00:00:00 → 00:00:02 [เพลง]
00:00:02 → 00:00:05 ค่ะสำหรับวันนี้นะคะเราก็จะมาคุยกันใน
00:00:05 → 00:00:08 เรื่องของอาหารกับไขมันในเลือดสูงนะคะ
00:00:08 → 00:00:10 เอ่อเรามารู้จักกันนิดนึงเวลาที่เราคุย
00:00:10 → 00:00:13 กันว่าไขมันในเลือดสูงคืออะไรนะคะก็คือ
00:00:13 → 00:00:15 ส่วนใหญ่เราจะมาจากการเจาะเลือดถูกมั้ยคะ
00:00:15 → 00:00:17 เพราะมันอยู่ในเลือดเนาะทีนี้ไขมันใน
00:00:17 → 00:00:19 เลือดสูงเวลาที่เราเจาะเลือดอ่ะค่ะมันจะ
00:00:19 → 00:00:22 มีอยู่ 2 ตัวหลักๆที่เราคุยกันก็จะเป็น
00:00:22 → 00:00:26 เรื่องของคอเลสเตอรอลกับไตรกีซาไลน์นะคะ
00:00:26 → 00:00:28 ทีนี้เราจะแยกกันเนาะช่วงแรกเราอาจจะพูด
00:00:28 → 00:00:31 ถึงตัวคอเลสเตอรอลก่อนแล้วเดี๋ยวส่วนที่ 2
00:00:31 → 00:00:33 เราจะพูดถึงไตรกีซาไลน์คอเลสเตอรอลใน
00:00:33 → 00:00:35 เลือดสูงเนี่ยเวลาที่เราตรวจเลือดอ่ะค่ะ
00:00:35 → 00:00:38 เราจะมีส่วนที่เป็นคอเลสเตอรอลเป็นภาพรวม
00:00:38 → 00:00:41 ทั้งหมดนะคะแล้วก็เขาจะพูดคำว่า
00:00:41 → 00:00:44 คอเลสเตอรอลตัว D ก็คือ hdl กับ
00:00:44 → 00:00:49 คอเลสเตอรอลตัวเลวก็คือ ldl นะคะทีนี้ hdl
00:00:49 → 00:00:51 เนี่ยมันมาจากคำว่า High density เอา
00:00:51 → 00:00:54 ง่ายๆเลยตัว High ยิ่งสูงยิ่งดีอันนี้คือ
00:00:54 → 00:00:58 ไขมันดีตัวเลวก็คือตัว L เนาะยิ่งต่ำยิ่ง
00:00:58 → 00:01:01 ดีนะคะอันนี้เวลาที่เราเจาะเลือดเวลาที่
00:01:02 → 00:01:04 เราไปตรวจสุขภาพนะคะเราก็จะได้ค่าไขมันใน
00:01:04 → 00:01:07 เลือดออกมานะคะสมัยก่อนเนี่ยเราก็จะได้
00:01:07 → 00:01:09 แค่ค่าที่เราเรียกว่าเป็นเอ่อค่า
00:01:09 → 00:01:12 คอเลสเตอรอลตัวรวมกับอีกตัวนึงก็คือชื่อ
00:01:12 → 00:01:15 ว่าไตรกลีเซอไรด์นะคะจริงๆแล้วเนี่ยถ้า
00:01:15 → 00:01:18 เราดูกลุ่มของคอเลสเตอรอลปกติก็ควรจะต่ำ
00:01:18 → 00:01:21 กว่า 200 นะคะแล้วถ้ามากกว่า 240
00:01:21 → 00:01:24 อันเนี้ยเราก็จะบอกว่าสูงมากละไขมันตัว
00:01:24 → 00:01:27 เร็วหรือว่า ldl เนี่ยค่าปกติควรจะต้อง
00:01:27 → 00:01:31 ให้ต่ำกว่า 130 นะคะแล้วถ้ามากกว่า 160
00:01:31 → 00:01:34 เนี่ยเราจะถือว่าสูงมากละนะคะและถ้าเกิด
00:01:34 → 00:01:38 เมื่อไหร่ก็ตามที่สูงมากกว่า 190 อันนี้
00:01:38 → 00:01:40 เราควรจะสงสัยว่าอาจจะมีเรื่องของกรมพร
00:01:40 → 00:01:43 ที่จะเป็นเรื่องของคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
00:01:43 → 00:01:46 และเป็นตัวเลขที่ควรจะต้องได้รับยาในการ
00:01:46 → 00:01:49 รักษาแล้วค่ะสำหรับไขมันตัวดีเนี่ยจริงๆ
00:01:49 → 00:01:52 แล้วต้องบอกว่าในผู้หญิงกับผู้ชายเนี่ยจะ
00:01:52 → 00:01:55 มีค่าที่ต่างกันปกติผู้หญิงจะสูงกว่าผู้
00:01:55 → 00:01:58 ชายนิดหน่อยอยู่ละนะคะทีนี้ในแต่ละแลบใน
00:01:58 → 00:02:01 แต่ละโรงพยาบาลบาหรือว่าที่ที่ตรวจเนี่ย
00:02:01 → 00:02:04 อาจจะกำหนดค่ากลางเนี่ยไม่เท่ากันแต่จะ
00:02:04 → 00:02:08 บอกว่าถ้าค่าไขมันตัวดีหรือว่า hdl ที่
00:02:08 → 00:02:11 ต่ำกว่า 40 อันเนี้ยถือว่าเพิ่มความ
00:02:11 → 00:02:13 เสี่ยงกับการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนะ
00:02:14 → 00:02:16 คะอันที่ 2 ก็คือไตรกีซาไลน์ค่าที่เป็น
00:02:16 → 00:02:20 ปกติเนี่ยควรจะต่ำกว่า 150 นะคะถ้ามาก
00:02:20 → 00:02:22 กว่า 150 แสดงว่าเริ่มสูงละนะคะแล้ว
00:02:22 → 00:02:25 ไตรกีซาไลน์ที่สูงมากคือมากกว่า 500 อัน
00:02:25 → 00:02:28 นี้เป็นตัวที่จะทำให้คนเนี่ยเสี่ยงกับการ
00:02:28 → 00:02:30 ที่จะเกิดเรื่องของตับอ่อนอักเสบแล้วควร
00:02:30 → 00:02:33 จะต้องรีบได้รับการรักษานะคะคอเลสเตอรอล
00:02:33 → 00:02:36 เราเจาะเวลาไหนคอเลสเตอรอลในเลือดเราพอๆ
00:02:36 → 00:02:38 กันนะคะเจาะเช้าเจาะเย็นกินข้าวแล้วไม่
00:02:38 → 00:02:41 กินข้าวอันเนี้ยไม่กระทบกับระดับ
00:02:41 → 00:02:44 คอเลสเตอรอลแต่ตัวกตกีสาลายอ่ะค่ะตัวเลข
00:02:44 → 00:02:47 ที่เราบอกว่าต้องน้อยกว่า 150 อันนี้เป็น
00:02:47 → 00:02:50 ไตกีสลายหลังจากที่เรางดน้ำงดอาหารแล้ว
00:02:50 → 00:02:52 เพราะว่าถ้าเรากินอาหารเข้าไปปุ๊บไตกีสไล
00:02:52 → 00:02:55 จะขึ้นด้วยคำถามก็คือว่าเอ๊ะแล้วถ้าไข่
00:02:55 → 00:02:57 มันในเลือดสูงอ่ะแล้วมันจะทำให้เกิดอะไร
00:02:57 → 00:03:00 กับร่างกายไม่ว่าจะคอเลสเตอรอลสูงสูงหรือ
00:03:00 → 00:03:02 ไม่ว่าจะไตรกีสไลสูงทั้ง 2 ตัวเนี้ย
00:03:02 → 00:03:05 สามารถที่จะทำให้เกิดเรื่องของหลอดเลือด
00:03:05 → 00:03:10 สมองได้นะคะอ่าทำให้หัวใจไตสมองใช่มั้ยคะ
00:03:10 → 00:03:12 พังได้เพราะฉะนั้นเนี่ยตรงเนี้ยก็คือเป็น
00:03:12 → 00:03:15 อันนึงที่เราป้องกันไม่ให้มันเกิดปัญหา
00:03:15 → 00:03:20 สำหรับตัวของไตรกีสไลสูงถ้าสูงมากๆในระยะ
00:03:20 → 00:03:23 สั้นๆสูงมากๆในที่นี้คือเกิน 500 เกิน
00:03:23 → 00:03:25 1000 อาจจะทำให้เกิดเรื่องของตับอ่อน
00:03:25 → 00:03:28 อักเสบได้เพราะฉะนั้นอันเนี้ยเราก็เลย
00:03:28 → 00:03:33 ต้องแยกกัน
00:03:33 → 00:03:34 [เพลง]
00:03:34 → 00:03:37 ถามว่าสาเหตุที่จะทำให้เกิดเรื่องของ
00:03:37 → 00:03:40 คอเลสเตอรอลสูงหรือไตรกีสไลสูงเกิดจาก
00:03:40 → 00:03:42 อะไรได้บ้างส่วนใหญ่เราจะให้แยกเป็น 2
00:03:42 → 00:03:44 กลุ่มค่ะกลุ่มแรกหมายความว่าเป็นสิ่งที่
00:03:44 → 00:03:47 มันเกิดขึ้นเองอาจจะเกิดจากการเผาผลาญใน
00:03:47 → 00:03:50 ร่างกายผิดปกติหรืออะไรก็แล้วแต่นะคะกับ
00:03:50 → 00:03:54 กลุ่มที่ 2 มีโรคมีภาวะหรือมียาอะไรก็ตาม
00:03:54 → 00:03:57 ที่ทำให้มันสูงสำหรับตัวคอเลสเตอรอลหรือ
00:03:57 → 00:03:59 ไตรกีซาไลน์เนี่ยนะคะให้ระวังเรื่อง
00:03:59 → 00:04:03 เรื่องของยานะคะยาบางอย่างเช่นกลุ่มของ
00:04:03 → 00:04:06 ฮอร์โมนทั้งหลายนะคะแล้วก็ตัวที่จะเป็น
00:04:06 → 00:04:10 เรื่องของตัวระดับความผิดปกติของฮอร์โมน
00:04:10 → 00:04:13 ยกตัวอย่างเช่นไทรรอยด์ทำงานต่ำอันนี้จะ
00:04:13 → 00:04:17 ทำให้ตัวนี้สูงได้นะคะมีโรคตับโรคไตโรคไต
00:04:17 → 00:04:20 ในที่นี้เช่นมีโปรตีนรั่วที่ปัสสาวะพวก
00:04:20 → 00:04:23 นี้ก็จะทำให้ตัวคอเลสเตอรอลสูงได้เพราะ
00:04:23 → 00:04:25 ฉะนั้นเนี่ยเวลาที่คอเลสเตอรอลหรือว่า
00:04:25 → 00:04:28 ไตรกีสไลดสูงเนี่ยเราจะต้องหาสาเหตุก่อน
00:04:28 → 00:04:31 ว่ามีเหตุผลอื่นมยที่ทำให้เคสูงนะคะแล้ว
00:04:31 → 00:04:33 หลังจากนั้นเราถึงจะมาดูว่าโอเคถ้าไม่มี
00:04:33 → 00:04:36 สาเหตุอื่นนะคะไม่ว่าจะเป็นยาไม่ว่าจะ
00:04:36 → 00:04:38 เป็นตัวโรคต่างๆไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนผิด
00:04:38 → 00:04:42 ปกติอันนี้เราก็จะมาเริ่มให้การรักษากัน
00:04:42 → 00:04:44 ส่วนใหญ่ในส่วนของตัวคอเลสเตอรอลเนี่ย
00:04:44 → 00:04:48 ต้องบอกว่าคอเลสเตอรอลเองเนี่ย 70-80 per
00:04:48 → 00:04:50 เนี่ยค่ะมันสร้างเองเพราะฉะนั้นเนี่ยส่วน
00:04:51 → 00:04:54 ใหญ่ถ้าสูงแล้วสูงมากๆก็จะมีปัญหาจากกรรม
00:04:54 → 00:04:56 พันธ์อ่อไปเช็คได้เลยคุณพ่อคุณแม่มีปัญหา
00:04:56 → 00:04:58 เรื่องคอเลสเตอรอลสูงคุณลุงคุณป้าอะไร
00:04:58 → 00:05:01 อย่างเงี้ยพี่น้องอันนี้ควรมาเช็คและนะคะ
00:05:01 → 00:05:04 ว่ามีหรือเปล่าเอ่อเวลาที่คอเลสเตอรอลสูง
00:05:04 → 00:05:06 จากกรพันธ์ถ้าเกิดเป็นมากๆแล้วสูงอยู่นาน
00:05:06 → 00:05:10 ๆให้ดูนิดนึงค่ะตรงบริเวณของเปลือกตานะคะ
00:05:10 → 00:05:12 อาจจะมีปื้นที่เป็นปื้นสีออกเหลืองๆอยู่
00:05:12 → 00:05:16 บริเวณเปลือกตาถ้ามีอยู่อันนี้ควรมาตรวจ
00:05:16 → 00:05:17 อันนี้เป็นอันนึงที่บอกว่ามันเป็นไขมัน
00:05:17 → 00:05:21 สะสมระยะยาวอันที่ 2 ก็จะมีปื้นอยู่ตรง
00:05:21 → 00:05:24 บริเวณของเอ่อข้อมือก็ได้นะคะหรือว่าหลัง
00:05:24 → 00:05:27 มือตรงบริเวณเส้นเอ็นนะคะแล้วก็ตรงข้อศอก
00:05:27 → 00:05:29 หรือว่าตรงบริเวณเอ็นร้อยหวายถ้ามันหนัก
00:05:29 → 00:05:33 ตัวขึ้นมันมีตุ่มๆมีหนาๆขึ้นมาอันนี้ให้
00:05:33 → 00:05:35 มาตรวจเลยระวังว่าจะมีเรื่องของตัว
00:05:35 → 00:05:37 คอเลสเตอรอลสูงไตกีสไลเองส่วนนึงก็จะเป็น
00:05:37 → 00:05:40 กรรมพันธ์ได้แต่หลักๆเลยนะคะเหมือนที่บอก
00:05:40 → 00:05:43 ค่ะว่าไตกีสไลดเนี่ยมันจะสูงขึ้นตามอาหาร
00:05:43 → 00:05:45 นะคะเพราะฉะนั้นกลุ่มของอาหารที่ทำให้
00:05:45 → 00:05:48 ไตกีซาลายสูงได้หลักๆก็จะเป็นอาหารที่
00:05:48 → 00:05:51 เป็นพวกข้าวแป้งน้ำตาลคนที่อ้วนกิน
00:05:51 → 00:05:54 แคลอรี่เยอะๆคนที่ดื่มเหล้านะคะพวกเนี้ย
00:05:54 → 00:05:58 ไตกีสาลายสูงได้นะคะแล้วถ้าเราไปลดอาหาร
00:05:58 → 00:06:01 ไตกีสาลายก็จะต่ำได้เหมือนกันไกีสไลนมี
00:06:01 → 00:06:03 อันนึงที่พิเศษกว่าตัวคอเลสเตอรอลคือสูง
00:06:03 → 00:06:05 มากๆให้ระวังว่าจะเป็นเรื่องของตับอ่อน
00:06:05 → 00:06:06 อักเสบนะ
00:06:06 → 00:06:11 [เพลง]
00:06:11 → 00:06:14 คะในส่วนของคอเลสเตอรอลสูงก่อนนะคะในส่วน
00:06:14 → 00:06:18 ของคอเลสเตอรอลสูงเนี่ยอาหารหลักๆเนาะที่
00:06:18 → 00:06:20 เราจะจัดการหรือว่าเราจะช่วยในแง่ของคน
00:06:20 → 00:06:22 ที่มีปัญหาเรื่องของคอเลสเตอรอลสูงเนี่ย
00:06:22 → 00:06:25 มีอยู่ 4 กลุ่ม 4 กลุ่มที่ว่าเนี้ยก็จะ
00:06:25 → 00:06:28 เป็นกลุ่มของไขมันนะคะเราจะลดในส่วนที่
00:06:28 → 00:06:31 เป็นไขมันทรานซ์หรือว่าไขมันอิ่มตัวเราจะ
00:06:31 → 00:06:34 ลดในส่วนของคอเลสเตอรอลในอาหารนะคะเราอาจ
00:06:34 → 00:06:36 จะเพิ่มในส่วนที่มันเป็นไฟเบอร์หรือว่าใย
00:06:36 → 00:06:39 อาหารแล้วเราก็จะไปเพิ่มในส่วนของการออก
00:06:39 → 00:06:40 กำลังกายหรือว่าลดน้ำหนักอันนี้ก็จะเป็น
00:06:41 → 00:06:42 กลุ่มหลักๆในส่วนที่จะเป็นเรื่องของ
00:06:42 → 00:06:45 คอเลสเตอรอลทีนี้เรามาดูกันในรายละเอียด
00:06:45 → 00:06:48 อันแรกเลยนะคะถ้าสมมุติว่าเราจะลดเนี่ย
00:06:48 → 00:06:50 ถามว่ามีอะไรได้บ้างอันแรกก่อนเราพูดถึง
00:06:50 → 00:06:52 เรื่องของคอเลสเตอรอลเมื่อสักครู่ใช่มั้ย
00:06:52 → 00:06:54 คะเราก็จะต้องไปลดอาหารที่มีคอเลสเตอรอล
00:06:54 → 00:06:57 อ่าถ้าเกิดถามว่าตัวเลขเนี่ยสมัยก่อนเรา
00:06:57 → 00:06:59 จะบอกว่าให้กินคอเลสเตอรอลที่น้อยกว่า 300
00:06:59 → 00:07:03 มิลกรัมคิดไม่ออกนึกไม่ได้ว่าเป็นอะไรอ่า
00:07:03 → 00:07:05 ถ้าเป็นไข่นะคะคอเลสเตอรอลจะอยู่เฉพาะใน
00:07:05 → 00:07:08 ไข่แดงมีอันนึงที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิด
00:07:08 → 00:07:11 ต้องบอกก่อนว่าคอเลสเตอรอลเป็นอาหารที่มี
00:07:11 → 00:07:14 เฉพาะในสัตว์เท่านั้นอะไรก็ตามที่มาจาก
00:07:14 → 00:07:18 พืชจะไม่มีคอเลสเตอรอลเสมอมันฝรั่งทอดไม่
00:07:18 → 00:07:21 มีคอเลสเตอรอลปลาท่องโก๋ไม่มีคอเลสเตอรอล
00:07:21 → 00:07:25 กะทิไม่มีคอเลสเตอรอลนะคะเพราะว่า
00:07:25 → 00:07:27 คอเลสเตอรอลจะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่มาจาก
00:07:27 → 00:07:31 สัตว์เท่านั้นนะนะคะอ่าทีนี้เวลาที่มัน
00:07:31 → 00:07:33 เป็นอาหารที่มาจากสัตว์เนี่ยพวกที่เป็น
00:07:33 → 00:07:36 เครื่องในอ่ะค่ะไข่แดงสมองหรืออะไรอย่าง
00:07:36 → 00:07:38 เงี้ยพวกนี้จะเป็นของที่เรากินน้อยแต่เรา
00:07:38 → 00:07:41 จะได้คอเลสเตอรอลเยอะเพราะฉะนั้นเราควร
00:07:41 → 00:07:43 หลีกเลี่ยงนะคะพวกอาหารทะเลทั้งหลายอะไร
00:07:43 → 00:07:45 อย่างเงี้ยก็จะมีคอเลสเตอรอลสูงพอสมควร
00:07:45 → 00:07:48 พวกไข่มันนะคะอ่าเพราะฉะนั้นอันนี้เราควร
00:07:48 → 00:07:51 จะเลี่ยงหรือว่าลดลงอันที่ 2 ที่เราบอก
00:07:51 → 00:07:53 ว่าจะลดก็คือไขมันอิ่มตัวหรือไขมันทรานส
00:07:53 → 00:07:56 พวกไขมันอินตัวหรือไขมันทรานสก็คือของที่
00:07:56 → 00:07:59 วางเอาไว้แล้วเป็นไขเป็นก้อนพวกของเนยพวก
00:07:59 → 00:08:02 ของกระทิหรือว่าพวกของน้ำมันน้ำมันหมูน้ำ
00:08:02 → 00:08:04 มันปาล์พวกนี้เป็นต้นพอเราเลี่ยงะเราจะ
00:08:04 → 00:08:06 เลือกอะไรเราก็เลือกน้ำมันที่มันเป็นน้ำ
00:08:06 → 00:08:09 มันที่มันใสนะคะก็จะเป็นพวกของน้ำมันพืช
00:08:09 → 00:08:12 เช่นน้ำมันอะไรคะน้ำมันรำข้าวน้ำมันเ่อ
00:08:13 → 00:08:15 ถั่วเหลืองน้ำมันคาโนล่าน้ำมันมะกอกหรือ
00:08:15 → 00:08:17 อะไรพวกนี้อันนี้คือของที่เราเลือกใช่
00:08:17 → 00:08:21 มั้ยคะอันที่ 3 เราใช้วิธีเลี่ยงค่ะคือ
00:08:21 → 00:08:23 เรากินให้ไขมันมันน้อยไปเลยก็จะกินพวกของ
00:08:23 → 00:08:28 ที่มันเป็นต้มนึ่งปิ้งย่างยำอบตุ๋นนะคะ
00:08:28 → 00:08:30 หลีกเลี่ยงพวกของทอดหรือว่าของผัดการที่
00:08:31 → 00:08:32 เรากินผักหรือว่าเพิ่มไฟเบอร์เยอะขึ้น
00:08:33 → 00:08:35 เนี่ยสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือช่วยชะลอหรือไป
00:08:35 → 00:08:38 แย่งที่ไม่ให้คอเลสตอรอลนี่มันดูดซึมเข้า
00:08:38 → 00:08:41 ไปคอเลสเตอรอลก็จะดูดซึมเข้าไปน้อยลงการ
00:08:41 → 00:08:43 ออกกำลังกายหรือว่าการลดน้ำหนักเนี่ยอัน
00:08:43 → 00:08:46 นี้เป็นผลทางอ้อมละมันจะทำให้ไขมันตัวดี
00:08:46 → 00:08:49 เพิ่มขึ้นนะคะก็จะช่วยเป็นตัวที่เ่อป้อง
00:08:49 → 00:08:51 กันโรคหัวใจให้เราได้อ่าดังนั้นเนี่ย
00:08:51 → 00:08:53 สมมุติถ้าเป็นกลุ่มอาหารเช่นถ้าเป็นพวก
00:08:53 → 00:08:55 เนื้อสัตว์เราก็เลือกไม่ติดมันใช่มั้ยคะ
00:08:56 → 00:08:58 อ่าเลี่ยงพวกของเนื้อสัตว์ติดมันนะคะ
00:08:58 → 00:09:01 อาหารทะเลพวกเครื่องในอ่าถ้าเป็นกลุ่มของ
00:09:01 → 00:09:04 ธัญพืชเราก็เลือกพวกเ่อธัญพืชเมล็ดแห้ง
00:09:04 → 00:09:07 ข้าวหรือว่าธัญพืชที่ไม่ขัดสีนะคะเลี่ยง
00:09:07 → 00:09:10 พวกที่เป็นพวกขัดสีไปแล้วอันนี้ก็จะช่วย
00:09:10 → 00:09:12 เพิ่มไฟเบอร์ใช่มั้ยคะพวกผักเห็นมั้ยคะ
00:09:12 → 00:09:15 กินผักให้เยอะขึ้นนะคะถ้ากินก็กินผักที่
00:09:15 → 00:09:17 อาจจะทำด้วยน้ำเ่อไม่ใช่ผักทอดเนาะเดี๋ยว
00:09:18 → 00:09:20 บอกว่ากินผักได้แต่ปรากฏว่าเป็นผักชุบ
00:09:20 → 00:09:23 แป้งทอดอันนี้ก็คงไม่ใช่ใช่มยคะผลไม้ได้
00:09:23 → 00:09:25 นะคะอันนี้ก็จะเป็นกลุ่มของคนไข้ที่มี
00:09:25 → 00:09:33 ปัญหาเรื่องของคอเลสเตอรอลในเลือดสูงนะคะ
00:09:33 → 00:09:36 อันอันนึงก็จะเป็นกลุ่มที่เป็นไตกีสไลด์
00:09:36 → 00:09:39 สูงอ่ามีความพิเศษนิดนึงถ้าไตกีสาลายสูง
00:09:39 → 00:09:42 เนี่ยเราก็จะลดไขมันคล้ายๆกับคอเลสเตอรอล
00:09:42 → 00:09:45 เมื่อสักครู่นะคะก็คือลดปริมาณไขมันลงไต
00:09:45 → 00:09:48 กีสลายเนี่ยจะตอบสนองได้ดีกับการลดน้ำ
00:09:48 → 00:09:50 หนักลดพวกข้าวแป้งน้ำตาลโดยเฉพาะพวกที่
00:09:51 → 00:09:53 เป็นน้ำหวานหรืออะไรก็ตามที่เข้าไปแล้ว
00:09:53 → 00:09:56 เนี่ยมันเป็นน้ำตาลในเลือดสูงลดน้ำตาลนะ
00:09:56 → 00:09:59 คะถ้าใครเป็นเบาหวานจะเป็นอันนึงเลยเลย
00:09:59 → 00:10:01 ที่น้ำตาลในเลือดสูงแล้วทำให้ไตกีสาไลสูง
00:10:01 → 00:10:05 ได้ก็ต้องไปคุมน้ำตาลลดข้าวแป้งน้ำตาลลด
00:10:05 → 00:10:09 ไขมันลดน้ำหนักแล้วก็ออกกำลังกายอีกอัน
00:10:09 → 00:10:11 นึงสำหรับไตกีซาไลที่จะต้องเพิ่มก็คือไป
00:10:11 → 00:10:14 ลดแอลกอฮอล์ค่ะเพราะว่าดื่มแอลกอฮอล์เยอะ
00:10:14 → 00:10:17 ขึ้นนะคะก็จะไปทำให้ไตรกีสาลายสูงขึ้นได้
00:10:17 → 00:10:19 เหมือนกันค่ะก็จริงๆแล้วเวลาที่เราเจอว่า
00:10:19 → 00:10:21 คนไข้ที่มีปัญหาเรื่องของไขมันในเลือดสูง
00:10:21 → 00:10:24 เนี่ยจริงๆเราต้องมองหาสาเหตุไว้ด้วยนะคะ
00:10:24 → 00:10:27 หลายๆครั้งเนี่ยคนก็มักจะแบบเหมือนกับให้
00:10:27 → 00:10:29 ยาไปเลยอะไรอย่างเงี้ยเคยมีเคสที่ส่งมา
00:10:29 → 00:10:32 ปรึกษาค่ะก็คือว่าเอ่อเค้ามีปัญหาเรื่อง
00:10:32 → 00:10:36 ของคอเลสเตอรอลในเลือดสูงนะคะแล้วก็ได้ยา
00:10:36 → 00:10:38 มาพอได้ยามาเสร็จปุ๊บก็จะมีปัญหาโน่นนี่
00:10:38 → 00:10:41 นั่นนะคะแล้วก็ต้องเปลี่ยนยาหยุดยาคนไข้
00:10:41 → 00:10:44 ก็บอกกินยาแล้วไม่สบายตัวโน่นนี่นั่นไป
00:10:44 → 00:10:47 ตลอดเวลานะคะก็ในที่สุดเนี่ยเาส่งมาบอก
00:10:47 → 00:10:50 ว่าให้คุยกับคนไข้หน่อยในเรื่องของอาหาร
00:10:50 → 00:10:52 ปรากฏว่าพอตรวจดูคนไข้เอ๊ะทำไมชีพจรมัน
00:10:52 → 00:10:54 เต้นช้าจังเลยคนแคกบ่นว่าน้ำหนักเพิ่ม
00:10:54 → 00:10:58 ขึ้นค่ะหมอเนี่ยดิฉันพยายามคุมอาหารละแต่
00:10:58 → 00:11:00 ว่าน้ำหนักมันเพิ่มขึ้นแล้วดิฉันก็ขี้
00:11:00 → 00:11:04 หนาวหันไปดูชีพจรก็ช้าลงสุดท้ายเคสเนี้ย
00:11:04 → 00:11:06 คะเราก็ลองไปเจาะดูไทรรอยด์นะคะปรากฏว่า
00:11:06 → 00:11:08 คนไข้เนี่ยมีภาวะไทรรอยด์บกพร่องหรือว่า
00:11:08 → 00:11:11 ไทรรอยด์ต่ำำคนเนี้ยแค่ให้ยาไทรอยด์อ่ะ
00:11:11 → 00:11:14 ค่ะคอเลสเตอรอลก็กลับมาเป็นปกติหรือในบาง
00:11:14 → 00:11:17 รายอ่ะค่ะคณไข้ไม่ได้บอกเรานะคะแต่ว่าคน
00:11:17 → 00:11:18 ไข้อ่ะน้ำหนักตัวดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น
00:11:18 → 00:11:21 เรื่อยๆแล้วคนไข้ก็บ่นว่าขาบวมขาบวมทำไป
00:11:21 → 00:11:23 ทำมาเนี่ยไปตรวจปัสสาวะปรากฏว่ามีโปรตีน
00:11:24 → 00:11:26 รั่วในปัสสาวะแล้วภาวะเนี้ยค่ะมันก็จะไป
00:11:26 → 00:11:28 กระตุ้นให้ร่างกายเนี่ยมีการสร้าง
00:11:29 → 00:11:31 คอเลสเตอรอลสูงขึ้นจริงๆพวกเนี้ยถ้าเราไป
00:11:31 → 00:11:34 รักษาต้นเหตุไปรักษาตัวโรคนะคะเราไม่
00:11:34 → 00:11:36 จำเป็นต้องให้ยาแล้วเดี๋ยวคอเลสเตอรอลมัน
00:11:36 → 00:11:39 ก็จะกลับมาปกติอีกคนนึงก็มาด้วยเรื่องว่า
00:11:39 → 00:11:41 ปวดท้องเนาะไม่เคยตรวจอะไรมาก่อนเลยเป็น
00:11:41 → 00:11:45 เบาหวานอยู่เดิมแล้วก็ปวดท้องตอนที่มา
00:11:45 → 00:11:48 ตรวจก็ปรากฏว่าคนไข้เนี่ยมีอาการปวดท้อง
00:11:48 → 00:11:50 แล้วสุดท้ายก็เจอว่าเป็นตับอ่อนอักเสบเขา
00:11:50 → 00:11:53 ก็เจาะไตกีสาลายในเลือดขึ้นมาประมาณสัก
00:11:53 → 00:11:56 3,000 อย่างเงี้ยค่ะแล้วน้ำตาลก็สูงคน
00:11:56 → 00:11:59 เนี้ยก็ต้องไปคุมน้ำตาลก่อนเนาะพอคุมน้ำ
00:11:59 → 00:12:01 ตาลคุมอาการทุกอย่างแล้วเนี่ยแล้วหลังจาก
00:12:01 → 00:12:04 นั้นเรามาดูไกีสไลนมันก็ยังสูงอยู่แต่ก็
00:12:04 → 00:12:06 จะไม่ใช่หลักพันเพราะฉะนั้นเนี่ยจริงๆ
00:12:06 → 00:12:09 แล้วเนี่ยหลายๆครั้งอ่ะค่ะที่เราเจอว่า
00:12:09 → 00:12:11 พวกไขมันในเลือดสูงเนี่ยมันไม่ได้มาด้วย
00:12:11 → 00:12:14 ตัวมันเองแต่มันมาด้วยเหตุผลอื่นเพราะ
00:12:14 → 00:12:16 ฉะนั้นตรงเนี้ยถ้าเกิดใครที่เจอว่าตัวเอง
00:12:16 → 00:12:20 มีไขมันในเลือดสูงนะคะให้มองหาด้วยว่ามี
00:12:20 → 00:12:23 ปัญหาหรือเปล่าอีกรายนึงคือคุณหมอให้ยา
00:12:23 → 00:12:25 ฮอร์โมนบางอย่างนะคะเพื่อรักษาโรคอยู่ที่
00:12:25 → 00:12:27 บ้านก็ไม่ได้มีกรรมพันธ์เบาหวานไม่ได้มี
00:12:27 → 00:12:30 กรรมพันธ์ไขมันอะไรสักพักนึงก็ถูกส่งมา
00:12:30 → 00:12:33 ปรึกษาเพราะว่าคนไข้มีคอเลสเตอรอลในเลือด
00:12:33 → 00:12:36 สูงทำไปทำมาก็แค่เป็นเพราะยาซึ่งอันเนี้ย
00:12:36 → 00:12:38 เราจำเป็นที่จะต้องมาเช็คดูนะคะว่ายาที่
00:12:38 → 00:12:41 ได้อ่ะมันเป็นสาเหตุที่ทำให้คอเลสเตอรอล
00:12:41 → 00:12:45 สูงมมในขณะเดียวกันต่อให้ยาเป็นสาเหตุแต่
00:12:45 → 00:12:48 ถ้ายามันจำเป็นในการรักษาโรคเราก็จำเป็น
