00:00:00 → 00:00:02 เวลาเรานอนดึกติดต่อกันหลายๆวันอย่าง
00:00:02 → 00:00:04 เงี้ยค่ะสมมุติเมื่อคืนนอนดึกวันนี้เรามา
00:00:04 → 00:00:07 นอนชดเชยเอาเงี้ยมันช่วยได้ใช่ไหม
00:00:07 → 00:00:10 คะอดนอนแล้วไปนอนเพิ่มเติมในวันเสาร์
00:00:10 → 00:00:12 อาทิตย์อย่างนั้นน่ะก็พออยู่ได้เราเรียก
00:00:12 → 00:00:14 ว่า Sleep Recovery ถ้าสมมุติว่าเรานอน
00:00:14 → 00:00:17 หายไป 1 ช่โมงก็อาจจะใช้เวลาประมาณสัก 4
00:00:17 → 00:00:21 วันที่จะฟื้นฟูหูบางทีเราจะชอบพูดว่าคืน
00:00:21 → 00:00:24 นี้หลับสนิทมากไม่ฝันเลยแปลว่าดีหรือไม่
00:00:24 → 00:00:27 ดีคะคุณหมอการที่เราจำความฝันได้เนี่ยไม่
00:00:27 → 00:00:29 ดีนะฮะ
00:00:29 → 00:00:31 อ้าเพราะว่าถ้าเราจำความฝันได้บ่อยๆและ
00:00:31 → 00:00:34 ฝันซ้ำๆเนี่ยอาจจะมีมีปัญหาเรื่องของสมอง
00:00:34 → 00:00:39 เสื่อมได้คือชมอ่ะจะชอบฝันว่าบินได้ทุก
00:00:39 → 00:00:42 ครั้งที่ฝันว่าบินได้ก็จะรู้ว่าแกฝันอีก
00:00:42 → 00:00:45 แล้วแล้วก็บางทีก็มีเหมือนแบบตื่นขึ้นมา
00:00:45 → 00:00:49 แล้วแบบอยากกลับไปฝันต่ออืทำได้มั้ยคะ
00:00:49 → 00:00:51 อันเนี้ชมเคยฟังมาไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า
00:00:51 → 00:00:55 คุณหมอเขาบอกว่าแต่ละคนมียีนของการแบบนอน
00:00:55 → 00:00:57 กี่โมงการจะบอกว่าเรานอนนอนเร็วนอนสาย
00:00:57 → 00:01:00 เนี่ยเป็นจีนจริงนะฮะเราก็เลยแบ่งคนออกไป
00:01:00 → 00:01:02 เป็น 3 จำพวกอันนี้เขาบอกว่านอนกลางวัน
00:01:02 → 00:01:06 น่ะมันจะช่วยแบบชะลอความแก่ของสมองทำให้
00:01:06 → 00:01:09 สมองดีขึ้นจริงมั้คะคุณหมอพวกนักสนูสล่ะ
00:01:09 → 00:01:12 คะคุณหมอตั้งนาฬิกาปลุกกดสนูทไปเรื่อยๆ
00:01:12 → 00:01:15 ตอนที่เรานอนแบบ + 5 นาที + 10 นาทีมัน
00:01:15 → 00:01:19 มีประโยชน์มั้ยคะคุณหมออันนี้ไม่ถามไม่
00:01:19 → 00:01:24 ได้โอ้โหผีอั้ำอ่ะอ๋ออาการผีอำ
00:01:24 → 00:01:28 นอนแย่ชีวิตพังมาฟังเคล็ดลับนอนดีจากนาย
00:01:28 → 00:01:31 แพทย์จิรยศจินตนาดิลกแพทย์ผู้ชำนาญการ
00:01:31 → 00:01:33 ด้านการนอนหลับประสบการณ์ 26 ปีที่
00:01:33 → 00:01:40 อเมริกาดูจบหลับดีชีวิต
00:01:40 → 00:01:44 เปลี่ยนคุณหมอขาคนไข้ส่วนใหญ่ที่มาหานี่
00:01:44 → 00:01:46 น่าจะเป็นเพราะว่านอนไม่หลับใช่มั้คะใช่
00:01:46 → 00:01:50 ครับการนอนไม่ดีเนี่ยมันก็มีทั้งนอนมากไป
00:01:50 → 00:01:52 แล้วก็นอนน้อยไปแล้วทีนี้เราจะรู้ได้ยัง
00:01:53 → 00:01:56 ไงว่าเรานอนดีหรือไม่ดีอ่ะค่ะคุณหมอเพราะ
00:01:56 → 00:02:00 ว่าเค้าก็จะบอกในวัยผู้ใหญ่อะไรเงี้ก็ควร
00:02:00 → 00:02:02 จะนอนให้ได้เวลาแบบ 7-8 ช่มงหรืออะไร
00:02:02 → 00:02:04 เงี้ยมันจริงเสมอไปมั้คะครับต้องอย่าลืม
00:02:04 → 00:02:08 ว่าในร่างกายของคนคนเราเนี่ยมันมีสิ่งที่
00:02:08 → 00:02:11 เหมือนกันแล้วก็สิ่งที่ต่างกันเนาะอันนึง
00:02:11 → 00:02:14 เนี่ยที่เราต้องรู้ไว้ก็คือว่าพันธุกรรม
00:02:14 → 00:02:16 จะเป็นตัวที่บ่งชี้ว่าความต้องการของร่าง
00:02:16 → 00:02:19 กายของคนเราเนี่ยต้องการเท่าไหร่แต่สิ่ง
00:02:19 → 00:02:21 แวดล้อมที่มีอยู่ข้างนอกเนี่ยก็จะเป็นตัว
00:02:21 → 00:02:26 ที่มาบ่มเพาะบ่มว่าเราควรจะนอนยังไงเราจะ
00:02:26 → 00:02:29 ใช้ชีวิตยังไงค่ะการนอนก็คือการเก็บสะสม
00:02:29 → 00:02:32 พลังงานเป็นเป็น process ที่ร่วมไปกับการ
00:02:32 → 00:02:35 ตื่นการตื่นและการนอนมันจะต้องไปพร้อมกัน
00:02:35 → 00:02:38 ขึ้นกับว่าในวันและเวลาตอนไหนเนี่ยไที่
00:02:38 → 00:02:40 มันเหมาะสมกับการตื่นตอนไหนที่เหมาะสมกับ
00:02:40 → 00:02:42 การนอนเพราะฉะนั้นที่เราบอกว่าเราจะนอนพอ
00:02:42 → 00:02:45 หรือนอนไม่พอตัวเราเองน่ะจะเป็นคนที่บอก
00:02:45 → 00:02:47 ได้ว่าเรานอนพอหรือไม่พอค่ะที่บอกว่า 7
00:02:48 → 00:02:52 ช่มง 8 ชมงเป็นการนอนที่พอก็อันนั้นมัน
00:02:52 → 00:02:55 ได้มาจากไหนมันได้มาจากรีเสิร์ชมันก็เอ่อ
00:02:56 → 00:02:57 บอกได้คร่าว
00:02:57 → 00:03:00 แต่ว่ามันไม่ใช่ one si ออกออืทีนี้คุณ
00:03:00 → 00:03:02 หมอบอกว่ามันมีเรื่องปัจจัยเรื่องของ
00:03:02 → 00:03:05 พันธุกรรมด้วยแปลว่าบางคนมียีนแบบถึกนอน
00:03:05 → 00:03:08 น้อยก็ได้อย่างเงี้ยล่ะคะมีฮะมีที่
00:03:08 → 00:03:11 repอร์ตกันเรามียีนที่เรียกว่า DC2 DC2
00:03:11 → 00:03:13 กลุ่มนี้เนี่ยจะนอนน้อยกว่าชาวบ้านเมัน
00:03:13 → 00:03:16 เหมือนกับมีแบตเตอรี่พิเศษเนาะเป็นแบบที่
00:03:16 → 00:03:18 สามารถจะชาร์จได้เร็วกว่าชาวบ้านเแบตดี
00:03:18 → 00:03:21 กว่าเราเออแบตดีกว่าเราใช่แล้วคนที่นอนก็
00:03:21 → 00:03:23 นอนหลายชั่วโมงอย่างเงี้ยค่ะคุณหมอแต่ว่า
00:03:23 → 00:03:28 พอตื่นขึ้นมาแล้วมันกลับไม่สดชื่นอย่าง
00:03:28 → 00:03:30 เงี้ยหรือว่าก็นอนหลายชั่วโมงแล้วแต่ว่า
00:03:30 → 00:03:32 ไม่ตั้งนาฬิกาผุกก็ไม่ตื่นมันเกิดจากอะไร
00:03:32 → 00:03:34 อ่ะคะครับก็มี 2 อย่างใช่มั้ฮะการที่เรา
00:03:34 → 00:03:37 บอกว่าเรานอนดีนอนไม่ดีอันที่ 1 เวลามัน
00:03:37 → 00:03:40 ถึงหรือเปล่าการที่ 2 ถ้าเวลามันถึง
00:03:40 → 00:03:42 คุณภาพดีหรือเปล่าอือย่างคนบางคนเนี่ย
00:03:43 → 00:03:45 อย่างยกตัวอย่างง่ายๆโรคทิของเราก็คือ
00:03:45 → 00:03:48 sleep appia ค่ะภาวะการหยุดหายใจใน
00:03:48 → 00:03:50 ระหว่างการนอนหลับค่ะคนพวกนี้เนี่ยเ่อบอก
00:03:50 → 00:03:53 ว่าเนอนสบายเลยเข้าหัวถึงหมอนอนปั๊บเลย
00:03:53 → 00:03:56 แล้วก็ตื่นมาก็อาจจะบางคนก็บอกว่างูโงีย
00:03:56 → 00:03:59 หน่อยนึงอะไรแต่ขณะเดียวกันเนี่ยเวลาที่
00:03:59 → 00:04:01 เขานอนเนี่ยทุกครั้งที่เค้านอนเหยุดหายใจ
00:04:01 → 00:04:03 ค่ะเมื่อเค้าหยุดหายใจเนี่ยสมองก็ต้อง
00:04:03 → 00:04:05 สั่งงานละว่าเฮ้ยตื่นหายใจหน่อยถ้าเหยุด
00:04:05 → 00:04:07 หายใจมากกว่า 5 ครั้งต่อชั่วโมงก็เหมือน
00:04:07 → 00:04:13 กับเอ่อคุณชมพู่นอนอยู่แล้วก็เอ่ออ่าลูก
00:04:13 → 00:04:16 มันสะกิดทุกๆทุกๆ 5 นาที 10 นาทีตื่นมา
00:04:16 → 00:04:19 ตอนเช้าคุณชมพู่ก็จะรู้สึกว่าเพลียใช่มั้
00:04:19 → 00:04:22 ฮะก็คือเรื่องของคุณภาพแล้วก็จำนวนในใน
00:04:22 → 00:04:26 การนอนคนบางคนอาจจะแย่หน่อยจำนวนก็ไม่พอ
00:04:26 → 00:04:29 คุณภาพก็แย่พูดกลุ่มพวกนี้ก็จะมีปัญหา
00:04:29 → 00:04:32 เยอะกว่าชาวบ้านเหน่อยอค่ะครับแล้วพยายาม
00:04:32 → 00:04:36 นอนแต่นอนไม่หลับอันนี้เกิดจากอะไรคะคุณ
00:04:36 → 00:04:39 หมออการนอนและการตื่นก็เหมือนกับว่าเรามี
00:04:39 → 00:04:42 2 system ที่มัน parallel มันเดินทางไป
00:04:42 → 00:04:44 ด้วยกันนะฮะเมื่อไหร่ที่ร่างกายต้องการ
00:04:44 → 00:04:47 activity อันนึงมันก็จะบอกว่าเฮ้ย
00:04:47 → 00:04:49 Activity อีกอันนึงมันต้องหยุดไปมัน
00:04:49 → 00:04:51 เหมือนกับยิงยางเหมือนอะไรนะเค้าเรียก
00:04:51 → 00:04:54 อะไรนะ Sympatic กับพาaticใช่ครับใช่
00:04:54 → 00:04:57 sympathตติก็คือเอ่อกลุ่มของการตื่นนะฮะ
00:04:57 → 00:05:00 พารypaticก็เป็นกลุ่มของการนอนนะครับใน
00:05:00 → 00:05:02 กลุ่มของการตื่นเนี่ยsympathติเนี่ยมัน
00:05:02 → 00:05:05 ต้องใช้ฮอร์โมนหรือว่าneurโรitอตัวสาร
00:05:05 → 00:05:07 สื่อประสาทที่จะกระตุ้นให้เราตื่นอยู่
00:05:07 → 00:05:09 ตลอดเวลาแต่ขณะเดียวกันในการนอนเนี่ยอัน
00:05:09 → 00:05:12 ที่ 1 ต้องไปหยุดยั้งอิมติก่อนใช่มั้ฮะ
00:05:12 → 00:05:15 อันที่ 2 เรากระตุ้นตัวของมันเองเนี่ยให้
00:05:15 → 00:05:17 process ของมันเนี่ยเริ่มต้นขึ้นได้อ
00:05:17 → 00:05:19 คราวนี้เนี่ยการตื่นกับการนอนมันก็เหมือน
00:05:19 → 00:05:22 กับเครื่องบินเนาะเครื่องบินเวลาจะลงจอด
00:05:22 → 00:05:24 เนี่ยมันต้องมีอะไรบ้าง
00:05:24 → 00:05:27 อันที่ 1 มันจะต้องลดความเร็วลงอือันที่ 2
00:05:27 → 00:05:30 ทิศทางต้องแน่ชัดว่าตรงนี้เนี่ยเป็นสนาม
00:05:30 → 00:05:32 บิดอันที่ 3 คือลดระดับเพดานลงมาการนอนก็
00:05:33 → 00:05:37 เหมือนกันค่ะถ้าหากว่าเราเดินทางก็คือการ
00:05:37 → 00:05:40 ทำงานในระหว่างวันใช่มั้ยฮะเราจะลงจอดละ
00:05:40 → 00:05:42 การที่เราลงจอดได้เนี่ยถ้าเราไม่Slowดาว
00:05:42 → 00:05:45 เลยเนี่ยค่ะไม่มีทางเลยอืใช่มั้ยครับร่าง
00:05:45 → 00:05:48 กายมนุษย์เนี่ยมันยุ่งยากยุ่งเหยิงกว่า
00:05:48 → 00:05:52 อันนั้นเยอะค่ะกล่าวโดยสรุปคือถ้ายังมี
00:05:52 → 00:05:54 ความเร็วในเรื่องของความคิดอยู่ถ้าเรา
00:05:54 → 00:05:57 slลวslลวมาดาวทำให้เราใช้ไม่ได้หัวของเรา
00:05:57 → 00:06:00 แล้วก็ทั้งกิจกรรมของเราด้วยถูกมั้คะใช่
00:06:00 → 00:06:02 ครับใช่ครับถ้ามันยังเอาลงไม่ได้เนี่ยคุณ
00:06:02 → 00:06:06 ก็จอดไม่ได้ค่ะเวลาที่เราแบบหัวถึงหมอน
00:06:06 → 00:06:08 แล้วอย่างเงี้ยค่ะคุณหมอมันควรจะนานแค่
00:06:08 → 00:06:11 ไหนมันถึงจะหลับลูกชมนะแม่นอนไม่หลับ
00:06:11 → 00:06:15 อย่างงี้พอเปิดอะไรนิดนึง
00:06:15 → 00:06:18 ใช่ครับง่ายมากเด็กแต่เขาก็จะบ่นแล้วว่า
00:06:18 → 00:06:20 ถ้าสัก 5 นาที 10 นาทีเขายังไม่หลับเนี่ย
00:06:20 → 00:06:23 เขาจะรู้สึกว่าออุ๊ยทำไมวันนี้เค้าเนอน
00:06:23 → 00:06:25 ไม่หลับอะไรเงี้ยแต่ว่าในผู้ใหญ่บางทีมัน
00:06:25 → 00:06:27 แบบมันเป็นชั่วโมงชั่วโมงได้เลยนะคะคุณ
00:06:27 → 00:06:28 หมอใช่มั้ยต่างกันใช่มั้ระหว่างเด็กกับ
00:06:28 → 00:06:31 ผู้ใหญ่อะไรที่มันต่างกันอีกเด็กไม่ต้อง
00:06:31 → 00:06:33 คิดอะไรมากเลยวันๆนี่เล่นอย่างเดียวค่ะชม
00:06:33 → 00:06:35 ก็ไม่รู้ว่าเออมันคิดอะไรของมันบอกว่านอน
00:06:35 → 00:06:38 ไม่หลับอะไรอย่างเงี้ยแต่ว่าก็นั่นแหละก็
00:06:38 → 00:06:40 เวลาเนอนไม่หลับชมก็จะเปิดพวกแบบwhiteท
00:06:40 → 00:06:42 noอยสอะไรอย่างเงี้ยให้เขาแป๊บเดียวแป๊บ
00:06:42 → 00:06:44 เดียวเหมือนแบบเหมือนโดนวางยาสลบเลยก็จะ
00:06:44 → 00:06:48 ไปแต่ว่าในผู้ใหญ่อย่างเงี้ยค่ะคุณหมอมัน
00:06:48 → 00:06:52 มันต้องภายในกี่นาทีถึงจะเข้าขายว่าเป็น
00:06:52 → 00:06:55 คนหลับยากอืตรงนี้เนี่ยเราเอามาจากเอ่อ
00:06:55 → 00:07:00 study เอ่องานวิจัยเอ่อหลายๆปีมาละเอ่อ
00:07:00 → 00:07:03 ในทางการแพทย์ของเราเนี่ยคนไข้ของเรา
00:07:03 → 00:07:04 เนี่ยจะนอนหรือไม่นอนเนี่ยเราดูที่คลื่น
00:07:04 → 00:07:07 สมองใช่มั้ฮะคราวนี้เนี่ยเราตรวจการนอน
00:07:07 → 00:07:09 เราตรวจตอนกลางคืนจากขณะเดียวกันเนี่ยเรา
00:07:09 → 00:07:12 มีการตรวจตอนกลางวันด้วยคือความตื่นตัว
00:07:12 → 00:07:14 หรือความหลับง่ายหรือหลับยากเราเรียกว่า
00:07:14 → 00:07:17 MSLT Multiple Sleep Latency Test
00:07:17 → 00:07:21 ก็คือว่าเราให้คนไข้เนี่ยมาเข้าเข้ามาที่
00:07:21 → 00:07:23 Sleep Laab ของเรานะฮะแล้วก็แบ่งมาเป็น
00:07:23 → 00:07:25 sess ทั้งหมด 4-5 session session ละ
00:07:25 → 00:07:28 20 นาทีแล้วก็ติดเครื่องเอ่อดูคลื่นไฟ
00:07:28 → 00:07:31 ฟ้าสมองถ้าคนไข้นอนเราสามารถรู้ได้เลยว่า
00:07:31 → 00:07:34 คนไข้เนี่ยจะนอนตอนไหนปิดไฟแล้วก็นับดู
00:07:34 → 00:07:37 เลยว่าเวลาที่คนไข้หัวถึงหมอปิดไฟแล้ว
00:07:37 → 00:07:39 เนี่ยกับคลื่นสมองที่เปลี่ยนไปเนี่ยมัน
00:07:39 → 00:07:41 ใช้เวลาเท่าไหร่อันนี้กลางวันหรือกลางคืน
00:07:41 → 00:07:43 อันนี้คือตอนที่เราทำ study ในตอนกลางวัน
00:07:44 → 00:07:46 เรียกว่า MSLT คราวนี้เนี่ยเราก็ได้อยู่
00:07:46 → 00:07:50 ที่ว่าถ้าหากว่าเรานอนเร็วเกินไปน้อยกว่า
00:07:50 → 00:07:52 8 นาทีก็อาจจะมีปัญหาเรื่องของ
00:07:52 → 00:07:55 การตื่นคราวนี้เนี่ยพอตอนกลางคืนเราก็ไป
00:07:55 → 00:07:57 ดูว่าพอเราปิดไฟแล้วเนี่ยคนไข้นอนแล้ว
00:07:57 → 00:07:59 เนี่ยใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะคลื่นสมอง
00:07:59 → 00:08:01 เปลี่ยนค่ะเอาตอนกลางคืนกับตอนกลางวัน
00:08:01 → 00:08:04 เนี่ยเอามาดูกันนะฮะว่าค่าเฉลี่ยในการที่
00:08:04 → 00:08:06 ทำให้คนเนี่ยหลับในเวลากลางวันกับกลางคืน
00:08:06 → 00:08:09 เนี่ยมันประมาณเท่าไหร่เราคิดว่าไม่น่าจะ
00:08:09 → 00:08:14 เกิน 15 นาทีเป็นค่าการนอนที่ปกติค่ะแล้ว
00:08:14 → 00:08:16 มันต้องขนาดไหนอ่ะคะคุณหมอที่คิดว่าเออมา
00:08:16 → 00:08:19 พบแพทย์เถอะแบบอย่างเงี้ยคือเข้าข่ายว่า
00:08:19 → 00:08:23 เป็นโรคนอนไม่หลับละอเท่าที่เรามีอยู่ณ
00:08:23 → 00:08:25 เวลานี้เนี่ยก็คงไม่มีอะไรที่มันดีไปกว่า
00:08:25 → 00:08:28 การทำ Slip Study คือว่าต้องไปนอนเอ่อ
00:08:28 → 00:08:30 แล้วก็วัดคลื่นสมองเราพยายามที่จะมีพวก
00:08:31 → 00:08:33 นาฬิกานาฬิกออะไรขึ้นมาเพื่อจะดูว่าเอ่อ
00:08:33 → 00:08:37 เราหลับง่ายหลับยากแค่ไหนซึ่งณปัจจุบัน
00:08:37 → 00:08:40 นี้เนี่ยเราก็ยังใช้คำบอกเล่าของคนไข้
00:08:40 → 00:08:45 ก่อนค่ะเอ่อ Study ในที่ที่เราทำกันก็
00:08:45 → 00:08:47 เป็นเรื่องของ Sleep deprivation ก็คือ
00:08:47 → 00:08:49 ว่าเราอยากจะรู้ว่าคนไข้เนี่ยมีความรู้
00:08:50 → 00:08:51 สึกอดนอน
00:08:51 → 00:08:54 ค่ะเราก็ดูแบบสอบถามให้คนไข้กรอกมาแล้วก็
00:08:54 → 00:08:57 มาดูค่าเอ่อค่าเฉลี่ยแล้วก็ดูว่าค่าอัน
00:08:57 → 00:08:59 ไหนเนี่ยที่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องของ
00:08:59 → 00:09:01 เอ่อภาวะอดนอนและความรู้สึกว่าเรานอนไม่
00:09:01 → 00:09:05 พออเราก็เอ่อได้ข้อมูลออกมาว่ามันมีอยู่ 3
00:09:05 → 00:09:07 อย่างนะฮะอันที่ 1 ถ้าตื่นมาตอนเช้าแล้ว
00:09:07 → 00:09:10 เนี่ยรู้สึกว่าไม่สดชื่นนะครับงูเงีย
00:09:10 → 00:09:14 งูเงียอยู่อันที่ 2 เอ่อตอนตอนกลางวัน
00:09:14 → 00:09:17 เนี่ยรู้สึกง่วงนอนอนะครับอันที่ 3 เนี่ย
00:09:17 → 00:09:19 เป็นความรู้สึกที่ว่ามูดมันสวิงนะฮะคือ
00:09:19 → 00:09:22 อารมณ์มันแปลแปรปรวนแปรปรวนง่ายๆรู้สึก
00:09:22 → 00:09:24 หงุดหงิดง่ายนะฮะ 1 ใน 3 อันนี้เนี่ยเรา
00:09:24 → 00:09:28 ก็บอกได้ว่าอาจจะนอนไม่พอคุณหมอเอาจริงๆ
00:09:28 → 00:09:32 ตอนเช้าเลยเนี่ยเราตื่นมาเนี่ยมันควรจะ
00:09:32 → 00:09:35 แบบปิ๊งสดชื่นอย่างนั้นเลยล่ะคะสมควรครับ
00:09:35 → 00:09:37 สมควรอย่างยิ่งโอเรายังแต่ว่าเป็นไปไม่
00:09:37 → 00:09:39 ได้หรอกครับในโลกนี้เรายังอีกไกลอ่ะเรา
00:09:39 → 00:09:42 ยังไม่ได้แต่ว่าชีวิตคือการเดินทางมันคือ
00:09:42 → 00:09:45 การเดินทางระยะยาวอืไม่ใช่ว่าอะไรที่มัน
00:09:45 → 00:09:48 ผิดปกติวันนี้มันจะเป็นจะตายไม่ใช่อืร่าง
00:09:48 → 00:09:50 กายคนเรานี้มันปรับตัวได้ใช่มั้ฮะมันใช้
00:09:50 → 00:09:53 เวลาค่ะถ้าหากว่าใน 1 อาทิตย์อาจจะเป็น
00:09:53 → 00:09:55 สักวัน 2 วันก็ยังพอให้อภัยได้เพราะร่าง
00:09:55 → 00:09:58 กายสามารถปรับตัวกับมันได้อแต่ถ้าว่าเป็น
00:09:58 → 00:10:00 ทุกวันเลยแล้วก็รู้สึกว่าการงานเราชักจะ
00:10:00 → 00:10:03 เริ่มแย่ลงขับรถแล้วรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน
00:10:03 → 00:10:05 อ่ะตรงนั้นแหละฮะมีปัญหาใหญ่ละโรคนอนไม่
00:10:05 → 00:10:08 หลับเนี่ยเราก็แบ่งออกเป็นอีกเอ่อเป็น
00:10:08 → 00:10:11 หลายๆโรคเลยนะฮะแต่ว่าจริงๆแล้วเนี่ยพอ
00:10:11 → 00:10:13 เราพูดถึงโรคนอนไม่หลับก็คือโรค
00:10:13 → 00:10:16 อินซมเนีย่ะคือภาวะที่นอนไม่หลับเอ่ออัน
00:10:16 → 00:10:19 ที่ 1 เข้านอนปุ๊บกลิ้งไปกลิ้งมาใช่มั้ฮะ
00:10:19 → 00:10:23 อันที่ 2 นอนไปแล้วตื่นง่ายนะครับอือย่าง
00:10:23 → 00:10:26 ไรก็ตามถ้าหากว่าเป็นไปนานๆมากกว่า 6
00:10:26 → 00:10:29 เดือนนะครับเป็นไปแล้วเนี่ยมันกระทบกับ
00:10:29 → 00:10:32 ชีวิตประจำวันและการงานนะครับมีผลกับทาง
00:10:32 → 00:10:34 สุขภาพของเราเองทั้งทางด้านร่างกายและจิต
00:10:34 → 00:10:37 ใจตรงนั้นแหละฮะต้องรีบไปหาหมอละอืเพราะ
00:10:37 → 00:10:40 ว่าอาการของอินซมเนียหรือโรคนอนไม่หลับ
00:10:40 → 00:10:43 เนี่ยมันอาจจะเป็นประตูไปสู่โรคอื่นๆนะ
00:10:43 → 00:10:46 ครับอย่างคนไข้ depression คนไข้ซึมเศร้า
00:10:46 → 00:10:49 นะฮะ 30% ก็จะมาด้วยเรื่องของโรคหนับก่อน
00:10:49 → 00:10:52 นะฮะเราใช้คำว่าโรคนอนไม่หลับในเซนส์ที่
00:10:52 → 00:10:54 ว่าเป็นเรื่องของเรานอนไปแล้วรู้สึกนอน
00:10:54 → 00:10:57 ไม่พอนอนไม่ดีใช่มั้ครับแต่จริงๆแล้ว
00:10:57 → 00:10:59 เนี่ยทางการแพทย์พอพูดถึงนอนไม่หลับเรา
00:10:59 → 00:11:02 พูดถึงอินซเนียแต่การที่เราจะบอกว่าเรา
00:11:02 → 00:11:04 เป็นถึงโรคอซมเนียเนี่ยเราต้องไปดูโรค
00:11:04 → 00:11:07 อย่างอื่นก่อนว่ามันมีอะไรมั้ยอคุณหมอ
00:11:07 → 00:11:11 อย่างี้มันแปลว่านอนไม่หลับก็เลยซึมเศร้า
00:11:11 → 00:11:13 หรือซึมเศร้าแล้วนอนไม่หลับตรงนี้พูดยาก
00:11:13 → 00:11:17 ครับไกลกับใครไกลกับใครใช่แต่ว่ามันก็คือ
00:11:17 → 00:11:20 มันส่งมันชิ่งกันน่ะเนาะทั้งทั้ง 2 อย่าง
00:11:20 → 00:11:23 ใช่ใช่คืออย่างของของชมนะคะขออนุญาตแชร์
00:11:23 → 00:11:27 ก็คือว่ามันก็จะมีจุดที่เราสามารถตื่น
00:11:27 → 00:11:29 ก่อนนาฬิกาปลุกได้เพราะว่ามันเป็นเวลาที่
00:11:29 → 00:11:31 เหมือนกับว่าอ่ะทุกคนต้องตื่นต้องพาลูกไป
00:11:31 → 00:11:35 โรงเรียนต้องไปอะไรแต่ว่าก็รู้สึกว่าช่วง
00:11:35 → 00:11:36 ปีที่แล้วเนี่ยมันจะมีอยู่ช่วงนึงที่มัน
00:11:36 → 00:11:39 เพเฟคมากเลยคือตื่นรู้สึกตัวก่อนนาฬิกา
00:11:39 → 00:11:42 ปลุกแล้วก็ตื่นแบบตื่นเลยไม่ได้งวงเงีย
00:11:42 → 00:11:44 ไม่ได้อะไรแล้วก็ค่อนข้างจะแบบว่าสดใส
00:11:44 → 00:11:47 ทั้งวันซึ่งย้อนไปช่วงก่อนหน้าเนี้ยก่อน
00:11:47 → 00:11:49 ที่เราพยายามจะปรับไลฟ์สไตล์อะไรต่างๆ
00:11:49 → 00:11:52 อย่างเงี้ยค่ะคุณหมอมันก็จะมีช่วงที่แบบ
00:11:52 → 00:11:54 ตกบ่ายนี้คือมันแบบมันจะร่วงให้ได้เลย
00:11:54 → 00:11:57 อะไรเงี้ยแต่ว่าก็มีช่วงที่เรารู้สึก
00:11:57 → 00:12:00 เนี่ยแหละก็พัฒนาตัวเองอะไรมาจนมันรู้สึก
00:12:00 → 00:12:03 ว่าเออมันเพเfคแต่ว่าตอนเนี้ยช่วงเนี้ย
00:12:03 → 00:12:06 เริ่มกลับมารู้สึกว่าการตื่นไปส่งลูก
00:12:06 → 00:12:09 เนี่ยเริ่มเออเริ่มก็ไม่ได้ถึงกับทรมาน
00:12:09 → 00:12:12 แต่ว่าก็เริ่มเป็นปัญหาคือมันรู้สึกตัว
00:12:12 → 00:12:16 แต่ว่ามันไม่ได้เฟรชขนาดนั้นแล้วอะไร
00:12:16 → 00:12:18 อย่างเงี้ยมันมีปัจจัยอะไรที่เปลี่ยนแปลง
00:12:18 → 00:12:22 มั้ที่คุณโชก็อาจจะเหนื่อยก็อาจจะเหนื่อย
00:12:22 → 00:12:24 ขึ้นอาจจะมีบางเรื่องที่แถทำให้มันมัน
00:12:24 → 00:12:26 เหนื่อยขึ้นอะไรเงี้ยแต่ว่าถ้าสมมุติว่า
00:12:26 → 00:12:29 ร่างกายเรามันเป็นอย่างเงี้ยคุณหมอมันแปล
00:12:29 → 00:12:32 ว่าเราอยากนอนมากกว่านี้มั้ยจริงๆคือเรา
