาเรากินนี่ประมาณ 20 นาที
00:07:02 → 00:07:04 จะเข้าไปอยู่ในกระแสเลือดแล้ว
00:07:04 → 00:07:05 เริ่มออกฤทธิ์
00:07:05 → 00:07:08 แล้วจะออกฤทธิ์สูงสุดประมาณ 1 ชั่วโมง
00:07:08 → 00:07:12 แสดงว่าเวลาเรากินกาแฟไปแล้ว อีก 1 ชั่วโมงเนี่ยมาเต็ม
00:07:12 → 00:07:15 ก็รู้สึกกะปรี้กะเปร่า ทำงานได้
00:07:15 → 00:07:19 มีพันธุกรรมอยู่ 2-3 ตัวหมอจะไล่ชื่อให้ฟัง
00:07:19 → 00:07:23 ตัวที่ 1 ชื่อว่า ยีน VDR
00:07:23 → 00:07:28 ตัวที่ 2 ชื่อว่า Cytochrome P1A2
00:07:28 → 00:07:31 CYP1A2
00:07:31 → 00:07:35 ตัวที่ 3 ชื่อว่า ADORA2A
00:07:35 → 00:07:39 ชื่อง่ายๆ เขาเรียกแบบนี้ จริงๆ ก็ยังยากอยู่นะ
00:07:39 → 00:07:43 ชื่อเต็มๆ ว่า Adenosine A2A receptor D
00:07:43 → 00:07:45 ยีนส์เหล่านี้แหละครับคือตัวกำหนดว่า
00:07:45 → 00:07:48 ทำไมบางคนกินแล้วมีผลกระทบเยอะ
00:07:48 → 00:07:50 ทำไมบางคนทานแล้วมีผลกระทบน้อย
00:07:50 → 00:07:52 ตัวที่ 1 ก่อนคร้บ
00:07:52 → 00:07:57 Cytochrome P1A2 ก็คือการเผาผลาญคาเฟอีนออกจากตับ
00:07:57 → 00:08:00 บางคนก็จะมีรหัสพันธุกรรมแบบหนึ่ง
00:08:00 → 00:08:02 บางคนก็มีอีกแบบหนึ่ง
00:08:02 → 00:08:04 หมอแบ่งเป็น 2 แบบแล้วกันว่า
00:08:04 → 00:08:07 มีกลุ่มที่ 1 เรียกว่า Fast metabolism
00:08:07 → 00:08:11 หรือเอาคาเฟอีนออกจากร่างกายได้เร็วกว่าปกติ
00:08:11 → 00:08:15 กลุ่มที่ 2 คือกลุ่ม Slow metabolism
00:08:15 → 00:08:19 การเผาผลาญคาเฟอีนออกจากร่างกายช้ากว่าปกติ
00:08:19 → 00:08:22 หมอนี่เป็นชนิด Slow นะครับหรือชนิดช้า
00:08:22 → 00:08:24 เมื่อก่อนหมอก็ไม่ทราบใช่ไหมครับ
00:08:24 → 00:08:28 เวลาเราเรียนแพทย์เราก็ง่วง เราก็เหนื่อย เราก็นอนน้อย
00:08:28 → 00:08:29 เราก็เติมกาแฟ
00:08:29 → 00:08:33 เช้าเรากินไปแก้ว พอสัก 11 โมงเราก็ทานอีกแก้ว
00:08:33 → 00:08:36 พอเราทานอาหารเสร็จประมาณ บ่ายโมง บ่ายสอง
00:08:36 → 00:08:39 เริ่มง่วงอีกแล้ว ก็เดินไปซื้อกาแฟอีกแก้ว
00:08:39 → 00:08:43 4 โมงง่วงอีก กินอีกแก้วนึง เมื่อก่อนหมอทานวันละ 4 แก้ว
00:08:43 → 00:08:47 ไม่รู้ตัวเลยว่า แก้วที่ 1 ก็ดี แก้วที่ 2 ก็ดี
00:08:47 → 00:08:51 ทำไมบ่ายๆ เราปวดหัว ทำไมเรามึนหัว ทำไมเราใจสั่น
00:08:51 → 00:08:53 ทำไมเรารู้สึกแปลกๆ
00:08:53 → 00:08:56 เราก็นึกว่าเรานอนน้อย เราก็เติมเข้าไปอีก
00:08:56 → 00:08:58 หลายๆ ท่านอาจจะมีประสบการณ์แบบนี้
00:08:58 → 00:09:01 เราก็ไม่รู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร
00:09:01 → 00:09:04 จนหมอมาเจาะรหัสพันธุกรรมตัวเอง
00:09:04 → 00:09:09 ก็เลยรู้ว่าตับเราเผาผลาญคาเฟอีนได้ช้ากว่าปกติ
00:09:09 → 00:09:11 รหัสพันธุกรรมเราเป็นแบบนั้น
00:09:11 → 00:09:14 ถ้ารหัสพันธุกรรมเป็นแบบ Slow metabolism
00:09:14 → 00:09:17 หรือเอาคาเฟอีนออกจากร่างกายตัวเองได้ช้า