00:12:48 → 00:12:49 ที่จะต้องให้การรักษาเรื่องของ
00:12:49 → 00:12:52 คอเลสเตอรอลควบคู่กันไปด้วยทีนี้ถ้าเกิด
00:12:52 → 00:12:54 คอเลสเตอรอลในเลือดสูงเนี่ยถามว่าเราจะ
00:12:54 → 00:12:57 ต้องทำยังไงอย่างแรกเราก็จะให้คำแนะนำ
00:12:57 → 00:12:59 เรื่องของอาหารปรับพฤพฤติกรรมปรับเปลี่ยน
00:12:59 → 00:13:01 พฤติกรรมไปก่อนนะคะขึ้นกับว่าเป็น
00:13:01 → 00:13:04 คอเลสเตอรอลสูงหรือว่าไตรกีสลายสูงอย่าง
00:13:04 → 00:13:07 ไรก็ตามค่ะคอเลสเตอรอลเองเนี่ยต้องบอกเลย
00:13:07 → 00:13:10 ว่าเอ่อประมาณ 70-80 per เนี่ยเขาสร้าง
00:13:10 → 00:13:13 เองในร่างกายส่วนที่เขาได้รับจากอาหารเอง
00:13:13 → 00:13:16 เนี่ยมันอยู่ที่ประมาณสักไม่เกิน 30%
00:13:16 → 00:13:19 เพราะฉะนั้นหลายครั้งบางคนก็จะชอบบอกว่า
00:13:19 → 00:13:22 ฉันก็ไม่อ้วนเนาะกินก็ดีแล้วทำไม
00:13:22 → 00:13:24 คอเลสเตอรอลสูงจังเลยกลุ่มเนี้ยพอไปดู
00:13:24 → 00:13:26 เสร็จปรากฏว่าโอเคครอบครัวเนี่ยมี
00:13:26 → 00:13:29 คอเลสเตอรอลสูงกันอยู่หลายคนซึ่งอันนี้อา
00:13:29 → 00:13:32 จะเป็นกรรมพันธ์นะคะแล้วสุดท้ายก็อาจจะ
00:13:32 → 00:13:34 ต้องจบลงที่การกิน
00:13:34 → 00:13:38 [เพลง]
00:13:38 → 00:13:41 ยาในส่วนของการรักษาคอเลสเตอรอลนะคะเรา
00:13:41 → 00:13:44 ไม่ได้รักษาที่ตัวเลขคำถามคือเรารักษา
00:13:44 → 00:13:47 อะไรถ้าเป็นคอเลสเตอรอลหรือไตกีสไลโดย
00:13:47 → 00:13:48 เฉพาะในกลุ่มของคอเลสเตอรอลก่อนเนาะ
00:13:48 → 00:13:51 คอเลสเตอรอลที่สูงเนี่ยเราจะรักษาเพราะ
00:13:51 → 00:13:53 เราป้องกันไม่ให้คนไข้เนี่ยเกิดเรื่องของ
00:13:53 → 00:13:55 โรคหัวใจนะคะเพราะฉะนั้นเนี่ยเวลาที่เรา
00:13:55 → 00:13:58 รักษาเราจะมีเป้าหมายอยู่ 2 อย่างอันแรก
00:13:58 → 00:14:01 คือคนคนนั้นน่ะมีโรคหัวใจยังถ้ามีโรคหัว
00:14:01 → 00:14:04 ใจไปแล้วมีหลอดเลือดสมองไปแล้วเป็นสตกไป
00:14:04 → 00:14:08 แล้วอันนี้ยังไงก็ต้องได้ยาคุณหมอไม่สนใจ
00:14:08 → 00:14:11 เลยค่ะว่าคอเลสเตอรอลเท่าไหร่สนใจแค่ว่า
00:14:11 → 00:14:14 คนเนี้ยต้องได้ยานะคะเพราะฉะนั้นคนเนี้ย
00:14:14 → 00:14:17 คุณหมอเขาคก็จะสั่งยาไปเลยกลุ่มที่ 2 คือ
00:14:17 → 00:14:20 ยังไม่ได้เป็นโรคแต่มีคอเลสเตอรอลสูงอ่า
00:14:20 → 00:14:23 กลุ่มเเราก็จะมาประเมินค่ะว่าเอ๊ะ
00:14:23 → 00:14:25 คอเลสเตอรอลที่สูงเนี่ยเา้ามีความเสี่ยง
00:14:25 → 00:14:29 อื่นๆมยเช่นอายุเยอะมั้ยมีความดันมยสูบ
00:14:29 → 00:14:33 บุหรี่หรือเปล่ามีเบาหวานมยแล้วก็จะเอามา
00:14:33 → 00:14:35 ดูว่าความเสี่ยงทั้งหมดเนี่ยมันมากหรือ
00:14:35 → 00:14:40 เปล่าถ้าเสี่ยงมากเขาก็จะเริ่มพิจารณาให้
00:14:40 → 00:14:43 ยานะคะถ้าเสี่ยงน้อยนะคะก็จะบอกว่าให้
00:14:43 → 00:14:46 ปรับพฤติกรรมไปก่อนให้คุมเรื่องอาหารไป
00:14:46 → 00:14:48 ก่อนซึ่งอาหารเมื่อกี้เราก็บอกไปแล้วเนาะ
00:14:48 → 00:14:52 4 ส่วนใช่มยคะก็จะเป็นลดคอเลสเตอรอลลดไข
00:14:52 → 00:14:55 มันอิ่มตัวลดไขมันทรานเพิ่มไฟเบอร์เพิ่ม
00:14:55 → 00:14:57 การออกกำลังกายแล้วก็ลดน้ำหนักทีนี้พอทำ
00:14:57 → 00:14:59 ไปเสร็จแล้วปุ๊บปุ๊บเนี่ยเราก็จะต้องมี
00:14:59 → 00:15:01 การประเมินนแล้วก็ติดตามซ้ำนะคะถ้า
00:15:01 → 00:15:04 ประเมินแล้วติดตามซ้ำถามว่าทำเมื่อไหร่ก็
00:15:04 → 00:15:06 ประมาณ 4-6 เดือนถ้าสมมุติยังไม่ดีขึ้น
00:15:06 → 00:15:10 อ่ะแล้วก็จะดูอีกทีนึงว่ามันสูงขึ้นมยถ้า
00:15:10 → 00:15:12 มันสูงขึ้นมากเราก็อาจจะพิจารณาในเรื่อง
00:15:12 → 00:15:15 ของการให้ยากลุ่มที่เราสงสัยว่าจะเป็น
00:15:15 → 00:15:18 กรรมพันธ์ก็คือกลุ่มที่ ldl หรือว่าไขมัน
00:15:18 → 00:15:20 ตัวเร็วเนี่ยมากกว่า 190 จริงอยู่ค่ะเค้า
00:15:20 → 00:15:22 อาจจะอายุไม่เยอะนะคะเค้ามีประวัติ
00:15:22 → 00:15:24 ครอบครัวชัดเจนเค้าไม่มีความเสี่ยงอื่นๆ
00:15:25 → 00:15:27 เลยแต่ถ้าสมมุติว่าคอเลสเตอรอลในเลือก
00:15:27 → 00:15:30 เค้าสูงมากนะคะเกิน 300 หรือว่าไข่มันตัว
00:15:30 → 00:15:33 เร็วเกิน 190 อันนี้เรามองในภาพรวมค่ะว่า
00:15:33 → 00:15:36 เค้าคงสูงมานานแล้วแล้วก็ระยะยาวหรือว่า
00:15:36 → 00:15:39 ในชีวิตเาเนี่ยความเสี่ยงเขาจะเยอะก็คุย
00:15:39 → 00:15:43 กับคนไข้พิจารณาเรื่องของการใช้ยาแต่ว่า
00:15:43 → 00:15:45 จะใช้หรือไม่ใช้ขึ้นอยู่กับคนไข้เลยค่ะ
00:15:45 → 00:15:48 เพราะว่าเราต้องคุยกันก่อนว่าโอเคเราจะ
00:15:48 → 00:15:51 ใช้เพื่ออะไรนะคะเรามีผลข้างเคียงมยเป็น
00:15:51 → 00:15:54 ยังไงแล้วคนไข้จะเป็นคนตัดสินใจว่าจะใช้
00:15:54 → 00:15:56 ยาหรือเปล่ายาที่ใช้หลักๆสำหรับการลด
00:15:56 → 00:15:59 คอเลสเตอรอลตอนนี้มี 3 กลุ่มมียากิน 2
00:15:59 → 00:16:02 กลุ่มกับยาฉีด 1 ตัวนะคะยาฉีดเราไม่พูด
00:16:02 → 00:16:04 ถึงก่อนแล้วกันเนาะเออไม่มีใครอยากจะฉีด
00:16:04 → 00:16:07 ยาส่วนของยากินมี 2 กลุ่มกลุ่มที่ใช้กัน
00:16:07 → 00:16:10 เยอะๆก็คือไปลดการสร้างคอเลสเตอรอลนะคะ
00:16:10 → 00:16:13 ซึ่งออกรที่ตับตัวเนี้ยค่ะที่คนจะชอบพูด
00:16:13 → 00:16:15 กันมากเลยว่าผลแ้างเคียงหลักๆก็คือตับ
00:16:15 → 00:16:18 อักเสบกล้ามเนื้ออักเสบปวดกล้ามเนื้อโน่น
00:16:18 → 00:16:20 นี่นั่นตัวเนี้ยมันจะสามารถลดคอเลสเตอรอล
00:16:21 → 00:16:23 ได้ดีค่ะถ้าสมมุติคอเลสเตอรอลที่มีอยู่
00:16:23 → 00:16:25 เนี่ยมันจะลดได้ประมาณ 30-50 per เพราะ
00:16:25 → 00:16:28 ฉะนั้นลดลงไปครึ่งนึงใช่่มยคะประสิทธิภาพ
00:16:28 → 00:16:31 ดีมากนะคะอันที่ 2 ก็คือกลุ่มที่ไปยับ
00:16:31 → 00:16:34 ยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลที่ลำไส้กลุ่ม
00:16:34 → 00:16:37 เนี้ยประสิทธิภาพอยู่ที่ประมาณ 10 -20%
00:16:37 → 00:16:39 ก็จะไม่ได้เยอะมากแต่ไม่ค่อยมีผลข้าง
00:16:39 → 00:16:42 เคียงเพราะฉะนั้นเวลาที่คุณหมอจะพิจารณา
00:16:42 → 00:16:44 ยาหรือว่าคนไข้จะได้รับยาอะไรเนี่ยก็คุย
00:16:44 → 00:16:46 กับคุณหมอก่อนก็ได้ค่ะว่าเอ่อมันควรจะ
00:16:46 → 00:16:49 ต้องได้แล้วหรือยังนะคะเช่นความเสี่ยงสูง
00:16:49 → 00:16:52 ควรต้องได้อีกอันนึงก็คือในคนไข้ที่เป็น
00:16:52 → 00:16:54 เบาหวานคนแค่ที่เป็นเบาหวานเราถือว่าความ
00:16:54 → 00:16:57 เสี่ยงสูงเนาะถ้ามีเบาหวานแล้วเนี่ย ldl
00:16:57 → 00:16:59 หรือว่าไขมันตัวเร็วมันยังสูงสงอยู่เกินร
00:16:59 → 00:17:01 อย่างเงี้ยค่ะส่วนใหญ่คุณหมอเขาก็พิจารณา
00:17:01 → 00:17:04 ที่จะให้ยาแต่ว่าอันนี้ส่วนนึงก็ต้องบอก
00:17:04 → 00:17:06 ว่าพูดเป็นหลักการเนาะที่เหลือคุยกับคุณ
00:17:06 → 00:17:09 หมอที่ดูแลอยู่นะคะแล้วเวลาที่เราให้ยา
00:17:09 → 00:17:11 เราก็จะต้องบอกว่าเขาจะได้ยากลุ่มไหนผล
00:17:11 → 00:17:15 ข้างเคียงคืออะไรในส่วนของอาหารเสริม
00:17:15 → 00:17:17 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือว่าสมุนไพรมีอะไร
00:17:17 → 00:17:20 บ้างมที่จะสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลเราจะ
00:17:20 → 00:17:23 เคยได้ยินอันนึงที่เขาเรียกว่าเป็นสตอ
00:17:23 → 00:17:26 หรือสาออันนี้มีข้อมูลจริงๆค่ะว่าสามารถ
00:17:26 → 00:17:28 จะช่วยลดคอเลสเตอรอลได้
00:17:28 → 00:17:31 แต่ว่าเอฟเฟคของมันเนี่ยมันจะช่วยลด
00:17:31 → 00:17:33 เรื่องของการดูดซึมของคอเลสเตอรอลเพราะ
00:17:33 → 00:17:36 ฉะนั้นลดได้ประมาณ 10-20 per จะลดได้ไม่
00:17:36 → 00:17:39 เยอะอันที่ 2 ในส่วนของสมุนไพรเราอาจจะ
00:17:39 → 00:17:41 ได้ยินเขาเรียกว่าเป็นข้าวแดงอ่ะค่ะมันจะ
00:17:41 → 00:17:45 ใช้คำว่า Red yeast Light นะคะ Red D
00:17:45 → 00:17:47 เนี่ยก็คือจะเป็นตัวนึงที่มันเป็นข้าวสี
00:17:47 → 00:17:50 แดงซึ่งตัวเนี้ยมันจะมีสารบางอย่างมี
00:17:50 → 00:17:53 คุณสมบัติเหมือนกันเลยกับยาดังนั้นสิ่ง
00:17:53 → 00:17:55 ที่ต้องทราบคือถ้ากินยาอยู่เราจะไม่กิน
00:17:55 → 00:17:57 สมุนไพรตัวนี้ร่วมกันนะไม่งั้นเดี๋ยวจะ
00:17:57 → 00:18:00 เกิดพิษจากยาอันนี้คือข้อควรระวังที่ต้อง
00:18:00 → 00:18:03 ทราบถ้าจะกินส่วนสมุนไพรตัวอื่นๆนะค่ะไม่
00:18:03 → 00:18:06 มีข้อมูลนะคะว่ามันจะมีประสิทธิภาพในแง่
00:18:06 → 00:18:08 ของการลดคอเลสเตอรอลได้ดีอีกเรื่องนึงสุด
00:18:08 → 00:18:11 ท้ายเลยถ้าสมมุติจะใช้ยากลุ่มนี้หรือหลาย
00:18:11 → 00:18:14 คนได้อยู่นะคะยากลุ่มเนี้ยค่ะเขาจะเรียก
00:18:14 → 00:18:16 ว่ามีปฏิกิริยาหรือที่เรียกว่ายาตีกันอัน
00:18:16 → 00:18:19 นี้ต้องระวังถ้าเราจะต้องไปได้รับยาพวกยา
00:18:19 → 00:18:23 ฆ่าเชื้อบางตัวยาที่รักษาเชื้อราบางตัวนะ
00:18:23 → 00:18:27 คะแล้วกินร่วมกันกับยาลดไขมันมันอาจจะทำ
00:18:27 → 00:18:29 ให้ระดับของยาลดไขมันในเลือดเนี่ยมันสูง
00:18:29 → 00:18:32 ขึ้นแล้วเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือว่าได้รับ
00:18:32 → 00:18:35 มากเกินไปเดี๋ยวอาจจะเกิดอันตรายได้เพราะ
00:18:35 → 00:18:37 ฉะนั้นเนี่ยถ้าสมมุติว่าจำเป็นจะต้องได้
00:18:37 → 00:18:39 ยาอะไรเก็บอกเ้าด้วยว่าตอนนี้เรามียาตัว
00:18:39 → 00:18:42 นี้อยู่นะยามันจะตีกันหรือเปล่าอีกอันนึง
00:18:42 → 00:18:44 นอกเหนือจากยาที่จะตีกันจะเป็นเรื่องของ
00:18:44 → 00:18:47 อาหารไม่ใช่แค่ยานะคะที่กินเข้าไปแล้วจะ
00:18:47 → 00:18:50 มีผลกับยาตัวอื่นแต่อาหารที่กินเข้าไปก็
00:18:50 → 00:18:54 มีผลเหมือนกันยกตัวอย่างเช่นน้ำผลไม้บาง
00:18:54 → 00:18:57 อย่างอ่าถ้าเป็นฝรั่งชื่อว่าน้ำเปฟนะคะ
00:18:57 → 00:19:00 เปฟไม่ใช่น้ำน้ำองุ่นนะเป็นผลไม้ชนิดนึง
00:19:00 → 00:19:03 หน้าตาคล้ายๆส้มประมาณเล็กกว่าส้มโออ่ะ
00:19:03 → 00:19:05 ค่ะฝานเข้าไปแล้วตรงตรงผิวหรือว่าตรง
00:19:05 → 00:19:07 เนื้อมันจะเป็นสีออกแดงๆกินแล้วจะลด
00:19:07 → 00:19:10 เฝื่อนๆตัวเนี้ยถ้ากินร่วมกันกับยาลดไข
00:19:10 → 00:19:13 มันนะคะสิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้ระดับยาลด
00:19:13 → 00:19:15 ไขมันในเลือดเนี่ยเยอะขึ้นอันนี้ต้อง
00:19:15 → 00:19:18 ระวังไม่ควรจะกินด้วยกันถ้าเป็นบ้านเรา
00:19:18 → 00:19:21 ที่ไม่มีเปฟรุดให้ระวังพวกน้ำทับทิมพวก
00:19:21 → 00:19:23 น้ำทับทิมถ้ากินด้วยกันเนี่ยก็อาจจะทำให้
00:19:23 → 00:19:26 มีผลได้เพราะฉะนั้นบางทีเเวลาที่เราทานยา
00:19:26 → 00:19:29 นะคะการกินอาหารเสริมการกินอะไรเข้าไปเรา
00:19:29 → 00:19:31 ก็ต้องระวังว่ายามันจะตีกันหรือ
00:19:31 → 00:19:36 [เพลง]
00:19:36 → 00:19:39 เปล่า 4 เทคนิคในการที่จะลดไขมันในเลือด
00:19:39 → 00:19:43 นะคะอันแรกเลยก็คือวิธีการปรุงอาหารนะคะ
00:19:43 → 00:19:46 โดยการลดปริมาณไขมันในการปรุงอาหารหลีก
00:19:46 → 00:19:48 เลี่ยงพวกของทอดหรือว่าของผัดแล้วก็เลือก
00:19:48 → 00:19:52 เป็นพวกของต้มนึ่งปิ้งย่างยำอบตุ๋นนะคะที
00:19:52 → 00:19:54 นี้ถ้าใครยังจะชอบอยู่ก็อาจจะใช้วิธีว่า
00:19:55 → 00:19:56 เอ๊ะจะทำยังไงถ้าของที่กินยังอยากจะเป็น
00:19:57 → 00:20:00 ผัดก็จะใช้ใช้เป็นเลือกของการผัดน้ำนะคะ
00:20:00 → 00:20:02 ผัดน้ำก็อาจจะมีน้ำมันนิดเดียวนะคะเพื่อ
00:20:02 → 00:20:04 จะเจียวกระเทียมหรือว่าเราอาจจะใช้
00:20:04 → 00:20:07 กระเทียมเจียวที่มันแหงๆ้หน่อยนะคะเราใส่
00:20:07 → 00:20:09 เนื้อแล้วก็ใช้แทนที่จะเป็นน้ำมันน่ะค่ะ
00:20:09 → 00:20:12 แล้วก็ใส่เป็นพวกน้ำสต๊อกลงไปนะคะแล้วก็
00:20:12 → 00:20:15 ผัดไปตามปกติเลยอันนี้ก็จะลดปริมาณของไข
00:20:15 → 00:20:18 มันนะคะอันที่ 2 ค่ะจะเป็นไข่ดาวน้ำอ่า
00:20:18 → 00:20:21 แทนที่จะเป็นไข่ดาวปกติก็ทำเป็นไข่ดาวน้ำ
00:20:21 → 00:20:24 นะคะอันนี้ก็จะช่วยลดเรื่องของไขมันได้นะ
00:20:24 → 00:20:27 คะเลือกกระทะค่ะใช้กระทะเทฟลอนหรืออะไร
00:20:27 → 00:20:30 อย่างเงี้ยเพื่อที่จะทำให้ลดปริมาณการใช้
00:20:30 → 00:20:32 น้ำมันลงวิธีที่ 2 เวลาที่เราเลือก
00:20:32 → 00:20:34 ผลิตภัณฑ์เนี่ยเราเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีไข
00:20:34 → 00:20:37 มันต่ำอันนี้ก็จะทำให้เราลดเรื่องของการ
00:20:37 → 00:20:39 ใช้น้ำมันลงไปได้เช่นแทนที่เราจะกินเป็น
00:20:39 → 00:20:43 เอ่อไขมันที่เป็น full Fat เป็นนม full
00:20:43 → 00:20:45 Fat เราก็จะใช้เป็นโล Fat แทนอันที่ 3
00:20:45 → 00:20:48 ค่ะเราเพิ่มผักและผลไม้เหมือนที่บอกค่ะ
00:20:48 → 00:20:50 ผักและผลไม้จะช่วยลดการดูดซึมเรื่องของ
00:20:50 → 00:20:53 คอเลสเตอรอลข้อสุดท้ายค่ะให้เพิ่มเป็นพวก
00:20:53 → 00:20:55 ผักในอาหารมากขึ้นหรือเราจะเรียกว่าเป็น
00:20:55 → 00:20:58 Plant Bas Diet คือกินผักกินกินผลไม้
00:20:58 → 00:21:01 ไปสู่มังสวิรัสมากขึ้นนะคะในกรณีของ
00:21:01 → 00:21:04 มังสวิรัตแน่นอนค่ะเมื่อมันมีผมันมีเนื้อ
00:21:04 → 00:21:06 สัตว์น้อยลงส่วนที่เป็นคอเลสเตอรอลก็จะลด
00:21:06 → 00:21:10 ลงนะคะแล้วก็พวกที่เป็นผักผลไม้พวกเนี้ย
00:21:10 → 00:21:13 หรือแนเบสเนี่ยเขาก็จะกินในส่วนที่เป็น
00:21:13 → 00:21:16 เรื่องของไฟเบอร์เยอะขึ้นนะคะไขมันอิ่ม
00:21:16 → 00:21:18 ตัวน้อยลงข้อสำคัญสำหรับ Plant Bas Diet
00:21:18 → 00:21:20 บางคนบอกเป็น Plant Base Diet ไม่กิน
00:21:20 → 00:21:23 เนื้อสัตว์แต่กินน้ำหวานไม่เอานะคะ Plant
00:21:23 → 00:21:25 Base Diet เนี่ยจะต้องกินเป็นเอ่อเค้า
00:21:26 → 00:21:28 เรียกว่าข้าวแป้งน้ำตาลที่เป็นคอมเพลก
00:21:28 → 00:21:30 คาร์โบไฮเดรตหรือว่าเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิง
00:21:30 → 00:21:33 ซ้อนไม่แนะนำที่จะให้กินพวกน้ำหวานหรือ
00:21:33 → 00:21:35 ว่าน้ำตาลเป็นปริมาณมากเพราะว่าถ้าเราไป
00:21:35 → 00:21:38 กินน้ำหวานหรือน้ำตาลเยอะพอน้ำตาลในเลือด
00:21:38 → 00:21:41 เราสูงขึ้นสิ่งที่ตามมาคือไตรกีสไลดจะสูง
00:21:41 → 00:21:42 ขึ้นเช่นกัน
00:21:42 → 00:21:46 [เพลง]
00:21:46 → 00:21:50 ค่ะค่ะโดยสรุปนะคะสำหรับไข่มันในเลือดสูง
00:21:50 → 00:21:52 เนี่ยจริงๆหลักๆถ้ามีไข่มันในเลือดสูงเรา
00:21:52 → 00:21:55 จะแยกก่อนว่าเขาจะมีโรคอะไรที่ทำให้ไขมัน
00:21:55 → 00:21:58 ในเลือดสูงมถ้ามีเราก็ไปรักษาตัวโรคถ้า
00:21:58 → 00:22:01 ไม่มีเราก็มาเริ่มในแง่ของการรักษาตัวไข
00:22:01 → 00:22:04 มันในเลือดสูงเลยนะคะก็จะเริ่มต้นจาก
00:22:04 → 00:22:06 เรื่องของปรับพฤติกรรมนะคะเรื่องของอาหาร
00:22:06 → 00:22:09 นะคะในส่วนของคอเลสเตอรอลสูงเนี่ยเราก็จะ
00:22:09 → 00:22:12 มีอยู่ 4 ส่วนเนาะอันแรกก็คือลด
00:22:12 → 00:22:15 คอเลสเตอรอลลดไขมันอิ่มตัวหรือว่าไขมัน
00:22:15 → 00:22:18 ทรานนะคะเพิ่มผักผลไม้หรือเพิ่มไฟเบอร์
00:22:18 → 00:22:20 แล้วก็ลดน้ำหนักหรือว่าเพิ่มการออกกำลัง
00:22:20 → 00:22:23 กายนะคะในส่วนของไตรกีซาไลน์เราจะเพิ่ม
00:22:23 → 00:22:26 อีกนิดเดียวก็คือลดเรื่องของข้าวแป้งน้ำ
00:22:26 → 00:22:29 ตาลลดน้ำหนักเหมือนเดิมนะคะแล้วก็ลด
00:22:29 → 00:22:32 แอลกอฮอล์นะคะอันนี้ก็จะเป็นคอนเซปหลักๆ
00:22:32 → 00:22:34 ในเรื่องของการเ่อปรับพฤติกรรมหรือว่า
00:22:34 → 00:22:36 ปรับในเรื่องของอาหารสำหรับคนไข้ที่มีไข
00:22:36 → 00:22:38 มันในเลือดสูงถ้าเราปรับทั้งหมดแล้วยัง
00:22:38 → 00:22:41 ไม่ดีขึ้นเราก็มาดูว่าคนๆนั้นน่ะมีความ
00:22:41 → 00:22:43 เสี่ยงที่จะเกิดเรื่องของโรคหัวใจและหลอด
00:22:43 → 00:22:46 เลือดมากมยนะคะถ้าเกิดระดับไขมันในเลือด
00:22:46 → 00:22:49 มันสูงมากซึ่งคิดว่าอาจจะมีความเสี่ยงใน
00:22:49 → 00:22:52 เรื่องของการเป็นกรมพรเราก็จะให้ยาถ้า
00:22:52 → 00:22:54 เกิดเา้ามีความเสี่ยงกับโรคหลัวใจและหลอด
00:22:54 → 00:22:57 เลือดเยอะเราก็ค่อยมาเริ่มให้ยาเวลาที่
00:22:57 → 00:22:59 เราจะเริ่มให้ยาเราก็จะแนะนำคนไข้ในส่วน
00:23:00 → 00:23:02 ของเรื่องของเ่อภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิด
00:23:02 → 00:23:05 ขึ้นแล้วก็พิจารณาว่าเราจะใช้ยาตัวไหน
00:23:05 → 00:23:08 แล้วก็สำหรับอ่ารายการอื่นๆนะคะที่เกี่ยว
00:23:08 → 00:23:10 ข้องกับเรื่องของไขมันในเลือดสูงมันจะมี
00:23:10 → 00:23:12 ลิงก์อยู่ใต้คลิปอันนี้นะคะแล้วก็ฝากติด
00:23:12 → 00:23:15 ตาม podcast อันต่อไปของเราด้วยวันนี้ลา
00:23:15 → 00:23:18 ไปก่อนค่ะสวัสดี
00:23:18 → 00:23:21 ค่ะสำหรับวันนี้นะคะเราก็จะมาคุยกันใน
00:23:21 → 00:23:24 เรื่องของโรคเก๊าทนะคะหลายคนคงเคยได้ยิน
00:23:24 → 00:23:26 เรื่องโรคเก๊าทนะคะวันนี้เราจะมารู้จัก
00:23:26 → 00:23:29 กันว่าโรคเก๊าทเนี่ยคืออะไรนะคะแล้วการ
00:23:29 → 00:23:32 รักษาของโรคเก๊าทเนี่ยจะเป็นยังไงนะคะ
00:23:32 → 00:23:34 ทั้งในเรื่องของการรักษาด้วยยาการรักษาใน
00:23:34 → 00:23:37 เรื่องของอาหารกินยังไงถึงจะเหมาะกับโรค
00:23:37 → 00:23:40 เก๊าค่ะสำหรับโรคเก๊านะคะก็คือโรคข้อ
00:23:40 → 00:23:43 อักเสบค่ะที่เกิดขึ้นจากการตกตะกอนของกรด
00:23:43 → 00:23:46 ยูริกนะคะที่บริเวณข้อนะคะดังนั้นเนี่ย
00:23:47 → 00:23:49 มักจะเกิดขึ้นในคนไข้ที่มีภาวะยูริกใน
00:23:49 → 00:23:52 เลือดสูงแต่ว่าการที่คนไข้มียูริกในเลือด
00:23:52 → 00:23:54 สูงไม่ได้จำเป็นนะคะว่าจะต้องเป็นโรค
00:23:54 → 00:23:57 เก๊าทเสมอไปเพราะฉะนั้นเนี่ยโรคเก๊าทใน
00:23:57 → 00:23:59 ที่นี้จะต้องมีข้ออักเสบด้วยแล้วข้อ
00:23:59 → 00:24:02 อักเสบอันนั้นเนี่ยก็นำมาจากการที่มีกรด
00:24:02 → 00:24:04 ยูริกในเลือดสูงแล้วทำให้เกิดคริสตัลของ
00:24:04 → 00:24:07 กรดยูริกอยู่ที่ข้อค่ะสำหรับอาการของโรค
00:24:08 → 00:24:10 เก๊าอ่ะนะคะก็จริงๆจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ
00:24:10 → 00:24:13 เนาะระยะแรกเนี่ยก็คือในช่วงที่มีข้อ
00:24:13 → 00:24:16 อักเสบนะคะมันจะเกิดขึ้นทันทีทันใดระยะ
00:24:16 → 00:24:19 ที่ 2 ก็คือช่วงที่หายคือไม่มีอาการนะคะ
00:24:19 → 00:24:22 แบบที่ 3 ก็คือเป็นๆหายๆแล้วก็เรื้อรังนะ
00:24:23 → 00:24:25 คะเพราะฉะนั้นเนี่ยในกรณีของโรคเก๊าท
00:24:25 → 00:24:27 เนี่ยเราก็จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มกลุ่มแรก
00:24:27 → 00:24:30 คือช่วงที่มีอาการอักเสบเฉียบพลันนะคะ
00:24:30 → 00:24:33 ช่วงที่ 2 คือช่วงที่โรคสงบคือไม่มีอาการ
00:24:33 → 00:24:36 แล้วช่วงที่ 3 ก็คือเป็นๆหายๆเป็นเรื้อ
00:24:36 → 00:24:39 รังจนในบางรายเนี่ยอาจจะมีเป็นปุ่มหรือ
00:24:39 → 00:24:42 ว่าเป็นก้อนอยู่ตรงบริเวณข้อซึ่งอันนั้น
00:24:42 → 00:24:45 เนี่ยมันจะเป็นลักษณะของตัวคริสตัลของตัว
00:24:45 → 00:24:48 กรดยูริกอ่ะค่ะที่ทำให้มันไปเกาะอยู่ตาม
00:24:48 → 00:24:51 บริเวณข้อสะสมนานเข้าจนกระทั่งเป็นก้อน
00:24:51 → 00:24:55 ขึ้นมาแล้วอาจจะทำให้เกิดความลำบากในแง่
00:24:55 → 00:25:02 ของการเคลื่อนไหวร่างกายค่ะ
00:25:02 → 00:25:04 สำหรับอันแรกนะคะก็คือระยะที่ข้ออักเสบ
00:25:04 → 00:25:07 เฉียบพลันนะคะในกรณีของคนที่เป็นโรคเก๊าท
00:25:08 → 00:25:09 เนี่ยจะมีข้อสังเกตนิดนึงก็คือว่าข้อ
00:25:09 → 00:25:12 อักเสบเนี่ยจะเป็นปุ๊บปั๊บค่อนข้างเป็น
00:25:12 → 00:25:16 ทันทีทันใดเลยนะคะแล้วก็จะปวดมากนะคะจริง
00:25:16 → 00:25:18 ๆแล้วเนี่ยไม่ทำอะไรก็หายได้เนาะเอ่อ
00:25:18 → 00:25:21 อาการจะค่อยดีขึ้นเนี่ยประมาณอาทิตย์นึง