00:12:32 → 00:12:34 ต้องเพิ่มไปอีกสักชั่วโมงมั้ยหรือว่ายัง
00:12:34 → 00:12:36 ไงทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันต้องมีคำ
00:12:36 → 00:12:40 อธิบายค่ะใช่มั้ฮะมีเหตุและมีผลก็อย่าง
00:12:40 → 00:12:42 ที่คุณชมบอกว่าตอนแรกเนี่ยเปลี่ยน
00:12:42 → 00:12:44 ไลฟ์สไตล์แล้วทำให้นอนดีขึ้นคราวนี้
00:12:44 → 00:12:46 เปลี่ยนไลฟ์สไตล์นี่เปลี่ยนอะไรบ้างครับ
00:12:46 → 00:12:51 อือืมก็นอนตรงเวลาอ่าก็อืเริ่มเข้าใจ
00:12:51 → 00:12:53 เรื่องอะไร CCI rึมอะไรเงี้ยใช่มั้คะก็
00:12:54 → 00:12:57 พยายามเข้านอนตามเวลาเดิมออกกำลังกายอะไร
00:12:57 → 00:13:00 เงี้ยแต่ก็ก็รู้สึกแหละว่าจริงๆก็คือถ้า
00:13:00 → 00:13:03 สมมุติว่ามันมีงานที่
00:13:03 → 00:13:06 มันบีบเข้ามาด้วยอะไรเงี้ยคะเพราะว่างาน
00:13:06 → 00:13:08 เรามันจะไม่ได้เป็นแบบจันทร์ถึงศุกร์เป็น
00:13:08 → 00:13:10 เป็นรูทีนเป็นอะไรเงี้ยใช่มั้คะบางทีมัน
00:13:10 → 00:13:15 ก็จะเจอจังหวะที่แบบว่า 3-4 วันอาจเจองาน
00:13:15 → 00:13:17 ที่ต้องใช้เอเนอร์จีแบบมาอัดรวมกันอะไร
00:13:17 → 00:13:20 เงี้ยแล้วก็ออกกำลังกายก็ยังอยากทำให้ครบ
00:13:20 → 00:13:23 ตามตารางที่ลงเอาไว้อะไรอย่างเงี้ยเวท
00:13:23 → 00:13:25 ต้องครบคาร์ดิโอต้องครบต้องแบบอะไรเงี้ย
00:13:25 → 00:13:29 ก็บางทีก็รู้สึกว่าเอ๊ะหรือว่ามันพอมันมี
00:13:29 → 00:13:31 งานที่มันแบบแพ็คเข้ามาด้วยก็อาจจะทำให้
00:13:31 → 00:13:34 เราพลังงานเราไม่พอเออก็แปลว่าจริงๆเรา
00:13:34 → 00:13:36 ต้องการนอนเพิ่มขึ้นใช่มั้คะก็คือการนอน
00:13:36 → 00:13:38 ก็คือการสะสมพลังงานเพื่อต่อสู้กับวัน
00:13:38 → 00:13:41 ใหม่ด้วยใช่มั้ฮะแล้วก็สมองมันทั้งส่วน
00:13:41 → 00:13:43 ของร่างกายแล้วก็ส่วนของสมองด้วยใช่มที่
00:13:43 → 00:13:46 บอกว่าgrฮอร์โมนอะไรก็เป็นส่วนหนึ่งของ
00:13:46 → 00:13:48 การทำงานของฮอร์โมนในร่างกายเพื่อจะสะสม
00:13:48 → 00:13:52 พลังงานไว้สู้ในวันต่อไปเพื่อจะซ่อมแซมนะ
00:13:52 → 00:13:54 ฮะก็เหมือนกับสิ่งที่คุณชมบอกว่ามี
00:13:54 → 00:13:57 sympatic กับพasympatic sympatic บอก
00:13:57 → 00:14:00 เฮ้ยสู้พาซyบอกว่าเฮ้ยถอยช้าหน่อยช้า
00:14:01 → 00:14:03 หน่อยเพื่อจะได้ปรับปรุงทำทำการเปลี่ยน
00:14:03 → 00:14:06 แปลงในร่างกายให้สู้ต่อไปในวันหน้าคราว
00:14:06 → 00:14:09 นี้เนี่ยถ้าเกิดว่าคุณชมสู้แหลกเลยไม่มี
00:14:09 → 00:14:11 วันพักเลยพลังงานที่เหลือเนี่ยมันมีพลัง
00:14:11 → 00:14:14 งานสะสมนะฮะเราก็ยังสู้ต่อไปได้แต่เมื่อ
00:14:14 → 00:14:17 ถึงจุดๆหนแล้วเนี่ยมันหมดละค่ะเหมือนทหาร
00:14:17 → 00:14:20 ไปสู้รบกันเนี่ยไม่ไหวแล้วกระสุนก็หมดนะ
00:14:20 → 00:14:22 ฮะไม่มีอะไรเหลืออยู่คุณก็ต้องแพ้อยู่ดี
00:14:22 → 00:14:26 การแพ้ก็คือว่าตัวของเอ่อตัวต่อสู้เนี่ย
00:14:26 → 00:14:28 ไม่ไหวหมดอาวุธทุกอย่างแล้วคราวนี้คุณก็
00:14:28 → 00:14:31 จะแครชก็จะหลับตรงนี้เนี่ยมันเรื่องของ
00:14:31 → 00:14:34 การบริหารจัดการแล้วถ้าเราคิดว่าเราทำงาน
00:14:34 → 00:14:36 เราต้องรู้จักที่จะอยู่กับมันได้อย่าง
00:14:36 → 00:14:39 สันติสุขนะฮะในเรื่องของการงานแล้วก็
00:14:39 → 00:14:43 ชีวิตของส่วนตัวทำยังไงถึงจะอยู่ได้อย่าง
00:14:43 → 00:14:46 เป็นสุขที่สุดก็คืออย่าไปคิดมากนะฮะอย่าง
00:14:46 → 00:14:49 ที่ที่คุณชมบอกว่าฉันจะเอาหมดทุกอย่างเลย
00:14:49 → 00:14:52 วันไหนที่งานมันเยอะก็อาจจะลดเอ่อการทำ
00:14:52 → 00:14:55 งานลงไปนะครับวันไหนที่เบาๆหน่อยอ่ะวัน
00:14:55 → 00:14:58 นั้นเราก็เพิ่ม exercise ได้คือต้องเป็น
00:14:58 → 00:15:00 คนที่ flexible พอสมควรร่างกายเราเนี่ย
00:15:00 → 00:15:03 มัน flexible flexible อย่างมากๆค่ะไม่
00:15:03 → 00:15:06 ต้องถึงขั้นเป็น insomnia หรอกแต่ว่านอน
00:15:06 → 00:15:09 ไม่ดีบ่อยๆอย่างเงี้ยค่ะคุณหมออืเหมือน
00:15:09 → 00:15:12 กับว่าเราการนอนของเราแบบมันไม่ได้คุณภาพ
00:15:12 → 00:15:14 แล้วก็อาจจะไม่ได้ปริมาณด้วยเงี้ยครับผม
00:15:15 → 00:15:17 เป็นบ่อยๆเข้ามันส่งผลต่ออะไรบ้างคะก็จะ
00:15:17 → 00:15:19 เกิดภาวะที่เรียกว่าภาวะการอดนอนเมื่อ
00:15:19 → 00:15:24 ไหร่ที่นอนไม่พอนะครับก็จะส่งผลเต็มเลย
00:15:24 → 00:15:27 ค่ะซิมติต้องทำงานมากขึ้นใช่มั้ยฮะ
00:15:27 → 00:15:28 พาราซิมติกก็พยายามจะทำงานเหมือนกันแต่
00:15:28 → 00:15:32 แข่งสู้กับติไม่ได้ภาวะสมดุลในร่างกาย
00:15:32 → 00:15:36 เสียไปค่ะภาวะในสมดุลในร่างกายเสียไปเกิด
00:15:36 → 00:15:38 strสมากขึ้นอืstrสมากขึ้นเกิด
00:15:38 → 00:15:40 inflammation หรือว่าการอักเสบภายในร่าง
00:15:40 → 00:15:43 กายที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในหัวจดเท้าเลยใช่
00:15:43 → 00:15:47 มั้ฮะสมองก็รู้สึกไงความจำสมาธิก็ไม่ดี
00:15:47 → 00:15:49 การเรียนรู้ก็ไม่ดีความสามารถในการทำงาน
00:15:49 → 00:15:52 ประสิทธิภาพในการทำงานน้อยลงอันที่ 2
00:15:52 → 00:15:55 accident ค่ะใช่มั้ฮะพอคนที่นอนไม่พอก็
00:15:55 → 00:15:58 จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าmicครosleepหลับใน
00:15:58 → 00:16:00 ก็มีโอกาสที่จะเกิด accident มากขึ้นใช่
00:16:00 → 00:16:04 มั้ฮะอันที่ 3 ตัวเราเองอิมมูนเป็นยังไง
00:16:04 → 00:16:06 รู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้นอนมาสัก 3-4 วัน
00:16:06 → 00:16:08 เนี่ยนอน 3-4 ชั่วโมง 3-4 วันเนี่ยรู้สึก
00:16:08 → 00:16:11 แผ่วรู้สึกว่าหายใจเนี่ยร้อนๆนะรุ่นเนี้ย
00:16:11 → 00:16:15 นะอืรุ่นนี้แค่คืนเดียวคือถ้าเมื่อคืนนอน
00:16:15 → 00:16:20 ไม่ดีอ่ะคือมันรู้สึกทั้งวันเลยอือคือตอน
00:16:20 → 00:16:22 เด็กๆอ่ะเราอาจจะ get away ได้อเหมือน
00:16:22 → 00:16:26 เราแบบว่านอน 3-4 ช่มง 2-3 ชั่วโมงบางที
00:16:26 → 00:16:29 ตื่นขึ้นมาซัดกาแฟมันก็มันก็ทูซี้ไปได้
00:16:29 → 00:16:32 แต่รุ่นเนี้ยมันไม่ได้แต่ว่าจริงๆเรื่อง
00:16:32 → 00:16:34 นี้ที่คุณหมอพูดถึงเรื่อง information
00:16:34 → 00:16:36 ว่าอย่างนึงที่เห็นได้ชัดเลยนะคืออดนอน
00:16:36 → 00:16:39 แล้วจะต้องเป็นร้อนในหรือไม่ก็จะสิวขึ้น
00:16:39 → 00:16:42 อันเนี้ยง่ายๆเลยครับผมแต่ถ้าเป็นไปนานๆ
00:16:42 → 00:16:45 หลอดเลือดค่ะติดได้ใช่มั้ฮะก็เป็นโรคหัว
00:16:45 → 00:16:48 ใจความดันเบาหวานก็อาจจะมีโอกาสที่จะเป็น
00:16:48 → 00:16:50 มะเร็งเพิ่มมากขึ้นเพราะว่าอิมมูนของเรา
00:16:50 → 00:16:54 มันไม่ดีก็สารพัดโลกก็ตามมาครับแต่ที่แย่
00:16:54 → 00:16:56 ที่สุดคือประสิทธิภาพในการทำงานแล้วก็
00:16:56 → 00:16:58 ความเป็นอยู่ชีวิตความเป็นอยู่ในแต่ละวัน
00:16:58 → 00:17:03 นะฮะ deess เกิดความเอ่อตกกบฏได้ง่ายเป็น
00:17:03 → 00:17:05 พวกซึมเศร้าได้ง่ายครับค่ะอันเนี้ชมเคย
00:17:05 → 00:17:07 ฟังมาไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าคุณหมอเาบอก
00:17:07 → 00:17:09 ว่า
00:17:09 → 00:17:12 เอ่อมนุษย์คือมันมีเรื่องของ circadian
00:17:12 → 00:17:14 ตึ้มแหละแต่ว่าเบอกว่ามนุษย์แต่ละคนเนี่ย
00:17:14 → 00:17:18 มียีนของการแบบนอนกี่โมงเพราะว่ายีนของ
00:17:18 → 00:17:21 การนอนกี่โมงเออคือเขาเล่าว่าในยุคที่แบบ
00:17:21 → 00:17:23 ว่าเราเป็นคนป่าคนมนุษย์ถ้ำอะไรอย่าง
00:17:24 → 00:17:27 เงี้ยอืเราจะต้องแบบออกมาสลับกันเฝ้ากอง
00:17:27 → 00:17:32 ไฝอ่าใช่แล้วก็บรรพบุรุษที่แบบว่าเฝ้า
00:17:32 → 00:17:36 สมมุติว่า 2:00 น.ถึงอะไรอย่างเงี้ยเค้า
00:17:36 → 00:17:41 ก็จะเป็นคนที่เหมือนตื่นนอนตามแบบตาม
00:17:41 → 00:17:44 บรรพบุรุษแบบนั้นน่ะสืบสืบทอดกันมาอะไร
00:17:44 → 00:17:47 เงี้ยจริงมั้คะคุณหมออเอ่อเฮ้ยคลิปผมเอง
00:17:47 → 00:17:49 รือเปล่าวะเอ้าจริงเหรอคุณหมอเคยพูดด้วย
00:17:49 → 00:17:52 เหรอก็คืออย่างงี้เอ่อเรื่องของการนอน
00:17:52 → 00:17:55 เนี่ยเอ่อการจะบอกว่าเรานอนนอนเร็วนอนสาย
00:17:55 → 00:17:58 เนี่ยเป็นจีนจริงๆนะฮะเราก็เลยแบ่งคนออก
00:17:58 → 00:18:02 มาเป็น 3 จำพวกใช่มั้ฮะเป็นพวกอาวพวกนก
00:18:02 → 00:18:05 ฮูกพวกนี้นอนดึกเนาะคือเฝ้ากองไฟตอนดึก
00:18:05 → 00:18:08 อ่าใช่ๆแล้วก็กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่เอ่อ
00:18:08 → 00:18:12 ฟุ่มที่นอนตามปกติค่ะนะฮะนอนเอ่อตอนกลาง
00:18:12 → 00:18:15 คืนตื่นตอนเช้าและอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ
00:18:15 → 00:18:18 กลุ่มพวกนกที่ชอบร้องเพลงตอนเช้าๆนะฮะที่
00:18:18 → 00:18:21 ทำให้เราตื่นตอน 5:00 น.นี่แหละไอ้นกพวก
00:18:21 → 00:18:23 นี้แหละคือเข้านอนเร็วตื่นเร็วพวกนี้เป็น
00:18:23 → 00:18:26 เรื่องของเจนติกนะฮะคนมากกว่า 50% เนี่ย
00:18:26 → 00:18:28 จะเป็นพวกดัฟคือนอนตามปกติไปแต่ว่าจะ
00:18:29 → 00:18:30 กลุ่มนึงเนี้ยจะนอนเร็วอีกกลุ่มนึงเจะนอน
00:18:30 → 00:18:33 สายอย่างไรก็ตามในคนกลุ่มพวกนี้เนี่ยถ้า
00:18:33 → 00:18:36 นอนพอเขาก็โอเคยกว่าจะมียีนพิเศษอย่างพวก
00:18:36 → 00:18:39 DC2 ก็จะทำให้พวกนี้เอ่อในคนกลุ่มที่มี
00:18:39 → 00:18:42 DC2 ก็จะนอนได้น้อยกว่าปกตินอนได้น้อย
00:18:42 → 00:18:45 กว่าอืแล้วสมมุติอ่ะตอนนี้เขาชอบพูดกัน
00:18:45 → 00:18:47 ถึงเรื่องว่าใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับ CCAR
00:18:47 → 00:18:50 Rึมอะไรอย่างเงี้ยค่ะอสมมุติว่าเอากลุ่ม
00:18:50 → 00:18:56 อาวมาฝึกใช้ชีวิตตื่นเช้ามามองพระอาทิตย์
00:18:56 → 00:18:59 แล้วก็อะไรอย่างเงี้ยแบบใช้ชีวิตตาม
00:18:59 → 00:19:01 เซอร์cardเดี้นอะไรอย่างเงี้ยเค้าจะแบบ
00:19:01 → 00:19:03 ว่านอนเหมือนคนปกติได้มั้ยคะว้าวอันนี้มี
00:19:03 → 00:19:06 งานวิจัยที่ทำมาเหมือนกันนะฮะเราพยายาม
00:19:06 → 00:19:09 ที่จะเปลี่ยนเราคิดว่าทุกสิทุกสิ่งทุก
00:19:09 → 00:19:12 อย่างในร่างกายเราเนี่ยฝึกได้ค่ะเอ่อถ้า
00:19:12 → 00:19:14 เราเอาคนกลุ่มนั้นมาเนี่ยเอามาฝึกเนี่ยผล
00:19:14 → 00:19:18 เนี่ยมันค่อนข้างจะfaี่มากเลยอืบางบางคน
00:19:18 → 00:19:21 ก็ฝึกฝึกได้บางคนก็ฝึกไม่ได้คราวนี้มันก็
00:19:21 → 00:19:24 เกิดคำถามว่าแล้วยังไงวะเนี่ยว่าเรารู้
00:19:24 → 00:19:26 ได้ไงว่าไอ้คนนี้มันเป็นอตัวจริงใช่มั้ย
00:19:26 → 00:19:29 เพราะอานี่ส่วนมากมันเป็นเรื่องของ
00:19:29 → 00:19:32 environment เป็นเรื่องของการฝึกฝนค่ะ
00:19:32 → 00:19:34 เพราะว่าเราเนี่ยมีแนวโน้มตั้งแต่เราตอน
00:19:34 → 00:19:37 ที่เราเรียนสมัยมัธยมเป็นไงฮะเราเริ่มนอน
00:19:37 → 00:19:40 ดึกตื่นก็ต้องตื่นเช้าเนี่ยรถติดใช่มั้ฮะ
00:19:41 → 00:19:44 เรากลายเป็นอาวไปกลายๆละกลุ่มนี้เนี่ย
00:19:44 → 00:19:46 เป็นไปได้มั้ยที่ไอ้งานวิจัยต่างๆเนี่ย
00:19:46 → 00:19:48 เอามาบอกว่าสามารถจะฝึกได้เนี่ยมันก็คือ
00:19:48 → 00:19:51 กลุ่มที่มันไม่ใช่หรอกแต่ว่าเป็นกลุ่มที่
00:19:51 → 00:19:54 เปลี่ยนแปลง Environment ใช่แต่ถ้าถามว่า
00:19:54 → 00:19:58 ฝึกได้มยมีแนวโน้มที่จะทำได้เพราะว่าทุก
00:19:58 → 00:19:59 อย่างในร่างกายของคนเราเนี่ยมันเปลี่ยน
00:19:59 → 00:20:03 แปลงเอ่อไปได้โดยจีนจีนเนี่ยมันเปลี่ยน
00:20:03 → 00:20:06 แปลงไปตามสิ่งแวดล้อมได้นะฮะตอนนี้เรารู้
00:20:06 → 00:20:10 ละเราเรียกว่า epigenetic ผมคิดว่ามัน
00:20:10 → 00:20:12 เป็นเรื่องของไอ้การที่เราจะนอนเวลาไหน
00:20:12 → 00:20:14 ตื่นเวลาไหนอาจจะเป็นเรื่องของ
00:20:14 → 00:20:16 Environment ซะมากกว่าเรื่องของ Social
00:20:16 → 00:20:18 กับ Environment ค่ะว่าเราต้องการที่ต้อง
00:20:18 → 00:20:20 ทำทำมากน้อยแค่ไหนอย่างเงี้ยหมายความว่า
00:20:20 → 00:20:25 คนที่เหมือนเขาต้องทำงานกะกลางคืนหรือว่า
00:20:25 → 00:20:27 ด้วยอาชีพด้วยอะไรอย่างเงี้ยคุณหมอเขา
00:20:27 → 00:20:31 ต้องเป็นอ่าวอือๆกลางวันเ้าต้องใช้ชีวิต
00:20:31 → 00:20:35 ยังไงคะต้องนอนต้องนอนเพราะไม่งั้นเค้าก็
00:20:35 → 00:20:38 ไม่มีไม่มีโอกาสที่จะพักผ่อนได้เลยอืคือ
00:20:38 → 00:20:40 คนกลุ่มนี้เนี่ยเป็นกลุ่มที่น่าสงสารเรา
00:20:40 → 00:20:43 เรียกว่า Shift Work disorder นะฮะพวก
00:20:43 → 00:20:45 ที่ทำงานเป็นกะกลุ่มนี้เนี่ยถ้าเราเอามา
00:20:45 → 00:20:48 ทำ study ดูเนี่ยดูว่าในระยะยาวซึ่งเมือง
00:20:48 → 00:20:50 ไทยเราไม่มีเราต้องไปเอาdata้าจากต่าง
00:20:50 → 00:20:53 ประเทศเเราพบว่าในคนกลุ่มนี้เนี่ยมีโอกาส
00:20:53 → 00:20:55 ที่อันที่ 1 อ้วนได้ง่ายกว่าชาวบ้านเอัน
00:20:55 → 00:20:58 ที่ 2 มีโอกาสเป็นโรคเป็นโรคเบาหวานความ
00:20:58 → 00:21:02 ดันตายก่อนก่อนคนอื่นเขานะฮะในกลุ่มนี้
00:21:02 → 00:21:06 เนี่ยมันมีปัญหาเป็นเพราะว่าเค้าคงจะ
00:21:06 → 00:21:09 พยายามจะปรับตัวแล้วแต่ว่ามันอาจจะextrม
00:21:09 → 00:21:12 มันเกินไปกว่าที่ร่างกายมันจะทนไหวค่ะนะ
00:21:12 → 00:21:15 ฮะเพราะว่าอ่ะอย่างที่เขาบอกว่าพอเราตื่น
00:21:15 → 00:21:18 มาแล้วเหมือนเราเห็นพระอาทิตย์อย่างเงี้ย
00:21:18 → 00:21:20 ใช่มั้คะอร่างกายเราก็จะรู้แล้วว่า
00:21:20 → 00:21:23 คอร์ตซอต้องมานะเมลาโทนินต้องมากี่โมงกี่
00:21:23 → 00:21:27 โมงเงี้ยแล้วพอถึงเวลาเาเจะหลับได้อืมอ่ะ
00:21:27 → 00:21:29 เพราะว่าก็เห็นพระอาทิตย์แล้วอะไรอย่าง
00:21:29 → 00:21:31 เงี้ยพวกนี้มันเรื่องของเcardนนะฮะ
00:21:31 → 00:21:33 เcardี้นนี่คือมันขึ้นไปตามพระอาทิตย์ค่ะ
00:21:33 → 00:21:37 เพราะว่าเรื่องของฮอร์โมนอุณหภูมิร่างกาย
00:21:37 → 00:21:40 เมลาโตนินพวกนี้เนี่ยมันจะไปตามไซเคิลตาม
00:21:40 → 00:21:42 ภาซึ่งแปลว่าการที่เขาต้องหลับตอนกลางวัน
00:21:42 → 00:21:45 อย่างเงี้ยการหลับเ้ามันก็มันก็มันก็ขัด
00:21:45 → 00:21:46 กับหลักธรรมชาติ
00:21:46 → 00:21:49 มันก็ใช่ๆมันก็จะเป็นการนอนที่ไม่มี
00:21:49 → 00:21:52 คุณภาพมั้ยคุณหมอใช่ครับอใช่แล้วพวกนี้
00:21:52 → 00:21:55 เนี่ยมันเป็นระยะยาวนะฮะคือการสะสมเหมือน
00:21:55 → 00:21:58 กับน้ำเราไปเติมน้ำในแก้วเปล่าแก้วเปล่า
00:21:58 → 00:22:02 เป็นร่างกายเราน้ำเป็นโรคนะวันแรกๆเติม
00:22:02 → 00:22:05 เข้าไปก็ยังโอเคอยู่มันก็อยู่ในแก้วทนได้
00:22:05 → 00:22:07 แต่เมื่อไหร่ที่น้ำมันล้นแก้วแล้วเนี่ย
00:22:07 → 00:22:11 แค่หยดเดียวมันก็เกิดเรื่องละเปียกหมดนะ
00:22:11 → 00:22:16 ฮะอร่างกายของคนเราก็ทำได้สู้ได้ในระดับ
00:22:16 → 00:22:18 เพราะฉะนั้นเนี่ยเราต้องวางแผนก็ต้องปรับ
00:22:18 → 00:22:20 ตัวฮะก็คือเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ
00:22:20 → 00:22:23 อย่างที่ที่เรียนให้ทราบฮะอกลับมาที่
00:22:23 → 00:22:26 เรื่องการนอนดีกว่าคะคุณหมอการนอนมันมี
00:22:26 → 00:22:30 กี่เค้าเรียกว่าอะไรอ่ะกี่ระยะกี่เฟสกลไก
00:22:30 → 00:22:32 ของการนอนเป็นยังไงบ้างคะอคือถ้าเราจะพูด
00:22:32 → 00:22:35 ถึงกลไกในการนอนนะฮะก็เป็นโอนนี่เรื่อง
00:22:35 → 00:22:38 ใหญ่เลยแต่ถ้าถามว่ามันมีเป็นกี่เฟสไปตาม
00:22:38 → 00:22:41 คลื่นไฟฟ้าสมองค่ะมันก็จะมีเรื่องของ non
00:22:41 → 00:22:43 rem กับ rem sleep ใช่มั้ยฮะตัวเรม
00:22:43 → 00:22:46 sleep ชื่อมันก็บอกว่าบอกอยู่แล้วมัน
00:22:46 → 00:22:50 Rapid eye movement rapid เร็ว ey ตา
00:22:50 → 00:22:53 Movement เมื่อไหร่ที่เรานอนแล้วตรวจดู
00:22:53 → 00:22:56 คลื่นสมองแล้วมันเป็นไปตามการนอนแต่ตามัน
00:22:56 → 00:22:59 กระตุกไปมาตรงนั้นน่ะเราเรียกว่า R Sleep
00:22:59 → 00:23:01 เราคิดว่า R Sleeve เนี่ยเป็นช่วงของ mm
00:23:01 → 00:23:04 เครื่องเรื่องของการถ่ายเทความทรงจำความ
00:23:04 → 00:23:07 ทรงจำระยะสั้นไปสู่ระยะยาวแล้วมีanาลalิ
00:23:07 → 00:23:10 มีการวิเคราะห์นะฮะเราถ้าเราคิดว่าการ
00:23:10 → 00:23:13 วิเคราะห์เรื่องต่างๆเนี่ยจะต้องทำตอน
00:23:13 → 00:23:16 กลางวันไม่ใช่มันทำถึงตอนกลางคืนด้วยอ
00:23:16 → 00:23:19 อย่างพวกเด็กผมต้องบอกพวกเด็กนักเรียนของ
00:23:19 → 00:23:22 เราเสมอฮะว่าการอ่านหนังสือสอบเนี่ยไป
00:23:22 → 00:23:25 อ่านก่อนวันนึงก่อนสอบเนี่ยไร้ค่าสิ้นดี
00:23:25 → 00:23:28 ยูไปนอนซะดีกว่าใช่มั้ยฮะเพราะยูต้องการ
00:23:28 → 00:23:30 อะไรยูต้องการ rem sleeve เพื่อเอามา
00:23:30 → 00:23:33 process ไอ้ตัว memory ของ rem sleeve
00:23:33 → 00:23:35 เป็นส่วนที่สำคัญในเรื่องของ memory และ
00:23:35 → 00:23:36 ความฝันนะฮะความฝันก็เป็นเรื่องของ
00:23:37 → 00:23:39 decoding coding เป็น encryption ของ
00:23:39 → 00:23:42 สมองอย่างนึงค่ะคราวนี้เนี่ยไอ้ช่วงที่ 2
00:23:42 → 00:23:45 ก็คือเอ่อเอ่อ non R sleep นะฮะจริงๆ
00:23:45 → 00:23:48 แล้วมันเป็นช่วงแรกคือการนอนของเราของคน
00:23:48 → 00:23:49 เราเนี่ยมันจะเริ่มจาก non Rem Sleep
00:23:49 → 00:23:53 ก่อนเป็นสage 1 2 3 ถึงหมอนปึ๊บอ่าพอ
00:23:53 → 00:23:56 เริ่มไปละอันนี้ก็คือ non REM ทันทีเลย
00:23:56 → 00:23:57 ใช่มั้ Non non Rem ครับเพราะว่าคลื่น
00:23:58 → 00:24:00 สมองเนี่ยเวลาที่เราตื่นเนี่ยมันควรจะ
00:24:00 → 00:24:03 เป็นไงความถี่ก็จะเยอะใช่มั้ฮะพอเราเริ่ม
00:24:03 → 00:24:05 นอนแล้วเนี่ยความถี่มันก็เริ่มช้าลงเราก็
00:24:05 → 00:24:08 เลยสามารถที่จะแยกได้จากการดูตรวจดู
00:24:08 → 00:24:12 เรื่องของการนอนค่ะพอมันเข้า N1 N1 นี่
00:24:12 → 00:24:14 เป็นช่วงหลับๆตื่น N2 เนี่ยคือช่วงการนอน
00:24:14 → 00:24:18 ทั่วไปนะฮะพอ N3 ก็คือการนอนหลับแบบลึก
00:24:18 → 00:24:20 เราบอกว่า Deep Sleep เพราะว่าในช่วงนี้
00:24:20 → 00:24:23 เนี่ยเป็นช่วงที่ร่างกายเนี่ยเริ่มมีการ
00:24:23 → 00:24:26 เอ่อหลั่งพวกโสธาร์โมนGRมนมันเริ่มจาก
00:24:26 → 00:24:29 เอ่อตอนที่เราหลับใหม่ๆนะฮะเอ่อแต่ว่ามัน
00:24:29 → 00:24:32 อยู่ได้ไม่นานอยู่ได้ประมาณซัก 1 1 ใน 3
00:24:32 → 00:24:36 ของการนอนก็เริ่มหายไปละค่ะคราวนี้เนี่ย
00:24:36 → 00:24:38 ทุกๆ 90 นาทีเนี่ยก็จะมีการเปลี่ยนจาก non
00:24:38 → 00:24:41 REM เป็น rem sleep แล้ว remleep มันก็
00:24:41 → 00:24:42 จะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:24:42 → 00:24:45 ตอนก่อนที่เราจะตื่นตอนเช้าเนี่ยเราจะฝัน
00:24:45 → 00:24:47 สนุกเลยอืใช่มั้ฮะเพราะว่าเรมลีepมันจะ
00:24:47 → 00:24:49 มากขึ้นแต่จริงๆก่อนหน้าเนี้ยเราก็มีเรม
00:24:49 → 00:24:52 sleep มาทั้งคืนแล้วใช่ฮะทุกๆ 90 นาที
00:24:52 → 00:24:53 อันนี้ที่เขาเรียก sleep cycle ป่ะคะคุณ
00:24:53 → 00:24:55 บอกเวลาเวลาที่อยู่ในแหวนอยู่ในอะไรอย่าง
00:24:55 → 00:24:58 เงี้ยใช่ๆก็เป็นอย่างงั้นฮะแต่ว่าในแหวน
00:24:58 → 00:25:00 เนี่ยตอนนี้เนี่ยมันก็พยายามที่จะแบ่งออก