00:09:17 → 00:09:21 คำแนะนำก็คือ 1. ไม่ทานคาเฟอีนเลยดีที่สุด
00:09:21 → 00:09:23 หรือถ้าจะทาน
00:09:23 → 00:09:28 ทานได้วันหนึ่งไม่เกิน 100-150 มิลลิกรัมคาเฟอีนต่อวัน
00:09:28 → 00:09:31 ก็คือวันละไม่เกิน 1 แก้ว
00:09:31 → 00:09:34 ถ้าเกิน 1 แก้วคาเฟอีนก็อยู่ในร่างกายของเรานาน
00:09:34 → 00:09:39 นอนไม่หลับ รู้สึกปวดหัว รู้สึกมึนหัว กระตุ้นมากเกิน
00:09:39 → 00:09:44 คราวนี้คนที่เป็นพันธุกรรมแบบเผาผลาญคาเฟอีนได้เร็ว
00:09:44 → 00:09:47 นี่แหละครับคือกลุ่มคนที่เมื่อก่อนหมอก็สงสัย
00:09:47 → 00:09:50 ว่าเราทานแค่ตอนบ่าย 3 แก้วเดียว
00:09:50 → 00:09:53 ทำไมกลางคืนเรานอนไม่หลับเลย
00:09:53 → 00:09:56 เพื่อนเราหรือบางทีเพื่อนฝรั่งเนี่ย
00:09:56 → 00:09:58 เราไปทานข้าวเย็นกับเขา
00:09:58 → 00:10:01 ประมาณ 3 ทุ่ม กำลังจะเลิกแล้ว
00:10:01 → 00:10:05 เขาสั่งเอสเพรสโซมาเฉยเลย เขาสั่งคาปูชิโนมาเฉยเลย
00:10:05 → 00:10:08 แล้วก็ทาน เขาบอกกลับไปบ้าน เขาหลับสบาย
00:10:08 → 00:10:12 ถ้าเป็น Fast metabolism ก็คือเผาผลาญได้เยอะ
00:10:12 → 00:10:16 วันนึงสามารถรับคาเฟอีนได้ถึง 400 มิลลิกรัมต่อวัน
00:10:16 → 00:10:19 ก็คือทานวันนึง 4 แก้วเขายังเฉยๆ เลย
00:10:19 → 00:10:22 อันนี้คือเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังว่า
00:10:22 → 00:10:26 ว่าทำไมบางคนกินดี บางคนกินไม่ดี
00:10:26 → 00:10:30 ยีนอีก 1 ตัวก็คือ Adenosine A2A receptor D
00:10:30 → 00:10:34 อันนี้ก็คือเป็นตัวรับสารในสมองครับ
00:10:34 → 00:10:38 ทำไมบางคนเวลาเราทานกาแฟแล้วกระตุ้นมากเกิน ปวดหัว
00:10:38 → 00:10:41 บางคนกระตุ้นดีจัง ไม่ง่วง ทำงานได้เยอะ
00:10:42 → 00:10:43 นี่คือรหัสพันธุกรรม
00:10:43 → 00:10:46 เพราะฉะนั้นก่อนที่หมอจะเดินหน้าไปสู่บทต่อไป
00:10:46 → 00:10:49 ที่ว่าประโยชน์ของกาแฟ
00:10:49 → 00:10:53 เราถึงต้องมารู้ว่า ไม่ใช่ฟังหมอแอมป์พูดเสร็จแล้ว
00:10:53 → 00:10:56 หมอแอมป์ว่าดี ทำไมผมกินแล้วแย่
00:10:56 → 00:10:59 ผมก็พยายามอยากจะกินให้ได้
00:10:59 → 00:11:02 ถ้าเราเป็นชนิดที่ร่างกายมีความอ่อนไหวต่อกาแฟ
00:11:02 → 00:11:06 เราก็ไม่ควรจะกิน เราต้องฟังเสียงร่างกายเรา
00:11:06 → 00:11:09 ของบางอย่างหมอว่าดี ของบางอย่างหมอว่าไม่ดี
00:11:09 → 00:11:11 เรายังมีอย่างอื่นทดแทนนะครับ
00:11:11 → 00:11:14 ไม่ได้แปลว่าขาดตัวนี้ไปเดี๋ยวจะแย่เลย
00:11:14 → 00:11:17 คราวนี้เราไปดูประโยชน์ของกาแฟกันครับ
00:11:17 → 00:11:23 ข้อที่ 1 กาแฟเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระ
00:11:23 → 00:11:26 คือในเมล็ดกาแฟมีสาร Antioxidant
00:11:26 → 00:11:29 สารต้านอนุมูลอิสระเยอะมาก
00:11:29 → 00:11:32 เยอะอยู่ในระดับต้นๆ ของอาหารทั้งหมด
00:11:32 → 00:11:36 บริษัทหลายบริษัทหมอเห็นเขาเอาเมล็ดกาแฟ
00:11:36 → 00:11:38 มาทำเป็นครีมทาหน้า
00:11:38 → 00:11:40 มาทำเป็นแมสก์ แมสก์หน้า