00:25:21 → 00:25:24 นะคะแต่ว่าการที่จะเป็นมากๆนี่คือภายใน 24
00:25:24 → 00:25:28 ชมงแรกเวลาที่ปวดเนี่ยการขยับขอบพวกเนี้ย
00:25:28 → 00:25:30 ก็จะทำให้อาการมันเป็นมากขึ้นดังนั้นส่วน
00:25:30 → 00:25:33 ใหญ่เวลาที่เป็นเนี่ยคนไข้มักจะไม่ค่อย
00:25:33 → 00:25:36 ขยับข้อแล้วเนื่องจากว่าข้อที่เป็นบ่อยๆ
00:25:36 → 00:25:38 อ่ะค่ะมักจะเป็นข้อเท้าหรือว่าตรงบริเวณ
00:25:38 → 00:25:41 ของหัวนิ้วโป้งที่เท้านะคะก็เลยทำให้คน
00:25:41 → 00:25:43 ไข้เนี่ยขยับตัวไม่ค่อยไหวแล้วก็ไม่ยอม
00:25:44 → 00:25:47 เดินนะคะอันเนี้ยก็จะเป็นช่วงแรกที่เป็น
00:25:47 → 00:25:49 ถ้าหากว่ามีการรักษาก็จะทำให้ระยะเวลาของ
00:25:49 → 00:25:52 การปวดเนี่ยมันสั้นลงได้ค่ะก็จะมีคำถาม
00:25:52 → 00:25:55 ที่ถามกันมาเยอะเลยว่าเวลาเป็นโรคเก๊าท
00:25:55 → 00:25:57 แล้วเนี่ยเราควรจะไปบีบนวดมั้ยเอาจริงๆ
00:25:58 → 00:26:00 เวลาที่เป็นโรคเก๊านะคะโดยเฉพาะในขณะที่
00:26:00 → 00:26:04 อาการมันกำเริบคือมีอาการปวดข้อเนี่ยไม่
00:26:04 → 00:26:08 แนะนำนะคะห้ามบีบห้ามนวดควรจะอยู่นิ่งๆ
00:26:08 → 00:26:09 เพราะไม่งั้นเนี่ยมันจะทำให้เราเนี่ยมี
00:26:09 → 00:26:12 อาการปวดมากขึ้นมันอาจจะยังเป็นการ
00:26:12 → 00:26:15 กระตุ้นให้ผลึกของกรดยูริกอ่ะค่ะเข้าไป
00:26:15 → 00:26:18 สู่ข้อแล้วทำให้ข้ออักเสบเฉียบพลันรุนแรง
00:26:18 → 00:26:21 มากขึ้นได้ถ้าถามว่าในขณะที่เริ่มมีอาการ
00:26:21 → 00:26:25 ปวดของโรคเก๊าทควรทำยังไงเราควรจะพัก
00:26:25 → 00:26:29 อวัยวะหรือว่าข้อที่มีการปวดเอาไว้ยกตัว
00:26:29 → 00:26:32 อย่างนะคะถ้าสมมุติว่าเราปวดที่เท้าเราก็
00:26:32 → 00:26:35 ต้องหยุดการใช้เท้าอาจจะให้เรายกเท้าสูง
00:26:35 → 00:26:38 ขึ้นมาเพื่อช่วยลดอาการบวมได้สามารถที่จะ
00:26:38 → 00:26:41 ประคบเย็นได้นะคะเพื่อจะลดการอักเสบตรง
00:26:41 → 00:26:44 บริเวณที่เราปวดถ้าสมมุติว่าการปวดมันยัง
00:26:44 → 00:26:47 ลุกลามมันยังอักเสบเพิ่มขึ้นอันนี้เราควร
00:26:47 → 00:26:50 จะต้องไปเจอแพทย์นะคะเพื่อที่จะได้รับยา
00:26:50 → 00:26:53 ระยะที่ 2 ก็คือช่วงที่หายเหมือนที่บอก
00:26:53 → 00:26:55 เมื่อสักครู่นะคะว่าต่อให้เราไม่รักษา
00:26:55 → 00:26:57 เนี่ยจริงๆอาการมันก็จะค่อยๆดีขึ้นได้ได้
00:26:57 → 00:27:00 แต่มันจะใช้เวลานานซึ่งบางคนเนี่ยจะใช้
00:27:00 → 00:27:03 เวลาประมาณแบบ 10-14 วันแล้วแต่เลยอยู่
00:27:03 → 00:27:06 ที่ประมาณซักอาทิตย์กว่าๆนะคะทีนี้ช่วง
00:27:06 → 00:27:08 เนี้ยค่ะถ้าเราไม่ได้รักษาอะไรเลยแล้ว
00:27:08 → 00:27:11 ระดับกรดยูริกในเลือดยังสูงอยู่มันก็มี
00:27:11 → 00:27:14 โอกาสที่จะเกิดซ้ำอีกนะคะก็จะนำไปสู่ระยะ
00:27:14 → 00:27:18 ที่ 3 คือเป็นๆหายๆอยู่เรื่อยๆแล้วกรด
00:27:18 → 00:27:20 ยูริกในเลือดที่สูงมากๆเนี่ยมันก็จะมาตก
00:27:21 → 00:27:23 ตะกอนดงบริเวณข้อแล้วทำให้ข้ออักเสบคำถาม
00:27:23 → 00:27:26 ก็คือว่าเอ๊แล้วยูริกเนี่ยมันมาจากไหน
00:27:26 → 00:27:28 แล้วคนไข้ที่มียูริกในเลือดสูงเนี่ย
00:27:28 → 00:27:31 จำเป็นต้องเป็นเกาทุกคนหรือเปล่าอันนี้ก็
00:27:31 → 00:27:34 จะบอกว่าข้อแรกเลยยูริกนะคะจริงๆเราสร้าง
00:27:34 → 00:27:37 เองในร่างกายส่วนใหญ่เลยของกรดยูริกที่มี
00:27:37 → 00:27:40 ในเลือดเนี่ยเราสร้างเองในร่างกายอีกส่วน
00:27:40 → 00:27:44 นึงประมาณ 20 -30% เนี่ยจริงๆได้มาจาก
00:27:44 → 00:27:46 อาหารแต่ว่าอาหารเนี่ยเราจะไม่มีอาหารที่
00:27:46 → 00:27:50 มันมียูริกนะคะอาหารที่เรากินเข้าไปเนี่ย
00:27:50 → 00:27:52 ถ้าเป็นอาหารที่มีพิวรีนสูงอันนี้เวลา
00:27:52 → 00:27:54 เข้าไปในร่างกายปั๊บร่างกายเราจะเปลี่ยน
00:27:54 → 00:27:58 จากพิวรีนอ่ะค่ะให้กลายเป็นกรดยูริกนะคะ
00:27:58 → 00:28:00 อันนี้ก็จะบอกว่าระดับยูริกในเลือดนะคะ
00:28:00 → 00:28:03 โดยปกติเนี่ยเวลาที่เราไปตรวจสุขภาพอ่ะ
00:28:03 → 00:28:05 ค่ะมันก็จะมีค่าปกติอยู่ซึ่งปกติเนี้ยเรา
00:28:05 → 00:28:08 ก็ไม่ควรจะเกินเลข 7 เนาะในผู้หญิงนี้ก็
00:28:08 → 00:28:10 อาจจะอยู่ต่ำกว่าผู้ชายนิดนึงก็ประมาณ 6
00:28:10 → 00:28:13 กว่าๆหรือว่าไม่เกิน 6 นะคะทีนี้ถ้า
00:28:13 → 00:28:15 สมมุติว่าในกรณีที่ยูริกในเลือดสูงจำเป็น
00:28:15 → 00:28:19 มยที่เราจะเป็นเก๊าทไม่จำเป็นค่ะคนไข้ที่
00:28:19 → 00:28:21 ยูริกในเลือดสูงเนี่ยมีแค่จำนวนนึงซึ่ง
00:28:21 → 00:28:23 เป็นส่วนน้อยประมาณ 10-20 per เท่านั้น
00:28:23 → 00:28:26 เองที่เขาจะกลายไปเป็นโรคเก๊าทนะคะนอก
00:28:26 → 00:28:28 เหนือจากโรคพวกเก๊าแล้วเนี่ยยูริกมันทำ
00:28:28 → 00:28:31 อันตรายอะไรได้อีกถ้ามันสูงอยู่นานๆเนี่ย
00:28:31 → 00:28:34 ค่ะมันอาจจะมีการตกตะกอนที่ไตทำให้เกิด
00:28:34 → 00:28:36 นิ่วหรือว่าทำให้เกิดไตเสื่อมได้เหมือน
00:28:36 → 00:28:38 กัน
00:28:38 → 00:28:41 [เพลง]
00:28:41 → 00:28:44 ค่ะเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราเป็นโรคเก๊าทนะ
00:28:44 → 00:28:46 คะอันแรกก่อนที่เราคุยกันมาตั้งแต่ต้นก็
00:28:46 → 00:28:48 คือว่าโรคเก๊าทเนี่ยคือข้ออักเสบเพราะ
00:28:48 → 00:28:50 ฉะนั้นเราต้องมีข้ออักเสบก่อนอ่าข้อ
00:28:50 → 00:28:55 อักเสบเป็นยังไงปวดบวมแดงแล้วก็ร้อนนะคะ
00:28:55 → 00:28:57 การขยับข้อแล้วทำให้มีอาการปวดหรือเจ็บ
00:28:57 → 00:29:00 มากขึ้นนะคะอันนี้ก็จะเป็นอาการที่เริ่ม
00:29:00 → 00:29:04 ต้นของข้ออักเสบโรเก๊าเจอในใครบ้างจริงๆ
00:29:04 → 00:29:06 แล้วบอกว่าเจอได้ในทุกคนน่ะเนาะแต่ว่าที่
00:29:06 → 00:29:08 เจอบ่อยเนี่ยจะเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
00:29:08 → 00:29:12 นะคะอายุที่เจอบ่อยๆก็คือ 50-60 ปีขึ้นไป
00:29:12 → 00:29:15 นะคะถามว่าในหนุ่มกว่านี้จะเจอได้ไหตอบ
00:29:15 → 00:29:18 ว่าได้แต่ถามว่าส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นกลุ่ม
00:29:18 → 00:29:21 นั้นนะคะตำแหน่งที่เจอคือตรงไหนส่วนใหญ่
00:29:21 → 00:29:24 จะเป็นส่วนของด้านล่างของร่างกายนะคะที่
00:29:24 → 00:29:27 เจอบ่อยๆก็จะเป็นพวกข้อเท้านะคะหรือว่า
00:29:27 → 00:29:30 บริเวณของนิ้วโป้งที่เท้าอ่ะนะคะอันนี้ก็
00:29:30 → 00:29:33 จะเจอบ่อยหรือบางคนก็จะเจอที่ข้อเข่าก็
00:29:33 → 00:29:36 ได้นะคะเราจะรู้ได้ยังไงว่าคนๆนี้เป็นโรค
00:29:36 → 00:29:39 เก๊าทวิธีการวินิจฉัยที่แน่นอนเราจะต้อง
00:29:39 → 00:29:42 เจาะแล้วก็ดูดเอาน้ำในข้อที่บวมอ่ะนะคะ
00:29:42 → 00:29:44 มันจะมีน้ำอยู่ในข้อเขาก็จะเจาะดูดเอาน้ำ
00:29:44 → 00:29:48 ในข้อออกมาแล้วก็ไปส่องกล้องเราก็จะเตย
00:29:48 → 00:29:50 คริสตัลซึ่งเกิดจากกรดยูริกอนะคะอันเนี้ย
00:29:50 → 00:29:52 พอเวลาที่เราไปส่องกล้องจุลทัศน์แล้วเรา
00:29:53 → 00:29:55 เห็นร่วมกับการที่คนไข้มีข้ออักเสบ
00:29:55 → 00:29:57 อันเนี้ยมันก็จะเป็นการวินิจฉัยว่าคนๆคัน
00:29:57 → 00:29:59 เนี้ยข้ออักเสบเกิดขึ้นจากคริสตัลของ
00:29:59 → 00:30:02 ยูริกแล้วเราก็เรียกว่าเก๊าทนะคะทีนี้ใน
00:30:02 → 00:30:05 บางครั้งบางทีเนี่ยคุณหมออาจจะไม่ได้เจาะ
00:30:05 → 00:30:08 ดูเรื่องของน้ำในข้อนะคะแต่เขาคก็จะเจาะ
00:30:08 → 00:30:10 เลือดดูแล้วดูว่ายูริกมันสูงมั้ยอันนี้
00:30:10 → 00:30:14 เป็นการดูทางอ้อมถ้ายูริกในเลือดสูงนะคะ
00:30:14 → 00:30:17 อาการปวดเนี่ยมันเป็นเฉียบพลันเลยอยู่ๆก็
00:30:17 → 00:30:20 ปวดขึ้นมานะคะมีข้อบวมข้ออักเสบนะคะแล้ว
00:30:20 → 00:30:23 ก็อยู่ในตำแหน่งที่เข้าได้ด้วยอันนี้เรา
00:30:23 → 00:30:26 ก็บอกว่าอ่าน่าจะเป็นเรื่องของเก๊าทนะคะ
00:30:26 → 00:30:29 หรือในบางบางรายเนี่ยก็อาจจะมีการทำ xray
00:30:29 → 00:30:32 นะคะพอ xray เสร็จแล้วเราก็มาดูว่าเออมัน
00:30:32 → 00:30:35 มีลักษณะของกระดูกที่มันสึกกล่อนไปหรือ
00:30:35 → 00:30:38 เปล่าการที่กระดูกมันสึกกร่อนเนี่ยบอกเรา
00:30:38 → 00:30:41 ว่ามันเป็นมานานหรือว่าเป็นหลายๆรอบนะคะ
00:30:41 → 00:30:43 ทีนี้พอมันสึกกร่อนไปมากๆหรือว่าถ้าเกิด
00:30:43 → 00:30:46 มีการตกตะกอนของยูริกเราก็จะเห็นเป็นก้อน
00:30:46 → 00:30:49 ขึ้นมาอันนี้ก็จะบอกได้ว่าเป็นเกาหรือ
00:30:49 → 00:30:52 เปล่าทีนี้หลายๆคนนะคะก็แค่ปวดข้อแล้วก็
00:30:52 → 00:30:55 สงสัยเอ๊ะไปตรวจเลือดตรวจสุขภาพประจำปีก็
00:30:55 → 00:30:58 เจอว่ายูริกสูงเราก็กังวลว่าจะเป็นเกา
00:30:58 → 00:31:01 หรือเปล่าต้องบอกก่อนว่ามันคือข้ออักเสบ
00:31:01 → 00:31:05 ถ้าแค่เราขยับข้อเราเดินเราปวดเราเมื่อย
00:31:05 → 00:31:06 อะไรอย่างนี้เราจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องของ
00:31:06 → 00:31:10 เก๊าทนะคะหลายคนจะแบบมีเรื่องของข้อเข่า
00:31:10 → 00:31:13 เสื่อมแล้วก็อ้วนแล้วก็ไปตรวจเจอว่ายูริก
00:31:13 → 00:31:16 ในเลือดสูงแล้วก็กังวลตลอดเวลาว่าเอ๊ะฉัน
00:31:16 → 00:31:18 จะเป็นเรื่องของตัวรกเก๊าทหรือเปล่าอะไร
00:31:18 → 00:31:21 อย่างเงี้ยอันนี้ก็จะเจอบ่อยนะคะคำถามคือ
00:31:21 → 00:31:24 ยูริกในเลือดสูงแล้วสูงแค่ไหนเราถึงจะ
00:31:24 → 00:31:27 รักษาจริงๆสูงนิดหน่อยเนี่ยเราไม่ไม่
00:31:27 → 00:31:29 จำเป็นต้องให้ยานะคะในที่นี้เนี่ยถ้าค่า
00:31:29 → 00:31:32 ปกติอยู่ที่ประมาณ 6 หรือ 7 ใช่มั้ยคะ
00:31:32 → 00:31:35 สมมุติว่าเราได้ยูริกประมาณ 8 อาจจะยัง
00:31:35 → 00:31:38 ไม่จำเป็นที่จะต้องได้ยานะคะความจำเป็นใน
00:31:38 → 00:31:41 แง่ของการรีบด่วนในการรักษาเนี่ยกรดยูริก
00:31:41 → 00:31:43 มันจะต้องสูงมากๆอ่ะค่ะประมาณแบบ 10 อะไร
00:31:43 → 00:31:46 อย่างเงี้ยเนาะเราถึงจะรีบรักษาแล้วเวลา
00:31:46 → 00:31:49 ที่เรารักษาค่ะเป้าหมายในการรักษาเนี่ย
00:31:49 → 00:31:53 มันก็ขึ้นกับแต่ละคนถ้าคนนั้นมียูริกที่
00:31:53 → 00:31:57 สูงนะคะมีข้ออักเสบในแง่ของการรักษาโรคเา
00:31:57 → 00:31:59 นะคะการรักษาที่จะประสบความสำเร็จได้
00:31:59 → 00:32:01 เนี่ยจริงๆเนี่ยเราต้องเริ่มรักษาตั้งแต่
00:32:01 → 00:32:05 เริ่มต้นไม่ใช่ปล่อยทิ้งเอาไว้แล้วการที่
00:32:05 → 00:32:08 รู้จักโรคอย่างรวดเร็วนะคะแล้วก็รับการ
00:32:08 → 00:32:10 รักษาอย่างรวดเร็วอันเนี้ยก็จะช่วยให้
00:32:10 → 00:32:13 ประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ดีกว่านะคะ
00:32:13 → 00:32:16 ไม่มีการอักเสบของข้อเรื้อรังไม่มีเรื่อง
00:32:16 → 00:32:18 ของการบาดเจ็บระยะยาวหรือไม่มีการสึก
00:32:18 → 00:32:22 กร่อนของตัวข้อหรือกระดูกนะคะทีนี้เนี่ย
00:32:22 → 00:32:24 ถามว่าเวลารักษาเนี่ยเราจะรักษาไปนานเท่า
00:32:24 → 00:32:27 ไหร่หลายคนคือพอหายเจ็บปุ๊บก็หยุดยักเลย
00:32:27 → 00:32:30 เนาะแต่จริงๆแล้วเราต้องคุมให้ระดับของ
00:32:30 → 00:32:32 ยูริกในเลือดเนี่ยค่อนข้างเป็นปกติมากที่
00:32:32 → 00:32:35 สุดนะคะอันนี้เนี่ยการรักษาเนี่ยอาจะต้อง
00:32:35 → 00:32:38 ใช้เวลานะคะ 6 เดือนถึงปีนึงนะคะโดยเฉพาะ
00:32:38 → 00:32:41 ถ้าสมมุติว่าใครที่มีตุ่มมีก้อนขึ้นมา
00:32:41 → 00:32:43 แล้วเนี่ยการคุมระดับยูริกในเลือดให้ค่อน
00:32:43 → 00:32:46 ข้างเป็นปกติเนี่ยจะทำให้ตุ่มหรือก้อน
00:32:46 → 00:32:49 อันเนี้ยมันยุบลงได้นะคะระดับยูริกใน
00:32:49 → 00:32:51 เลือดที่ปกติที่เราอยากได้คือมันควรจะ
00:32:51 → 00:32:54 ต้องต่ำกว่า 6 นะคะอันเนี้ยในกรณีเรื่อง
00:32:54 → 00:33:01 ของการรักษานะคะ
00:33:01 → 00:33:04 ในกรณีที่เราทราบว่ายูริกในเลือดเราสูงนะ
00:33:04 → 00:33:07 คะเราก็ควรที่จะต้องมีการปรับพฤติกรรม
00:33:07 → 00:33:09 หรือปรับเรื่องของอาหารแต่ถ้าสมมุติว่า
00:33:09 → 00:33:12 ยูริกมันสูงมากบางทีเนี่ยคุณหมอก็อาจจะ
00:33:12 → 00:33:15 พิจารณาในเรื่องของการให้ยาทีนี้ในรายการ
00:33:15 → 00:33:16 ของเราวันนี้เนี่ยเราก็จะมาโฟกัสกันว่า
00:33:16 → 00:33:19 เอ๊ะถ้าสมมุติว่าเราอยากจะปรับในเรื่อง
00:33:19 → 00:33:21 ของอาหารที่เรารับประทานอยู่เพื่อจะทำให้
00:33:21 → 00:33:24 ระดับยูริกในเลือดเราไม่สูงจนเกินไปเนี่ย
00:33:24 → 00:33:26 เราจะทำยังไงได้บ้างอย่างที่พูดตั้งแต่
00:33:26 → 00:33:29 ตอนต้นน่ะค่ะว่ายูริกในเลือดเนี่ยสร้าง
00:33:29 → 00:33:32 เองในร่างกายเนาะแต่อาหารที่เรากินอ่ะค่ะ
00:33:32 → 00:33:34 ไม่ใช่ยูริกอาหารที่เรากินชื่อว่าพิวรีน
00:33:34 → 00:33:38 ดังนั้นเนี่ยเราก็จะดูว่าถ้าเรามียูริกใน
00:33:38 → 00:33:40 เลือดสูงเราควรจะเลือกอาหารที่มีพิวรีน
00:33:40 → 00:33:43 ต่ำถูกมั้ยคะถ้าพิวรีนต่ำเข้าไปมันก็จะทำ
00:33:43 → 00:33:46 ให้ยูริกในเลือดเราไม่สูงเราจะแบ่งอาหาร
00:33:46 → 00:33:49 ที่เรากินเนี่ยเป็น 3 กลุ่มเนาะกลุ่มแรก
00:33:49 → 00:33:52 เราจะเรียกว่ากลุ่มที่มีพิวรีนสูงกลุ่ม
00:33:52 → 00:33:54 ที่ 2 เป็นพิวรีนปานกลางกลุ่มที่ 3 ก็คือ
00:33:54 → 00:33:57 พิวรีนต่ำถ้าอาหารที่มีพิวรีนสูงงสูงเรา
00:33:57 → 00:34:00 ก็จะกินน้อยหน่อยอาหารที่มีพิวรีนต่ำแล้ว
00:34:00 → 00:34:02 ก็สามารถที่จะกินได้มากขึ้นทีนี้พิวรีน
00:34:02 → 00:34:05 เนี่ยเราอาจจะเคยได้ยินแล้วล่ะว่าโอ้โห
00:34:05 → 00:34:07 ห้ามกินโน่นนี่นั่นเยอะแยะไปหมดเลยถ้าเรา
00:34:07 → 00:34:10 แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆนะคะกลุ่มที่มาจาก
00:34:10 → 00:34:13 พืชแล้วก็กลุ่มที่มาจากสัตว์อันแรกก่อน
00:34:13 → 00:34:15 กลุ่มที่มาจากพืชค่อนข้างดีปลอดภัยหน่อย
00:34:15 → 00:34:18 ต่อให้มีพิวรีนสูงเวลากินเข้าไปแล้วเนี่ย
00:34:18 → 00:34:20 ร่างกายก็ไม่เปลี่ยนไปเป็นกรดยูริกมากนัก
00:34:20 → 00:34:23 แต่ถ้าพิวรีนที่มาจากสัตว์อันนี้คืออัน
00:34:23 → 00:34:26 ที่เราจะต้องระมัดระวังอ่ะเรามาดูกันก่อน
00:34:26 → 00:34:29 ว่ากลุ่มไหนบ้างที่มีพิวรีนสูงอันแรกก็จะ
00:34:29 → 00:34:31 เป็นพวกเครื่องในนะคะยกตัวอย่างตั้งแต่
00:34:31 → 00:34:35 ตับไตไส้พุงสมองพวกเนี้ยมันมีพิวรีนค่อน
00:34:35 → 00:34:37 ข้างมากถ้าทานเข้าไปแล้วเนี่ยก็จะทำให้
00:34:37 → 00:34:39 ร่างกายมีการสร้างกรดยูริกสูงขึ้นอันนี้
00:34:39 → 00:34:43 ควรงดนะคะอันที่ 2 ก็จะเป็นกลุ่มของอาหาร
00:34:43 → 00:34:46 ทะเลซีฟู้ดทั้งหลายนะคะเช่นเป็นพวกปล่า
00:34:46 → 00:34:49 ปลาดุกปลาสาดีนนะคะหรือว่าเป็นพวกของหอย
00:34:49 → 00:34:51 กุ้งอะไรพวกนี้อันนี้ก็จะต้องกินปริมาณ
00:34:51 → 00:34:54 น้อยลงหรือว่าลดลงถ้าเกิดท่านมียูริกใน
00:34:54 → 00:34:57 เลือดสูงอยู่แล้วนะคะอันที่ 3 3 ก็จะ
00:34:57 → 00:34:59 เป็นกลุ่มที่มียีสค่ะพวกนี้เนี่ยจะมี
00:34:59 → 00:35:03 พิวรีนค่อนข้างสูงอะไรบ้างเอ่ยอันแรกก็จะ
00:35:03 → 00:35:06 เป็นกลุ่มของพวกเบียร์เห็นมคะเวลาที่เรา
00:35:06 → 00:35:08 ทำมีหมักมีอะไรอย่างเงี้ยพวกเเนี่ยถือว่า
00:35:08 → 00:35:11 มีพิวรีนสูงจริงๆด้วยแอลกอฮอล์เองเนี่ย
00:35:11 → 00:35:14 อาจจะไม่ได้เป็นตัวกระทบโดยตรงนะคะแต่ว่า
00:35:14 → 00:35:16 แอลกอฮอล์จะทำให้การเผ่าผลานเรื่องของ
00:35:16 → 00:35:18 พิวรีนมันแย่ลงเพราะฉะนั้นแอลกอฮอล์ทั้ง
00:35:18 → 00:35:21 กลุ่มเราขอบอกว่าถ้าคุณแค่เป็นโรคเก๊า
00:35:21 → 00:35:23 แล้วอยากจะให้เลี่ยงนะคะแต่โดยเฉพาะ
00:35:23 → 00:35:25 เบียร์อันนี้จะมีพิวรีนด้วยเพราะฉะนั้น
00:35:25 → 00:35:28 เบียร์เนี่ยจะเป็นตัวที่ทำให้อาการมันแย่
00:35:28 → 00:35:31 ลงได้อย่างชัดเจนนะคะอันที่ 2 ก็คือพวก
00:35:31 → 00:35:33 เบเกอรี่หลายๆอย่างที่มันจะต้องใช้ยีสต์
00:35:33 → 00:35:36 ลงไปนะคะพวกนี้เราก็ต้องควรงดแล้วก็
00:35:36 → 00:35:39 เลี่ยงนะคะอันถัดมาก็จะเป็นกลุ่มของพวก
00:35:39 → 00:35:41 ซุปอ่ะค่ะเพราะว่าเวลาที่เราทำน้ำสต๊อก
00:35:41 → 00:35:44 เนี่ยนะคะเราก็จะต้องใส่พวกของกระดูกหรือ
00:35:44 → 00:35:47 อะไรก็แล้วแต่พวกนี้ก็จะทำให้มีพิวรีนสูง
00:35:47 → 00:35:49 ถ้าเราดื่มหรือว่าเรากินพวกที่เป็นน้ำ
00:35:49 → 00:35:52 สต๊อกมากขึ้นนะคะอันถัดมาก็จะเป็นกลุ่ม
00:35:52 → 00:35:54 ที่เป็นพิวรีนปานกลางอันนี้จะเป็นกลุ่ม
00:35:54 → 00:35:57 ของเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่นะคะคะไม่ว่าจะ
00:35:57 → 00:36:00 เป็นหมูเป็นไก่หรือว่าจะเป็นพวกของปลา
00:36:00 → 00:36:03 ทั้งหลายนะคะก็จะอยู่ในกลุ่มนี้นะคะอัน
00:36:03 → 00:36:05 ที่ทุกคนจะได้ยินกันมาตลอดก็คือเรื่องของ
00:36:05 → 00:36:07 ไก่หรือว่าสัตว์ปีกนะคะจริงๆแล้วไก่หรือ
00:36:07 → 00:36:09 สัตว์ปีกเนี่ยเราจะจัดอยู่ในกลุ่มที่เป็น
00:36:09 → 00:36:12 พิวรีนปานกลางเรายังสามารถจะรับประทานได้
00:36:12 → 00:36:15 นะคะโดยเฉพาะถ้าเป็นไปได้เนี่ยก็จะบอกว่า
00:36:15 → 00:36:17 ให้รับประทานแบบไม่กินหนังเนาะเพราะว่า
00:36:17 → 00:36:20 ของที่มีไขมันสูงเนี่ยอาจจะมีผลกระทบหรือ
00:36:20 → 00:36:22 ว่าผลเสียกับคนแข่ที่เป็นโรคเกาได้เหมือน
00:36:22 → 00:36:25 กันนะคะกลุ่มสุดท้ายในกลุ่มที่มีพิรินต่ำ
00:36:25 → 00:36:29 แล้วก็สามารถจะรับประทานได้มากขึ้นนะคะ
00:36:29 → 00:36:32 อันนี้ก็จะเป็นพวกผักทั้งหลายนะคะต่อให้
00:36:32 → 00:36:34 บอกว่าเอ๊ะเราเคยได้ยินว่าผักที่มันเป็น
00:36:34 → 00:36:36 ผักทอดยอดหรืออะไรก็ตามกลุ่มนี้ต่อให้มัน
00:36:36 → 00:36:39 มีพิรินที่ค่อนข้างสูงนิดนึงแต่ปริมาณที่
00:36:39 → 00:36:42 เรากินเรากินไม่เยอะกับอันที่ 2 ก็คือว่า
00:36:42 → 00:36:44 พอกินเข้าไปแล้วเนี่ยในร่างกายเรามีการ
00:36:44 → 00:36:47 เปลี่ยนแปลงที่ทำให้ไปเกิดเป็นยูริกเนี่ย
00:36:47 → 00:36:50 ต่ำกว่าดังนั้นกลุ่มของผักเนี่ยสามารถรับ
00:36:50 → 00:36:52 ประทานได้พวกไข่หรือว่าพวกที่เป็น
00:36:52 → 00:36:55 ผลิตภัณฑ์จากนมนะคะก็รับประทานได้ถ้าเป็น
00:36:55 → 00:36:57 ไปได้อยากจะให้เป็นเป็นผลิตภัณฑ์จากนมที่
00:36:57 → 00:37:00 เป็น low Fat นะ
00:37:00 → 00:37:03 [เพลง]
00:37:03 → 00:37:06 คะค่ะแนวทางในการเลือกรับประทานอาหาร
00:37:06 → 00:37:09 สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องของกรดยูริกสูง
00:37:09 → 00:37:12 หรือว่าเป็นโรคเก๊าทนะคะอันแรกเลยเนี่ยก็
00:37:12 → 00:37:14 คือต้องควบคุมน้ำหนักนะคะเลือกอาหารที่
00:37:14 → 00:37:17 อาจจะมีไขมันต่ำพลังงานต่ำแล้วก็หลีก
00:37:17 → 00:37:19 เลี่ยงกลุ่มที่เป็นน้ำหวานนะคะหรือว่า
00:37:19 → 00:37:21 เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลปริมาณมากเพราะว่า
00:37:21 → 00:37:23 ทั้งหมดเนี่ยจะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของ
00:37:23 → 00:37:27 ยูริกสูงได้นะคะอันที่ 2 ก็คือเลือกอาหาร
00:37:27 → 00:37:29 ที่มีพิวรีนต่ำที่เราบอกมาแล้วเมื่อตอน
00:37:29 → 00:37:32 ต้นนะคะถ้าเกิดจะกินอาหารที่มีพิวรีนปาน
00:37:32 → 00:37:36 กลางก็จำกัดปริมาณการรับประทานนะคะอันที่
00:37:36 → 00:37:39 3 หลีกเลี่ยงหรือว่าจำกัดการใช้เครื่อง
00:37:39 → 00:37:42 ดื่มแอลกอฮอล์นะคะเพราะว่าพวกนี้ก็จะทำ
00:37:42 → 00:37:45 ให้เรื่องของยูริกในเลือดสูงได้แล้วก็สุด
00:37:45 → 00:37:47 ท้ายค่ะถ้าเราเลือกได้เราจะเลือกอาหารที่
00:37:47 → 00:37:49 มีโอเมก้า 3 เพิ่มขึ้นเหตุผลเพราะว่า
00:37:49 → 00:37:52 โอเมก้า 3 เองเนี่ยสามารถที่จะช่วยลดการ
00:37:52 → 00:37:55 อักเสบแล้วก็อาจจะช่วยส่งผลดีในเรื่องของ
