00:00:00 → 00:00:00 อื
00:00:00 → 00:00:02 >> อดีตเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม
00:00:03 → 00:00:04 >> ของกินก็เป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ความ
00:00:04 → 00:00:07 เป็นตัวตนคนไทยจะโมโหกันมากเลย
00:00:07 → 00:00:09 >> ถ้ามีคนมาว่าแกงไตปลาหรืออาหารไทยที่เขา
00:00:09 → 00:00:10 ชอบ
00:00:10 → 00:00:10 >> ออ
00:00:10 → 00:00:12 >> เพราะว่าอาหารมันไม่ได้เป็นแค่อาหารมัน
00:00:12 → 00:00:13 คือส่วนหนึ่งของตัวเ้า
00:00:13 → 00:00:16 >> ไอ้สิ่งเนี้ยมันถูกมันจะถูกพูดถึงพร้อม
00:00:16 → 00:00:18 กับอีกเรื่องนึงคือเรื่องความแท้ของอาหาร
00:00:18 → 00:00:21 ที่คุยนั่นแหละเข้าใจว่าได้ยินเรื่องนี้
00:00:21 → 00:00:22 มาเยอะมากะ
00:00:22 → 00:00:23 >> ความแท้คืออะไรก่อน
00:00:23 → 00:00:24 >> มันก็ใช่
00:00:24 → 00:00:25 >> ความอร่อยมันไม่ได้อยู่ที่ความแท้ไม่แท้
00:00:26 → 00:00:28 ถูกป่ะเพราะว่า innovation น่ะมันสามารถ
00:00:28 → 00:00:30 ทำอาหารที่อร่อยอร่อยโดยไม่ต้องแท้ก็ได้
00:00:30 → 00:00:33 เราจะมาทำตัวเป็นตำรวจเพื่อแบบว่า
00:00:33 → 00:00:34 >> หาความแท้กันไปทำไม
00:00:34 → 00:00:36 >> นอกจากหาความแท้เรื่องปิดโอกาสตัวเองใน
00:00:36 → 00:00:38 การได้กินของอร่อย
00:00:38 → 00:00:38 >> ก็จริง
00:00:38 → 00:00:39 >> ด้วยอ่ะ
00:00:39 → 00:00:41 >> เราไม่ได้กินเพื่ออยู่แต่เราอยู่เพื่อกิน
00:00:41 → 00:00:43 แล้วก็เรียนรู้
00:00:43 → 00:00:46 [เพลง]
00:00:46 → 00:00:48 >> E Direction EP นี้ชวนคุณโจ้นัถานัก
00:00:48 → 00:00:50 โบราณคดีที่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์อาหาร
00:00:50 → 00:00:53 เป็นพิเศษมาคุยกันเรื่องวิธีการทำงานของ
00:00:53 → 00:00:55 นักโบราณคดีและการสืบค้นประวัติศาสตร์ของ
00:00:55 → 00:00:58 อาหารไทยครับและคำถามที่ว่าเราจะตามหา
00:00:58 → 00:01:00 ความแท้ของอาหารได้จากประวัติศาสตร์หรือ
00:01:00 → 00:01:02 ไม่แล้วคนธรรมดาอย่างผมที่ไม่ใช่นัก
00:01:02 → 00:01:04 โบราณคดีเราจะรู้เรื่องประวัติศาสตร์
00:01:04 → 00:01:06 อาหารไปเพื่ออะไรทั้งหมดติดตามได้ใน EP
00:01:06 → 00:01:08 นี้ครับ
00:01:08 → 00:01:11 Eat Direction คุยกับคนในวงการอาหารว่า
00:01:11 → 00:01:14 เราควรกินอะไรถึงจะดี
00:01:14 → 00:01:17 [เพลง]
00:01:17 → 00:01:20 ที่ชวนคุณโจ้มาคุยเนี่ยเพราะว่าจริงๆแล้ว
00:01:20 → 00:01:23 คุณโจ้เขียนคอลัมน์ให้ The Cาเยอะมากที่
00:01:23 → 00:01:25 ผ่านมาเนี่ยแล้วผมก็ชอบทุกอันเลย
00:01:25 → 00:01:28 >> ชอบโดยเฉพาะเรื่องที่แบบเขียนเรื่อง
00:01:28 → 00:01:30 ประวัติศาสตร์ของอาหารผมพยายามจะชวนคุณ
00:01:30 → 00:01:32 โจ้มาคุยหลายทีแล้วก็แบบไม่มีโอกาสสักที
00:01:32 → 00:01:34 เพราะว่าจริงๆแล้วคุณโจ้ก็ไม่ได้อยู่
00:01:34 → 00:01:35 เมืองไทยเป็นหลักใช่มั้ครับ
00:01:35 → 00:01:36 >> ค่ะใช่ค่ะ
00:01:36 → 00:01:38 >> ครับตอนนี้คือคุณโจ้อยู่ที่ไหนนะฮะ
00:01:38 → 00:01:40 >> ตอนนี้อยู่ที่โตลอนโต้แคนาดา
00:01:40 → 00:01:42 >> เออฮะที่คุณโจ้ทำอยู่นะตอนเนี้ยหมายถึง
00:01:42 → 00:01:44 ว่าที่ทำที่แคนาดานี่คือทำอะไรบ้างครับ
00:01:44 → 00:01:47 >> ตอนนี้เหรอคะหลังจากเรียนจบจากมหาลัย
00:01:47 → 00:01:50 โตลอนโต้แล้วก็ตอนนี้ก็ยังว่างอยู่พออยาก
00:01:50 → 00:01:53 จะพักกลับมาเมืองไทยแล้วก็ใช้เวลา
00:01:53 → 00:01:53 >> อ
00:01:53 → 00:01:56 >> กับเอ่อกับครอบครัวที่เมืองไทยอ่ะค่ะแล้ว
00:01:57 → 00:02:00 ก็ในการศึกษาหลักฐานทางเอกสาร
00:02:00 → 00:02:00 >> อื
00:02:00 → 00:02:04 >> เกี่ยวกับอาหารในเมืองไทยให้มากขึ้นด้วย
00:02:04 → 00:02:06 เพราะว่าไม่ได้กลับมาเมืองไทยนานมากแล้ว
00:02:06 → 00:02:10 ก็ใช้เวลากับวัตถุดิบต่างๆในเมืองไทยที่
00:02:10 → 00:02:12 ออกมาตามฤดูกาลอะไรอย่างี้ด้วยอ่ะค่ะ
00:02:12 → 00:02:12 >> อื
00:02:12 → 00:02:15 >> ก็เลยก็เลยตัดสินใจกลับมาคราวนี้อาจจะใช้
00:02:15 → 00:02:17 เวลานานกว่าทุกคราว
00:02:17 → 00:02:20 >> แล้วสิ่งที่คุณโจ้นิยามว่าตัวเองเอ่อเป็น
00:02:20 → 00:02:23 เนี่ยในทั้งชีวิตเนี่ยที่ผ่านมาในการ
00:02:23 → 00:02:26 เรียนเนียน
00:02:26 → 00:02:28 รีเสิร์ชต่างๆเนี่ยเรียกว่าเป็นนัก
00:02:28 → 00:02:30 ประวัติศาสตร์หรือนักโบราณคดีมั้ยครับ
00:02:30 → 00:02:32 >> เป็นนักวิชาการอิสระก็แล้วกันนะคะ
00:02:32 → 00:02:34 >> นักวิชาการอิสระ
00:02:34 → 00:02:35 >> อิสระ
00:02:35 → 00:02:36 >> ที่สนใจเรื่องอาหาร
00:02:36 → 00:02:38 >> ที่สนใจเรื่องอาหารในอดีต
00:02:38 → 00:02:41 >> ทำไมคุณโจ้สนใจเรื่องอาหารดีกว่าในอดีต
00:02:41 → 00:02:46 >> เอาจริงๆก็คือตอนเรียนโบราณคดีเนี่ยมัน
00:02:46 → 00:02:48 ถึงแม้ว่ามันจะสนุกก็จริงเนาะในการที่เรา
00:02:48 → 00:02:51 ได้ค้นพบหลักฐานอะไรใหม่ๆที่ไม่ได้ถูก
00:02:51 → 00:02:54 บันทึกไว้ในเอ่อเอกสารหรือว่าเป็นรายละ
00:02:54 → 00:02:57 อกษรนะคะอย่างที่บอกว่าโบราณคดีเนี่ย
00:02:57 → 00:03:00 เนี่ยศึกษาหลักฐานจากเอกสารก็คือตัว
00:03:00 → 00:03:03 หนังสือจารึกและสิ่งต่างๆแล้วก็หลักฐาน
00:03:03 → 00:03:06 ที่ไม่ใช่เอกสารทางประวัติศาสตร์ตัวอักษร
00:03:06 → 00:03:09 ก็เช่นการขุดค้นหลักฐานทางโบราณคดีในหลวง
00:03:09 → 00:03:09 ขุดค้น
00:03:09 → 00:03:10 >> อื
00:03:10 → 00:03:13 >> ก็จะเจอหลักฐานนั่นนี่นู่นแบบที่เขาไม่
00:03:13 → 00:03:15 ได้พูดถึงมาก่อนอะไรเงี้ยมันจะมีแง่มุม
00:03:15 → 00:03:17 ต่างๆจากการขุดค้นทุกครั้งเนี่ยทำให้เรา
00:03:17 → 00:03:18 รู้สึกสนุก
00:03:18 → 00:03:19 >> อือ
00:03:19 → 00:03:22 >> แต่ในขณะเดียวกันนะฮวิชาบรังคดีมันก็มี
00:03:22 → 00:03:26 ธรรมชาติบางอย่างของตัวเองมันมีความ
00:03:26 → 00:03:29 หยุดนิ่งของหลักฐานบางอย่างอ่ะมันดูแห้ง
00:03:29 → 00:03:33 แล้งมากเลยเราต้องนั่งดูแบบเศษพืชโครง
00:03:33 → 00:03:36 กระดูกคนวิเคราะห์แบบเศษหม้อไหแตกอะไร
00:03:36 → 00:03:38 เงี้ยซึ่งมันสนุกนะคะแต่บางทีเรารู้สึก
00:03:38 → 00:03:41 ว่าด้วยความที่เราเป็นคนชอบกินน่ะ
00:03:41 → 00:03:42 >> อือๆ
00:03:42 → 00:03:45 >> แล้วก็มีความอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคน
00:03:45 → 00:03:47 อื่นซึ่งเป็นธรรมชาติของนักมนุษย์วิทยา
00:03:47 → 00:03:48 อย่างนึงเหมือนกันนะ
00:03:48 → 00:03:49 >> ออครับ
00:03:49 → 00:03:53 >> เราก็เลยรู้สึกว่าเออลองเอาเรื่องอาหารมา
00:03:53 → 00:03:55 ดูมั้งดีแล้วใช้แล้วใช้วิธีการคิดแบบ
00:03:55 → 00:03:59 โบราณคดีในการ apply ดูดิว่ามันจะเป็นไง
00:03:59 → 00:03:59 มั่ง
00:03:59 → 00:04:00 >> อื
00:04:00 → 00:04:04 >> ก็ลองทำดูอย่างนั้นมาอย่างแบบว่าเป็น
00:04:04 → 00:04:07 งานอดิเรกแล้วกันค่ะเป็นแบบฝึกหัด
00:04:07 → 00:04:09 >> ถ้าเห็นใน Facebook ของคุณโจ้เนี่ยจะเห็น
00:04:09 → 00:04:10 ว่าคุณโจ้
00:04:10 → 00:04:12 >> ทำอาหารไทยเยอะมาก
00:04:12 → 00:04:13 >> อ่ะ
00:04:13 → 00:04:14 >> ที่แคนาดา
00:04:14 → 00:04:15 >> ค่ะ
00:04:15 → 00:04:17 >> ครับคือไอ้สิ่งเนี้ยมันคือสิ่งที่เอาไว้
00:04:17 → 00:04:20 ศึกษาเพื่อจะมาใช้กับงานเกี่ยวกับ
00:04:20 → 00:04:22 ประวัติศาสตร์โบราคดีด้วยมั้ฮะ
00:04:22 → 00:04:24 >> ไม่มันคือการหาทำล้วนๆ
00:04:24 → 00:04:27 >> คือน่าตกใจที่แบบว่าคุณโจ้ชอบถ่ายรูป
00:04:27 → 00:04:29 อาหารที่ทำเอง
00:04:29 → 00:04:29 >> ค่ะ
00:04:29 → 00:04:30 >> ใช่มั้ฮะ
00:04:30 → 00:04:30 >> ค่ะ
00:04:30 → 00:04:33 >> ซึ่งทุกอย่างเป็นอาหารไทยที่ในเมืองไทย
00:04:33 → 00:04:35 เองยังทำได้ไม่สมบูรณ์ขนาดนั้นน่ะทั้งๆ
00:04:35 → 00:04:39 ที่อยู่แคนาดานะที่แคนาดานี่มีมีวัตถุดิบ
00:04:39 → 00:04:40 ในการทำอาหารไทยเยอะขนาดนั้นเลย
00:04:40 → 00:04:42 >> มีค่ะแต่เราต้องหาทำพอสมควรเสร็จแล้วมัน
00:04:42 → 00:04:46 ก็ค่อยๆแปลเป็นการทำอาหาร 300 อย่างเนี่ย
00:04:46 → 00:04:49 เวลา 1 ปี 1 หรือ 2 ปีทำทุกวันใช่มั้ฮ
00:04:49 → 00:04:50 >> ทำทุกวัน
00:04:50 → 00:04:55 >> แล้วก็ 300 อย่าง 200 300 อย่างเนี่ยก็
00:04:55 → 00:04:57 นั่นขั้นที่แค่สำเร็จนะที่ไม่สำเร็จอีก
00:04:57 → 00:04:58 เยอะมาก
00:04:58 → 00:04:59 >> ไม่สำเร็จนี้เป็นยังไง
00:04:59 → 00:05:01 >> คือไม่ถ่ายรูปลงแย่มาก
00:05:01 → 00:05:02 >> หน้าตาหรือว่าอันรสชาติ
00:05:02 → 00:05:03 >> ทุกอย่าง
00:05:04 → 00:05:07 >> คือแบบว่าไม่ได้สำเร็จทุกอย่างแต่ว่าทำ
00:05:07 → 00:05:10 ทุกวันเราก็เลยเอาการทำอาหารและการทำความ
00:05:10 → 00:05:12 เข้าใจวัตถุดิบผ่านการทำอาหารแต่ละชนิด
00:05:12 → 00:05:13 ตัวเอาตัวเราเข้าไปอยู่ในนั้นน่ะ
00:05:13 → 00:05:14 >> ครับ
00:05:14 → 00:05:18 >> เป็นลักษณะของการเรียนรู้ในแบบหนึ่ง
00:05:18 → 00:05:18 >> อื
00:05:18 → 00:05:23 >> เพราะว่าเวลาเราเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์เนาะ
00:05:23 → 00:05:25 กับวัตถุดิบในแต่ละอย่างในอาหารแต่ละชนิด
00:05:25 → 00:05:27 เนี่ยมันจะมีสิ่งที่เราเรียกว่าไวยากรณ์
00:05:27 → 00:05:29 ของรสชาติเนี่ย
00:05:29 → 00:05:32 [เพลง]
00:05:32 → 00:05:35 ไวยากรณ์ของรสชาติก็คือการจัดวางรสชาติ
00:05:35 → 00:05:38 และวัตถุดิบของอาหารในแต่วัฒนธรรมอ่ะมัน
00:05:38 → 00:05:40 จะมีไม่เหมือนกันของไทยก็เปรี้ยวหวานมัน
00:05:40 → 00:05:43 เค็มยำก็ต้องเผ็ดก่อนแล้วค่อยบางทีถ้า
00:05:43 → 00:05:46 เป็นภาคกลางก็จะหวานแล้วก็เค็มเปรี้ยว
00:05:46 → 00:05:48 เค็มเปรี้ยวอะไรเงี้ยแล้วแต่ที่เนาะ
00:05:48 → 00:05:48 >> อครับ
00:05:48 → 00:05:51 >> หรือว่าถ้าเป็นที่อื่นก็จะมีความมันมา
00:05:51 → 00:05:53 ก่อนไหล่วัฒนธรรมของจีนก็จะมีความเค็ม
00:05:54 → 00:05:58 ความเซวี่ความนัวความคาวอะไรอย่างเงี้ย
00:05:58 → 00:05:59 ที่มันจะบาanceซกันอ
00:05:59 → 00:06:02 >> เสี่ยงไฮก็จะกินหวาน
00:06:02 → 00:06:05 >> แล้วก็จะใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในแต่ละแบบ
00:06:05 → 00:06:08 >> เขาก็จะมีการตีความวัตถุดิบ
00:06:08 → 00:06:10 >> ในความเข้าใจแต่ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับ
00:06:10 → 00:06:13 วัฒนธรรมการทำอาหารของเขาที่ต่างกันออกไป
00:06:13 → 00:06:17 ทีนี้เวลาเราศึกษาตำราอาหารโบราณเนี่ย
00:06:17 → 00:06:20 ต้องเข้าใจว่าเค้าถูกตำราอาหารเหล่าเนี้ย
00:06:20 → 00:06:22 มันถูกเขียนขึ้นมาในช่วงเวลาที่ต่างจาก
00:06:22 → 00:06:23 เรา
00:06:23 → 00:06:24 >> อือือ
00:06:24 → 00:06:26 >> พอเป็นช่วงเวลาที่ต่างจากเราเนี่ย
00:06:26 → 00:06:29 เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหารสภาพ
00:06:29 → 00:06:32 สังคมวัฒนธรรมรวมทั้งการผลิตวัตถุดิบใน
00:06:32 → 00:06:35 แต่ละชนิดก็ไม่เหมือนกับปัจจุบัน
00:06:35 → 00:06:36 >> ใช่สิ่งเนี้ย
00:06:36 → 00:06:39 >> มันจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับรสชาติและคุณภาพ
00:06:39 → 00:06:41 รสสัมผัสของวัตถุดิบในอดีต