00:11:40 → 00:11:45 นั่นก็คือสรรพคุณในด้านสารต้านอนุมูลอิสระ
00:11:45 → 00:11:49 ในเมล็ดกาแฟประกอบไปด้วย วิตามินบี 1
00:11:49 → 00:11:51 วิตามินบี 2 หรือ Riboflavin
00:11:51 → 00:11:54 วิตามินบี 3 หรือ Niacin
00:11:54 → 00:11:57 วิตามินบี 5 หรือ Pantothenic acid
00:11:57 → 00:11:59 โฟลิก หรือวิตามินบี 9
00:11:59 → 00:12:02 มีแมงกานีส มีโพแทสเซียม
00:12:02 → 00:12:04 มีแมกนีเซียม มีฟอสฟอรัส
00:12:04 → 00:12:07 นั่นคือประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ
00:12:07 → 00:12:09 ประโยชน์ข้อที่ 2
00:12:09 → 00:12:12 ในเมื่อกาแฟนั้นมีสารคาเฟอีนอยู่ในนั้นเยอะ
00:12:12 → 00:12:16 ก็จะมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง
00:12:16 → 00:12:20 กระตุ้นยังไงทำไมคนติดกันทั้งโลก คนกินกันทุกเช้า
00:12:20 → 00:12:22 จนมีคำพูดเยอะแยะมากมายว่า
00:12:22 → 00:12:25 ถ้าเช้านี้ยังไม่ได้ทานกาแฟอย่างเพิ่งมาคุยงานกับผม
00:12:25 → 00:12:31 ก็คือคาเฟอีน ไปยับยั้งการออกฤทธิ์ของสารที่ชื่อว่าอะดีโนซีน
00:12:31 → 00:12:34 สารอะดีโนซีนมีฤทธิ์ผ่อนคลายสมอง
00:12:34 → 00:12:36 ทำให้เราง่วงนอน
00:12:36 → 00:12:40 พอคาเฟอีนไปหยุด สมองก็ตื่นตัว
00:12:40 → 00:12:44 เพราะว่าตัวหนึ่งที่ทำให้อยากง่วง อยากนอนผ่อนคลาย
00:12:44 → 00:12:46 โดนหยุดไปเสียแล้ว
00:12:46 → 00:12:52 ทำให้สมองหลั่งฮอร์โมน หรือสารที่กระตุ้นสมองมากขึ้น
00:12:52 → 00:12:54 ก็คือ โดปามีน นอร์เอพิเนฟริน
00:12:54 → 00:12:58 ทำให้สมองเราตื่นตัว ทำให้เรากะปรี้กะเปร่า
00:12:58 → 00:13:00 ทำให้เราคิดงานได้
00:13:00 → 00:13:02 นั่นก็คือเคล็ดลับที่ซ่อนอยู่
00:13:02 → 00:13:05 ว่าทำไมเวลาเราทานกาแฟเข้าไปปั๊บ
00:13:05 → 00:13:09 อีกสัก 20 นาทีเริ่มมาละ สัก 1 ชั่วโมงรู้สึกทำงานได้
00:13:09 → 00:13:12 จริงๆ แล้วนี่คือสิ่งสำคัญนะครับว่า
00:13:12 → 00:13:14 ในปัจจุบันที่หมอพูดไปหลายตอนว่า
00:13:14 → 00:13:17 ในปัจจุบันเรานอนไม่ดี
00:13:17 → 00:13:20 คุณภาพน้อยลง เรานอนดึก
00:13:20 → 00:13:23 เรานั่งสมาธิน้อย เราหลับไม่ลึก
00:13:23 → 00:13:26 พอตื่นมาพลังเราก็ขาดแคลน
00:13:26 → 00:13:31 พอพลังเราขาดแคลนเราก็เติมอาหารกระตุ้นเข้าไป
00:13:31 → 00:13:36 ถ้าทำวันนึง สองวัน ทำบางครั้ง นานๆ ทำที คงไม่เป็นไร
00:13:36 → 00:13:38 แต่หลายคนทำแบบนี้เป็นกิจวัตร
00:13:38 → 00:13:40 เกิดผลเสียนะครับ
00:13:40 → 00:13:44 ไม่ใช่เป็นการที่จะเป็นยาวิเศษว่าเมื่อคืนนอนไม่ดี
00:13:44 → 00:13:47 พอตอนเช้าปุ๊บ เติมกาแฟเข้าไป 1 แก้วแล้วดี
00:13:47 → 00:13:48 พอพลังหมดเติมอีก
00:13:48 → 00:13:51 แบบนี้เดี๋ยวจะมีปัญหาในอนาคต
00:13:51 → 00:13:54 ข้อที่ 3 มีการวิจัยไว้
00:13:54 → 00:13:59 ว่ากาแฟสามารถเพิ่มการเผาผลาญในร่างกายเราได้
00:13:59 → 00:14:02 ผ่านสารที่ชื่อว่าคาเฟอีน