00:25:00 → 00:25:04 เป็นแค่เอ่อ Deep Sleep กับเอ่อเป็น
00:25:04 → 00:25:06 Superficial Sleep แล้วก็เป็นเอ่อ R
00:25:06 → 00:25:11 Sleep นะฮะแบ่งเป็น 3 อย่างค่ะแล้ว
00:25:11 → 00:25:15 ในแบบการหลับที่ดีในอุดมคติอ่ะค่ะควรจะมี
00:25:15 → 00:25:17 Deep EP sleep กี่ชั่วโมงคะคุณหมอ Deep
00:25:17 → 00:25:21 EP sleep เนี่ยก็ประมาณเอ่อที่ซัก 20%
00:25:21 → 00:25:24 นะฮะเรานอนถ้าตีซะว่าเรานอน 8 ชม. 20%
00:25:24 → 00:25:27 เอ่อก็คือ 1 ใน 1 ใน 5 ก็ประมาณสัก
00:25:27 → 00:25:30 ชั่วโมงกว่าชั่วโมงกว่าก็หรูแล้วก็หรู
00:25:30 → 00:25:33 แล้วครับผมแล้วถ้าเกิดสำหรับคนที่อายุ
00:25:33 → 00:25:37 เอ่อมากกว่ามากกว่า 18 ปีนะฮะก็น่าจะโอเค
00:25:37 → 00:25:39 อยู่แล้วถ้าได้มากกว่านี่ถือว่าเยอะไปมั้
00:25:39 → 00:25:43 คะ EP Sleep เราไม่รู้ฮะว่ามันจะดีมั้ย
00:25:43 → 00:25:46 แต่เรารู้ว่าในคนที่เอ่อนั่งสมาธิทำสมาธิ
00:25:46 → 00:25:48 บ่อยๆเนี่ยอาจจะมี Slip ที่เพิ่มมากขึ้น
00:25:48 → 00:25:51 ได้อ่านะครับแต่ว่าความหมายของมันเนี่ย
00:25:51 → 00:25:54 มันมีประโยชน์มยเราไม่ดูค่ะแล้วไซเคิลล่ะ
00:25:54 → 00:25:57 คะคุณบควรจะได้กี่ไซเคิลไซเคิลก็ 4-5
00:25:57 → 00:26:01 ไซเคิล 4-5 ไซเคิลอือเพราะฉะนั้นแน่นอน
00:26:01 → 00:26:04 นอน 3 ช่มงไม่มีทางได้ 4-5 ไซเคิลครับผม
00:26:05 → 00:26:07 เวลาเรานอนดึกติดต่อกันหลายๆวันอย่าง
00:26:07 → 00:26:09 เงี้ยค่ะหรือไม่ต้องติดต่ออะไรวะหรอก
00:26:09 → 00:26:12 สมมุติเมื่อคืนนอนดึกอย่าเงี้ยอือแล้ววัน
00:26:12 → 00:26:15 เนี้เรามานอนชดเชยเอาอย่างเงี้ยมาแบบว่า
00:26:15 → 00:26:18 ใช้หนี้มันมันช่วยได้ใช่มั้คะได้แน่นอน
00:26:18 → 00:26:21 เลยฮะคือเรื่องของหนี้การนอนก็มีการศึกษา
00:26:21 → 00:26:23 กันเยอะเหมือนกันนะฮะเรื่องของ sleep
00:26:23 → 00:26:25 Sipet เนี่ยก็แบ่งออกมาเป็นเรื่องของ
00:26:25 → 00:26:29 หนี้แบบชั่วคราวหนี้แบบเอ่อเอ่อเกิดขึ้น
00:26:29 → 00:26:33 แบบในระยะสั้นๆกับหนี้ระยะยาวนะฮะทั้ง 2
00:26:33 → 00:26:37 อันนี้เนี่ยมันก็ส่งผลเสียให้กับร่างกาย
00:26:37 → 00:26:40 เหมือนกันแต่ว่าเป็นในลักษณะที่ว่ามันมาก
00:26:40 → 00:26:44 และน้อยต่างกันนะฮะทำไปนานๆมีนี่ต้องอด
00:26:44 → 00:26:46 หลับอดนอนไปนานๆอันนั้นถึงตายได้ใน
00:26:46 → 00:26:50 ญี่ปุ่นใช่มั้ยฮะก็เอ่อแต่ว่าถ้าหากว่า
00:26:50 → 00:26:54 เดี๋ยว 3-4 วันอดนอนแล้วไปนอนเพิ่มเติมใน
00:26:54 → 00:26:57 วันเสาร์อาทิตย์อ่าอย่างนั้นน่ะก็พออยู่
00:26:57 → 00:27:00 ได้เราเรียกว่า Sleep Recovery อืโดยมาก
00:27:00 → 00:27:02 แล้วเนี่ยเอ่อในสดี้ต่างๆที่เอามารวมกัน
00:27:02 → 00:27:05 แล้วเรามารีวิวเนี่ยเราพบว่าประมาณซักถ้า
00:27:05 → 00:27:08 สมมุติว่าเราเรานอนหายไป 1 ช่โมงเราอาจจะ
00:27:08 → 00:27:11 ใช้เวลาประมาณสัก 4 วันที่จะฟื้นฟูหู
00:27:11 → 00:27:14 อย่างสมมุติว่าคุณชมอดนอนไปสัก 4 วันค่ะ
00:27:14 → 00:27:17 เราไปวัดเอ่อค่าของอดนอนนี่คือหมายถึงว่า
00:27:17 → 00:27:22 คือลดลดเวลานอนใช่ๆที่ทำมาส่วนมากจะใช้
00:27:22 → 00:27:24 เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงสมมุติว่าเอาคุณชม
00:27:24 → 00:27:27 มานอน 3-4 ช่มงนะฮะภายในเวลา 5 วันแล้วก็
00:27:27 → 00:27:30 ไปวัดดูว่าค่าการอักเสบเนี่ยเราเรียกว่า
00:27:30 → 00:27:33 CRP มันมากน้อยแค่ไหนใช่มั้ยฮะคราวนี้
00:27:33 → 00:27:36 เนี่ยเอ่อถ้ามันไอ้ค่า CRP นี้มันจะเพิ่ม
00:27:36 → 00:27:39 ขึ้นเวลาที่คุณชมอบนอนคราวนี้คุณชมก็ไป
00:27:39 → 00:27:43 นอนพอไปนอนสัก 3-4 วันนอนมากขึ้น 2
00:27:43 → 00:27:46 ชั่วโมง 4 ช่มง 5 ช่โมงไปปรากฏว่ามันใช้
00:27:46 → 00:27:48 เวลาเป็นอาทิตย์กว่าที่มันจะกลับมาเป็น
00:27:48 → 00:27:52 ปกติถึงแม้ว่าชั่วโมงมันจะทบไปใช่ครับคือ
00:27:52 → 00:27:55 ผลกระทบเนี่ยมันเป็นระยะเวลายาวนานอ๋อคือ
00:27:55 → 00:27:58 ไม่ใช่ว่าแกอดนอน 4 ช่โมงแล้ววันนี้มา
00:27:58 → 00:28:00 เพิ่มอีก 4 ช่โมงแล้วจะแบบว่าใช้หนี้กัน
00:28:00 → 00:28:03 ได้อะไรเงี้ยไม่ใช่ในบางเรื่องใช่แต่ว่า
00:28:03 → 00:28:05 เอ่อร่างกายเราเนี่ยมันค่อนค่อนข้างจะ
00:28:05 → 00:28:07 complex ใน system แต่ละ system เนี่ย
00:28:07 → 00:28:10 มันทำงานต่างกันออันนี้เขาบอกว่านอนกลาง
00:28:10 → 00:28:14 วันน่ะมันจะช่วยแบบชะลอความแก่ของสมองทำ
00:28:14 → 00:28:16 ให้สมองดีขึ้นจริงมั้คะคุณหมออันนี้มี
00:28:16 → 00:28:18 study ที่บอกจริงฮะจริงในเรื่องของความ
00:28:18 → 00:28:21 สงทรงจำแล้วก็เรื่องของสมาธิที่Powerา
00:28:21 → 00:28:23 อย่างเงี้ยล่ะคุณอ่าใช่มีเรื่องน้ำหนัก
00:28:23 → 00:28:26 ของสมองมันจะมากขึ้นถ้าหากว่าเรางีบหลับ
00:28:26 → 00:28:29 แต่จริงๆแล้วเนี่ยคนที่จะได้ประโยชน์จาก
00:28:29 → 00:28:31 การงีบหลับมากที่สุดคือคนที่นอนไม่พอค่ะ
00:28:32 → 00:28:34 สมมุติว่าคนที่นอน 4 4 ช่โมง 5 ช่โมง
00:28:34 → 00:28:36 แล้วไปงีบหลับตอนกลางวันนะฮะคนกลุ่มนี้
00:28:36 → 00:28:39 เนี่ยจะได้ประโยชน์สูงสุดค่ะนะครับแต่คน
00:28:39 → 00:28:42 ที่นอนพอแล้วนอน 8 ชม. 9 ช 10 ชั่วโมงไป
00:28:42 → 00:28:44 แล้วแล้วยังต้องนอนงีบตอนกลางวันอีกในคน
00:28:44 → 00:28:47 กลุ่มนี้เนี่ยมีปัญหาละเพราะว่าอ๋อแสดง
00:28:47 → 00:28:49 ว่าเหนื่อยเกินใช่มั้การนอนไม่มีคุณภาพ
00:28:49 → 00:28:51 ใช่ครับใช่หรือว่าร่างกายเ้าเนี่ยมัน
00:28:52 → 00:28:55 ชาร์จแบตเตอรี่ไม่ไหวอืแบตเสื่อมแบต
00:28:55 → 00:28:56 เสื่อมหรือว่ามันต้องใช้พลังงานมากในการ
00:28:56 → 00:28:59 ซ่อมแซมแล้วมันซ่อมไม่ไหวคนแก่ที่มีโรค
00:28:59 → 00:29:03 หัวใจใช่มั้ฮะอย่างคุณปู่คุณย่าของเราที่
00:29:03 → 00:29:06 ไม่ค่อยสบายเอ่อเอ่อไม่ต้องถึงขนาดติด
00:29:06 → 00:29:09 เตียงยังพอเดินได้ท่านจะชอบนอนกลางวัน
00:29:09 → 00:29:12 เป็นประจำอืใช่ค่ะซึ่งจริงๆก็ดีใช่มั้คะ
00:29:13 → 00:29:15 ดีสำหรับก็ดีสำหรับท่านนะฮะแต่ว่าเราก็
00:29:15 → 00:29:17 รู้ว่ามันก็เป็น process ของร่างกายของ
00:29:17 → 00:29:20 เราไม่ต้องไปยับยั้งไม่ต้องไปนั่นหรอกฮะ
00:29:20 → 00:29:22 ว่าไม่ต้องไปบอกว่าเฮ้ยออกกำลังกายเยอะๆ
00:29:22 → 00:29:24 ท่านจะได้แข็งแรงยุคเว้นท่านจะเป็นโรค
00:29:24 → 00:29:26 พวกleแอเนี่ยหยุดหายใจในระหว่างการนอน
00:29:26 → 00:29:30 หลับคนกลุ่มนี้เนี่ยแค่ใส่เครื่องช่วยหาย
00:29:30 → 00:29:32 ใจก็อาจจะทำให้นอนได้มีประสิทธิภาพมาก
00:29:32 → 00:29:36 ขึ้นนะฮะกระฉับกระเฉงมากขึ้นในกลุ่มคนที่
00:29:36 → 00:29:39 เอ่องีบหลับนะฮะก็ต้องก็ต้องระวังหน่อยนะ
00:29:40 → 00:29:42 ครับปัจจุบันนี้เราเชื่อว่าการเงียบหลับ
00:29:42 → 00:29:44 เนี่ยคุณจะนอนอยู่ที่ประมาณ 20-40 นาที
00:29:44 → 00:29:48 ต่อวันนะฮะต่อ sess ต่อ sess แล้วไม่ควร
00:29:48 → 00:29:51 จะเกิน 2:00 น. 14:00 น.หมายถึงว่าหลัง
00:29:51 → 00:29:53 14:00 น.ก็จะไม่ควรจะนอนแล้วใช่เพราะ
00:29:53 → 00:29:56 อะไรเพราะว่าคุณก็ไปกระทบกับเอ่อกลไกการ
00:29:56 → 00:29:58 นอนในวันนั้นๆต่อใช่มั้คุณก็นอนไม่หลับ
00:29:58 → 00:30:01 ตอนตอนกลางคืนค่ะการที่เราจะนอน 20-40
00:30:01 → 00:30:03 นาทีก็เพราะว่ามันมีภาวะอีกอันนึงเรียก
00:30:03 → 00:30:06 ว่า sleep inner sheer ภาวะเฉื่อยในการ
00:30:06 → 00:30:10 นอนอืคือภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นถ้าคุณถ้า
00:30:10 → 00:30:14 ถ้าคุณชมไปนอนนอนเสร็จปุ๊บเอ่อประมาณสัก
00:30:14 → 00:30:17 40 นาทีแล้วเราไปปลุกคุณชมให้ตื่นก่อน
00:30:17 → 00:30:20 ที่มันจะเข้าเรม sleep ค่ะคุณชมมีโอกาส
00:30:20 → 00:30:22 ที่จะตื่นมาแล้วรู้สึกกระฉับกระเฉงมาก
00:30:22 → 00:30:24 กว่าที่จะเข้าไปแล้วก็หลับแล้วมี sleep
00:30:24 → 00:30:27 เข้า 90 นาทีrม sleep ในระหว่าง sleep
00:30:27 → 00:30:29 เนี่ยคุณอาจจะตื่นขึ้นมาก่อนอันเนี้ยจะ
00:30:30 → 00:30:32 เกิดภาวะเรียกว่า sleep innerชียซึ่งจะทำ
00:30:32 → 00:30:35 ให้เกิดอาการโงเงียเพลียขึ้นมาอีกอยากนอน
00:30:35 → 00:30:38 ต่อขึ้นไปอีกอืใช่เพราะสังเกตว่าถ้านอน
00:30:38 → 00:30:42 กลางวันแล้วแบบนอนนานๆน่ะแบบงีบแบบเกิน 2
00:30:42 → 00:30:44 ชั่วโมงทีเนี้ยมันจะไม่อยากตื่นมันจะอยาก
00:30:44 → 00:30:49 แบบไปต่ออืบางทีเราจะชอบพูดว่าคืนนี้หลับ
00:30:49 → 00:30:53 สนิทมากไม่ฝันฝันเลยแปลว่าดีหรือไม่ดีคะ
00:30:53 → 00:30:55 คุณหมอเพราะว่า rem sleep ก็สำคัญการที่
00:30:55 → 00:30:58 เราจำความฝันได้เนี่ยไม่ไม่ดีนะฮะเพราะ
00:30:58 → 00:31:00 ว่าถ้าเราจำความฝันได้บ่อยๆและฝันซ้ำๆ
00:31:00 → 00:31:03 เนี่ยอาจจะมีมีปัญหาเรื่องของdemiชีย
00:31:03 → 00:31:05 เรื่องของสมองเสื่อมได้อ้าเหรอคะนะฮะอย่า
00:31:05 → 00:31:09 ลืมว่าเอ่อความฝันคนเราเนี่ยมันเกิดใน
00:31:09 → 00:31:11 ช่วงของ rem sleep เป็นส่วนใหญ่ไอ้ช่วง
00:31:11 → 00:31:13 ของ rem sleep เนี่ยเป็นการถ่ายเทความ
00:31:13 → 00:31:16 ทรงจำความทรงจำไหนที่เราไม่ได้มีคุณค่า
00:31:16 → 00:31:19 ที่จะจำมันก็จะหายไปค่ะเพราะว่าเรามี
00:31:19 → 00:31:22 เมoryที่จำกัดอยู่แล้วสมองเราจะแยกได้หรอ
00:31:22 → 00:31:24 ว่าต้องจำหรือไม่จำเรื่องอะไรก็อันนั้น
00:31:24 → 00:31:26 เรามี AI อยู่ในสมองก็ขึ้นกับว่าเรา
00:31:26 → 00:31:29 โปรแกรมสมองเราไปยังไงในอดีตนะฮะก็คือเรา
00:31:29 → 00:31:32 ก็ต่างคนก็ต่างมีอัลกอริึมของตัวเองเลือก
00:31:32 → 00:31:33 ว่าจะจับจดจำเรื่องอะไรใช่ซึ่งตรงนี้
00:31:33 → 00:31:36 เนี่ย Meditation อาจจะไปช่วยได้คือความ
00:31:36 → 00:31:39 มีสติใช่มั้ยฮะถ้าคุณฝึกทุกวันมีสติอยู่
00:31:39 → 00:31:41 ทุกวันคุณก็อาจจะรู้ว่าสิ่งที่ไหนควรจะจำ
00:31:41 → 00:31:45 คุณสิ่งที่ไหนควรจะลืมอือืออ๋อถ้าถ้าจำ
00:31:45 → 00:31:49 ความฝันได้นี่คือไม่ดีไม่ค่อยดีนะฮะอใช่อ
00:31:49 → 00:31:51 แต่ว่าตื่นมาปุ๊บแล้วจำได้ว่าเมื่อกี้ฝัน
00:31:51 → 00:31:53 เรื่องอะไรแต่ว่าพอตกบ่ายแล้วลืมอย่าง
00:31:53 → 00:31:54 เงี้ยไม่ต้องตกบ่ายเลยฮะแค่ครึ่งชั่วโมง
00:31:54 → 00:31:55 ก็ไป
00:31:55 → 00:31:59 ละไม่น่าจะรอดนะครับถ้าเจอเลขเด็ดอะไร
00:31:59 → 00:32:01 ขึ้นมาต้องรีบจดเลยนะครับเออคุณหมอแล้ว
00:32:01 → 00:32:05 มันจะมีอย่างี้ด้วยนะอือคือชมอ่ะจะชอบฝัน
00:32:05 → 00:32:07 ว่าบินได้
00:32:07 → 00:32:11 อืแล้วก็ทุกครั้งที่ฝันว่าบินได้ก็จะรู้
00:32:11 → 00:32:15 ว่าแกฝันอีกแล้วในความฝันก็รู้ว่าฝันแล้ว
00:32:15 → 00:32:19 ก็บางทีก็มีเหมือนแบบตื่นขึ้นมาแล้วแบบ
00:32:19 → 00:32:22 อยากกลับไปฝันต่ออืทำได้มั้คะเรื่องเดียว
00:32:22 → 00:32:25 กันใช่มั้บางทีเราทำได้นะฮะแต่ว่าเค้าก็
00:32:25 → 00:32:28 มีการพยายามที่จะแปลแปลว่าความฝันอันนี้
00:32:28 → 00:32:30 มันมีความหมายอะไรอ่าถ้าบินได้อยากมี
00:32:30 → 00:32:33 อิสระเสรีมั้ยมีอะไรขึ้นมาก็ว่ากันไปแต่
00:32:33 → 00:32:36 ว่ามันต้องเป็นเรื่องของ subconscious ผม
00:32:36 → 00:32:39 คิดว่ามีคุณชมต้องมีอะไรที่อต้องมีใช่มั้
00:32:39 → 00:32:41 ถึงชอบฝันว่าบินลึกๆใช่แล้วฮะว่าการปิด
00:32:41 → 00:32:44 ของคุณเนี่ยคืออะไรต้องมันตีได้หลายอย่าง
00:32:44 → 00:32:47 นะฮะทั้งทั้งในทางที่ที่ดีแล้วก็ทางที่งง
00:32:47 → 00:32:51 ๆแต่ไอ้ทางที่ดีเนี่ยก็ก็ผมว่าก็ดีนะก็
00:32:51 → 00:32:56 อาจจะเป็นคนที่ไขวายคว้าหาเอ่ออิสรภาพนะ
00:32:56 → 00:32:59 ฮะความเป็นจริงของชีวิตอะไรอย่างงี้นะฮะ
00:32:59 → 00:33:03 แล้วก็เอ่อสิ่งที่เราอยากจะฝันเราจะเรา
00:33:03 → 00:33:05 อยากจะทำให้มันเป็นเรื่องเป็นราวทำได้
00:33:05 → 00:33:08 มั้ยมันก็มีอย่างเอ่อทีวิจัยที่ MIT ตอน
00:33:08 → 00:33:12 แรกเนี่ยเทำ AI ก่อนเอยากจะรู้ว่า process
00:33:12 → 00:33:15 ในความคิดของคนเรา 1 process เนี่ยมัน
00:33:15 → 00:33:18 ต้องใช้เอ่อสมองส่วนไหนทำงานบ้างแล้วสมอง
00:33:18 → 00:33:21 ของส่วนไหนทำงานก่อนและหลังยังไงเาก็เอา
00:33:21 → 00:33:24 คนไข้มานะฮะหรือว่าผู้รับสมัครมาแล้วก็
00:33:25 → 00:33:27 เอ่อมาบอกว่าอ่านสิปtอ้านี่ฉันกำลังเดิน
00:33:27 → 00:33:31 ออกจากบ้านไปขับรถอ่าแล้วเขาก็เอาเอ่อ
00:33:31 → 00:33:34 เอ่อคนเหล่านี้เนี่ยเอาไปทำเอ่อ MRI ที่
00:33:34 → 00:33:37 เราเรียกว่า functional MRI ซึ่งมัน
00:33:37 → 00:33:39 สามารถที่จะบอกได้อ้าตั้งแต่ตอนที่คุณออก
00:33:39 → 00:33:42 จากบ้านไปขับรถเสียบกุญแจทุกอย่างเนี่ย
00:33:42 → 00:33:45 เบรนตรงส่วนไหนที่มันทำงาน 1 2 3 4 5
00:33:45 → 00:33:48 เป็นซีรีย์ขึ้นมาเอาซีรีย์ต่างๆเนี่ยใส่
00:33:48 → 00:33:51 เข้าไปใน AI นะครับแล้วคราวนี้เนี่ยเอ่อ
00:33:51 → 00:33:55 ไปสร้างเอ่อเครื่องที่สามารถที่จะปล่อย
00:33:55 → 00:33:58 คลื่นแดกไฟฟ้าให้มันไปตามซีรีย์ในเรื่อง
00:33:58 → 00:34:01 นั้นๆเหมือนว่ากปี้คลื่นที่แบบว่าจับได้
00:34:01 → 00:34:04 จากตอนที่เราฟังเรื่องนี้ใช่เราไปใส่ตอน
00:34:04 → 00:34:06 ที่เรานอนรับฝันตอนที่ช่วงที่เป็น R
00:34:06 → 00:34:09 sleep ค่ะนะฮะก็มีเหมือนกันนะครับก็จะ
00:34:09 → 00:34:13 ฝันตามที่ตามที่ที่เขียนพลอตออกมาอออือัน
00:34:13 → 00:34:15 นี้ก็เป็นอยู่ในช่วงของรีเสิร์ชก็พยายาม
00:34:15 → 00:34:17 ที่จะทำออกมาเบรของคนเราเนี่ยเวลามันทำ
00:34:17 → 00:34:21 งานเนี่ยมันต้องมีทริกเกอร์เนี่ยอย่างเรา
00:34:21 → 00:34:23 คุยกันตอนนี้ใช่มั้ยอือแล้วอยู่ๆมันก็มี
00:34:23 → 00:34:27 ทริกเกอร์ขึ้นมาที่หัวของคุณคุณชมเฮ้ย
00:34:27 → 00:34:30 เดี๋ยวตอน 12:30 น.ฉันต้องโทรศัพท์หาคน
00:34:30 → 00:34:32 นี้คนนั้นใช่ป่ะบางทีเราพูดกันไปปุ๊บมัน
00:34:32 → 00:34:34 เกิดทริกเกอร์คำนั้นขึ้นมายูก็ไปคิดถึง
00:34:34 → 00:34:38 เรื่องนั้นต่อไปคราวนี้เนี่ยเอ่อไอ้การ
00:34:38 → 00:34:40 ที่จะใช้ทริกเกอร์เนี่ยอาจจะใช้ในเรื่อง
00:34:40 → 00:34:44 ของรูปแบบของเสียงนะฮะเปิดเพลงขึ้นมานะ
00:34:44 → 00:34:46 ครับบอกว่าถ้าเกิดว่าเปิดเพลงนี้ขึ้นมา
00:34:46 → 00:34:49 ให้ยูคิดถึงเรื่องนี้อืฮะเหมือนคล้ายๆแบบ
00:34:49 → 00:34:52 คitionอย่างเงี้ยใช่ๆสร้างคitionขึ้นมา
00:34:52 → 00:34:55 แล้วคราวนี้เนี่ยพอคนไข้เอ่อคนไข้ไปนอน
00:34:55 → 00:34:59 ปุ๊บใช่มั้ฮะเราก็วัดขึ้นสมองพอเข้าเรม
00:34:59 → 00:35:01 ปุ๊บเริ่มฝันละแล้วก็เปิดมาว่าเราจะ
00:35:01 → 00:35:03 เปลี่ยนครูเปลี่ยนเรื่องราวเนี่ยเราก็ใช้
00:35:03 → 00:35:06 เพลงนี้เข้าไปแปลว่าอย่างเงี้ยเราต่อไป
00:35:06 → 00:35:09 เราสามารถหรือว่าอ่านความคิดคนได้มั้ผม
00:35:09 → 00:35:12 คิดว่าน่าจะได้นะอุ๊ยน่ากลัวมากอืแต่มัน
00:35:12 → 00:35:15 ก็ตื่นเต้นเนาะอือือเหมือนแบบว่าอ่านใจ
00:35:15 → 00:35:18 อ่านความคิดเงี้ยใช่ครับใช่ก็ใช้กับเวลา
00:35:19 → 00:35:21 แบบว่าสืบสวนคดีอะไรอย่างเงี้ยได้อือหวัง
00:35:21 → 00:35:24 ว่าหวังว่าหวังว่าคุณหมออันนี้ไม่ถามไม่
00:35:24 → 00:35:26 ได้
00:35:26 → 00:35:31 โอโอโอโอผีอำอ๋อผีอำอผีอำเออผีอำเค้า
00:35:31 → 00:35:34 เรียกว่า sleep paralysis อนะฮะเป็นปกติ
00:35:34 → 00:35:37 ได้ครับแต่ว่าถ้าเป็นบ่อยๆก็ต้องไปดูว่า
00:35:37 → 00:35:39 เป็นโรคลมจับหรือเปล่านึกว่าคุณหมอจะบอก
00:35:39 → 00:35:41 ว่าถ้าเป็นบ่อยๆเนี่ยต้องปรึกษาพระ
00:35:41 → 00:35:44 อาจารย์ไม่ใช่อ๋อพระอาจารย์เดี๋ยวนี้ก็
00:35:44 → 00:35:48 ค่อนข้างจะนั่นหน่อยเนาะสายมูใช่มั้ครับ
00:35:48 → 00:35:50 แต่จริงๆแล้วมันไม่มีอะไรเลยฮะแต่มันแปลก
00:35:50 → 00:35:52 ตรงที่ว่าทุกคนเนี่ยให้การตรงกันหมดเลย
00:35:52 → 00:35:55 เนาะก็คือว่านอนอยู่จะเป็นส่วนมากจะเป็น
00:35:55 → 00:35:57 ตอนช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่นใช่มั้ฮะค่ะใน
00:35:57 → 00:36:00 ตอนที่ก่อนนอนหรือว่าตื่นขึ้นมาแล้วตรงเ
00:36:00 → 00:36:02 เราเรียกว่า sleep paralysis ตื่นมาแล้ว
00:36:02 → 00:36:05 รู้สึกว่าเราลืมตาแล้วใช่มั้ฮะแต่ว่าตัว
00:36:05 → 00:36:06 นี้ขยับไม่ได้เลยแต่จริงๆเราก็ไม่ได้ลืม
00:36:06 → 00:36:09 ตาเราก็ไม่ได้ลืมตาแต่เราคิดไปเองบางทีก็
00:36:09 → 00:36:11 รู้สึกว่ามีคนมากดเราอยู่นะฮะเป็นเรื่อง
00:36:11 → 00:36:15 ของ imagination ที่ว่ากันไปแต่พบได้ในคน
00:36:15 → 00:36:18 ปกติทั่วไปนะฮะแต่ถ้าเป็นบ่อยๆต้องต้อง
00:36:18 → 00:36:20 นึกถึงโรคที่เรียกว่าnโคลปซี่หรือว่าโรค
00:36:20 → 00:36:24 ลมลับอือันตรายมั้ยคะถ้าเป็นลมหลับก็
00:36:24 → 00:36:27 อันตรายอยู่ลมหลับก็คือโรคที่จะหลับได้
00:36:27 → 00:36:31 ตลอดเวลาเป็นกลุ่มของเรมdisอเดอค่ะเอ่อใน
00:36:31 → 00:36:32 ช่วงของเรม rem เรม sleep เนี่ยคือหมาย
00:36:33 → 00:36:35 ถึงว่าพวกนี้คือหลับปุ๊บเร็มเลยใช่กลุ่ม
00:36:35 → 00:36:39 พวกนี้เนี่ยก็เอ่ออยู่ๆก็คุยๆกับเราอยู่
00:36:39 → 00:36:41 เนี่ยหัวเราะแล้วก็ออกไปเลยอุ้ยชมเคยรู้
00:36:41 → 00:36:44 จักคนแบบนั้นเออนั่งรถไปด้วยกันอย่าง
00:36:44 → 00:36:47 เงี้ยบอกทางอยู่
00:36:47 → 00:36:50 หัวเราะไปแล้วเงี้ยใช่ๆกลุ่มที่เป็น
00:36:50 → 00:36:53 นาครซี่เนี่ยปัจจุบันก็มียาที่สามารถช่วย
00:36:53 → 00:36:56 ได้นะครับในเมืองไทยเราก็มียาอยู่เอ่อใน
00:36:56 → 00:36:58 กลุ่มที่เรียกว่าmodฟinilก็อาจจะช่วย
00:36:58 → 00:37:01 บรรเทาได้บ้างแล้วต้องทานตลอดมั้ยคะคุณ
00:37:01 → 00:37:05 หมอตลอดชีวิตอ่ะฮะอออือะไรบ้างคะที่แบบ
00:37:05 → 00:37:07 เป็นพฤติกรรมที่เราไม่ควรจะทำแล้วมันจะทำ
00:37:07 → 00:37:10 ให้แบบกระทบต่อการนอนของเราอ่ะค่ะอืทำให้
00:37:11 → 00:37:14 การนอนเราแย่ลงออืกาแฟคุณหมอดึงกาแฟมั้ย
00:37:14 → 00:37:18 คะก็พยายามจะไม่พยายามจะไม่นะครับนี่เป็น
00:37:18 → 00:37:21 คำถามที่ดีมากแล้วก็นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย
00:37:21 → 00:37:25 ถ้าจะดื่มกาแฟสักทีก็ดื่มให้มันใช่มันแบบ
00:37:25 → 00:37:27 ของแท้ไปเลยใช่มั้ฮะก็ดื่มกาแฟก็เคล็ดลับ
00:37:28 → 00:37:30 ของมันก็คือว่ากาแฟ 1 แก้วมันอยู่ได้
00:37:30 → 00:37:33 ประมาณ 12 ชมงค่ะใช่มั้ฮะถ้าคุณดื่มไป
00:37:33 → 00:37:36 แล้วเนี่ยก่อนซักเอ่อ 10:00 น.ก็ยังพอไหว
00:37:36 → 00:37:38 อยู่ไม่อย่างงั้นเนี่ยมันอาจจะมีผลกระทบ
00:37:38 → 00:37:41 กับการนอนของเราค่ะอันที่ 2 เรื่องของ
00:37:41 → 00:37:44 กาแฟเนี่ย response ก็คือว่าคนแต่ละคนตอบ
00:37:44 → 00:37:47 สนองต่อกาแฟปริมาณกาแฟไม่เท่ากันนะฮะบาง
00:37:47 → 00:37:50 คนกินนิดนึงอาจจะมีผลมากกว่าคนชาวบ้านเขา
00:37:50 → 00:37:53 ก็ได้บางคนกินเยอะก็อาจจะไม่มีผลก็ได้อือ
00:37:53 → 00:37:55 กาแฟนอกจากทำให้เกิดปัญหาเรื่องของการนอน