00:06:41 → 00:06:42 >> อื
00:06:42 → 00:06:43 >> ซึ่งบางทีเราไม่รู้
00:06:43 → 00:06:44 >> ครับ
00:06:44 → 00:06:48 >> ดังนั้นการพยายามทำความเข้าใจอาหารของเรา
00:06:49 → 00:06:51 เนี่ยโดยใช้วัตถุดิบต่างๆหลากหลายที่มา
00:06:51 → 00:06:54 หลากหลายคุณภาพภาพทำอาหารทุกวันเพื่อที่
00:06:54 → 00:06:56 จะ
00:06:56 → 00:06:59 ดูดซับข้อมูลอันนี้เข้าไปเนี่ยมันจึงเป็น
00:06:59 → 00:07:01 เรื่องจำเป็นสำหรับเรานะคะในการทำความ
00:07:01 → 00:07:05 เข้าใจตำราอาหารโบราณแล้วก็ความหมายที่
00:07:05 → 00:07:07 มันถูกซ่อนไว้ระหว่างบรรทัดอ
00:07:07 → 00:07:10 >> ของตำราอาหารโบราณเหล่านั้นน่ะถ้าเราไม่
00:07:10 → 00:07:12 มีความรู้ในการทำอาหารแล้วก็วัฒนธรรมและ
00:07:13 → 00:07:16 บริบทของอดีตในช่วงเวลานั้นน่ะเราจะพลาด
00:07:16 → 00:07:17 ไปได้ง่าย
00:07:17 → 00:07:18 >> เออ
00:07:18 → 00:07:21 >> เอออย่างเช่นสมัยก่อนอาหารจะมีความมัน
00:07:21 → 00:07:22 ความเค็ม
00:07:22 → 00:07:24 เพราะว่า 1 เไม่มีตู้เย็นอากาศร้อน
00:07:24 → 00:07:25 >> อือ
00:07:25 → 00:07:27 >> ถ้าวางแกงทิ้งไว้ไม่เค็มพอบูด
00:07:27 → 00:07:28 >> อ๋อ
00:07:28 → 00:07:32 >> อ่าหรือว่าในสมัยก่อนตำราอาหารเขาก็จะ
00:07:32 → 00:07:35 เขียนว่าวิธีการจัดการเนื้อที่เขียวและ
00:07:35 → 00:07:36 เหม็น
00:07:36 → 00:07:38 >> จะต้องทำอย่างเขียวและเหม็นเหม็น
00:07:38 → 00:07:40 >> ใช่ค่ะแต่ว่า
00:07:40 → 00:07:42 >> เข้าใจต้องเข้าใจว่าในสมัยก่อนเนี่ยเนื้อ
00:07:42 → 00:07:44 สัตว์เป็นของที่มีราคาเนาะ
00:07:44 → 00:07:45 >> ครับ
00:07:45 → 00:07:46 >> ตู้เย็นไม่มี
00:07:46 → 00:07:46 >> อื
00:07:47 → 00:07:49 >> น้ำแข็งยิ่งไม่ต้องพูดถึงมีบางคนเท่านั้น
00:07:49 → 00:07:52 ที่สามารถเข้าถึงการเทคโนโลยีความเย็นใน
00:07:52 → 00:07:53 สมัยก่อนครับ
00:07:53 → 00:07:56 >> เขาจะไม่มานั่งกระมิดกระเมี้ยนว่าเนื้อ
00:07:56 → 00:07:57 คุณเขี่ยวเราต้องทิ้ง
00:07:57 → 00:07:58 >> อ๋อ
00:07:58 → 00:08:00 >> แต่มันคือการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่
00:08:00 → 00:08:07 อย่างจำกัดให้ได้เกิดผลอะไรล่ะผลดีให้ให้
00:08:07 → 00:08:09 ได้คุ้มค่าที่สุดไม่มีเวสอ่ะไม่มีของเสีย
00:08:09 → 00:08:10 ทิ้ง
00:08:11 → 00:08:13 >> แม่บ้านสมัยก่อนเนี่ยเขาก็จะไม่มานั่งแบบ
00:08:13 → 00:08:15 ว่าเอาเนื้อเขียวทิ้งไม่ได้ฉันต้องทำยัง
00:08:15 → 00:08:18 ไงก็ได้ให้มันพอกินได้แล้วปลอดภัยก็จะมี
00:08:18 → 00:08:21 การใช้บอแรกินปสิวอะไรหรือว่าการทำอะไร
00:08:21 → 00:08:23 ที่มันดูแบบว่าไม่ปลอดภัยในสมัยนี้
00:08:23 → 00:08:23 >> ครับ
00:08:23 → 00:08:25 >> แต่ว่ามันก็เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์
00:08:25 → 00:08:26 >> อื
00:08:26 → 00:08:28 >> แล้วก็สะท้อนมุมมองของเขาว่าการมอง
00:08:28 → 00:08:31 ทรัพยากรอย่างเช่นเนื้อสัตว์ในอดีตเนี่ย
00:08:31 → 00:08:33 มันจะต้องจัดการน่ะ
00:08:33 → 00:08:33 >> ครับ
00:08:33 → 00:08:35 >> คุณเป็นแม่บ้านน่ะคุณต้องทำทุกอย่างให้
00:08:35 → 00:08:36 มันคุ้มค่าคุณไม่สามารถโยนทิ้งได้ถ้าเป็น
00:08:37 → 00:08:39 สมัยนี้การเกษตรอุตสาหกรรม
00:08:39 → 00:08:40 >> เรามีบริษัท
00:08:40 → 00:08:43 >> อุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่เรามีตู้แช่แข็ง
00:08:43 → 00:08:45 ที่ดี
00:08:45 → 00:08:48 >> เนื้อแบบนี้เราทิ้งได้แต่ในสมัยก่อนทำไม่
00:08:48 → 00:08:48 ได้
00:08:48 → 00:08:50 >> ก็คือจัดการให้มันคุ้มค่าที่จัดการให้
00:08:50 → 00:08:53 คุ้มค่าด้วยแล้วก็มุมมองของสิ่งที่เขา
00:08:53 → 00:08:54 เรียกว่าของเสีย
00:08:54 → 00:08:56 >> ไม่เหมือนกับปัจจุบัน
00:08:56 → 00:08:57 >> อื
00:08:57 → 00:08:58 >> อย่างเช่นอะไรครับ
00:08:58 → 00:09:00 >> ก็อย่างเนี่ยเนื้อเขียว
00:09:00 → 00:09:00 >> เนื้อเขียวเนี่ย
00:09:00 → 00:09:01 >> อือ
00:09:01 → 00:09:03 >> เนื้อเขียวที่กลายเป็นป่าไปแล้วเราก็
00:09:03 → 00:09:06 สามารถทำให้มันกลับมาพอกินได้
00:09:06 → 00:09:06 >> ออ
00:09:06 → 00:09:10 >> โดยไม่เหลือทิ้ง
00:09:10 → 00:09:13 >> อันนี้เป็นคำถามผมสงสัยว่าแบบการขุดไซส์
00:09:13 → 00:09:17 งานไซส์นึงเนี่ยคนที่ขุดเนี่ยเป็นหลายๆคน
00:09:17 → 00:09:20 ที่สนใจในแต่ละเรื่องมาขุดด้วยกันมั้ฮะ
00:09:20 → 00:09:24 ส่วนมากในเมืองไทยจะเป็นนักโบราณคดีจาก
00:09:24 → 00:09:25 ราชการนะคะ
00:09:25 → 00:09:26 >> อื
00:09:26 → 00:09:28 >> แล้วคนที่อนุมัติเนี่ยก็คือกรมศิลปากร
00:09:28 → 00:09:29 >> ครับ
00:09:29 → 00:09:32 >> แล้วเขาก็ต้องจัดการให้แน่ใจว่าไม่มีคน
00:09:32 → 00:09:34 อื่นทำงานที่ไซส์นี้อยู่
00:09:34 → 00:09:37 >> เอ่อนักโบราณคดีที่ทำเนี่ยมีคุณสมบัติไม่
00:09:37 → 00:09:39 มีเรื่องเสียหายอะไรเขาก็จะให้อนุมัติให้
00:09:40 → 00:09:40 ทำ
00:09:40 → 00:09:41 >> อือ
00:09:41 → 00:09:44 >> พอขุดลงไปแล้วเนี่ยถ้านักวิจัยเฉพาะทาง
00:09:44 → 00:09:47 ต้องการจะเอาตัวอย่างไปเขาก็จะต้องประสาน
00:09:47 → 00:09:50 กับนักโบราณคดีเจ้าของไซส์เจ้าของไซส์
00:09:50 → 00:09:54 >> เจ้าของไซส์ที่อาจจะเป็นคนหางบประมาณลง
00:09:54 → 00:09:57 ทุนลงแรงหาคนงานมาทำการขุด
00:09:57 → 00:09:57 >> อื
00:09:57 → 00:09:59 >> ว่าจะต้องการเก็บตัวอย่างแบบไหนอย่างเรา
00:09:59 → 00:10:03 เนี่ยก็คือต้องใช้ตัวอย่างดินเอามาร่อน
00:10:03 → 00:10:06 ผ่านน้ำเพื่อแยกเอาเศษพืชที่เป็นถ่าน
00:10:06 → 00:10:08 เนี่ยออกมาที่เป็นเท่าถ่านแล้วออกมานะฮะอ
00:10:08 → 00:10:10 >> แล้วก็มาวิเคราะห์ในกล้องไมโครสโคปอีกที
00:10:10 → 00:10:12 หลังจากแห้งแล้ว
00:10:12 → 00:10:16 >> อืเมื่อกี้ที่บอกว่าเป็นเรื่องของพืช
00:10:16 → 00:10:18 >> แปลว่าส่วนใหญ่หลักฐานที่มันจะอยู่ในชั้น
00:10:18 → 00:10:21 ดินเนี่ยมันจะเป็นพืชใช่มั้ยครับที่เราจะ
00:10:21 → 00:10:23 เห็นเรื่องอาหารเรื่องการกินได้
00:10:23 → 00:10:25 >> ไม่ไม่ๆอย่างที่อย่างที่บอกค่ะสมมุติห้อง
00:10:25 → 00:10:28 เนี้ยเป็นแหล่งโบราณคดีนะที่อยู่ดีๆก็
00:10:28 → 00:10:31 >> เราก็เป็นหลักฐานทำโบราณคดีเรา 2 คนก็จะ
00:10:31 → 00:10:32 เป็นโครงกระดูก
00:10:32 → 00:10:32 >> อือ
00:10:32 → 00:10:35 >> ไมค์เนี่ยที่เป็นเหล็กเนี่ยก็จะหลงเหลือ
00:10:35 → 00:10:35 อยู่
00:10:35 → 00:10:36 >> เออ
00:10:36 → 00:10:38 >> สมมุติผ่านไปสัก 100 ปีเนี่ยเหล็กนี่ก็จะ
00:10:38 → 00:10:39 ขึ้นสนิ่มหมดแล้ว
00:10:39 → 00:10:40 >> ครับ
00:10:40 → 00:10:43 >> โครงสร้างของตึกที่เป็นอิฐซีเมนต์ต่างๆ
00:10:43 → 00:10:44 เนี่ยก็ยังจะหลงเหลืออยู่
00:10:45 → 00:10:46 >> อ
00:10:46 → 00:10:48 >> ของเหล่าเนี้ยค่ะมันจะไม่ถูกกระบวนการทาง
00:10:48 → 00:10:50 ธรรมชาติทำให้เสื่อมสลายไปได้โดยง่าย
00:10:50 → 00:10:51 >> อ่าๆ
00:10:51 → 00:10:53 >> แต่ในขณะเดียวกันเสื้อผ้า
00:10:53 → 00:10:54 >> ครับ
00:10:54 → 00:10:58 >> ผมหรือว่าเนื้อหนังของเราเนี่ยมันก็จะหาย
00:10:58 → 00:11:00 ไปเพราะว่าเป็น
00:11:00 → 00:11:03 วัตถุที่เสื่อมสลายเนาะไปได้โดยง่าย
00:11:03 → 00:11:04 >> อือ
00:11:04 → 00:11:08 >> พืชก็เหมือนกันค่ะถ้าไม่ได้ถูกไหม้เป็น
00:11:08 → 00:11:12 เท่าถ่านเนี่ยโอกาสในการ
00:11:12 → 00:11:14 ถูกสงวนรักษาไว้เนี่ยแทบไม่มีเลย
00:11:14 → 00:11:16 >> เพราะมันนั้นจะย่อยสลายไปก่อนทุกอย่าง
00:11:16 → 00:11:16 แล้ว
00:11:16 → 00:11:16 >> ใช่
00:11:16 → 00:11:20 [เพลง]
00:11:20 → 00:11:22 เวลาจะหาอะไรเราไม่ได้เราไม่ได้ตั้งเป้า
00:11:22 → 00:11:24 ว่าเราจะหาพืชชนิดไหน
00:11:24 → 00:11:25 >> ครับ
00:11:25 → 00:11:27 >> เราดูก่อนว่ามันเหลือพืชให้เราศึกษามั้
00:11:27 → 00:11:30 เพราะว่าแค่แค่มีก็ดีแล้ว
00:11:30 → 00:11:33 >> แค่มีเราก็จะรู้สึกดีมากแต่บางทีบางไซส์
00:11:33 → 00:11:36 เงี้ยที่เราไปทำงานมาในภาคกลางของไทยเจอ
00:11:36 → 00:11:40 เม็ดข้าว 2 เม็ดจากหลักฐาน 2 เม็ด
00:11:40 → 00:11:43 >> เอ้ยเม็ดข้าวนี่มันต้องผ่านการเผามาก่อน
00:11:43 → 00:11:45 ด้วยมั้ฮะที่บอกว่ามันจะอยู่ได้เผ
00:11:45 → 00:11:47 >> จะถูกเผามากจะถูกเผา
00:11:47 → 00:11:50 >> เออเป็นหลักฐานที่จะอยู่ได้นานกว่าอย่าง
00:11:50 → 00:11:50 อื่น
00:11:51 → 00:11:52 >> เพราะมันกลายเป็นคาร์บอนได้แล้ว
00:11:52 → 00:11:54 >> คาร์บอนเราเจอพวกพืชเหล่าเนี้ยครับแล้ว
00:11:54 → 00:11:57 มันจะเกิดอะไรขึ้นฮะหลังจากนั้นเรา
00:11:57 → 00:11:58 >> มันจะเกิดอะไรขึ้น
00:11:58 → 00:12:01 >> เราจะเอาไปใช้มันจะมีประโยชน์อะไรกับคน
00:12:01 → 00:12:04 ทั่วไปบ้างหรือว่านักโบราณคดีเอาไปใช้
00:12:04 → 00:12:06 อะไรต่อครับจากหลักฐานนี้
00:12:06 → 00:12:08 >> อ๋อจริงๆมันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับคน
00:12:08 → 00:12:10 ทั่วไปสักเท่าไหร่
00:12:10 → 00:12:13 >> เพราะว่าอ่านักโบราณพฤศักดคดีเนาะที่เรา
00:12:13 → 00:12:16 แปลมาจากคำว่าอาคิโอโบตานี่นี่นะ
00:12:16 → 00:12:17 อาคิโอโบตานิส
00:12:17 → 00:12:18 >> ครับ
00:12:18 → 00:12:23 >> เราก็จะเอาไปวิเคราะห์เชิงสถิติดูก่อนอัน
00:12:23 → 00:12:25 1 เราต้องบอกว่าพืชนั้นเป็นอะไร 2 มาจาก
00:12:25 → 00:12:27 ชั้นวัฒนธรรมไหนอายุเท่าไหร่
00:12:27 → 00:12:29 >> ดูจากชั้นดินที่บอกนี่
00:12:29 → 00:12:32 >> ดูจากชั้นดินแล้วบางครั้งเราก็ค่าอายุ
00:12:32 → 00:12:36 เอ่อจากการกำหนดอายุโดย AMS ว่าอายุเท่า
00:12:36 → 00:12:38 ไหร่มาจากชั้นดินแบบไหนอ
00:12:38 → 00:12:40 >> อยู่ในบริบทอะไร
00:12:40 → 00:12:42 >> คุณโจมีไซส์เอ้มีมีเคสตัวอย่างมั้ครับว่า
00:12:42 → 00:12:45 เคยเจอที่ไหนบ้างแล้วต้องทำงานกับมันยัง
00:12:45 → 00:12:48 ไงบ้างเคสตัวอย่างเราในจีนก็แล้วกันนะคะ
00:12:48 → 00:12:50 >> อันนี้บอกว่าก็ทำงานร่วมกับนักโบราณคดี
00:12:50 → 00:12:51 จีนเนาะ
00:12:51 → 00:12:53 >> เาก็ให้
00:12:53 → 00:12:57 >> ภาชนะดินเผามาแล้วก็ดูลักษณะข้าวในนั้น
00:12:57 → 00:12:59 >> อื
00:12:59 → 00:13:02 >> เขาก็คิดว่าช่วงเนี้ยมันเป็นวัฒนธรรมช่าง
00:13:02 → 00:13:04 ชานเนาะที่ตอนนี้เขาบอกเป็นข้าวหลักฐาน
00:13:04 → 00:13:07 ของข้าวที่เป็นเมล็ดข้าวจริงๆเนี่ยที่
00:13:07 → 00:13:09 เก่าแก่ที่สุดแห่งนึงในโลกเนี่ยประมาณ
00:13:09 → 00:13:10 10,000 กว่าปีมาแล้ว
00:13:10 → 00:13:11 >> ออฮะ
00:13:11 → 00:13:14 >> เราก็ดูเมื่อส่องกล้อง SEM อ่ะค่ะกำลัง
00:13:15 → 00:13:17 ขยายสูงจะเห็นว่ามีหนวดในข้าวเนี่ยเยอะ
00:13:17 → 00:13:20 มากแล้วก็มีหางซึ่งเป็นลักษณะที่ใกล้
00:13:20 → 00:13:25 เคียงกับข้าวที่ยังไม่ได้ถูกนำมาดัดแปลง
00:13:25 → 00:13:26 สายพันธุ์อะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:13:26 → 00:13:27 >> อ
00:13:27 → 00:13:30 >> แล้วลักษณะของปริมาณที่มันปรากฏในภาชนะ
00:13:30 → 00:13:32 ดินเผ่าอ่ะก็หนาแน่นมาก
00:13:32 → 00:13:32 >> อือ