00:14:02 → 00:14:05 ผ่านสารที่ชื่อว่า ทีโอฟิลลีน (Theophylline)
00:14:05 → 00:14:08 มีการวิจัยไว้ใน The American Journal of Clinical Nutrition
00:14:08 → 00:14:12 และ Annals of Nutrition and Metabolism ว่า
00:14:12 → 00:14:16 การทานกาแฟ สามารถเพิ่มการเผาผลาญ
00:14:16 → 00:14:21 และอุณหภูมิการเผาผลาญในร่างกายได้ประมาณ 3-11%
00:14:21 → 00:14:24 และมีการวิจัยไว้ใน The American Journal of Physiology
00:14:24 → 00:14:26 ในปี ค.ศ. 1995 ว่า
00:14:26 → 00:14:32 กาแฟสามารถเพิ่มการเผาผลาญ หรือเผาผลาญเซลล์ไขมันได้
00:14:32 → 00:14:34 แบบนี้หลายๆ คนชอบใช่ไหมครับ
00:14:34 → 00:14:37 ในการวิจัยยังระบุไว้ด้วยว่า
00:14:37 → 00:14:43 ในคนหุ่นปกติ สามารถเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ถึง 29%
00:14:43 → 00:14:47 และในคนอ้วน หรือคนเป็นโรคอ้วน เพิ่มการเผาผลาญได้ 10%
00:14:47 → 00:14:51 นี่ก็คือประโยชน์ของกาแฟ ในเรื่องของการเผาผลาญ
00:14:51 → 00:14:54 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ Boost metabolism
00:14:54 → 00:14:58 ไม่ว่าจะเป็นการสลายเซลล์ไขมันในร่างกายเป็นต้น
00:14:58 → 00:15:01 มีงานวิจัยอีก 1 อันในข้อที่ 3 นี้ว่า
00:15:01 → 00:15:05 The International Journal of Obesity ก็คือสมาคมโรคอ้วน
00:15:05 → 00:15:07 ในปี ค.ศ. 1999
00:15:07 → 00:15:10 เขาเจอว่าการกินกาแฟเข้าไป
00:15:10 → 00:15:12 คาเฟอีนไปกระตุ้น
00:15:12 → 00:15:15 Noradrenaline Lipolysis
00:15:15 → 00:15:16 ก็คือฮอร์โมนตัวหนึ่ง
00:15:16 → 00:15:20 ที่มากระตุ้นให้เซลล์ไขมันทำลายหรือเผาตัวเอง
00:15:20 → 00:15:22 แน่นอนนะครับ อย่าลืมนะครับ
00:15:22 → 00:15:26 ที่หมอพูดอยู่เนี่ย กาแฟดำนะครับ ไม่ใส่น้ำตาลนะครับ
00:15:26 → 00:15:30 ไม่ใช่ตัวคาเฟอีนมีฤทธิ์เผาผลาญไขมัน
00:15:30 → 00:15:33 แล้วเราไปเจอกับน้ำตาลหลายช้อน ครีมเทียมหลายช้อน
00:15:33 → 00:15:36 ไปเจอกับนมข้นอีกหลายช้อน เสร็จเลยนะครับ
00:15:36 → 00:15:39 บทนี้เราคุยในเรื่องของกาแฟดำอยู่นะครับ
00:15:39 → 00:15:43 แล้วเดี๋ยวตอนโทษของกาแฟจะมีหลายอย่างมาเล่าให้ฟัง
00:15:43 → 00:15:49 ข้อที่ 4 ก็คือกาแฟมีฤทธิ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกาย
00:15:49 → 00:15:51 มีการวิจัยไว้เช่นกัน
00:15:51 → 00:15:54 The International Journal of Sport Nutrition and Exercise Metabolism
00:15:54 → 00:15:56 ในปี ค.ศ. 2004
00:15:56 → 00:15:59 การทานกาแฟเนี่ยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ
00:15:59 → 00:16:03 หรือเรี่ยวแรงได้ประมาณ 11-12%
00:16:03 → 00:16:05 ข้อที่ 5 ครับ มีการวิจัยใน
00:16:05 → 00:16:07 Archives of Internal Medicine Research
00:16:07 → 00:16:11 เป็นการเอางานวิจัยหลายๆ อันเอาตัวเลขมาเก็บ
00:16:11 → 00:16:15 18 การวิจัย ในคนจำนวน 4 แสน 6 หมื่นกว่าคน