00:37:55 → 00:37:58 แล้วเนี่ยมันอาจจะทำให้เกิดเรื่องของกด
00:37:58 → 00:38:01 ไหลย้อนอืนะฮะเพราะทำให้สปริงเตอร์ไอ้ตัว
00:38:01 → 00:38:04 กล้ามกล้ามเนื้อหูรูดระหว่างหลอดอาหารกับ
00:38:04 → 00:38:08 กระเพาะมันคลายก็อาจจะมีปัญหาว่ามีกฎย้อน
00:38:08 → 00:38:10 เพิ่มขึ้นมามันไปทำงานอย่างนั้นได้ยังไง
00:38:10 → 00:38:14 อ่ะคะคุณหมอเป็นเรื่องของสารแคฟีนก็ไม่มี
00:38:14 → 00:38:17 ผลกับตัวเอ่อสารที่มันบังคับการปิดเปิด
00:38:17 → 00:38:21 ของก้าเนื้อหูรูดนะฮะอืแล้วก็อีกอันนึง
00:38:21 → 00:38:23 ที่กาแฟอาจจะทำให้เกิดปัญหาก็คือเรื่อง
00:38:23 → 00:38:26 ของ Ris Lake ก็คืออาการขากระตุกถ้าดื่ม
00:38:26 → 00:38:29 กาแฟก็จะมีอาการขากระตุกมากขึ้นก็เป็น
00:38:29 → 00:38:33 เรื่องของสารที่เรียกว่าแซีนครับอืก็คือ
00:38:33 → 00:38:36 มีเรื่องคาเฟอีนคาเฟอีนอันแรกเลยอันที่ 2
00:38:36 → 00:38:39 เรื่องของนอนไม่เป็นเวลานะฮะต้องคุณต้อง
00:38:39 → 00:38:42 ให้โอกาสร่างกายเราบ้างเนาะถ้าจะพักพัก
00:38:42 → 00:38:44 ผ่อนทั้งทีเนี่ยก็พักผ่อนให้มันดีๆหน่อย
00:38:44 → 00:38:47 ไม่ใช่ว่าเดี๋ยววันนี้นอน 1:00 น.เดี๋อีก
00:38:47 → 00:38:49 วันนึงนอน 2:00 น.การปรับตัวมันก็ลำบาก
00:38:49 → 00:38:53 อยู่เหมือนกันนะฮะก็เพราะฉะนั้นเนี่ยเอ่อ
00:38:53 → 00:38:57 ตารางเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญนะครับอันที่ 3
00:38:57 → 00:39:00 เหล้าใช่มั้ฮะคนส่วนใหญ่จะบอกว่าคนที่ชอบ
00:39:00 → 00:39:04 ดื่มเหล้าดื่มแล้วมันชิลอ่ะอ่าใช่จะได้
00:39:04 → 00:39:06 นอนหลับได้เร็วขึ้นใช่มั้ฮะเหล้าเนี่ยทำ
00:39:06 → 00:39:09 ให้เรานอนได้เร็วขึ้นหลับได้เร็วขึ้นนะฮะ
00:39:09 → 00:39:12 แต่เมื่อไหร่ที่แอลกอฮอล์เลเวลเอ่อความ
00:39:12 → 00:39:15 เข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดเราเนี่ยมันตก
00:39:15 → 00:39:18 ลงตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นเกิดอาการ Withdraw
00:39:18 → 00:39:20 เหมือนกับคนที่ติดเหล้าใช่มั้ฮะคุณไปบอก
00:39:20 → 00:39:22 ให้เค้าหยุดเหล้าใช่มั้ฮะเค้าก็มีอาการ
00:39:22 → 00:39:26 มือสั่นมีเอ่อรู้สึกกระวนกระวายในตอนกลาง
00:39:26 → 00:39:29 คืนก็เช่นเดียวกันเมื่อแอลกอฮอล์เลเวลมัน
00:39:29 → 00:39:32 ตกลงมาถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ใช่แบบคนที่
00:39:32 → 00:39:34 ดื่มไม่ใช่คนที่ดื่มตลอดเวลาอย่างเงี้ย
00:39:34 → 00:39:36 ล่ะคะคุณครับผมใช่ต้องอย่าลืมว่ามันไป
00:39:36 → 00:39:39 เอ่อเอ่อมันจะสร้างความปั่นป่วนในสมองได้
00:39:39 → 00:39:41 พอสมควรค่ะเพราะฉะนั้นเนี่ยคนที่ดื่ม
00:39:41 → 00:39:43 เหล้าเพื่อการนอนเนี่ยจะนอนได้เร็วแต่นอน
00:39:43 → 00:39:46 ได้ไม่สนิทอืนะฮะจะตื่นบ่อยนะครับแล้ว
00:39:46 → 00:39:48 เหมือนข้างในร่างกายมันก็ยุ่งกับการจัด
00:39:48 → 00:39:50 การท็อกสิคด้วยมั้คะคุณหมอใช่ครับแล้วนอก
00:39:50 → 00:39:52 จากนั้นแล้วเนี่ยเหล้ามันไปกดประสาทด้วย
00:39:52 → 00:39:55 ใช่มั้ฮะมันไปกดเอ่อประสาทที่ช่วยในการ
00:39:55 → 00:39:57 หายใจถ้าคนไข้เนี่ยมีปัญหาเรื่องของการ
00:39:57 → 00:40:00 หายใจตอนกลางคืนเป็นโรคปอดเป็นโรค Sleep
00:40:00 → 00:40:02 แอเนี่ยหยุดหายใจในระหว่างการนอนหลับ
00:40:02 → 00:40:04 กลุ่มนี้เนี่ยออกซิเจนก็ยิ่งตกเข้าไปใหญ่
00:40:04 → 00:40:06 อันที่ 4 เรื่องของการออกกำลังกายค่ะนะ
00:40:06 → 00:40:08 ครับถ้าออกกำลังกายอย่างหนักนะครับก็ไม่
00:40:08 → 00:40:12 ควรจะเอ่อจะออกใกล้เวลานอน 3 ช่โมงนะฮะจะ
00:40:12 → 00:40:16 ออกเบาๆออกได้แต่ว่าออกหนัก 3 ชั่วโมงไม่
00:40:16 → 00:40:18 เอาเพราะว่าเหมือนกับเครื่องบินจำได้มั้
00:40:18 → 00:40:20 ฮะเครื่องบิน Landing ถ้าเราไม่สามารถที่
00:40:20 → 00:40:22 จะลดความเร็วเครื่องบินได้ก็เราก็ลงจอด
00:40:22 → 00:40:24 ไม่ได้แล้วก็แบบมันเป็นเรื่องอุณหภูมิ
00:40:24 → 00:40:26 ร่างกายด้วยมั้ยคุณหมออุณหภูมิร่างกาย
00:40:26 → 00:40:27 ด้วยเช่นเดียวกันฮะเพราะว่าตอนกลางคืน
00:40:27 → 00:40:30 เนี่ยอุณหภูมิร่างกายเราจะลดลงนะฮะตอบ
00:40:30 → 00:40:33 สนองกับเอ่อ Metabolism ที่มันเริ่มจะ
00:40:33 → 00:40:36 ชัดดาวลงใช่มั้ฮะเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่
00:40:36 → 00:40:40 ภาวะ repair mode นะฮะอืแสงสีฟ้าแสงสี
00:40:40 → 00:40:43 ฟ้านี่ก็แต่ก่อนนี้ใช่แต่ว่าตอนนี้เนี่ย
00:40:43 → 00:40:46 ก็ยังเถียงกันอยู่ว่าตกลงมันยังไงกันแน่
00:40:46 → 00:40:49 ต้องเท่าไหร่ความเข้มข้นเท่าไหร่แต่ว่า
00:40:49 → 00:40:51 มันน่าจะเป็นเรื่องของระยะระยะเวลาซะมาก
00:40:51 → 00:40:54 กว่าค่ะก็คงจะดูได้แต่ว่าอย่าให้มันนาน
00:40:54 → 00:40:57 นักนะฮะสัก 10-20 นาทีได้แต่ว่าถ้าเป็น
00:40:57 → 00:41:01 ชั่วโมงเนี่ยไม่ไหวเหมือนกันพวกนักสนูส
00:41:01 → 00:41:04 ล่ะคะคุณหมอนาฬิกตั้งนาฬิกาปลุกแล้วกด
00:41:04 → 00:41:07 สนูสไปเรื่อยๆเอาจริงๆไอ้ตอนที่เรานอนแบบ
00:41:07 → 00:41:10 บวก 5 นาทีบวก 10 นาทีบวกๆกันไปเรื่อยๆ
00:41:10 → 00:41:13 เงี้ยเอาจริงๆมันแบบไม่ขูดทำอย่างยิ่งใช่
00:41:13 → 00:41:16 มั้มันมันมันมีประโยชน์มั้
00:41:16 → 00:41:18 มันไม่ได้ช่วยให้วันนั้นของเราดีขึ้นใช่
00:41:18 → 00:41:20 มั้คะแย่ลงไปอีกใช่มั้ฮะเพราะว่าทำให้เรา
00:41:20 → 00:41:23 เนี่ยเกิดความวิตกกังวลค่ะใช่ป่ะสมอง
00:41:23 → 00:41:26 เนี่ยไปมันไปregิisterไว้ละฉันจะต้องตื่น
00:41:26 → 00:41:29 อ่าวันธรรมดาเรานอน 18:00 น.แต่วันนี้เรา
00:41:29 → 00:41:32 จะฉันจะตื่น 5:30 น.ฉันจะไปนอนให้เร็ว
00:41:32 → 00:41:35 ขึ้นอีก 1 ช่โมงใช่มั้ยฮะเราก็มีปัญหาละ
00:41:35 → 00:41:37 ไอ้ตอนที่จะไปนอนไอ้ 1 ชั่วโมงนะอาจจะวัน
00:41:37 → 00:41:40 ไหนที่ต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษอ่าก็จะกังวล
00:41:40 → 00:41:43 ใช่แต่ว่าขณะเดียวกันสมองเราก็ได้บอกละ
00:41:43 → 00:41:47 เฮ้ย 5:30 น.ค่ะตื่นนะเราเซตอารามในหัว
00:41:47 → 00:41:50 เราเรียบร้อยละค่ะเพราะฉะนั้นเนี่ยพอคุณ
00:41:50 → 00:41:53 ไปกดเอ่อกดอรามเนี่ยโดยที่ร่างกายคุณได้
00:41:54 → 00:41:56 รับการพักผ่อนไม่พอก็ไม่ไหวเหมือนกันร่าง
00:41:56 → 00:42:00 กายก็บอกว่าเฮ้ยขออีก 5 นาทีอีก 10 นาที
00:42:00 → 00:42:02 พอมันวนไปเรื่อยๆอย่างี้เนี่ยไอ้วันนั้น
00:42:02 → 00:42:05 เนี่ยมันก็เสียไปล่ะเรื่องการนอนค่ะนะฮะ
00:42:05 → 00:42:07 เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าจำเป็นจริงๆจะต้อง
00:42:07 → 00:42:11 ตื่นแล้วใช้นาฬิกาปลุกทำได้แต่ปลุกปุ๊บ
00:42:11 → 00:42:13 ลุกขึ้นเลยแล้วก็ไปทำอะไรก็ทำให้เรียบ
00:42:13 → 00:42:16 ร้อยเพลียจะกลับมานอนใหม่วันนั้นวันพรุ่ง
00:42:16 → 00:42:20 นี้อือืนอนไม่ได้วันนี้พรุ่งนี้ก็นอนได้
00:42:20 → 00:42:22 พรุ่งนี้นอนไม่ได้เดี๋วันต่อไปก็นอนได้
00:42:22 → 00:42:24 สักวันหนึ่งเราจะนอนได้มีอะไรที่กินแล้ว
00:42:24 → 00:42:28 หลับง่ายขึ้นมั้ยคะคุณหมออย่านอน
00:42:28 → 00:42:31 หลับตัวอื่นเนี่ยก็คงจะไม่มีจริงๆนะฮะ
00:42:31 → 00:42:33 อย่างตัวเมลาโตนินเนี่ยก็ขึ้นกับว่าในคน
00:42:33 → 00:42:36 แต่ละคนเนี่ยเอ่อมีการตอบสนองต่อ
00:42:36 → 00:42:39 เมลาโตนินมากน้อยแค่ไหนในคนแก่อาจจะอาจจะ
00:42:39 → 00:42:42 ดีหน่อยเพราะว่าเมาโทนินรีซตอร์มันน้อยลง
00:42:42 → 00:42:44 ค่ะแต่ขณะเดียวกันเนี่ยคนข้าข้างเคียงใน
00:42:44 → 00:42:47 คนที่อายุมากแล้วกินแมาตุนินมันก็เพิ่ม
00:42:47 → 00:42:50 มากขึ้นนะตื่นมางัวเงียไม่สดชื่นในในวัน
00:42:50 → 00:42:54 ต่อไปในเด็กถ้าไปกินก็มีปัญหาเรื่องของ
00:42:54 → 00:42:57 อารมณ์นะฮูดี้หรือว่าเกิด deession ได้
00:42:57 → 00:43:00 มันมีแบบเมลาโทนินกัมมี่สำหรับเด็กโอน่า
00:43:00 → 00:43:02 กลัวมากที่อเมริกาเนี่ยเมื่อปีที่แล้ว
00:43:02 → 00:43:04 เนี่ยเขาต้องไฟท์กันอุตลุดเพราะว่าเอา
00:43:04 → 00:43:07 เด็กไปฝากที่dayแคร์ค่ะแจกกัมมี่เลยอ่ะ
00:43:07 → 00:43:11 ครับให้มันนอนซะเลยอืเออโหดมากนะค่ะก็เรา
00:43:11 → 00:43:14 ถึงรู้ว่าเด็กเนี่ยมีปัญหาเยอะถ้าเราไป
00:43:14 → 00:43:16 ให้เวลาตัวในเด็กอะไรอีกที่จะทำให้นอนได้
00:43:16 → 00:43:18 เร็วไม่มีอะไรที่มันเร็วกว่าอย่านอนหลับ
00:43:18 → 00:43:22 แน่นอนค่ะส่วนที่มีตามท้องตลาดเนี่ยผมคิด
00:43:22 → 00:43:25 ว่ามันก็เอ่ออาจจะขึ้นกับภาวะร่างกายใน
00:43:25 → 00:43:28 ตอนนั้นๆด้วยค่ะนะฮะสิ่งที่ดีที่สุดใน
00:43:28 → 00:43:31 เรื่องของการปรับตัวเรื่องของการนอนการ
00:43:31 → 00:43:35 ปรับเวลาเนี่ยคือปรับระบบการทำงานของเรา
00:43:35 → 00:43:38 กลางวันและกลางคืนจะจะต้องbบาanceซกันค่ะ
00:43:38 → 00:43:41 กลางวันดีกลางคืนดีกลางคืนเยี่ยมกลางวัน
00:43:41 → 00:43:44 ก็ยิ่งสบายอืทีนี้ถ้าคนไข้ที่มาหาคุณหมอ
00:43:44 → 00:43:47 ในกรณีไหนที่คุณหมอจะพิจารณาที่จะจ่ายยา
00:43:47 → 00:43:48 นอนหลับเพราะว่ายานอนหลับมันก็ต้องมีผล
00:43:49 → 00:43:50 ข้างเคียงถูกมั้คะถูกครับทางการแพทย์นี่
00:43:50 → 00:43:53 เราจะมีเรื่องของ R benefit ค่ะเราจะเรา
00:43:53 → 00:43:56 จะต้องให้น้ำหนักดูว่าโอกาสที่เกิดผลเสีย
00:43:56 → 00:43:59 กับของยาเนี้ยมันคู่ควรกับผลที่เขาจะได้
00:43:59 → 00:44:02 รับหรือเปล่าค่ะคนไข้บางคนมาแบบตาแบบโหล
00:44:02 → 00:44:04 มาเลยแล้วก็มี depression อย่างรุนแรง
00:44:04 → 00:44:08 ขึ้นมาเนี่ยสมมุติว่าเราเจอเอ่อคนไข้มา
00:44:08 → 00:44:10 ด้วยเรื่องของโดนคอซ็นเตอร์หลอกเอาเงินไป
00:44:10 → 00:44:12 10 ล้านอือย่างเงี้ยคุณนอนไม่หลับหรอก
00:44:12 → 00:44:15 ค่ะทำยังไงคุณก็นอนไม่หลับต้องยาเท่านั้น
00:44:15 → 00:44:17 ต้องยาเท่านั้นแต่ว่าขณะเดียวกันเนี่ยคุณ
00:44:17 → 00:44:19 จะต้องเปลี่ยนพิถีการความคิดของคุณ
00:44:19 → 00:44:22 เปลี่ยน attitude ในในชีวิตของคุณว่าเงิน
00:44:22 → 00:44:25 มันสามารถหาได้แต่ว่าชีวิตมันหายไปแล้ว
00:44:25 → 00:44:27 เนี่ยมันเอากลับขึ้นมาไม่ได้ก็ต้องมีการ
00:44:27 → 00:44:30 ปรับตัวในช่วงของการปรับตัวก็คือมีการ
00:44:30 → 00:44:33 ปรับเวลาทำเรื่องของsepีนก็คือสุขสุก
00:44:34 → 00:44:36 อนามัยในการนอนหลับนะฮะแล้วก็ให้ยาในช่วง
00:44:36 → 00:44:39 สั้นๆเราให้ได้นะฮะแต่ว่าให้อยู่ในความ
00:44:39 → 00:44:42 ควบคุมคุณต้องควบคุมตัวของคุณเองไม่ใช่
00:44:42 → 00:44:45 หมอเป็นตนคนคุมด้วยนะคุณจะต้องคิดให้ได้
00:44:45 → 00:44:48 คิดให้เป็นคือเราสอนคนไข้ให้คิดให้ได้คิด
00:44:48 → 00:44:51 ให้เป็นออือแล้วก็ใช้ยาเป็นตัวช่วยชมเคย
00:44:51 → 00:44:55 ไปเจอเอ่อดาราคนนึงไปต่างประเทศอย่าง
00:44:55 → 00:44:57 เงี้ยแล้วไปไปงานด้วยกันแล้วก็เป็นคนจีน
00:44:57 → 00:44:59 เขาก็แบบอายุมากแล้วเนาะประมาณ 50 อะไร
00:44:59 → 00:45:01 เงี้ยชมก็คือเายังแบบสวยอยู่เลยอะไรอย่า
00:45:01 → 00:45:05 เงี้ยชนก็ถามเว่าทำไมยูแบบดูแลตัวเองยัง
00:45:05 → 00:45:07 ไง You มี secret อะไรเงี้ยก็ก็พยายามหา
00:45:07 → 00:45:10 เรื่องคุยอะไรเงี้ยเบอก Sleep แล้วเบอก
00:45:10 → 00:45:13 ว่าแบบยูอย่ากลัวยานอนหลับ You take
00:45:13 → 00:45:16 เพราะว่าราคาของการไม่ได้นอนมันแพงกว่า
00:45:16 → 00:45:20 อะไรเงี้ยแต่ชมก็ชมก็โอเคค่ะแบบแต่ว่าแบบ
00:45:20 → 00:45:23 เกินทุกคืนเลยอ่ะคุณหมออต้องอย่าลืมนะฮะ
00:45:23 → 00:45:25 พอกินไปนานๆเนี่ยร่างกายมันชินค่ะพอมัน
00:45:25 → 00:45:27 ชินแล้วอาจจะไม่ใช่ข้อดีของยานอนหลับไม่
00:45:27 → 00:45:30 ใช่ผลจากยานอนหลับที่ทำให้เขานอนหลับคือ
00:45:30 → 00:45:32 เขาอาจจะนอนหลับได้เองอยู่แล้วแต่เมื่อ
00:45:32 → 00:45:35 ไหร่ที่ไปหยุดปุ๊บเสร็จทันทีก็ใช่ไงบอก
00:45:35 → 00:45:38 เออสมว่าเอ๊ยมันแบบ good ไอเดียหรอแต่ก็
00:45:38 → 00:45:40 เออเขาก็บอกก็ไม่เป็นไรก็กินตลอดชีวิตก็
00:45:40 → 00:45:43 ได้อืโอแล้วคนกลุ่มนี้เนี่ยเนี่ยยากมากนะ
00:45:43 → 00:45:45 ฮะที่บอกให้เค้าหยุดเพราะว่าอันที่ 1 เมี
00:45:45 → 00:45:47 ความเชื่อค่ะใช่มั้ฮะอันที่ 2 เนี่ยตัวยา
00:45:47 → 00:45:50 เองที่ทำให้ที่ทำให้เค้าติดค่ะการที่จะ
00:45:50 → 00:45:52 เอาเ้าออกมาเนี่ยยากมากอืก็สัตว์โลกทั้ง
00:45:53 → 00:45:55 หลายย่อมเป็นไปตามกรรมคุณหมอมีเคสแปลกๆ
00:45:55 → 00:45:59 มั้ยคะที่เกี่ยวกับนการนอนที่มาหาก็เอ่อ
00:45:59 → 00:46:02 ที่แปลกที่สุดคือตอนที่อยู่ที่อเมริกาตอน
00:46:02 → 00:46:05 นั้นนะฮะเรามีคนไข้ยาชื่อว่าแอมเบี้นตอน
00:46:05 → 00:46:08 นั้นออกมาเป็นยานอนหลับตัวใหม่อืก็ออกมา
00:46:08 → 00:46:11 โอดังมากครับตอนนั้นเพราะว่ามันบอกว่ากิน
00:46:11 → 00:46:14 ไปแล้วเนี่ยไม่ติดนะฮะหมายถึงว่าคนไข้เไป
00:46:14 → 00:46:16 ซื้อทานเองอย่างเงี้ยไม่ได้ฮะตอนนี้เป็น
00:46:16 → 00:46:19 หมอหมอเป็นคนจ่ายให้คนไข้ก็อายุประมาณ
00:46:19 → 00:46:22 สซัก 40 กว่ามาด้วยเรื่องของเอ่อนอนไม่
00:46:22 → 00:46:25 หลับแต่ว่าไปหาหมอ Primary Care มาที่
00:46:25 → 00:46:27 อเมริกานี้เราจะมี Primary Care เป็นหมอ
00:46:27 → 00:46:31 ที่เอ่อดูแลทั่วไปค่ะก่อนที่เขาจะส่งมาหา
00:46:31 → 00:46:33 เราเขาก็ให้ลองให้ยาตัวแอมเบี้นก่อนนอน
00:46:33 → 00:46:36 ไม่หลับก็ตอนสมัยก่อนนี่ 10 ปี 20 ปีแล้ว
00:46:36 → 00:46:39 เนี่ยยาอย่างเดียวนะฮะก็เขาก็ได้ตัว
00:46:39 → 00:46:42 แอมเบี้นนี่ไปแล้วเค้าก็บอกว่าเฮ้ยกินไป
00:46:42 → 00:46:46 แล้วมันก็แปลกนะพอกินปุ๊บหลับปั๊บแต่ว่า
00:46:46 → 00:46:48 มันไม่รู้เป็นอะไรว่าตอนเช้าตื่นมาแล้ว
00:46:48 → 00:46:51 เนี่ยรู้สึกเพลียๆอยู่เลยอืรู้สึกแย่ๆไม่
00:46:51 → 00:46:54 ค่อยดีเลยแย่กว่าแต่ก่อนอีกแปลกมากแล้ว
00:46:54 → 00:46:57 ที่แปลกกว่านั้นคือว่าบนเตียงเนี่ยมันมี
00:46:57 → 00:47:00 พวกเศษคุกกี้อะไรติดอยู่เป็นประจำอละเมอ
00:47:00 → 00:47:03 แล้วประจำไอนอนละเมอหรือเปล่าเออตอนนั้น
00:47:03 → 00:47:05 เนี่ยเอ่อตัวแอมเบี้นเองเนี่ยเริ่มจะมี
00:47:05 → 00:47:09 ปัญหามีคนrepอร์ตมากขึ้นเราก็อ่านๆดูอยู่
00:47:09 → 00:47:11 ตอนนั้นนะฮะก็ไม่น่าเชื่อว่าเจอกับตัวเรา
00:47:11 → 00:47:14 เองอืเอ่อแล้วก็บอกว่าโอเคเอาอย่างงี้
00:47:14 → 00:47:17 อยู่ต้องหยุดยาอเพราะว่าแบนเนี่ยมันเกิด
00:47:17 → 00:47:19 มันทำให้เกิดเ้าเรียกว่า Sleep eating
00:47:20 → 00:47:22 disorder โรคที่เดินละเมอไปกินอาหาร
00:47:22 → 00:47:26 เนี่ยในคนกลุ่มนี้เนี่ยอาจจะไม่ได้เป็น
00:47:26 → 00:47:28 เอ่อเป็นมีปัญหาเรื่องของสมองอะไรเลยแต่
00:47:28 → 00:47:31 ว่าก็แค่เดินละเมอแล้วก็ไปกินอาหารค่ะ
00:47:31 → 00:47:35 กลไกต่างๆเนี่ยเรายังไม่รู้แน่ชัดนะฮว่า
00:47:35 → 00:47:38 มันเกิดจากอะไรแต่เรารู้ว่ามันเป็น
00:47:38 → 00:47:41 พฤติกรรมที่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องของการ
00:47:41 → 00:47:44 กินนะครับคนกลุ่มนี้ก็จะอ้วนๆได้ท่วมๆ
00:47:44 → 00:47:46 หน่อยๆนะกินบ่อยๆแต่ตอนกลางคืนโดยไม่รู้
00:47:46 → 00:47:49 ตัวครับผมค่ะหมายถึงว่าเป็นได้โดยที่ไม่
00:47:49 → 00:47:52 ได้ต้องกินไอ้ยาตัวนั้นเ้าก็เก็เกิดก็
00:47:52 → 00:47:54 เป็นก็เกิดขึ้นได้แต่ว่ายาตัวนั้นเนี่ยไป
00:47:54 → 00:47:57 กระตุ้นทำให้เกิดได้มากขึ้นง่ายขึ้นตอน
00:47:57 → 00:48:01 นั้นเนี่ยเรื่องของยาโดสของยาเนี่ยก็เอ่อ
00:48:01 → 00:48:04 คนคนทั่วไปคิดว่ายิ่งเยอะยิ่งดีนะฮะทั้งๆ
00:48:04 → 00:48:06 ที่ตัว Study เองเนี่ยเราบอกว่าเรารู้ว่า
00:48:06 → 00:48:10 แอมเบี้นกิน 5 ก็พอแต่ว่าเวลาหมอซัดให้
00:48:10 → 00:48:12 เนี่ยก็ซัดไป 10 มกรัคนไข้ก็ได้รับไปที่
00:48:12 → 00:48:16 โดสที่มันสูงกว่าที่เขา recommend ก็เกิด
00:48:16 → 00:48:17 ปัญหาเรื่องของ Sleep Eating disorder
00:48:17 → 00:48:20 แล้วทำไมต้องตื่นมากินคะทำอย่างอื่นไม่
00:48:20 → 00:48:22 ได้เหรอละเมออย่างอื่นทำไมต้องตรงนี้แหละ
00:48:22 → 00:48:24 ที่เราก็ยังงงๆอยู่ว่าไอ้ยาตัวนี้ไปทำ
00:48:24 → 00:48:27 อะไรกันแน่ที่ทำให้เกิดว่าตื่นขึ้นมาเดิน
00:48:27 → 00:48:29 ละเมอแล้วต้องเป็นพฤติกรรมในเรื่องของการ
00:48:29 → 00:48:32 กินก็คือเดินไปที่แพนทรีแล้วก็เข้าไปใน
00:48:32 → 00:48:34 คิชนเลยเข้าไปในครัวเลยแล้วก็เปิดตู้เย็น
00:48:34 → 00:48:37 กินอย่างอรัดอร่อยเอามากินต่อที่บนเตียง
00:48:37 → 00:48:40 ครับอืแล้วก็นอนแล้วก็นอนต่อโดยที่เขาไม่
00:48:40 → 00:48:44 รู้ตัวซึ่งณณปัจจุบันนี้เนี่ยกลไกเนี้ย
00:48:44 → 00:48:46 เราก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดจาก
00:48:46 → 00:48:48 อะไรกันแน่นะแต่ว่ามีส่วนน้อยที่จะเกิด
00:48:48 → 00:48:50 ขึ้นแต่เค้าเก็บหมดแล้วใช่มั้คะยานี้ไม่
00:48:50 → 00:48:54 เก็บฮะยังใช้ต่อด้วยความระมัดระวังแล้วก็
00:48:54 → 00:48:56 โดสเนี่ยลดลงมาจาก 10 มลกรัมเหลือ 5
00:48:56 → 00:48:59 มลกรัมอืนะครับก็ใช้ได้ฮะทุกอย่างเมันมี
00:48:59 → 00:49:02 ประโยชน์อย่างที่บอกมีความเสี่ยงแล้วก็มี
00:49:02 → 00:49:05 benfิที่จะได้รับก็ขึ้นว่ามันอันไหนจะมาก
00:49:05 → 00:49:08 กว่ากันอค่ะคุณหมอแนะนำสุขอนามัยการนอน
00:49:08 → 00:49:12 ที่ดีค่ะนอนไม่หลับอยากนอนหลับควรทำยังไง
00:49:12 → 00:49:15 ค่ะอืมตารางเวลาก่อนใช่มั้ฮะก่อนที่จะทำ
00:49:15 → 00:49:17 ตารางเวลาเราไปดูก่อนเราทำเ้าเรียกว่า
00:49:17 → 00:49:20 Sleep Ly จดมาก่อนว่าเราเข้านอนตอนกี่
00:49:20 → 00:49:23 โมงตื่นนอนตอนกี่โมงเข้านอนแล้วเนี่ยใช้
00:49:23 → 00:49:26 เวลาเท่าไหร่ถึงจะหลับหลับไปแล้วเนี่ย
00:49:26 → 00:49:29 ตื่นมากี่ครั้งนะครับกินอาหารเช้ากลางวัน
00:49:29 → 00:49:33 เดือนตอนกี่โมงกาแฟตอนกี่โมงเอ่อ
00:49:33 → 00:49:35 exer์ciseตอนกี่โมงเอามาทำสัก 2 อาทิตย์
00:49:35 → 00:49:38 แล้วให้คุณหมอดูหมอนี่สามารถที่จะไป
00:49:38 → 00:49:41 ดีไซน์ได้ว่าเออคุณจะนอนเนี่ยเวลาตรงไหน
00:49:41 → 00:49:44 นะฮะอันที่ 2 พอเราได้เวลาแล้วคราวนี้
00:49:44 → 00:49:47 เนี่ยการเตรียมตัวก็ต้องมีเรื่องของ
00:49:47 → 00:49:49 slowดาวนะฮะการที่จะเอาเครื่องบินลงคราว
00:49:49 → 00:49:52 เนี้ยลดสปีดก่อนพอslowดาวแล้วเนี่ยอาจจะ
00:49:52 → 00:49:55 ใช้เรื่องของการเอ่ออาบน้ำอาบน้ำร้อนนะฮะ
00:49:55 → 00:49:58 ก่อนที่จะเข้าห้องนอนค่ะเอ่อก่อนนอน
00:49:58 → 00:50:00 ประมาณสัก 3 ชั่วโมงเนี่ยไม่ควรจะมี
00:50:00 → 00:50:03 activity อะไรเรื่องของการกินเนี่ย
00:50:03 → 00:50:06 ประมาณ 3-4 ชมงแต่ว่าส่วนมากแล้วผมจะบอก
00:50:06 → 00:50:09 ว่าก็ทำไม IF ไปก็คือประมาณสซัก 18:00 น.