00:13:33 → 00:13:35 >> จนนักวิชาการนักโบราณคดีหลายๆคนน่ะนัก
00:13:35 → 00:13:39 โบราณคดีจีนด้วยเชื่อว่าถึงแม้ว่าข้าวจะ
00:13:39 → 00:13:43 ไม่ได้บ่งบอกถึงลักษณะของความเป็นข้าว
00:13:43 → 00:13:45 ปลูกอย่างชัดเจนน่ะ
00:13:45 → 00:13:48 มันก็มีปฏิสัมพันธ์กับคน
00:13:48 → 00:13:51 อย่างแน่นแฟ้นแล้วพอที่เราจะเอามาทำอะไร
00:13:51 → 00:13:52 แบบเนี้ย
00:13:52 → 00:13:55 >> แล้วปรากฏกับหลักฐานทางโบราณคดีในจำนวน
00:13:55 → 00:13:58 ขนาดนี้ได้ซึ่งในช่วงหลังเนี่ยเขาก็มีการ
00:13:58 → 00:14:01 อ่าดูลักษณะฐานรองเมล็ดด้วยนะคะคือข้าว
00:14:01 → 00:14:03 เนี่ยเวลาเมล็ดข้าวติดอยู่กับกั้นมันใช่
00:14:03 → 00:14:04 มั้ย
00:14:04 → 00:14:04 >> ครับ
00:14:04 → 00:14:07 >> มันจะมีฐานรองเมล็ดกลมๆเล็กๆอยู่
00:14:07 → 00:14:08 >> อื
00:14:08 → 00:14:11 >> ถ้าเป็นข้าวป่าเนี่ยหรือว่าข้าวที่ไม่ได้
00:14:11 → 00:14:14 ผ่านการปรับปรุงพันธุ์เนี่ยถ้าขยับนิด
00:14:14 → 00:14:15 เดียวข้าวมันก็จะร่วงลงพื้น
00:14:15 → 00:14:16 >> อฮะ
00:14:16 → 00:14:19 >> แต่ถ้าเราทำให้เราทำให้เมล็ดเนี่ยงอกเป็น
00:14:19 → 00:14:21 ต้นข้าวใหม่ได้ง่ายขึ้น
00:14:21 → 00:14:22 >> อื
00:14:22 → 00:14:25 >> แต่ว่าถ้าเป็นข้าวปลุกเนี่ยไอ้การที่ถูก
00:14:25 → 00:14:26 เมล็ดถูกสั่นไหว
00:14:26 → 00:14:27 >> มันจะไม่ร่วง
00:14:27 → 00:14:30 >> มันก็จะร่วงทำให้เสียผลผลิต
00:14:30 → 00:14:32 >> เงี้ยคะดังนั้นเราก็เลยมีการปรับปรุง
00:14:32 → 00:14:33 พันธุว่า
00:14:33 → 00:14:33 >> ปรับปรุงพันธอครับ
00:14:33 → 00:14:35 >> ให้ข้าวเนี่ยอยู่กับฐาน
00:14:35 → 00:14:36 >> อือ
00:14:36 → 00:14:39 >> ฐานรองเมล็ดได้แน่นหนามากขึ้นแล้วก็ไม่
00:14:39 → 00:14:40 ร่วงตอนที่ข้าวสุก
00:14:41 → 00:14:41 >> อื
00:14:41 → 00:14:44 >> แต่ว่าใช้เคี้ยวเกี่ยวมือหยิบ
00:14:44 → 00:14:44 แรงๆ
00:14:44 → 00:14:45 >> อือ
00:14:46 → 00:14:48 >> ข้าวในสมัยปัจจุบันเนี่ยก็เลยมีลักษณะ
00:14:48 → 00:14:52 นั้นแล้วลักษณะทางกายภาพของข้าวเนี่ย
00:14:52 → 00:14:54 อันเนี้ก็เป็นจุดสำคัญที่เขาจะใช้
00:14:54 → 00:14:56 วิเคราะห์ว่าเป็นข้าวป่าหรือข้าวปลุกแล้ว
00:14:56 → 00:14:58 นักโบราณคดีจีนน่ะฮ
00:14:58 → 00:15:01 >> เค้าก็ศึกษาเข้าจากแหล่งโบราณคดีใน
00:15:01 → 00:15:04 วัฒนธรรมช่างฌานน่ะเขาก็บอกว่าฐานรอง
00:15:04 → 00:15:07 เมล็ดเนี่ยเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
00:15:07 → 00:15:07 >> อือ
00:15:07 → 00:15:08 >> แล้ว
00:15:08 → 00:15:08 >> ครับ
00:15:08 → 00:15:10 >> ถึงแม้ว่ามันจะมีฐานรองเมล็ดที่ร่วงง่าย
00:15:11 → 00:15:11 อยู่
00:15:11 → 00:15:12 >> อือฮึ
00:15:12 → 00:15:15 >> เค้าก็เลยสรุปว่าเนี่ยแหละคนเราเริ่มแบบ
00:15:15 → 00:15:17 ว่าเอาข้าวมาใช้ประโยชน์แล้วปรับปรุง
00:15:17 → 00:15:19 พันธุ์ให้เป็นแบบที่ตัวเองต้องการละ
00:15:19 → 00:15:20 >> เออ
00:15:20 → 00:15:24 >> อันนี้ก็คือแบบว่าที่เคยไปมาทำมาอย่าง
00:15:24 → 00:15:25 เงี้ยนะคะแล้ว
00:15:25 → 00:15:27 >> แต่ว่ามันไม่ใช่แค่เราไปเห็นหลักฐานนั้น
00:15:27 → 00:15:30 น่ะมันต้องมาศึกษาเรื่องข้าวให้มัน
00:15:30 → 00:15:32 ละเอียดอีกทีนึงได้ป่ะฮะ
00:15:32 → 00:15:35 >> คือเราศึกษาข้าวแบบทั้งต้นเลยอ่ะค่ะคือ
00:15:35 → 00:15:38 กว่าจะมองเมล็ดได้เนี่ยคือเราก็แค่แค่มอง
00:15:38 → 00:15:41 ดูเนาะแต่ว่าก่อนที่เราจะแค่มองดูแล้วบอก
00:15:41 → 00:15:43 ได้ว่าเมล็ดเป็นแบบนี้สันสฐานแบบนี้น่าจะ
00:15:43 → 00:15:46 เป็นข้าวอะไรอย่างเงี้ยแต่จริงๆจะบอกได้
00:15:46 → 00:15:47 ว่าเป็นข้าวอะไรเราต้องเอามาวัดอย่าง
00:15:47 → 00:15:49 ละเอียดนะฮะเทียบกับถังข้อมูล
00:15:49 → 00:15:50 >> อ
00:15:50 → 00:15:54 >> เราศึกษาทั้งต้นข้าวเคยปลูกข้าวที่แคนาดา
00:15:54 → 00:15:56 ด้วยข้าวป่าเนี่ยแหละ
00:15:56 → 00:15:57 >> มันดูแบบต้องทำหลายๆอย่าง
00:15:57 → 00:15:59 >> ปลูกแล้วก็แบบว่านั่งมองมัน
00:15:59 → 00:15:59 >> อือ
00:15:59 → 00:16:03 >> แล้วนับเม็ดว่าเม็ดนี้อ่ะผสมติดเม็ดนี้
00:16:03 → 00:16:06 ไม่ติดอ้าทำไมต้นนี้ไม่ติดล่ะแล้วทำไมมัน
00:16:06 → 00:16:08 ถึงเป็นอย่างี้นับกอนับอะไรอย่าเงี้ยคือ
00:16:08 → 00:16:11 เราเราทำมาทุกอย่างแล้วเกี่ยวกับข้าวอ่ะ
00:16:11 → 00:16:13 >> ในเวลาที่มันนานมากจนแบบว่า
00:16:13 → 00:16:14 >> อ
00:16:14 → 00:16:16 >> เราคิดว่ามันเข้าใจมันพอสมควร
00:16:16 → 00:16:17 >> ครับ
00:16:17 → 00:16:18 >> แล้วก็เป็นพืชที่ซับซ้อนจัง
00:16:18 → 00:16:21 >> อื
00:16:21 → 00:16:24 [เพลง]
00:16:24 → 00:16:26 >> อันนี้เป็นคำถามค่อนข้างคลาสสิคสำหรับคน
00:16:26 → 00:16:30 ดูตำราโบราณเนาะว่าของในโบราณกับของใน
00:16:30 → 00:16:33 ปัจจุบันเนี่ยมันค่อนข้างแตกต่างกันชัด
00:16:33 → 00:16:34 เจนอยู่แล้ว
00:16:34 → 00:16:36 >> อย่างเช่นข้าวในสมัยก่อนกับข้าวในสมัย
00:16:36 → 00:16:39 ปัจจุบันเนี่ย texture หรือว่ารสชาติน่า
00:16:39 → 00:16:41 จะต่างกันไปเลย
00:16:41 → 00:16:42 >> อันนี้ไม่สามารถรู้ได้เลยนะ
00:16:42 → 00:16:45 >> ผมก็เลยจะถามต่อว่าจริงๆแล้วเวลาคุณโจ้
00:16:45 → 00:16:48 ใช้มุมมองของแบบคนที่มีความรู้ชอบศึกษา
00:16:48 → 00:16:50 เรื่องประวัติศาสตร์
00:16:50 → 00:16:53 >> ตจจินตนาการในการช่วยด้วยมั้ว่าเมื่อก่อน
00:16:53 → 00:16:56 น่าจะใช้ข้าว texture ประมาณนี้มยหรือใช้
00:16:56 → 00:16:59 เครื่องแกงที่มีรสชาติที่มีกลิ่นมากกว่า
00:16:59 → 00:17:00 นี้หรือเปล่า
00:17:00 → 00:17:04 >> มันจะต้องพูดจากหลักฐานทางโบราณคดีอ่ะถ้า
00:17:04 → 00:17:06 สมมุติเราเจอเศษพืช
00:17:06 → 00:17:08 >> ที่มันมีลักษณะอะไรบางอย่างที่ทำให้เรา
00:17:08 → 00:17:12 คิดที่ทำให้เราสรุปได้ว่ามันมีความฉุน
00:17:12 → 00:17:15 ความจัดจ้างของรสชาติอะไรเงี้ยแต่ว่าเรา
00:17:15 → 00:17:17 ไม่สามารถที่จะ
00:17:17 → 00:17:18 ประเมินได้นะ
00:17:18 → 00:17:19 >> ครับ
00:17:19 → 00:17:21 >> ในปัจจุบันเนี่ยเราไม่สามารถประเมินได้
00:17:21 → 00:17:21 ขนาดนั้น
00:17:21 → 00:17:22 >> อื
00:17:22 → 00:17:24 >> อ่า
00:17:24 → 00:17:26 อย่าง texture อย่างเงี้ยเรายังพอประเมิน
00:17:27 → 00:17:28 ได้เช่นไก่อ่ะ
00:17:28 → 00:17:29 >> อื
00:17:29 → 00:17:32 >> ไก่ป่าไก่บ้านเงี้ยไก่ป่าจะตัวเล็กเขาจะ
00:17:32 → 00:17:37 วิ่งเยอะจะต้องเอาชีวิตรอดในป่าจากนักล่า
00:17:37 → 00:17:37 และคนด้วย
00:17:38 → 00:17:38 >> อ
00:17:38 → 00:17:39 >> ก็จะมีความลีน
00:17:39 → 00:17:42 >> อ่าของของเนื้อมากกว่าไก่เลี้ยว
00:17:42 → 00:17:44 >> ใช่หรือแม้ว่าเป็นไก่บ้านแล้วบางทีก่อน
00:17:44 → 00:17:48 ที่จะมีบัญัติทางการเกษตรที่มีการเลี้ยง
00:17:48 → 00:17:49 ในระบบปิดขนาดใหญ่เนี่ยอ
00:17:49 → 00:17:51 >> เขาก็จะมีเนื้อที่เหนียวที่เรียกว่าไก่
00:17:51 → 00:17:53 เหนียวที่อาจารย์ทเนศเคยเขียนถึงเนาะ
00:17:53 → 00:17:54 อือฮึ
00:17:54 → 00:17:56 >> แล้วก็ปัจจุบันเนี่ยก็จะเป็นไก่แบบ
00:17:56 → 00:17:57 >> สมบูรณ์
00:17:57 → 00:17:58 >> ไก่เนื้อแบบ
00:17:58 → 00:18:01 >> ไก่เนื้อสมบูรณ์แบบล่ำๆแบบว่าทุกอย่างนี่
00:18:01 → 00:18:03 คือเต็มหมดเนื้อนุ่มๆ
00:18:03 → 00:18:06 >> เนี่ย texture เนี้ยเรายังพอประเมินได้
00:18:06 → 00:18:08 หรือว่าหมูป่ากับหมูเลี้ยง
00:18:08 → 00:18:08 >> ครับ
00:18:08 → 00:18:10 >> ที่ปรับปรุงพันธุ์
00:18:10 → 00:18:14 ขนาดของมันมันก็จะหนาบางไม่เหมือนกัน
00:18:14 → 00:18:15 ประเมินได้
00:18:15 → 00:18:15 >> อ
00:18:15 → 00:18:17 >> แต่เรื่องพืชเนี่ยประเมินยาก
00:18:17 → 00:18:17 >> อื
00:18:18 → 00:18:20 >> ประเมินยากบางทีประเมินไม่ได้
00:18:20 → 00:18:20 >> อื
00:18:20 → 00:18:24 >> เพราะว่าตอนเราทำทเรื่องข้าวในสมัยปโท
00:18:24 → 00:18:27 พยายามหาวิธีว่าเราจะแยกได้มั้ว่าข้าว
00:18:27 → 00:18:29 เจ้ากับข้าวเหนียวในแหล่งโบราณคดีเนี่ย
00:18:29 → 00:18:29 แยกได้เปล่า
00:18:29 → 00:18:30 >> ได้มั้ยครับ
00:18:30 → 00:18:34 >> มันตอนนั้นคิดว่าได้แต่ตอนนี้คิดว่ากลุ่ม
00:18:34 → 00:18:38 ตัวอย่างเล็กเกินไปมันมันคลุมเครือเกินไป
00:18:38 → 00:18:38 >> อื
00:18:38 → 00:18:40 >> มันก็ยังยากอยู่ดีแต่เราบอกได้ว่าเม็ด
00:18:40 → 00:18:43 ข้าวนั้นเป็นเมล็ดข้าวแบบไหนนะ
00:18:43 → 00:18:44 >> อื
00:18:44 → 00:18:46 >> ข้าวกลมเมล็ดกลมเมล็ดยาวอะไรอย่างเงี้ย
00:18:47 → 00:18:47 ค่ะ
00:18:47 → 00:18:50 >> อืเรมรวมถึงการปรุงรสด้วยมั้ครับไม่แน่ใจ
00:18:50 → 00:18:51 ตามตำรา
00:18:51 → 00:18:53 >> การปรุงรสมันจะไม่เหลือแล้วมันเป็นเท่า
00:18:53 → 00:18:54 หมดแล้ว
00:18:54 → 00:18:57 >> เออโทษทีอันนี้คือพูดถึงตัวตำทำตามอาหาร
00:18:57 → 00:18:59 ตามตำราครับว่าเราสามารถ
00:18:59 → 00:19:03 >> คะเนการรสนิยมของการกินในยุคสมัยนั้นได้
00:19:03 → 00:19:05 ไหมว่าเค้ากินเค็มกินหวานกว่าปัจจุบัน
00:19:05 → 00:19:06 หรือเปล่า
00:19:06 → 00:19:09 >> อ๋อในสูตรเขาบอกเบอกชัดเจนอยู่แล้วบางที
00:19:09 → 00:19:11 สูตรของแมคโครโหป่านี่ก็เค็มนะ
00:19:11 → 00:19:14 >> เออเพราะว่าเพราะว่าเคยได้ยินมาหลายที
00:19:14 → 00:19:17 เหมือนกันครับว่าถ้าให้เราทำอาหารตามตำรา
00:19:17 → 00:19:19 โบราณคนปัจจุบันอาจจะไม่กินไม่ได้
00:19:19 → 00:19:23 >> โหอันนี้เคยเขียนไว้หลายปีละตอนทำอาหาร
00:19:23 → 00:19:25 ของชาวบาบิโลเนียนน่ะค่ะ
00:19:25 → 00:19:26 >> เออ
00:19:26 → 00:19:29 >> ก็อร่อยดีนะแต่ไม่เก็ทเลยอ่ะจริงๆแบบว่า
00:19:29 → 00:19:30 >> เค้าทำอะไรครับ
00:19:30 → 00:19:32 >> เ้าทำซุปแกะ
00:19:32 → 00:19:34 >> ใส่หัวบีดสีแดง
00:19:34 → 00:19:34 >> ครับ
00:19:35 → 00:19:38 >> แล้วก็กินกับแฟชเบรสเหมือนเป็นขนมปังฟัง
00:19:38 → 00:19:39 แผ่นแบนๆ
00:19:39 → 00:19:40 >> อื
00:19:40 → 00:19:44 >> เราก็ปรุงตามที่เขาบอกตามที่มีคนปริวัติ
00:19:44 → 00:19:45 ก็คือแปลไว้อ่ะ
00:19:45 → 00:19:46 >> อ่าฮะ
00:19:46 → 00:19:49 >> มันมันจะไปทางไหนเนี่ยมัน
00:19:49 → 00:19:49 >> มันเป็นยังไงครับ
00:19:50 → 00:19:53 >> มันอะไรยังไงวะมันก็เป็นเนื้อแกะค่ะเราก็
00:19:53 → 00:19:54 ใช้แบบ
00:19:54 → 00:19:56 >> ของทุกอย่างอ่ะเราซื้อมาจากตลาดปัจจุบัน
00:19:56 → 00:19:57 นะเราไม่สามารถอ
00:19:58 → 00:20:00 >> รู้ได้เลยว่าแกะในสมัยก่อนมันจะตัวเล็ก
00:20:00 → 00:20:01 ตัวใหญ่ขนาดไหนอ่ะ
00:20:01 → 00:20:01 >> ครับ
00:20:02 → 00:20:05 >> แล้วหัวบีทที่ใช้เราก็เป็นหัวบีดแบบหวานๆ
00:20:05 → 00:20:08 แบบในปัจจุบันเราก็ไม่รู้ว่าในอดีตเนี่ย
00:20:08 → 00:20:10 หัวบีดติดมันจะเป็นหัวเล็กหัวใหญ่รสชาติ
00:20:10 → 00:20:11 หวานแบบนี้มั้ยได้นะ
00:20:11 → 00:20:14 >> ก็แบบกินเข้าไปแล้วมันก็แบบอ
00:20:14 → 00:20:16 >> รสชาติพูดยากเลยมันไม่ไปไหนเลยสักทางแบบ
00:20:16 → 00:20:20 ความเป็น
00:20:20 → 00:20:23 จะเป็นอิรักเหรอตะวันออกกลางเราก็ยังไม่
00:20:23 → 00:20:25 เก็ตอ่ะ