00:16:15 → 00:16:19 การรับประทานกาแฟดำวันละ 1 แก้ว
00:16:19 → 00:16:24 มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวานประมาณ 7%
00:16:24 → 00:16:26 ข้อสุดท้ายที่หมอสรุปมาให้
00:16:26 → 00:16:28 อันนี้หมอสรุปมาเฉพาะหลักๆ เนื้อๆ
00:16:28 → 00:16:34 ข้อที่ 6 มีการวิจัยว่ากาแฟช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท
00:16:34 → 00:16:37 ช่วยลดความเสี่ยงและชะลอโรคทางสมอง
00:16:37 → 00:16:41 เช่น โรคสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน
00:16:41 → 00:16:44 ในทฤษฎีหมอว่าน่าจะเกิดมาจากกาแฟไปกระตุ้นสมอง
00:16:44 → 00:16:46 ให้ทำงานได้ดีขึ้น
00:16:46 → 00:16:50 โรคสมองเสื่อม พาร์กินสัน อัลไซเมอร์
00:16:50 → 00:16:52 คือเซลล์สมองทำงานได้น้อยลง
00:16:52 → 00:16:56 ตัวกาแฟเลยไปออกฤทธิ์มีส่วนช่วยในหัวข้อนั้น
00:16:56 → 00:16:59 นี่ก็คือคร่าวๆ ของประโยชน์ของกาแฟ
00:16:59 → 00:17:02 กาแฟดำ ไม่ใส่น้ำตาลนะ
00:17:02 → 00:17:05 เราไปดูข้อเสียของการดื่มกาแฟกันบ้าง
00:17:05 → 00:17:07 สำหรับผู้ที่เป็น Slow metabolism
00:17:07 → 00:17:11 หรือตับมีพันธุกรรม Cytochrome P1A2
00:17:11 → 00:17:14 เผาผลาญคาเฟอีนได้ช้ากว่าปกติ
00:17:14 → 00:17:18 ใครที่เคยเจอพันธุกรรมไปดูรหัสตัวนี้กัน
00:17:18 → 00:17:20 ใครที่ไม่เคยเจาะสังเกตเอาครับ
00:17:20 → 00:17:22 การสังเกตนี่พอจะบอกได้ว่า
00:17:22 → 00:17:25 ของบางอย่างถ้าเราทานแล้วรู้สึกไม่ดี มีอาการตามนี้
00:17:25 → 00:17:27 น่าจะเผาผลาญช้า
00:17:27 → 00:17:30 เราควรจะลด ละ เลิก หรือทานน้อย
00:17:30 → 00:17:32 เวลาที่คาเฟอีนเข้าไปอยู่ในร่างกาย
00:17:32 → 00:17:36 มากกว่าที่ร่างกายอยากได้ จะเกิดอาการดังนี้
00:17:36 → 00:17:41 1.กระสับกระส่าย 2.วิตกกังวล
00:17:41 → 00:17:45 3.เวียนหัว คลื่นไส้ อยากจะอาเจียน
00:17:45 → 00:17:49 4.ท้องไส้ปั่นป่วน อาจจะมีท้องเสียในบางคน
00:17:49 → 00:17:55 5.นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท ตื่นบ่อย มาปัสสาวะเยอะ
00:17:55 → 00:18:00 ข้อต่อไป หัวใจเต้นแรง หัวใจเต้นเร็ว มีอาการปวดหัว
00:18:00 → 00:18:02 ข้อสุดท้ายมือสั่น
00:18:02 → 00:18:04 ใครมีอาการเหล่านี้พอจะอนุมานได้ว่า
00:18:04 → 00:18:09 Sensitive หรือเผาผลาญคาเฟอีนได้น้อยแน่เลย
00:18:09 → 00:18:13 การรับประทานชา กาแฟ ช็อกโกแลต น้ำอัดลม
00:18:13 → 00:18:15 เครื่องดื่มชูกำลัง ต้องระมัดระวังมากๆ
00:18:15 → 00:18:17 คนที่มีอาการเหล่านี้
00:18:17 → 00:18:21 ควรจะทานไม่เกิน 100 มิลลิกรัมคาเฟอีนต่อวัน
00:18:21 → 00:18:25 กลับไปฟังที่หมอบอกเมื่อกี๊ว่า ตัวไหนมีเยอะ ตัวไหนมีน้อย
00:18:25 → 00:18:28 แล้วทานให้อย่าเกิน แล้วค่อยๆ ลด ละ เลิก ไป
00:18:28 → 00:18:30 ไปดูผลเสียข้อที่ 2
00:18:30 → 00:18:33 คาเฟอีน หรือกาแฟนี่ไม่แนะนำในคนท้อง