00:50:09 → 00:50:11 เนี่ยก็พอแล้วเพราะมันอาจจะช่วยเรื่องของ
00:50:11 → 00:50:16 กดไลย้อนได้ด้วยนะฮะเอ่อกาแฟแคฟีนอย่าลืม
00:50:16 → 00:50:19 ว่าชาเองก็มีแคฟนเหมือนกันนะฮะโดยปกติ
00:50:19 → 00:50:22 แล้วเนี่ยชา 2 แก้วมันเท่ากับกาแฟ 1 แก้ว
00:50:22 → 00:50:24 แล้วจริงๆชาเ้าแบบ slow release ด้วยใช่
00:50:24 → 00:50:27 มั้โอนั่นแะสิครับใช่ฮะอันนี้แบบยิ่งภัย
00:50:27 → 00:50:30 เงียบเลยนะฮะในเรื่องของการนอนอแล้วก็แต่
00:50:30 → 00:50:33 ว่าต้องอย่าลืมอีกว่าคนบางคนเนี่ยเอ่อบอก
00:50:33 → 00:50:35 ว่าทานชาไปแล้วฉันก็ไม่เห็นเป็นไรเลยค่ะ
00:50:35 → 00:50:38 ก็เป็นเรื่องของ Dose response ในในตัว
00:50:38 → 00:50:41 ของแคีนอุณหภูมิในห้องนอนนะฮะของฝรั่งนี่
00:50:41 → 00:50:44 ตั้งไว้ที่ 23 ซึ่งผมว่ามันหนาวนะเราไป
00:50:44 → 00:50:47 นอนห้องเย็นๆนี่เราจะปวดฉี่เนาะอุยแต่ชม
00:50:47 → 00:50:53 นอนเย็นมากกี่องศาครับชมนอนประมาณ 19
00:50:53 → 00:50:55 เข้าห้องน้ำปากตอนกลางคืนไม่เข้าค่ะเหรอ
00:50:55 → 00:51:00 อืไม่เข้าก็เข้าตอนเช้าเลยทีเดียวอืแสดง
00:51:00 → 00:51:03 ว่าชอบดูหนังซมากเลย
00:51:03 → 00:51:05 ก็อืมแต่จริงๆแล้วในเรื่องของการนอนเนี่ย
00:51:05 → 00:51:09 23 ก็น่าจะพอละค่ะแต่มันชินกินแล้วอ่ะคะ
00:51:09 → 00:51:12 คุณหมอแล้วลูกก็นอนเย็นแบบเนี้ยทุกคนเลย
00:51:12 → 00:51:17 อืออือๆเยี่ยมครับอันนี้คอมเมนต์ไม่ได้
00:51:17 → 00:51:21 เลยครับก็น่าสนใจฮะค่ะอันที่ 4 ก็คือ
00:51:21 → 00:51:24 เรื่องของการใช้ meditation เข้ามาช่วยนะ
00:51:24 → 00:51:27 ฮะอันที่ 5 ก็เรื่องของการรelease stress
00:51:27 → 00:51:30 หรือว่า loop lo สมองการทำงานของสมองคน
00:51:30 → 00:51:33 เราเนี่ยมันเหมือนกับเราเล่นคอมพิวเตอร์
00:51:33 → 00:51:35 ใช่มั้ฮะหรือการทำงานกับคอมพิวเตอร์ของ
00:51:35 → 00:51:37 เราเนี่ยเราสามารถเปิด Windows ได้ 20-30
00:51:37 → 00:51:40 30 Windows เลยพร้อมกันค่ะใช่มั้ฮะมัน
00:51:40 → 00:51:44 พอพร้อมที่จะพออัได้ตลอดแต่เราเลือกมาทำ
00:51:44 → 00:51:47 งานได้ครั้งละ 1 Windows สมองก็เช่น
00:51:47 → 00:51:50 เดียวกันนะฮะมันมีเรื่องที่มันค้างอยู่ใน
00:51:50 → 00:51:53 สมองเป็น 20-30 เรื่อง finish business
00:51:53 → 00:51:55 นะใช่แล้วคราวนี้พอมีทริกเกอร์ขึ้นมาที
00:51:55 → 00:51:58 นึงเนี่ยไอ้หูนั้นก็โผล่ขึ้นมาเออใช่
00:51:58 → 00:52:00 สังเกตเวลาที่เราวันไหนที่เรานอนไม่หลับ
00:52:00 → 00:52:03 มันจะชอบมีเรื่องอะไรที่แบบมันไม่เคยโผล่
00:52:04 → 00:52:06 ขึ้นด้วยแล้วอยู่ๆมันก็โผล่ขึ้นมาอมันมี
00:52:06 → 00:52:08 ทริกเกอร์เรื่องนี้ไปมันเป็นทริกเกอร์อีก
00:52:08 → 00:52:11 เรื่องนึงขึ้นมาใช่มั้ฮะพอเรื่องนี้ขึ้น
00:52:11 → 00:52:14 ปุ๊บไอ้เรื่องอื่นก็หยุดไปคราวนี้ทำไงให้
00:52:14 → 00:52:17 มันน้อยลงเราก็เอากระดาษมา 1 แผ่นนะฮะ
00:52:17 → 00:52:20 เขียนลงไปเลยว่าสิ่งที่มันวิ่งอยู่ในหัว
00:52:20 → 00:52:22 เราในเรื่องที่มันวิ่งมาเป็นประจำเลย 5
00:52:22 → 00:52:24 เรื่องเอาแค่ 5 เรื่องพอเพราะว่าจะแก้มาก
00:52:24 → 00:52:27 กว่านัดแก้ยากอ 5 เรื่องเขียนไปเลยเรื่อง
00:52:27 → 00:52:30 อะไรจะแก้ปัญหาในวันรุ่งขึ้นแก้ตอนกี่โมง
00:52:30 → 00:52:33 จะแก้ยังไง 1 2 3 4 5 ในตอนเช้าเราก็
00:52:33 → 00:52:35 รีบไปแก้ปัญหาตรงนั้นขึ้นมาค่ะเพื่อวัน
00:52:35 → 00:52:37 ต่อไปเนี่ยถ้ามันวิ่งอีกเราจะจะแก้ไป
00:52:37 → 00:52:39 เรื่อยๆถ้ามันต้องเขียนซ้ำๆซากๆไปนานๆ
00:52:39 → 00:52:42 เนี่ยคราวนี้ก็ต้องรู้จักที่จะ cut loss
00:52:42 → 00:52:45 อือืคราวนี้เนี่ย cut loss ก็คือว่าต้อง
00:52:45 → 00:52:48 รู้จักที่จะหา strategy ใหม่ๆเข้ามาแก้
00:52:48 → 00:52:51 แก้ปัญหาตรงนั้นแทนนะฮะเราทราบว่าการออก
00:52:51 → 00:52:53 กำลังกายเนี่ยช่วยให้ช่วยให้เรานอนดีขึ้น
00:52:53 → 00:52:57 ได้นะฮะในคนบางคนเนี่ยเอ่อที่นอนน้อยแต่
00:52:57 → 00:52:59 ว่าถ้าออกกำลังกายประจำเนี่ยอาจจะช่วยทำ
00:53:00 → 00:53:02 ให้ร่างกายเนี่ยสามารถที่จะ compensate
00:53:02 → 00:53:05 ได้มากขึ้นใช่ครับก็ compensate ได้ดี
00:53:05 → 00:53:08 ขึ้นครับชมคลิปจบแล้วนะคะเม้นต์มาบอกกัน
00:53:08 → 00:53:11 หน่อยนะคะว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไรนะคะหรือ
00:53:11 → 00:53:14 ว่ากำลังสนใจเรื่องอะไรอยากให้ชมคุยกับ
00:53:14 → 00:53:16 ใครเป็นพิเศษนะคะเม้นต์มาบอกกันได้เลยค่ะ
00:53:16 → 00:53:19 อยากให้เราปรับปรุงอะไรพัฒนาตรงไหนบอกมา
00:53:19 → 00:53:22 ได้เลยนะคะขอรับฟังคำติชมทุกอย่างเลยค่ะ
00:53:22 → 00:53:25 ขอคนละ 1 เม้นต์ก็แล้วกันนะคะแล้วก็อย่า
00:53:25 → 00:53:28 ลืมนะคะกดไลค์กดแชร์กด Subscribe นะคะ
00:53:28 → 00:53:30 เป็นกำลังใจให้กับช่อง Life Do ด้วยนะคะ
00:53:30 → 00:53:35 เราจะได้สุขภาพดีไปด้วยกันอ
00:53:35 → 00:53:39 [เพลง]
00:00:00 → 00:00:02 เวลาเรานอนดึกติดต่อกันหลายๆวันอย่าง
00:00:02 → 00:00:04 เงี้ยค่ะสมมุติเมื่อคืนนอนดึกวันนี้เรามา
00:00:04 → 00:00:07 นอนชดเชยเอาเงี้ยมันช่วยได้ใช่ไหม
00:00:07 → 00:00:10 คะอดนอนแล้วไปนอนเพิ่มเติมในวันเสาร์
00:00:10 → 00:00:12 อาทิตย์อย่างนั้นน่ะก็พออยู่ได้เราเรียก
00:00:12 → 00:00:14 ว่า Sleep Recovery ถ้าสมมุติว่าเรานอน
00:00:14 → 00:00:17 หายไป 1 ช่โมงก็อาจจะใช้เวลาประมาณสัก 4
00:00:17 → 00:00:21 วันที่จะฟื้นฟูหูบางทีเราจะชอบพูดว่าคืน
00:00:21 → 00:00:24 นี้หลับสนิทมากไม่ฝันเลยแปลว่าดีหรือไม่
00:00:24 → 00:00:27 ดีคะคุณหมอการที่เราจำความฝันได้เนี่ยไม่
00:00:27 → 00:00:29 ดีนะฮะ
00:00:29 → 00:00:31 อ้าเพราะว่าถ้าเราจำความฝันได้บ่อยๆและ
00:00:31 → 00:00:34 ฝันซ้ำๆเนี่ยอาจจะมีมีปัญหาเรื่องของสมอง
00:00:34 → 00:00:39 เสื่อมได้คือชมอ่ะจะชอบฝันว่าบินได้ทุก
00:00:39 → 00:00:42 ครั้งที่ฝันว่าบินได้ก็จะรู้ว่าแกฝันอีก
00:00:42 → 00:00:45 แล้วแล้วก็บางทีก็มีเหมือนแบบตื่นขึ้นมา
00:00:45 → 00:00:49 แล้วแบบอยากกลับไปฝันต่ออืทำได้มั้ยคะ
00:00:49 → 00:00:51 อันเนี้ชมเคยฟังมาไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า
00:00:51 → 00:00:55 คุณหมอเขาบอกว่าแต่ละคนมียีนของการแบบนอน
00:00:55 → 00:00:57 กี่โมงการจะบอกว่าเรานอนนอนเร็วนอนสาย
00:00:57 → 00:01:00 เนี่ยเป็นจีนจริงนะฮะเราก็เลยแบ่งคนออกไป
00:01:00 → 00:01:02 เป็น 3 จำพวกอันนี้เขาบอกว่านอนกลางวัน
00:01:02 → 00:01:06 น่ะมันจะช่วยแบบชะลอความแก่ของสมองทำให้
00:01:06 → 00:01:09 สมองดีขึ้นจริงมั้คะคุณหมอพวกนักสนูสล่ะ
00:01:09 → 00:01:12 คะคุณหมอตั้งนาฬิกาปลุกกดสนูทไปเรื่อยๆ
00:01:12 → 00:01:15 ตอนที่เรานอนแบบ + 5 นาที + 10 นาทีมัน
00:01:15 → 00:01:19 มีประโยชน์มั้ยคะคุณหมออันนี้ไม่ถามไม่
00:01:19 → 00:01:24 ได้โอ้โหผีอั้ำอ่ะอ๋ออาการผีอำ
00:01:24 → 00:01:28 นอนแย่ชีวิตพังมาฟังเคล็ดลับนอนดีจากนาย
00:01:28 → 00:01:31 แพทย์จิรยศจินตนาดิลกแพทย์ผู้ชำนาญการ
00:01:31 → 00:01:33 ด้านการนอนหลับประสบการณ์ 26 ปีที่
00:01:33 → 00:01:40 อเมริกาดูจบหลับดีชีวิต
00:01:40 → 00:01:44 เปลี่ยนคุณหมอขาคนไข้ส่วนใหญ่ที่มาหานี่
00:01:44 → 00:01:46 น่าจะเป็นเพราะว่านอนไม่หลับใช่มั้คะใช่
00:01:46 → 00:01:50 ครับการนอนไม่ดีเนี่ยมันก็มีทั้งนอนมากไป
00:01:50 → 00:01:52 แล้วก็นอนน้อยไปแล้วทีนี้เราจะรู้ได้ยัง
00:01:53 → 00:01:56 ไงว่าเรานอนดีหรือไม่ดีอ่ะค่ะคุณหมอเพราะ
00:01:56 → 00:02:00 ว่าเค้าก็จะบอกในวัยผู้ใหญ่อะไรเงี้ก็ควร
00:02:00 → 00:02:02 จะนอนให้ได้เวลาแบบ 7-8 ช่มงหรืออะไร
00:02:02 → 00:02:04 เงี้ยมันจริงเสมอไปมั้คะครับต้องอย่าลืม
00:02:04 → 00:02:08 ว่าในร่างกายของคนคนเราเนี่ยมันมีสิ่งที่
00:02:08 → 00:02:11 เหมือนกันแล้วก็สิ่งที่ต่างกันเนาะอันนึง
00:02:11 → 00:02:14 เนี่ยที่เราต้องรู้ไว้ก็คือว่าพันธุกรรม
00:02:14 → 00:02:16 จะเป็นตัวที่บ่งชี้ว่าความต้องการของร่าง
00:02:16 → 00:02:19 กายของคนเราเนี่ยต้องการเท่าไหร่แต่สิ่ง
00:02:19 → 00:02:21 แวดล้อมที่มีอยู่ข้างนอกเนี่ยก็จะเป็นตัว
00:02:21 → 00:02:26 ที่มาบ่มเพาะบ่มว่าเราควรจะนอนยังไงเราจะ
00:02:26 → 00:02:29 ใช้ชีวิตยังไงค่ะการนอนก็คือการเก็บสะสม
00:02:29 → 00:02:32 พลังงานเป็นเป็น process ที่ร่วมไปกับการ
00:02:32 → 00:02:35 ตื่นการตื่นและการนอนมันจะต้องไปพร้อมกัน
00:02:35 → 00:02:38 ขึ้นกับว่าในวันและเวลาตอนไหนเนี่ยไที่
00:02:38 → 00:02:40 มันเหมาะสมกับการตื่นตอนไหนที่เหมาะสมกับ
00:02:40 → 00:02:42 การนอนเพราะฉะนั้นที่เราบอกว่าเราจะนอนพอ
00:02:42 → 00:02:45 หรือนอนไม่พอตัวเราเองน่ะจะเป็นคนที่บอก
00:02:45 → 00:02:47 ได้ว่าเรานอนพอหรือไม่พอค่ะที่บอกว่า 7
00:02:48 → 00:02:52 ช่มง 8 ชมงเป็นการนอนที่พอก็อันนั้นมัน
00:02:52 → 00:02:55 ได้มาจากไหนมันได้มาจากรีเสิร์ชมันก็เอ่อ
00:02:56 → 00:02:57 บอกได้คร่าว
00:02:57 → 00:03:00 แต่ว่ามันไม่ใช่ one si ออกออืทีนี้คุณ
00:03:00 → 00:03:02 หมอบอกว่ามันมีเรื่องปัจจัยเรื่องของ
00:03:02 → 00:03:05 พันธุกรรมด้วยแปลว่าบางคนมียีนแบบถึกนอน
00:03:05 → 00:03:08 น้อยก็ได้อย่างเงี้ยล่ะคะมีฮะมีที่
00:03:08 → 00:03:11 repอร์ตกันเรามียีนที่เรียกว่า DC2 DC2
00:03:11 → 00:03:13 กลุ่มนี้เนี่ยจะนอนน้อยกว่าชาวบ้านเมัน
00:03:13 → 00:03:16 เหมือนกับมีแบตเตอรี่พิเศษเนาะเป็นแบบที่
00:03:16 → 00:03:18 สามารถจะชาร์จได้เร็วกว่าชาวบ้านเแบตดี
00:03:18 → 00:03:21 กว่าเราเออแบตดีกว่าเราใช่แล้วคนที่นอนก็
00:03:21 → 00:03:23 นอนหลายชั่วโมงอย่างเงี้ยค่ะคุณหมอแต่ว่า
00:03:23 → 00:03:28 พอตื่นขึ้นมาแล้วมันกลับไม่สดชื่นอย่าง
00:03:28 → 00:03:30 เงี้ยหรือว่าก็นอนหลายชั่วโมงแล้วแต่ว่า
00:03:30 → 00:03:32 ไม่ตั้งนาฬิกาผุกก็ไม่ตื่นมันเกิดจากอะไร
00:03:32 → 00:03:34 อ่ะคะครับก็มี 2 อย่างใช่มั้ฮะการที่เรา
00:03:34 → 00:03:37 บอกว่าเรานอนดีนอนไม่ดีอันที่ 1 เวลามัน
00:03:37 → 00:03:40 ถึงหรือเปล่าการที่ 2 ถ้าเวลามันถึง
00:03:40 → 00:03:42 คุณภาพดีหรือเปล่าอือย่างคนบางคนเนี่ย
00:03:43 → 00:03:45 อย่างยกตัวอย่างง่ายๆโรคทิของเราก็คือ
00:03:45 → 00:03:48 sleep appia ค่ะภาวะการหยุดหายใจใน
00:03:48 → 00:03:50 ระหว่างการนอนหลับค่ะคนพวกนี้เนี่ยเ่อบอก
00:03:50 → 00:03:53 ว่าเนอนสบายเลยเข้าหัวถึงหมอนอนปั๊บเลย
00:03:53 → 00:03:56 แล้วก็ตื่นมาก็อาจจะบางคนก็บอกว่างูโงีย
00:03:56 → 00:03:59 หน่อยนึงอะไรแต่ขณะเดียวกันเนี่ยเวลาที่
00:03:59 → 00:04:01 เขานอนเนี่ยทุกครั้งที่เค้านอนเหยุดหายใจ
00:04:01 → 00:04:03 ค่ะเมื่อเค้าหยุดหายใจเนี่ยสมองก็ต้อง
00:04:03 → 00:04:05 สั่งงานละว่าเฮ้ยตื่นหายใจหน่อยถ้าเหยุด
00:04:05 → 00:04:07 หายใจมากกว่า 5 ครั้งต่อชั่วโมงก็เหมือน
00:04:07 → 00:04:13 กับเอ่อคุณชมพู่นอนอยู่แล้วก็เอ่ออ่าลูก
00:04:13 → 00:04:16 มันสะกิดทุกๆทุกๆ 5 นาที 10 นาทีตื่นมา
00:04:16 → 00:04:19 ตอนเช้าคุณชมพู่ก็จะรู้สึกว่าเพลียใช่มั้
00:04:19 → 00:04:22 ฮะก็คือเรื่องของคุณภาพแล้วก็จำนวนในใน
00:04:22 → 00:04:26 การนอนคนบางคนอาจจะแย่หน่อยจำนวนก็ไม่พอ
00:04:26 → 00:04:29 คุณภาพก็แย่พูดกลุ่มพวกนี้ก็จะมีปัญหา
00:04:29 → 00:04:32 เยอะกว่าชาวบ้านเหน่อยอค่ะครับแล้วพยายาม
00:04:32 → 00:04:36 นอนแต่นอนไม่หลับอันนี้เกิดจากอะไรคะคุณ
00:04:36 → 00:04:39 หมออการนอนและการตื่นก็เหมือนกับว่าเรามี
00:04:39 → 00:04:42 2 system ที่มัน parallel มันเดินทางไป
00:04:42 → 00:04:44 ด้วยกันนะฮะเมื่อไหร่ที่ร่างกายต้องการ
00:04:44 → 00:04:47 activity อันนึงมันก็จะบอกว่าเฮ้ย
00:04:47 → 00:04:49 Activity อีกอันนึงมันต้องหยุดไปมัน
00:04:49 → 00:04:51 เหมือนกับยิงยางเหมือนอะไรนะเค้าเรียก
00:04:51 → 00:04:54 อะไรนะ Sympatic กับพาaticใช่ครับใช่
00:04:54 → 00:04:57 sympathตติก็คือเอ่อกลุ่มของการตื่นนะฮะ
00:04:57 → 00:05:00 พารypaticก็เป็นกลุ่มของการนอนนะครับใน
00:05:00 → 00:05:02 กลุ่มของการตื่นเนี่ยsympathติเนี่ยมัน
00:05:02 → 00:05:05 ต้องใช้ฮอร์โมนหรือว่าneurโรitอตัวสาร
00:05:05 → 00:05:07 สื่อประสาทที่จะกระตุ้นให้เราตื่นอยู่
00:05:07 → 00:05:09 ตลอดเวลาแต่ขณะเดียวกันในการนอนเนี่ยอัน
00:05:09 → 00:05:12 ที่ 1 ต้องไปหยุดยั้งอิมติก่อนใช่มั้ฮะ
00:05:12 → 00:05:15 อันที่ 2 เรากระตุ้นตัวของมันเองเนี่ยให้
00:05:15 → 00:05:17 process ของมันเนี่ยเริ่มต้นขึ้นได้อ
00:05:17 → 00:05:19 คราวนี้เนี่ยการตื่นกับการนอนมันก็เหมือน
00:05:19 → 00:05:22 กับเครื่องบินเนาะเครื่องบินเวลาจะลงจอด
00:05:22 → 00:05:24 เนี่ยมันต้องมีอะไรบ้าง
00:05:24 → 00:05:27 อันที่ 1 มันจะต้องลดความเร็วลงอือันที่ 2
00:05:27 → 00:05:30 ทิศทางต้องแน่ชัดว่าตรงนี้เนี่ยเป็นสนาม
00:05:30 → 00:05:32 บิดอันที่ 3 คือลดระดับเพดานลงมาการนอนก็
00:05:33 → 00:05:37 เหมือนกันค่ะถ้าหากว่าเราเดินทางก็คือการ
00:05:37 → 00:05:40 ทำงานในระหว่างวันใช่มั้ยฮะเราจะลงจอดละ
00:05:40 → 00:05:42 การที่เราลงจอดได้เนี่ยถ้าเราไม่Slowดาว
00:05:42 → 00:05:45 เลยเนี่ยค่ะไม่มีทางเลยอืใช่มั้ยครับร่าง
00:05:45 → 00:05:48 กายมนุษย์เนี่ยมันยุ่งยากยุ่งเหยิงกว่า
00:05:48 → 00:05:52 อันนั้นเยอะค่ะกล่าวโดยสรุปคือถ้ายังมี
00:05:52 → 00:05:54 ความเร็วในเรื่องของความคิดอยู่ถ้าเรา
00:05:54 → 00:05:57 slลวslลวมาดาวทำให้เราใช้ไม่ได้หัวของเรา
00:05:57 → 00:06:00 แล้วก็ทั้งกิจกรรมของเราด้วยถูกมั้คะใช่
00:06:00 → 00:06:02 ครับใช่ครับถ้ามันยังเอาลงไม่ได้เนี่ยคุณ
00:06:02 → 00:06:06 ก็จอดไม่ได้ค่ะเวลาที่เราแบบหัวถึงหมอน
00:06:06 → 00:06:08 แล้วอย่างเงี้ยค่ะคุณหมอมันควรจะนานแค่
00:06:08 → 00:06:11 ไหนมันถึงจะหลับลูกชมนะแม่นอนไม่หลับ
00:06:11 → 00:06:15 อย่างงี้พอเปิดอะไรนิดนึง
00:06:15 → 00:06:18 ใช่ครับง่ายมากเด็กแต่เขาก็จะบ่นแล้วว่า
00:06:18 → 00:06:20 ถ้าสัก 5 นาที 10 นาทีเขายังไม่หลับเนี่ย
00:06:20 → 00:06:23 เขาจะรู้สึกว่าออุ๊ยทำไมวันนี้เค้าเนอน
00:06:23 → 00:06:25 ไม่หลับอะไรเงี้ยแต่ว่าในผู้ใหญ่บางทีมัน
00:06:25 → 00:06:27 แบบมันเป็นชั่วโมงชั่วโมงได้เลยนะคะคุณ
00:06:27 → 00:06:28 หมอใช่มั้ยต่างกันใช่มั้ระหว่างเด็กกับ
00:06:28 → 00:06:31 ผู้ใหญ่อะไรที่มันต่างกันอีกเด็กไม่ต้อง
00:06:31 → 00:06:33 คิดอะไรมากเลยวันๆนี่เล่นอย่างเดียวค่ะชม
00:06:33 → 00:06:35 ก็ไม่รู้ว่าเออมันคิดอะไรของมันบอกว่านอน
00:06:35 → 00:06:38 ไม่หลับอะไรอย่างเงี้ยแต่ว่าก็นั่นแหละก็
00:06:38 → 00:06:40 เวลาเนอนไม่หลับชมก็จะเปิดพวกแบบwhiteท
00:06:40 → 00:06:42 noอยสอะไรอย่างเงี้ยให้เขาแป๊บเดียวแป๊บ
00:06:42 → 00:06:44 เดียวเหมือนแบบเหมือนโดนวางยาสลบเลยก็จะ
00:06:44 → 00:06:48 ไปแต่ว่าในผู้ใหญ่อย่างเงี้ยค่ะคุณหมอมัน
00:06:48 → 00:06:52 มันต้องภายในกี่นาทีถึงจะเข้าขายว่าเป็น
00:06:52 → 00:06:55 คนหลับยากอืตรงนี้เนี่ยเราเอามาจากเอ่อ
00:06:55 → 00:07:00 study เอ่องานวิจัยเอ่อหลายๆปีมาละเอ่อ
00:07:00 → 00:07:03 ในทางการแพทย์ของเราเนี่ยคนไข้ของเรา
00:07:03 → 00:07:04 เนี่ยจะนอนหรือไม่นอนเนี่ยเราดูที่คลื่น
00:07:04 → 00:07:07 สมองใช่มั้ฮะคราวนี้เนี่ยเราตรวจการนอน
00:07:07 → 00:07:09 เราตรวจตอนกลางคืนจากขณะเดียวกันเนี่ยเรา
00:07:09 → 00:07:12 มีการตรวจตอนกลางวันด้วยคือความตื่นตัว
00:07:12 → 00:07:14 หรือความหลับง่ายหรือหลับยากเราเรียกว่า
00:07:14 → 00:07:17 MSLT Multiple Sleep Latency Test
00:07:17 → 00:07:21 ก็คือว่าเราให้คนไข้เนี่ยมาเข้าเข้ามาที่
00:07:21 → 00:07:23 Sleep Laab ของเรานะฮะแล้วก็แบ่งมาเป็น
00:07:23 → 00:07:25 sess ทั้งหมด 4-5 session session ละ
00:07:25 → 00:07:28 20 นาทีแล้วก็ติดเครื่องเอ่อดูคลื่นไฟ
00:07:28 → 00:07:31 ฟ้าสมองถ้าคนไข้นอนเราสามารถรู้ได้เลยว่า
00:07:31 → 00:07:34 คนไข้เนี่ยจะนอนตอนไหนปิดไฟแล้วก็นับดู
00:07:34 → 00:07:37 เลยว่าเวลาที่คนไข้หัวถึงหมอปิดไฟแล้ว
00:07:37 → 00:07:39 เนี่ยกับคลื่นสมองที่เปลี่ยนไปเนี่ยมัน
00:07:39 → 00:07:41 ใช้เวลาเท่าไหร่อันนี้กลางวันหรือกลางคืน
00:07:41 → 00:07:43 อันนี้คือตอนที่เราทำ study ในตอนกลางวัน
00:07:44 → 00:07:46 เรียกว่า MSLT คราวนี้เนี่ยเราก็ได้อยู่
00:07:46 → 00:07:50 ที่ว่าถ้าหากว่าเรานอนเร็วเกินไปน้อยกว่า
00:07:50 → 00:07:52 8 นาทีก็อาจจะมีปัญหาเรื่องของ
00:07:52 → 00:07:55 การตื่นคราวนี้เนี่ยพอตอนกลางคืนเราก็ไป
00:07:55 → 00:07:57 ดูว่าพอเราปิดไฟแล้วเนี่ยคนไข้นอนแล้ว
00:07:57 → 00:07:59 เนี่ยใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะคลื่นสมอง
00:07:59 → 00:08:01 เปลี่ยนค่ะเอาตอนกลางคืนกับตอนกลางวัน
00:08:01 → 00:08:04 เนี่ยเอามาดูกันนะฮะว่าค่าเฉลี่ยในการที่
00:08:04 → 00:08:06 ทำให้คนเนี่ยหลับในเวลากลางวันกับกลางคืน
00:08:06 → 00:08:09 เนี่ยมันประมาณเท่าไหร่เราคิดว่าไม่น่าจะ
00:08:09 → 00:08:14 เกิน 15 นาทีเป็นค่าการนอนที่ปกติค่ะแล้ว
00:08:14 → 00:08:16 มันต้องขนาดไหนอ่ะคะคุณหมอที่คิดว่าเออมา
00:08:16 → 00:08:19 พบแพทย์เถอะแบบอย่างเงี้ยคือเข้าข่ายว่า
00:08:19 → 00:08:23 เป็นโรคนอนไม่หลับละอเท่าที่เรามีอยู่ณ
00:08:23 → 00:08:25 เวลานี้เนี่ยก็คงไม่มีอะไรที่มันดีไปกว่า
00:08:25 → 00:08:28 การทำ Slip Study คือว่าต้องไปนอนเอ่อ
00:08:28 → 00:08:30 แล้วก็วัดคลื่นสมองเราพยายามที่จะมีพวก
00:08:31 → 00:08:33 นาฬิกานาฬิกออะไรขึ้นมาเพื่อจะดูว่าเอ่อ
00:08:33 → 00:08:37 เราหลับง่ายหลับยากแค่ไหนซึ่งณปัจจุบัน
00:08:37 → 00:08:40 นี้เนี่ยเราก็ยังใช้คำบอกเล่าของคนไข้
00:08:40 → 00:08:45 ก่อนค่ะเอ่อ Study ในที่ที่เราทำกันก็
00:08:45 → 00:08:47 เป็นเรื่องของ Sleep deprivation ก็คือ
00:08:47 → 00:08:49 ว่าเราอยากจะรู้ว่าคนไข้เนี่ยมีความรู้
00:08:50 → 00:08:51 สึกอดนอน
00:08:51 → 00:08:54 ค่ะเราก็ดูแบบสอบถามให้คนไข้กรอกมาแล้วก็
00:08:54 → 00:08:57 มาดูค่าเอ่อค่าเฉลี่ยแล้วก็ดูว่าค่าอัน
00:08:57 → 00:08:59 ไหนเนี่ยที่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องของ
00:08:59 → 00:09:01 เอ่อภาวะอดนอนและความรู้สึกว่าเรานอนไม่
00:09:01 → 00:09:05 พออเราก็เอ่อได้ข้อมูลออกมาว่ามันมีอยู่ 3
00:09:05 → 00:09:07 อย่างนะฮะอันที่ 1 ถ้าตื่นมาตอนเช้าแล้ว
00:09:07 → 00:09:10 เนี่ยรู้สึกว่าไม่สดชื่นนะครับงูเงีย
00:09:10 → 00:09:14 งูเงียอยู่อันที่ 2 เอ่อตอนตอนกลางวัน
00:09:14 → 00:09:17 เนี่ยรู้สึกง่วงนอนอนะครับอันที่ 3 เนี่ย
00:09:17 → 00:09:19 เป็นความรู้สึกที่ว่ามูดมันสวิงนะฮะคือ
00:09:19 → 00:09:22 อารมณ์มันแปลแปรปรวนแปรปรวนง่ายๆรู้สึก
00:09:22 → 00:09:24 หงุดหงิดง่ายนะฮะ 1 ใน 3 อันนี้เนี่ยเรา
00:09:24 → 00:09:28 ก็บอกได้ว่าอาจจะนอนไม่พอคุณหมอเอาจริงๆ
00:09:28 → 00:09:32 ตอนเช้าเลยเนี่ยเราตื่นมาเนี่ยมันควรจะ
00:09:32 → 00:09:35 แบบปิ๊งสดชื่นอย่างนั้นเลยล่ะคะสมควรครับ
00:09:35 → 00:09:37 สมควรอย่างยิ่งโอเรายังแต่ว่าเป็นไปไม่
00:09:37 → 00:09:39 ได้หรอกครับในโลกนี้เรายังอีกไกลอ่ะเรา
00:09:39 → 00:09:42 ยังไม่ได้แต่ว่าชีวิตคือการเดินทางมันคือ
00:09:42 → 00:09:45 การเดินทางระยะยาวอืไม่ใช่ว่าอะไรที่มัน
00:09:45 → 00:09:48 ผิดปกติวันนี้มันจะเป็นจะตายไม่ใช่อืร่าง
00:09:48 → 00:09:50 กายคนเรานี้มันปรับตัวได้ใช่มั้ฮะมันใช้
00:09:50 → 00:09:53 เวลาค่ะถ้าหากว่าใน 1 อาทิตย์อาจจะเป็น
00:09:53 → 00:09:55 สักวัน 2 วันก็ยังพอให้อภัยได้เพราะร่าง
00:09:55 → 00:09:58 กายสามารถปรับตัวกับมันได้อแต่ถ้าว่าเป็น
00:09:58 → 00:10:00 ทุกวันเลยแล้วก็รู้สึกว่าการงานเราชักจะ
00:10:00 → 00:10:03 เริ่มแย่ลงขับรถแล้วรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน
00:10:03 → 00:10:05 อ่ะตรงนั้นแหละฮะมีปัญหาใหญ่ละโรคนอนไม่
00:10:05 → 00:10:08 หลับเนี่ยเราก็แบ่งออกเป็นอีกเอ่อเป็น
00:10:08 → 00:10:11 หลายๆโรคเลยนะฮะแต่ว่าจริงๆแล้วเนี่ยพอ
00:10:11 → 00:10:13 เราพูดถึงโรคนอนไม่หลับก็คือโรค
00:10:13 → 00:10:16 อินซมเนีย่ะคือภาวะที่นอนไม่หลับเอ่ออัน
00:10:16 → 00:10:19 ที่ 1 เข้านอนปุ๊บกลิ้งไปกลิ้งมาใช่มั้ฮะ
00:10:19 → 00:10:23 อันที่ 2 นอนไปแล้วตื่นง่ายนะครับอือย่าง
00:10:23 → 00:10:26 ไรก็ตามถ้าหากว่าเป็นไปนานๆมากกว่า 6
00:10:26 → 00:10:29 เดือนนะครับเป็นไปแล้วเนี่ยมันกระทบกับ
00:10:29 → 00:10:32 ชีวิตประจำวันและการงานนะครับมีผลกับทาง
00:10:32 → 00:10:34 สุขภาพของเราเองทั้งทางด้านร่างกายและจิต
00:10:34 → 00:10:37 ใจตรงนั้นแหละฮะต้องรีบไปหาหมอละอืเพราะ
00:10:37 → 00:10:40 ว่าอาการของอินซมเนียหรือโรคนอนไม่หลับ
00:10:40 → 00:10:43 เนี่ยมันอาจจะเป็นประตูไปสู่โรคอื่นๆนะ
00:10:43 → 00:10:46 ครับอย่างคนไข้ depression คนไข้ซึมเศร้า
00:10:46 → 00:10:49 นะฮะ 30% ก็จะมาด้วยเรื่องของโรคหนับก่อน
00:10:49 → 00:10:52 นะฮะเราใช้คำว่าโรคนอนไม่หลับในเซนส์ที่
00:10:52 → 00:10:54 ว่าเป็นเรื่องของเรานอนไปแล้วรู้สึกนอน