00:37:55 → 00:37:59 โรคเกาได้ด้วยค่ะในส่วนของกรดโอเมก้า 3
00:37:59 → 00:38:01 นะคะที่จะช่วยลดการอักเสบเนี่ยจริงๆแล้ว
00:38:01 → 00:38:04 มีอยู่ในอาหารหลายๆประเภทนะคะถ้าเป็น
00:38:04 → 00:38:06 กลุ่มพวกของเนื้อสัตว์ก็จะเป็นกลุ่มของ
00:38:06 → 00:38:08 ปลานะคะซึ่งมีทั้งในปลาทะเลแล้วก็ปลาน้ำ
00:38:08 → 00:38:11 จืดไม่จำเป็นเลยว่าจะต้องเป็นปลาทะเลนะคะ
00:38:12 → 00:38:14 นอกเหนือจากในกรณีของการรับประทานจาก
00:38:14 → 00:38:16 อาหารก็จะมีคนถามว่าเอ๊ะถ้างั้นเนี่ยเรา
00:38:16 → 00:38:19 ไปซื้อมาได้มซื้อเป็นเม็ดๆเป็นแคปซูลสิ่ง
00:38:19 → 00:38:21 ที่เราจะได้จากเป็นเม็ดๆหรือเป็นแคปซูล
00:38:21 → 00:38:23 เนี่ยเราจะได้แค่โอเมก้า 3 ซึ่งสกัดมา
00:38:24 → 00:38:26 เป็นน้ำมันแต่เราจะไม่ได้โปรตีนเราจะไม่
00:38:26 → 00:38:29 ได้สอาหารอื่นนะคะเพราะฉะนั้นอันนี้เนี่ย
00:38:29 → 00:38:31 ก็อาจจะต้องระวังนิดนึงนะคะอันที่ 2 ค่ะ
00:38:32 → 00:38:34 ในกรณีที่เรากินพวกโอเมก้า 3 ที่เป็น
00:38:34 → 00:38:37 แคปซูลแล้วปริมาณมากเนี่ยมันจะทำให้เลือด
00:38:37 → 00:38:40 ของเราเนี่ยแข็งตัวช้าลงแล้วก็เพิ่มความ
00:38:40 → 00:38:41 เสี่ยงในการที่จะทำให้เลือดออกได้เหมือน
00:38:41 → 00:38:44 กันค่ะพิวรีนที่เรารับประทานเข้าไปเนี่ย
00:38:44 → 00:38:47 จริงๆมันคือวัตถุดิบแล้วทำให้ร่างกาย
00:38:47 → 00:38:49 เนี่ยสร้างสิ่งที่เราเรียกว่ากรดยูริกออก
00:38:49 → 00:38:52 มานะคะทีนี้ถ้าเราใส่วัตถุดิบเข้าไปเยอะ
00:38:52 → 00:38:54 คือกินพิวรีนเยอะเนี่ยมันก็จะได้วัตถุดิบ
00:38:54 → 00:38:57 ก็คือกรดยูริกเยอะของบางอย่างอ่ะค่ะอาจจะ
00:38:57 → 00:39:00 ไม่ได้มีพิวรีนแต่ทำให้ร่างกายเนี่ย
00:39:00 → 00:39:02 เปลี่ยนไปเป็นกรดยูริกได้เยอะยกตัวอย่าง
00:39:02 → 00:39:05 เช่นแอลกอฮอล์เมื่อกี้ที่บอกไปแล้วนะคะ
00:39:05 → 00:39:08 อันที่ 2 ก็จะเป็นเรื่องของการเผาผลาญใน
00:39:08 → 00:39:11 ร่างกายนะคะยกตัวอย่างเช่นคนอ้วนนะคะคน
00:39:11 → 00:39:13 อ้วนเนี่ยจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงแล้วก็
00:39:13 → 00:39:16 เกิดยูริกเยอะขึ้นเพราะฉะนั้นเนี่ยคนอ้วน
00:39:16 → 00:39:19 ก็ควรจะต้องลดน้ำหนักนะคะอีกอันนึงก็เป็น
00:39:19 → 00:39:22 อาหารที่มีไขมันสูงอันนี้เราก็จะแนะนำว่า
00:39:22 → 00:39:25 ควรที่จะต้องลดนะคะกินอาหารที่มีไขมันต่ำ
00:39:25 → 00:39:28 อันนี้จะมีผลดีกับยูริกมากกว่าแล้วสุด
00:39:28 → 00:39:30 ท้ายค่ะเนื่องจากยูริกในร่างกายที่สร้าง
00:39:30 → 00:39:34 ขึ้นเนี่ยมันจะมีการขับออกทางไตเราไม่ควร
00:39:34 → 00:39:36 จะปล่อยให้ร่างกายแห้งหรือว่าขาดน้ำเพราะ
00:39:36 → 00:39:39 อันเนี้ยจะยิ่งทำให้ยูริกเนี่ยมีการตก
00:39:39 → 00:39:42 ตะกอนหรือว่าส่งผลเสียมากขึ้นค่ะเมื่อเรา
00:39:42 → 00:39:45 เลือกวัตถุดิบที่เราจะเอามาใช้ทำอาหารได้
00:39:45 → 00:39:47 แล้วอนะคะว่าเราเลือกอันที่มันเป็นพิริน
00:39:47 → 00:39:50 ต่ำเนาะกระบวนการในการทำอาหารนี้ก็สำคัญ
00:39:50 → 00:39:53 เหมือนกันเพราะเรารู้แล้วว่าอ้วนเองเนี่ย
00:39:53 → 00:39:55 ก็สามารถที่จะทำให้ยูริกในเลือดสูงได้ดัง
00:39:55 → 00:39:58 นั้นเนี่ยเนี่ยเราไม่ควรที่จะใช้อาหารที่
00:39:58 → 00:40:01 มีน้ำมันเข้ามาเป็นส่วนประกอบในการทำ
00:40:01 → 00:40:05 อาหารสูงมากนักนะคะก็ควรจะหลีกเลี่ยงพวก
00:40:05 → 00:40:07 ที่เป็นทอดหรือว่าเป็นผัดแล้วก็กินพวกต้ม
00:40:07 → 00:40:11 นึ่งปิ้งย่างยำอบตุ๋นอะไรทั้งหลายเพื่อ
00:40:11 → 00:40:13 ที่จะทำให้แคลอรีหรือพลังงานเนี่ยมันลดลง
00:40:13 → 00:40:14 นะ
00:40:14 → 00:40:18 [เพลง]
00:40:18 → 00:40:21 คะการดูแลตัวเองนะคะโดยเฉพาะการเลือกรับ
00:40:21 → 00:40:23 ประทานอาหารเองเนี่ยหรือว่าการดูแลตัวเอง
00:40:23 → 00:40:26 ทั้งหมดเนี่ยก็จะช่วยสามารถทำให้เราเนี่ย
00:40:26 → 00:40:29 ควบคุมระดับยูริกในเลือดได้ดีแล้วถ้าเรา
00:40:29 → 00:40:31 ควบคุมระดับยูริกในเลือดได้ดีเนี่ยคุณหมอ
00:40:31 → 00:40:34 ก็จะสามารถลดยาลงได้นะคะหลายๆท่านที่มี
00:40:34 → 00:40:37 ปัญหาเรื่องเก๊าทเนี่ยก็อาจจะมียาเยอะแยะ
00:40:37 → 00:40:39 ไปหมดเลยทีนี้ถ้าเราดูแลตัวเองได้ดีขึ้น
00:40:39 → 00:40:43 เราก็จะสามารถลดยาลงได้ในทางกลับกันค่ะ
00:40:43 → 00:40:46 ถ้าเรามีปัญหาเรื่องของยูริกในเลือดสูง
00:40:46 → 00:40:49 แล้วเราไม่ได้รักษาส่วนนึงอาจจะเปลี่ยนไป
00:40:49 → 00:40:52 เป็นเรื่องของโรคเก๊าได้หรือถ้าใครที่มี
00:40:52 → 00:40:55 ปัญหาข้ออักเสบเป็นโรคเก๊าทไปแล้วนะคะ
00:40:55 → 00:40:57 แล้วยังไม่ได้ดูดแลตัวเองเพราะคิดว่าเออ
00:40:57 → 00:40:59 เป็นแล้วเดี๋ยวมันก็หายได้สิ่งที่เกิด
00:41:00 → 00:41:02 ขึ้นและเป็นผลกระทบระยะยาวเนี่ยก็จะทำให้
00:41:02 → 00:41:06 ข้ออักเสบเรื้อรังนะคะแล้วก็มีการตกตะกอน
00:41:06 → 00:41:08 ของตัวยูริกเนี่ยที่บริเวณข้อเป็นก้อน
00:41:08 → 00:41:11 เป็นตุ่มขึ้นมาที่เราเห็นในข่าวนะคะสิ่ง
00:41:11 → 00:41:14 ที่เกิดขึ้นเวลาที่เรามีการข้ออักเสบ
00:41:14 → 00:41:16 เนี่ยค่ะมันจะทำให้การใช้งานของข้อเนี่ย
00:41:16 → 00:41:19 ทำได้ลำบากมากขึ้นแล้วยิ่งถ้ามีตุ่มมี
00:41:19 → 00:41:22 ก้อนเนี่ยแสดงว่าเริ่มมีการสลายของตัว
00:41:22 → 00:41:25 กระดูกและนะคะในระยะยาวอาจจะทำให้คนๆนั้น
00:41:26 → 00:41:28 เนี่ยมีความพิการนะคะไม่สามารถที่จะเดิน
00:41:28 → 00:41:32 ได้หรือว่าใช้ชีวิตลำบากมากขึ้นไม่สามารถ
00:41:32 → 00:41:36 ที่จะใช้ข้อมือข้อเท้าทำอะไรได้ดีขึ้นนะ
00:41:36 → 00:41:38 คะเพราะฉะนั้นอันนี้จะเป็นผลกระทบระยะยาว
00:41:38 → 00:41:41 ถ้าเราไม่ดูแลตั้งแต่ต้นแล้วสิ่งที่เกิด
00:41:41 → 00:41:43 ขึ้นอันเนี้ยถ้ามันเกิดไปแล้วเนี่ยมันไม่
00:41:43 → 00:41:46 สามารถจะแก้ไขได้แล้วอ่ะค่ะในบางคนเนี่ย
00:41:46 → 00:41:48 ก็คือต่อให้เรารักษาแล้วก็จนกระทั่งกรด
00:41:48 → 00:41:51 ยูริกกลับมาเป็นปกติแล้วเนี่ยส่วนที่มัน
00:41:51 → 00:41:54 เสียหายไปแล้วก็ไม่อาจจะฟื้นคืนมาได้ค่ะ
00:41:54 → 00:41:57 ในแง่ของการรักษานะคะในเรื่องของยาเนี่ย
00:41:57 → 00:42:00 เราจะมีการรักษาอยู่ 2 ส่วนส่วนแรกเลยก็
00:42:00 → 00:42:03 คือถ้าคนไข้มีอาการเจ็บปวดหรือว่ามีข้อ
00:42:03 → 00:42:06 อักเสบตรงนี้เราจะลดการอักเสบก่อนนะคะ
00:42:06 → 00:42:08 แล้วหลังจากนั้นเนี่ยเราก็จะมีการให้ยา
00:42:08 → 00:42:11 เพื่อลดกรดยูริกด้วยเหตุผลว่ากรดยูริก
00:42:11 → 00:42:14 เป็นตัวที่ทำให้ข้ออักเสบนะคะในระยะของ
00:42:14 → 00:42:17 การที่มีข้ออักเสบเนี่ยการใช้ยาลดการ
00:42:17 → 00:42:19 อักเสบนะคะในกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ก็
00:42:19 → 00:42:23 จะมีคนใช้หรืออาจจะใช้ยาลดการอักเสบอีก
00:42:23 → 00:42:25 ตัวนึงที่ชื่อโคจิซินนะคะตัวนี้ก็จะช่วย
00:42:25 → 00:42:28 ทำทำให้อาการข้ออักเสบเนี่ยสั้นลงคนไข้
00:42:28 → 00:42:32 หายเจ็บหายป่วยได้เร็วขึ้นนะคะข้อสังเกต
00:42:33 → 00:42:35 ก็คือว่าถ้าเกิดว่าจะใช้พวกโคจิซินเนี่ย
00:42:35 → 00:42:38 ข้อควรระวังก็คือเวลาให้มากเนี่ยจะทำให้
00:42:38 → 00:42:40 ท้องเสียได้เพราะฉะนั้นเนี่ยคุณหมอเขาก็
00:42:40 → 00:42:44 จะให้ปรับโดสตามอาการนะคะในอีกตัวนึงก็
00:42:44 → 00:42:46 คือเป็นยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่กลุ่ม
00:42:46 → 00:42:49 สเตรอยด์กลุ่มนี้มีข้อดีค่ะลดการอักเสบ
00:42:49 → 00:42:52 ได้ค่อนข้างเร็วแต่มีข้อเสียนิดหน่อยก็
00:42:52 → 00:42:55 คืออาจจะทำให้กัดกระเพาะระคายเคือง
00:42:55 → 00:42:58 กระเพาะนะคะคหรือในบางรายเนี่ยอาจจะทำให้
00:42:58 → 00:43:00 มีปัญหากับไตได้โดยเฉพาะในคนไข้ที่มี
00:43:00 → 00:43:03 ปัญหาโรคไตอยู่แล้วอันนี้ก็ควรที่จะ
00:43:03 → 00:43:06 ปรึกษาคุณหมอนะคะในการที่จะเลือกใช้ยานะ
00:43:06 → 00:43:10 คะระยะถัดมาค่ะก็คือการใช้เพื่อจะไปลดกรด
00:43:10 → 00:43:13 ยูริกนะคะยาที่จะใช้ลดกรดยูริกนี่มีหลาย
00:43:13 → 00:43:17 ตัวเลยนะคะอันแรกก็คือเพิ่มการขับยูริก
00:43:17 → 00:43:20 ออกไปกับอันที่ 2 ก็คือลดการสร้างกรด
00:43:20 → 00:43:24 ยูริกนะคะทีนี้ในส่วนของการใช้ยาเนี่ยมัน
00:43:24 → 00:43:27 จะมียาบางตัวค่ะที่มีความเสี่ยงในการที่
00:43:27 → 00:43:31 จะทำให้เกิดการแพ้เราอาจจะเคยได้ยินเนาะ
00:43:31 → 00:43:34 เวลาแพ้ยาแล้วมีผืนที่ผิวหนังแพ้อักเสบ
00:43:34 → 00:43:36 รุนแรงบางทีอาจจะต้องเข้าโรงพยาบาลเลยที
00:43:36 → 00:43:39 นี้ยารักษาโรคเกาเนี่ยค่ะก็จะเป็นตัวนึง
00:43:39 → 00:43:42 ที่เจอได้ค่อนข้างบ่อยนะคะแล้วเราก็รู้
00:43:42 → 00:43:45 ด้วยอ่ะค่ะว่าเอ่อกรรมพันธ์บางอย่างเนี่ย
00:43:45 → 00:43:48 ทำให้คนๆเนี้ยเสี่ยงที่จะแพ้ยาดังนั้น
00:43:48 → 00:43:51 ปัจจุบันในยาบางกลุ่มอนะคะเราจะมีการตรวจ
00:43:51 → 00:43:53 ก่อนว่าคนๆเนี้ยเสี่ยงที่จะแพ้ยาหรือ
00:43:53 → 00:43:56 เปล่าถ้าเค้าไม่มีปัญหาเราเราถึงจะเริ่ม
00:43:56 → 00:43:59 ให้ยานะคะการเริ่มให้ยาคุณหมอก็จะต้อง
00:43:59 → 00:44:03 ค่อยๆเพิ่มยาเริ่มจากโดสต่ำๆก่อนนะคะแล้ว
00:44:03 → 00:44:06 ก็ติดตามอ่ะถ้าระดับยูริกในเลือดยังไม่
00:44:06 → 00:44:08 เป็นปกติเขาก็จะต้องเพิ่มยาอันเนี้ยล่ะ
00:44:08 → 00:44:11 ค่ะหรือเหตุผลที่เราบอกว่าเราควรที่จะ
00:44:11 → 00:44:14 เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมด้วยเพื่อ
00:44:14 → 00:44:16 จะทำให้คุณหมอไม่จำเป็นต้องไปเพิ่มยาอยู่
00:44:16 → 00:44:20 เรื่อยๆนะคะนอกเหนือจากการที่จะไปรักษา
00:44:20 → 00:44:23 เรื่องของระดับยูริกแล้วเนี่ยไม่เพียงแค่
00:44:23 → 00:44:26 ว่าจะทำให้โรคเก๊าดีขึ้นแต่จะช่วยส่งผลใน
00:44:26 → 00:44:29 ระยะยาวก็คือถ้าสมมุติว่ายูริกในเลือดมัน
00:44:29 → 00:44:31 สูงมากๆอ่ะค่ะมันอาจจะมีการตกตะกอนแล้วก็
00:44:32 → 00:44:34 ทำให้ไตเสื่อมได้เหมือนกันเพราะฉะนั้นอัน
00:44:34 → 00:44:37 นี้ก็จะเป็นข้อดีอีกอันนึงนะ
00:44:37 → 00:44:40 [เพลง]
00:44:41 → 00:44:44 คะข้อคุณปฏิบัติเมื่อเราเป็นโรคเก๊าแล้ว
00:44:44 → 00:44:47 นะคะก็คืออันที่ 1 ติดตามการรักษาอย่าง
00:44:47 → 00:44:50 สม่ำเสมอกินยาอย่างครบถ้วนนะคะในเรื่อง
00:44:50 → 00:44:52 ของการปฏิบัติตัวหรือว่าเรื่องของอาหาร
00:44:52 → 00:44:55 เนี่ยอย่างที่บอกไปสักครู่แล้วนะคะลดน้ำ
00:44:55 → 00:44:57 หนักนะนะคะลดเรื่องของการกินเครื่องดื่ม
00:44:57 → 00:44:59 ที่มีแอลกอฮอล์เครื่องดื่มที่มีรสหวาน
00:45:00 → 00:45:02 หรือมีน้ำตาลผสมอยู่กินอาหารที่มีไขมัน
00:45:02 → 00:45:06 ต่ำพิวรีนต่ำนะคะอันนี้คือสิ่งปฏิบัติโดย
00:45:06 → 00:45:09 ทั่วไปนะคะอ่าในเรื่องของคนไข้บางคนที่
00:45:09 → 00:45:12 อาจจะมีโรคร่วมนะคะในกรณีที่เรามีเรื่อง
00:45:12 → 00:45:15 ของยูริคอาซิสูงเนี่ยมันมียาบางตัวค่ะที่
00:45:15 → 00:45:18 อาจจะทำให้ยูริกมันสูงได้โดยเฉพาะในกลุ่ม
00:45:18 → 00:45:21 ของคนไข้ที่เป็นความดันโลหิตสูงหรือว่า
00:45:21 → 00:45:23 กินยาขับปัสสาวะยาขับปัสสาวะบางตัวจะทำ
00:45:23 → 00:45:26 ให้ยูริกสูงได้อันนี้อาจะจะต้องคุยกับ
00:45:26 → 00:45:29 แพทย์ผู้ดูแลนะคะว่ามันจำเป็นมยที่เราจะ
00:45:29 → 00:45:32 ใช้ยาตัวเดิมหรือว่าเราจะปรับยาเปลี่ยนยา
00:45:32 → 00:45:35 เพื่อให้ควบคุมระดับยูริกในเลือดได้ดี
00:45:35 → 00:45:38 ขึ้นอันที่ 2 ก็คือคนไข้โรคไตอันนี้จะ
00:45:38 → 00:45:40 ลำบากนิดนึงเหมือนที่บอกอ่ะค่ะว่ายูริก
00:45:40 → 00:45:43 เนี่ยเราเอาออกจากร่างกายโดยทางไตถูกมั้ย
00:45:43 → 00:45:46 คะถ้าสมมุติว่าไตเราไม่ดีหรือว่าไตเรา
00:45:46 → 00:45:49 เสื่อมสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการเอายูริก
00:45:49 → 00:45:51 ออกจากร่างกายเนี่ยมันก็จะทำได้น้อยลง
00:45:51 → 00:45:54 หรือว่าช้าลงดังนั้นคนไข้โรคไตส่วนใหญ่
00:45:54 → 00:45:57 เรามักจะเจอว่ามียูริกในเลือดสูงและที่
00:45:57 → 00:45:59 สำคัญคือคแค่โรคไตเนี่ยก็ไม่ควรที่จะได้
00:45:59 → 00:46:02 รับยาอีกเพราะว่าอาจจะทำให้เกิดอันตราย
00:46:02 → 00:46:04 ได้เหมือนกันเพฉะนั้นอันนี้จะค่อนข้างมี
00:46:04 → 00:46:06 ความลำบากนิดนึงอันนี้ต้องคุยกับแพทย์ที่
00:46:06 → 00:46:09 ดูแลนะคะแล้วก็สุดท้ายก็คือในเรื่องของ
00:46:10 → 00:46:12 อาหารอีกตัวนึงถ้าเกิดว่ามันมีการอักเสบ
00:46:12 → 00:46:15 เพิ่มขึ้นกลุ่มที่เป็นเรื่องของโอเมก้า 3
00:46:15 → 00:46:17 ที่จะเอามาเสริมก็อาจจะช่วยในเรื่องของ
00:46:18 → 00:46:20 การลดการอักเสบแล้วทำให้อาการของโรคดี
00:46:20 → 00:46:23 ขึ้นได้เช่นกันค่ะสำหรับพิวรีนในอาหารน่ะ
00:46:23 → 00:46:25 นะคะเมื่อกี้เราพูดกันมาเนี่ยมันมีตั้ง
00:46:25 → 00:46:27 หลายตัวตัวแล้วก็หลายๆอย่างที่ท่านอาจจะ
00:46:27 → 00:46:30 อยากรับประทานแต่ท่านไม่แน่ใจว่ามีพิริน
00:46:30 → 00:46:33 สูงหรือว่าพิรินต่ำนะคะด้วยเวลาที่จำกัด
00:46:33 → 00:46:36 เนี่ยคะเราสามารถที่จะเข้าไปสืบค้นข้อมูล
00:46:36 → 00:46:38 ทั้งหลายในอินเทอร์เน็ตได้นะคะเลือก
00:46:38 → 00:46:42 สถาบันที่ให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้นะคะ
00:46:42 → 00:46:45 กดเข้าไปแล้วเขียนว่าอาหารที่มีพิวรีนสูง
00:46:45 → 00:46:47 นะคะหรือว่าอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับ
00:46:47 → 00:46:50 คนไข้โรคเก๊านะคะอันนี้ก็อาจจะพอเป็นแนว
00:46:50 → 00:46:52 ทางให้ทุกท่านเนี่ยสามารถเลือกวัตถุดิบมา
00:46:52 → 00:46:55 เป็นแนวทางในการทำอาหารของท่านได้ในครั้ง
00:46:55 → 00:46:58 ต่อไปค่ะ
00:46:59 → 00:47:01 วันนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องของอาหาร
00:47:01 → 00:47:04 บำรุงตับได้ยินกันมาบ่อยเลยใช่มั้ยคะ
00:47:04 → 00:47:07 อาหารบำรุงตับหลายๆคนก็กินยาเยอะหลายๆคน
00:47:07 → 00:47:10 ก็กลัวเอ๊ะอาจจะเคยมีปัญหาสุขภาพหรือไป
00:47:10 → 00:47:13 ตรวจร่างกายแล้วเจอว่าตับอักเสบบ้างล่ะไข
00:47:13 → 00:47:16 มันพอกตับบ้างล่ะเอ๊ะมันจะมีวิธีไหนไที่
00:47:16 → 00:47:19 จะทำให้ตับฉันดีขึ้นมีการขายคอร์สมีการทำ
00:47:19 → 00:47:21 โน่นนี่นั่นที่บอกว่าอันนี้เป็นอาหาร
00:47:21 → 00:47:24 บำรุงตับหรือวิตามินบำรุงตับมันดีจริง
00:47:24 → 00:47:26 หรือเปล่ามันช่วยได้หหรือเปล่าวันนี้เรา
00:47:26 → 00:47:29 จะมาคุยกันค่ะในเรื่องของอาหารบำรุงตับ
00:47:29 → 00:47:32 ตับนะคะหลายคนก็รู้จักเนาะถ้าไม่รู้จัก
00:47:32 → 00:47:34 เราก็คงเคยกินกันเนาะตับมีหน้าที่อะไรใน
00:47:34 → 00:47:37 ร่างกายตอบมีความสำคัญมากๆเลยอาหารที่เรา
00:47:37 → 00:47:39 กินเข้าไปนะคะไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต
00:47:39 → 00:47:43 โปรตีนหรือไขมันทุกอย่างจะต้องมีการจัด
00:47:43 → 00:47:46 การที่ตับตับจะเป็นเหมือนโรงงานขนาดใหญ่
00:47:46 → 00:47:49 เลยนะคะอาหารเข้ามาปุ๊บแล้วตับจะเป็นคน
00:47:49 → 00:47:52 ที่จะเอามาใช้อ่าเอามาใช้ไปเป็นพลังงาน
00:47:52 → 00:47:54 เอามาเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลเอามาเปลี่ยนไป
00:47:54 → 00:47:57 เป็นไขมันหรือว่าจะเปลี่ยนให้เป็นโปรตีน
00:47:57 → 00:48:00 แล้วถ้าเกิดเกินจากนั้นเขาก็จะจัดสรรให้
00:48:00 → 00:48:03 เอาไปเก็บนะคะเพราะฉะนั้นการทำงานของตับ
00:48:03 → 00:48:05 อันที่ 1 ในเรื่องของอาหารเขาจะมาจัดการ
00:48:05 → 00:48:08 กับอาหารเกือบทุกชนิดเลยรวมถึงวิตามิน
00:48:08 → 00:48:11 แล้วก็แร่ธาตุบางอย่างด้วยอันที่ 2 ค่ะ
00:48:11 → 00:48:14 ตับมีหน้าที่คือจัดการกับของเสียหรือสาร
00:48:14 → 00:48:16 พิษเวลาที่เรากินอาหารกินยาหรือกินอะไร
00:48:16 → 00:48:19 เข้าไปแล้วมันมีของเสียมีสารพิษเกิดขึ้น
00:48:19 → 00:48:21 เนี่ยสิ่งที่เกิดขึ้นตับจะมีหน้าที่ทำให้
00:48:21 → 00:48:23 สารพิษอันนั้นเนี่ยมันหมดสภาพหรือหมด
00:48:23 → 00:48:26 ฤทธิ์ไปยาวบางตัวกินเข้ามาอาจจะยังไม่ออก
00:48:26 → 00:48:29 ฤทธิ์มาผ่านตับแล้วทำให้มันออกฤทธิ์ยาว
00:48:29 → 00:48:32 บางตัวออกฤทธิ์เต็มที่แล้วตับมีหน้าที่ทำ
00:48:32 → 00:48:34 ให้มันหมดฤทธิ์เพื่อจะให้มันหมดสภาพแล้ว
00:48:34 → 00:48:37 ไม่เกิดอันตรายกับร่างกายแล้วเอาไปทิ้ง
00:48:37 → 00:48:39 เพราะฉะนั้นหน้าที่ของตับเนี่ยคอยจัดการ
00:48:39 → 00:48:41 กับเรื่องของสารพิษที่อยู่ในร่างกายด้วย
00:48:41 → 00:48:44 นอกจากนี้ค่ะตับยังมีหน้าที่คอยเสริม
00:48:44 → 00:48:47 สร้างระบบเรื่องของภูมิคุ้มกันในร่างกาย
00:48:47 → 00:48:50 ด้วยเพราะฉะนั้นถ้าตับไม่ดีสิ่งที่ตามมา
00:48:50 → 00:48:52 ก็คือคนๆนั้นอาจจะมีเรื่องของการติดเชื้อ
00:48:52 → 00:48:56 ง่ายขึ้นนะคะอันถัดมาค่ะตอมีหน้าที่จัด
00:48:56 → 00:49:00 การกับน้ำดีเนาะเสร้างน้ำดีได้นะคะช่วยใน
00:49:00 → 00:49:02 ร่างกายในเรื่องของการจัดการกับวิตามิน
00:49:02 → 00:49:04 บางอย่างโดยเฉพาะไวตามินดีดถ้าเกิด
00:49:04 → 00:49:06 ไวตามินดีเข้ามาปุ๊บตับจะมีหน้าที่
00:49:06 → 00:49:09 เปลี่ยนวิตามินดีเราก็จะไปเปลี่ยนอีก
00:49:09 → 00:49:11 ครั้งนึงที่ไตเพื่อจะให้วิตามินดีอันนั้น
00:49:11 → 00:49:13 ได้ออกริทธิ์เต็มที่นะคะจะเห็นว่าตับ
00:49:13 → 00:49:16 เนี่ยมีหน้าที่สำคัญมากมายในร่างกายแล้ว
00:49:16 → 00:49:20 หลายๆอย่างของตับคือเคทำได้คนเดียวไม่มี
00:49:20 → 00:49:22 ตัวแทนเลยเพราะฉะนั้นเนี่ยเรามีตับอยู่
00:49:22 → 00:49:26 แค่อันเดียวนะคะรักษาตับนี้เอาไว้ไเพราะ
00:49:26 → 00:49:28 ว่าถ้าเราใช้มันไปเยอะๆเราใส่สารพิษเข้า
00:49:28 → 00:49:31 ไปเยอะๆหรือเราไปทำร้ายตับเราเยอะๆสิ่ง
00:49:31 → 00:49:34 ที่เกิดขึ้นคือในอนาคตตับเราก็จะแย่ลงไป
00:49:34 → 00:49:36 เรื่อยๆแล้วเราไม่มีเปลี่ยนนะคะถ้าสมมุติ
00:49:36 → 00:49:39 มันพังไปมากๆอย่างเดียวที่เราตได้ก็คือ
00:49:39 → 00:49:41 เราจะต้องรอให้มีการปลูกถ่ายอวัยวะหรือ
00:49:41 → 00:49:43 ว่าเปลี่ยนตับนั่นเองค่ะทีนี้ถ้าสมมุติ
00:49:43 → 00:49:46 ว่าเราฟังมาแล้วว่าตับมีความสำคัญนะคะ
00:49:46 → 00:49:49 เอ๊ะแล้วตับเนี่ยมันใช้ไปหรือว่ามันทำงาน
00:49:49 → 00:49:52 ไปแล้วมันพังไปเรื่อยๆหรือเปล่าไม่เลยใน
00:49:52 → 00:49:55 ร่างกายเรามีการซ่อมแซมนะคะลองนึกภาพนะคะ
00:49:55 → 00:49:58 เวลาที่เราเป็นแผลเห็นมั้ยคะร่างกายเราก็
00:49:58 → 00:50:00 จะมีการซ่อมแซมมีแผลแล้วก็มีการซ่อมแล้ว
00:50:00 → 00:50:04 แผลก็หายตับเราก็เช่นกันค่ะร่างกายก็จะมี
00:50:04 → 00:50:07 การซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลานะคะแต่แน่นอนค่ะ
00:50:07 → 00:50:09 เมื่ออายุเรามากขึ้นคุณสมบัติในเรื่องของ
00:50:09 → 00:50:13 การซ่อมเนี่ยมันจะน้อยกว่าอ่าซ่อมสร้างจะ
00:50:13 → 00:50:15 น้อยถ้าเรายังคงถูกทำลายต่อเนื่องสิ่งที่
00:50:15 → 00:50:18 เกิดขึ้นก็คือการทำงานในภาพรวมของตับก็จะ
00:50:19 → 00:50:22 ลดลงไปตามอายุได้เช่นกันหลายๆคนเนี่ยก็จะ
00:50:22 → 00:50:25 มีแพ็คเกจตรวจสุขภาพใช่มั้ยคะอาจจะซื้อ
00:50:25 → 00:50:27 เกียจตรวจสุขภาพในการลดราคาก็ตามหรือว่า
00:50:27 → 00:50:30 ที่ทำงานให้ตรวจสุขภาพก็ตามเสร็จแล้ว