00:18:33 → 00:18:38 เพราะว่าคาเฟอีนสามารถข้ามไปสู่ทารกได้ทางสายสะดือ
00:18:38 → 00:18:41 อาจจะเป็นอัตรายต่อเด็กได้
00:18:41 → 00:18:44 มีการวิจัยว่า ถ้าทานคาเฟอีนในช่วงคุณแม่ตั้งท้องเยอะ
00:18:44 → 00:18:46 อาจจะทำให้คลอดก่อนกำหนด
00:18:46 → 00:18:49 อาจจะทำให้ทารกที่เกิดมาตัวเล็ก หรือน้ำหนักน้อย
00:18:49 → 00:18:52 ข้อที่ 3 ข้อสำคัญ
00:18:52 → 00:18:55 การรับประทานกาแฟ ถ้าเป็นกาแฟดำ
00:18:55 → 00:18:58 ไม่ใส่น้ำตาลก็น่าจะมีประโยชน์บ้าง
00:18:58 → 00:19:00 แต่กาแฟในปัจจุบันนี้
00:19:00 → 00:19:02 หลายคนทานเป็นอย่างไรครับ
00:19:02 → 00:19:05 ใส่น้ำตาลเยอะ ใส่ครีมเทียมเยอะ
00:19:05 → 00:19:10 ใส่นมข้นเยอะ ชอบหวานๆ ชอบมันๆ ชอบครีมๆ ใส่วิปครีมอีก
00:19:10 → 00:19:12 ต้องระวังให้มากเลยนะครับ
00:19:12 → 00:19:15 มีการวิจัยไว้นะครับ ข้อมูลจาก สสส.
00:19:15 → 00:19:20 ว่ากาแฟเย็น 1 แก้ว ที่ใส่นม ใส่น้ำตาล ใส่ครีมเทียมเนี่ย
00:19:20 → 00:19:24 ให้พลังงานสูงถึง 100-400 กิโลแคลอรี่
00:19:24 → 00:19:26 กินเยอะๆ นี่อ้วนเลยนะครับ
00:19:26 → 00:19:30 และใน 1 แก้วกาแฟเย็นขนาดประมาณ 20 ออนซ์
00:19:30 → 00:19:33 มีน้ำตาลประมาณ 3-10 ช้อนชา
00:19:33 → 00:19:36 มนุษย์เรา 1 คน 1 วัน
00:19:36 → 00:19:39 ควรจะกินน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา
00:19:39 → 00:19:41 แบ่งออกเป็นข้าวเช้า กลางวัน เย็น
00:19:41 → 00:19:43 รวมผลไม้แล้วไม่เกิน 6 ช้อนชา
00:19:43 → 00:19:46 เจอกาแฟเย็นเข้าไปแก้วเดียว 10 ช้อนชา
00:19:46 → 00:19:48 เบาหวานมาสิครับแบบนี้
00:19:48 → 00:19:51 น่ากลัวมากนะครับ ต้องระมัดระวัง
00:19:51 → 00:19:54 แถมมีไขมันสูงถึง 22 กรัมนะครับ
00:19:54 → 00:19:57 ใครชอบกินกาแฟเย็นหวานมันต้องระวังมาก
00:19:57 → 00:20:01 มีข้อมูลเพิ่มเติมจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
00:20:01 → 00:20:07 ลาเต้เย็น 1 แก้วมีแคลอรี่สูงถึง 288 กิโลแคลอรี่
00:20:07 → 00:20:13 คาปูชิโนเย็น 1 แก้วมี แคลอรี่สูงถึง 303 กิโลแคลอรี่
00:20:13 → 00:20:15 มอคค่าเย็น อันนี้สูงเลย
00:20:15 → 00:20:19 1 แก้วมีแคลอรี่สูงถึง 400 กิโลแคลอรี่
00:20:19 → 00:20:24 แฟรบปูชิโน่นี่แชมป์เลยนะ มีครีมเทียบ มีวิปครีมเข้าไปด้วย
00:20:24 → 00:20:29 1 แก้วมีแคลอรี่สูงถึง 561 กิโลแคลอรี่
00:20:29 → 00:20:30 เยอะมากนะครับ
00:20:30 → 00:20:34 วิ่งแทบตาย ออกกำลังกาย วิ่ง ปั่นจักรยาน เดิน
00:20:34 → 00:20:37 ได้ 100-150 กิโลแคลอรี่
00:20:37 → 00:20:39 กินกาแฟไปแก้วนึง เสร็จเลย
00:20:39 → 00:20:44 องเผาผลาญถึง 7,700 กิโลแคลอรี่นะครับ
00:20:44 → 00:20:47 ถึงจะลดน้ำหนักไป 1 กิโลกรัม
00:20:47 → 00:20:49 ชาไข่มุกนี่ก็มีคาเฟอีนนะครับ
00:20:49 → 00:20:52 ชาไข่มุกมีน้ำตาลเฉลี่ยในตลาดประมาณ
00:20:52 → 00:20:54 10-18 ช้อนชา
00:20:54 → 00:20:57 เขาให้รับประทานได้วันละไม่เกิน 6 ช้อนชา