00:20:25 → 00:20:27 >> เราก็เลยไม่รู้ว่าแบบว่า
00:20:27 → 00:20:30 >> ความอร่อยมันเป็นมันเป็นเรื่องที่คงอยู่
00:20:30 → 00:20:31 ในช่วงเวลาหนึ่ง
00:20:31 → 00:20:32 >> ครับ
00:20:32 → 00:20:35 >> มันอาจจะรสชาติโบราณไม่ได้แปลว่าอร่อย
00:20:35 → 00:20:36 เสมอไปนะคะ
00:20:36 → 00:20:36 >> อื
00:20:36 → 00:20:38 >> มันอาจจะกินไม่ได้ก็ใช่แล้วมันเป็น
00:20:38 → 00:20:39 มายาคติจริงๆ
00:20:39 → 00:20:44 >> จริง
00:20:44 → 00:20:47 >> ไอ้สิ่งเนี้ยมันจะถูกมันจะถูกพูดถึงพร้อม
00:20:47 → 00:20:49 กับอีกเรื่องนึงคือเรื่องความแท้ของอาหาร
00:20:49 → 00:20:52 ที่ไปคุยนั่นแหละเข้าใจเข้าใจว่าเข้าใจ
00:20:52 → 00:20:54 ว่าได้ยินเรื่องนี้มาเยอะมากแล้ว
00:20:54 → 00:20:55 >> เราต้องพูดเรื่องนี้กันทุกปีเลยเหรอ
00:20:55 → 00:20:59 >> ใช่คือคือเรื่องเนี้ยเป็นเรื่องที่แบบใคร
00:20:59 → 00:21:01 ก็ตามตั้งกระทู้ขึ้นมาตั้งโพสต์ขึ้นมา
00:21:01 → 00:21:04 เนี่ยจะได้รับการคอมเมนต์อย่างล้นหลาม
00:21:04 → 00:21:05 ขึ้นมาสักทีอะไรอย่างเงี้ย
00:21:06 → 00:21:08 >> ความแท้ความแท้คืออะไรก่อน
00:21:08 → 00:21:10 >> ใช่คือเมื่อกี้ที่เราคุยกันน่ะเรื่องถ้า
00:21:10 → 00:21:14 เราทำอาหารตามแบบที่เราบอกว่าเป็นการแท
00:21:14 → 00:21:15 ความแท้ระดับนึง
00:21:15 → 00:21:16 >> อือฮึ
00:21:16 → 00:21:18 >> ผมว่าบางคนก็ไม่ได้เก็ทกับรถนี้มันก็เป็น
00:21:19 → 00:21:21 เรื่องของการเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย
00:21:21 → 00:21:22 ปัจจุบันนั่นแหละ
00:21:22 → 00:21:24 >> คือเราบอกว่าอาจจะมีคนบอกว่าอาหารไทยแท้
00:21:24 → 00:21:27 จะต้องเป็นแบบนี้แต่ว่าเข้าใจป่ะถ้าเราทำ
00:21:27 → 00:21:30 อาหารไทยแท้สมัยทุยาคุณจะไม่มีส้มตำนะ
00:21:30 → 00:21:33 แล้วคุณจะไม่มีพริกในอาหารใดๆเลย
00:21:33 → 00:21:34 >> ครับอื
00:21:34 → 00:21:37 >> คุณจะอยู่ได้มั้ยคน
00:21:37 → 00:21:39 จะอยู่ได้มั้ยไม่มีพลิกอ่ะ
00:21:39 → 00:21:40 >> เหมือนกันเลยฮะล่าสุดที่คุยกับอาจารย์
00:21:40 → 00:21:42 ทเนศเนี่ยซีรียส์เรื่องความแท้เนี่ย
00:21:42 → 00:21:42 >> อือฮึ
00:21:42 → 00:21:44 >> อาจารย์ทเนศก็พูดแบบเดียวกันเลยคือแบบถ้า
00:21:44 → 00:21:47 คุณจะเอาคุณก็ต้องเอาพริกออกไปก่อนเพราะ
00:21:47 → 00:21:50 ว่าบ้านเราก็ไม่ได้กินแบบนั้นแล้วอะไรคือ
00:21:50 → 00:21:52 ความแท้แท้คือยุคไหนอะไรอย่างเงี้ยฮะ
00:21:52 → 00:21:56 >> ใช่ความแท้มันมันเป็นไอ้นี่มากเลยนะมัน
00:21:56 → 00:22:00 เป็นปัจเจกแล้วมันก็ไม่ได้เป็นอนัตไม่ได้
00:22:00 → 00:22:03 เป็นแบบว่าสิ่งที่คงอยู่ตลอดไปอ่ะมันเกิด
00:22:03 → 00:22:05 ขึ้นตลอดเวลาแล้วมันก็หายไปตลอดเวลา
00:22:05 → 00:22:07 >> มันถูกแปรสภาพไปได้ตลอดเวลา
00:22:07 → 00:22:08 >> อือ
00:22:08 → 00:22:11 >> ถ้าสมมุติว่าเราบอกว่าเราต้องการทำอาหาร
00:22:11 → 00:22:15 ไทยในสมัยอยุธยาตอนปลายถ้าคิดว่าเก่าแก่
00:22:15 → 00:22:17 คือแท้ที่สุดเนี่ยยิ่งเก่าแก่ที่แท้ที่
00:22:17 → 00:22:19 สุดเนี่ยอย่างที่บอกก็คือคุณจะต้องกิน
00:22:19 → 00:22:21 อาหารที่มีแต่รสเผ็ดพริกไทยหรือว่าดีปลี
00:22:21 → 00:22:21 อ่ะ
00:22:21 → 00:22:22 >> อือ
00:22:22 → 00:22:27 >> คุณจะไม่มีพริกแล้วการปรุงรสแกงหรือกับ
00:22:27 → 00:22:29 ข้าวในแบบนั้นเนี่ยลิ้นคนปัจจุบันก็ไม่
00:22:29 → 00:22:32 เก็ตเพราะว่าลิ้นของเราถูกแปรสภาพด้วยการ
00:22:32 → 00:22:34 ครัวแบบปัจจุบันไปแล้ว
00:22:34 → 00:22:35 >> ครับ
00:22:35 → 00:22:38 >> ดังนั้นการเป็นอาหารโบราณเนี่ยไม่ดีที่
00:22:38 → 00:22:40 สุดเสมอไปเพราะว่าแม้แต่ตัวเราเองอ่ะเรา
00:22:40 → 00:22:42 ก็ถูกก่อร่างมาด้วยวัฒนธรรมอาหารใน
00:22:42 → 00:22:43 ปัจจุบัน
00:22:43 → 00:22:44 >> อื
00:22:44 → 00:22:46 >> ไม่เกิน 50 ปีอันสมมุติในช่วงชีวิตเรานะ
00:22:46 → 00:22:49 ไม่เกิน 50 ปีซึ่งไม่ใช่อาหารในช่วง 4-500
00:22:49 → 00:22:50 ปีก่อนแน่นอนน่ะ
00:22:50 → 00:22:51 >> อือฮึ
00:22:51 → 00:22:55 >> เราก็เลยคิดว่าการแท้หรือไม่แท้เนี่ยมัน
00:22:55 → 00:22:57 ขึ้นอยู่กับว่าเป็นนิยามของใครพูดแล้ว
00:22:57 → 00:22:58 เพื่อประโยชน์อะไร
00:22:58 → 00:22:59 >> อ่า
00:22:59 → 00:23:01 >> เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือเปล่า
00:23:01 → 00:23:02 >> อื
00:23:02 → 00:23:05 >> ที่เราสามารถผูกขาดนิยามและกึ่งๆที่ที่มี
00:23:05 → 00:23:08 ความพยายามจะแช่แข็งวัฒนธรรมอาหารในแบบ
00:23:08 → 00:23:08 นี้เอาไว้
00:23:08 → 00:23:09 >> อือ
00:23:09 → 00:23:11 >> เพื่อที่ตัวเองจะสามารถพูดได้ว่าถ้าแท้จะ
00:23:11 → 00:23:14 ต้องเป็นแบบฉันแล้วก็ใช้วัตถุดิบของฉันใน
00:23:14 → 00:23:15 การทำอาหาร
00:23:15 → 00:23:17 >> นั่นก็คือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอ
00:23:17 → 00:23:17 >> อื
00:23:17 → 00:23:21 >> หรือว่าคุณแท้
00:23:21 → 00:23:23 เพื่อที่คุณจะสร้างโรงเรียนสอนทำอาหาร
00:23:23 → 00:23:26 ขึ้นมาว่าแท้แบบนี้ต้องมาเรียนกับเราต้อง
00:23:26 → 00:23:26 ทำแบบนี้
00:23:26 → 00:23:27 >> อือ
00:23:27 → 00:23:30 >> ในลักษณะของการส่งต่อความรู้อะไรอย่าง
00:23:30 → 00:23:32 เงี้ยค่ะถ้าถ้ามองในแง่นั้นน่ะมันก็ไม่
00:23:32 → 00:23:34 ผิดนะเพราะว่าการเรียนเ่ะมันจะต้องมีแบบ
00:23:34 → 00:23:36 ขึ้นมาก่อนไม่ใช่ว่าแบบอยากทำอะไรก็ทำ
00:23:36 → 00:23:36 อะไรเงี้ย
00:23:36 → 00:23:37 >> อื
00:23:37 → 00:23:39 >> ยิ่งเป็นการทำอาหารมันก็ต้องมีการเรียน
00:23:39 → 00:23:42 รู้ขึ้นมาก่อนนั่นก็ไม่ผิดแต่ว่าถ้าจะทำ
00:23:42 → 00:23:45 ตัวไปเป็นตำรวจอาหารว่าฉันแท้กว่าเธอ
00:23:46 → 00:23:46 >> เออ
00:23:46 → 00:23:47 >> เธอไม่แท้
00:23:47 → 00:23:48 >> เออ
00:23:48 → 00:23:50 >> น้ำมันอาหารต่ำชั้นไม่ใช่ของแท้อะไรเงี้ย
00:23:50 → 00:23:53 เราคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอ่ะ
00:23:53 → 00:23:54 >> เออ
00:23:54 → 00:23:57 >> มันไม่ทำให้เกิดการพัฒนาใดๆเลยแล้วมันก็
00:23:57 → 00:24:01 ทำให้เราแบบไม่ได้กินอาหารใหม่ๆ
00:24:01 → 00:24:01 >> อื
00:24:01 → 00:24:04 >> หรือว่าทำให้อาหารใหม่ๆกำเนิดขึ้นมาได้
00:24:04 → 00:24:06 อีกเราไปคุงกำเนิดมันด้วยความแท้หรือไม่
00:24:06 → 00:24:07 แท้
00:24:07 → 00:24:07 >> อื
00:24:07 → 00:24:10 >> จริงๆอ่ะในในต่างประเทศเนี่ยความแท้ไม่
00:24:10 → 00:24:11 แท้มันก็เชยมากแล้วนะ
00:24:12 → 00:24:12 >> ครับ
00:24:12 → 00:24:14 >> เค้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้แล้วอ่ะ
00:24:14 → 00:24:14 >> อื
00:24:14 → 00:24:16 >> เพราะว่า Innovation น่ะมันสามารถทำอาหาร
00:24:16 → 00:24:19 ที่อร่อยอร่อยโดยไม่ต้องแท้ก็ได้
00:24:19 → 00:24:20 >> มันก็ใช่
00:24:20 → 00:24:21 >> ความอร่อยมันไม่ได้อยู่ที่ความแท้ไม่แท้
00:24:21 → 00:24:22 ถูกป่ะ
00:24:22 → 00:24:24 >> ถ้าแท้ที่ตอนปลายคนสมัยนี้ก็มองว่าไม่
00:24:24 → 00:24:25 อร่อยอ่ะ
00:24:25 → 00:24:26 >> เออ
00:24:26 → 00:24:28 >> แล้วสุดท้ายเนี่ยความเป็นอาหารเนี่ยมันก็
00:24:28 → 00:24:30 เปิดกว้างมากๆเพราะทุกคนมีลิ้นสามารถกิน
00:24:30 → 00:24:33 และรับรู้ได้เหมือนๆกันหมดมันเป็นอะไรที่
00:24:33 → 00:24:34 ผูกขาดยากยากมาก
00:24:34 → 00:24:36 >> อือๆ
00:24:36 → 00:24:38 >> เราจะมาทำตัวเป็นตำรวจเพื่อแบบว่า
00:24:38 → 00:24:40 >> หาความแท้กันไปทำไม
00:24:40 → 00:24:42 >> นอกจากหาความแท้เรื่องปิดโอกาสตัวเองใน
00:24:42 → 00:24:43 การได้กินของอร่อย
00:24:43 → 00:24:44 >> ก็จริง
00:24:44 → 00:24:45 >> ด้วยอ่ะ
00:24:45 → 00:24:48 >> เราจะตัดขาตัวเองแบบนั้นไปทำไมเราเราก็ทำ
00:24:48 → 00:24:51 ของอร่อยไปดิอร่อยก็จบไม่อร่อยก็นั่นความ
00:24:51 → 00:24:53 แท้เราไม่ต้องกอดเอาไว้ก็ได้
00:24:53 → 00:24:53 >> อื
00:24:53 → 00:24:55 >> มันเปลี่ยนไปตลอดอยู่แล้ว
00:24:55 → 00:24:56 >> อื
00:24:56 → 00:25:00 [เพลง]
00:25:00 → 00:25:03 >> แล้วมันต่างกันกับเราจะรู้เรื่องอดีตไป
00:25:03 → 00:25:04 ทำไม
00:25:04 → 00:25:06 เพราะว่าเราก็สามารถพัฒนาอาหารไปได้
00:25:06 → 00:25:08 เรื่อยๆไปข้างหน้าเนี่ยครับ
00:25:08 → 00:25:10 >> ที่จริงไม่ต้องรู้ก็ได้
00:25:10 → 00:25:10 >> ไม่ต้องรู้ก็ได้
00:25:10 → 00:25:12 >> ไม่ต้องรู้ก็ได้เพราะว่าจริงๆอ่ะถ้าพูด
00:25:12 → 00:25:14 ถึงแบบว่า
00:25:14 → 00:25:17 >> ยังไงดีล่ะเรื่องอดีตเนี่ยมันไม่ได้มี
00:25:17 → 00:25:20 ความจำเป็นกับอะไรนะที่เ้าที่รัฐบาลชอบ
00:25:20 → 00:25:24 พูดกันว่าเอ่อเรื่องอดีตวัฒนธรรม
00:25:24 → 00:25:27 มนุษยวิทยาสังคมวิทยา
00:25:27 → 00:25:29 Humanity ไม่จำเป็นต่อการพัฒนาชาติเท่า
00:25:29 → 00:25:31 กับวิทยาศาสตร์อะไรอย่างเงี้ยวิทยาศาสตร์
00:25:32 → 00:25:34 เทคโนโลยีนวัตกรรมกรรมเราไม่เห็นด้วย
00:25:34 → 00:25:37 เพราะคิดว่ามันเป็นการแบ่งเทียนไปวิชาทุก
00:25:37 → 00:25:38 วิชามีความจำเป็น
00:25:38 → 00:25:39 >> ครับอื
00:25:39 → 00:25:41 >> แล้ว
00:25:41 → 00:25:45 วิชาวิทยาศาสตร์ Science เนี่ยมันก็มี
00:25:45 → 00:25:48 ความจำเป็นกับอ่ะสุขภาพ
00:25:48 → 00:25:49 >> อื
00:25:49 → 00:25:53 >> การที่เรามานั่งคุยผ่านพcสแล้วมีคนได้ฟัง
00:25:53 → 00:25:55 สิ่งที่เราพูดกันผ่านการอัดเนี่ยนะ
00:25:55 → 00:25:55 >> อือฮึ
00:25:55 → 00:25:59 >> มันก็คือความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์
00:25:59 → 00:26:00 และเทคโนโลยี
00:26:00 → 00:26:01 ถูกมั้ยคะ
00:26:01 → 00:26:05 >> ครับแต่ว่าในความเป็นมนุษย์เนี่ยที่
00:26:05 → 00:26:06 ปัจจุบันเราจะต้องสู้กับ AI เนี่ย
00:26:06 → 00:26:08 >> อื
00:26:08 → 00:26:11 >> Humanity วัฒนธรรมและอดีตเป็นสิ่งจำเป็น
00:26:11 → 00:26:12 นะ
00:26:12 → 00:26:13 >> อื
00:26:13 → 00:26:15 >> มันทำให้คนเป็นคนน่ะ
00:26:15 → 00:26:17 >> อ่าฮะคนมันมีอดีต
00:26:17 → 00:26:20 >> คนมีวัฒนธรรมวัฒนธรรมที่ผ่านมา
00:26:20 → 00:26:22 >> คนเราอยากรู้ว่าเราเป็นใคร
00:26:22 → 00:26:22 >> อื
00:26:22 → 00:26:24 >> มาจากไหน
00:26:24 → 00:26:27 >> รู้ทำไมนะครับอ่ะถ้าถามว่าอ่ะคุณหมีให้
00:26:27 → 00:26:29 คุณมาสมัครงานเอ่ะสัมภาษณ์คุณหมี
00:26:29 → 00:26:30 >> สัมภาษณ์คุณหมี
00:26:30 → 00:26:31 >> โอเค
00:26:31 → 00:26:34 >> อ่ะน้องน้องลองฝึกงานช่วยเล่าถึงตัวเอง
00:26:34 → 00:26:37 หน่อยค่ะว่ามาจากไหนอะไรยังไงคุณจะเล่า
00:26:37 → 00:26:37 ยังไงล่ะ
00:26:37 → 00:26:39 >> อันนี้ก็จะเล่าตั้งแต่ผมผมเกิดมายังไง
00:26:39 → 00:26:42 อยู่ที่ไหนชีวิตเป็นยังไงทำงานอะไรมาบ้าง
00:26:42 → 00:26:44 มีประสบการณ์อะไรบ้างถูกมั้ยอันนั้นเพื่อ
00:26:44 → 00:26:46 ให้คุณโจ้รู้ว่าผมเป็นใคร
00:26:46 → 00:26:47 >> อ่ะ
00:26:47 → 00:26:47 >> เออ
00:26:47 → 00:26:49 >> ไม่แต่ว่าถ้าคุณเมียจะเล่าให้คนอื่นฟัง
00:26:49 → 00:26:53 เงี้ยอ่ะคุณหมีจะเล่าว่ายังไงคุณน้องฝึก