00:50:30 → 00:50:32 เนี่ยผลตรวจสุขภาพจะกลับมาหลายคนเวลาที่
00:50:32 → 00:50:35 ไปตรวจสุขภาพไม่ได้เจอคุณหมอแต่จะมีผลตว
00:50:35 → 00:50:37 สุขภาพกลับมาแล้วก็บอกว่ามีแขมันพอกตับ
00:50:37 → 00:50:39 บ้างล่ะตับอักเสบบ้างล่ะหลายคนก็ตื่นเต้น
00:50:39 → 00:50:42 ตกใจแล้วในนั้นก็จะเขียนว่าให้ไปพบคุณหมอ
00:50:42 → 00:50:45 ใกล้ๆอันที่ 1 ก่อนเราจะรู้ได้ยังไงว่า
00:50:45 → 00:50:48 เรามีไขมันพอกตับส่วนใหญ่การที่จะรู้ว่า
00:50:48 → 00:50:50 มีไขมันพอกตับเนี่ยมันมักจะต้องตรวจด้วย
00:50:50 → 00:50:53 เครื่องอัรสาวอันนี้เป็นการตรวจอย่างง่าย
00:50:53 → 00:50:57 นะคะไม่แพงนะคะแล้วก็สามารถรูปผลได้นะคะ
00:50:57 → 00:50:59 โดยทั่วไปเขก็จะดูว่าอ้าตอนเนี้ยมันมี
00:50:59 → 00:51:02 ลักษณะที่สงสัยว่าจะเป็นไขมันพอกตับเขาค
00:51:02 → 00:51:05 ก็จะบอกมาอันที่ 2 ค่ะจะพูดว่ามีตับ
00:51:05 → 00:51:07 อักเสบเวลาที่จะพูดว่ามีตับอักเสบเนี่ย
00:51:07 → 00:51:10 ส่วนใหญ่จะโดนเจาะเลือดถ้าเจาะเลือดเสร็จ
00:51:10 → 00:51:12 ปุ๊บเนี่ยจะมีค่าการอักเสบของตับที่สูง
00:51:12 → 00:51:16 ขึ้นเขาก็จะบอกว่าตอนนี้มีตับอักเสบนะที
00:51:16 → 00:51:18 นี้ถามว่าเอ๊ะแล้วมันต่างกันยังไงมันจะ
00:51:18 → 00:51:21 รู้ได้ยังไงมันจะอันตรายยหลักการมีแค่นี้
00:51:21 → 00:51:24 นะคะอันแรกก็คือว่าในเซลล์ตับเนี่ยให้เรา
00:51:24 → 00:51:26 มองภาพว่าเซลล์ 1 เซลล์เนี่ยมันเหมือนถุง
00:51:26 → 00:51:29 ซึ่งปิดสนิทสารที่อยู่ข้างในถุงเนี่ยมี
00:51:30 → 00:51:32 น้ำอยู่เนี่ยอันเนี้ยก็คือเอนไซม์ที่อยู่
00:51:32 → 00:51:35 ในตับถ้าสมมุติว่าถุงมันแตกหรือถุงมัน
00:51:35 → 00:51:37 รั่วไอ้สารที่มันอยู่ข้างในเนี่ยมันก็จะ
00:51:37 → 00:51:40 รั่วออกมาจากนอกเซลล์ตับนึกออกมั้ยคะแล้ว
00:51:40 → 00:51:42 มันก็จะปนอยู่ในเลือดเวลาเราเจาะเลือด
00:51:42 → 00:51:45 ปั๊บเราเห็นไอ้สารตัวเนี้ยมันสูงขึ้นเรา
00:51:45 → 00:51:48 ก็บอกว่าอ้าต้องมีปัญหากับเซลล์ตับแน่ๆ
00:51:48 → 00:51:52 แล้วนะคะอันนี้คุณหมอจะพูดคำว่าตับอักเสบ
00:51:52 → 00:51:54 ทีนี้ถ้าเกิดว่ามันมีการบาดเจ็บหรือมี
00:51:54 → 00:51:57 อะไรเกิดขึ้นกับากเซลล์ตับไม่ว่าจะด้วย
00:51:57 → 00:52:00 เหตุผลใดเราก็เรียกว่าตับอักเสบยกตัว
00:52:00 → 00:52:03 อย่างเช่นกินเหล้าเยอะๆเห็นมั้ยคะก็จะมี
00:52:03 → 00:52:05 สารพิษเข้ามาตับจัดการไม่ได้ตอนนี้ตับได้
00:52:05 → 00:52:08 รับการบาดเจ็บเพราะว่าได้รับตัวแอลกอฮอล์
00:52:08 → 00:52:10 เยอะขึ้นใช่มยคะอันนี้ก็จะทำให้เกิดตับ
00:52:10 → 00:52:14 อักเสบคนแข้กินยาบางอย่างมากเกินไปหรือยา
00:52:14 → 00:52:17 ตัวเนี้ยมันทำอันตรายกับตับยาตัวเนี้ยมัน
00:52:17 → 00:52:19 จะไปออกฤทธิ์ที่ตับนะคะก็จะทำให้ตับ
00:52:19 → 00:52:22 อักเสบได้หรือมีการติดเชื้ออ่าไม่ว่าจะ
00:52:23 → 00:52:25 เป็นโควิดไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัสใดๆหรือ
00:52:25 → 00:52:28 แม้กระทั่งพวกของไวรัสตอบอักเสบพวกนี้ก็
00:52:28 → 00:52:30 จะทำให้ตออักเสบได้เหมือนกันจะเห็นว่า
00:52:30 → 00:52:33 เวลาที่เราเจาะเลือดแล้วเจอว่ามีค่าตับ
00:52:33 → 00:52:36 อักเสบอันเนี้ยมันเกิดได้จากหลายสาเหตุ
00:52:36 → 00:52:39 มากๆเลยวิธีการนึงเวลาที่คุณหมอเห็นคุณ
00:52:39 → 00:52:41 หมอก็จะต้องไปหาสาเหตุก่อนว่าเอออันนี้
00:52:41 → 00:52:44 มันเกิดจากอะไรได้บ้างก็ซักประวัติเอ๊ะ
00:52:44 → 00:52:47 กินเหล้ามยกินยามยหรือว่ามันมีอาการอย่าง
00:52:47 → 00:52:50 อื่นใดหรือเปล่าที่จะสนับสนุนแล้วถึงจะมา
00:52:50 → 00:52:53 เป็นข้อสรุปว่าตับอักเสบอันเนี้ยเกิดจาก
00:52:53 → 00:52:57 อะไรอันที่ 3 เวลาทำอนรซาว์บางทีเนี่ยนอก
00:52:57 → 00:52:59 เหนือจากเราเห็นว่ามีไขมันพอกตับแล้ว
00:52:59 → 00:53:02 เนี่ยบางคนเนี่ยแนนรซาวอาจจะบอกได้เลยว่า
00:53:02 → 00:53:05 ตอนเเรามีตับแข็งแล้วหรือยังบางทีผล
00:53:05 → 00:53:07 อันซาวออกมาปุ๊บบอกว่าตับแข็งหหคุณแข้
00:53:07 → 00:53:10 ตื่นเต้นตกใจแย่แล้วฉันแย่แน่ๆแล้วฉันจะ
00:53:10 → 00:53:12 ตายแล้วอะไรอย่างเงี้ยมันจะมีลักษณะหน้า
00:53:12 → 00:53:15 ตาบางอย่างของตับที่จะทำให้รู้สึกว่า
00:53:15 → 00:53:18 อันเนี้ยมันมีความผิดปกติที่เป็นมานานละ
00:53:18 → 00:53:22 แล้วทำให้เกิดผังผืดเกิดขึ้นอันนี้ก็เลย
00:53:22 → 00:53:25 เรียกว่าเป็นตับแข็งนะคะซึ่งอันนี้จะมอง
00:53:25 → 00:53:28 เห็นได้จากตัวอัตรสาวในปัจจุบันนะคะโรค
00:53:28 → 00:53:30 ตับที่ได้ยินบ่อยๆหรือว่าเป็นโรคยอดฮิต
00:53:31 → 00:53:34 เริ่มต้นจากไขมันพอกตับก่อนอันนี้บอกเลย
00:53:34 → 00:53:36 ว่าไม่มีอาการค่ะอย่าถามว่ามีอาการอะไร
00:53:36 → 00:53:39 ไม่มีเลยมีข้อสังเกตว่าคนอ้วนมีความ
00:53:39 → 00:53:42 เสี่ยงที่จะเกิดไขมันพอกตับโดยเฉพาะกลุ่ม
00:53:42 → 00:53:45 ที่อ้วนลงพุงอันที่ 2 ค่ะถ้าเกิดอ้วนมาก
00:53:45 → 00:53:48 ขึ้นหรือไขมันพอกตับมากขึ้นมันก็จะทำให้
00:53:48 → 00:53:50 เกิดเรื่องของตับ
00:53:50 → 00:53:53 อักเสบอันนี้อาจจะยังไม่มีอาการแต่ตรวจ
00:53:53 → 00:53:56 ได้จากในเลือดจะเห็นว่าว่ามีค่าการอักเสบ
00:53:56 → 00:53:59 ของตับสูงขึ้นเวลาที่เราจะบอกว่าเป็นไข
00:53:59 → 00:54:01 มันพอกตับแล้วทำให้เกิดตับอักเสบเนี่ยมัน
00:54:01 → 00:54:04 จะต้องไม่มีสาเหตุอื่นนะคะเช่นไม่ได้ดื่ม
00:54:04 → 00:54:06 เหล้าเลยนะคะไม่ได้มียาสมุนไพรไม่ได้มี
00:54:07 → 00:54:10 สารพิษใดๆไม่ได้มียาอะไรที่ทำให้ร่างกาย
00:54:10 → 00:54:13 เรามีเรื่องของการอักเสบเกิดขึ้นระยะที่ 3
00:54:13 → 00:54:17 ค่ะเมื่อการอักเสบเกิดขึ้นซ้ำๆสิ่งที่ตาม
00:54:17 → 00:54:20 มาก็จะเป็นผังผืดอันนี้ก็จะเริ่มเป็นตับ
00:54:20 → 00:54:23 แข็งทีนี้ลองนึกภาพนะคะว่าเซลล์ตับเนี่ย
00:54:23 → 00:54:25 จากตอนแรกเนี่ยเหมือนตับทั้งก้อนเนี่ย
00:54:25 → 00:54:29 ปกติแต่ถ้ามันมีผังผืดเป็นจุดๆหลายๆที่
00:54:29 → 00:54:32 สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือผิวที่ตับอ่ะค่ะมัน
00:54:32 → 00:54:35 ก็จะเริ่มไม่เรียบละจะเริ่มมีความขรุขะละ
00:54:35 → 00:54:38 ตับอาจจะเริ่มเหี่ยวเล็กลงละอันเนี้ยค่ะ
00:54:38 → 00:54:40 เวลาที่เราตรวจซาวเราถึงจะมองเห็นถ้าถึง
00:54:40 → 00:54:44 จุดที่มีตับแข็งแล้วเนี่ยโดยทั่วไปอ่ะถ้า
00:54:44 → 00:54:47 ตับแข็งเป็นมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆจน
00:54:47 → 00:54:51 กระทั่งการทำงานของตับในภาพรวมลดลงอันนี้
00:54:51 → 00:54:54 จะเริ่มมีอาการละนอกจากนี้ค่ะเวลาที่เป็น
00:54:54 → 00:54:57 ผังผืดเนี่ยถ้ามันเกิดซ้ำๆแล้วมันเป็นต่อ
00:54:57 → 00:55:00 เนื่องมันมีโอกาสที่เซลล์พวกนี้จะเปลี่ยน
00:55:00 → 00:55:04 แปลงไปแล้วกลายไปเป็นมะเร็งได้ประมาณ 10%
00:55:04 → 00:55:06 ของคนไข้ที่ตับแข็งอาจจะเปลี่ยนไปเป็น
00:55:06 → 00:55:08 มะเร็งตับ
00:55:08 → 00:55:11 [เพลง]
00:55:11 → 00:55:15 ได้สำหรับในกรณีของคนไข้ที่กำลังสงสัยว่า
00:55:15 → 00:55:17 ตัวเองจะเป็นโรคตับหรือไปตรวจสุขภาพแล้ว
00:55:17 → 00:55:19 เจอความผิดปกติแล้วถามว่าเอ๊ะเราจะทำยัง
00:55:19 → 00:55:21 ไงข้อแรกเลยก็คือเราต้องดูก่อนว่าสาเหตุ
00:55:21 → 00:55:24 คืออะไรนะคะถ้าสาเหตุอันนั้นเนี่ยเราแก้
00:55:24 → 00:55:27 ไขได้เราก็จะไปจัดการเพราะฉะนั้นคุณหมอจะ
00:55:27 → 00:55:29 ซักประวัติค่อนข้างเยอะนิดนึงเพื่อจะดู
00:55:29 → 00:55:31 ว่าเอ๊ะมันมีอะไรหรือเปล่าบางอย่างที่แก้
00:55:31 → 00:55:34 ไขได้แล้วจัดการไปที่บอกไปตอนต้นนะคะเช่น
00:55:34 → 00:55:37 บางคนเนี่ยถ้าหากว่ายังไม่เคยฉีดวัคซีนก็
00:55:37 → 00:55:40 อาจจะให้ฉีดวัคซีนใช่มั้ยคะถ้าเกิดว่ามี
00:55:40 → 00:55:42 ปัญหาว่าตอนเนี้ยกินยาเยอะเกินไปหรือว่า
00:55:43 → 00:55:45 ยาตัวเนี้ยมันมีปัญหากระตับก็จะให้หยุดยา
00:55:45 → 00:55:48 แอลกอฮอล์ก็จะให้หยุดเหล้าอันนี้เป็นต้น
00:55:48 → 00:55:51 เนาะทีนี้ที่เจอบ่อยๆเลยก็คืออ้วนแล้วก็
00:55:51 → 00:55:53 ไขมันพอกตับต้องบอกอย่างงี้นะคะเวลาที่
00:55:53 → 00:55:56 เราจะลดน้ำหนักเนี่ยในกรณีของไขมันพอกตับ
00:55:56 → 00:55:59 เนี่ยเราขอประมาณสัก 10% แต่ถ้าเกิดว่า
00:55:59 → 00:56:02 ตับอักเสบเนี่ยแค่ประมาณ 5% เนี่ยน้ำหนัก
00:56:02 → 00:56:05 ลดลงค่าการอักเสบของตับก็จะลดลงแล้วค่ะ
00:56:05 → 00:56:08 แต่ถ้าจะทำให้ไขมันพอกตับมันลดลงชัดเจน
00:56:08 → 00:56:11 เนี่ยเราต้องขอลดน้ำหนักอย่างน้อย 10%
00:56:11 → 00:56:13 ถ้าในกรณีที่เป็นตับแข็งแล้วหรือว่ามีผัง
00:56:13 → 00:56:16 ผืดแล้วเนี่ยมันจะเปลี่ยนได้ไมในอดีตเรา
00:56:16 → 00:56:18 เชื่อว่ามันเปลี่ยนไม่ได้แต่ปัจจุบันเรา
00:56:18 → 00:56:21 เห็นว่าการลดน้ำหนักนะคะหรือว่าการทำให้
00:56:21 → 00:56:23 ตับเราดีขึ้นเนี่ยผังผืดมันก็อาจจะ
00:56:23 → 00:56:26 เปลี่ยนแล้วก็ลดลงได้เพราะฉะนั้นยังไง
00:56:26 → 00:56:29 เนี่ยในทุกๆระยะเนี่ยเราก็ยังแนะนำนะคะ
00:56:29 → 00:56:31 ถ้าสมมุติว่าอ้วนเราก็ยังแนะนำให้ลดน้ำ
00:56:31 → 00:56:34 หนักนอกจากนี้เนี่ยเรื่องของตัวสูบบุหรี่
00:56:34 → 00:56:36 หลายคนจะบอกว่าเอ๊ะสูบบุหรี่ก็ไม่ได้
00:56:36 → 00:56:39 เกี่ยวกับตับโดยตรงแต่ว่าในแง่ของการสูบ
00:56:39 → 00:56:41 บุหรี่อ่ะค่ะสารพิษที่เกิดขึ้นเนี่ยมันจะ
00:56:41 → 00:56:43 ทำให้เรื่องของเส้นเลือดทำงานได้ไม่ดี
00:56:43 → 00:56:45 เพราะฉะนั้นเนี่ยเส้นเลือดเราแย่อยู่แล้ว
00:56:45 → 00:56:48 เนาะเราก็จะไม่ให้สูบบุหรี่ด้วยอีกอันนึง
00:56:48 → 00:56:51 ค่ะก็คือเรื่องของน้ำตาลโดยเฉพาะพวกน้ำ
00:56:51 → 00:56:53 หวานหรือว่าเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลอยู่
00:56:53 → 00:56:56 พวกนี้เวลาเรากินกินเข้าไปปุ๊บเนี่ยพลัง
00:56:56 → 00:56:58 งานทั้งหมดมันจะเข้าไปที่ตับแล้วมันก็จะ
00:56:58 → 00:57:01 สะสมง่ายทำให้เกิดไขมันพอกตับได้อย่างรวด
00:57:01 → 00:57:03 เร็วเพราฉะนั้นถ้าเราตัดพวกน้ำหวานหรือ
00:57:03 → 00:57:06 ตัดพวกเครื่องดื่มพวกนี้เนี่ยน้ำหนักก็จะ
00:57:06 → 00:57:08 ลดได้ค่อนข้างดีแล้วทีนี้เนี่ยในส่วนของ
00:57:08 → 00:57:11 อาหารหลายๆอันก็อย่างเช่นอาหารพวกที่เป็น
00:57:11 → 00:57:14 พวกของปิ้งย่างอาหารที่มีการปนเปื้อน
00:57:14 → 00:57:16 เชื้อรานะคะอาหารปิ้งย่างเกี่ยวยังไง
00:57:16 → 00:57:19 อาหารปิ้งย่างเนี่ยถ้าสมมุติว่ามันมีพวก
00:57:19 → 00:57:21 ของเนื้อที่มันดำๆไหม้ๆพวกนี้มันก็จะมี
00:57:21 → 00:57:24 พวกของไฮโดรคาร์บอนหรือสารก่อมะเร็งอัน
00:57:24 → 00:57:26 นี้เราก็ไม่อยากอยากได้พวกไขมันปริมาณมาก
00:57:26 → 00:57:29 หรือไขมันสูงๆโดยเฉพาะเป็นกลุ่มของไขมัน
00:57:29 → 00:57:31 อิ่มตัวอันนี้เราก็ไม่ชอบเพราะว่ามันก็จะ
00:57:31 → 00:57:35 ยิ่งทำให้มีการทำร้ายตับมากขึ้นนะคะการทำ
00:57:35 → 00:57:38 ให้เกิดการไขมันพอกตับเยอะขึ้นเพฉะนั้น
00:57:38 → 00:57:41 โดยทั่วไปก็คือลดในส่วนของไขมันอิ่มตัวลด
00:57:41 → 00:57:43 อาหารปิ้งย่างเพื่อจะช่วยลดเรื่องของ
00:57:43 → 00:57:46 ไฮโดรคาร์บอนลดพวกของสารพิษท็อกซินทั้ง
00:57:46 → 00:57:48 หลายพวกถั่วขึ้นราหรืออะไรอย่างงี้ลด
00:57:49 → 00:57:51 อาหารสุกๆดิบๆใช่มั้ยคะเพื่อจะให้ลดความ
00:57:51 → 00:57:54 เสี่ยงในเรื่องของพยาธิบางชนิดแล้วก็ลด
00:57:54 → 00:57:57 พวกของน้ำตาลโดยเฉพาะพวกน้ำหวานจะได้ทำ
00:57:57 → 00:58:00 ให้ไม่มีเรื่องของน้ำตาลไปสะสมหรือไปพอก
00:58:00 → 00:58:02 ที่ตับอีกวิธีนึงที่จะช่วยดึงเอาไขมันที่
00:58:02 → 00:58:06 ตับออกไปใช้ได้ก็คือการออกกำลังกายหลาย
00:58:06 → 00:58:09 ครั้งค่ะการออกกำลังกายต่อให้น้ำหนักไม่
00:58:09 → 00:58:12 ลดลงแต่ไขมันพอกตับก็จะลดลงได้เพราะว่าจะ
00:58:12 → 00:58:15 เป็นการดึงเอาไขมันที่อยู่ในตับเนี่ยออก
00:58:15 → 00:58:18 มาใช้ฟังดูทั้งหมดบอกห้ามโน่นห้ามนี่มาก
00:58:18 → 00:58:21 มายเอ๊ะมันมีมยอาหารหรือวิตามินที่ช่วย
00:58:21 → 00:58:24 บำรุงตับหลักการง่ายๆก่อนอันแรกเลยก็คือ
00:58:24 → 00:58:26 ้าถ้าเรารู้ว่าตับเราอ่ะอยู่กับเราได้
00:58:26 → 00:58:29 อย่างยาวนานตับของเราอ่ะมีการซ่อมแซมตัว
00:58:29 → 00:58:33 เองได้หลักการข้อแรกเลยค่ะห้ามใส่อะไรที่
00:58:33 → 00:58:37 มันจะไปทำร้ายตับในกรณีของยาคุยกับคุณหมอ
00:58:37 → 00:58:42 ที่ดูแลว่ายาตัวเมันจำเป็นมากมนะคะถ้ายา
00:58:42 → 00:58:45 มันจำเป็นแล้วมีโอกาสใช้คำนี้นะมีโอกาส
00:58:45 → 00:58:48 ที่อาจจะทำให้มีปัญหากระตับสิ่งที่คุณหมอ
00:58:48 → 00:58:51 เขาจะทำก็คือเขาจะติดตามค่ะมอนิเตอร์หรือ
00:58:51 → 00:58:54 ว่าเจาะเลือดดูเป็นระยะว่าค่าตับเรามีการ
00:58:54 → 00:58:56 อักเสบหรือหรือเปล่ามีอะไรหรือเปล่าในขณะ
00:58:56 → 00:58:58 เดียวกันถ้ามันจำเป็นต้องใช้เราก็ต้องไป
00:58:58 → 00:59:01 ลดความเสี่ยงอื่นๆที่มันอาจจะทำให้ตับเรา
00:59:01 → 00:59:04 แย่เช่นเราจำเป็นต้องกินยาตัวนี้เพราะว่า
00:59:04 → 00:59:07 รักษาโรคเราแต่เราก็ไม่ควรจะไปดื่มเหล้า
00:59:07 → 00:59:09 เราก็ไม่ควรจะทำให้เราอ้วนเพื่อที่จะทำ
00:59:09 → 00:59:12 ให้ตับเราแย่ลงไปอีกอันนี้นึกภาพออกใช่
00:59:12 → 00:59:15 มั้ยคะแล้วทีนี้ในแง่ของอาหารที่จะช่วย
00:59:15 → 00:59:18 เนี่ยโดยหลักๆค่ะจะเป็นอาหารกลุ่มที่มี
00:59:18 → 00:59:21 เรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระเพราะเวลาที่
00:59:21 → 00:59:24 มันมีการบาดเจ็บหรือเวลาที่มันมีการทำ
00:59:24 → 00:59:27 ร้ายตับเนาะตรงนั้นเนี่ยอนุมูลอิสระมันจะ
00:59:27 → 00:59:29 เยอะขึ้นเพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะแนะนำก็
00:59:29 → 00:59:32 คืออาหารที่มันมีวิตามินเกลือแรเพียงพอ
00:59:32 → 00:59:34 แล้วก็จะเสริมในกลุ่มที่จะเป็นเรื่องของ
00:59:34 → 00:59:36 แอนติออกซิแดนท์หรือว่าสารต้านอนุมูล
00:59:36 → 00:59:40 อิสระอันแรกเลยก็จะมีคนพูดถึงกาแฟกาแฟเอง
00:59:40 → 00:59:42 เนี่ยก็มีรายงานเหมือนกันว่าช่วยในเรื่อง
00:59:42 → 00:59:46 ของไข่มันพอกตับแต่ๆๆเราพูดถึงกาแฟเราไม่
00:59:46 → 00:59:49 ได้พูดถึงกาแฟใส่นมหรือใส่น้ำตาลเพราะ
00:59:49 → 00:59:52 ฉะนั้นอันเนี้ยที่แนะนำคือเป็นกาแฟดำนะคะ
00:59:52 → 00:59:55 ไม่ใช่กาแฟที่เติมน้ำตาลเพราะว่าว่ากาแฟ
00:59:55 → 00:59:57 ที่เติมน้ำตาลหรือว่าเป็นเครื่องดื่มที่
00:59:57 → 01:00:00 ใส่นมข้นหรืออะไรพวกเยค่ะแคลอรีมันจะเยอะ
01:00:00 → 01:00:03 อันนี้จะยิ่งไปทำให้แขวนมันพอกตับเป็นมาก
01:00:03 → 01:00:05 ขึ้นชากาแฟก็จะมีทั้งคาเฟอีนแล้วก็จะมี
01:00:05 → 01:00:08 แอนติออกซิแดนท์บางตัวเพราะฉะนั้นชากาแฟ
01:00:08 → 01:00:10 เนี่ยไปด้วยกันได้เลยตัวที่ 2 เนี่ยก็จะ
01:00:10 → 01:00:13 เป็นกลุ่มที่เป็นพืชหรือว่าผักผลไม้ก็
01:00:13 → 01:00:16 แล้วแต่พวกเนี้ยจะมีอะไรบ้างมีไวตามินเอ
01:00:16 → 01:00:19 ค่ะในคนไข้โรคตับต้องบอกว่าไวตามิน a
01:00:19 → 01:00:22 เนี่ยเราจะสะสมแล้วเก็บเอาไว้ที่ตับถ้า
01:00:22 → 01:00:25 เมื่อไหร่ตับเราแย่ลงนะคะเซลล์ตับเราพัง
01:00:25 → 01:00:27 สิ่งที่เกิดขึ้นคือไวตามินเอเราจะดรอปลง
01:00:27 → 01:00:30 ด้วยเพฉะนั้นเนี่ยเอาจจะให้เรากินพวกที่
01:00:30 → 01:00:32 มันมีไวตามินเอเยอะขึ้นมีแอนติออกซิแดนท์
01:00:32 → 01:00:35 เยอะขึ้นอ่าแครอทอย่างเงี้ยใช้ได้หรือว่า
01:00:35 → 01:00:39 จะเป็นพวกของบล็อกโคลี่นะคะกะหล่ำปรี
01:00:39 → 01:00:42 องุ่นเมล็ดองุ่นนะคะพวกนี้เนี่ยจะช่วยใน
01:00:42 → 01:00:44 เรื่องของการให้สารที่มีเรื่องของ
01:00:44 → 01:00:47 แอนติออกซิแดนท์แล้วบางตัวอาจจะไปเพิ่ม
01:00:47 → 01:00:50 ตัวที่เราเรียกว่ากลูต้าไทโอนกลูต้าไทโอน
01:00:50 → 01:00:52 เมื่อกี้เราได้ยินแล้วเอ๊ะตัวนี้ทำให้มัน
01:00:52 → 01:00:54 ผิวขาวใช่มั้ยมันดีหรออะไรอย่างอย่าง
01:00:54 → 01:00:57 เงี้ยจริงๆแล้วตัวเนี้ยค่ะจะเป็นสารตัว
01:00:57 → 01:01:01 นึงที่เราเอาไว้ใช้เวลาที่คนไข้ทานยาที่
01:01:01 → 01:01:04 เราเรียกว่าพาราเซตามอลนะคะมากจนเกินขนาด
01:01:04 → 01:01:07 โดยทั่วไปเวลาที่เรากินพาราเซตามอลเนี่ย
01:01:07 → 01:01:09 พาราเซตามอลเนี่ยจะถูกทำลายที่ตับถ้า
01:01:09 → 01:01:12 พาราเซตามอลเรากินโดสเยอะเกินไปแล้วตับ
01:01:12 → 01:01:15 เราทำลายไม่ทันสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็จะทำ
01:01:15 → 01:01:18 ให้ตับเนี่ยมีการบาดเจ็บแล้วถ้ามันเยอะ
01:01:18 → 01:01:20 เกินไปหลังจากนั้นเนี่ยมันอาจจะทำให้เกิด
01:01:20 → 01:01:22 ภาวะที่เราเรียกว่าตับไววายได้ในช่วงต้น
01:01:22 → 01:01:25 ถ้ามาเร็วมาทันแล้วยาวมันเยอะเนี่ยเราจะ
01:01:25 → 01:01:29 มียาตัวนึงซึ่งจะไปทำให้ฤทธิ์ของยาพวกนี้
01:01:29 → 01:01:31 มันหมดฤทธิ์แล้วก็ช่วยป้องกันตับนะคะก็จะ
01:01:31 → 01:01:33 เป็นกลุ่มของกลูตาไทโอนเพราะฉะนั้นเนี่ย
01:01:33 → 01:01:35 เวลาที่เราไปกินอาหารที่มันมีพวกของ
01:01:35 → 01:01:38 กลูต้าไทโอนเยอะขึ้นมันก็อาจจะช่วยซ่อม
01:01:38 → 01:01:41 แซมหรือว่าช่วยบำรุงตับได้เช่นกันนะคะยก
01:01:41 → 01:01:43 ตัวอย่างเช่นกินกะหล่ำปรีพวกนี้หรือว่า
01:01:43 → 01:01:45 อาจจะเป็นพวกของบล็อกโคลี่บล็อกโคลี่ก็จะ
01:01:45 → 01:01:47 มีแอนติออกซิแดนท์ค่อนข้างเยอะอีกตัวนึง
01:01:47 → 01:01:49 ที่มาด้วยกันเวลาที่เราดูผลไม้เราจะเห็น
01:01:49 → 01:01:52 ตลอดเวลาก็คือกลุ่มที่เป็นเบอร์รี่
01:01:52 → 01:01:54 เบอร์รี่นอกจากจะมีพวกของแอนตี้ออกซิอิน
01:01:54 → 01:01:56 แล้วเนี่ยก็จะมีพวกที่เป็นอนุพันธ์ของ
01:01:56 → 01:01:59 ไวตามินเอซึ่งพวกนี้ก็จะช่วยในเรื่องของ
01:01:59 → 01:02:01 เป็นแอนติออกซิแดนท์แล้วก็ช่วยในเรื่อง
01:02:01 → 01:02:04 ของการทำงานที่ตับแล้วก็ช่วยในส่วนที่จะ
01:02:04 → 01:02:08 ลดการบาดเจ็บที่ตับได้ด้วยในส่วนของการ
01:02:08 → 01:02:10 เลือกเนาะถ้าเป็นน้ำมันเมื่อกี้เราบอก
01:02:10 → 01:02:12 แล้วว่าน้ำมันที่น้ำมันไขมันอิ่มตัวหรือ
01:02:12 → 01:02:15 ว่าน้ำมันที่มันเป็นไข่เป็นก้อนเราไม่ชอบ
01:02:15 → 01:02:17 เราก็มาเลือกน้ำมันที่ไม่อิ่มตัวหรือว่า
01:02:17 → 01:02:19 เป็นกลุ่มของน้ำมันมะกอกนะคะช่วยลดเรื่อง
01:02:19 → 01:02:22 ของความดื้ออินซูลินนะคะอันนี้ก็จะช่วยทำ
01:02:22 → 01:02:24 ให้ตับเนี่ยทำงานได้ดีขึ้นนะคะเลือก
01:02:24 → 01:02:27 คาร์โบไฮเดรตที่เป็นพวกของถั่วพวกของ
01:02:27 → 01:02:29 ธัญพืชแต่ต้องระวังนิดนึงถ้าจะใช้ถั่ว
01:02:29 → 01:02:33 เนาะควรจะกินถั่วที่ใหม่ๆนะคะอาจจะคั่ว
01:02:33 → 01:02:35 หรืออบเองที่ไม่ได้แบบเป็นถั่วบดซึ่งเรา
01:02:35 → 01:02:38 มองไม่ออกเลยว่ามันจะมีเชื้อราวปนอยู่
01:02:38 → 01:02:40 หรือเปล่าถ้ามีเชื้อราวไม่ต้องเสียดาย
01:02:40 → 01:02:42 ทิ้งไปเลยพวกถั่วพวกนี้ควรจะกินซื้อมา
01:02:42 → 01:02:45 ปริมาณน้อยๆแล้วก็อบกินทีละนิดเดียวเพราะ
01:02:45 → 01:02:48 ว่าถือว่าเป็นสารที่มีน้ำมันค่อนข้างเยอะ
01:02:48 → 01:02:51 ทิ้งเอาไว้แล้วมันจะเกิดภาวะหืนได้ค่อน
01:02:51 → 01:02:53 ข้างง่ายบางทีเราเก็บถั่วไว้สักพักนึงเรา
01:02:53 → 01:02:55 จะรู้สึกว่ามันมีกลิ่นแล้วมันหืนละอันนี้
01:02:55 → 01:02:58 ก็คือกรดไขมันที่มีอยู่ในถั่วทำปฏิกิริยา