00:10:54 → 00:10:57 ไม่พอนอนไม่ดีใช่มั้ครับแต่จริงๆแล้ว
00:10:57 → 00:10:59 เนี่ยทางการแพทย์พอพูดถึงนอนไม่หลับเรา
00:10:59 → 00:11:02 พูดถึงอินซเนียแต่การที่เราจะบอกว่าเรา
00:11:02 → 00:11:04 เป็นถึงโรคอซมเนียเนี่ยเราต้องไปดูโรค
00:11:04 → 00:11:07 อย่างอื่นก่อนว่ามันมีอะไรมั้ยอคุณหมอ
00:11:07 → 00:11:11 อย่างี้มันแปลว่านอนไม่หลับก็เลยซึมเศร้า
00:11:11 → 00:11:13 หรือซึมเศร้าแล้วนอนไม่หลับตรงนี้พูดยาก
00:11:13 → 00:11:17 ครับไกลกับใครไกลกับใครใช่แต่ว่ามันก็คือ
00:11:17 → 00:11:20 มันส่งมันชิ่งกันน่ะเนาะทั้งทั้ง 2 อย่าง
00:11:20 → 00:11:23 ใช่ใช่คืออย่างของของชมนะคะขออนุญาตแชร์
00:11:23 → 00:11:27 ก็คือว่ามันก็จะมีจุดที่เราสามารถตื่น
00:11:27 → 00:11:29 ก่อนนาฬิกาปลุกได้เพราะว่ามันเป็นเวลาที่
00:11:29 → 00:11:31 เหมือนกับว่าอ่ะทุกคนต้องตื่นต้องพาลูกไป
00:11:31 → 00:11:35 โรงเรียนต้องไปอะไรแต่ว่าก็รู้สึกว่าช่วง
00:11:35 → 00:11:36 ปีที่แล้วเนี่ยมันจะมีอยู่ช่วงนึงที่มัน
00:11:36 → 00:11:39 เพเฟคมากเลยคือตื่นรู้สึกตัวก่อนนาฬิกา
00:11:39 → 00:11:42 ปลุกแล้วก็ตื่นแบบตื่นเลยไม่ได้งวงเงีย
00:11:42 → 00:11:44 ไม่ได้อะไรแล้วก็ค่อนข้างจะแบบว่าสดใส
00:11:44 → 00:11:47 ทั้งวันซึ่งย้อนไปช่วงก่อนหน้าเนี้ยก่อน
00:11:47 → 00:11:49 ที่เราพยายามจะปรับไลฟ์สไตล์อะไรต่างๆ
00:11:49 → 00:11:52 อย่างเงี้ยค่ะคุณหมอมันก็จะมีช่วงที่แบบ
00:11:52 → 00:11:54 ตกบ่ายนี้คือมันแบบมันจะร่วงให้ได้เลย
00:11:54 → 00:11:57 อะไรเงี้ยแต่ว่าก็มีช่วงที่เรารู้สึก
00:11:57 → 00:12:00 เนี่ยแหละก็พัฒนาตัวเองอะไรมาจนมันรู้สึก
00:12:00 → 00:12:03 ว่าเออมันเพเfคแต่ว่าตอนเนี้ยช่วงเนี้ย
00:12:03 → 00:12:06 เริ่มกลับมารู้สึกว่าการตื่นไปส่งลูก
00:12:06 → 00:12:09 เนี่ยเริ่มเออเริ่มก็ไม่ได้ถึงกับทรมาน
00:12:09 → 00:12:12 แต่ว่าก็เริ่มเป็นปัญหาคือมันรู้สึกตัว
00:12:12 → 00:12:16 แต่ว่ามันไม่ได้เฟรชขนาดนั้นแล้วอะไร
00:12:16 → 00:12:18 อย่างเงี้ยมันมีปัจจัยอะไรที่เปลี่ยนแปลง
00:12:18 → 00:12:22 มั้ที่คุณโชก็อาจจะเหนื่อยก็อาจจะเหนื่อย
00:12:22 → 00:12:24 ขึ้นอาจจะมีบางเรื่องที่แถทำให้มันมัน
00:12:24 → 00:12:26 เหนื่อยขึ้นอะไรเงี้ยแต่ว่าถ้าสมมุติว่า
00:12:26 → 00:12:29 ร่างกายเรามันเป็นอย่างเงี้ยคุณหมอมันแปล
00:12:29 → 00:12:32 ว่าเราอยากนอนมากกว่านี้มั้ยจริงๆคือเรา
00:12:32 → 00:12:34 ต้องเพิ่มไปอีกสักชั่วโมงมั้ยหรือว่ายัง
00:12:34 → 00:12:36 ไงทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันต้องมีคำ
00:12:36 → 00:12:40 อธิบายค่ะใช่มั้ฮะมีเหตุและมีผลก็อย่าง
00:12:40 → 00:12:42 ที่คุณชมบอกว่าตอนแรกเนี่ยเปลี่ยน
00:12:42 → 00:12:44 ไลฟ์สไตล์แล้วทำให้นอนดีขึ้นคราวนี้
00:12:44 → 00:12:46 เปลี่ยนไลฟ์สไตล์นี่เปลี่ยนอะไรบ้างครับ
00:12:46 → 00:12:51 อือืมก็นอนตรงเวลาอ่าก็อืเริ่มเข้าใจ
00:12:51 → 00:12:53 เรื่องอะไร CCI rึมอะไรเงี้ยใช่มั้คะก็
00:12:54 → 00:12:57 พยายามเข้านอนตามเวลาเดิมออกกำลังกายอะไร
00:12:57 → 00:13:00 เงี้ยแต่ก็ก็รู้สึกแหละว่าจริงๆก็คือถ้า
00:13:00 → 00:13:03 สมมุติว่ามันมีงานที่
00:13:03 → 00:13:06 มันบีบเข้ามาด้วยอะไรเงี้ยคะเพราะว่างาน
00:13:06 → 00:13:08 เรามันจะไม่ได้เป็นแบบจันทร์ถึงศุกร์เป็น
00:13:08 → 00:13:10 เป็นรูทีนเป็นอะไรเงี้ยใช่มั้คะบางทีมัน
00:13:10 → 00:13:15 ก็จะเจอจังหวะที่แบบว่า 3-4 วันอาจเจองาน
00:13:15 → 00:13:17 ที่ต้องใช้เอเนอร์จีแบบมาอัดรวมกันอะไร
00:13:17 → 00:13:20 เงี้ยแล้วก็ออกกำลังกายก็ยังอยากทำให้ครบ
00:13:20 → 00:13:23 ตามตารางที่ลงเอาไว้อะไรอย่างเงี้ยเวท
00:13:23 → 00:13:25 ต้องครบคาร์ดิโอต้องครบต้องแบบอะไรเงี้ย
00:13:25 → 00:13:29 ก็บางทีก็รู้สึกว่าเอ๊ะหรือว่ามันพอมันมี
00:13:29 → 00:13:31 งานที่มันแบบแพ็คเข้ามาด้วยก็อาจจะทำให้
00:13:31 → 00:13:34 เราพลังงานเราไม่พอเออก็แปลว่าจริงๆเรา
00:13:34 → 00:13:36 ต้องการนอนเพิ่มขึ้นใช่มั้คะก็คือการนอน
00:13:36 → 00:13:38 ก็คือการสะสมพลังงานเพื่อต่อสู้กับวัน
00:13:38 → 00:13:41 ใหม่ด้วยใช่มั้ฮะแล้วก็สมองมันทั้งส่วน
00:13:41 → 00:13:43 ของร่างกายแล้วก็ส่วนของสมองด้วยใช่มที่
00:13:43 → 00:13:46 บอกว่าgrฮอร์โมนอะไรก็เป็นส่วนหนึ่งของ
00:13:46 → 00:13:48 การทำงานของฮอร์โมนในร่างกายเพื่อจะสะสม
00:13:48 → 00:13:52 พลังงานไว้สู้ในวันต่อไปเพื่อจะซ่อมแซมนะ
00:13:52 → 00:13:54 ฮะก็เหมือนกับสิ่งที่คุณชมบอกว่ามี
00:13:54 → 00:13:57 sympatic กับพasympatic sympatic บอก
00:13:57 → 00:14:00 เฮ้ยสู้พาซyบอกว่าเฮ้ยถอยช้าหน่อยช้า
00:14:01 → 00:14:03 หน่อยเพื่อจะได้ปรับปรุงทำทำการเปลี่ยน
00:14:03 → 00:14:06 แปลงในร่างกายให้สู้ต่อไปในวันหน้าคราว
00:14:06 → 00:14:09 นี้เนี่ยถ้าเกิดว่าคุณชมสู้แหลกเลยไม่มี
00:14:09 → 00:14:11 วันพักเลยพลังงานที่เหลือเนี่ยมันมีพลัง
00:14:11 → 00:14:14 งานสะสมนะฮะเราก็ยังสู้ต่อไปได้แต่เมื่อ
00:14:14 → 00:14:17 ถึงจุดๆหนแล้วเนี่ยมันหมดละค่ะเหมือนทหาร
00:14:17 → 00:14:20 ไปสู้รบกันเนี่ยไม่ไหวแล้วกระสุนก็หมดนะ
00:14:20 → 00:14:22 ฮะไม่มีอะไรเหลืออยู่คุณก็ต้องแพ้อยู่ดี
00:14:22 → 00:14:26 การแพ้ก็คือว่าตัวของเอ่อตัวต่อสู้เนี่ย
00:14:26 → 00:14:28 ไม่ไหวหมดอาวุธทุกอย่างแล้วคราวนี้คุณก็
00:14:28 → 00:14:31 จะแครชก็จะหลับตรงนี้เนี่ยมันเรื่องของ
00:14:31 → 00:14:34 การบริหารจัดการแล้วถ้าเราคิดว่าเราทำงาน
00:14:34 → 00:14:36 เราต้องรู้จักที่จะอยู่กับมันได้อย่าง
00:14:36 → 00:14:39 สันติสุขนะฮะในเรื่องของการงานแล้วก็
00:14:39 → 00:14:43 ชีวิตของส่วนตัวทำยังไงถึงจะอยู่ได้อย่าง
00:14:43 → 00:14:46 เป็นสุขที่สุดก็คืออย่าไปคิดมากนะฮะอย่าง
00:14:46 → 00:14:49 ที่ที่คุณชมบอกว่าฉันจะเอาหมดทุกอย่างเลย
00:14:49 → 00:14:52 วันไหนที่งานมันเยอะก็อาจจะลดเอ่อการทำ
00:14:52 → 00:14:55 งานลงไปนะครับวันไหนที่เบาๆหน่อยอ่ะวัน
00:14:55 → 00:14:58 นั้นเราก็เพิ่ม exercise ได้คือต้องเป็น
00:14:58 → 00:15:00 คนที่ flexible พอสมควรร่างกายเราเนี่ย
00:15:00 → 00:15:03 มัน flexible flexible อย่างมากๆค่ะไม่
00:15:03 → 00:15:06 ต้องถึงขั้นเป็น insomnia หรอกแต่ว่านอน
00:15:06 → 00:15:09 ไม่ดีบ่อยๆอย่างเงี้ยค่ะคุณหมออืเหมือน
00:15:09 → 00:15:12 กับว่าเราการนอนของเราแบบมันไม่ได้คุณภาพ
00:15:12 → 00:15:14 แล้วก็อาจจะไม่ได้ปริมาณด้วยเงี้ยครับผม
00:15:15 → 00:15:17 เป็นบ่อยๆเข้ามันส่งผลต่ออะไรบ้างคะก็จะ
00:15:17 → 00:15:19 เกิดภาวะที่เรียกว่าภาวะการอดนอนเมื่อ
00:15:19 → 00:15:24 ไหร่ที่นอนไม่พอนะครับก็จะส่งผลเต็มเลย
00:15:24 → 00:15:27 ค่ะซิมติต้องทำงานมากขึ้นใช่มั้ยฮะ
00:15:27 → 00:15:28 พาราซิมติกก็พยายามจะทำงานเหมือนกันแต่
00:15:28 → 00:15:32 แข่งสู้กับติไม่ได้ภาวะสมดุลในร่างกาย
00:15:32 → 00:15:36 เสียไปค่ะภาวะในสมดุลในร่างกายเสียไปเกิด
00:15:36 → 00:15:38 strสมากขึ้นอืstrสมากขึ้นเกิด
00:15:38 → 00:15:40 inflammation หรือว่าการอักเสบภายในร่าง
00:15:40 → 00:15:43 กายที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในหัวจดเท้าเลยใช่
00:15:43 → 00:15:47 มั้ฮะสมองก็รู้สึกไงความจำสมาธิก็ไม่ดี
00:15:47 → 00:15:49 การเรียนรู้ก็ไม่ดีความสามารถในการทำงาน
00:15:49 → 00:15:52 ประสิทธิภาพในการทำงานน้อยลงอันที่ 2
00:15:52 → 00:15:55 accident ค่ะใช่มั้ฮะพอคนที่นอนไม่พอก็
00:15:55 → 00:15:58 จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าmicครosleepหลับใน
00:15:58 → 00:16:00 ก็มีโอกาสที่จะเกิด accident มากขึ้นใช่
00:16:00 → 00:16:04 มั้ฮะอันที่ 3 ตัวเราเองอิมมูนเป็นยังไง
00:16:04 → 00:16:06 รู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้นอนมาสัก 3-4 วัน
00:16:06 → 00:16:08 เนี่ยนอน 3-4 ชั่วโมง 3-4 วันเนี่ยรู้สึก
00:16:08 → 00:16:11 แผ่วรู้สึกว่าหายใจเนี่ยร้อนๆนะรุ่นเนี้ย
00:16:11 → 00:16:15 นะอืรุ่นนี้แค่คืนเดียวคือถ้าเมื่อคืนนอน
00:16:15 → 00:16:20 ไม่ดีอ่ะคือมันรู้สึกทั้งวันเลยอือคือตอน
00:16:20 → 00:16:22 เด็กๆอ่ะเราอาจจะ get away ได้อเหมือน
00:16:22 → 00:16:26 เราแบบว่านอน 3-4 ช่มง 2-3 ชั่วโมงบางที
00:16:26 → 00:16:29 ตื่นขึ้นมาซัดกาแฟมันก็มันก็ทูซี้ไปได้
00:16:29 → 00:16:32 แต่รุ่นเนี้ยมันไม่ได้แต่ว่าจริงๆเรื่อง
00:16:32 → 00:16:34 นี้ที่คุณหมอพูดถึงเรื่อง information
00:16:34 → 00:16:36 ว่าอย่างนึงที่เห็นได้ชัดเลยนะคืออดนอน
00:16:36 → 00:16:39 แล้วจะต้องเป็นร้อนในหรือไม่ก็จะสิวขึ้น
00:16:39 → 00:16:42 อันเนี้ยง่ายๆเลยครับผมแต่ถ้าเป็นไปนานๆ
00:16:42 → 00:16:45 หลอดเลือดค่ะติดได้ใช่มั้ฮะก็เป็นโรคหัว
00:16:45 → 00:16:48 ใจความดันเบาหวานก็อาจจะมีโอกาสที่จะเป็น
00:16:48 → 00:16:50 มะเร็งเพิ่มมากขึ้นเพราะว่าอิมมูนของเรา
00:16:50 → 00:16:54 มันไม่ดีก็สารพัดโลกก็ตามมาครับแต่ที่แย่
00:16:54 → 00:16:56 ที่สุดคือประสิทธิภาพในการทำงานแล้วก็
00:16:56 → 00:16:58 ความเป็นอยู่ชีวิตความเป็นอยู่ในแต่ละวัน
00:16:58 → 00:17:03 นะฮะ deess เกิดความเอ่อตกกบฏได้ง่ายเป็น
00:17:03 → 00:17:05 พวกซึมเศร้าได้ง่ายครับค่ะอันเนี้ชมเคย
00:17:05 → 00:17:07 ฟังมาไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าคุณหมอเาบอก
00:17:07 → 00:17:09 ว่า
00:17:09 → 00:17:12 เอ่อมนุษย์คือมันมีเรื่องของ circadian
00:17:12 → 00:17:14 ตึ้มแหละแต่ว่าเบอกว่ามนุษย์แต่ละคนเนี่ย
00:17:14 → 00:17:18 มียีนของการแบบนอนกี่โมงเพราะว่ายีนของ
00:17:18 → 00:17:21 การนอนกี่โมงเออคือเขาเล่าว่าในยุคที่แบบ
00:17:21 → 00:17:23 ว่าเราเป็นคนป่าคนมนุษย์ถ้ำอะไรอย่าง
00:17:24 → 00:17:27 เงี้ยอืเราจะต้องแบบออกมาสลับกันเฝ้ากอง
00:17:27 → 00:17:32 ไฝอ่าใช่แล้วก็บรรพบุรุษที่แบบว่าเฝ้า
00:17:32 → 00:17:36 สมมุติว่า 2:00 น.ถึงอะไรอย่างเงี้ยเค้า
00:17:36 → 00:17:41 ก็จะเป็นคนที่เหมือนตื่นนอนตามแบบตาม
00:17:41 → 00:17:44 บรรพบุรุษแบบนั้นน่ะสืบสืบทอดกันมาอะไร
00:17:44 → 00:17:47 เงี้ยจริงมั้คะคุณหมออเอ่อเฮ้ยคลิปผมเอง
00:17:47 → 00:17:49 รือเปล่าวะเอ้าจริงเหรอคุณหมอเคยพูดด้วย
00:17:49 → 00:17:52 เหรอก็คืออย่างงี้เอ่อเรื่องของการนอน
00:17:52 → 00:17:55 เนี่ยเอ่อการจะบอกว่าเรานอนนอนเร็วนอนสาย
00:17:55 → 00:17:58 เนี่ยเป็นจีนจริงๆนะฮะเราก็เลยแบ่งคนออก
00:17:58 → 00:18:02 มาเป็น 3 จำพวกใช่มั้ฮะเป็นพวกอาวพวกนก
00:18:02 → 00:18:05 ฮูกพวกนี้นอนดึกเนาะคือเฝ้ากองไฟตอนดึก
00:18:05 → 00:18:08 อ่าใช่ๆแล้วก็กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่เอ่อ
00:18:08 → 00:18:12 ฟุ่มที่นอนตามปกติค่ะนะฮะนอนเอ่อตอนกลาง
00:18:12 → 00:18:15 คืนตื่นตอนเช้าและอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ
00:18:15 → 00:18:18 กลุ่มพวกนกที่ชอบร้องเพลงตอนเช้าๆนะฮะที่
00:18:18 → 00:18:21 ทำให้เราตื่นตอน 5:00 น.นี่แหละไอ้นกพวก
00:18:21 → 00:18:23 นี้แหละคือเข้านอนเร็วตื่นเร็วพวกนี้เป็น
00:18:23 → 00:18:26 เรื่องของเจนติกนะฮะคนมากกว่า 50% เนี่ย
00:18:26 → 00:18:28 จะเป็นพวกดัฟคือนอนตามปกติไปแต่ว่าจะ
00:18:29 → 00:18:30 กลุ่มนึงเนี้ยจะนอนเร็วอีกกลุ่มนึงเจะนอน
00:18:30 → 00:18:33 สายอย่างไรก็ตามในคนกลุ่มพวกนี้เนี่ยถ้า
00:18:33 → 00:18:36 นอนพอเขาก็โอเคยกว่าจะมียีนพิเศษอย่างพวก
00:18:36 → 00:18:39 DC2 ก็จะทำให้พวกนี้เอ่อในคนกลุ่มที่มี
00:18:39 → 00:18:42 DC2 ก็จะนอนได้น้อยกว่าปกตินอนได้น้อย
00:18:42 → 00:18:45 กว่าอืแล้วสมมุติอ่ะตอนนี้เขาชอบพูดกัน
00:18:45 → 00:18:47 ถึงเรื่องว่าใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับ CCAR
00:18:47 → 00:18:50 Rึมอะไรอย่างเงี้ยค่ะอสมมุติว่าเอากลุ่ม
00:18:50 → 00:18:56 อาวมาฝึกใช้ชีวิตตื่นเช้ามามองพระอาทิตย์
00:18:56 → 00:18:59 แล้วก็อะไรอย่างเงี้ยแบบใช้ชีวิตตาม
00:18:59 → 00:19:01 เซอร์cardเดี้นอะไรอย่างเงี้ยเค้าจะแบบ
00:19:01 → 00:19:03 ว่านอนเหมือนคนปกติได้มั้ยคะว้าวอันนี้มี
00:19:03 → 00:19:06 งานวิจัยที่ทำมาเหมือนกันนะฮะเราพยายาม
00:19:06 → 00:19:09 ที่จะเปลี่ยนเราคิดว่าทุกสิทุกสิ่งทุก
00:19:09 → 00:19:12 อย่างในร่างกายเราเนี่ยฝึกได้ค่ะเอ่อถ้า
00:19:12 → 00:19:14 เราเอาคนกลุ่มนั้นมาเนี่ยเอามาฝึกเนี่ยผล
00:19:14 → 00:19:18 เนี่ยมันค่อนข้างจะfaี่มากเลยอืบางบางคน
00:19:18 → 00:19:21 ก็ฝึกฝึกได้บางคนก็ฝึกไม่ได้คราวนี้มันก็
00:19:21 → 00:19:24 เกิดคำถามว่าแล้วยังไงวะเนี่ยว่าเรารู้
00:19:24 → 00:19:26 ได้ไงว่าไอ้คนนี้มันเป็นอตัวจริงใช่มั้ย
00:19:26 → 00:19:29 เพราะอานี่ส่วนมากมันเป็นเรื่องของ
00:19:29 → 00:19:32 environment เป็นเรื่องของการฝึกฝนค่ะ
00:19:32 → 00:19:34 เพราะว่าเราเนี่ยมีแนวโน้มตั้งแต่เราตอน
00:19:34 → 00:19:37 ที่เราเรียนสมัยมัธยมเป็นไงฮะเราเริ่มนอน
00:19:37 → 00:19:40 ดึกตื่นก็ต้องตื่นเช้าเนี่ยรถติดใช่มั้ฮะ
00:19:41 → 00:19:44 เรากลายเป็นอาวไปกลายๆละกลุ่มนี้เนี่ย
00:19:44 → 00:19:46 เป็นไปได้มั้ยที่ไอ้งานวิจัยต่างๆเนี่ย
00:19:46 → 00:19:48 เอามาบอกว่าสามารถจะฝึกได้เนี่ยมันก็คือ
00:19:48 → 00:19:51 กลุ่มที่มันไม่ใช่หรอกแต่ว่าเป็นกลุ่มที่
00:19:51 → 00:19:54 เปลี่ยนแปลง Environment ใช่แต่ถ้าถามว่า
00:19:54 → 00:19:58 ฝึกได้มยมีแนวโน้มที่จะทำได้เพราะว่าทุก
00:19:58 → 00:19:59 อย่างในร่างกายของคนเราเนี่ยมันเปลี่ยน
00:19:59 → 00:20:03 แปลงเอ่อไปได้โดยจีนจีนเนี่ยมันเปลี่ยน
00:20:03 → 00:20:06 แปลงไปตามสิ่งแวดล้อมได้นะฮะตอนนี้เรารู้
00:20:06 → 00:20:10 ละเราเรียกว่า epigenetic ผมคิดว่ามัน
00:20:10 → 00:20:12 เป็นเรื่องของไอ้การที่เราจะนอนเวลาไหน
00:20:12 → 00:20:14 ตื่นเวลาไหนอาจจะเป็นเรื่องของ
00:20:14 → 00:20:16 Environment ซะมากกว่าเรื่องของ Social
00:20:16 → 00:20:18 กับ Environment ค่ะว่าเราต้องการที่ต้อง
00:20:18 → 00:20:20 ทำทำมากน้อยแค่ไหนอย่างเงี้ยหมายความว่า
00:20:20 → 00:20:25 คนที่เหมือนเขาต้องทำงานกะกลางคืนหรือว่า
00:20:25 → 00:20:27 ด้วยอาชีพด้วยอะไรอย่างเงี้ยคุณหมอเขา
00:20:27 → 00:20:31 ต้องเป็นอ่าวอือๆกลางวันเ้าต้องใช้ชีวิต
00:20:31 → 00:20:35 ยังไงคะต้องนอนต้องนอนเพราะไม่งั้นเค้าก็
00:20:35 → 00:20:38 ไม่มีไม่มีโอกาสที่จะพักผ่อนได้เลยอืคือ
00:20:38 → 00:20:40 คนกลุ่มนี้เนี่ยเป็นกลุ่มที่น่าสงสารเรา
00:20:40 → 00:20:43 เรียกว่า Shift Work disorder นะฮะพวก
00:20:43 → 00:20:45 ที่ทำงานเป็นกะกลุ่มนี้เนี่ยถ้าเราเอามา
00:20:45 → 00:20:48 ทำ study ดูเนี่ยดูว่าในระยะยาวซึ่งเมือง
00:20:48 → 00:20:50 ไทยเราไม่มีเราต้องไปเอาdata้าจากต่าง
00:20:50 → 00:20:53 ประเทศเเราพบว่าในคนกลุ่มนี้เนี่ยมีโอกาส
00:20:53 → 00:20:55 ที่อันที่ 1 อ้วนได้ง่ายกว่าชาวบ้านเอัน
00:20:55 → 00:20:58 ที่ 2 มีโอกาสเป็นโรคเป็นโรคเบาหวานความ
00:20:58 → 00:21:02 ดันตายก่อนก่อนคนอื่นเขานะฮะในกลุ่มนี้
00:21:02 → 00:21:06 เนี่ยมันมีปัญหาเป็นเพราะว่าเค้าคงจะ
00:21:06 → 00:21:09 พยายามจะปรับตัวแล้วแต่ว่ามันอาจจะextrม
00:21:09 → 00:21:12 มันเกินไปกว่าที่ร่างกายมันจะทนไหวค่ะนะ
00:21:12 → 00:21:15 ฮะเพราะว่าอ่ะอย่างที่เขาบอกว่าพอเราตื่น
00:21:15 → 00:21:18 มาแล้วเหมือนเราเห็นพระอาทิตย์อย่างเงี้ย
00:21:18 → 00:21:20 ใช่มั้คะอร่างกายเราก็จะรู้แล้วว่า
00:21:20 → 00:21:23 คอร์ตซอต้องมานะเมลาโทนินต้องมากี่โมงกี่
00:21:23 → 00:21:27 โมงเงี้ยแล้วพอถึงเวลาเาเจะหลับได้อืมอ่ะ
00:21:27 → 00:21:29 เพราะว่าก็เห็นพระอาทิตย์แล้วอะไรอย่าง
00:21:29 → 00:21:31 เงี้ยพวกนี้มันเรื่องของเcardนนะฮะ
00:21:31 → 00:21:33 เcardี้นนี่คือมันขึ้นไปตามพระอาทิตย์ค่ะ
00:21:33 → 00:21:37 เพราะว่าเรื่องของฮอร์โมนอุณหภูมิร่างกาย
00:21:37 → 00:21:40 เมลาโตนินพวกนี้เนี่ยมันจะไปตามไซเคิลตาม
00:21:40 → 00:21:42 ภาซึ่งแปลว่าการที่เขาต้องหลับตอนกลางวัน
00:21:42 → 00:21:45 อย่างเงี้ยการหลับเ้ามันก็มันก็มันก็ขัด
00:21:45 → 00:21:46 กับหลักธรรมชาติ
00:21:46 → 00:21:49 มันก็ใช่ๆมันก็จะเป็นการนอนที่ไม่มี
00:21:49 → 00:21:52 คุณภาพมั้ยคุณหมอใช่ครับอใช่แล้วพวกนี้
00:21:52 → 00:21:55 เนี่ยมันเป็นระยะยาวนะฮะคือการสะสมเหมือน
00:21:55 → 00:21:58 กับน้ำเราไปเติมน้ำในแก้วเปล่าแก้วเปล่า
00:21:58 → 00:22:02 เป็นร่างกายเราน้ำเป็นโรคนะวันแรกๆเติม
00:22:02 → 00:22:05 เข้าไปก็ยังโอเคอยู่มันก็อยู่ในแก้วทนได้
00:22:05 → 00:22:07 แต่เมื่อไหร่ที่น้ำมันล้นแก้วแล้วเนี่ย
00:22:07 → 00:22:11 แค่หยดเดียวมันก็เกิดเรื่องละเปียกหมดนะ
00:22:11 → 00:22:16 ฮะอร่างกายของคนเราก็ทำได้สู้ได้ในระดับ
00:22:16 → 00:22:18 เพราะฉะนั้นเนี่ยเราต้องวางแผนก็ต้องปรับ
00:22:18 → 00:22:20 ตัวฮะก็คือเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ
00:22:20 → 00:22:23 อย่างที่ที่เรียนให้ทราบฮะอกลับมาที่
00:22:23 → 00:22:26 เรื่องการนอนดีกว่าคะคุณหมอการนอนมันมี
00:22:26 → 00:22:30 กี่เค้าเรียกว่าอะไรอ่ะกี่ระยะกี่เฟสกลไก
00:22:30 → 00:22:32 ของการนอนเป็นยังไงบ้างคะอคือถ้าเราจะพูด
00:22:32 → 00:22:35 ถึงกลไกในการนอนนะฮะก็เป็นโอนนี่เรื่อง
00:22:35 → 00:22:38 ใหญ่เลยแต่ถ้าถามว่ามันมีเป็นกี่เฟสไปตาม
00:22:38 → 00:22:41 คลื่นไฟฟ้าสมองค่ะมันก็จะมีเรื่องของ non
00:22:41 → 00:22:43 rem กับ rem sleep ใช่มั้ยฮะตัวเรม
00:22:43 → 00:22:46 sleep ชื่อมันก็บอกว่าบอกอยู่แล้วมัน
00:22:46 → 00:22:50 Rapid eye movement rapid เร็ว ey ตา
00:22:50 → 00:22:53 Movement เมื่อไหร่ที่เรานอนแล้วตรวจดู
00:22:53 → 00:22:56 คลื่นสมองแล้วมันเป็นไปตามการนอนแต่ตามัน
00:22:56 → 00:22:59 กระตุกไปมาตรงนั้นน่ะเราเรียกว่า R Sleep
00:22:59 → 00:23:01 เราคิดว่า R Sleeve เนี่ยเป็นช่วงของ mm
00:23:01 → 00:23:04 เครื่องเรื่องของการถ่ายเทความทรงจำความ
00:23:04 → 00:23:07 ทรงจำระยะสั้นไปสู่ระยะยาวแล้วมีanาลalิ
00:23:07 → 00:23:10 มีการวิเคราะห์นะฮะเราถ้าเราคิดว่าการ
00:23:10 → 00:23:13 วิเคราะห์เรื่องต่างๆเนี่ยจะต้องทำตอน
00:23:13 → 00:23:16 กลางวันไม่ใช่มันทำถึงตอนกลางคืนด้วยอ
00:23:16 → 00:23:19 อย่างพวกเด็กผมต้องบอกพวกเด็กนักเรียนของ
00:23:19 → 00:23:22 เราเสมอฮะว่าการอ่านหนังสือสอบเนี่ยไป
00:23:22 → 00:23:25 อ่านก่อนวันนึงก่อนสอบเนี่ยไร้ค่าสิ้นดี
00:23:25 → 00:23:28 ยูไปนอนซะดีกว่าใช่มั้ยฮะเพราะยูต้องการ
00:23:28 → 00:23:30 อะไรยูต้องการ rem sleeve เพื่อเอามา
00:23:30 → 00:23:33 process ไอ้ตัว memory ของ rem sleeve
00:23:33 → 00:23:35 เป็นส่วนที่สำคัญในเรื่องของ memory และ
00:23:35 → 00:23:36 ความฝันนะฮะความฝันก็เป็นเรื่องของ
00:23:37 → 00:23:39 decoding coding เป็น encryption ของ
00:23:39 → 00:23:42 สมองอย่างนึงค่ะคราวนี้เนี่ยไอ้ช่วงที่ 2
00:23:42 → 00:23:45 ก็คือเอ่อเอ่อ non R sleep นะฮะจริงๆ
00:23:45 → 00:23:48 แล้วมันเป็นช่วงแรกคือการนอนของเราของคน
00:23:48 → 00:23:49 เราเนี่ยมันจะเริ่มจาก non Rem Sleep
00:23:49 → 00:23:53 ก่อนเป็นสage 1 2 3 ถึงหมอนปึ๊บอ่าพอ
00:23:53 → 00:23:56 เริ่มไปละอันนี้ก็คือ non REM ทันทีเลย
00:23:56 → 00:23:57 ใช่มั้ Non non Rem ครับเพราะว่าคลื่น
00:23:58 → 00:24:00 สมองเนี่ยเวลาที่เราตื่นเนี่ยมันควรจะ
00:24:00 → 00:24:03 เป็นไงความถี่ก็จะเยอะใช่มั้ฮะพอเราเริ่ม
00:24:03 → 00:24:05 นอนแล้วเนี่ยความถี่มันก็เริ่มช้าลงเราก็
00:24:05 → 00:24:08 เลยสามารถที่จะแยกได้จากการดูตรวจดู
00:24:08 → 00:24:12 เรื่องของการนอนค่ะพอมันเข้า N1 N1 นี่
00:24:12 → 00:24:14 เป็นช่วงหลับๆตื่น N2 เนี่ยคือช่วงการนอน
00:24:14 → 00:24:18 ทั่วไปนะฮะพอ N3 ก็คือการนอนหลับแบบลึก
00:24:18 → 00:24:20 เราบอกว่า Deep Sleep เพราะว่าในช่วงนี้
00:24:20 → 00:24:23 เนี่ยเป็นช่วงที่ร่างกายเนี่ยเริ่มมีการ
00:24:23 → 00:24:26 เอ่อหลั่งพวกโสธาร์โมนGRมนมันเริ่มจาก
00:24:26 → 00:24:29 เอ่อตอนที่เราหลับใหม่ๆนะฮะเอ่อแต่ว่ามัน
00:24:29 → 00:24:32 อยู่ได้ไม่นานอยู่ได้ประมาณซัก 1 1 ใน 3
00:24:32 → 00:24:36 ของการนอนก็เริ่มหายไปละค่ะคราวนี้เนี่ย
00:24:36 → 00:24:38 ทุกๆ 90 นาทีเนี่ยก็จะมีการเปลี่ยนจาก non
00:24:38 → 00:24:41 REM เป็น rem sleep แล้ว remleep มันก็
00:24:41 → 00:24:42 จะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:24:42 → 00:24:45 ตอนก่อนที่เราจะตื่นตอนเช้าเนี่ยเราจะฝัน
00:24:45 → 00:24:47 สนุกเลยอืใช่มั้ฮะเพราะว่าเรมลีepมันจะ
00:24:47 → 00:24:49 มากขึ้นแต่จริงๆก่อนหน้าเนี้ยเราก็มีเรม
00:24:49 → 00:24:52 sleep มาทั้งคืนแล้วใช่ฮะทุกๆ 90 นาที
00:24:52 → 00:24:53 อันนี้ที่เขาเรียก sleep cycle ป่ะคะคุณ
00:24:53 → 00:24:55 บอกเวลาเวลาที่อยู่ในแหวนอยู่ในอะไรอย่าง
00:24:55 → 00:24:58 เงี้ยใช่ๆก็เป็นอย่างงั้นฮะแต่ว่าในแหวน
00:24:58 → 00:25:00 เนี่ยตอนนี้เนี่ยมันก็พยายามที่จะแบ่งออก