00:20:57 → 00:20:59 เจอไปแก้วเดียวได้ 18 ช้อนชา
00:20:59 → 00:21:03 โอ้โห เบาหวานมา ความดันมา ไขมันมา
00:21:03 → 00:21:07 โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมองแตก มาเป็นชุด
00:21:07 → 00:21:11 แคลอรี่ชาไข่มุก 1 แก้วประมาณ 3-400 กิโลแคลอรี่
00:21:11 → 00:21:14 น่ากลัวไม่ใช่ตรงกาแฟนะครับ
00:21:14 → 00:21:17 สารที่ใส่เข้าไปเติมนี่แหละครับต้องระวังมากๆ
00:21:17 → 00:21:18 นี่คือสิ่งสำคัญ
00:21:18 → 00:21:22 ไปต่อข้อที่ 4 ข้อเสียของการทานกาแฟเยอะเกินไป
00:21:22 → 00:21:27 ก็คือการนอนไม่หลับ คนที่นอนไม่หลับต้องระวังมากๆ
00:21:27 → 00:21:28 โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับ
00:21:28 → 00:21:30 หรือมีภาวะนอนไม่หลับบ่อยๆ
00:21:30 → 00:21:33 ต้องหันไปดูสิว่า ในแต่ละวันนี้ทานชา
00:21:33 → 00:21:37 ทานกาแฟ ทานน้ำอัดลม ทานช็อกโกแลต
00:21:37 → 00:21:40 ทานอะไรก็ตามที่ผสมคาเฟอีนเยอะไหม
00:21:40 → 00:21:43 ถ้ามี แล้วเราเป็นโรคนอนไม่หลับ พยายามหลายวิธีแล้วไม่หาย
00:21:43 → 00:21:47 ต้องตัดทิ้งเลยนะครับ ลด ละ เลิก
00:21:47 → 00:21:49 ถ้าเรานอนไม่หลับ โกรทฮอร์โมนก็จะหลั่งน้อย
00:21:49 → 00:21:51 ฮอร์โมนเครียดก็จะสูงขึ้น
00:21:51 → 00:21:54 ฮอรืโมนเลปติน หรือฮอร์โมนอิ่มก็จะน้อยลง
00:21:54 → 00:21:57 ก็จะตื่นมา นอนไม่หลับแล้วเป็นอย่างไรครับ แก่ไว
00:21:57 → 00:22:01 โรคภัยไข้เจ็บมา หิวเยอะ ก่อให้เกิดโรคอ้วน
00:22:01 → 00:22:03 ความดันขึ้น ฮอร์โมนเครียดขึ้น
00:22:03 → 00:22:06 เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่มีปัญหาเรื่องนอนไ่ม่หลับ
00:22:06 → 00:22:10 ถ้าจะทานกาแฟ ห้ามทานหลังบ่าย 2
00:22:10 → 00:22:13 ทานตอนเช้าๆ ให้เช้ามากที่สุด แก้วเดียวแล้วจบ
00:22:13 → 00:22:16 หลังเที่ยงจริงๆ หมอไม่ทานกาแฟแล้ว
00:22:16 → 00:22:17 ข้อที่ 5
00:22:17 → 00:22:23 กาแฟมีสารคาเฟอีน สำหรับคนที่ Sensitive ทำให้ใจสั่นได้
00:22:23 → 00:22:27 ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ต้องระมัดระวัง
00:22:27 → 00:22:33 ข้อที่ 6 กาแฟมีสารขับปัสสาวะโดยธรรมชาติ
00:22:33 → 00:22:35 ถ้าทานเยอะไปก็จะปัสสาวะบ่อย
00:22:35 → 00:22:37 กลางวันก็ปัสสาวะเยอะ
00:22:37 → 00:22:39 กลางคืนก็ต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะ
00:22:39 → 00:22:42 นอนหลับไม่ลึกอีก มีผลกับร่างกายอีก
00:22:42 → 00:22:46 แล้วข้อสุดท้ายครับ ระวังสารปนเปื้อนในกาแฟ
00:22:46 → 00:22:50 ไม่ใช่แค่กาแฟนะครับ อะไรที่เป็นพืช เป็นสมุนไพร
00:22:50 → 00:22:53 ก็จะมีการปนเปื้อนมาโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
00:22:53 → 00:22:55 พยายามเลือกกาแฟ ถ้าเลือกได้นะครับ
00:22:55 → 00:22:58 ขอเป็นกาแฟที่เป็นเมล็ดออแกนิก
00:22:58 → 00:23:01 หรือปราศจากสารเคมีและยาฆ่าแมลง