00:26:53 → 00:26:55 งานจะเล่าว่ายังไงคะ
00:26:55 → 00:26:59 >> ผมเป็นเอ่อเคยทำงานเป็นเ่อเรียกว่าอะไร
00:26:59 → 00:27:01 กราฟฟิกมาก่อนทำงานเกี่ยวกับอาร์ทมาก่อน
00:27:01 → 00:27:04 ครับแล้วก็ตอนปัจจุบันก็คือเริ่มสนใจ
00:27:04 → 00:27:07 เรื่องอาหารเริ่มสนใจเรื่องงานเขียนก็เลย
00:27:07 → 00:27:10 มาพัฒนามาเป็นแบบนักเขียนที่แบบเขียน
00:27:10 → 00:27:12 เรื่องอาหารอะไรเงี้ยฮะอ่ะประมาณนี้
00:27:12 → 00:27:14 >> อ่าคุณหมีเกิดที่ไหนคะ
00:27:14 → 00:27:16 >> เกิดที่นครสวรรค์ครับ
00:27:16 → 00:27:18 >> แล้วชอบอาหารอะไร
00:27:18 → 00:27:19 >> ชอบเหรอครับ
00:27:19 → 00:27:20 >> มากที่สุดชอบ
00:27:20 → 00:27:23 >> เออถ้าปัจจุบันน่าจะชอบอาหารไทยครับ
00:27:23 → 00:27:24 >> ไม่เป็นจานสิ
00:27:24 → 00:27:28 >> อ๋อเป็นจานใช่มั้ยเอ่อแกง
00:27:28 → 00:27:31 แกงแกงเผ็ดเป็ดย่าง
00:27:31 → 00:27:34 อ่ารสชาติเปรี้ยวหวานมันเค็ม
00:27:34 → 00:27:36 >> รสชาติมันเอ่อ
00:27:36 → 00:27:37 >> กินแบบไหน
00:27:37 → 00:27:38 >> กินกับอะไร
00:27:38 → 00:27:39 >> กินแบบไหนอ้อ
00:27:39 → 00:27:42 >> เอ่อเป็นแกงเผ็ดเป็ดย่างที่ใส่ผลไม้
00:27:43 → 00:27:46 เปรี้ยวมะเขือเทศก็ได้ครับกินกับข้าวสวย
00:27:46 → 00:27:49 >> เป็นลักษณะเฉพาะของท้องที่มั้ย
00:27:49 → 00:27:50 >> เอออันนี้ผมไม่แน่ใจ
00:27:50 → 00:27:51 >> นั่นดิ
00:27:51 → 00:27:51 >> เออ
00:27:51 → 00:27:54 >> เวลาคุณหมีไปกินข้าวรวมโต๊ะกับคนอื่นๆใน
00:27:54 → 00:27:55 ในออฟฟิศก็ได้
00:27:55 → 00:27:56 >> ครับ
00:27:56 → 00:27:58 >> ถ้าสมมุติเค้าให้ทำพอรักอ่ะ
00:27:58 → 00:27:58 >> อือ
00:27:58 → 00:28:00 >> แล้วเอาอาหารที่ตัวเองชอบแต่ละชนิดเรากิน
00:28:00 → 00:28:04 แบบที่ตัวเองกินมาคุณหมีคิดว่าจะเห็นความ
00:28:04 → 00:28:06 หลากหลายขนาดไหน
00:28:06 → 00:28:07 >> คงหลากหลายมาก
00:28:07 → 00:28:09 >> เอออันนั้นแหละมันคือความเป็นมนุษย์ไง
00:28:09 → 00:28:10 >> ออ
00:28:10 → 00:28:13 >> มันคือความเป็นมนุษย์มันคือการบอกว่าตัว
00:28:13 → 00:28:15 เราเนี่ยมันอยู่ที่ไหนในสังคม
00:28:15 → 00:28:16 >> อื
00:28:16 → 00:28:18 >> นั้นหรือว่าอยู่ที่ไหนแห่งหนี้ย
00:28:18 → 00:28:19 >> อื
00:28:19 → 00:28:21 >> AI มันไม่มีอะไรแบบนี้นะ
00:28:21 → 00:28:22 >> ครับ
00:28:22 → 00:28:24 >> AI มันก็เลยไม่มีชีวิตแล้วมันก็ไม่มี
00:28:24 → 00:28:26 อะไรแบบนี้สิ่งที่จะทำให้เราต่างจาก AI
00:28:26 → 00:28:27 หรือว่าอ
00:28:27 → 00:28:29 >> พัฒนาการ
00:28:30 → 00:28:32 ที่มันจะท้าทายถึงความเป็นมนุษย์
00:28:32 → 00:28:33 >> ออฮะ
00:28:33 → 00:28:36 >> เนี่ยสิ่งที่ทำให้เราดำรงความเป็นมนุษย์
00:28:36 → 00:28:38 อยู่ได้ไม่ทำให้เราเป็นบ้าไปซะก่อนน่ะอือ
00:28:38 → 00:28:40 >> คือการรู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน
00:28:40 → 00:28:43 >> มีรากเหง้าและอดีตวัฒนธรรมยังไง
00:28:43 → 00:28:44 >> อื
00:28:44 → 00:28:47 >> ถ้าไม่มีของอะไรแบบเนี้ยเนี่ยเราจะรู้สึก
00:28:47 → 00:28:48 ว้าเหวมาก
00:28:48 → 00:28:48 >> อือ
00:28:48 → 00:28:50 >> คือพูดไปอย่างเงี้ยไม่รู้หรอกเพราะว่าคุณ
00:28:50 → 00:28:52 หมีมีไงเราก็มี
00:28:52 → 00:28:53 >> เออเออ
00:28:53 → 00:28:57 >> แต่ว่าถ้าลองเอาดึงตรงนี้ขาดไปเนี่ย
00:28:57 → 00:28:58 >> ความจำหายไป
00:28:58 → 00:29:00 >> ไม่ใช่ความจำหายไปความเป็นมนุษย์หายไปเลย
00:29:00 → 00:29:02 >> ไม่หมายถึงว่าเราไม่รู้ว่าเราเป็นใครใน
00:29:02 → 00:29:04 อดีตขึ้นมานะเราไม่ได้สนใจเนี่ยมันก็จะ
00:29:04 → 00:29:07 แบบความเป็นมนุษย์จะหายไปเลยเหรอ
00:29:07 → 00:29:10 >> ไม่นะคือรากเหง้าเนี่ยมันเกี่ยวกับการ
00:29:10 → 00:29:12 สร้างอัตลักษณ์ตัวตนขึ้นมาอย่างเช่นแบบ
00:29:12 → 00:29:13 ว่าอ่ะเราเป็นคนไทย
00:29:13 → 00:29:14 >> เราพูดภาษาไทย
00:29:14 → 00:29:15 >> อือ
00:29:15 → 00:29:17 >> ประวัติศาสตร์ชาติไทยเราเป็นประมาณนี้
00:29:17 → 00:29:18 >> อือ
00:29:18 → 00:29:20 >> เราก็ลงลึกไปในท้องถิ่นว่าเราเติมมาจาก
00:29:20 → 00:29:23 ท้องถิ่นนี้มีความเป็นอะไรแบบนี้แล้วพอมา
00:29:23 → 00:29:25 อยู่ในกรุงเทพฯเงี้ยมีคนมาหลากหลาย
00:29:26 → 00:29:26 >> อือ
00:29:26 → 00:29:29 >> เวลาเราพบเจอจากคนหลายพื้นที่เจะมีความ
00:29:29 → 00:29:32 เป็นตัวของตัวเองในแบบต่างๆกันไปเพราะเโต
00:29:32 → 00:29:33 มาในคนละแบบเนาะสังคมคนละแบบ
00:29:33 → 00:29:35 >> อครับ
00:29:35 → 00:29:37 >> การที่เรารู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหนอ่ะมัน
00:29:37 → 00:29:40 จะทำให้เราดำรงอยู่ในพื้นที่นั้นได้อย่าง
00:29:40 → 00:29:41 เข้มแข็งแข็งแรงมากขึ้น
00:29:41 → 00:29:42 >> อื
00:29:42 → 00:29:44 >> อย่างน้อยก็ไม่เป็นเหงาเปล่าเปรี่ยว
00:29:44 → 00:29:45 >> อื
00:29:45 → 00:29:49 >> รู้ว่าแบบมี existential crisis มีวิกฤต
00:29:49 → 00:29:50 ไปซะก่อนอะไรเงี้ย
00:29:50 → 00:29:51 >> อ
00:29:51 → 00:29:53 >> มันสำคัญกับความเป็นมนุษย์
00:29:53 → 00:29:56 >> มากๆเรื่องอดีตและวัฒนธรรมเนี่ยอ
00:29:56 → 00:29:58 >> อดีตเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมนะ
00:29:58 → 00:30:00 >> ครับของกินก็เป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์
00:30:00 → 00:30:01 ความเป็นตัวตน
00:30:01 → 00:30:02 >> อื
00:30:02 → 00:30:04 >> ของเราเหมือนกันเวลาคนพูดถึงของกินน่ะคน
00:30:04 → 00:30:07 ไทยจะโมโหกันมากเลยถ้ามีคนมาว่าแกงไตปลา
00:30:07 → 00:30:08 หรืออาหารไทยที่เขาชอบ
00:30:08 → 00:30:09 >> เออ
00:30:09 → 00:30:11 >> เพราะว่าอาหารมันไม่ได้เป็นแค่อาหารมัน
00:30:11 → 00:30:12 คือส่วนหนึ่งของตัวเค้า
00:30:12 → 00:30:13 >> อ๋อโอเค
00:30:13 → 00:30:18 >> เขาก็เลยรู้สึกอนโมโหมากว่ามาด่าเค้าทำไม
00:30:18 → 00:30:19 >> มันก็เลยรู้สึกอย่างงั้นไงคะ
00:30:19 → 00:30:22 >> ในขณะเดียวกันเราก็ไปด่าอาหารคนอื่นกัน
00:30:22 → 00:30:23 เยอะนะครับ
00:30:24 → 00:30:26 >> อันนี้ก็ก็ไม่ควร
00:30:26 → 00:30:26 >> เออ
00:30:26 → 00:30:28 >> แต่ว่าก็ทำกันมันเหมือนกับเป็นการโต้กลับ
00:30:28 → 00:30:30 ว่าแกด่าฉันฉันก็ด่าแก
00:30:30 → 00:30:30 >> ออฮ
00:30:30 → 00:30:32 >> บางทีมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้แต่
00:30:32 → 00:30:33 ว่า
00:30:33 → 00:30:35 >> เราก็ต้องรู้เท่าทันอะไรในเกมแบบนี้ด้วย
00:30:36 → 00:30:38 อ่ะเราด่าเค้ามันก็ไม่เหมาะหรอก
00:30:38 → 00:30:39 >> อื
00:30:39 → 00:30:41 >> แต่จริงๆก็ไม่ได้สร้างความชอบธรรมให้เขา
00:30:41 → 00:30:44 เนอะแต่อะไรแบบนี้ในสงครามออนไลน์อ่ะ
00:30:44 → 00:30:45 >> อือ
00:30:45 → 00:30:47 >> บางทีมันก็เกิดขึ้นได้แต่ว่าเราก็ไม่ควร
00:30:47 → 00:30:48 >> ไม่ควรไปบullลี่เค้า
00:30:48 → 00:30:51 >> เมื่อกี้ตอนตอนแรกที่ถามคุณโจ้ว่าเราเรา
00:30:51 → 00:30:53 งั้นเราจำเป็นต้องรู้เรื่องประวัติศาสตร์
00:30:53 → 00:30:55 มั้แล้วคุณโจ้บอกว่าจริงๆก็ไม่ต้องจำเป็น
00:30:55 → 00:30:58 แต่จริงๆมันดูจำเป็นนะฮะที่บอกว่าเราทำ
00:30:58 → 00:31:01 ให้เรามีตัวตนและอยู่ในสังคมได้จริงๆ
00:31:01 → 00:31:04 >> คือต้องขยายความนิดนึงว่าไม่ได้จำเป็นใน
00:31:04 → 00:31:08 แง่การดำรงอยู่ของชีวิตในแบบimmมีediate
00:31:08 → 00:31:09 อ่ะคือแบบ
00:31:09 → 00:31:09 >> ทันทีทันใด
00:31:09 → 00:31:13 >> ทันทีทันใดอ่ะว่าแบบว่าสมมุติถ้าเราติด
00:31:13 → 00:31:17 โรคระบาดบางอย่างไม่ได้รับการรักษาเราก็
00:31:17 → 00:31:19 จะตายอันเนี้ยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
00:31:19 → 00:31:20 สาธารณสุขจำเป็นกับเราเนาะ
00:31:20 → 00:31:21 >> อือฮะ
00:31:21 → 00:31:24 >> แต่พอเรารอดมาแล้วล่ะเรามีชีวิตอยู่แล้ว
00:31:24 → 00:31:28 อ่ะเราถึงต้องมีบทกวีมีหนังสือมีอะไรตั้ง
00:31:28 → 00:31:31 หลายอย่างอ่ะอ่ะอย่างที่คุณหมีในเซตคำถาม
00:31:31 → 00:31:33 ที่ถามมานะว่าพนักงานออฟฟิศ
00:31:33 → 00:31:36 >> ใช่อันนี้ผมแบบมันมีคำถามที่ไม่ต้อง
00:31:36 → 00:31:38 พนักงานออฟฟิจริงๆคือผมนี่แหละอร
00:31:38 → 00:31:41 >> เออคือคำถามมันคือ
00:31:41 → 00:31:43 >> เรื่องประวัติศาสตร์ที่เราต้องรู้เนี่ย
00:31:43 → 00:31:46 เราจะไปรู้เรื่องอาหารทำไมมากมายไอ้สิ่ง
00:31:46 → 00:31:48 เนี้ยมันสามารถเชื่อมโยงกับความเป็นคนที่
00:31:48 → 00:31:50 มันจะไม่จำเป็นจะต้องรู้อะไรอย่างผมเลย
00:31:50 → 00:31:53 มั้ยแบบผมแค่เป็นพนักงานออฟฟิศเขียนงาน
00:31:53 → 00:31:56 ถ่ายทอดคนไปเรื่อยๆอย่างเงี้ยหรือทำงาน
00:31:56 → 00:31:57 วันๆนึง
00:31:57 → 00:32:00 >> แค่แค่เป็นพนักงานออฟฟิศเนี่ย
00:32:00 → 00:32:02 คุณก็ไม่ได้เป็นพนักงานออฟฟิศตลอดเวลาถูก
00:32:02 → 00:32:02 ป่ะ
00:32:03 → 00:32:03 >> อื
00:32:03 → 00:32:07 >> แล้วการที่คุณหมีคิดว่าเรื่อง
00:32:07 → 00:32:10 ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับ
00:32:10 → 00:32:13 การดำรงชีวิตในประจำวันของคุณหมีน่ะ
00:32:13 → 00:32:14 >> อือ
00:32:14 → 00:32:17 >> อยากจะบอกว่าเราเรารู้สึกแปลกใจมากตอนเจอ
00:32:17 → 00:32:20 คำถามนี้เพราะว่าในที่ที่เราใช้ชีวิตอยู่
00:32:20 → 00:32:22 ในโลกตะวันตกอ่ะเนาะประวัติศาสตร์มันเป็น
00:32:22 → 00:32:24 เรื่องของทุกคนน่ะดังนั้นเราจะไม่มีคำถาม
00:32:24 → 00:32:25 นี้เลย
00:32:25 → 00:32:25 >> ว่าแบบ
00:32:26 → 00:32:26 >> อื
00:32:26 → 00:32:28 >> ทำไมพนักงานออฟฟิศต้องรู้เรื่อง
00:32:28 → 00:32:31 ประวัติศาสตร์ด้วยเพราะว่า
00:32:31 → 00:32:33 มันประวัติศาสตร์มันไม่เคยเป็นอึดสำหรับ
00:32:33 → 00:32:35 คนธรรมดาแต่ในเมืองไทยไม่ใช่
00:32:35 → 00:32:35 >> อื
00:32:35 → 00:32:39 >> ประวัติศาสตร์มันในในทางประวัติศาสตร์ของ
00:32:39 → 00:32:41 องค์ความรู้เนี่ยประวัติศาสตร์ของวิชา
00:32:41 → 00:32:44 ประวัติศาสตร์และการศึกษาอดีตโบราณคดี
00:32:44 → 00:32:45 เนี่ย
00:32:45 → 00:32:47 >> มัน
00:32:47 → 00:32:49 ไม่ได้เป็นเรื่องของคนทั่วไปมาตั้งแต่แรก
00:32:49 → 00:32:50 >> อื
00:32:50 → 00:32:52 >> แล้วมันก็จะถูกเล่าด้วยจริตบางอย่างที่ทำ
00:32:52 → 00:32:54 ให้ห่างไกลจากคนทั่วไป
00:32:54 → 00:32:54 >> อือ
00:32:54 → 00:32:56 >> เราก็เลยรู้สึกว่าเราเข้าไม่ถึงแล้วมัน
00:32:56 → 00:32:57 ไม่จำเป็นสำหรับเรา
00:32:57 → 00:32:58 >> อื
00:32:58 → 00:33:01 >> แต่จริงๆอ่ะเราสามารถเปลี่ยนให้ทุกคนเข้า
00:33:01 → 00:33:03 ถึงมันได้แต่ว่าโอเคเมืองไทยมันยังไม่ได้
00:33:03 → 00:33:07 เป็นอย่างนั้นในตอนนี้เราก็เลยคิดว่า
00:33:08 → 00:33:10 ประวัติศาสตร์มันจำเป็นสำหรับการมีอยู่
00:33:10 → 00:33:11 ของทุกคนนะ
00:33:11 → 00:33:12 >> อื
00:33:12 → 00:33:16 >> เรารู้ว่าใครเป็นอะไรที่ไหนมาอะไรถ้าจะ
00:33:16 → 00:33:19 หว่านล้อมนะผู้มีอำนาจว่าเราสามารถเอา
00:33:19 → 00:33:21 องค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์เนี่ยมาสร้าง