00:25:00 → 00:25:04 เป็นแค่เอ่อ Deep Sleep กับเอ่อเป็น
00:25:04 → 00:25:06 Superficial Sleep แล้วก็เป็นเอ่อ R
00:25:06 → 00:25:11 Sleep นะฮะแบ่งเป็น 3 อย่างค่ะแล้ว
00:25:11 → 00:25:15 ในแบบการหลับที่ดีในอุดมคติอ่ะค่ะควรจะมี
00:25:15 → 00:25:17 Deep EP sleep กี่ชั่วโมงคะคุณหมอ Deep
00:25:17 → 00:25:21 EP sleep เนี่ยก็ประมาณเอ่อที่ซัก 20%
00:25:21 → 00:25:24 นะฮะเรานอนถ้าตีซะว่าเรานอน 8 ชม. 20%
00:25:24 → 00:25:27 เอ่อก็คือ 1 ใน 1 ใน 5 ก็ประมาณสัก
00:25:27 → 00:25:30 ชั่วโมงกว่าชั่วโมงกว่าก็หรูแล้วก็หรู
00:25:30 → 00:25:33 แล้วครับผมแล้วถ้าเกิดสำหรับคนที่อายุ
00:25:33 → 00:25:37 เอ่อมากกว่ามากกว่า 18 ปีนะฮะก็น่าจะโอเค
00:25:37 → 00:25:39 อยู่แล้วถ้าได้มากกว่านี่ถือว่าเยอะไปมั้
00:25:39 → 00:25:43 คะ EP Sleep เราไม่รู้ฮะว่ามันจะดีมั้ย
00:25:43 → 00:25:46 แต่เรารู้ว่าในคนที่เอ่อนั่งสมาธิทำสมาธิ
00:25:46 → 00:25:48 บ่อยๆเนี่ยอาจจะมี Slip ที่เพิ่มมากขึ้น
00:25:48 → 00:25:51 ได้อ่านะครับแต่ว่าความหมายของมันเนี่ย
00:25:51 → 00:25:54 มันมีประโยชน์มยเราไม่ดูค่ะแล้วไซเคิลล่ะ
00:25:54 → 00:25:57 คะคุณบควรจะได้กี่ไซเคิลไซเคิลก็ 4-5
00:25:57 → 00:26:01 ไซเคิล 4-5 ไซเคิลอือเพราะฉะนั้นแน่นอน
00:26:01 → 00:26:04 นอน 3 ช่มงไม่มีทางได้ 4-5 ไซเคิลครับผม
00:26:05 → 00:26:07 เวลาเรานอนดึกติดต่อกันหลายๆวันอย่าง
00:26:07 → 00:26:09 เงี้ยค่ะหรือไม่ต้องติดต่ออะไรวะหรอก
00:26:09 → 00:26:12 สมมุติเมื่อคืนนอนดึกอย่าเงี้ยอือแล้ววัน
00:26:12 → 00:26:15 เนี้เรามานอนชดเชยเอาอย่างเงี้ยมาแบบว่า
00:26:15 → 00:26:18 ใช้หนี้มันมันช่วยได้ใช่มั้คะได้แน่นอน
00:26:18 → 00:26:21 เลยฮะคือเรื่องของหนี้การนอนก็มีการศึกษา
00:26:21 → 00:26:23 กันเยอะเหมือนกันนะฮะเรื่องของ sleep
00:26:23 → 00:26:25 Sipet เนี่ยก็แบ่งออกมาเป็นเรื่องของ
00:26:25 → 00:26:29 หนี้แบบชั่วคราวหนี้แบบเอ่อเอ่อเกิดขึ้น
00:26:29 → 00:26:33 แบบในระยะสั้นๆกับหนี้ระยะยาวนะฮะทั้ง 2
00:26:33 → 00:26:37 อันนี้เนี่ยมันก็ส่งผลเสียให้กับร่างกาย
00:26:37 → 00:26:40 เหมือนกันแต่ว่าเป็นในลักษณะที่ว่ามันมาก
00:26:40 → 00:26:44 และน้อยต่างกันนะฮะทำไปนานๆมีนี่ต้องอด
00:26:44 → 00:26:46 หลับอดนอนไปนานๆอันนั้นถึงตายได้ใน
00:26:46 → 00:26:50 ญี่ปุ่นใช่มั้ยฮะก็เอ่อแต่ว่าถ้าหากว่า
00:26:50 → 00:26:54 เดี๋ยว 3-4 วันอดนอนแล้วไปนอนเพิ่มเติมใน
00:26:54 → 00:26:57 วันเสาร์อาทิตย์อ่าอย่างนั้นน่ะก็พออยู่
00:26:57 → 00:27:00 ได้เราเรียกว่า Sleep Recovery อืโดยมาก
00:27:00 → 00:27:02 แล้วเนี่ยเอ่อในสดี้ต่างๆที่เอามารวมกัน
00:27:02 → 00:27:05 แล้วเรามารีวิวเนี่ยเราพบว่าประมาณซักถ้า
00:27:05 → 00:27:08 สมมุติว่าเราเรานอนหายไป 1 ช่โมงเราอาจจะ
00:27:08 → 00:27:11 ใช้เวลาประมาณสัก 4 วันที่จะฟื้นฟูหู
00:27:11 → 00:27:14 อย่างสมมุติว่าคุณชมอดนอนไปสัก 4 วันค่ะ
00:27:14 → 00:27:17 เราไปวัดเอ่อค่าของอดนอนนี่คือหมายถึงว่า
00:27:17 → 00:27:22 คือลดลดเวลานอนใช่ๆที่ทำมาส่วนมากจะใช้
00:27:22 → 00:27:24 เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงสมมุติว่าเอาคุณชม
00:27:24 → 00:27:27 มานอน 3-4 ช่มงนะฮะภายในเวลา 5 วันแล้วก็
00:27:27 → 00:27:30 ไปวัดดูว่าค่าการอักเสบเนี่ยเราเรียกว่า
00:27:30 → 00:27:33 CRP มันมากน้อยแค่ไหนใช่มั้ยฮะคราวนี้
00:27:33 → 00:27:36 เนี่ยเอ่อถ้ามันไอ้ค่า CRP นี้มันจะเพิ่ม
00:27:36 → 00:27:39 ขึ้นเวลาที่คุณชมอบนอนคราวนี้คุณชมก็ไป
00:27:39 → 00:27:43 นอนพอไปนอนสัก 3-4 วันนอนมากขึ้น 2
00:27:43 → 00:27:46 ชั่วโมง 4 ช่มง 5 ช่โมงไปปรากฏว่ามันใช้
00:27:46 → 00:27:48 เวลาเป็นอาทิตย์กว่าที่มันจะกลับมาเป็น
00:27:48 → 00:27:52 ปกติถึงแม้ว่าชั่วโมงมันจะทบไปใช่ครับคือ
00:27:52 → 00:27:55 ผลกระทบเนี่ยมันเป็นระยะเวลายาวนานอ๋อคือ
00:27:55 → 00:27:58 ไม่ใช่ว่าแกอดนอน 4 ช่โมงแล้ววันนี้มา
00:27:58 → 00:28:00 เพิ่มอีก 4 ช่โมงแล้วจะแบบว่าใช้หนี้กัน
00:28:00 → 00:28:03 ได้อะไรเงี้ยไม่ใช่ในบางเรื่องใช่แต่ว่า
00:28:03 → 00:28:05 เอ่อร่างกายเราเนี่ยมันค่อนค่อนข้างจะ
00:28:05 → 00:28:07 complex ใน system แต่ละ system เนี่ย
00:28:07 → 00:28:10 มันทำงานต่างกันออันนี้เขาบอกว่านอนกลาง
00:28:10 → 00:28:14 วันน่ะมันจะช่วยแบบชะลอความแก่ของสมองทำ
00:28:14 → 00:28:16 ให้สมองดีขึ้นจริงมั้คะคุณหมออันนี้มี
00:28:16 → 00:28:18 study ที่บอกจริงฮะจริงในเรื่องของความ
00:28:18 → 00:28:21 สงทรงจำแล้วก็เรื่องของสมาธิที่Powerา
00:28:21 → 00:28:23 อย่างเงี้ยล่ะคุณอ่าใช่มีเรื่องน้ำหนัก
00:28:23 → 00:28:26 ของสมองมันจะมากขึ้นถ้าหากว่าเรางีบหลับ
00:28:26 → 00:28:29 แต่จริงๆแล้วเนี่ยคนที่จะได้ประโยชน์จาก
00:28:29 → 00:28:31 การงีบหลับมากที่สุดคือคนที่นอนไม่พอค่ะ
00:28:32 → 00:28:34 สมมุติว่าคนที่นอน 4 4 ช่โมง 5 ช่โมง
00:28:34 → 00:28:36 แล้วไปงีบหลับตอนกลางวันนะฮะคนกลุ่มนี้
00:28:36 → 00:28:39 เนี่ยจะได้ประโยชน์สูงสุดค่ะนะครับแต่คน
00:28:39 → 00:28:42 ที่นอนพอแล้วนอน 8 ชม. 9 ช 10 ชั่วโมงไป
00:28:42 → 00:28:44 แล้วแล้วยังต้องนอนงีบตอนกลางวันอีกในคน
00:28:44 → 00:28:47 กลุ่มนี้เนี่ยมีปัญหาละเพราะว่าอ๋อแสดง
00:28:47 → 00:28:49 ว่าเหนื่อยเกินใช่มั้การนอนไม่มีคุณภาพ
00:28:49 → 00:28:51 ใช่ครับใช่หรือว่าร่างกายเ้าเนี่ยมัน
00:28:52 → 00:28:55 ชาร์จแบตเตอรี่ไม่ไหวอืแบตเสื่อมแบต
00:28:55 → 00:28:56 เสื่อมหรือว่ามันต้องใช้พลังงานมากในการ
00:28:56 → 00:28:59 ซ่อมแซมแล้วมันซ่อมไม่ไหวคนแก่ที่มีโรค
00:28:59 → 00:29:03 หัวใจใช่มั้ฮะอย่างคุณปู่คุณย่าของเราที่
00:29:03 → 00:29:06 ไม่ค่อยสบายเอ่อเอ่อไม่ต้องถึงขนาดติด
00:29:06 → 00:29:09 เตียงยังพอเดินได้ท่านจะชอบนอนกลางวัน
00:29:09 → 00:29:12 เป็นประจำอืใช่ค่ะซึ่งจริงๆก็ดีใช่มั้คะ
00:29:13 → 00:29:15 ดีสำหรับก็ดีสำหรับท่านนะฮะแต่ว่าเราก็
00:29:15 → 00:29:17 รู้ว่ามันก็เป็น process ของร่างกายของ
00:29:17 → 00:29:20 เราไม่ต้องไปยับยั้งไม่ต้องไปนั่นหรอกฮะ
00:29:20 → 00:29:22 ว่าไม่ต้องไปบอกว่าเฮ้ยออกกำลังกายเยอะๆ
00:29:22 → 00:29:24 ท่านจะได้แข็งแรงยุคเว้นท่านจะเป็นโรค
00:29:24 → 00:29:26 พวกleแอเนี่ยหยุดหายใจในระหว่างการนอน
00:29:26 → 00:29:30 หลับคนกลุ่มนี้เนี่ยแค่ใส่เครื่องช่วยหาย
00:29:30 → 00:29:32 ใจก็อาจจะทำให้นอนได้มีประสิทธิภาพมาก
00:29:32 → 00:29:36 ขึ้นนะฮะกระฉับกระเฉงมากขึ้นในกลุ่มคนที่
00:29:36 → 00:29:39 เอ่องีบหลับนะฮะก็ต้องก็ต้องระวังหน่อยนะ
00:29:40 → 00:29:42 ครับปัจจุบันนี้เราเชื่อว่าการเงียบหลับ
00:29:42 → 00:29:44 เนี่ยคุณจะนอนอยู่ที่ประมาณ 20-40 นาที
00:29:44 → 00:29:48 ต่อวันนะฮะต่อ sess ต่อ sess แล้วไม่ควร
00:29:48 → 00:29:51 จะเกิน 2:00 น. 14:00 น.หมายถึงว่าหลัง
00:29:51 → 00:29:53 14:00 น.ก็จะไม่ควรจะนอนแล้วใช่เพราะ
00:29:53 → 00:29:56 อะไรเพราะว่าคุณก็ไปกระทบกับเอ่อกลไกการ
00:29:56 → 00:29:58 นอนในวันนั้นๆต่อใช่มั้คุณก็นอนไม่หลับ
00:29:58 → 00:30:01 ตอนตอนกลางคืนค่ะการที่เราจะนอน 20-40
00:30:01 → 00:30:03 นาทีก็เพราะว่ามันมีภาวะอีกอันนึงเรียก
00:30:03 → 00:30:06 ว่า sleep inner sheer ภาวะเฉื่อยในการ
00:30:06 → 00:30:10 นอนอืคือภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นถ้าคุณถ้า
00:30:10 → 00:30:14 ถ้าคุณชมไปนอนนอนเสร็จปุ๊บเอ่อประมาณสัก
00:30:14 → 00:30:17 40 นาทีแล้วเราไปปลุกคุณชมให้ตื่นก่อน
00:30:17 → 00:30:20 ที่มันจะเข้าเรม sleep ค่ะคุณชมมีโอกาส
00:30:20 → 00:30:22 ที่จะตื่นมาแล้วรู้สึกกระฉับกระเฉงมาก
00:30:22 → 00:30:24 กว่าที่จะเข้าไปแล้วก็หลับแล้วมี sleep
00:30:24 → 00:30:27 เข้า 90 นาทีrม sleep ในระหว่าง sleep
00:30:27 → 00:30:29 เนี่ยคุณอาจจะตื่นขึ้นมาก่อนอันเนี้ยจะ
00:30:30 → 00:30:32 เกิดภาวะเรียกว่า sleep innerชียซึ่งจะทำ
00:30:32 → 00:30:35 ให้เกิดอาการโงเงียเพลียขึ้นมาอีกอยากนอน
00:30:35 → 00:30:38 ต่อขึ้นไปอีกอืใช่เพราะสังเกตว่าถ้านอน
00:30:38 → 00:30:42 กลางวันแล้วแบบนอนนานๆน่ะแบบงีบแบบเกิน 2
00:30:42 → 00:30:44 ชั่วโมงทีเนี้ยมันจะไม่อยากตื่นมันจะอยาก
00:30:44 → 00:30:49 แบบไปต่ออืบางทีเราจะชอบพูดว่าคืนนี้หลับ
00:30:49 → 00:30:53 สนิทมากไม่ฝันฝันเลยแปลว่าดีหรือไม่ดีคะ
00:30:53 → 00:30:55 คุณหมอเพราะว่า rem sleep ก็สำคัญการที่
00:30:55 → 00:30:58 เราจำความฝันได้เนี่ยไม่ไม่ดีนะฮะเพราะ
00:30:58 → 00:31:00 ว่าถ้าเราจำความฝันได้บ่อยๆและฝันซ้ำๆ
00:31:00 → 00:31:03 เนี่ยอาจจะมีมีปัญหาเรื่องของdemiชีย
00:31:03 → 00:31:05 เรื่องของสมองเสื่อมได้อ้าเหรอคะนะฮะอย่า
00:31:05 → 00:31:09 ลืมว่าเอ่อความฝันคนเราเนี่ยมันเกิดใน
00:31:09 → 00:31:11 ช่วงของ rem sleep เป็นส่วนใหญ่ไอ้ช่วง
00:31:11 → 00:31:13 ของ rem sleep เนี่ยเป็นการถ่ายเทความ
00:31:13 → 00:31:16 ทรงจำความทรงจำไหนที่เราไม่ได้มีคุณค่า
00:31:16 → 00:31:19 ที่จะจำมันก็จะหายไปค่ะเพราะว่าเรามี
00:31:19 → 00:31:22 เมoryที่จำกัดอยู่แล้วสมองเราจะแยกได้หรอ
00:31:22 → 00:31:24 ว่าต้องจำหรือไม่จำเรื่องอะไรก็อันนั้น
00:31:24 → 00:31:26 เรามี AI อยู่ในสมองก็ขึ้นกับว่าเรา
00:31:26 → 00:31:29 โปรแกรมสมองเราไปยังไงในอดีตนะฮะก็คือเรา
00:31:29 → 00:31:32 ก็ต่างคนก็ต่างมีอัลกอริึมของตัวเองเลือก
00:31:32 → 00:31:33 ว่าจะจับจดจำเรื่องอะไรใช่ซึ่งตรงนี้
00:31:33 → 00:31:36 เนี่ย Meditation อาจจะไปช่วยได้คือความ
00:31:36 → 00:31:39 มีสติใช่มั้ยฮะถ้าคุณฝึกทุกวันมีสติอยู่
00:31:39 → 00:31:41 ทุกวันคุณก็อาจจะรู้ว่าสิ่งที่ไหนควรจะจำ
00:31:41 → 00:31:45 คุณสิ่งที่ไหนควรจะลืมอือืออ๋อถ้าถ้าจำ
00:31:45 → 00:31:49 ความฝันได้นี่คือไม่ดีไม่ค่อยดีนะฮะอใช่อ
00:31:49 → 00:31:51 แต่ว่าตื่นมาปุ๊บแล้วจำได้ว่าเมื่อกี้ฝัน
00:31:51 → 00:31:53 เรื่องอะไรแต่ว่าพอตกบ่ายแล้วลืมอย่าง
00:31:53 → 00:31:54 เงี้ยไม่ต้องตกบ่ายเลยฮะแค่ครึ่งชั่วโมง
00:31:54 → 00:31:55 ก็ไป
00:31:55 → 00:31:59 ละไม่น่าจะรอดนะครับถ้าเจอเลขเด็ดอะไร
00:31:59 → 00:32:01 ขึ้นมาต้องรีบจดเลยนะครับเออคุณหมอแล้ว
00:32:01 → 00:32:05 มันจะมีอย่างี้ด้วยนะอือคือชมอ่ะจะชอบฝัน
00:32:05 → 00:32:07 ว่าบินได้
00:32:07 → 00:32:11 อืแล้วก็ทุกครั้งที่ฝันว่าบินได้ก็จะรู้
00:32:11 → 00:32:15 ว่าแกฝันอีกแล้วในความฝันก็รู้ว่าฝันแล้ว
00:32:15 → 00:32:19 ก็บางทีก็มีเหมือนแบบตื่นขึ้นมาแล้วแบบ
00:32:19 → 00:32:22 อยากกลับไปฝันต่ออืทำได้มั้คะเรื่องเดียว
00:32:22 → 00:32:25 กันใช่มั้บางทีเราทำได้นะฮะแต่ว่าเค้าก็
00:32:25 → 00:32:28 มีการพยายามที่จะแปลแปลว่าความฝันอันนี้
00:32:28 → 00:32:30 มันมีความหมายอะไรอ่าถ้าบินได้อยากมี
00:32:30 → 00:32:33 อิสระเสรีมั้ยมีอะไรขึ้นมาก็ว่ากันไปแต่
00:32:33 → 00:32:36 ว่ามันต้องเป็นเรื่องของ subconscious ผม
00:32:36 → 00:32:39 คิดว่ามีคุณชมต้องมีอะไรที่อต้องมีใช่มั้
00:32:39 → 00:32:41 ถึงชอบฝันว่าบินลึกๆใช่แล้วฮะว่าการปิด
00:32:41 → 00:32:44 ของคุณเนี่ยคืออะไรต้องมันตีได้หลายอย่าง
00:32:44 → 00:32:47 นะฮะทั้งทั้งในทางที่ที่ดีแล้วก็ทางที่งง
00:32:47 → 00:32:51 ๆแต่ไอ้ทางที่ดีเนี่ยก็ก็ผมว่าก็ดีนะก็
00:32:51 → 00:32:56 อาจจะเป็นคนที่ไขวายคว้าหาเอ่ออิสรภาพนะ
00:32:56 → 00:32:59 ฮะความเป็นจริงของชีวิตอะไรอย่างงี้นะฮะ
00:32:59 → 00:33:03 แล้วก็เอ่อสิ่งที่เราอยากจะฝันเราจะเรา
00:33:03 → 00:33:05 อยากจะทำให้มันเป็นเรื่องเป็นราวทำได้
00:33:05 → 00:33:08 มั้ยมันก็มีอย่างเอ่อทีวิจัยที่ MIT ตอน
00:33:08 → 00:33:12 แรกเนี่ยเทำ AI ก่อนเอยากจะรู้ว่า process
00:33:12 → 00:33:15 ในความคิดของคนเรา 1 process เนี่ยมัน
00:33:15 → 00:33:18 ต้องใช้เอ่อสมองส่วนไหนทำงานบ้างแล้วสมอง
00:33:18 → 00:33:21 ของส่วนไหนทำงานก่อนและหลังยังไงเาก็เอา
00:33:21 → 00:33:24 คนไข้มานะฮะหรือว่าผู้รับสมัครมาแล้วก็
00:33:25 → 00:33:27 เอ่อมาบอกว่าอ่านสิปtอ้านี่ฉันกำลังเดิน
00:33:27 → 00:33:31 ออกจากบ้านไปขับรถอ่าแล้วเขาก็เอาเอ่อ
00:33:31 → 00:33:34 เอ่อคนเหล่านี้เนี่ยเอาไปทำเอ่อ MRI ที่
00:33:34 → 00:33:37 เราเรียกว่า functional MRI ซึ่งมัน
00:33:37 → 00:33:39 สามารถที่จะบอกได้อ้าตั้งแต่ตอนที่คุณออก
00:33:39 → 00:33:42 จากบ้านไปขับรถเสียบกุญแจทุกอย่างเนี่ย
00:33:42 → 00:33:45 เบรนตรงส่วนไหนที่มันทำงาน 1 2 3 4 5
00:33:45 → 00:33:48 เป็นซีรีย์ขึ้นมาเอาซีรีย์ต่างๆเนี่ยใส่
00:33:48 → 00:33:51 เข้าไปใน AI นะครับแล้วคราวนี้เนี่ยเอ่อ
00:33:51 → 00:33:55 ไปสร้างเอ่อเครื่องที่สามารถที่จะปล่อย
00:33:55 → 00:33:58 คลื่นแดกไฟฟ้าให้มันไปตามซีรีย์ในเรื่อง
00:33:58 → 00:34:01 นั้นๆเหมือนว่ากปี้คลื่นที่แบบว่าจับได้
00:34:01 → 00:34:04 จากตอนที่เราฟังเรื่องนี้ใช่เราไปใส่ตอน
00:34:04 → 00:34:06 ที่เรานอนรับฝันตอนที่ช่วงที่เป็น R
00:34:06 → 00:34:09 sleep ค่ะนะฮะก็มีเหมือนกันนะครับก็จะ
00:34:09 → 00:34:13 ฝันตามที่ตามที่ที่เขียนพลอตออกมาอออือัน
00:34:13 → 00:34:15 นี้ก็เป็นอยู่ในช่วงของรีเสิร์ชก็พยายาม
00:34:15 → 00:34:17 ที่จะทำออกมาเบรของคนเราเนี่ยเวลามันทำ
00:34:17 → 00:34:21 งานเนี่ยมันต้องมีทริกเกอร์เนี่ยอย่างเรา
00:34:21 → 00:34:23 คุยกันตอนนี้ใช่มั้ยอือแล้วอยู่ๆมันก็มี
00:34:23 → 00:34:27 ทริกเกอร์ขึ้นมาที่หัวของคุณคุณชมเฮ้ย
00:34:27 → 00:34:30 เดี๋ยวตอน 12:30 น.ฉันต้องโทรศัพท์หาคน
00:34:30 → 00:34:32 นี้คนนั้นใช่ป่ะบางทีเราพูดกันไปปุ๊บมัน
00:34:32 → 00:34:34 เกิดทริกเกอร์คำนั้นขึ้นมายูก็ไปคิดถึง
00:34:34 → 00:34:38 เรื่องนั้นต่อไปคราวนี้เนี่ยเอ่อไอ้การ
00:34:38 → 00:34:40 ที่จะใช้ทริกเกอร์เนี่ยอาจจะใช้ในเรื่อง
00:34:40 → 00:34:44 ของรูปแบบของเสียงนะฮะเปิดเพลงขึ้นมานะ
00:34:44 → 00:34:46 ครับบอกว่าถ้าเกิดว่าเปิดเพลงนี้ขึ้นมา
00:34:46 → 00:34:49 ให้ยูคิดถึงเรื่องนี้อืฮะเหมือนคล้ายๆแบบ
00:34:49 → 00:34:52 คitionอย่างเงี้ยใช่ๆสร้างคitionขึ้นมา
00:34:52 → 00:34:55 แล้วคราวนี้เนี่ยพอคนไข้เอ่อคนไข้ไปนอน
00:34:55 → 00:34:59 ปุ๊บใช่มั้ฮะเราก็วัดขึ้นสมองพอเข้าเรม
00:34:59 → 00:35:01 ปุ๊บเริ่มฝันละแล้วก็เปิดมาว่าเราจะ
00:35:01 → 00:35:03 เปลี่ยนครูเปลี่ยนเรื่องราวเนี่ยเราก็ใช้
00:35:03 → 00:35:06 เพลงนี้เข้าไปแปลว่าอย่างเงี้ยเราต่อไป
00:35:06 → 00:35:09 เราสามารถหรือว่าอ่านความคิดคนได้มั้ผม
00:35:09 → 00:35:12 คิดว่าน่าจะได้นะอุ๊ยน่ากลัวมากอืแต่มัน
00:35:12 → 00:35:15 ก็ตื่นเต้นเนาะอือือเหมือนแบบว่าอ่านใจ
00:35:15 → 00:35:18 อ่านความคิดเงี้ยใช่ครับใช่ก็ใช้กับเวลา
00:35:19 → 00:35:21 แบบว่าสืบสวนคดีอะไรอย่างเงี้ยได้อือหวัง
00:35:21 → 00:35:24 ว่าหวังว่าหวังว่าคุณหมออันนี้ไม่ถามไม่
00:35:24 → 00:35:26 ได้
00:35:26 → 00:35:31 โอโอโอโอผีอำอ๋อผีอำอผีอำเออผีอำเค้า
00:35:31 → 00:35:34 เรียกว่า sleep paralysis อนะฮะเป็นปกติ
00:35:34 → 00:35:37 ได้ครับแต่ว่าถ้าเป็นบ่อยๆก็ต้องไปดูว่า
00:35:37 → 00:35:39 เป็นโรคลมจับหรือเปล่านึกว่าคุณหมอจะบอก
00:35:39 → 00:35:41 ว่าถ้าเป็นบ่อยๆเนี่ยต้องปรึกษาพระ
00:35:41 → 00:35:44 อาจารย์ไม่ใช่อ๋อพระอาจารย์เดี๋ยวนี้ก็
00:35:44 → 00:35:48 ค่อนข้างจะนั่นหน่อยเนาะสายมูใช่มั้ครับ
00:35:48 → 00:35:50 แต่จริงๆแล้วมันไม่มีอะไรเลยฮะแต่มันแปลก
00:35:50 → 00:35:52 ตรงที่ว่าทุกคนเนี่ยให้การตรงกันหมดเลย
00:35:52 → 00:35:55 เนาะก็คือว่านอนอยู่จะเป็นส่วนมากจะเป็น
00:35:55 → 00:35:57 ตอนช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่นใช่มั้ฮะค่ะใน
00:35:57 → 00:36:00 ตอนที่ก่อนนอนหรือว่าตื่นขึ้นมาแล้วตรงเ
00:36:00 → 00:36:02 เราเรียกว่า sleep paralysis ตื่นมาแล้ว
00:36:02 → 00:36:05 รู้สึกว่าเราลืมตาแล้วใช่มั้ฮะแต่ว่าตัว
00:36:05 → 00:36:06 นี้ขยับไม่ได้เลยแต่จริงๆเราก็ไม่ได้ลืม
00:36:06 → 00:36:09 ตาเราก็ไม่ได้ลืมตาแต่เราคิดไปเองบางทีก็
00:36:09 → 00:36:11 รู้สึกว่ามีคนมากดเราอยู่นะฮะเป็นเรื่อง
00:36:11 → 00:36:15 ของ imagination ที่ว่ากันไปแต่พบได้ในคน
00:36:15 → 00:36:18 ปกติทั่วไปนะฮะแต่ถ้าเป็นบ่อยๆต้องต้อง
00:36:18 → 00:36:20 นึกถึงโรคที่เรียกว่าnโคลปซี่หรือว่าโรค
00:36:20 → 00:36:24 ลมลับอือันตรายมั้ยคะถ้าเป็นลมหลับก็
00:36:24 → 00:36:27 อันตรายอยู่ลมหลับก็คือโรคที่จะหลับได้
00:36:27 → 00:36:31 ตลอดเวลาเป็นกลุ่มของเรมdisอเดอค่ะเอ่อใน
00:36:31 → 00:36:32 ช่วงของเรม rem เรม sleep เนี่ยคือหมาย
00:36:33 → 00:36:35 ถึงว่าพวกนี้คือหลับปุ๊บเร็มเลยใช่กลุ่ม
00:36:35 → 00:36:39 พวกนี้เนี่ยก็เอ่ออยู่ๆก็คุยๆกับเราอยู่
00:36:39 → 00:36:41 เนี่ยหัวเราะแล้วก็ออกไปเลยอุ้ยชมเคยรู้
00:36:41 → 00:36:44 จักคนแบบนั้นเออนั่งรถไปด้วยกันอย่าง
00:36:44 → 00:36:47 เงี้ยบอกทางอยู่
00:36:47 → 00:36:50 หัวเราะไปแล้วเงี้ยใช่ๆกลุ่มที่เป็น
00:36:50 → 00:36:53 นาครซี่เนี่ยปัจจุบันก็มียาที่สามารถช่วย
00:36:53 → 00:36:56 ได้นะครับในเมืองไทยเราก็มียาอยู่เอ่อใน
00:36:56 → 00:36:58 กลุ่มที่เรียกว่าmodฟinilก็อาจจะช่วย
00:36:58 → 00:37:01 บรรเทาได้บ้างแล้วต้องทานตลอดมั้ยคะคุณ
00:37:01 → 00:37:05 หมอตลอดชีวิตอ่ะฮะอออือะไรบ้างคะที่แบบ
00:37:05 → 00:37:07 เป็นพฤติกรรมที่เราไม่ควรจะทำแล้วมันจะทำ
00:37:07 → 00:37:10 ให้แบบกระทบต่อการนอนของเราอ่ะค่ะอืทำให้
00:37:11 → 00:37:14 การนอนเราแย่ลงออืกาแฟคุณหมอดึงกาแฟมั้ย
00:37:14 → 00:37:18 คะก็พยายามจะไม่พยายามจะไม่นะครับนี่เป็น
00:37:18 → 00:37:21 คำถามที่ดีมากแล้วก็นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย
00:37:21 → 00:37:25 ถ้าจะดื่มกาแฟสักทีก็ดื่มให้มันใช่มันแบบ
00:37:25 → 00:37:27 ของแท้ไปเลยใช่มั้ฮะก็ดื่มกาแฟก็เคล็ดลับ
00:37:28 → 00:37:30 ของมันก็คือว่ากาแฟ 1 แก้วมันอยู่ได้
00:37:30 → 00:37:33 ประมาณ 12 ชมงค่ะใช่มั้ฮะถ้าคุณดื่มไป
00:37:33 → 00:37:36 แล้วเนี่ยก่อนซักเอ่อ 10:00 น.ก็ยังพอไหว
00:37:36 → 00:37:38 อยู่ไม่อย่างงั้นเนี่ยมันอาจจะมีผลกระทบ
00:37:38 → 00:37:41 กับการนอนของเราค่ะอันที่ 2 เรื่องของ
00:37:41 → 00:37:44 กาแฟเนี่ย response ก็คือว่าคนแต่ละคนตอบ
00:37:44 → 00:37:47 สนองต่อกาแฟปริมาณกาแฟไม่เท่ากันนะฮะบาง
00:37:47 → 00:37:50 คนกินนิดนึงอาจจะมีผลมากกว่าคนชาวบ้านเขา
00:37:50 → 00:37:53 ก็ได้บางคนกินเยอะก็อาจจะไม่มีผลก็ได้อือ
00:37:53 → 00:37:55 กาแฟนอกจากทำให้เกิดปัญหาเรื่องของการนอน
00:37:55 → 00:37:58 แล้วเนี่ยมันอาจจะทำให้เกิดเรื่องของกด
00:37:58 → 00:38:01 ไหลย้อนอืนะฮะเพราะทำให้สปริงเตอร์ไอ้ตัว
00:38:01 → 00:38:04 กล้ามกล้ามเนื้อหูรูดระหว่างหลอดอาหารกับ
00:38:04 → 00:38:08 กระเพาะมันคลายก็อาจจะมีปัญหาว่ามีกฎย้อน
00:38:08 → 00:38:10 เพิ่มขึ้นมามันไปทำงานอย่างนั้นได้ยังไง
00:38:10 → 00:38:14 อ่ะคะคุณหมอเป็นเรื่องของสารแคฟีนก็ไม่มี
00:38:14 → 00:38:17 ผลกับตัวเอ่อสารที่มันบังคับการปิดเปิด
00:38:17 → 00:38:21 ของก้าเนื้อหูรูดนะฮะอืแล้วก็อีกอันนึง
00:38:21 → 00:38:23 ที่กาแฟอาจจะทำให้เกิดปัญหาก็คือเรื่อง
00:38:23 → 00:38:26 ของ Ris Lake ก็คืออาการขากระตุกถ้าดื่ม
00:38:26 → 00:38:29 กาแฟก็จะมีอาการขากระตุกมากขึ้นก็เป็น
00:38:29 → 00:38:33 เรื่องของสารที่เรียกว่าแซีนครับอืก็คือ
00:38:33 → 00:38:36 มีเรื่องคาเฟอีนคาเฟอีนอันแรกเลยอันที่ 2
00:38:36 → 00:38:39 เรื่องของนอนไม่เป็นเวลานะฮะต้องคุณต้อง
00:38:39 → 00:38:42 ให้โอกาสร่างกายเราบ้างเนาะถ้าจะพักพัก
00:38:42 → 00:38:44 ผ่อนทั้งทีเนี่ยก็พักผ่อนให้มันดีๆหน่อย
00:38:44 → 00:38:47 ไม่ใช่ว่าเดี๋ยววันนี้นอน 1:00 น.เดี๋อีก
00:38:47 → 00:38:49 วันนึงนอน 2:00 น.การปรับตัวมันก็ลำบาก
00:38:49 → 00:38:53 อยู่เหมือนกันนะฮะก็เพราะฉะนั้นเนี่ยเอ่อ
00:38:53 → 00:38:57 ตารางเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญนะครับอันที่ 3
00:38:57 → 00:39:00 เหล้าใช่มั้ฮะคนส่วนใหญ่จะบอกว่าคนที่ชอบ
00:39:00 → 00:39:04 ดื่มเหล้าดื่มแล้วมันชิลอ่ะอ่าใช่จะได้
00:39:04 → 00:39:06 นอนหลับได้เร็วขึ้นใช่มั้ฮะเหล้าเนี่ยทำ
00:39:06 → 00:39:09 ให้เรานอนได้เร็วขึ้นหลับได้เร็วขึ้นนะฮะ
00:39:09 → 00:39:12 แต่เมื่อไหร่ที่แอลกอฮอล์เลเวลเอ่อความ
00:39:12 → 00:39:15 เข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดเราเนี่ยมันตก
00:39:15 → 00:39:18 ลงตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นเกิดอาการ Withdraw
00:39:18 → 00:39:20 เหมือนกับคนที่ติดเหล้าใช่มั้ฮะคุณไปบอก
00:39:20 → 00:39:22 ให้เค้าหยุดเหล้าใช่มั้ฮะเค้าก็มีอาการ
00:39:22 → 00:39:26 มือสั่นมีเอ่อรู้สึกกระวนกระวายในตอนกลาง
00:39:26 → 00:39:29 คืนก็เช่นเดียวกันเมื่อแอลกอฮอล์เลเวลมัน
00:39:29 → 00:39:32 ตกลงมาถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ใช่แบบคนที่