01:02:58 → 01:03:01 กับออกซิเจนในอากาศนะคะอันนี้ถ้าสมมุติ
01:03:01 → 01:03:03 ว่าจะแก้ไขอันแรกลองไปอบซ้ำดูอีกทีนึง
01:03:03 → 01:03:05 เพื่อไล่อากาศถ้ามันช่วยไม่ได้ก็ทิ้งไป
01:03:05 → 01:03:08 เถอะค่ะแล้วก็สุดท้ายค่ะเราจะไปลดการ
01:03:08 → 01:03:11 อักเสบได้ยังไงก็จะเป็นพวกของโอเมก้า 3
01:03:11 → 01:03:14 นะคะซึ่งมีอยู่ในปลาที่มีน้ำมันเยอะๆไม่
01:03:14 → 01:03:17 จำเป็นว่าจะต้องเป็นปลาทะเลน้ำลึกปลาน้ำ
01:03:17 → 01:03:19 จืดบ้านเราก็ถือว่ามีโอเมก้า 3 หรือว่ามี
01:03:19 → 01:03:22 ฟิช Oil เรากินพวกนี้ได้ถามว่าปริมาณที่
01:03:22 → 01:03:25 ควรกินก็ปลาประมาณ 1 ฝ่ามืออาจจะบวกไปอีก
01:03:25 → 01:03:27 สักข้อนิ้วนึงอันนี้เรากินสักประมาณ
01:03:27 → 01:03:30 อาทิตย์ละ 2 ครั้งอันนี้ก็จะช่วยทำให้เรา
01:03:30 → 01:03:33 ได้รับพวกของฟิ Oil เพียงพอ
01:03:33 → 01:03:36 [เพลง]
01:03:36 → 01:03:39 ค่ะอันสุดท้ายนะคะที่เราจะคุยกันก็คือเรา
01:03:39 → 01:03:42 จะเห็นโดยภาพรวมในอินเทอร์เน็ตหรือว่าคำ
01:03:42 → 01:03:44 บอกกล่าวเนาะไม่ว่าจะส่งต่อมาใน LINE
01:03:44 → 01:03:46 หรืออะไรก็ตามคำโฆษณาชวนเชื่อบอกว่า
01:03:46 → 01:03:49 วิตามินอันนี้เป็นวิตามินบำรุงตับทั้งแบบ
01:03:49 → 01:03:51 ที่ฉีดและแบบที่กินเหมือนที่บอกเมื่อสัก
01:03:51 → 01:03:54 ครู่อ่ะค่ะอันนึงเลยที่อาจจะต้องระวังก็
01:03:54 → 01:03:56 คือก็คือการฉีดวิตามินเนี่ยมันก็จะทำให้
01:03:56 → 01:04:00 เราได้รับวิตามินในปริมาณที่ค่อนข้างสูง
01:04:00 → 01:04:02 ถ้าเราไปดูแล้วเราสามารถที่จะมีความรู้
01:04:02 → 01:04:05 หรือขอเค้าดูได้ว่าวิตามินที่จะฉีดนี่คือ
01:04:05 → 01:04:07 อะไรนะคะส่วนใหญ่ที่เขาจะผสมให้ก็คือ
01:04:07 → 01:04:10 ไวตามินซีไวตามิน E ซึ่งอันนี้จะเป็นอะไร
01:04:10 → 01:04:12 คะมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนท์หรือว่า
01:04:12 → 01:04:14 สารต้านอนุมูลอิสระอาจจะเพิ่มไวตามิน
01:04:14 → 01:04:18 บีบอยเพราะว่าไวตามินบเนี่ยเป็นตัวช่วย
01:04:18 → 01:04:21 ที่สำคัญในแง่ของการเผาผลานสารอาหารทั้ง
01:04:21 → 01:04:23 หลายซึ่งเมื่อกี้บอกไปแล้วว่าตับมีหน้า
01:04:23 → 01:04:25 ที่หลักในการจัดการเรื่องของสารอาหารใช่
01:04:25 → 01:04:28 มั้ยคะอีกตัวนึงอาจจะเพิ่มในตัวของกลูตา
01:04:28 → 01:04:31 ไทโอนเข้าไปหรือว่าใส่อะมิโนแอซิดหรือใส่
01:04:31 → 01:04:33 เพปไทด์บางอย่างเข้าไปอันนี้ก็จะบอกว่า
01:04:33 → 01:04:36 แล้วมาเคลมเนาะว่าอันเนี้ยจะช่วยเรื่อง
01:04:36 → 01:04:39 ตับอันนึงเลยคือไวตามิน a ระวังนะคะใน
01:04:39 → 01:04:42 กรณีของไวตามินเอเองเนี่ยจริงๆแล้วในคน
01:04:42 → 01:04:45 ไข้โรคตับไวตามินเออาจจะต่ำเพราะฉะนั้น
01:04:45 → 01:04:48 เนี่ยเติมไวตามินเอได้แต่ในบางรายที่กิน
01:04:48 → 01:04:51 ไวตามินเอในโดสที่เยอะๆหรือเมกาโดสเนี่ย
01:04:51 → 01:04:53 นะคะสิ่งที่เกิดขึ้นเา้าเรียกภาวะเป็นพิษ
01:04:53 → 01:04:55 จากไวตามินเอหรือกินมากเกินไปสิ่งที่จะ
01:04:55 → 01:04:58 เกิดขึ้นก็คือจะทำให้ตับอักเสบได้อาจจะทำ
01:04:58 → 01:05:01 ให้เกิดผังผืดที่ตับได้เพราะฉะนั้นจริงๆ
01:05:01 → 01:05:03 แล้วเนี่ยไวตามินเอในโดสต่ำๆหรือว่า
01:05:04 → 01:05:07 ไวตามินเอที่ขาดอันนี้ก็จะเกิดในคนแค่โรค
01:05:07 → 01:05:10 ตับได้แต่ว่าไวตามินเอที่เยอะจนเกินไปก็
01:05:10 → 01:05:12 ทำร้ายตับได้เหมือนกันเพราะฉะนั้นเวลา
01:05:12 → 01:05:15 ไวตามินเอจะใช้เนี่อาจจะต้องใช้ด้วยความ
01:05:15 → 01:05:18 ระมัดระวังถามว่าปริมาณเท่าไหร่อาจจะตอบ
01:05:18 → 01:05:21 ยากนิดนึงแต่ว่าในคำแนะนำเราจะบอกว่า
01:05:21 → 01:05:24 ไวตามิน a เนี่ยควรใช้ไม่เกินประมาณ 5,000
01:05:24 → 01:05:26 I แต่ถ้าใครที่เจาะเลือดแล้วบอกว่า
01:05:26 → 01:05:29 ไวตามิน a ต่ำอันนี้คุณหมอจะสั่งการรักษา
01:05:29 → 01:05:31 คือจะให้มากกว่านั้นเพราะฉะนั้นจริงๆถ้า
01:05:31 → 01:05:34 เป็นคนทั่วไปไม่ได้แนะนำว่าจะต้องไปเสริม
01:05:34 → 01:05:37 ไวตามินเอทีละเยอะๆนะคะเพราะอาจจะมี
01:05:37 → 01:05:39 อันตรายตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือคนไข้ที่
01:05:39 → 01:05:42 รักษาสิวใครเคยรักษาสิวบ้างก็จะมียาใช่
01:05:42 → 01:05:45 มั้ยคะที่จะให้กินเพื่อรักษาสิวเนาะที่จะ
01:05:45 → 01:05:48 ทำให้หน้ามันแห้งๆหน่อยนะคะกินแล้วปากจะ
01:05:48 → 01:05:50 แห้งๆหน่อยกลุ่มนี้จะเป็นเค้าเรียกว่า
01:05:50 → 01:05:53 เป็นอนุพันธ์ของไวตามินเอกินมากเกินไปบาง
01:05:53 → 01:05:56 ทีคุณหมอจะต้องตรวจเรื่องของระดับค่าตับ
01:05:56 → 01:05:59 เป็นระยะๆะเพราะว่าตัวนี้อาจจะมีผลกระตับ
01:05:59 → 01:06:02 ได้ดังนั้นไวตามินเอหรือว่าไวตามินทุทั่ว
01:06:02 → 01:06:05 ไปไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย 100% การกิน
01:06:05 → 01:06:08 วิตามินหรือว่าการฉีดวิตามินในปริมาณที่
01:06:08 → 01:06:11 มากเกินไปก็อาจจะเกิดผลเสียได้แล้วอวัยวะ
01:06:11 → 01:06:15 ที่จะรับผลกระทบในตอนแรกก็มักจะเป็นตับ
01:06:15 → 01:06:18 เพราะว่าเราใส่อะไรเข้าไปตับเรามีหน้าที่
01:06:18 → 01:06:20 ทำให้มันหมดฤทธิ์หรือทำให้มันออกฤทธิ์
01:06:20 → 01:06:23 เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากกลุ่มวิตามินที่ฉีด
01:06:23 → 01:06:25 หรือกินที่เราบอกนะคะว่าที่เราจะต้อง
01:06:25 → 01:06:27 ระวังแล้วเนี่ยมันก็จะมีอีกอันนึงเมื่อ
01:06:27 → 01:06:30 กี้เราพูดกันก็คือกลุ่มของกลูต้าใช่มั้ย
01:06:30 → 01:06:32 คะหลายคนก็จะบอกว่าเอ้ยถ้าฟังดูแล้วเนี่ย
01:06:32 → 01:06:35 เราไปฉีดกลูต้าจะช่วยทำให้ตับเราดีขึ้นไม
01:06:35 → 01:06:38 ต้องบอกว่างี้ค่ะในกรณีของกลูต้าเนี่ยถ้า
01:06:38 → 01:06:40 ตับไม่ได้มีปัญหาอะไรฉีดไปเนี่ยเดี๋ยวสัก
01:06:40 → 01:06:43 ผ้ามันก็หมดฤทธิ์เนาะที่อันตรายมากที่สุด
01:06:43 → 01:06:45 ก็คือเรากลัวภาวะที่เราเรียกว่าแพ้กลูต้า
01:06:45 → 01:06:47 เนาะมันอาจจะทำให้เกิดเค้าเรียกอนาไฟ
01:06:47 → 01:06:50 laxis อ่ะค่ะที่หายใจไม่ทันนะคะหรือว่า
01:06:50 → 01:06:53 อาจจะทำให้ความดันเลือดตกลงแล้วอาจจะเสีย
01:06:53 → 01:06:55 ชีวิตได้เลยเพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่
01:06:55 → 01:06:59 ต้องถ้าจะเอาพวกนี้เอาจากไหนจริงๆจากการ
01:06:59 → 01:07:00 กินน่ะค่ะนอกเหนือจากเราจะได้สารพวกนี้
01:07:00 → 01:07:03 ได้แอนติออกซิแดนท์ได้ไฟเบอร์เนาะ
01:07:03 → 01:07:06 อันเนี้ยจะช่วยในเรื่องของการทำงานของลำ
01:07:06 → 01:07:08 ไส้ช่วยในเรื่องของการทำงานแบคทีเรียแล้ว
01:07:08 → 01:07:11 ก็ยังช่วยส่งผลดีกับตับในภาพรวมได้อีก
01:07:11 → 01:07:13 เพราะฉะนั้นเราเปลี่ยนจากของพวกเนี้ยที่
01:07:13 → 01:07:15 เราจะต้องจ่ายตังค์แพงๆไปเลือกอาหารที่ดี
01:07:15 → 01:07:18 หรือว่าให้ได้รับสารอาหารที่ใกล้เคียงกัน
01:07:18 → 01:07:21 อันนี้น่าจะดีกว่าอันสุดท้ายจะชอบมีคนพูด
01:07:21 → 01:07:24 ถึงเรื่องของสมุนไพรต้องบอกอย่างนี้นะคะ
01:07:24 → 01:07:27 สมุนไพรเนี่ยโดยทั่วไปเาใช้หลักการคล้ายๆ
01:07:27 → 01:07:30 กันเลยก็คือว่าสารออกฤทธิ์ที่อยู่ใน
01:07:30 → 01:07:33 สมุนไพรเนี่ยเราไปศึกษาอยู่ในสัตว์ทดลอง
01:07:33 → 01:07:35 หรือว่าอยู่ในหลอดทดลองแล้วบอกว่ามี
01:07:35 → 01:07:38 คุณสมบัติไม่ว่าจะเป็นแอนติออกซินหรือว่า
01:07:38 → 01:07:40 จะมีคุณสมบัติในแง่ของการลดการอักเสบ
01:07:40 → 01:07:43 อย่างไรก็ตามเราไม่รู้โดสที่เหมาะสมที่
01:07:43 → 01:07:48 แน่ชัดสำหรับการใช้ในคนข้อมูลอันนึงก็คือ
01:07:48 → 01:07:51 ว่าสมุนไพรในโดสต่ำๆอาจจะไม่ได้ประโยชน์
01:07:51 → 01:07:53 สมุนไพรในโดสตรงกลางหรือโดสที่เหมาะสมอัน
01:07:53 → 01:07:55 นี้จะช่วยลดเรื่องของการอักเสบช่วยทำให้
01:07:55 → 01:07:59 ตับดีขึ้นแต่ถ้ามันมากเกินไปอันนี้มันอาจ
01:07:59 → 01:08:02 จะทำร้ายตับคำถามคือโดสที่เหมาะสมอยู่ตรง
01:08:02 → 01:08:05 ไหนอันเนี้ยค่ะมันยังไม่มีข้อมูลที่ทำใน
01:08:05 → 01:08:08 คนมากสักเท่าไหร่นักเพราะฉะนั้นเนี่ยยัง
01:08:08 → 01:08:11 ไม่ได้มีคำแนะนำในเรื่องของการใช้สมุนไพร
01:08:11 → 01:08:14 ที่เป็นแคปซูลเป็นเม็ดเพื่อจะช่วยบำรุง
01:08:14 → 01:08:17 รักษาตับแต่ถ้าเรารู้ว่าสมุนไพรเนี่ยมัน
01:08:17 → 01:08:20 มีสารตัวเนี้ยแล้วเราไปเอามาใช้ในเรื่อง
01:08:20 → 01:08:23 ของการประกอบอาหารใช้ในสัดส่วนที่เรากิน
01:08:23 → 01:08:26 ตามปปกติอันเนี้ยมันจะไม่เกิดภาวะเป็นพิษ
01:08:26 → 01:08:28 แน่นอนแล้วเราก็จะได้รับสารอาหารหรือว่า
01:08:28 → 01:08:31 ได้รับสารตัวที่มันช่วยในเรื่องของสุขภาพ
01:08:31 → 01:08:34 ด้วยฉั้นในส่วนของสมุนไพรถ้ามันมีข้อมูล
01:08:34 → 01:08:37 ว่ามันช่วยแนะนำว่าเอามาใช้ในการที่จะ
01:08:37 → 01:08:39 เป็นส่วนหนึงของการประกอบอาหารอันนี้น่า
01:08:39 → 01:08:42 จะดีกว่าไม่เพียงแค่นั้นค่ะบางทีเวลาที่
01:08:42 → 01:08:44 เขาเอามาใส่แคปซูลให้เราอ่ะค่ะหลายครั้ง
01:08:44 → 01:08:47 หลายทีเนี่ยเราไม่รู้เลยว่ามันจะมีสารปน
01:08:47 → 01:08:50 เปื้อนหรือสารอะไรอย่างอื่นหรือเปล่าแล้ว
01:08:50 → 01:08:53 มันจะยิ่งทำให้เราเนี่ยหรือตับเราเนี่ยทำ
01:08:53 → 01:08:55 งานงานหนักขึ้นเพราะฉะนั้นถ้าสมมุติเรา
01:08:55 → 01:08:58 อยากจะเซฟตับแค่เราไม่ต้องใส่อะไรที่ทำ
01:08:58 → 01:09:00 ให้ตับเราทำงานหนักขึ้นแล้วเราก็ไม่ต้อง
01:09:01 → 01:09:03 เปรืองเงินด้วยอันนี้น่าจะดีที่สุดค่ะโดย
01:09:03 → 01:09:05 สรุปนะคะวันนี้เราคุยกันเรื่องของอาหาร
01:09:05 → 01:09:08 บำรุงตับแต่จริงๆแล้วเราก็จะพูดว่าในส่วน
01:09:08 → 01:09:11 ของโรคตับมีอะไรบ้างเราจะสังเกตได้ยังไง
01:09:11 → 01:09:13 หลักการวันนี้ที่อยากจะให้ทุกท่านได้ไปก็
01:09:13 → 01:09:16 คือว่าตับเราเนี่ยจริงๆมันดีอยู่แล้วแล้ว
01:09:16 → 01:09:20 จะดีที่สุดถ้าเราไม่พยายามใส่อะไรที่ไม่
01:09:20 → 01:09:23 จำเป็นให้ตับเราต้องทำงานหนักขึ้นและที่
01:09:23 → 01:09:26 สำคัญถ้าสมมุติว่าเราจะอยากได้อาหารอะไร
01:09:26 → 01:09:29 ที่จะไปบำรุงตับเราควรจะเลือกจากที่เป็น
01:09:29 → 01:09:31 อาหารการที่เราใช้วิตามินไม่ว่าจะเสริม
01:09:31 → 01:09:35 ด้วยการกินหรือเสริมด้วยการฉีดมากเกินไป
01:09:35 → 01:09:37 ไม่ได้หมายความว่ามันจะปลอดภัยวิตามินไม่
01:09:37 → 01:09:39 ได้เท่ากับคำว่าปลอดภัยหรือไม่ได้เท่ากับ
01:09:39 → 01:09:42 คำว่าไม่เป็นอันตรายอะไรที่มากเกินไปก็
01:09:42 → 01:09:45 อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับร่างกายแล้วทุก
01:09:45 → 01:09:47 อย่างที่เราใส่เข้าไปหมายความว่าเรากำลัง
01:09:47 → 01:09:50 ตั้งใจทำให้ตับเราเนี่ยทำงานหนักขึ้น
01:09:50 → 01:09:52 เพราะฉะนั้นถ้าสมมุติทุกท่านกังวลว่าเอ๊ะ
01:09:52 → 01:09:54 ตอนนี้ฉันกินยาเยอะไปหรือหรือเปล่าตับฉัน
01:09:54 → 01:09:57 มีปัญหาหรือเปล่าถามตัวเองนิดเดียวว่าเรา
01:09:57 → 01:10:00 จำเป็นต้องกินมถ้าเราไม่จำเป็นต้องกินเรา
01:10:00 → 01:10:03 จะไม่ทำให้ตับเราเนี่ยทำงานมากขึ้นแล้ว
01:10:03 → 01:10:05 เราก็จะไม่ไปเสียตังค์ด้วยของที่ไม่
01:10:05 → 01:10:08 จำเป็น
01:10:08 → 01:10:11 ค่ะสำหรับวันนี้นะคะเราก็จะมาคุยกันใน
01:10:11 → 01:10:14 เรื่องของเทรนด์อาหารควบคุมน้ำหนักค่ะวัน
01:10:14 → 01:10:17 นี้นะคะเราจะมาคุยกันก่อนว่าหลักการที่
01:10:17 → 01:10:19 ถูกต้องสำหรับการควบคุมน้ำหนักคืออะไร
01:10:19 → 01:10:22 แล้วหลังจากนั้นเนี่ยเราก็จะเข้าไปสู่
01:10:22 → 01:10:24 อาหารที่เราได้ยินกันแบบบๆเราอาจจะเคยได้
01:10:24 → 01:10:27 ยินมาเยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็นไม่กิน
01:10:27 → 01:10:31 ข้าวเย็นนะคะ law Food No ขาบนะคะหรือ
01:10:31 → 01:10:34 ว่าจะเป็นเรื่องของการกินเนื้ออย่างเดียว
01:10:34 → 01:10:37 การล้วงคอนะคะสารพัดอย่างที่เราเจอใน
01:10:37 → 01:10:39 อินเทอร์เน็ตสำหรับ 5 เรื่องที่เราจะคุย
01:10:39 → 01:10:41 กันจะเป็นเรื่องที่อาจจะมีคนพูดถึงกัน
01:10:41 → 01:10:44 บ่อยๆแล้วมาดูกันว่ามีข้อดีข้อเสียหรือมี
01:10:44 → 01:10:46 ข้อมูลยังไงว่ามันจะได้ประโยชน์หรือเปล่า
01:10:46 → 01:10:48 5 อันที่เราจะคุยกันก็จะมีตั้งแต่
01:10:48 → 01:10:50 intermittent fasting นะคะหรือบางคนจะ
01:10:51 → 01:10:53 เรียกว่า If มีบางคนเรียก If ด้วยซ้ำไป
01:10:53 → 01:10:56 อันที่ 2 ก็จะเป็น ketogenic Diet หรือ
01:10:56 → 01:10:59 ว่าอาหารคีโตอันที่ 3 จะเป็น Blood type
01:10:59 → 01:11:02 Diet กินอาหารตามหมูเลือดนะคะอันที่ 4
01:11:02 → 01:11:05 ก็จะเป็นเรื่องของ vegetarian หรืออาหาร
01:11:05 → 01:11:07 มังสวิรัตแล้วก็สุดท้ายที่เราจะคุยกันก็
01:11:07 → 01:11:10 คือ mediterranean Diet ค่ะในแง่ของหลัก
01:11:10 → 01:11:12 การในการควบคุมน้ำหนักนะคะอันนี้ทุกคน
01:11:12 → 01:11:15 ทราบก็จะชอบบอกว่าให้กินน้อยๆให้ออกกำลัง
01:11:15 → 01:11:18 กายเยอะๆโดยทั่วไปอย่างนี้ค่ะเวลาที่เรา
01:11:18 → 01:11:20 จะอ้วนขึ้นอันนี้เราเราพูดถึงอ้วนก่อน
01:11:20 → 01:11:22 เนาะเวลาที่อ้วนเนี่ยเราจะพูดถึงไขมัน
01:11:22 → 01:11:24 เวลาที่น้ำหนักเปลี่ยนแปลงไปเนี่ยถ้าเรา
01:11:24 → 01:11:26 บวมขึ้นอันเนี้ยน้ำหนักก็จะขึ้นเร็ว
01:11:26 → 01:11:28 เหมือนกันแต่วันเนี้ที่เราจะคุยกันก็คือ
01:11:29 → 01:11:31 เรื่องอ้วนนะคะการออกกำลังกายก็คือเป็น
01:11:31 → 01:11:34 การเพิ่มการเผาผลาญในขณะเดียวกันถ้าเราลด
01:11:34 → 01:11:37 อาหารที่เข้าไปด้วยก็คือหมายความว่าลด
01:11:37 → 01:11:39 ปริมาณอาหารที่จะเข้าไปเมื่ออาหารที่มัน
01:11:39 → 01:11:42 ลดลงร่างกายมีการเผาผลาญเพิ่มขึ้นเขาก็จะ
01:11:42 → 01:11:45 เอาของที่มีสะสมอยู่ซึ่งก็คือไขมันนั่น
01:11:45 → 01:11:49 เองเอาไปใช้แล้วเราก็จะผอมลงการลดน้ำหนัก
01:11:49 → 01:11:51 ที่เหมาะสมอะนะคะควรจะอยู่ที่ประมาณ 0.5
01:11:51 → 01:11:55 -1 กลต่อสัปดาห์แต่ว่าหลายๆรายก็อยากจะ
01:11:55 → 01:11:58 แบบลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นงาน
01:11:58 → 01:12:00 รับปริญญาจะไปงานแต่งงานหรืออะไรก็แล้ว
01:12:00 → 01:12:04 แต่ดังนั้นเนี่ยก็จะมีอาหารสูตรสารพัด
01:12:04 → 01:12:06 อย่างเลยในอินเทอร์เน็ตเราจะเรียกกลุ่ม
01:12:06 → 01:12:08 นี้รวมๆว่าเป็นกลุ่มที่เป็น fash Diet
01:12:08 → 01:12:11 หรือเป็นอาหารตามแฟชั่นอันนี้อยากจะลด
01:12:11 → 01:12:14 ระยะเวลาสั้นๆเช่นอุยอีกไม่กี่วันอีกไม่
01:12:14 → 01:12:16 กี่เดือนฉันจะลดน้ำหนักละเราก็จะได้ยิน
01:12:16 → 01:12:19 ตั้งแต่อดไม่กินอะไรเลยอ่าไม่กินมื้อเย็น
01:12:19 → 01:12:22 ไม่กินแป้งอะไรอย่าเงี้ยค่ะแล้วก็จะเคลม
01:12:22 → 01:12:24 ว่าสามารถที่ที่จะลดน้ำหนักได้อย่างรวด
01:12:25 → 01:12:27 เร็วดังนั้นวันนี้เดี๋ยวเรามาดูกันว่า
01:12:27 → 01:12:29 อาหารที่เราได้ยินบ่อยๆเนี่ยมันมีข้อดี
01:12:29 → 01:12:33 ข้อเสียยังไงมันทำได้หรือเปล่านะ
01:12:33 → 01:12:36 [เพลง]
01:12:36 → 01:12:40 คะเรามาเริ่มกันที่อันแรกนะคะก็คือเรื่อง
01:12:40 → 01:12:42 ของ intermittent fasting หรือว่าคนจะ
01:12:42 → 01:12:45 เรียกว่าเป็น If นะคะ If หรือ
01:12:45 → 01:12:46 intermittent fasting เนี่ยชื่อมันก็
01:12:46 → 01:12:50 บอกอยู่แล้วว่าให้อดเป็นช่วงๆเป็นพักๆมัน
01:12:50 → 01:12:53 มีอยู่ 2 กลุ่มนะคะเราแยกเป็น 2 อันอัน
01:12:53 → 01:12:55 แรกแรกหมายความว่าเราอดเป็นพักๆเนี่ยเรา
01:12:55 → 01:12:58 อดทุกวันเพราะฉะนั้นในทุกๆวันเนี่ยจะมี
01:12:58 → 01:13:00 การกำหนดระยะเวลาว่าเราจะกินได้กี่
01:13:00 → 01:13:03 ชั่วโมงแล้วเราจะอดได้กี่ชั่วโมงสูตรที่
01:13:03 → 01:13:06 เราได้ยินบ่อยๆก็คือ 168 เวลาที่เขาจะให้
01:13:06 → 01:13:09 กินเนี่ยเขาจะให้กินแค่ 8 ชมงอย่าผิดนะคะ
01:13:09 → 01:13:11 เดี๋ยวบางคนบอกว่าไปกิน 16 ชมอันนี้ก็จะ
01:13:11 → 01:13:15 ไม่ผอมเนอะอ่านอกจาก 168 บางคนก็จะแบบพอ
01:13:15 → 01:13:18 เริ่มต้นทำ 16-8 แล้วเนี่ยเก่งขึ้นก็อาจ
01:13:18 → 01:13:22 จะเพิ่มเวลาขึ้นไปอาจจะเหลือ 204 ระยะ
01:13:22 → 01:13:25 เวลาการกินก็จะสั้นลงทีนี้โดยหลักการก่อน
01:13:25 → 01:13:30 อันนี้คือกินทุกวันแล้วก็อดทุกวันแบบที่ 2
01:13:30 → 01:13:33 ก็คือจะเป็นกลุ่มที่ในอาทิตย์นึงเราจะมี
01:13:33 → 01:13:36 วันที่กินกับวันที่ไม่กินเา้าก็จะเจอบ่อย
01:13:36 → 01:13:39 ๆก็จะเขียนว่าเป็น 52 52 คืออะไรหมาย
01:13:39 → 01:13:42 ความว่าเรากินเนี่ย 5 วันอีก 2 วันคือวัน
01:13:42 → 01:13:45 ที่เราอดแล้วก็อีกแบบนึงก็คือเขาจะเรียก
01:13:45 → 01:13:47 ว่าเป็น Alternate Day fasting ก็คือ
01:13:47 → 01:13:50 วันนี้กินพรุ่งนี้อดวันนี้กินพรุ่งนี้อด
01:13:50 → 01:13:54 สลับกันไปนะคะไม่ว่าจะยังยังไงก็ตามหลัก
01:13:54 → 01:13:57 การที่จะทำให้เรากินน้อยๆหรือล่นระยะเวลา
01:13:57 → 01:14:00 การกินเนี่ยมันจะทำให้ในแต่ละวันหรือใน
01:14:00 → 01:14:03 แต่ละสัปดาห์เนี่ยเรากินน้อยลงคุณหมอยก
01:14:03 → 01:14:05 ตัวอย่างให้ดูนะคะถ้าสมมุติว่าวันนึง
01:14:05 → 01:14:08 เนี่ยเรากินอาหาร 3 มื้อถ้าเราเหลือเวลา
01:14:08 → 01:14:11 กินแค่ 8 ช่มมันก็เหมือนกับเรากินได้แค่ 2
01:14:11 → 01:14:14 มื้อมันเท่ากับว่าเราหายไปแล้ว 1 มื้อถูก
01:14:14 → 01:14:16 มยคะอันนี้คือหลักการของการที่จะให้คุม
01:14:16 → 01:14:20 อาหารลดลงไป 30% เท่านั้นเองอันที่ 2
01:14:20 → 01:14:23 สมมุติเรามี 7 วันแล้วกินได้แค่ 5 วัน
01:14:23 → 01:14:27 แต่เราหายไปแล้ว 2 วัน 2 วันใน 7 วันมัน
01:14:27 → 01:14:30 ก็คือการลดอาหาร 30% นั่นเองจริงๆมันเป็น
01:14:30 → 01:14:33 แค่กฎกติกามารยาทเพื่อให้เราเนี่ยคุม
01:14:33 → 01:14:37 อาหารได้โดยการใช้เวลาเป็นตัวตั้งการทำ If
01:14:37 → 01:14:40 ไม่เคยบอกว่าจะต้องกินอาหารแบบไหน If ไม่
01:14:41 → 01:14:43 เคยบอกว่าจะต้องกินอาหารข้าวต่ำเอ่อไม่มี
01:14:44 → 01:14:47 ข้าวไขมันต่ำไม่มีเลย If กำหนดแค่ระยะ
01:14:47 → 01:14:50 เวลาแล้วการกำหนดระยะเวลาก็ทำให้ระยะเวลา
01:14:50 → 01:14:53 ของการกินน้อยลงเราก็จะกินน้อยลงโดยปริ
01:14:53 → 01:14:56 ยายสิ่งที่เป็นกับดักสำคัญสำหรับ If ก็
01:14:56 → 01:14:59 คือว่าทุกคนจะชอบบอกว่าระยะเวลาที่กิน
01:14:59 → 01:15:03 เนี่ยเช่นให้กิน 8 ช่วโมงกินอะไรก็ได้ฉัน
01:15:03 → 01:15:06 ไปกินบุฟเฟ่ต์มัน 3 ชั่วโมงกินเท่าไหร่ก็
01:15:06 → 01:15:09 ได้จริงๆแล้วไม่ใช่นะคะคนที่จะทำไอเนี่ย
01:15:09 → 01:15:12 สิ่งที่เขาบอกเนี่ยถ้าเป็นภาษาอังกฤษเขา
01:15:12 → 01:15:14 จะเขียนว่ากินได้ตามที่ต้องการหรือว่ากิน
01:15:14 → 01:15:17 ได้เหมือนเดิมเพราะฉะนั้นมันเหมือนกับว่า
01:15:17 → 01:15:19 คุณไม่ต้องไปหลีกเลี่ยงไม่ต้องไปลดอะไรใน
01:15:19 → 01:15:22 ช่วงเวลาที่กินก็คือกินเท่าเดิมแต่ไม่ใช่
01:15:22 → 01:15:26 ว่ากินอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจไม่ใช่ว่ากิน
01:15:26 → 01:15:29 แบบไม่มีลิมิตอันนี้ก็จะไม่ผอมนะคะอันนี้
01:15:29 → 01:15:31 คือส่วนนึงที่จะทำให้มีปัญหาสำหรับการทำ