00:33:21 → 00:33:23 เป็นแรงบันดาลใจแรงบันดาลใจในการทำ
00:33:23 → 00:33:27 เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ได้ใช้คำใหญ่นะ
00:33:27 → 00:33:28 >> เออๆ
00:33:28 → 00:33:30 >> ซึ่งมันก็เป็นได้จริงๆเช่นแบบว่าที่เค้า
00:33:30 → 00:33:32 พยายามทำกันในกรมส่งเสริมวัฒนธรรมอาหาร
00:33:32 → 00:33:33 ไทยที่หายไป
00:33:33 → 00:33:33 >> อ
00:33:33 → 00:33:35 >> เค้าก็จะได้รู้ว่ามีไวยากรณ์แห่งรสชาติ
00:33:36 → 00:33:38 เนี่ยจากอาหารโบราณหลายๆอย่างหรือว่า
00:33:38 → 00:33:41 วัตถุดิบที่เกือบๆจะหายไปแล้วเพราะว่า
00:33:41 → 00:33:43 สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงอะไรตั้งหลายอย่าง
00:33:43 → 00:33:46 >> ที่เราสามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจหรือว่า
00:33:46 → 00:33:49 เป็นจุดเริ่มต้นในการฟื้นฟูธรรมชาติ
00:33:49 → 00:33:49 >> อื
00:33:49 → 00:33:50 >> ได้อือ
00:33:50 → 00:33:53 >> ให้กลับมาดีขึ้นหรือว่าสร้างสมดุล
00:33:53 → 00:33:58 ธรรมชาติให้มันดีขึ้นได้มันก็จะดีกับสภาพ
00:33:58 → 00:33:59 แวดล้อมแล้วก็สังคมโดยรวมด้วย
00:34:00 → 00:34:00 >> อื
00:34:00 → 00:34:04 >> ทีนี้ในเมื่อเรามองว่าการศึกษาอดีตอ่ะมัน
00:34:05 → 00:34:07 ไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับพนักงานออฟฟิศก็
00:34:07 → 00:34:10 เดาว่าเป็นคนในเขตเมืองเนาะที่มีความ
00:34:10 → 00:34:11 >> เร่งรีบ
00:34:11 → 00:34:11 >> ครับ
00:34:11 → 00:34:13 >> ในการทำงานรับความเครียดสูง
00:34:13 → 00:34:15 >> เอาชีวิตตัวเองให้รอดก่อนแล้ว
00:34:15 → 00:34:18 >> เอาชีวิตตัวเองให้รอดก่อนแต่ว่าก็อย่าง
00:34:18 → 00:34:20 ที่บอกไม่ได้เป็นพนักงานออฟฟิศตลอดเวลา
00:34:20 → 00:34:25 เนาะหลายคนเขาก็พอจบงานปุ๊บเาก็หาความ
00:34:25 → 00:34:27 บันเทิงโดยการถ่ายฟิ
00:34:27 → 00:34:28 >> ครับ
00:34:28 → 00:34:32 >> แล้วฟิบางอย่างเนี่ยก็คืออาหารแน่นอน
00:34:32 → 00:34:33 >> อื
00:34:33 → 00:34:35 >> เพราะว่าคนที่ทำเรื่องอาหารเนี่ยแบบว่ามี
00:34:35 → 00:34:37 ยอดวิวอะไร engagement เยอะ
00:34:37 → 00:34:39 >> มันเป็นเรื่องที่รีเลทกับคนได้ง่ายที่สุด
00:34:39 → 00:34:39 >> ใช่
00:34:39 → 00:34:41 >> ด้วยครับอย่างนึง
00:34:41 → 00:34:43 >> เพราะว่าทุกคนสามารถรับรถได้ทุกคนเป็นนัก
00:34:43 → 00:34:44 ชิมได้หมด
00:34:44 → 00:34:45 >> ใช่
00:34:45 → 00:34:48 >> แล้วพอสื่ออย่างเช่นแบบว่าในอินเทอร์เน็ต
00:34:48 → 00:34:51 เนี่ยตอนแรกการเป็นนักชิมจำกัดอยู่กับคน
00:34:51 → 00:34:53 แค่ไม่กี่คนนะ Authority Figer
00:34:53 → 00:34:54 >> อือื
00:34:54 → 00:34:56 >> แค่ไม่กี่คนแต่ตอนนี้ทุกคนเป็นได้หมด
00:34:56 → 00:34:56 >> อือ
00:34:56 → 00:34:59 >> แล้วทุกคนก็เหมือนกับปล่อยของกันเต็มที่
00:34:59 → 00:35:00 เลยแล้วก็จะมีสไตล์ที่ต่างกัน
00:35:00 → 00:35:02 >> อครับ
00:35:02 → 00:35:04 >> มีลักษณะการบรรยายอะไรต่างกันในช่วงแรก
00:35:04 → 00:35:07 เนี่ยคุณแม่ช้อยนางรำและคุณหม่อมถนัดสี
00:35:07 → 00:35:09 เนี่ยท่านเอ่อคุณชายน่ะ
00:35:09 → 00:35:10 >> อ
00:35:10 → 00:35:12 >> เกิดขึ้นในช่วงที่สังคมไทยเปลี่ยนแปลง
00:35:12 → 00:35:13 >> อื
00:35:13 → 00:35:16 >> เรายังไม่มี
00:35:16 → 00:35:20 ไกด์ไลน์ในการบอกว่าร้านอาหารร้านไหน
00:35:20 → 00:35:24 สะอาดปลอดภัยแล้วก็มีสุขลักษณะที่ดีกิน
00:35:25 → 00:35:27 แล้วนอกจากสะอาดแล้วเนี่ยก็ยังมีรสชาติ
00:35:27 → 00:35:28 ที่ดีด้วย
00:35:28 → 00:35:30 >> ครับ
00:35:30 → 00:35:34 >> คือคอลัมน์เชลชวนชิมแล้วก็เปิดพิสดารเกิด
00:35:34 → 00:35:35 ขึ้นในช่วงนั้น
00:35:36 → 00:35:38 >> ที่สังคมไทยมีความเปลี่ยนแปลง
00:35:38 → 00:35:38 >> อื
00:35:38 → 00:35:41 >> แล้วก็พร้อมๆกับคุณชายถนัดสีเขียนไว้ด้วย
00:35:41 → 00:35:45 ว่าตอนเนี้ยอ่าทางการได้เข้มงวดกดขาด
00:35:45 → 00:35:47 เรื่องสาธารณสุขแล้วก็ร้านอาหารมากขึ้น
00:35:47 → 00:35:48 >> อือ
00:35:48 → 00:35:50 >> การมีอยู่ของคอลัมน์
00:35:51 → 00:35:53 กินอาหารชวนชิมอาหารเนี่ยก็คือว่าร้าน
00:35:53 → 00:35:54 เนี้ยทำได้มาตรฐาน
00:35:54 → 00:35:55 >> ออ
00:35:55 → 00:35:57 >> มันก็เหมือนกับเป็นการหวานล้อมคนด้วยว่า
00:35:57 → 00:36:00 เรามาทำอาหารดีๆกันเถอะที่สะอาดได้
00:36:00 → 00:36:02 มาตรฐานเพราะว่าสมัยก่อนมาตรฐานในการ
00:36:02 → 00:36:04 เตรียมอาหารก็ไม่ค่อยเหมือนปัจจุบันเนี้ย
00:36:04 → 00:36:05 ค่ะ
00:36:05 → 00:36:07 >> มันก็มันก็เกิดขึ้น
00:36:07 → 00:36:09 >> ได้ด้วยหลายอย่าง
00:36:09 → 00:36:10 >> อื
00:36:10 → 00:36:12 >> เหมือนกันน่ะเออมันไม่ได้เกิดขึ้นได้
00:36:12 → 00:36:16 เพราะว่าท่านอยากจะไปชิมแล้วก็ไปแต่มันมี
00:36:16 → 00:36:16 บท
00:36:16 → 00:36:17 >> มันมีจุดประสงค์บางอย่าง
00:36:17 → 00:36:18 >> ใช่
00:36:18 → 00:36:21 >> มันมีบางอย่างที่อยากจะบอกสังคมว่าเอ่อ
00:36:21 → 00:36:24 ฉันฉันชวนคนคุณไปกินอาหารเพื่ออะไรบาง
00:36:24 → 00:36:24 อย่างใช่มั้ฮะ
00:36:24 → 00:36:25 >> อือฮึ
00:36:25 → 00:36:27 >> อย่างมิชลินเนี่ยก็คือให้คนขับรถ
00:36:27 → 00:36:28 >> ให้คนขับรถ
00:36:28 → 00:36:29 >> ใช้ยางเยอะๆ
00:36:29 → 00:36:33 >> แต่ของของไทยเนี่ยเชลชวนชิมก็คือน้ำมัน
00:36:33 → 00:36:33 >> ครับ
00:36:33 → 00:36:36 >> ก็คงจะขับรถเหมือนกันอันเหตุผลเดียวกัน
00:36:36 → 00:36:39 >> เหตุผลเดียวกันใกล้เคียงกันแต่ว่ามันจะมี
00:36:39 → 00:36:40 agเจน้าของ
00:36:40 → 00:36:43 >> ของรัฐในช่วงนั้นที่เข้าไปสอดรับด้วยก็
00:36:43 → 00:36:46 คือการโปรโมทมาตรฐานการกินของคนให้สูง
00:36:47 → 00:36:47 ขึ้นน่ะ
00:36:47 → 00:36:48 >> ออ
00:36:48 → 00:36:50 >> อ่าสุขลักษณะของร้านอาหาร
00:36:50 → 00:36:50 >> ครับ
00:36:50 → 00:36:51 >> ให้สูงขึ้น
00:36:51 → 00:36:51 >> อื
00:36:51 → 00:36:54 >> แล้วร้านที่มาอยู่ในเปิดพิสดารแล้วก็
00:36:54 → 00:36:57 เชียวชวนชิมเนี่ยเป็นร้านที่มีความสะอาด
00:36:57 → 00:36:58 แล้วห้องน้ำก็สะอาด
00:36:58 → 00:36:58 >> เออๆ
00:36:58 → 00:37:00 >> อ่าอันนี้เป็นเรื่องสำคัญเลยนะเพราะเมื่อ
00:37:00 → 00:37:02 ก่อนกว่าที่ห้องน้ำจะเป็นอย่างเงี้ยก็แบบ
00:37:02 → 00:37:03 ผ่านมาเยอะเหมือนกัน
00:37:03 → 00:37:04 >> อื
00:37:04 → 00:37:06 >> ทีเนี้ยมันก็เป็นมันก็เป็นเรื่องของอาหาร
00:37:06 → 00:37:08 การกินและสุขลักษณะมันก็สอนรับไปกับ
00:37:08 → 00:37:10 ประวัติศาสตร์ร่วมสมัยในตอนนั้นด้วย
00:37:10 → 00:37:11 >> อื
00:37:11 → 00:37:11 >> อ่าฮะ
00:37:11 → 00:37:14 >> แต่ในยุคนี้มันน่าจะเป็นยุคที่เหมือนมี
00:37:14 → 00:37:16 ความเป็นเป็นตัวตนของคนมากครับเพราะว่า
00:37:16 → 00:37:17 >> ใช่
00:37:17 → 00:37:20 >> ฉันอยากชิมฉันรู้สึกว่าอยากจะบอกต่อว่า
00:37:20 → 00:37:21 สิ่งนี้ฉันชอบ
00:37:21 → 00:37:21 >> อืออือ
00:37:21 → 00:37:22 >> นี้อร่อย
00:37:22 → 00:37:25 >> แต่ว่าถ้ามันมีอะไรที่เป็นเป้าหมายที่
00:37:25 → 00:37:27 ใหญ่กว่านั้นได้อาจจะแบบมีประโยชน์กับคน
00:37:27 → 00:37:27 อื่น
00:37:27 → 00:37:30 >> คิดว่าเวลาทำที่มันสื่อหรือเกิดอะไรแบบ
00:37:30 → 00:37:34 นี้ขึ้นมาเนี่ยอะไรที่มันไปได้ฮิตและคน
00:37:34 → 00:37:37 นิยมเนี่ยมักจะสอดรับของมักจะสอดรับกับ
00:37:37 → 00:37:39 ประเด็นสำคัญของยุคสมัย
00:37:39 → 00:37:39 >> อื
00:37:39 → 00:37:42 >> ในช่วงนั้นน่ะคือคนต้องการกินในที่ที่ดี
00:37:42 → 00:37:44 และสะอาด
00:37:44 → 00:37:47 >> อืมคอลัมน์เชียวชนชิมอะไรอย่างเงี้ยก็เลย
00:37:47 → 00:37:51 รับได้รับความนิยมแต่ในปัจจุบันเนี้ย
00:37:51 → 00:37:54 ประเด็นของยุคสมัยคืออะไรถามคุณหมีดีกว่า
00:37:54 → 00:37:57 เพราะว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญคร่ำหวอดแล้ว
00:37:57 → 00:38:00 เป็นนักชิมเรามองไม่ออกเลยว่าประเด็นของ
00:38:00 → 00:38:04 ยุคสมัยสำหรับสื่อนักชิมอาหารในปัจจุบัน
00:38:04 → 00:38:07 ของไทยที่มีมากมายเนี่ยคืออะไร
00:38:07 → 00:38:10 >> แต่ผมมองว่าเป็นเรื่องตัวตนนะทั้งตัวตน
00:38:10 → 00:38:11 ของคนที่ไปชิม
00:38:11 → 00:38:12 >> ตัวตน
00:38:12 → 00:38:14 >> และตัวตนของคนที่เสพเรื่องนี้ด้วย
00:38:14 → 00:38:14 >> อือฮึ
00:38:14 → 00:38:18 >> ว่าคุณสามารถมีความคิดเห็นต่ออาหารได้
00:38:18 → 00:38:19 >> ไม่ว่าคุณเป็นใครก็ตาม
00:38:19 → 00:38:20 >> ออฮะ
00:38:20 → 00:38:22 >> เป็นคนที่จะเล่าเป็นคนที่จะฟัง
00:38:22 → 00:38:22 >> อือฮึ
00:38:22 → 00:38:25 >> ก็จะมีความไม่งั้นมันก็จะแบบอย่างที่เห็น
00:38:25 → 00:38:27 นะครับมันก็จะมีปัญหาเรื่องคนมาด่าอาหาร
00:38:27 → 00:38:28 ไทย
00:38:28 → 00:38:28 >> อ่ะ
00:38:28 → 00:38:31 >> คนไทยทุกคนก็จะพร้อมที่จะสู้รบในเรื่อง
00:38:31 → 00:38:33 นี้หมดะผมว่ามันเป็นยุคนั้นน่ะมันเป็นยุค
00:38:33 → 00:38:34 เนี้ย
00:38:34 → 00:38:37 >> เป็นเรื่องของการแสดงตัวตนแสดงจุดยืนของ
00:38:37 → 00:38:38 ตัวเองมากกว่า
00:38:38 → 00:38:39 >> อือฮึ
00:38:39 → 00:38:40 >> อือ
00:38:40 → 00:38:43 >> อยากจะมีแบบพื้นที่ในการแสดงตัวตนของตัว
00:38:43 → 00:38:43 เอง
00:38:43 → 00:38:45 >> ใช่ผมว่าเป็นเรื่องนั้นนะผมก็ไม่แน่ใจว่า
00:38:45 → 00:38:48 มันถูกหรือเปล่าแต่ผมคิดว่าประเด็นของยุค
00:38:48 → 00:38:51 มันคือเรื่องนั้นเพราะว่าทุกคนเอ่อน่าจะ
00:38:51 → 00:38:54 ต้องมีตัวตนของตัวเอง
00:38:54 → 00:38:54 >> อื
00:38:55 → 00:38:58 >> ถูกบีบบังคับให้มีตัวตนของตัวเอง
00:38:58 → 00:38:59 >> ถูกบีบบังคับด้วย
00:38:59 → 00:39:02 >> ด้วยความไม่รู้ตัวนะหมายถึงว่าเอ่อ
00:39:02 → 00:39:05 >> คนนั้นก็เป็นเกอร์คนนี้ก็เป็นบ็อกเกอร์คน
00:39:05 → 00:39:07 นั้นก็เป็นเอ่อ Celebrity คนนี้ก็เป็น
00:39:07 → 00:39:09 Influencer
00:39:09 → 00:39:12 เค้ามีจุดเด่นอะไรบางอย่างคนที่เสพก็คง
00:39:12 → 00:39:14 รู้สึกว่าเอ้ยจริงๆแล้วฉันก็มีตัวตนของ
00:39:14 → 00:39:16 ฉันอะไรอย่างเงี้ย
00:39:16 → 00:39:19 >> ออดังนั้นร้านอาหารก็จะต้องทำอาหารที่มัน
00:39:19 → 00:39:21 ถ่ายรูปสวยออกมา
00:39:21 → 00:39:24 >> ก็ไม่แน่ใจคำตอบที่จริงเหมือนกันแต่ผมก็
00:39:24 → 00:39:27 รู้สึกว่าเออมันมันก็มีเรื่องของความมัน
00:39:27 → 00:39:29 อาจจะส่งผลกับร้านอาหารด้วยแหละว่าร้าน
00:39:29 → 00:39:32 อาหารนี้จะต้องมีความเฉพาะตัวของฉันเท่า
00:39:32 → 00:39:34 นั้นที่แตกต่างจากคนอื่นร้านอื่นๆอะไร
00:39:34 → 00:39:35 อย่างเงี้ย
00:39:35 → 00:39:35 >> อ
00:39:35 → 00:39:36 >> อื
00:39:36 → 00:39:39 >> อืเพราะเราก็เฝ้ามองมาตลอดนะด้วยความที่
00:39:39 → 00:39:42 แบบว่ามองตำราอาหารในอดีตคอลัมน์การชิม
00:39:42 → 00:39:45 อาหารในอดีตแล้วก็เห็นปรากฏการณ์ที่มัน
00:39:45 → 00:39:46 เกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างเงี้ย
00:39:46 → 00:39:47 >> อือ