00:23:01 → 00:23:05 มีการวิจัยในปัจจุบันว่า ในการคั่วเมล็ดกาแฟ
00:23:05 → 00:23:08 ก่อให้เกิดสารตัวหนึ่งชื่อ Acrylamide
00:23:08 → 00:23:12 A-C-R-Y-L-A-M-I-D-E
00:23:12 → 00:23:17 Acrylamide นี่มีการวิจัยว่าเป็นสารที่กระตุ้นก่อให้เกิดมะเร็ง
00:23:17 → 00:23:20 แต่ตรงนี้ต้องไปดูการวิจัยเพิ่มเติมว่า
00:23:20 → 00:23:23 ปริมาณมากหรือน้อยแค่ไหนที่มีอยู่ในกาแฟแต่ละแก้ว
00:23:23 → 00:23:28 กาแฟคั่วบดนี่จะเกิดสารขึ้นมาตัวหนึ่งชื่อว่า Cafestol
00:23:28 → 00:23:32 สารตัวนี้จะทำให้คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
00:23:32 → 00:23:35 ถ้าจะป้องกันก็ต้องมีกระดาษกรอง
00:23:35 → 00:23:39 นึกออกไหมครับ บางทีเราคั่วแล้วเรามาชงเลย เราจะเห็นน้ำมัน
00:23:39 → 00:23:40 เป็นมันๆ ลอยอยู่
00:23:40 → 00:23:42 เราต้องกรองเอาสารนี้ออกนะครับ
00:23:42 → 00:23:46 สารนี้ชื่อว่า C-A-F-E-S-T-O-L
00:23:46 → 00:23:50 ทำให้ไขมันสูง ถ้าเรากรองด้วยกระดาษแล้วก็โอเค
00:23:50 → 00:23:54 และทางป้องกันก็คือทานให้อยู่ในทางสายกลางนะครับ
00:23:54 → 00:23:57 ไม่มากเกิน ถ้าให้หมอฟันธงเฉพาะเจาะจงลงไป
00:23:57 → 00:23:59 หมออยากจะแนะนำให้ท่านผู้ฟังว่า
00:23:59 → 00:24:03 ควรจะรับประทานไม่เกินวันละประมาณ 2 แก้วก็พอแล้วครับ
00:24:03 → 00:24:06 เพราะคนเราถ้าออกกำลังกายดี เรี่ยวแรงดี
00:24:06 → 00:24:09 ความเครียดไม่มี จิตดี
00:24:09 → 00:24:12 หลับดี ตื่นมานี่มีพลังเยอะครับ
00:24:12 → 00:24:15 ไม่ต้องใช้พลังวิเศษที่เติมเข้าไปแบบขี้โกง
00:24:15 → 00:24:20 แต่ถ้าจะทานเพื่อได้วิตามิน ได้เกลือแร่ ได้สารบางอย่าง
00:24:20 → 00:24:22 วันละ 1-2 แก้วก็พอแล้วครับ
00:24:22 → 00:24:25 แล้วเลือกเป็นกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล
00:24:25 → 00:24:28 นี่คือสรุปของวันนี้ทั้งหมดคร่าวๆ ที่เรามาคุยกัน
00:24:28 → 00:24:32 กาแฟ ข้อดีก็มีเยอะ ข้อเสียก็มีบ้าง
00:24:32 → 00:24:35 อาจจะทำให้ฟันเหลืองด้วยนะครับ ต้องระวังนะ
00:24:35 → 00:24:37 ฟันเหลือง ฟันดำ แล้วต้องไปหาคุณหมอฟัน
00:24:37 → 00:24:41 เพราะว่าเขามี Stain ก็คือสารเคลือบทำให้ฟันไม่สวย
00:24:41 → 00:24:44 วันนี้ก็พอสมควรแก่เวลา
00:24:44 → 00:24:48 เราได้มารู้จักประโยชน์ของกาแฟ ข้อเสียของกาแฟ
00:24:48 → 00:24:52 อะไรก็ตาม ทานมากเกินไปอาจจะเกิดโทษ
00:24:52 → 00:24:56 อะไรก็ตาม ไม่ทานเลยก็อาจจะขาดแคลน
00:24:56 → 00:24:58 วันนี้หมอขอฝากไว้เท่านี้
00:24:58 → 00:25:01 ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จ สุขภาพแข็งแรง
00:25:01 → 00:25:05 อายุยืนยาว อย่างมีคุณภาพ ไม่เจ็บไม่ป่วย
00:25:05 → 00:25:07 แล้วเรากลับมาพบกันในตอนหน้า
00:25:07 → 00:25:09 กับรายการ Dr.Amp Podcast
00:25:09 → 00:25:12 วันนี้หมอขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
00:25:12 → 00:25:13 ขอบคุณครับ