01:15:31 → 01:15:33 If งั้นเดี๋ยววันนี้เราจะมาดูกันนะคะว่า
01:15:33 → 01:15:36 เวลาคนที่เขาอยากจะเริ่มทำ If เนี่ยเขาทำ
01:15:36 → 01:15:39 กันยังไงวันนี้จะยกตัวอย่างหรือแสดงให้ดู
01:15:39 → 01:15:41 แค่ 2 แบบก็คืออันที่เราเรียกว่า 168 กับ
01:15:41 → 01:15:45 52 ซึ่งจะเป็นตัวอย่างของการอดทุกวันกับ
01:15:45 → 01:15:49 อดแค่บางวันในแต่ละสัปดาห์เริ่มจาก 16-8
01:15:49 → 01:15:52 ก่อนเขาจะให้เรากินเนี่ย 8 ชมงนะคะจริงๆ
01:15:52 → 01:15:54 16-8 เนี่ยเนี่ยจะไม่มีใครกำหนดว่าเราจะ
01:15:54 → 01:15:57 งดมื้อไหนรู้แค่ว่าคุณเริ่มกินเมื่อไหร่
01:15:57 → 01:16:00 ก็ตามคุณนับเวลากินของคุณไปอีก 8 ชมแล้ว
01:16:00 → 01:16:03 คุณก็หยุดกินยกตัวอย่างเช่นตื่นมา 6:00 น
01:16:03 → 01:16:06 กินข้าวตอน 7:00 นเราจะสามารถกินอาหารไป
01:16:06 → 01:16:10 ได้จนถึงมื้อสุดท้ายตอน 15:00 นหลัง 14:00
01:16:10 → 01:16:12 นจะไม่มีมื้ออาหารแล้วถามว่าอ้าวไม่กิน
01:16:12 → 01:16:15 อะไรเลยหรอได้ค่ะแต่จะต้องเป็นของที่ไม่
01:16:15 → 01:16:19 มีแคลอรีดื่มน้ำได้นะคะหรือบางคนเนี่ยจะ
01:16:19 → 01:16:21 ใช้เป็นชากาแฟก็ได้แต่ว่าจะต้องเป็นชา
01:16:21 → 01:16:24 กาแฟที่ไม่เติบน้ำตาลอันนี้เป็นต้นอันนี้
01:16:24 → 01:16:26 ก็คือวิธีการเริ่มต้นต้องบอกว่าอันเนี้ย
01:16:26 → 01:16:30 เบสิคสุดและสำหรับคนที่จะเริ่มทำ If ก็
01:16:30 → 01:16:33 คือให้กินแบบนี้บางคนบอกว่าฉันตื่นสายล่ะ
01:16:33 → 01:16:36 เขาจะเริ่มกินเที่ยนค่ะเริ่มกินเที่ยง
01:16:36 → 01:16:39 มื้อแรกแล้วก็ยาวไปจนถึงทั้่ง 20:00 น
01:16:39 → 01:16:41 หลัง 20:00 นก็จะไม่กินแล้วก็ยาวไปจน
01:16:41 → 01:16:44 กระทั่งมื้อเช้าก็อดแล้วก็มาเริ่มกินใหม่
01:16:44 → 01:16:47 ที่มื้อเที่ยนอันนี้คือการทำ 168 ถ้าเกิด
01:16:47 → 01:16:50 โหดร้ายกว่านั้นระยะเวลาของการกินจะสั้น
01:16:50 → 01:16:54 ลงก็จะเหลือแค่จาก 8 ชมจะเหลือ 4 ชม 5 ชม
01:16:54 → 01:16:58 แล้วแต่นะคะอันที่ 2 ค่ะจะเรียกว่าเป็น 52
01:16:58 → 01:17:01 52 คือในแต่ละวันของอาทิตย์เนี่ยเาจะให้
01:17:01 → 01:17:04 เลือกไม่จำเป็นต้องติดกันวันไหนก็ได้วัน
01:17:04 → 01:17:07 นี้นึกอยากจะอดอดเลยค่ะแล้วก็นับไปใน
01:17:07 → 01:17:10 อาทิตย์นึงเนี่ยให้เลือกอด 2 วันสมัยก่อน
01:17:10 → 01:17:13 เนี่ยอดคือไม่กินเลยไม่กินเลยในที่นี่คือ
01:17:13 → 01:17:17 0 แต่บอกว่ามันโหดร้ายไปตอนหลังเนี่ยมี
01:17:17 → 01:17:19 คนทำวิจัยแล้วบอกว่าต่อให้เรากินเนี่ยแต่
01:17:19 → 01:17:23 ถ้ากินไม่เกินประมาณสัก 25% ของแคลอรี
01:17:23 → 01:17:25 ทั้งหมดหรือประมาณสัก 400 หรือ 600
01:17:25 → 01:17:28 แคลอรีเนี่ยก็ยังถือว่ายังเป็นอดอยู่ดัง
01:17:28 → 01:17:31 นั้นเขาจะบอกว่าวันที่อดเอนุญาตให้กิน
01:17:31 → 01:17:34 ประมาณ 400 ไม่เกิน 600 แคลอรี 400 ไม่
01:17:34 → 01:17:36 เกิน 600 แคลอรี่ไม่ได้หมายความว่าจะกิน
01:17:36 → 01:17:39 ทั้งวันนะตั้งแต่เช้าไม่เกินเที่ยนอันนี้
01:17:39 → 01:17:41 คือ 400-600 แคลอรีแล้วหลังจากนั้นก็จะ
01:17:41 → 01:17:45 เป็นของที่ไม่มีแคลอรีแล้วดื่มน้ำได้
01:17:45 → 01:17:47 อาทิตย์นึงทำ 2 ครั้งอันนี้คือหลักการของ
01:17:48 → 01:17:50 การทำ If ค่ะทีนี้ถามว่าข้อควรระวังใน
01:17:50 → 01:17:53 กรณีของ If อย่างที่บอกเมื่อสักครู่นะคะ
01:17:53 → 01:17:57 เวลาที่อดก็คือจะมีช่วงเวลานึงเวลาที่กิน
01:17:57 → 01:18:00 ห้ามกินมากจนเกินไปถ้าเรากินแบบไม่บรรยะ
01:18:00 → 01:18:02 บรรยังกินอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจอันนี้
01:18:02 → 01:18:05 สิ่งที่จะตามมาก็คือจะทำให้คนๆนั้นเนี่ย
01:18:05 → 01:18:09 มีปัญหานะคะก็คือน้ำหนักไม่ลดอันที่ 2
01:18:09 → 01:18:13 ค่ะ If มันกำหนดแค่วิธีการบอกว่าให้กิน
01:18:13 → 01:18:15 กี่ชั่วโมงไม่ให้กินกี่ชั่วโมงเขาไม่เคย
01:18:15 → 01:18:18 บอกว่าอาหารเป็นยังไงดังนั้นเนี่ยคนที่จะ
01:18:18 → 01:18:21 เลือกทำ If ควรจะเลือกรับประทานอาหารให้
01:18:21 → 01:18:24 เหมาะสมด้วยเราเหลืออาหารเี่กินแค่ 2
01:18:24 → 01:18:27 มื้อเพราะฉะนั้นเราต้องเลือกให้ครบทั้ง 5
01:18:27 → 01:18:30 หมู่ถ้าเรายังเลือกไม่ครบอีกโอกาสที่จะ
01:18:30 → 01:18:33 เกิดการขาดสารอาหารจะตามมานะคะอันที่ 3
01:18:33 → 01:18:37 การทำไให้ประสบความสำเร็จถ้าเรากินแต่น้ำ
01:18:37 → 01:18:40 หวานเรากินแต่ของที่ไม่อยู่ท้องโปรตีนต่ำ
01:18:41 → 01:18:43 สิ่งที่เกิดขึ้นมันจะเกิดความทรมานมากคน
01:18:43 → 01:18:46 ก็จะมีปัญหาเรื่องของปวดท้องหงุดหงิดนอน
01:18:46 → 01:18:50 ไม่หลับอันเนี้ยจะเกิดได้บ่อยพอสมควรที่
01:18:50 → 01:18:53 สำคัญค่ะต้องระวังในคนไข้ที่เป็นเบาหวา
01:18:53 → 01:18:56 ถ้าเป็นเบาหวานแล้วต้องกินยามื้อเย็นโดย
01:18:56 → 01:18:59 เฉพาะยาที่เป็นยาก่อนอาหารหรือฉีด
01:18:59 → 01:19:03 อินซูลินอันนี้ควรจะต้องลดยาหรือหยุดฉีด
01:19:03 → 01:19:06 ยาหรือไม่งั้นต้องคุยกับแพทย์ที่ดูแลนะคะ
01:19:06 → 01:19:09 เพราะมีโอกาสที่จะเกิดน้ำตาลต่ำได้อันนี้
01:19:09 → 01:19:12 คือสิ่งที่สำคัญสำหรับคนแค่ที่จะทำ If
01:19:12 → 01:19:14 ถ้าเลือกอาหารไม่เหมาะสมเลือกอาหารไม่ถูก
01:19:14 → 01:19:17 ต้องอาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับสาร
01:19:17 → 01:19:20 อาหารเพิ่มเติมหรือวิตามินเพิ่มเติมคำถาม
01:19:20 → 01:19:23 ว่า If เนี่ยมันเหมาะกับแต่ละคนหรือเปล่า
01:19:23 → 01:19:26 อันนี้แล้วแต่เลยนะคะ If คือแค่วิธีการ
01:19:26 → 01:19:28 นึงที่จะนำไปสู่เรื่องของการลดน้ำหนักมัน
01:19:28 → 01:19:31 มีคนทำวิจัยบอกว่าถ้าเราเดิมเรากินเยอะ
01:19:31 → 01:19:33 อยู่แล้วเราไปทำ If เนี่ยน้ำหนักลดมมตอก็
01:19:33 → 01:19:36 ลดแต่ถ้าสมมุติว่าคนๆนึงเนี่ยลดปริมาณ
01:19:36 → 01:19:39 อาหารลงเช่นเราบอกว่าให้กินน้อยลงทุกๆ
01:19:39 → 01:19:42 มื้อแต่กินได้ 3 มื้อเลยเทียบกับการกิน If
01:19:42 → 01:19:45 จริงๆแล้วน้ำหนักลดเท่าๆกันเพราะฉะนั้น If
01:19:45 → 01:19:49 เนี่ยหลักการคือการลดปริมาณอาหารเราคิด
01:19:49 → 01:19:51 ไม่ออกหรอกค่ะว่าจะให้ลดอาหารเท่าไหร่แต่
01:19:51 → 01:19:53 บอกว่าให้เรากินแค่ 2 2 มือในวันนึงเรา
01:19:54 → 01:19:57 บอกเราทำได้ถ้าคนที่ทำอย่างงั้นได้และชอบ
01:19:57 → 01:19:59 ที่จะทำอย่างงั้นสามารถที่จะทำ If ได้แต่
01:19:59 → 01:20:01 ถ้าใครบอกว่าไม่ไหวอ่ะฉันปวดท้องฉัน
01:20:02 → 01:20:05 เครียดฉันนอนดึกฉันอดอาหารแล้วฉันมีปัญหา
01:20:05 → 01:20:07 อันนี้ไม่ใช่ทางของคุณแล้วค่ะคุณพยายามไป
01:20:08 → 01:20:10 หาอย่างอื่นค่ะแล้วก็ถ้าสมมุติว่าเรา
01:20:10 → 01:20:13 สามารถที่จะคุมอาหารทุกๆมื้อนะคะให้
01:20:13 → 01:20:15 ปริมาณน้อยลงแล้วก็จะสามารถลดน้ำหนักได้
01:20:15 → 01:20:18 พอๆไอนะคะซึ่งอาจจะมีความสุขมากกว่าเพราะ
01:20:18 → 01:20:21 ว่าเราไม่ต้องอดอาหารไม่ต้องเครียดว่าตาย
01:20:21 → 01:20:23 แล้วถึงเวลาแล้วฉันกินไม่ได้อะไรอย่างนี้
01:20:23 → 01:20:26 เป็นต้นงั้นลองดูนะคะว่าวิธารนี้เนี่ยมัน
01:20:26 → 01:20:30 เหมาะกับชีวิตของคุณหรือเปล่านะ
01:20:30 → 01:20:33 [เพลง]
01:20:33 → 01:20:36 คะอันที่ 2 นะคะที่เราจะคุยกันก็คือคีโต
01:20:36 → 01:20:39 อันเนี้ยดังมากทุกคนจะได้ยินบ่อยมากแล้ว
01:20:39 → 01:20:41 มันเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากจะลดน้ำ
01:20:41 → 01:20:44 หนักเร็วๆเพราะเวลาที่คนพูดกันจะบอกว่า
01:20:44 → 01:20:46 โอ้โหเนี่ยลดได้ทีละ 5 ก 10 กอะไรอย่าง
01:20:46 → 01:20:49 เงี้ยถามว่าผิดมยหรือว่าถูกมั้ยอ่าให้
01:20:49 → 01:20:52 เข้าใจก่อนว่าคีโตคืออะไรหลักการของการ
01:20:52 → 01:20:55 การที่จะทำคีโตก็คือไปหลอกร่างกายว่าตอนเ
01:20:55 → 01:20:58 เรากำลังอดอาหารเราร่างกายเราเนี่ยจะรู้
01:20:58 → 01:21:00 สึกว่ามีอาหารเข้าไปก็ต่อเมื่อน้ำตาลใน
01:21:00 → 01:21:03 เลือดมันสูงขึ้นแล้วไปกระตุ้นฮอร์โมนที่
01:21:03 → 01:21:05 ชื่อว่าอินซูลินทีนี้พอเวลาที่เราไม่กิน
01:21:05 → 01:21:09 พวกคาร์โบไฮเดรตนะคะน้ำตาลในเลือดก็จะตก
01:21:09 → 01:21:12 ร่างกายก็จะไม่มีการกระตุ้นอินซูลินหลัง
01:21:12 → 01:21:14 จากนั้นเป็นไงคะร่างกายก็จะไปสลายไขมันสิ
01:21:14 → 01:21:16 คะเพราะว่าเขาต้องการพลังงานร่างกายไม่
01:21:16 → 01:21:19 แคร์นะคะว่าพลังงานที่จะเข้ามาเนี่ยคือ
01:21:19 → 01:21:21 คืออย่างสมมุติว่าร่างกายใช้ชีวิตอยู่ได้
01:21:21 → 01:21:24 ต้องใช้พลังงานเขาไม่เคยสนใจว่าพลังงาน
01:21:24 → 01:21:27 อันเนี้ยเราจะได้มาจากรูปแบบไหนทีนี้พอ
01:21:27 → 01:21:30 อาหารที่มาเป็นคาร์โบไฮเดรตหรือเป็นน้ำ
01:21:30 → 01:21:32 ตาลไม่มีร่างกายก็จะต้องเริ่มไปสลายไขมัน
01:21:32 → 01:21:35 เพื่อจะให้มาเป็นพลังงานดังนั้นต่อให้เรา
01:21:35 → 01:21:38 กินเข้าไปแต่ถ้าคาร์โบไฮเดรตต่ำร่างกายก็
01:21:39 → 01:21:41 ยังคงสลายไขมันอยู่อันนี้คือสิ่งที่ทุกคน
01:21:41 → 01:21:45 บอกว่ากินได้แต่ผอมลงใช่มั้ยคะทุกคนก็จะ
01:21:45 → 01:21:48 แฮปปี้ทีนี้ถามว่าน้ำหนักลงเร็วยต้องตอบ
01:21:48 → 01:21:51 ว่าลงเร็วค่ะโดยเฉพาะในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
01:21:51 → 01:21:53 ลงเร็วกว่าวิธีอื่น
01:21:53 → 01:21:55 แต่ว่าถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรากลับมากิน
01:21:55 → 01:21:58 แป้งน้ำหนักมันก็จะขึ้นเร็วเหมือนกันที
01:21:58 → 01:22:01 นี้ที่เจอบ่อยๆว่าเป็นความผิดเนี่ยก็คือ
01:22:01 → 01:22:04 ทุกคนจะบอกว่าไม่กินแป้งไม่กินข้าวเนาะ
01:22:04 → 01:22:06 แล้วบางใครก็บอกว่าพยายามทำคีโตแล้วแต่
01:22:06 → 01:22:08 น้ำหนักไม่ลดไม่กินแป้งไม่กินข้าวแต่ยัง
01:22:08 → 01:22:11 คงกินน้ำหวานยังคงกินผลไม้อยู่อันนี้ก็
01:22:11 → 01:22:14 ไม่ใช่เพราะเวลาที่จะทำคีโตคือลดส่วนที่
01:22:14 → 01:22:17 เรียกว่าคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดข้าวแป้งน้ำ
01:22:17 → 01:22:20 ตาลผักผลไม้ที่มันมาแล้วให้เป็น
01:22:20 → 01:22:23 คาร์โบไฮเดรตหรือเหลืออยู่เท่าไหร่วันนึง
01:22:23 → 01:22:27 ยอมรับให้กินได้ไม่เกิน 20-50 กรัม 20
01:22:27 → 01:22:31 กรัมคืออะไรเห็นภาพขนาดกำปั้นเราเนาะแล้ว
01:22:31 → 01:22:33 เป็นผลไม้ขนาดเนี้ยเช่นส้มหรือแอปเปิ้ลก็
01:22:33 → 01:22:36 ตามเท่ากำปั้นเรา 1 ลูกอ่ะค่ะอันนี้มี
01:22:36 → 01:22:40 คาร์โบไฮเดรต 15 กรัมเพราะฉะนั้นวันทั้ง
01:22:40 → 01:22:43 วันถ้ากินอันนี้ไป 2 อันจบแล้วนะไม่กิน
01:22:43 → 01:22:45 อะไรอีกแล้วหรือว่าถ้าสมมุติว่าเวลาที่
01:22:45 → 01:22:48 เราจะกินขนมปังอ่ะค่ะขนมปังแผ่นขนมปังขาว
01:22:48 → 01:22:51 อ่ะนะคะแผ่นนึงอ่ะอันนี้ก็จะประมาณ 15-18
01:22:51 → 01:22:54 กรัมถ้าถ้าเรากินข้าวข้าวทับพีนึงหรือว่า
01:22:54 → 01:22:56 ประมาณ 5 ช้อนเนี่ยจริงๆอ่ะมันจะมี
01:22:56 → 01:22:59 คาร์โบไฮเดรตอยู่ประมาณ 15-18 กรัมตีง่าย
01:22:59 → 01:23:02 ๆว่าเรากินข้าว 1 ช้อนโต๊ะอ่ะค่ะอันเนี้ย
01:23:02 → 01:23:05 คาร์โบไฮเดรตแล้ว 3 กรัมเพราะฉะนั้นกิน
01:23:05 → 01:23:09 มากกว่านี้ไม่ได้แล้วโดยทั่วไปเวลาคนที่
01:23:09 → 01:23:12 จะทำคีโตอ่ะค่ะเขาจะไม่กินข้าวไม่กินแป้ง
01:23:12 → 01:23:15 ไม่กินเส้นใดๆทั้งสิ้นรวมทั้งน้ำหวานด้วย
01:23:15 → 01:23:17 คาร์โบไฮเดรตที่ได้ส่วนใหญ่จะได้มาจากผัก
01:23:17 → 01:23:20 แล้วจะกินเนื้อกินได้เต็มที่กินไขมันกิน
01:23:20 → 01:23:22 ได้เต็มที่อันนี้คือสิ่งที่เขากินกันข้อ
01:23:22 → 01:23:25 เสียอีกอย่างนึงที่จะเกิดขึ้นก็คือกลุ่ม
01:23:25 → 01:23:28 นี้จะทำให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่ไม่
01:23:28 → 01:23:30 เพียงพอเพราะฉะนั้นกลุ่มนี้จะต้องมีการ
01:23:30 → 01:23:33 เสริมวิตามินเสริมเกลือแร่เสมอสุดท้าย
01:23:33 → 01:23:36 กลุ่มนี้จะทำให้มีเรื่องของร่างกายแห้ง
01:23:36 → 01:23:40 หรือว่าขาดน้ำถ้าจะกินคีโตต้องกินน้ำเยอะ
01:23:40 → 01:23:42 แล้วเนื่องจากว่าการที่เขาจะต้องกินไขมัน
01:23:42 → 01:23:44 ค่อนข้างเยอะนะคะหรือว่ากินได้ไม่จำกัด
01:23:44 → 01:23:47 กินเนื้อได้ไม่จำกัดอะไรแบบเนี้ยสิ่งที่
01:23:47 → 01:23:50 เจอก็คือหลายคนเนี่ยไม่รู้แล้วก็กินไป
01:23:50 → 01:23:52 สิ่งที่ตามมาก็คืออาจจะมีคอเลสเตอรอลใน
01:23:52 → 01:23:55 เรือเลื้อสูงเคยมีคนไข้คนนึงอ่ะค่ะเป็นคน
01:23:55 → 01:23:58 ที่มีความรู้เนาะเออแล้วจบพีชอย่างเงี้ย
01:23:58 → 01:24:01 จบปริญญาเอกคนไข้ก็มาหาไปปรึกษาเรื่องไข
01:24:01 → 01:24:04 มันในเลือดสูงนะคะแล้วก็บอกว่าจริงๆก่อน
01:24:04 → 01:24:07 หน้าเนี้ยอ้วนอยากจะลดน้ำหนักแล้วมาดูว่า
01:24:07 → 01:24:10 เออผลเลือดเนี่ยตรวจสุขภาพประจำปีทำไมรอบ
01:24:10 → 01:24:13 นี้มันสูงจังเลยก็เลยถามว่าเอ๊ะแบบลองทาน
01:24:13 → 01:24:15 คีโตอยู่หรือเปล่าคะคนนี้ก็บอกว่าใช่ค่ะ
01:24:15 → 01:24:18 คุณหมอรู้ได้ยังไงคะคือคอเลสเตอรอลเคสูง
01:24:18 → 01:24:21 มากอ่ะค่ะดังนั้นเนี่ยการที่คนบางคนแล้ว
01:24:21 → 01:24:24 มาเลือกกินอาหารแบบเนี้ยเา้าอาจจะมีปัญหา
01:24:24 → 01:24:26 เรื่องของคอเลสเตอรอลที่เป็นกรรมพันธ์ผิด
01:24:26 → 01:24:29 ปกติอยู่แล้วพอกินเป็นไขมันเยอะๆสิ่งที่
01:24:29 → 01:24:31 เกิดขึ้นก็คือคอเลสเตอรอลในเลือดมันสูง
01:24:31 → 01:24:34 ขึ้นหลายคนอาจจะพูดว่าเออก็กินคีโตเหมือน
01:24:34 → 01:24:36 กันนะไม่เห็นคอเลสเตอรอลจะสูงเลยไม่ได้
01:24:36 → 01:24:39 ทุกรายค่ะแต่ว่าอาจจะเป็นเราหรืออาจจะ
01:24:39 → 01:24:41 เป็นคนอื่นก็ได้ดังนั้นบอกว่าถ้าจะกิน
01:24:41 → 01:24:44 คีโตข้อแรกคือควรเช็คคอเลสเตอรอลก่อนและ
01:24:44 → 01:24:47 หลังกินว่ามันมีปัญหาหรือเปล่า 2 ถ้าจะ
01:24:47 → 01:24:50 กินต่อให้เราจะกินไขมันได้เยอะขึ้นเรา
01:24:50 → 01:24:53 ต้องเลือกค่ะเลือกไขมันที่ดีในที่นี้คือ
01:24:53 → 01:24:55 หลีกเลี่ยงไขมันที่เราเรียกว่าไขมัน
01:24:55 → 01:24:59 ทรานซ์หรือว่าไขมันอิ่มตัวเลือกไขมันที่
01:24:59 → 01:25:01 มันวางไว้แล้วมันไม่เป็นไขไม่เป็นก้อนที่
01:25:01 → 01:25:03 อุณหภูมิห้องแล้วเนื้อสัตว์ก็ไม่ควรเลือก
01:25:04 → 01:25:06 เนื้อสัตว์ติดมันอาจจะใช้เป็นซีฟู้ดหรือ
01:25:06 → 01:25:09 ว่าใช้เป็นอาหารทะเลเพิ่มขึ้นเลือกโปรตีน
01:25:09 → 01:25:12 ในรูปแบบอื่นเช่นโปรตีนที่มาจากพืชอันนี้
01:25:12 → 01:25:14 ก็จะเป็นอีกทางนึงที่ทำให้ปรับรูปแบบของ
01:25:15 → 01:25:17 การกินได้ดีขึ้นแล้วก็ต้องเสริมพวก
01:25:17 → 01:25:19 วิตามินและเกลือแร่ให้เหมาะสมเพราะว่า
01:25:19 → 01:25:21 กลุ่มเนี้ยจะขาดวิตามินและเกลือแร่แน่นอน
01:25:21 → 01:25:22 ค่ะ
01:25:22 → 01:25:26 [เพลง]
01:25:26 → 01:25:29 สำหรับอันที่ 3 นะคะก็จะเป็นเรื่องของ
01:25:29 → 01:25:31 Blood type Diet หรือว่าการกินอาหาร
01:25:31 → 01:25:33 ตามหมูเลือดนะคะอันเนี้ยก็จะมีอยู่ใน
01:25:33 → 01:25:35 อินเทอร์เน็ตเยอะแยะมากมายแต่จะบอกว่า
01:25:35 → 01:25:38 เป็นกลุ่มหรือว่ารูปแบบของการกินอาหารที่
01:25:38 → 01:25:41 มีข้อมูลงานวิจัยน้อยที่สุดแทบจะไม่เคย
01:25:41 → 01:25:43 เห็นเลยยกตัวอย่างเช่นนะคะสมมุติว่าคนที่
01:25:43 → 01:25:46 เป็นหมูเลือดเอเเนี่ยเขาก็จะเน้นบอกว่า
01:25:46 → 01:25:49 ให้กินผักกับผลไม้แต่ให้เลี่ยงส่วนที่
01:25:49 → 01:25:52 เป็นนมวัวกับข้าวโพดเนาะพอมาเป็นกรุ๊ปบี
01:25:52 → 01:25:55 ปั๊บเนี่ยเขาก็จะให้เน้นกินนมกินเนื้อ
01:25:55 → 01:25:57 สัตว์นะคะแล้วก็กินผักแต่ว่าให้เลี่ยง
01:25:57 → 01:26:00 ส่วนที่เป็นไก่ข้าวโพดแล้วก็แป้งสาลีพอมา
01:26:00 → 01:26:03 ถึงกรุ๊ป O ปั๊บเนี่ยบอกว่าให้กินโปรตีน
01:26:03 → 01:26:05 สูงแต่ว่าให้เลี่ยงนมอ่าก็คือกินโปรตีน
01:26:05 → 01:26:08 อื่นที่ไม่ใช่นมพอมาเป็น AB บอกให้กิน
01:26:08 → 01:26:11 เนื้อแกะปลานะคะกินเรื่องของเต้าหู้แล้ว
01:26:11 → 01:26:13 ก็จะบอกว่าให้เลี่ยงถั่วแดงเลี่ยงไก่แล้ว
01:26:14 → 01:26:16 ก็แป้งสาลีจริงๆเนี่ยพอมาดูปุ๊บเนี่ยมัน
01:26:16 → 01:26:19 ก็จะมีส่วนที่มันอย่างเช่นยกตัวอย่างนะคะ
01:26:19 → 01:26:21 แป้งสาลีเนี่ยให้เลี่ยงใน b กับ O ส่วน
01:26:21 → 01:26:24 ที่เป็นนมเนี่ยให้เลี่ยงที่ a กับ O อะไร
01:26:24 → 01:26:26 อย่างเงี้ยค่ะบางทีเนี่ยต้องบอกว่ารูปแบบ
01:26:27 → 01:26:29 ของอาหารมันไม่ได้หลากหลายและถ้าบางคนที่
01:26:29 → 01:26:33 มีปัญหาว่าเช่นแพ้นมก็อาจจะทำให้ข้อจำกัด
01:26:33 → 01:26:36 ในเรื่องของการกินเนี่ยมากขึ้นไปอีกแล้ว
01:26:36 → 01:26:39 ที่สำคัญคือถามว่าคนบนโลกเนี้ยค่ะตั้งพัน
01:26:39 → 01:26:42 ล้านคนจะมากินอย่างนี้หมดเนี่ยมันก็คงไม่
01:26:42 → 01:26:45 ใช่เนาะเพฉะนั้นเนี่ยตรงนี้เนี่ยถามว่ามี
01:26:45 → 01:26:47 ข้อมูลมั้ว่ามันจะช่วยเรื่องของการลดน้ำ
01:26:47 → 01:26:49 หนักต้องบอกว่าไม่มีอ่ะค่ะเพราะว่ามันไม่
01:26:49 → 01:26:51 มีเรื่องของข้อมูลงานวิจัยที่ติดตามดูว่า
01:26:51 → 01:26:53 กลุ่มกลุ่มเนี้ยจะช่วยในเรื่องของการลด
01:26:53 → 01:26:56 น้ำหนักแต่เป็นอาหารที่มีการเขียนอยู่ใน
01:26:56 → 01:26:58 อินเทอร์เน็ตค่อนข้างเยอะซึ่งเชื่อว่า
01:26:58 → 01:27:00 กรรมพันธ์ที่เหมือนกันทำให้ลักษณะของการ
01:27:00 → 01:27:03 ย่อยการดูดซึมที่แตกต่างกันตามปลูเลือด
01:27:03 → 01:27:07 [เพลง]
01:27:07 → 01:27:10 ค่ะอีกอันนึงที่เราจะพูดกันวันนี้ก็คือจะ
01:27:10 → 01:27:13 เป็นเรื่องของมังสวิรัสนะคะหลักๆก็คือเขา
01:27:13 → 01:27:16 จะกินเป็นพืชผักเป็นหลักนะคะแล้วก็พยายาม
01:27:16 → 01:27:19 หลีกเลี่ยงส่วนที่มาจากเนื้อสัตว์นะคะที
01:27:19 → 01:27:21 นี้ถ้าเกิดเป็นกลุ่มของคนที่เข้มงวดเลยก็
01:27:22 → 01:27:24 จะจะเรียกว่าเป็นคนที่กินเจอันนี้ก็จะไม่
01:27:24 → 01:27:28 มีวัวไม่มีนมไม่มีไข่แต่ถ้ามังสวิรัตบาง
01:27:28 → 01:27:31 คนเนี่ยก็อาจจะมีนมมีไข่ได้ด้วยนะคะข้อดี
01:27:31 → 01:27:33 พวกนี้เก็จะมีอาหารที่มีพืชผักค่อนข้าง
01:27:33 → 01:27:36 เยอะจะได้รับพวกของสารต้านอนุมูลอิสระนะ
01:27:36 → 01:27:39 คะจะมีคอเลสเตอรอลต่ำนะคะหรือแทบจะไม่มี
01:27:39 → 01:27:41 คอเลสเตอรอลเลยไขมันอิ่มตัวก็จะน้อยลง
01:27:42 → 01:27:44 เพราะว่ามันจะแทบไม่มีพวกของเนื้อสัตว์
01:27:44 → 01:27:47 เข้ามาเกี่ยวข้องนะคะทีนี้ถามว่าพวกนี้มี
01:27:47 → 01:27:49 ข้อดีแล้วเนี่ยจะช่วยเรื่องของการลดโรค
01:27:49 → 01:27:51 หัวใจและหลอดเลือดช่วยลดเรื่องของ
01:27:51 → 01:27:53 คอเลสเตอรอลแต่ว่ามันก็จะมีข้อเสียนิด
01:27:53 → 01:27:55 หน่อยในส่วนที่เขาไม่ได้กินเนื้อสัตว์เลย
01:27:55 → 01:27:57 เพราะฉะนั้นเนี่ยกลุ่มของธาตุเหล็กหรือ
01:27:57 → 01:28:00 ว่าพวก B12 เนี่ยก็อาจจะไม่เพียงพอวิธี
01:28:00 → 01:28:03 การแก้ไขในกรณีของ B12 เนี่ยก็อาจจะได้มา
01:28:03 → 01:28:06 จากพวกสาหร่ายบ้างนะคะจริงๆแล้วถ้าเกิด
01:28:06 → 01:28:09 ยอมที่จะกินเป็นพวกไข่แดงหรือกินนมบ้าง
01:28:09 → 01:28:11 จริงๆตรงนี้ก็จะได้วิตามิน B12 แต่ถ้า
01:28:12 → 01:28:14 สมมุติว่าเป็นกินเจเลยเนี่ยก็อาจจะต้อง
01:28:14 → 01:28:16 เสริมวิตามิน B12 ในส่วนของธาตุเหล็ก
01:28:16 → 01:28:19 เนี่ยจริงๆก็อาจจะต้องเพิ่มพวกของผักสี