00:39:47 → 00:39:49 >> เราก็รู้สึกว่าเรายังไม่เข้าใจว่าจริงๆ
00:39:49 → 00:39:52 แล้วมันประเด็นของยุคสมัยเนี่ยเนี่ยบอก
00:39:52 → 00:39:52 อะไร
00:39:52 → 00:39:53 >> มันบอกอะไรเรา
00:39:53 → 00:39:56 >> คือ 20 ปีหลังจากนี้ตอนที่แก่แล้วลิ้น
00:39:56 → 00:39:59 เพียรแล้วชิมไม่ไหวแล้วอาจจะเห็นก็ได้นะ
00:39:59 → 00:40:00 >> แต่ตอนนี้เหมือนกับว่าเรายังคลุกอยู่ใน
00:40:00 → 00:40:02 นั้นกับมันยังมองไม่เห็นเลย
00:40:02 → 00:40:02 >> อือๆ
00:40:02 → 00:40:05 >> แต่ก็น่าสนใจว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
00:40:05 → 00:40:09 >> ครับกลับมาที่ไทยได้ไปชิมอาหารที่ไหนแล้ว
00:40:09 → 00:40:10 บ้างแล้วมั้ยครับเนี่ย
00:40:10 → 00:40:11 >> โหตลาดคลองเตย
00:40:11 → 00:40:12 >> ตลาดคองเตย
00:40:12 → 00:40:15 >> ตลาดคลองเตยพอเดินตลาดคลองเตยแล้วก็แบบ
00:40:15 → 00:40:18 เห็นวัตถุดิบสดๆถูกๆหลายบอกว่าอ
00:40:18 → 00:40:23 >> เราได้ตารางการทำอาหารละประมาณ 80 100
00:40:24 → 00:40:24 อย่าง
00:40:24 → 00:40:24 >> เออ
00:40:25 → 00:40:29 >> แล้วก็กินแต่ร้านข้าวต้มร้านอาหารไทยร้าน
00:40:29 → 00:40:30 อาหารจีนอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:40:30 → 00:40:31 >> ครับ
00:40:31 → 00:40:33 >> จะไม่ไปกินร้านอาหารตะวันตกเลยเพราะรู้
00:40:33 → 00:40:34 สึกเบื่อแล้ว
00:40:34 → 00:40:34 >> เบื่อแล้ว
00:40:34 → 00:40:37 >> กินมาเยอะแล้วไม่ไหวแล้วแล้วก็แบบตอนที่
00:40:37 → 00:40:40 อยู่แคนาดาอาหารตะวันตกก็ถูก
00:40:40 → 00:40:40 >> ถูกกว่า
00:40:40 → 00:40:42 >> ถูกกว่าแล้วก็คุณภาพดีแต่
00:40:42 → 00:40:46 >> ที่ตกใจอย่างนึงคืออาหารไทยและค่าครองชีพ
00:40:46 → 00:40:47 ในไทยแพงขึ้นมาก
00:40:47 → 00:40:48 >> อืม
00:40:48 → 00:40:51 >> แพงขึ้นมากๆเลยแบบน่าตกใจ
00:40:51 → 00:40:51 >> ครับ
00:40:51 → 00:40:56 >> แล้วก็ร้านอาหารเก่าแก่บางร้านเนี้ยค่ะดู
00:40:56 → 00:40:59 เหมือนว่าจะ
00:40:59 → 00:41:01 น่าจะอยู่ยากซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย
00:41:01 → 00:41:03 เพราะวันก่อนไปกินอ
00:41:03 → 00:41:05 >> ข้าวเฉโปง
00:41:05 → 00:41:05 >> พระสี
00:41:05 → 00:41:06 >> พรามสี
00:41:06 → 00:41:08 >> ที่เป็นอาซิ่ม
00:41:08 → 00:41:09 >> อื
00:41:09 → 00:41:13 >> เหล็กก็คือเป็นร้านข้าวเฉโปเก่าแก่เลยอ่ะ
00:41:13 → 00:41:13 >> ครับ
00:41:13 → 00:41:17 >> เราก็ลองสั่งข้าวเฉโปกินดูพอกินดูแล้วก็
00:41:17 → 00:41:21 จะวงวนไปถึงเรื่องรสชาติว่าคนสมัยนี้จะ
00:41:21 → 00:41:22 เข้าใจมั้อ่ะ
00:41:22 → 00:41:23 >> อ่า
00:41:23 → 00:41:26 >> ข้าวเฉยโปรตรงพระเนี่ยเป็นร้านโบราณมากๆ
00:41:26 → 00:41:26 >> ครับ
00:41:26 → 00:41:28 >> รสชาติก็โบราณมาก
00:41:28 → 00:41:28 >> เออ
00:41:28 → 00:41:30 >> คือรสชาติไม่จัด
00:41:30 → 00:41:30 >> เออ
00:41:30 → 00:41:33 >> จะเน้นถึงความสดของวัตถุดิบ
00:41:33 → 00:41:33 >> อือ
00:41:33 → 00:41:35 >> เขาก็จะสับเนื้อสัตว์เป็นเป็ดย่าง
00:41:35 → 00:41:36 >> ครับ
00:41:36 → 00:41:39 >> หมูย่างเนาะแล้วก็อีกอย่างนึงจำไม่ได้
00:41:39 → 00:41:42 แล้วว่าเป็นอะไรมาบนจานแล้วก็ราดน้ำซึ่ง
00:41:42 → 00:41:44 เป็นน้ำจากตัวเป็ดเนี่ยแล้วก็เอามาปรุงรส
00:41:44 → 00:41:46 ใส่โต๊เจี้ยวใส่ขิงใส่เครื่องเทศเฉพาะ
00:41:46 → 00:41:48 อะไรของเขาตามสูตรเขานะที่อุ่นให้ร้อน
00:41:48 → 00:41:49 ตลอดเวลา
00:41:49 → 00:41:53 >> เราก็วางบนข้าวที่เป็นเม็ดแข็งหน่อย
00:41:53 → 00:41:53 >> อื
00:41:53 → 00:41:58 >> ราดน้ำมีผักกินเข้าไปก็มันเป็นรสชาติที่
00:41:58 → 00:41:59 คลาสสิคมาก
00:41:59 → 00:42:00 >> อื
00:42:00 → 00:42:02 >> ความสดของวัตถุดิบนี่คือดีเป็ดย่างเนี่ย
00:42:02 → 00:42:06 ดีทุกอย่างดีแต่มันอ่อนรสชาติอ่อนสำหรับ
00:42:06 → 00:42:07 คนปัจจุบัน
00:42:07 → 00:42:08 >> เออ
00:42:08 → 00:42:11 >> แล้วพอกินไปปุ๊บเราเข้าใจนะว่านี่มันคือ
00:42:11 → 00:42:12 รสชาติของประวัติศาสตร์อ่ะ
00:42:12 → 00:42:14 >> ใช่
00:42:14 → 00:42:17 >> แต่คิดแต่หลังจากเราไปกินตอนเที่ยนวัน
00:42:17 → 00:42:21 เสาร์ริมถนมพระรามสิมีเราคนเดียวอ่ะซึ่ง
00:42:21 → 00:42:23 มันน่าใจหายมากอ่ะว่าแบบว่าถ้าเป็น
00:42:23 → 00:42:25 อย่างี้ต่อไปเคงอยู่ไม่ได้แน่เลยอ่ะ
00:42:25 → 00:42:28 >> ดังนั้นก็ผู้ชมคะไปช่วย
00:42:28 → 00:42:28 >> ชิม
00:42:28 → 00:42:29 >> ร้านเฉโปที่พระราม 4
00:42:29 → 00:42:32 >> ร้านเฉพที่พระราม 4 ก็อย่างที่บอกวนกลับ
00:42:32 → 00:42:34 ไปตอนแรกก็คือรสชาติที่มันเป็นอดีตน่ะ
00:42:34 → 00:42:34 >> ครับ
00:42:34 → 00:42:37 >> พวกคำปัจจุบันก็ไม่เข้าใจแต่ว่าเรายัง
00:42:37 → 00:42:39 เห็นถึงความจำเป็นนะที่จะอนุรักษ์อันเนี้
00:42:39 → 00:42:42 ไว้เป็นเหมือนกับหนังสืออ้างอิงหรือจุด
00:42:42 → 00:42:44 อ้างอิงว่าก่อนที่จะเป็นอย่างปัจจุบัน
00:42:44 → 00:42:47 เนี่ยเราเคยมีรสชาติแบบนี้มาก่อนดังนั้น
00:42:47 → 00:42:49 เราคิดว่าการอนุรักษ์ร้านอาหารเก่าแก่
00:42:49 → 00:42:51 เนี่ยมีความจำเป็นมากๆ
00:42:51 → 00:42:51 >> อ
00:42:51 → 00:42:55 >> แล้วก็ร้านเฉโปพระราม 4 นี่ด้วยเป็นแค่ 1
00:42:55 → 00:42:56 ในเคสที่เราพบแค่นั้นเอง
00:42:56 → 00:42:58 >> 1 ในเคสครับเรื่องนี้เรื่องเนี้ยถ้าเกิด
00:42:58 → 00:43:01 ทุกคนไปฟังรายการ in relationhip ของ
00:43:01 → 00:43:04 อาจารย์ทเนศกับผมเนี่ยกับพี่ช้างเนี่ยก็
00:43:04 → 00:43:05 จะคุยประเด็นนี้กันเยอะเหมือนกันครับ
00:43:05 → 00:43:08 เรื่องคืออาจารย์ทเนก็จะพูดถึงข้าวมันไก่
00:43:09 → 00:43:09 >> อือฮึ
00:43:09 → 00:43:12 >> ข้าวมันไก่ในยุคของที่แกกินตอนเด็กๆ
00:43:12 → 00:43:13 >> อือๆไก่เหนียว
00:43:13 → 00:43:14 >> ไก่เหนียว
00:43:14 → 00:43:15 แล้วก็สับติดกระดูก
00:43:15 → 00:43:16 >> ออาฮะ
00:43:16 → 00:43:20 >> เดี๋ยวนี้ก็คือเลาะไก่นุ่มเป็นชั้น
00:43:20 → 00:43:23 >> แล้วก็มีมีเจลเจลลี่ตรงกลางคือมันเป็นแบบ
00:43:23 → 00:43:25 มันเป็นแบบข้าวมันไก่ยุคใหม่ใช่
00:43:26 → 00:43:26 >> ซึ่ง
00:43:26 → 00:43:29 >> ร้านข้าวมันไก่ยุคเก่าเนี่ยแทบก็จะค่อยๆ
00:43:29 → 00:43:30 หายไปจริงๆ
00:43:30 → 00:43:30 >> ใช่
00:43:30 → 00:43:33 >> แล้วก็มีอีกหลายอย่างครับราดหน้า
00:43:33 → 00:43:35 >> ที่ปัจจุบันน้ำเจิงอือฮึ
00:43:35 → 00:43:39 >> เมื่อก่อนนี้จะเป็นน้ำที่แบบหมาดๆงวดๆนิด
00:43:39 → 00:43:40 นึง
00:43:40 → 00:43:42 >> แกก็บอกว่าเออสิ่งนี้มันหายไปแต่แกก็ไม่
00:43:42 → 00:43:45 ได้ต่อต้านนะแต่แกก็แบบหมายถึงอาจารย์
00:43:45 → 00:43:47 ทเนศนะฮะแกก็บอกว่าเออมันก็เปลี่ยนไปตาม
00:43:47 → 00:43:49 ยุคสมัยแหละมันก็ไม่ได้มีความแท้อะไร
00:43:49 → 00:43:52 อย่างที่ว่ากันน่ะคือแบบถ้าคุณจะกินแท้
00:43:52 → 00:43:54 คุณจะไปกินเอ่อข้าวมันไก่เหนียวๆอย่าง
00:43:54 → 00:43:55 งั้นหรออะไรอย่างเงี้ย
00:43:55 → 00:43:57 >> อันเนี้ยมีมุมมองนิดนึง
00:43:57 → 00:43:58 >> ครับ
00:43:58 → 00:44:00 >> ตอนอาจารย์ทเนศเล่าให้ฟังอาจารย์บอกมว่า
00:44:00 → 00:44:01 ทำไมเขาถึงต้องสับติดกระดูก
00:44:01 → 00:44:06 >> อ่ะก็บอกเรื่องบอกเรื่องความรดของน้ำน้ำ
00:44:06 → 00:44:08 ในกระดูกรสของความชุ่มชื้นที่มันต้องเก็บ
00:44:08 → 00:44:09 ไว้ในไก่อะไรอย่างเงี้ยฮะ
00:44:09 → 00:44:10 >> อ๋อ
00:44:10 → 00:44:10 >> ครับ
00:44:10 → 00:44:11 >> นี้เรามองอีกอย่างนึง
00:44:11 → 00:44:12 >> ครับ
00:44:12 → 00:44:13 >> เพราะว่าไก่สมัยก่อนตัวเล็ก
00:44:14 → 00:44:14 >> ออ
00:44:14 → 00:44:15 >> เนื้อน้อย
00:44:15 → 00:44:15 >> ครับ
00:44:15 → 00:44:17 >> ถ้าสับแยกเนื้อเนี่ยทำไม่ได้
00:44:17 → 00:44:18 >> อ๋อ
00:44:18 → 00:44:20 >> ขาดทุนมันจะมีเวสเยอะ
00:44:20 → 00:44:22 >> ถึงแม้ปัจจุบันเนี้ยคุณลองเทียบขนาดไก่ใน
00:44:22 → 00:44:25 อดีตกับไก่ไก่เหนียวในอดีตกับไก่ฟาร์มใน
00:44:25 → 00:44:25 ปัจจุบันดู
00:44:25 → 00:44:26 >> อ
00:44:26 → 00:44:28 >> เทียบกันไม่ได้เลยนะขนาดเนื้อปริมาณของ
00:44:28 → 00:44:29 เนื้อกับกระดูกเนี่ย
00:44:29 → 00:44:33 >> เราคิดว่าเค้าสาเหตุที่เขาต้องสับกระดูก
00:44:33 → 00:44:34 ลงไปด้วย 1 เป็นเพราะความจำเป็นในทาง
00:44:34 → 00:44:35 เศรษฐกิจด้วย
00:44:35 → 00:44:36 >> ออฮะ
00:44:36 → 00:44:38 >> แล้วเรื่องของจูซในกระดูกเนี่ยมันเป็น
00:44:38 → 00:44:41 เหตุผลที่เขาอาจจะคิดขึ้นมาทีหลังก็ได้
00:44:41 → 00:44:42 >> แต่ว่า
00:44:42 → 00:44:45 >> ในทางเศรษฐกิจเนี่ยสับเนื้อและกระดูกลงไป
00:44:45 → 00:44:48 เลยให้คนกินแท้เองเนี่ยไม่เสียเวลามากเรา
00:44:49 → 00:44:51 ก็ได้เนื้อครบ
00:44:51 → 00:44:51 >> อื
00:44:52 → 00:44:53 >> ไม่ได้หายไปไหนไม่ได้ไปลูก
00:44:53 → 00:44:55 >> ไม่ได้หายไปไหนแล้วพอมาในสมัยปัจจุบัน
00:44:55 → 00:44:59 เนี้ยลักษณะการสับไก่ที่เปลี่ยนไปเนี่ย
00:44:59 → 00:45:02 เป็นเพราะว่าตัวไก่ปริมาณ proportion กับ
00:45:02 → 00:45:05 เรชสัดส่วนของเนื้อกับกระดูก
00:45:05 → 00:45:06 >> มันต่างกันไปแล้ว
00:45:06 → 00:45:08 >> ต่างกันด้วยเ้าถึงสามารถทำอย่างนั้นได้
00:45:08 → 00:45:11 >> ถ้าในอดีตทำอย่างงั้นไม่ได้อันเนี้ย
00:45:11 → 00:45:13 >> เพราะว่าเราลองทำไก่แบบด้วย
00:45:13 → 00:45:15 >> ก็เลยเข้าใจว่า
00:45:15 → 00:45:17 >> เนี่ยมันน่าจะมีเหตุผลบางอย่างเกิดขึ้น
00:45:17 → 00:45:19 เบื้องหลังเทคนิคการทำครัวที่เปลี่ยนไป
00:45:19 → 00:45:21 เนี่ยที่เราได้เรียนรู้จากการทำกับข้าว
00:45:21 → 00:45:24 แล้วก็แบบไก่ทำไมมันตัวเล็กจัง
00:45:24 → 00:45:24 >> อือ
00:45:24 → 00:45:25 >> อะไรอย่างเงี้ย
00:45:25 → 00:45:26 >> เออ
00:45:26 → 00:45:27 >> มันต้องทำอย่างเงี้ยอะไรอย่างเงี้ยค่ะเรา
00:45:27 → 00:45:29 ก็เลยคิดว่านี่แหละ
00:45:29 → 00:45:29 >> อื
00:45:29 → 00:45:33 >> นี่แหละมันเลยทำได้แต่ว่าไปกินเฉยโปรกัน
00:45:33 → 00:45:33 นะทุกคน
00:45:33 → 00:45:36 >> มีเนี่ยพูดถึงเฉยโปรผมก็เลยนึกถึงอีกอัน
00:45:36 → 00:45:38 นึงที่ผมเป็นคนเริ่มสังเกตด้วยตัวเองด้วย
00:45:39 → 00:45:40 เหมือนกันหมายถึงว่ากินเองแล้วก็รู้สึก
00:45:40 → 00:45:44 ว่าเอ้ยปัจจุบันเนี้ยเนี่ยบางทีแบบผมไปหา
00:45:44 → 00:45:45 ร้านหมูแดงเก่าๆ
00:45:45 → 00:45:46 >> กิน
00:45:46 → 00:45:46 >> อ่ะ
00:45:46 → 00:45:50 >> เค้าก็จะเป็นหมูที่แบบโอเวอร์คุสุดๆเลย
00:45:50 → 00:45:50 >> อือ
00:45:50 → 00:45:51 >> แห้ง
00:45:51 → 00:45:51 >> อือ
00:45:51 → 00:45:54 >> แล้วก็หั่นแบบบาง
00:45:54 → 00:45:54 >> อือๆ
00:45:54 → 00:45:57 >> เออหั่นแบบหมูแดงแบบบางแล้วก็จะราดน้ำ
00:45:57 → 00:45:59 ซึ่งเด็กๆอ่ะผมชอบแบบนี้มากเลย
00:45:59 → 00:45:59 >> ค่ะ
00:45:59 → 00:46:02 >> แต่ปัจจุบันเนี่ยการกินหมูแดงมันถูกเอ่อ
00:46:02 → 00:46:05 น่าจะมีอิทธิพลจากอาหารฮ่องกงมั้งในการ
00:46:05 → 00:46:07 ที่แบบสับหมูแดงชิ้นหนาๆ