00:39:32 → 00:39:34 ดื่มไม่ใช่คนที่ดื่มตลอดเวลาอย่างเงี้ย
00:39:34 → 00:39:36 ล่ะคะคุณครับผมใช่ต้องอย่าลืมว่ามันไป
00:39:36 → 00:39:39 เอ่อเอ่อมันจะสร้างความปั่นป่วนในสมองได้
00:39:39 → 00:39:41 พอสมควรค่ะเพราะฉะนั้นเนี่ยคนที่ดื่ม
00:39:41 → 00:39:43 เหล้าเพื่อการนอนเนี่ยจะนอนได้เร็วแต่นอน
00:39:43 → 00:39:46 ได้ไม่สนิทอืนะฮะจะตื่นบ่อยนะครับแล้ว
00:39:46 → 00:39:48 เหมือนข้างในร่างกายมันก็ยุ่งกับการจัด
00:39:48 → 00:39:50 การท็อกสิคด้วยมั้คะคุณหมอใช่ครับแล้วนอก
00:39:50 → 00:39:52 จากนั้นแล้วเนี่ยเหล้ามันไปกดประสาทด้วย
00:39:52 → 00:39:55 ใช่มั้ฮะมันไปกดเอ่อประสาทที่ช่วยในการ
00:39:55 → 00:39:57 หายใจถ้าคนไข้เนี่ยมีปัญหาเรื่องของการ
00:39:57 → 00:40:00 หายใจตอนกลางคืนเป็นโรคปอดเป็นโรค Sleep
00:40:00 → 00:40:02 แอเนี่ยหยุดหายใจในระหว่างการนอนหลับ
00:40:02 → 00:40:04 กลุ่มนี้เนี่ยออกซิเจนก็ยิ่งตกเข้าไปใหญ่
00:40:04 → 00:40:06 อันที่ 4 เรื่องของการออกกำลังกายค่ะนะ
00:40:06 → 00:40:08 ครับถ้าออกกำลังกายอย่างหนักนะครับก็ไม่
00:40:08 → 00:40:12 ควรจะเอ่อจะออกใกล้เวลานอน 3 ช่โมงนะฮะจะ
00:40:12 → 00:40:16 ออกเบาๆออกได้แต่ว่าออกหนัก 3 ชั่วโมงไม่
00:40:16 → 00:40:18 เอาเพราะว่าเหมือนกับเครื่องบินจำได้มั้
00:40:18 → 00:40:20 ฮะเครื่องบิน Landing ถ้าเราไม่สามารถที่
00:40:20 → 00:40:22 จะลดความเร็วเครื่องบินได้ก็เราก็ลงจอด
00:40:22 → 00:40:24 ไม่ได้แล้วก็แบบมันเป็นเรื่องอุณหภูมิ
00:40:24 → 00:40:26 ร่างกายด้วยมั้ยคุณหมออุณหภูมิร่างกาย
00:40:26 → 00:40:27 ด้วยเช่นเดียวกันฮะเพราะว่าตอนกลางคืน
00:40:27 → 00:40:30 เนี่ยอุณหภูมิร่างกายเราจะลดลงนะฮะตอบ
00:40:30 → 00:40:33 สนองกับเอ่อ Metabolism ที่มันเริ่มจะ
00:40:33 → 00:40:36 ชัดดาวลงใช่มั้ฮะเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่
00:40:36 → 00:40:40 ภาวะ repair mode นะฮะอืแสงสีฟ้าแสงสี
00:40:40 → 00:40:43 ฟ้านี่ก็แต่ก่อนนี้ใช่แต่ว่าตอนนี้เนี่ย
00:40:43 → 00:40:46 ก็ยังเถียงกันอยู่ว่าตกลงมันยังไงกันแน่
00:40:46 → 00:40:49 ต้องเท่าไหร่ความเข้มข้นเท่าไหร่แต่ว่า
00:40:49 → 00:40:51 มันน่าจะเป็นเรื่องของระยะระยะเวลาซะมาก
00:40:51 → 00:40:54 กว่าค่ะก็คงจะดูได้แต่ว่าอย่าให้มันนาน
00:40:54 → 00:40:57 นักนะฮะสัก 10-20 นาทีได้แต่ว่าถ้าเป็น
00:40:57 → 00:41:01 ชั่วโมงเนี่ยไม่ไหวเหมือนกันพวกนักสนูส
00:41:01 → 00:41:04 ล่ะคะคุณหมอนาฬิกตั้งนาฬิกาปลุกแล้วกด
00:41:04 → 00:41:07 สนูสไปเรื่อยๆเอาจริงๆไอ้ตอนที่เรานอนแบบ
00:41:07 → 00:41:10 บวก 5 นาทีบวก 10 นาทีบวกๆกันไปเรื่อยๆ
00:41:10 → 00:41:13 เงี้ยเอาจริงๆมันแบบไม่ขูดทำอย่างยิ่งใช่
00:41:13 → 00:41:16 มั้มันมันมันมีประโยชน์มั้
00:41:16 → 00:41:18 มันไม่ได้ช่วยให้วันนั้นของเราดีขึ้นใช่
00:41:18 → 00:41:20 มั้คะแย่ลงไปอีกใช่มั้ฮะเพราะว่าทำให้เรา
00:41:20 → 00:41:23 เนี่ยเกิดความวิตกกังวลค่ะใช่ป่ะสมอง
00:41:23 → 00:41:26 เนี่ยไปมันไปregิisterไว้ละฉันจะต้องตื่น
00:41:26 → 00:41:29 อ่าวันธรรมดาเรานอน 18:00 น.แต่วันนี้เรา
00:41:29 → 00:41:32 จะฉันจะตื่น 5:30 น.ฉันจะไปนอนให้เร็ว
00:41:32 → 00:41:35 ขึ้นอีก 1 ช่โมงใช่มั้ยฮะเราก็มีปัญหาละ
00:41:35 → 00:41:37 ไอ้ตอนที่จะไปนอนไอ้ 1 ชั่วโมงนะอาจจะวัน
00:41:37 → 00:41:40 ไหนที่ต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษอ่าก็จะกังวล
00:41:40 → 00:41:43 ใช่แต่ว่าขณะเดียวกันสมองเราก็ได้บอกละ
00:41:43 → 00:41:47 เฮ้ย 5:30 น.ค่ะตื่นนะเราเซตอารามในหัว
00:41:47 → 00:41:50 เราเรียบร้อยละค่ะเพราะฉะนั้นเนี่ยพอคุณ
00:41:50 → 00:41:53 ไปกดเอ่อกดอรามเนี่ยโดยที่ร่างกายคุณได้
00:41:54 → 00:41:56 รับการพักผ่อนไม่พอก็ไม่ไหวเหมือนกันร่าง
00:41:56 → 00:42:00 กายก็บอกว่าเฮ้ยขออีก 5 นาทีอีก 10 นาที
00:42:00 → 00:42:02 พอมันวนไปเรื่อยๆอย่างี้เนี่ยไอ้วันนั้น
00:42:02 → 00:42:05 เนี่ยมันก็เสียไปล่ะเรื่องการนอนค่ะนะฮะ
00:42:05 → 00:42:07 เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าจำเป็นจริงๆจะต้อง
00:42:07 → 00:42:11 ตื่นแล้วใช้นาฬิกาปลุกทำได้แต่ปลุกปุ๊บ
00:42:11 → 00:42:13 ลุกขึ้นเลยแล้วก็ไปทำอะไรก็ทำให้เรียบ
00:42:13 → 00:42:16 ร้อยเพลียจะกลับมานอนใหม่วันนั้นวันพรุ่ง
00:42:16 → 00:42:20 นี้อือืนอนไม่ได้วันนี้พรุ่งนี้ก็นอนได้
00:42:20 → 00:42:22 พรุ่งนี้นอนไม่ได้เดี๋วันต่อไปก็นอนได้
00:42:22 → 00:42:24 สักวันหนึ่งเราจะนอนได้มีอะไรที่กินแล้ว
00:42:24 → 00:42:28 หลับง่ายขึ้นมั้ยคะคุณหมออย่านอน
00:42:28 → 00:42:31 หลับตัวอื่นเนี่ยก็คงจะไม่มีจริงๆนะฮะ
00:42:31 → 00:42:33 อย่างตัวเมลาโตนินเนี่ยก็ขึ้นกับว่าในคน
00:42:33 → 00:42:36 แต่ละคนเนี่ยเอ่อมีการตอบสนองต่อ
00:42:36 → 00:42:39 เมลาโตนินมากน้อยแค่ไหนในคนแก่อาจจะอาจจะ
00:42:39 → 00:42:42 ดีหน่อยเพราะว่าเมาโทนินรีซตอร์มันน้อยลง
00:42:42 → 00:42:44 ค่ะแต่ขณะเดียวกันเนี่ยคนข้าข้างเคียงใน
00:42:44 → 00:42:47 คนที่อายุมากแล้วกินแมาตุนินมันก็เพิ่ม
00:42:47 → 00:42:50 มากขึ้นนะตื่นมางัวเงียไม่สดชื่นในในวัน
00:42:50 → 00:42:54 ต่อไปในเด็กถ้าไปกินก็มีปัญหาเรื่องของ
00:42:54 → 00:42:57 อารมณ์นะฮูดี้หรือว่าเกิด deession ได้
00:42:57 → 00:43:00 มันมีแบบเมลาโทนินกัมมี่สำหรับเด็กโอน่า
00:43:00 → 00:43:02 กลัวมากที่อเมริกาเนี่ยเมื่อปีที่แล้ว
00:43:02 → 00:43:04 เนี่ยเขาต้องไฟท์กันอุตลุดเพราะว่าเอา
00:43:04 → 00:43:07 เด็กไปฝากที่dayแคร์ค่ะแจกกัมมี่เลยอ่ะ
00:43:07 → 00:43:11 ครับให้มันนอนซะเลยอืเออโหดมากนะค่ะก็เรา
00:43:11 → 00:43:14 ถึงรู้ว่าเด็กเนี่ยมีปัญหาเยอะถ้าเราไป
00:43:14 → 00:43:16 ให้เวลาตัวในเด็กอะไรอีกที่จะทำให้นอนได้
00:43:16 → 00:43:18 เร็วไม่มีอะไรที่มันเร็วกว่าอย่านอนหลับ
00:43:18 → 00:43:22 แน่นอนค่ะส่วนที่มีตามท้องตลาดเนี่ยผมคิด
00:43:22 → 00:43:25 ว่ามันก็เอ่ออาจจะขึ้นกับภาวะร่างกายใน
00:43:25 → 00:43:28 ตอนนั้นๆด้วยค่ะนะฮะสิ่งที่ดีที่สุดใน
00:43:28 → 00:43:31 เรื่องของการปรับตัวเรื่องของการนอนการ
00:43:31 → 00:43:35 ปรับเวลาเนี่ยคือปรับระบบการทำงานของเรา
00:43:35 → 00:43:38 กลางวันและกลางคืนจะจะต้องbบาanceซกันค่ะ
00:43:38 → 00:43:41 กลางวันดีกลางคืนดีกลางคืนเยี่ยมกลางวัน
00:43:41 → 00:43:44 ก็ยิ่งสบายอืทีนี้ถ้าคนไข้ที่มาหาคุณหมอ
00:43:44 → 00:43:47 ในกรณีไหนที่คุณหมอจะพิจารณาที่จะจ่ายยา
00:43:47 → 00:43:48 นอนหลับเพราะว่ายานอนหลับมันก็ต้องมีผล
00:43:49 → 00:43:50 ข้างเคียงถูกมั้คะถูกครับทางการแพทย์นี่
00:43:50 → 00:43:53 เราจะมีเรื่องของ R benefit ค่ะเราจะเรา
00:43:53 → 00:43:56 จะต้องให้น้ำหนักดูว่าโอกาสที่เกิดผลเสีย
00:43:56 → 00:43:59 กับของยาเนี้ยมันคู่ควรกับผลที่เขาจะได้
00:43:59 → 00:44:02 รับหรือเปล่าค่ะคนไข้บางคนมาแบบตาแบบโหล
00:44:02 → 00:44:04 มาเลยแล้วก็มี depression อย่างรุนแรง
00:44:04 → 00:44:08 ขึ้นมาเนี่ยสมมุติว่าเราเจอเอ่อคนไข้มา
00:44:08 → 00:44:10 ด้วยเรื่องของโดนคอซ็นเตอร์หลอกเอาเงินไป
00:44:10 → 00:44:12 10 ล้านอือย่างเงี้ยคุณนอนไม่หลับหรอก
00:44:12 → 00:44:15 ค่ะทำยังไงคุณก็นอนไม่หลับต้องยาเท่านั้น
00:44:15 → 00:44:17 ต้องยาเท่านั้นแต่ว่าขณะเดียวกันเนี่ยคุณ
00:44:17 → 00:44:19 จะต้องเปลี่ยนพิถีการความคิดของคุณ
00:44:19 → 00:44:22 เปลี่ยน attitude ในในชีวิตของคุณว่าเงิน
00:44:22 → 00:44:25 มันสามารถหาได้แต่ว่าชีวิตมันหายไปแล้ว
00:44:25 → 00:44:27 เนี่ยมันเอากลับขึ้นมาไม่ได้ก็ต้องมีการ
00:44:27 → 00:44:30 ปรับตัวในช่วงของการปรับตัวก็คือมีการ
00:44:30 → 00:44:33 ปรับเวลาทำเรื่องของsepีนก็คือสุขสุก
00:44:34 → 00:44:36 อนามัยในการนอนหลับนะฮะแล้วก็ให้ยาในช่วง
00:44:36 → 00:44:39 สั้นๆเราให้ได้นะฮะแต่ว่าให้อยู่ในความ
00:44:39 → 00:44:42 ควบคุมคุณต้องควบคุมตัวของคุณเองไม่ใช่
00:44:42 → 00:44:45 หมอเป็นตนคนคุมด้วยนะคุณจะต้องคิดให้ได้
00:44:45 → 00:44:48 คิดให้เป็นคือเราสอนคนไข้ให้คิดให้ได้คิด
00:44:48 → 00:44:51 ให้เป็นออือแล้วก็ใช้ยาเป็นตัวช่วยชมเคย
00:44:51 → 00:44:55 ไปเจอเอ่อดาราคนนึงไปต่างประเทศอย่าง
00:44:55 → 00:44:57 เงี้ยแล้วไปไปงานด้วยกันแล้วก็เป็นคนจีน
00:44:57 → 00:44:59 เขาก็แบบอายุมากแล้วเนาะประมาณ 50 อะไร
00:44:59 → 00:45:01 เงี้ยชมก็คือเายังแบบสวยอยู่เลยอะไรอย่า
00:45:01 → 00:45:05 เงี้ยชนก็ถามเว่าทำไมยูแบบดูแลตัวเองยัง
00:45:05 → 00:45:07 ไง You มี secret อะไรเงี้ยก็ก็พยายามหา
00:45:07 → 00:45:10 เรื่องคุยอะไรเงี้ยเบอก Sleep แล้วเบอก
00:45:10 → 00:45:13 ว่าแบบยูอย่ากลัวยานอนหลับ You take
00:45:13 → 00:45:16 เพราะว่าราคาของการไม่ได้นอนมันแพงกว่า
00:45:16 → 00:45:20 อะไรเงี้ยแต่ชมก็ชมก็โอเคค่ะแบบแต่ว่าแบบ
00:45:20 → 00:45:23 เกินทุกคืนเลยอ่ะคุณหมออต้องอย่าลืมนะฮะ
00:45:23 → 00:45:25 พอกินไปนานๆเนี่ยร่างกายมันชินค่ะพอมัน
00:45:25 → 00:45:27 ชินแล้วอาจจะไม่ใช่ข้อดีของยานอนหลับไม่
00:45:27 → 00:45:30 ใช่ผลจากยานอนหลับที่ทำให้เขานอนหลับคือ
00:45:30 → 00:45:32 เขาอาจจะนอนหลับได้เองอยู่แล้วแต่เมื่อ
00:45:32 → 00:45:35 ไหร่ที่ไปหยุดปุ๊บเสร็จทันทีก็ใช่ไงบอก
00:45:35 → 00:45:38 เออสมว่าเอ๊ยมันแบบ good ไอเดียหรอแต่ก็
00:45:38 → 00:45:40 เออเขาก็บอกก็ไม่เป็นไรก็กินตลอดชีวิตก็
00:45:40 → 00:45:43 ได้อืโอแล้วคนกลุ่มนี้เนี่ยเนี่ยยากมากนะ
00:45:43 → 00:45:45 ฮะที่บอกให้เค้าหยุดเพราะว่าอันที่ 1 เมี
00:45:45 → 00:45:47 ความเชื่อค่ะใช่มั้ฮะอันที่ 2 เนี่ยตัวยา
00:45:47 → 00:45:50 เองที่ทำให้ที่ทำให้เค้าติดค่ะการที่จะ
00:45:50 → 00:45:52 เอาเ้าออกมาเนี่ยยากมากอืก็สัตว์โลกทั้ง
00:45:53 → 00:45:55 หลายย่อมเป็นไปตามกรรมคุณหมอมีเคสแปลกๆ
00:45:55 → 00:45:59 มั้ยคะที่เกี่ยวกับนการนอนที่มาหาก็เอ่อ
00:45:59 → 00:46:02 ที่แปลกที่สุดคือตอนที่อยู่ที่อเมริกาตอน
00:46:02 → 00:46:05 นั้นนะฮะเรามีคนไข้ยาชื่อว่าแอมเบี้นตอน
00:46:05 → 00:46:08 นั้นออกมาเป็นยานอนหลับตัวใหม่อืก็ออกมา
00:46:08 → 00:46:11 โอดังมากครับตอนนั้นเพราะว่ามันบอกว่ากิน
00:46:11 → 00:46:14 ไปแล้วเนี่ยไม่ติดนะฮะหมายถึงว่าคนไข้เไป
00:46:14 → 00:46:16 ซื้อทานเองอย่างเงี้ยไม่ได้ฮะตอนนี้เป็น
00:46:16 → 00:46:19 หมอหมอเป็นคนจ่ายให้คนไข้ก็อายุประมาณ
00:46:19 → 00:46:22 สซัก 40 กว่ามาด้วยเรื่องของเอ่อนอนไม่
00:46:22 → 00:46:25 หลับแต่ว่าไปหาหมอ Primary Care มาที่
00:46:25 → 00:46:27 อเมริกานี้เราจะมี Primary Care เป็นหมอ
00:46:27 → 00:46:31 ที่เอ่อดูแลทั่วไปค่ะก่อนที่เขาจะส่งมาหา
00:46:31 → 00:46:33 เราเขาก็ให้ลองให้ยาตัวแอมเบี้นก่อนนอน
00:46:33 → 00:46:36 ไม่หลับก็ตอนสมัยก่อนนี่ 10 ปี 20 ปีแล้ว
00:46:36 → 00:46:39 เนี่ยยาอย่างเดียวนะฮะก็เขาก็ได้ตัว
00:46:39 → 00:46:42 แอมเบี้นนี่ไปแล้วเค้าก็บอกว่าเฮ้ยกินไป
00:46:42 → 00:46:46 แล้วมันก็แปลกนะพอกินปุ๊บหลับปั๊บแต่ว่า
00:46:46 → 00:46:48 มันไม่รู้เป็นอะไรว่าตอนเช้าตื่นมาแล้ว
00:46:48 → 00:46:51 เนี่ยรู้สึกเพลียๆอยู่เลยอืรู้สึกแย่ๆไม่
00:46:51 → 00:46:54 ค่อยดีเลยแย่กว่าแต่ก่อนอีกแปลกมากแล้ว
00:46:54 → 00:46:57 ที่แปลกกว่านั้นคือว่าบนเตียงเนี่ยมันมี
00:46:57 → 00:47:00 พวกเศษคุกกี้อะไรติดอยู่เป็นประจำอละเมอ
00:47:00 → 00:47:03 แล้วประจำไอนอนละเมอหรือเปล่าเออตอนนั้น
00:47:03 → 00:47:05 เนี่ยเอ่อตัวแอมเบี้นเองเนี่ยเริ่มจะมี
00:47:05 → 00:47:09 ปัญหามีคนrepอร์ตมากขึ้นเราก็อ่านๆดูอยู่
00:47:09 → 00:47:11 ตอนนั้นนะฮะก็ไม่น่าเชื่อว่าเจอกับตัวเรา
00:47:11 → 00:47:14 เองอืเอ่อแล้วก็บอกว่าโอเคเอาอย่างงี้
00:47:14 → 00:47:17 อยู่ต้องหยุดยาอเพราะว่าแบนเนี่ยมันเกิด
00:47:17 → 00:47:19 มันทำให้เกิดเ้าเรียกว่า Sleep eating
00:47:20 → 00:47:22 disorder โรคที่เดินละเมอไปกินอาหาร
00:47:22 → 00:47:26 เนี่ยในคนกลุ่มนี้เนี่ยอาจจะไม่ได้เป็น
00:47:26 → 00:47:28 เอ่อเป็นมีปัญหาเรื่องของสมองอะไรเลยแต่
00:47:28 → 00:47:31 ว่าก็แค่เดินละเมอแล้วก็ไปกินอาหารค่ะ
00:47:31 → 00:47:35 กลไกต่างๆเนี่ยเรายังไม่รู้แน่ชัดนะฮว่า
00:47:35 → 00:47:38 มันเกิดจากอะไรแต่เรารู้ว่ามันเป็น
00:47:38 → 00:47:41 พฤติกรรมที่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องของการ
00:47:41 → 00:47:44 กินนะครับคนกลุ่มนี้ก็จะอ้วนๆได้ท่วมๆ
00:47:44 → 00:47:46 หน่อยๆนะกินบ่อยๆแต่ตอนกลางคืนโดยไม่รู้
00:47:46 → 00:47:49 ตัวครับผมค่ะหมายถึงว่าเป็นได้โดยที่ไม่
00:47:49 → 00:47:52 ได้ต้องกินไอ้ยาตัวนั้นเ้าก็เก็เกิดก็
00:47:52 → 00:47:54 เป็นก็เกิดขึ้นได้แต่ว่ายาตัวนั้นเนี่ยไป
00:47:54 → 00:47:57 กระตุ้นทำให้เกิดได้มากขึ้นง่ายขึ้นตอน
00:47:57 → 00:48:01 นั้นเนี่ยเรื่องของยาโดสของยาเนี่ยก็เอ่อ
00:48:01 → 00:48:04 คนคนทั่วไปคิดว่ายิ่งเยอะยิ่งดีนะฮะทั้งๆ
00:48:04 → 00:48:06 ที่ตัว Study เองเนี่ยเราบอกว่าเรารู้ว่า
00:48:06 → 00:48:10 แอมเบี้นกิน 5 ก็พอแต่ว่าเวลาหมอซัดให้
00:48:10 → 00:48:12 เนี่ยก็ซัดไป 10 มกรัคนไข้ก็ได้รับไปที่
00:48:12 → 00:48:16 โดสที่มันสูงกว่าที่เขา recommend ก็เกิด
00:48:16 → 00:48:17 ปัญหาเรื่องของ Sleep Eating disorder
00:48:17 → 00:48:20 แล้วทำไมต้องตื่นมากินคะทำอย่างอื่นไม่
00:48:20 → 00:48:22 ได้เหรอละเมออย่างอื่นทำไมต้องตรงนี้แหละ
00:48:22 → 00:48:24 ที่เราก็ยังงงๆอยู่ว่าไอ้ยาตัวนี้ไปทำ
00:48:24 → 00:48:27 อะไรกันแน่ที่ทำให้เกิดว่าตื่นขึ้นมาเดิน
00:48:27 → 00:48:29 ละเมอแล้วต้องเป็นพฤติกรรมในเรื่องของการ
00:48:29 → 00:48:32 กินก็คือเดินไปที่แพนทรีแล้วก็เข้าไปใน
00:48:32 → 00:48:34 คิชนเลยเข้าไปในครัวเลยแล้วก็เปิดตู้เย็น
00:48:34 → 00:48:37 กินอย่างอรัดอร่อยเอามากินต่อที่บนเตียง
00:48:37 → 00:48:40 ครับอืแล้วก็นอนแล้วก็นอนต่อโดยที่เขาไม่
00:48:40 → 00:48:44 รู้ตัวซึ่งณณปัจจุบันนี้เนี่ยกลไกเนี้ย
00:48:44 → 00:48:46 เราก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดจาก
00:48:46 → 00:48:48 อะไรกันแน่นะแต่ว่ามีส่วนน้อยที่จะเกิด
00:48:48 → 00:48:50 ขึ้นแต่เค้าเก็บหมดแล้วใช่มั้คะยานี้ไม่
00:48:50 → 00:48:54 เก็บฮะยังใช้ต่อด้วยความระมัดระวังแล้วก็
00:48:54 → 00:48:56 โดสเนี่ยลดลงมาจาก 10 มลกรัมเหลือ 5
00:48:56 → 00:48:59 มลกรัมอืนะครับก็ใช้ได้ฮะทุกอย่างเมันมี
00:48:59 → 00:49:02 ประโยชน์อย่างที่บอกมีความเสี่ยงแล้วก็มี
00:49:02 → 00:49:05 benfิที่จะได้รับก็ขึ้นว่ามันอันไหนจะมาก
00:49:05 → 00:49:08 กว่ากันอค่ะคุณหมอแนะนำสุขอนามัยการนอน
00:49:08 → 00:49:12 ที่ดีค่ะนอนไม่หลับอยากนอนหลับควรทำยังไง
00:49:12 → 00:49:15 ค่ะอืมตารางเวลาก่อนใช่มั้ฮะก่อนที่จะทำ
00:49:15 → 00:49:17 ตารางเวลาเราไปดูก่อนเราทำเ้าเรียกว่า
00:49:17 → 00:49:20 Sleep Ly จดมาก่อนว่าเราเข้านอนตอนกี่
00:49:20 → 00:49:23 โมงตื่นนอนตอนกี่โมงเข้านอนแล้วเนี่ยใช้
00:49:23 → 00:49:26 เวลาเท่าไหร่ถึงจะหลับหลับไปแล้วเนี่ย
00:49:26 → 00:49:29 ตื่นมากี่ครั้งนะครับกินอาหารเช้ากลางวัน
00:49:29 → 00:49:33 เดือนตอนกี่โมงกาแฟตอนกี่โมงเอ่อ
00:49:33 → 00:49:35 exer์ciseตอนกี่โมงเอามาทำสัก 2 อาทิตย์
00:49:35 → 00:49:38 แล้วให้คุณหมอดูหมอนี่สามารถที่จะไป
00:49:38 → 00:49:41 ดีไซน์ได้ว่าเออคุณจะนอนเนี่ยเวลาตรงไหน
00:49:41 → 00:49:44 นะฮะอันที่ 2 พอเราได้เวลาแล้วคราวนี้
00:49:44 → 00:49:47 เนี่ยการเตรียมตัวก็ต้องมีเรื่องของ
00:49:47 → 00:49:49 slowดาวนะฮะการที่จะเอาเครื่องบินลงคราว
00:49:49 → 00:49:52 เนี้ยลดสปีดก่อนพอslowดาวแล้วเนี่ยอาจจะ
00:49:52 → 00:49:55 ใช้เรื่องของการเอ่ออาบน้ำอาบน้ำร้อนนะฮะ
00:49:55 → 00:49:58 ก่อนที่จะเข้าห้องนอนค่ะเอ่อก่อนนอน
00:49:58 → 00:50:00 ประมาณสัก 3 ชั่วโมงเนี่ยไม่ควรจะมี
00:50:00 → 00:50:03 activity อะไรเรื่องของการกินเนี่ย
00:50:03 → 00:50:06 ประมาณ 3-4 ชมงแต่ว่าส่วนมากแล้วผมจะบอก
00:50:06 → 00:50:09 ว่าก็ทำไม IF ไปก็คือประมาณสซัก 18:00 น.
00:50:09 → 00:50:11 เนี่ยก็พอแล้วเพราะมันอาจจะช่วยเรื่องของ
00:50:11 → 00:50:16 กดไลย้อนได้ด้วยนะฮะเอ่อกาแฟแคฟีนอย่าลืม
00:50:16 → 00:50:19 ว่าชาเองก็มีแคฟนเหมือนกันนะฮะโดยปกติ
00:50:19 → 00:50:22 แล้วเนี่ยชา 2 แก้วมันเท่ากับกาแฟ 1 แก้ว
00:50:22 → 00:50:24 แล้วจริงๆชาเ้าแบบ slow release ด้วยใช่
00:50:24 → 00:50:27 มั้โอนั่นแะสิครับใช่ฮะอันนี้แบบยิ่งภัย
00:50:27 → 00:50:30 เงียบเลยนะฮะในเรื่องของการนอนอแล้วก็แต่
00:50:30 → 00:50:33 ว่าต้องอย่าลืมอีกว่าคนบางคนเนี่ยเอ่อบอก
00:50:33 → 00:50:35 ว่าทานชาไปแล้วฉันก็ไม่เห็นเป็นไรเลยค่ะ
00:50:35 → 00:50:38 ก็เป็นเรื่องของ Dose response ในในตัว
00:50:38 → 00:50:41 ของแคีนอุณหภูมิในห้องนอนนะฮะของฝรั่งนี่
00:50:41 → 00:50:44 ตั้งไว้ที่ 23 ซึ่งผมว่ามันหนาวนะเราไป
00:50:44 → 00:50:47 นอนห้องเย็นๆนี่เราจะปวดฉี่เนาะอุยแต่ชม
00:50:47 → 00:50:53 นอนเย็นมากกี่องศาครับชมนอนประมาณ 19
00:50:53 → 00:50:55 เข้าห้องน้ำปากตอนกลางคืนไม่เข้าค่ะเหรอ
00:50:55 → 00:51:00 อืไม่เข้าก็เข้าตอนเช้าเลยทีเดียวอืแสดง
00:51:00 → 00:51:03 ว่าชอบดูหนังซมากเลย
00:51:03 → 00:51:05 ก็อืมแต่จริงๆแล้วในเรื่องของการนอนเนี่ย
00:51:05 → 00:51:09 23 ก็น่าจะพอละค่ะแต่มันชินกินแล้วอ่ะคะ
00:51:09 → 00:51:12 คุณหมอแล้วลูกก็นอนเย็นแบบเนี้ยทุกคนเลย
00:51:12 → 00:51:17 อืออือๆเยี่ยมครับอันนี้คอมเมนต์ไม่ได้
00:51:17 → 00:51:21 เลยครับก็น่าสนใจฮะค่ะอันที่ 4 ก็คือ
00:51:21 → 00:51:24 เรื่องของการใช้ meditation เข้ามาช่วยนะ
00:51:24 → 00:51:27 ฮะอันที่ 5 ก็เรื่องของการรelease stress
00:51:27 → 00:51:30 หรือว่า loop lo สมองการทำงานของสมองคน
00:51:30 → 00:51:33 เราเนี่ยมันเหมือนกับเราเล่นคอมพิวเตอร์
00:51:33 → 00:51:35 ใช่มั้ฮะหรือการทำงานกับคอมพิวเตอร์ของ
00:51:35 → 00:51:37 เราเนี่ยเราสามารถเปิด Windows ได้ 20-30
00:51:37 → 00:51:40 30 Windows เลยพร้อมกันค่ะใช่มั้ฮะมัน
00:51:40 → 00:51:44 พอพร้อมที่จะพออัได้ตลอดแต่เราเลือกมาทำ
00:51:44 → 00:51:47 งานได้ครั้งละ 1 Windows สมองก็เช่น
00:51:47 → 00:51:50 เดียวกันนะฮะมันมีเรื่องที่มันค้างอยู่ใน
00:51:50 → 00:51:53 สมองเป็น 20-30 เรื่อง finish business
00:51:53 → 00:51:55 นะใช่แล้วคราวนี้พอมีทริกเกอร์ขึ้นมาที
00:51:55 → 00:51:58 นึงเนี่ยไอ้หูนั้นก็โผล่ขึ้นมาเออใช่
00:51:58 → 00:52:00 สังเกตเวลาที่เราวันไหนที่เรานอนไม่หลับ
00:52:00 → 00:52:03 มันจะชอบมีเรื่องอะไรที่แบบมันไม่เคยโผล่
00:52:04 → 00:52:06 ขึ้นด้วยแล้วอยู่ๆมันก็โผล่ขึ้นมาอมันมี
00:52:06 → 00:52:08 ทริกเกอร์เรื่องนี้ไปมันเป็นทริกเกอร์อีก
00:52:08 → 00:52:11 เรื่องนึงขึ้นมาใช่มั้ฮะพอเรื่องนี้ขึ้น
00:52:11 → 00:52:14 ปุ๊บไอ้เรื่องอื่นก็หยุดไปคราวนี้ทำไงให้
00:52:14 → 00:52:17 มันน้อยลงเราก็เอากระดาษมา 1 แผ่นนะฮะ
00:52:17 → 00:52:20 เขียนลงไปเลยว่าสิ่งที่มันวิ่งอยู่ในหัว
00:52:20 → 00:52:22 เราในเรื่องที่มันวิ่งมาเป็นประจำเลย 5
00:52:22 → 00:52:24 เรื่องเอาแค่ 5 เรื่องพอเพราะว่าจะแก้มาก
00:52:24 → 00:52:27 กว่านัดแก้ยากอ 5 เรื่องเขียนไปเลยเรื่อง
00:52:27 → 00:52:30 อะไรจะแก้ปัญหาในวันรุ่งขึ้นแก้ตอนกี่โมง
00:52:30 → 00:52:33 จะแก้ยังไง 1 2 3 4 5 ในตอนเช้าเราก็
00:52:33 → 00:52:35 รีบไปแก้ปัญหาตรงนั้นขึ้นมาค่ะเพื่อวัน
00:52:35 → 00:52:37 ต่อไปเนี่ยถ้ามันวิ่งอีกเราจะจะแก้ไป
00:52:37 → 00:52:39 เรื่อยๆถ้ามันต้องเขียนซ้ำๆซากๆไปนานๆ
00:52:39 → 00:52:42 เนี่ยคราวนี้ก็ต้องรู้จักที่จะ cut loss
00:52:42 → 00:52:45 อือืคราวนี้เนี่ย cut loss ก็คือว่าต้อง
00:52:45 → 00:52:48 รู้จักที่จะหา strategy ใหม่ๆเข้ามาแก้
00:52:48 → 00:52:51 แก้ปัญหาตรงนั้นแทนนะฮะเราทราบว่าการออก
00:52:51 → 00:52:53 กำลังกายเนี่ยช่วยให้ช่วยให้เรานอนดีขึ้น
00:52:53 → 00:52:57 ได้นะฮะในคนบางคนเนี่ยเอ่อที่นอนน้อยแต่
00:52:57 → 00:52:59 ว่าถ้าออกกำลังกายประจำเนี่ยอาจจะช่วยทำ
00:53:00 → 00:53:02 ให้ร่างกายเนี่ยสามารถที่จะ compensate
00:53:02 → 00:53:05 ได้มากขึ้นใช่ครับก็ compensate ได้ดี
00:53:05 → 00:53:08 ขึ้นครับชมคลิปจบแล้วนะคะเม้นต์มาบอกกัน
00:53:08 → 00:53:11 หน่อยนะคะว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไรนะคะหรือ
00:53:11 → 00:53:14 ว่ากำลังสนใจเรื่องอะไรอยากให้ชมคุยกับ
00:53:14 → 00:53:16 ใครเป็นพิเศษนะคะเม้นต์มาบอกกันได้เลยค่ะ
00:53:16 → 00:53:19 อยากให้เราปรับปรุงอะไรพัฒนาตรงไหนบอกมา
00:53:19 → 00:53:22 ได้เลยนะคะขอรับฟังคำติชมทุกอย่างเลยค่ะ
00:53:22 → 00:53:25 ขอคนละ 1 เม้นต์ก็แล้วกันนะคะแล้วก็อย่า
00:53:25 → 00:53:28 ลืมนะคะกดไลค์กดแชร์กด Subscribe นะคะ
00:53:28 → 00:53:30 เป็นกำลังใจให้กับช่อง Life Do ด้วยนะคะ
00:53:30 → 00:53:35 เราจะได้สุขภาพดีไปด้วยกันอ
00:53:35 → 00:53:39 [เพลง]