00:46:07 → 00:46:09 >> อือฮึ
00:46:09 → 00:46:10 >> ใช้หมูที่มีมันเยอะ
00:46:10 → 00:46:11 >> อือฮึ
00:46:11 → 00:46:13 >> แล้วก็นุ่มอือฮึ
00:46:13 → 00:46:15 >> เพราะว่าฉะนั้นร้านที่แบบคนก็จะนิยมไอ้
00:46:15 → 00:46:17 ความนุ่มความหนาเนี่ย
00:46:17 → 00:46:17 >> อือ
00:46:17 → 00:46:21 >> ร้านไหนที่ให้นุ่มให้หนาก็จะเลงในโซเชียล
00:46:21 → 00:46:24 เยอะมากบล็อกเกอร์ลงเยอะมากแต่ว่ากลับไป
00:46:24 → 00:46:27 กินร้านที่เป็นหมูแดงแบบเก่าๆเนี่ยโหบาง
00:46:27 → 00:46:29 ทีเราก็รู้สึกแบบมันไม่ใช่ยุคสมัยของเค้า
00:46:29 → 00:46:30 เลยเนาะ
00:46:30 → 00:46:30 >> อื
00:46:30 → 00:46:33 >> เออแล้วการที่แบบว่าจะให้เค้าคงอยู่เนี่ย
00:46:33 → 00:46:35 ก็
00:46:35 → 00:46:37 >> มันก็ยากอ่ะแต่ว่า
00:46:37 → 00:46:39 >> แต่ว่าเรามันเป็นมันเป็นเหมือนกัน
00:46:39 → 00:46:42 อนุรักษ์แหล่งโบราณคดีเหมือนกันด้วยแต่ก็
00:46:42 → 00:46:46 เค้าก็อาจจะมีปัญหาเรื่องไม่มีคนกิน
00:46:46 → 00:46:49 >> ไม่มีคนเก็ตไงเพราะมันเป็นรสชาติที่โบราณ
00:46:49 → 00:46:51 จริงๆอ่ะเราบอกอีกอย่างนึงอันนี้ขออนุญาต
00:46:51 → 00:46:53 แบบว่าแทรกตัวเข้าไปในเรื่องเล่าเนาะ
00:46:53 → 00:46:55 >> ครับ
00:46:55 → 00:46:57 >> ไอ้ที่เขาต้องหั่นบางๆอ่ะแล้วที่คุณหมี
00:46:57 → 00:46:58 บอกว่าโอเวอร์คุอ่ะ
00:46:58 → 00:46:59 >> เออ
00:46:59 → 00:47:01 >> เพราะว่าหมูมันสุกมากๆเลยใช่ป่ะ
00:47:01 → 00:47:01 >> ใช่
00:47:01 → 00:47:03 >> การทำเนื้อสัตว์สมัยก่อนน่ะมันต้องทำให้
00:47:03 → 00:47:07 สุกเกินไปกว่านั้นนิดนึงเพราะว่าเพื่อ
00:47:07 → 00:47:07 ความปลอดภัย
00:47:07 → 00:47:08 >> อครับ
00:47:08 → 00:47:10 >> แล้วก็เก็บได้นานแล้วพอมันค่อนข้างแห้ง
00:47:10 → 00:47:12 เนี่ยเนี่ยคุณไม่สามารถหั่นชิ้นหนาได้
00:47:13 → 00:47:14 เพราะมันเหนียว
00:47:14 → 00:47:16 >> ออมันต้องหันชิ้นบางๆ
00:47:16 → 00:47:17 >> ไม่งั้นควรจะเคี้ยว
00:47:17 → 00:47:20 >> ใช่ดังนั้นมันก็เห็นมั้ยทุกอย่างมัน
00:47:20 → 00:47:21 เกี่ยวข้องกัน
00:47:21 → 00:47:21 >> อืๆ
00:47:21 → 00:47:24 >> เออพอหั่นชิ้นบางๆปุ๊บน้ำก็ราดไปได้แล้ว
00:47:24 → 00:47:26 คุณก็จะทานได้แล้วคุณก็จะ appreciate แต่
00:47:26 → 00:47:29 ถ้าหั่นหนากว่านั้นนิดนึงคุณก็จะคิดว่า
00:47:29 → 00:47:31 นี่มันคือรองเท้าแตะหรือเปล่าใช่มั้คะ
00:47:31 → 00:47:32 เพราะว่า
00:47:32 → 00:47:35 >> เพราะว่าการทำอาหารและการเสิร์ฟอ่ะมันถูก
00:47:35 → 00:47:39 ดีไซน์ขึ้นมาให้คนกินได้รับรู้รสชาติที่
00:47:39 → 00:47:40 มัน optimal
00:47:40 → 00:47:42 ที่สุดของจานนั้นแล้วอ่ะ
00:47:42 → 00:47:43 >> อครับอื
00:47:43 → 00:47:44 >> อื
00:47:44 → 00:47:47 >> ฟังแล้วจนถึงตอนเนี้ยก็เริ่มได้คำตอบสิ่ง
00:47:47 → 00:47:49 ที่แบบต้องอยากรู้เหมือนกันครับว่าคนที่
00:47:49 → 00:47:53 เป็นพนักงานออฟฟิศกิแบบผมเนี่ยทำไมต้อง
00:47:53 → 00:47:56 รู้เรื่องประวัติศาสตร์เป็นเพราะว่าถ้า
00:47:56 → 00:47:57 เราไม่รู้เลย
00:47:57 → 00:48:00 >> เราก็จะไม่เห็นว่าทำไมเราต้องกิน
00:48:00 → 00:48:03 >> เอ่อหมูแดงแบบแบบบางๆแห้งๆวะ
00:48:03 → 00:48:04 >> อืออือๆ
00:48:04 → 00:48:06 >> แล้วเราก็รู้ว่าอ้าในในสมัยนั้นเค้าเกิด
00:48:06 → 00:48:09 อะไรขึ้นแล้วเราถ้าเรารู้สิ่งเนี้ยมันก็
00:48:09 → 00:48:11 จะทำให้ efficiate ได้มากขึ้นหน่อยว่า
00:48:11 → 00:48:13 เค้าเมื่อก่อนเค้ากินกันอย่างงั้นเพราะ
00:48:13 → 00:48:15 อะไรแล้วความอร่อยของมันอยู่ตรงไหน
00:48:15 → 00:48:16 >> อือ
00:48:16 → 00:48:18 >> ในขณะเดียวกันเราอยากจะกินข้าวหมูแดงแบบ
00:48:18 → 00:48:20 ปัจจุบันเนี่ยเราก็กินได้เราก็จะ
00:48:20 → 00:48:22 appreciate ของมันอีกแบบนึง
00:48:22 → 00:48:24 >> ผมว่ามันก็เป็นประโยชน์นะที่เรา
00:48:24 → 00:48:26 >> ได้รู้ว่าเอ้ยสิ่งที่มันเกิดขึ้นในเมื่อ
00:48:26 → 00:48:29 ก่อนเนี้ยมันเกิดขึ้นอะไรบ้าง
00:48:29 → 00:48:34 >> จริงๆอ่ะแค่รู้ไปแบบที่ว่ามันก็ทำให้เรา
00:48:34 → 00:48:35 กินข้าวอร่อยขึ้นน่ะ
00:48:35 → 00:48:36 >> อือๆ
00:48:36 → 00:48:37 >> เพราะว่ามันมีสอี่ไง
00:48:37 → 00:48:41 >> สตอี่ผมว่าในยุคเนี่ยสัก 5 ปี 10 ปีที่
00:48:41 → 00:48:44 ผ่านมาสอี่เป็นเรื่องสำคัญมากในการเป็น
00:48:44 → 00:48:48 ส่วนหนึ่งของอาหารเนาะคนเอามาเล่าเพื่อ
00:48:48 → 00:48:52 ให้รู้สึกว่าเอ่อมันได้รู้เรื่องราวของ
00:48:52 → 00:48:52 อาหารนั้น
00:48:52 → 00:48:53 >> อือ
00:48:53 → 00:48:55 >> บางคนก็ใช้สอี่จนแบบโอเวอร์มันก็มีเข้าใจ
00:48:55 → 00:48:56 แต่ว่า
00:48:56 → 00:48:56 >> อ
00:48:57 → 00:49:01 >> ผมว่าบางบางสตอี่อ่ะมันก็ค่อนข้างสร้าง
00:49:01 → 00:49:05 เรียกว่าอะไรดีเอ่อสิ่งที่ทำให้เราน่าจะ
00:49:06 → 00:49:08 เอ่ออร่อยกับมันได้มากขึ้นน่ะจริง
00:49:08 → 00:49:11 >> มันบางทีมันมันไม่ไม่ไม่ใช่แค่นั้นนะเรา
00:49:11 → 00:49:14 คิดว่าแต่ว่า
00:49:14 → 00:49:18 ด้วยความที่eคologyอ่ะหรือระบบนิเวศการ
00:49:18 → 00:49:19 รับรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์การเข้า
00:49:19 → 00:49:25 ถึงอดีตของคนทั่วไปโดยเฉพาะแบบคนทำงานที่
00:49:25 → 00:49:27 มีความเครียดแล้วก็เวลาว่างน้อยอ่ะมันก็
00:49:27 → 00:49:31 เลยคิดว่าเราทำสิ่งที่จำเป็นกับชีวิต
00:49:31 → 00:49:34 เฉพาะหน้าของเราก็พอเราก็เลยบางทีเรามอง
00:49:34 → 00:49:34 ไม่ถึง
00:49:34 → 00:49:35 >> อ
00:49:35 → 00:49:36 >> ไปถึงเรื่องอดีตเกี่ยวกับอาหารอะไรพวก
00:49:36 → 00:49:38 นั้นแต่เราคิดว่าอ
00:49:38 → 00:49:41 >> น้อยที่ที่สุดอ่ะเราทำให้อาหารอร่อยอร่อย
00:49:41 → 00:49:41 ขึ้น
00:49:41 → 00:49:42 >> อื
00:49:42 → 00:49:45 >> แล้วมันอาจจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราใน
00:49:45 → 00:49:46 เรื่องต่างๆที่เรายังไม่รู้ก็ได้
00:49:47 → 00:49:47 >> อือ
00:49:47 → 00:49:49 >> สิ่งที่เรารู้ไปอาจจะยังไม่มีประโยชน์ตอน
00:49:49 → 00:49:51 นี้คุณเก็บขึ้นหิ้งไว้ก่อนก็ได้อยู่ในกอง
00:49:51 → 00:49:53 ดองอะไรสักอย่าง
00:49:53 → 00:49:54 >> สักวันนึงอาจจะมีประโยชน์สำหรับคุณก็ได้
00:49:54 → 00:49:56 แต่ว่าอ
00:49:56 → 00:49:59 >> ในในในเรื่องเนี้ยในเรื่องของ Story เรา
00:49:59 → 00:50:00 ว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นเพราะคนมัน
00:50:00 → 00:50:01 discอnect
00:50:01 → 00:50:02 >> อื
00:50:02 → 00:50:05 >> คนมันdiscอnectกับสิ่งต่างๆมากขึ้นเพราะ
00:50:05 → 00:50:08 ว่าเนี่ยแหละมันไม่มีเวลาเราไม่มีเวลาใน
00:50:08 → 00:50:12 การทำอะไรต่างๆมากพอเราไม่มีเวลาที่จะ
00:50:12 → 00:50:14 เอ่อ
00:50:14 → 00:50:17 นั่งมองหน้าต่างหรือว่ากินอาหารแบบเรื่อย
00:50:17 → 00:50:20 ๆไม่ต้องไปไหนก็ได้อยากจะกินเพื่ออยากจะ
00:50:20 → 00:50:22 กินแล้วก็ริมรสมันอะไรเงี้ยไม่ต้องกิน
00:50:22 → 00:50:25 เพื่อแบบว่าหาวิธีเทคนิคการทำอาหารจริงๆ
00:50:25 → 00:50:27 อ่ะ
00:50:27 → 00:50:29 >> ประโยชน์พวกนั้นน่ะเราก็เพิ่งมารู้ทีหลัง
00:50:29 → 00:50:31 นะคะแต่จริงๆเริ่มทำอาหารเพราะชอบ
00:50:31 → 00:50:32 >> อื
00:50:32 → 00:50:33 >> แล้วมันก็จำเป็น
00:50:33 → 00:50:33 >> อือ
00:50:33 → 00:50:37 >> คือเราไม่ต้องไปหาเหตุผลอะไรมากก็ได้
00:50:37 → 00:50:39 >> จริงๆอ่ะ Enjoy กับมันก่อนเรื่องอาหารน่ะ
00:50:39 → 00:50:40 มันต้องจอยก่อน
00:50:40 → 00:50:40 >> ครับ
00:50:40 → 00:50:42 >> อาหารเป็น nourishment เนาะ
00:50:42 → 00:50:43 >> ฮะ
00:50:43 → 00:50:46 >> ในขั้นพื้นฐานที่สุดอาหารมันทำให้เราอิ่ม
00:50:46 → 00:50:48 มันทำให้เรามีชีวิตมันทำให้เรามีลมหายใจ
00:50:48 → 00:50:51 มันทำให้เรามีสารอาหารไปหล่อเลี้ยงตัว
00:50:51 → 00:50:53 >> อย่างที่ 2 ก็คือมีรสชาติที่ดี
00:50:53 → 00:50:53 >> ครับ
00:50:53 → 00:50:56 >> อย่างที่ 3 คือสร้างตัวตนของเรา
00:50:56 → 00:50:57 >> อื
00:50:57 → 00:50:59 >> ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไรเรากินอาหารกับคน
00:50:59 → 00:51:02 นี้ได้มั้ยถ้าเขากินปลาร้าเยอะเราไม่ชอบ
00:51:02 → 00:51:04 เราจะไปร่วมโต๊ะกับเขาได้มั้ยหรือถ้าไม่
00:51:04 → 00:51:05 ได้เราจะมีวิธีการต่อรองยังไง
00:51:05 → 00:51:06 >> อือ
00:51:06 → 00:51:08 >> มันก็เป็นเรื่องของสังคมอื
00:51:08 → 00:51:12 >> อาหารมันเป็นแค่ประตูในการมองสังคมและคน
00:51:12 → 00:51:13 นึง
00:51:13 → 00:51:13 >> อื
00:51:13 → 00:51:15 >> เราใช้มันเป็นเครื่องมือนะฮะ
00:51:15 → 00:51:15 >> ครับ
00:51:15 → 00:51:19 >> ในการมองสังคมโดยรวมมากกว่าเนี่ยมันทำให้
00:51:19 → 00:51:23 เราสนใจแต่จริงๆก็คือชอบกินค่ะอยู่เพื่อ
00:51:23 → 00:51:24 กิน
00:51:24 → 00:51:26 >> ทุกคนน่าจะเริ่มจากการชอบกินน่ะแหละแล้ว
00:51:26 → 00:51:29 ก็อยากจะรู้เรื่องอะไรเดี๋ก็จะไปหาจาก
00:51:29 → 00:51:30 สิ่งที่ตัวเองชอบอยู่ดี
00:51:30 → 00:51:32 >> ใช่แค่นั้นพอแล้วพอมาถึงตอนนั้นน่ะเราจะ
00:51:32 → 00:51:35 ไม่มานั่งหาเหตุผลว่าอดีตมันสำคัญยังไง
00:51:35 → 00:51:37 เรื่องราวอาหารแบบนี้มันสำคัญกับเรายังไง
00:51:37 → 00:51:39 เพราะว่ามันจำเป็นกับเราไปแล้ว
00:51:39 → 00:51:41 >> มันเป็นเรื่องที่เราสนใจพอเราสนใจไปแล้ว
00:51:41 → 00:51:41 ปุ๊บ
00:51:41 → 00:51:44 >> อื
00:51:44 → 00:51:45 >> Doesn't matter
00:51:45 → 00:51:48 >> ครับวันนี้ได้เรื่องเยอะมากฮะตั้งแต่ตอน
00:51:48 → 00:51:51 แรกเรื่องประวัติศาสตร์เรื่องโบราณคดี
00:51:51 → 00:51:54 อาหารจนมาถึงเรื่องความแท้ของอาหารมา
00:51:54 → 00:51:55 เรื่องซึ่งไม่มีจริง
00:51:55 → 00:51:58 >> ไม่มีจริงอ่ะมาเรื่มาจนถึงเรื่องความสนใจ
00:51:58 → 00:52:01 แล้วเราจะเชื่อมโยงกับตัวประวัติศาสตร์
00:52:01 → 00:52:03 หรืออดีตของเราไปเพื่ออะไร
00:52:03 → 00:52:03 >> อือฮึ
00:52:03 → 00:52:06 >> วันเนี้ยก็ได้มุมมองจากคุณโต้เยอะมากครับ
00:52:06 → 00:52:10 แล้วก็คิดว่าต่อจากนี้ก็คงใครที่ยังไม่
00:52:10 → 00:52:12 เคยอ่านบทความก็สามารถไปอ่านบทความของคุณ
00:52:12 → 00:52:14 โจ้ได้ที่เอ่อเว็บไซต์ The Cloud ครับก็
00:52:14 → 00:52:18 เสิร์ชของชื่อคุณโจ้นัถาชื่นวัฒนาครับก็
00:52:18 → 00:52:22 จะมีหลายอันเลยมีผมชอบเรื่องเอ่อศูนย์
00:52:22 → 00:52:26 อาหารที่เจอในบันทึกโบราณอ
00:52:26 → 00:52:29 >> ชอบเรื่องนั้นมากก็ก็ไปดูระหวังว่าต่อไป
00:52:29 → 00:52:32 จะมีบทความจากคุณโจ้มาอีกเรื่อยๆนะครับ
00:52:32 → 00:52:33 >> ขอบคุณมากเลยค่ะ
00:52:33 → 00:52:34 >> จริงๆยังมีเรื่องอีกหลายเรื่องที่อยากคุย
00:52:34 → 00:52:37 กันมากถ้ามีโอกาสรอบหน้าก็จะชวนมาคุยด้วย
00:52:37 → 00:52:39 กันอีกครับคุณโชวันนี้ขอบคุณมากๆเลยนะ
00:52:39 → 00:52:39 ครับ
00:52:39 → 00:52:40 >> ขอบคุณมากค่ะ
00:52:40 → 00:52:40 >> ขอบคุณนะครับ
00:52:41 → 00:52:41 >> ขอบคุณค่ะ
00:52:41 → 00:52:42 >> สวัสดีครับ
00:52:42 → 00:52:49 [เพลง]