01:28:19 → 01:28:22 เขียวที่เป็นผักสีเขียวเข้มๆนะคะคะหรือ
01:28:22 → 01:28:24 ว่าเป็นกลุ่มของสาหร่ายซึ่งอันนี้ก็จะมี
01:28:24 → 01:28:27 เรื่องของธาตเหล็กพอสมควรในกรณีของคนที่
01:28:27 → 01:28:30 ไม่ยอมที่จะกินในส่วนของเนื้อสัตว์เลยนะ
01:28:30 → 01:28:32 คะไข่แดงก็ยังพอมีธาตุเหล็กอยู่บ้างค่ะ
01:28:33 → 01:28:35 สำหรับมังสวิรัตนะคะสามารถที่จะกินเป็น
01:28:35 → 01:28:37 ระยะเวลายาวนานเนี่ยได้เพราะว่ามีกลุ่ม
01:28:37 → 01:28:40 ของคนที่กินอยู่เป็นระยะเวลายาวนานได้
01:28:40 → 01:28:42 แล้วก็เชื่อว่าจะมีผลดีกับเรื่องของโรค
01:28:42 → 01:28:44 หัวใจและหลอดเลือดด้วยเพียงแต่ว่ามันอาจ
01:28:44 → 01:28:47 จะปฏิบัติยากในแง่ของคนทั่วไปนะคะหลายๆคน
01:28:47 → 01:28:50 ก็จะยอมปรับนิดนึงเพื่อจะให้รับประทาน
01:28:50 → 01:28:52 เค้าเรียกว่าเป็น Plant Base Diet นะคะ
01:28:52 → 01:28:54 Plant เบสไดเอดตอนนี้ก็ค่อนข้างปปูนิด
01:28:54 → 01:28:57 นึงก็จะเป็นเหมือนการประยุกต์มังสวิรัต
01:28:57 → 01:29:00 ให้คนทั่วไปเนี่ยกินได้มากขึ้นแต่ว่า
01:29:00 → 01:29:02 Plant Base di ในที่นี้คือกินจับผัก
01:29:02 → 01:29:04 ผลไม้เป็นหลักแล้วก็อาจจะเพิ่มเนื้อสัตว์
01:29:04 → 01:29:07 โดยเฉพาะอย่างเช่นเป็นพวกของสัตว์ตัวเล็ก
01:29:07 → 01:29:09 ตัวน้อยอ่ะนะคะสัตว์ปีกหรือว่าอาจจะเป็น
01:29:09 → 01:29:12 พวกของซีฟู้ดมีข้อควรระวังนิดเดียวสำหรับ
01:29:12 → 01:29:14 กลุ่มมังสวิรัตคือหลายคนบอกว่าไม่กิน
01:29:14 → 01:29:17 เนื้อสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์แล้วก็จะไปกิน
01:29:17 → 01:29:20 เป็นผักผลไม้อันนี้โอเคอยู่เนาะแต่บางราย
01:29:20 → 01:29:22 เนี่ยดื่มเป็นพวกเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล
01:29:23 → 01:29:25 ค่อนข้างมากอันเนี้ยอาจจะไม่ได้ช่วยเป็น
01:29:25 → 01:29:28 ผลดีกับสุขภาพบอกว่าเป็นมังสวิรัตมยบอก
01:29:28 → 01:29:30 ว่าเป็นไม่มีเนื้อสัตว์แต่พอมีน้ำตาลเยอะ
01:29:30 → 01:29:32 ๆอันนี้ก็อาจจะเป็นอันตรายกับสุขภาพได้
01:29:32 → 01:29:33 เหมือนกัน
01:29:33 → 01:29:37 [เพลง]
01:29:37 → 01:29:40 ค่ะอันสุดท้ายนะคะที่จะคุยกันก็คือ
01:29:40 → 01:29:42 mediterranean Diet mediterranean
01:29:42 → 01:29:44 Diet เป็นอาหารที่เป็นรูปแบบที่กินกัน
01:29:44 → 01:29:47 อยู่ในประเทศรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนหลัก
01:29:47 → 01:29:50 ๆเป็นผักหรือว่าเป็นธัญพืชที่ไม่ขัดสีนะ
01:29:50 → 01:29:53 คะแล้วก็จะมีเรื่องของการกินเนื้อแดงที่
01:29:53 → 01:29:55 ค่อนข้างน้อยหลีกเลี่ยงการกินเนื้อแดงแปร
01:29:55 → 01:29:59 รูปนะคะแล้วก็จะกินพวกของเนื้อที่มาจาก
01:29:59 → 01:30:02 พวกของสัตว์ปีกหรือว่าอาหารทะเลนะคะน้ำ
01:30:02 → 01:30:05 มันที่ใช้จะเป็นกลุ่มของน้ำมันมะกอกนะคะ
01:30:05 → 01:30:08 กินถั่วกินธัญพืชค่อนข้างเยอะกินพวกของ
01:30:08 → 01:30:11 น้ำตาลค่อนข้างน้อยแล้วก็จะมีการดื่มไวน
01:30:11 → 01:30:14 เป็นประจำนะคะแต่ไวนที่ดื่มเนี่ยให้เป็น
01:30:14 → 01:30:17 ปริมาณน้อยๆค่ะประมาณ 1 ดริงต่อวันอะไร
01:30:17 → 01:30:20 แบบนี้แล้วก็มีกิจกรรมทางกายร่วมด้วยใน
01:30:20 → 01:30:22 รูปแบบของอาหารยกตัวอย่างนะคะมันจะมี
01:30:22 → 01:30:24 เรื่องของผักค่อนข้างเยอะนิดนึงนะคะหรือ
01:30:24 → 01:30:26 ว่าเป็นธัญพืชที่ไม่ขัดสีเพราะฉะนั้น
01:30:26 → 01:30:28 เนี่ยถ้าสมมุติว่ามองในรูปของจานอาจจะ
01:30:28 → 01:30:31 เป็นลักษณะของสลัดเนาะแล้วก็จะเป็นปลาที่
01:30:31 → 01:30:34 จะต้องย่างกลิวเผาอะไรอย่างเงี้ยนะคะวาง
01:30:34 → 01:30:36 เอาไว้แล้วก็ราดด้วยน้ำสลัดก็จะไม่ใช่น้ำ
01:30:36 → 01:30:39 สลัดครีมแต่จะเป็นบัลซามิกเป็นน้ำส้มแล้ว
01:30:39 → 01:30:42 ก็เป็นพวกของน้ำมันมะกอกโรยเกลือนะคะอัน
01:30:42 → 01:30:44 นี้ก็จะเป็นรูปแบบของอาหารที่เราจะเห็น
01:30:44 → 01:30:47 บ่อยๆในกลุ่มของเมดิเตอร์เรเนียนอาจจะมี
01:30:47 → 01:30:50 การเพิ่มชีสค่ะเป็นชีสเบาๆนะคะโรยอยู่
01:30:50 → 01:30:53 ข้างบนลักษณะนี้เป็นต้นแล้วก็มีไวนดื่ม
01:30:53 → 01:30:55 ด้วยนะคะอันนี้ก็จะเป็นรูปแบบของ
01:30:55 → 01:30:57 เมดิเตอเรเนียนซึ่งมีข้อมูลค่ะว่าสามารถ
01:30:57 → 01:31:00 ช่วยลดเรื่องของโรคหัวใจและหลอดเลือดช่วย
01:31:00 → 01:31:02 ลดเรื่องของเบาหวานแล้วก็ช่วยเรื่องของ
01:31:02 → 01:31:05 การลดน้ำหนักตัวในระยะยาวได้ค่ะในส่วนของ
01:31:05 → 01:31:07 การกิน mediterranean Diet นะคะหรือว่า
01:31:07 → 01:31:09 อาหารกลุ่มเมดิเตอร์เรเนียนถ้าเราอยากจะ
01:31:09 → 01:31:11 รับประทานเนี่ยถามว่าได้ไหมก็ต้องตอบว่า
01:31:11 → 01:31:14 ได้เนาะไม่ได้มีปัญหาอะไรเวลาปรับเนี่ย
01:31:14 → 01:31:16 ถ้าสมมุติบอกว่าน้ำมันมะกอมันแพงมากแล้ว
01:31:16 → 01:31:19 ปรับในรูปแบบบ้านเราอย่างเงี้ยค่ะแล้วก็
01:31:19 → 01:31:21 จะเป็นเลือกน้ำมันตัวอื่นที่มันมีกรดไข
01:31:21 → 01:31:23 มันที่เหมือนกับในน้ำมันมะกอกยกตัวอย่าง
01:31:23 → 01:31:26 เช่นเราอาจจะใช้เป็นน้ำมันรำข้าวแทนนะคะ
01:31:26 → 01:31:29 ลักษณะอย่างนี้อันที่ 2 ก็คือว่าสมมุติ
01:31:29 → 01:31:31 ว่าถ้าจะใช้เป็นเมดิเตอร์เรเนียนแล้วต้อง
01:31:31 → 01:31:33 มีไวนอย่างเงี้ยคำถามคือโอ้โหบ้านเรากิน
01:31:33 → 01:31:36 กันเยอะเลยเดี๋ยวบอกไม่ยั้งจริงๆเนี่ยถ้า
01:31:36 → 01:31:38 สมมุติใครไม่กินเราก็ไม่ได้บอกว่าจะต้อง
01:31:38 → 01:31:41 ไปเริ่มกินแต่ถ้าใครที่กินอยู่แล้วเราแนะ
01:31:41 → 01:31:44 นำว่าให้กินในปริมาณที่พอเหมาะซึ่งใน
01:31:44 → 01:31:46 เมดิเตอเรเนียนเองเนี่ยเขาไม่ได้พูดถึง
01:31:46 → 01:31:49 แอลกอฮอล์ทุกชนิดแต่เขาจะเน้นที่ไวนเหตุ
01:31:49 → 01:31:51 ผลที่เน้น W เพราะว่าใน W เนี่ยมันจะมี
01:31:51 → 01:31:53 สารต้านอนุมูลอิสระที่มาจากผิวขององุ่น
01:31:53 → 01:31:57 แดงที่ใช้ร่วมด้วยอย่างเงี้ยค่ะนะคะเพราะ
01:31:57 → 01:31:58 ฉะนั้นถ้าสมมุติบอกว่าจะกิน
01:31:58 → 01:32:00 เมดิเตอเรเนียนแล้วจะไม่ดื่มวายก็ไม่ได้
01:32:00 → 01:32:03 ผิดถ้าใครที่มีปัญหาเรื่องของโรคตับอยู่
01:32:03 → 01:32:06 แล้วก็ไม่แนะนำที่จะให้ไปดื่มแอลกอฮอล์นะ
01:32:06 → 01:32:10 [เพลง]
01:32:10 → 01:32:13 คะจากที่กล่าวมาทั้งหมดนะคะจริงๆมันมีมาก
01:32:13 → 01:32:15 กว่านี้เนาะแต่ว่าที่เราพูดกันมาใน 5 อัน
01:32:15 → 01:32:17 เนี้ยจริงๆมันก็จะเป็นเทรนด์ซึ่งเดี๋ยว
01:32:17 → 01:32:20 เข้ามาแล้วเดี๋ยวก็ออกไปอยู่เรื่อยๆนะคะ
01:32:20 → 01:32:22 จริงๆแล้วเนี่ยแต่ละอย่างงก็จะมีทั้งข้อ
01:32:22 → 01:32:25 ดีและข้อเสียที่พูดไปแล้วซึ่งมันก็คงจะ
01:32:25 → 01:32:27 พูดได้แค่คร่าวๆเนาะในรายละเอียดถ้า
01:32:27 → 01:32:30 สมมุติว่าเราอยากจะลดน้ำหนักนะคะถ้า
01:32:30 → 01:32:32 สมมุติเราสามารถที่จะลดแคลอรีลงไปได้กิน
01:32:32 → 01:32:35 ให้น้อยลงยังไงน้ำหนักมันก็ลดลงหลังการ
01:32:35 → 01:32:38 ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะเป็นสิ่งที่จะทำให้
01:32:38 → 01:32:41 การคุมน้ำหนักอันเนี้ยทำได้อย่างยั่งยืน
01:32:41 → 01:32:43 ถ้าสมมุติว่าเราลดน้ำหนักช่วงสั้นๆเดี๋ยว
01:32:43 → 01:32:45 พอเราเปลี่ยนพฤติกรรมเราไม่ทำเหมือนเดิม
01:32:45 → 01:32:48 มันก็อ้วนอีกนะคะเพราะฉะนั้นเนี่ยจริงๆ
01:32:48 → 01:32:50 แล้วแต่ละลายเนี่ยก็จะมีข้อจำกัดในเรื่อง
01:32:50 → 01:32:54 ของโรคประจำตัวหรือว่านิสัยการกินนะคะแนะ
01:32:54 → 01:32:56 นำว่าให้ปรึกษาคุณหมอหรือว่านักกำหนด
01:32:56 → 01:32:59 อาหารนะคะเพื่อจะดูว่าวิธีไหนที่เหมาะกับ
01:32:59 → 01:33:01 ท่านนะคะอันนี้ก็น่าจะดีที่สุดการปรับ
01:33:01 → 01:33:04 เปลี่ยนพฤติกรรมควรจะทำไปตลอดชีวิตแล้ว
01:33:04 → 01:33:06 ไม่ใช่ควบคุมแค่เรื่องของอาหารแต่ควรจะมี
01:33:06 → 01:33:09 การออกกำลังกายร่วมด้วยค่ะสำหรับเทรนด์
01:33:09 → 01:33:11 ของรูปแบบอาหารลดน้ำหนักนะคะก็จะมีมากมาย
01:33:11 → 01:33:13 เดี๋ยวผ่านมาแล้วก็ผ่านไปนะคะนั่งอยู่ตรง
01:33:14 → 01:33:16 นี้หลายปีเนี่ยก็จะเห็นมาหลายรูปแบบมาก
01:33:16 → 01:33:20 เลยแต่สิ่งนึงที่ยังคงอยู่เสมอก็คือการลด
01:33:20 → 01:33:22 น้ำหนักเนี่ยจะทำได้ก็ต่อเมื่อเราคุม
01:33:22 → 01:33:25 อาหารได้แล้วเราก็ต้องเพิ่มการออกกำลัง
01:33:25 → 01:33:28 กายด้วยนะคะอันเนี้ยถ้าทำได้เนี่ยยังไงก็
01:33:28 → 01:33:31 ผอมแน่นอนนะคะถ้าสงสัยหรือมีข้อข้องใจ
01:33:32 → 01:33:34 เกี่ยวกับเรื่องของอาหารนะคะก็แนะนำให้
01:33:34 → 01:33:36 เดินเข้ามาคุยกับคุณหมอหรือว่านักกำหนด
01:33:36 → 01:33:39 อาหารนะคะเคจะได้แนะนำแนวทางที่เฉพาะ
01:33:39 → 01:33:42 สำหรับตัวคุณนะคะที่เหมาะกับตัวท่านไม่
01:33:42 → 01:33:44 ว่าจะเป็นเรื่องของรูปแบบการกินหรือว่า
01:33:44 → 01:33:47 โรคประจำ
01:33:47 → 01:33:51 ตัวสวัสดีค่ะแพทย์หญิงดารุนีววโรดมวิจิตร
01:33:51 → 01:33:54 นะคะมาพบกันอีกครั้งในรายการ Food Choice
01:33:54 → 01:33:57 กินดีสุขภาพดีเลือกได้กับหมอเอ๋ค่ะวันนี้
01:33:57 → 01:34:00 นะคะเราจะมาคุยกันในเรื่องของอาหารสร้าง
01:34:00 → 01:34:03 กล้ามเนื้อค่ะตอนนี้หลายๆคนก็แบบอยากจะมี
01:34:03 → 01:34:06 กล้ามเนื้อที่แข็งแรงนะคะอยากจะสร้าง
01:34:06 → 01:34:11 ซิกแพคเราจะกินยังไงเดี๋ยวเราจะมาคุยกัน
01:34:11 → 01:34:15 ค่ะสำหรับความต้องการโปรตีนนะคะในคนทั่วๆ
01:34:15 → 01:34:18 ไปกับคนที่เราจะไปออกกำลังกายเพื่อจะให้
01:34:18 → 01:34:20 มีกล้ามเนื้อเยอะๆเนี่ยมีความต้องการต่าง
01:34:20 → 01:34:23 กันไมนะคะจริงๆก็ต้องบอกว่าต่างกันถ้า
01:34:23 → 01:34:25 เป็นคนทั่วไปในชีวิตประจำวันทั่วไปเนี่ย
01:34:25 → 01:34:28 เราใช้หรือว่าเราต้องการโปรตีนเนี่ยอยู่
01:34:28 → 01:34:31 ที่ประมาณ 0.8 -1 กรัมของโปรตีนนะคะต่อ
01:34:31 → 01:34:34 น้ำหนักตัวเป็นกิโลต่อวันอ่าเพราะฉะนั้น
01:34:34 → 01:34:37 เอาง่ายๆก็คือ 1 กรัมเราหนัก 50 กลเราก็
01:34:37 → 01:34:40 ต้องการโปรตีน 50 กรัมประมาณนี้นะคะแต่ใน
01:34:40 → 01:34:42 กรณีของคนที่ออกกำลังกายแล้วก็มีการเสริม
01:34:42 → 01:34:44 สร้างกล้ามเนื้ออ่าเรารู้แล้วล่ะว่า
01:34:44 → 01:34:47 โปรตีนที่เรากินเข้าไปเนี่ยมันมีหน้าที่
01:34:47 → 01:34:51 ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอถ้าเราเล่นกีฬามากๆ
01:34:51 → 01:34:53 หนักๆกล้ามเนื้อเราจะมีการบาดเจ็บใช่มั้
01:34:53 → 01:34:56 คะเพราะฉะนั้นเนี่ยคนกลุ่มนี้ก็จะต้องการ
01:34:56 → 01:34:59 โปรตีนมากขึ้นเพื่อเอาไปเสริมสร้างกล้าม
01:34:59 → 01:35:01 เนื้อที่บาดเจ็บเพฉะนั้นเขาคต้องการเพิ่ม
01:35:01 → 01:35:04 ขึ้นถามว่าเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ขึ้นกับว่าเค
01:35:04 → 01:35:07 เล่นหรือว่าออกกำลังกายหนักมากมยโดยทั่ว
01:35:07 → 01:35:10 ไปเราก็จะอยู่ที่ประมาณ 1.5 นะคะแล้วก็
01:35:10 → 01:35:13 อาจจะมากจนถึงประมาณ 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว
01:35:13 → 01:35:16 1 กลกต่อวันคือประมาณ 50 - 100% ของ
01:35:16 → 01:35:20 ความต้องการของคนทั่วไปทีนี้ในอีกกรณีนึง
01:35:20 → 01:35:23 เช่นสมมุติว่าเราต้องการจะแบบเป็นนักกีฬา
01:35:23 → 01:35:25 หรือว่าเราต้องการจะสร้างกล้ามแบบพวกเพาะ
01:35:25 → 01:35:28 กายอ่าพวกนี้เนี่ยอาจจะต้องการโปรตีนเยอะ
01:35:28 → 01:35:30 ขึ้นบอกและว่าโปรตีนเพิ่มขึ้นตามระดับ
01:35:30 → 01:35:34 หรือว่าเอ่อความเข้มข้นของการที่เราจะออก
01:35:34 → 01:35:37 กำลังให้มันหนักขึ้นนะคะบางคนเอาจจะมากจน
01:35:37 → 01:35:40 ถึง 2-3 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กกต่อวันนะ
01:35:40 → 01:35:43 คะเพราะฉะนั้นเนี่ยมันจะเป็นระดับตามความ
01:35:43 → 01:35:45 เอ่อเค้าเรียกความเข้มข้นเวลาที่เขาจะ
01:35:45 → 01:35:48 สร้างกล้ามเนื้ออันแรกก่อนถ้าสมมุติว่า
01:35:48 → 01:35:50 ปริมาณโปรตีนต้องเพียงพอเหมือนที่บอก
01:35:50 → 01:35:52 เมื่อสักครู่นี้นะคะอยู่ที่ว่าเราจะเล่น
01:35:53 → 01:35:55 หนักไหมมันก็เริ่มตั้งแต่ 1 กรัมถ้าเป็น
01:35:55 → 01:35:59 คนทั่วไปอ่านักกีฬาที่ออกกำลังกายพอสมควร
01:35:59 → 01:36:01 ต้องการสร้างกล้ามให้มันเห็นชัดเจนสร้าง
01:36:01 → 01:36:05 ซิกแพคธรรมดาอาจจะ 1.5 จนถึง 2 แต่ถ้า
01:36:05 → 01:36:09 สมมุติเป็นนักเพาะกายอาจจะไป 2-3 ก็มีนะ
01:36:09 → 01:36:11 คะทีนี้เวลาที่เราจะคำนวณกันเราก็คำนวณ
01:36:11 → 01:36:14 ไม่ยากหรอกค่ะออกมาเป็นกรัมถามว่าพอออกมา
01:36:14 → 01:36:16 เป็นกรัมเสร็จปุ๊บแล้วปริมาณอันนั้นคือ
01:36:16 → 01:36:19 อะไรถ้าสมมุติเรามองในรูปของเนื้อสัตว์
01:36:19 → 01:36:23 อ่ะค่ะแล้วเราตักด้วยช้อนโต๊ะนะคะ 2 ช้อน
01:36:23 → 01:36:26 โต๊ะก็คือประมาณ 7 กรัมง่ายๆเลยสมมุติว่า
01:36:26 → 01:36:29 เราคิดว่าเราต้องการวันนึงเท่าไหร่วันนึง
01:36:29 → 01:36:31 สมมุติเราต้องการประมาณ 70 กรัมมันก็จะ
01:36:31 → 01:36:34 เป็นจำนวนที่เป็นช้อนโต๊ะในแต่ละมื้อ
01:36:34 → 01:36:36 เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการ 70 กรัมหมาย
01:36:36 → 01:36:39 ความว่าเราต้องใช้ประมาณ 7 ช้อนโต๊ะของ
01:36:39 → 01:36:42 เนื้อสัตว์ชนิดของโปรตีนก็มีความสำคัญอัน
01:36:42 → 01:36:45 แรกเลยเขาจะใช้โปรตีนที่มีไขมันต่ำค่ะ
01:36:45 → 01:36:47 เพราะว่าเวลาที่เราจะเพาะกายหรือเราจะ
01:36:47 → 01:36:49 สร้างก้ามเนี่ยเราไม่ได้ต้องการไขมันเยอะ
01:36:49 → 01:36:52 นะคะเขาก็จะใช้โปรตีนที่มีไขมันต่ำดูดซึม
01:36:52 → 01:36:55 ง่ายอ่าถ้าเป็นโปรตีนที่มีไขมันสูงเนี่ย
01:36:55 → 01:36:58 ข้อเสียที่จะตามมาก็คือลำไส้จะบีบตัวช้า
01:36:58 → 01:37:01 ลงก็จะท้องอืดแล้วก็จะแน่นท้องได้ง่ายนะ
01:37:01 → 01:37:04 คะอ่าชนิดของโปรตีนที่ใช้มีความสำคัญ
01:37:04 → 01:37:07 เหมือนกันค่ะเ่อโปรตีนชนิดที่ใช้จะต้อง
01:37:07 → 01:37:10 เป็นชนิดที่ดูดซึมง่ายแล้วก็สามารถที่จะ
01:37:10 → 01:37:13 เข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วถามว่า
01:37:13 → 01:37:15 มันคืออะไรอ่าอย่างเช่นยกตัวอย่างนะคะ
01:37:15 → 01:37:19 โปรตีนที่มันเป็นพวกนมพวกเอ่อนมถั่ว
01:37:19 → 01:37:22 เหลืองนะคะในนมวัวเนี่ยมันจะมีโปรตีนอยู่
01:37:22 → 01:37:27 2 ชนิดเราเรียกว่าเคซีนกับเวนะคะเคซีน
01:37:27 → 01:37:29 คืออะไรลองนึกภาพเวลาที่เรามีเอ่อนมแล้ว
01:37:29 → 01:37:31 เราวางเอาไว้แล้วมันเป็นเคิสหรือว่ามัน
01:37:32 → 01:37:34 เป็นเค้าเรียกมันเป็นก้อนๆน่ะค่ะนะคะอัน
01:37:34 → 01:37:37 นั้นน่ะคือส่วนที่เป็นเคซีนส่วนที่เป็นเว
01:37:38 → 01:37:40 คือส่วนของโปรตีนที่มันจะเป็นน้ำใสๆอยู่
01:37:40 → 01:37:42 ข้างบนอันนั้นคือเวพูดอย่างนี้แล้วก็จะ
01:37:42 → 01:37:44 เห็นภาพเลยว่าเวเนี่ยมันจะเป็นน้ำใสๆ
01:37:44 → 01:37:47 เพราะฉะนั้นมันจะละลายได้ดีนะคะถ้าสมมุติ
01:37:47 → 01:37:50 ว่าเวลาที่เรากินเข้าไปในกรณีที่เป็นนม
01:37:50 → 01:37:54 วัวธรรมดาเนี่ยเคซีนมีอยู่ 80% เวมีอยู่
01:37:54 → 01:37:57 20% เพราะฉะนั้นตัวที่จะทำให้มีการดูด
01:37:57 → 01:37:59 ซึมได้อย่างรวดเร็วแล้วกระตุ้นการสร้าง
01:37:59 → 01:38:02 กล้ามเนื้อได้อย่างรวดเร็วก็คือเวถามว่า
01:38:02 → 01:38:05 กินระหว่างนมวัวกับกินนมถั่วเหลืองอันไหน
01:38:06 → 01:38:08 กระตุ้นได้ดีกว่าต้องบอกเป็นนมถั่วเหลือง
01:38:08 → 01:38:11 เพราะว่าในนมวัวค่ะมันมีเวยก็จริงแต่เว
01:38:11 → 01:38:14 มันน้อยเววมันมีแค่ 20% นะคะเพราะฉะนั้น
01:38:14 → 01:38:16 เนี่ยถ้าสมมุติว่ากินกินเป็นพวกของนมถั่ว
01:38:16 → 01:38:19 เหลืองเนี่ยอาจจะกระตุ้นได้ดีกว่านะคะอัน
01:38:19 → 01:38:21 ที่ 2 ก็คือนอกจากโปรตีนที่ละลายได้เร็ว
01:38:22 → 01:38:25 แล้วเนี่ยชนิดของโปรตีนก็มีความสำคัญมัน
01:38:25 → 01:38:29 จะมีกรดอะมิโนตัวนึงที่ชื่อว่าลิวซีนค่ะ
01:38:29 → 01:38:31 ตัวเนี้ยจะเป็นตัวที่ไปกระตุ้นให้มีการ
01:38:31 → 01:38:34 สร้างกล้ามเนื้อซึ่งมันมีมากในโปรตีนที่
01:38:34 → 01:38:37 มาจากสัตว์พวกนมวัวก็ตามพวกเวยก็ตามหรือ
01:38:37 → 01:38:39 ว่าพวกเนื้อสัตว์ก็ตามจะมีลิวซีนมากกว่า
01:38:39 → 01:38:42 ที่จะมาจากพวกของถั่วเหลืองนะคะดังนั้น
01:38:42 → 01:38:45 เนี่ยบางคนจะกินเป็นอะไรคะเป็นอกไก่ปั่น
01:38:45 → 01:38:47 อย่างเงี้ยกิินเป็นเวยอย่างเงี้ยค่ะเพราะ
01:38:47 → 01:38:49 ว่าพอกินเข้าไปแล้วมันมีลิวซีนเยอะพอ
01:38:49 → 01:38:51 ลิวซีนเยอะปุ๊บมันก็จะไปช่วยกับกระตุ้น
01:38:51 → 01:38:54 ให้มีการสร้างโปรตีนได้ดีกว่าดังนั้น
01:38:54 → 01:38:56 เนี่ยหลายๆคนเนี่ยก็บอกว่าถ้ามันกินจาก
01:38:56 → 01:38:59 อาหารไม่พอเขาก็จะกินเสริมเป็นลักษณะของ
01:38:59 → 01:39:01 นมหรือเป็นเครื่องดื่มซึ่งแน่นอนค่ะแทน
01:39:01 → 01:39:03 ที่จะเป็นนมวัวเนี่ยเขาจะเลือกเป็นเว
01:39:03 → 01:39:06 เพราะว่าเต้องการโปรตีนที่มันดูดซึมได้
01:39:06 → 01:39:09 ง่ายและได้อย่างรวดเร็วทีนี้พอเรามารู้
01:39:09 → 01:39:11 แล้วว่าอันที่ 1 เราต้องการกินโปรตีน
01:39:11 → 01:39:13 ปริมาณเท่าไหร่ใช่มั้ยคะโปรตีนที่ใช้
01:39:13 → 01:39:16 เนี่ยจะใช้เป็นอะไรเนาะก็จะเป็นโปรตีนที่
01:39:16 → 01:39:19 มีไขมันต่ำอ่าอีกอันนึงค่ะคือปริมาณที่
01:39:19 → 01:39:21 กินต่อครั้งเช่นสมมุติว่าเราขับคำนวณได้ะ
01:39:21 → 01:39:24 ว่าวันเนี้ยเราจะกินประมาณ 200 กรัมถาม
01:39:24 → 01:39:26 ว่าฉันกิน 200 กรัมทีเดียวเลยหรือเปล่า
01:39:26 → 01:39:29 ไม่นะคะโดยทั่วไปในแต่ละครั้งที่เรากิน
01:39:29 → 01:39:32 เนี่ยเ่ามันจะมีเอฟเฟคอันนึงเขาเรียกว่า
01:39:32 → 01:39:35 เป็น Muscle fullness คือมันอิ่มให้มาก
01:39:35 → 01:39:38 กว่าเนี้ยกล้ามเนื้อก็จะไม่สร้างนะคะซึ่ง
01:39:38 → 01:39:41 ปกติอ่ะค่ะมันจะอยู่ที่ประมาณสัก 20-30
01:39:41 → 01:39:44 กรัมของโปรตีนดังนั้นในแต่ละครั้งที่กิน
01:39:44 → 01:39:47 เช่นหลังการเล่นกีฬาหรือหลังการออกกำลัง
01:39:47 → 01:39:49 กายต่อ 1 ครั้งนี่เขาจะกินอยู่ประมาณนี้
01:39:49 → 01:39:52 ค่ะ 20-30 กรัมแล้วหลังจากนั้นเนี่ยเขาก็
01:39:52 → 01:39:54 จะค่อยๆเพิ่มให้วันนึงเนี่ยมันได้ครบตาม
01:39:54 → 01:39:57 ที่เขาต้องการนะคะดังนั้นหลังออกกำลังกาย
01:39:57 → 01:39:59 เสร็จปุ๊บนักกีฬาก็มักจะกินอยู่ที่ประมาณ
01:39:59 → 01:40:03 20-30 กรัมโปรตีนนะคะกินเป็นเวลาเท่า
01:40:03 → 01:40:05 ไหร่โดยทั่วไปก็จะสักประมาณครึ่งชั่วโมง
01:40:05 → 01:40:07 ไม่เกิน 3 ชั่วโมงหลังจากออกกำลังกาย
01:40:07 → 01:40:10 เสร็จเขาก็จะเริ่มกินโปรตีนกันและนะคะ
01:40:10 → 01:40:12 แล้วถ้าสมมุติว่ากินเป็นโปรตีนปกติไม่พอ
01:40:12 → 01:40:15 บางคนก็จะใช้เป็นพวกของเอ่อเป็นนมหรือ
01:40:15 → 01:40:17 เป็นเวอะไรอย่างเงี้ยค่ะเสริมนะคะซึ่ง
01:40:17 → 01:40:19 ส่วนใหญ่ก็จะใช้เป็นเวเพราะว่ามีลิวซีน
01:40:19 → 01:40:22 เยอะแล้วก็ละลายน้ำได้ดีแล้วก็จะไม่ใส่
01:40:22 → 01:40:24 เกลือเยอะนะคะเพราะเวลาใส่เกลือเยอะแล้ว
01:40:24 → 01:40:26 มันจะบวมอ่าพวกที่จะเล่นกล้ามหรือเฉพาะ
01:40:26 → 01:40:28 กายเไม่ต้องการความบวมเพราะฉะนั้นพวกนี้
01:40:28 → 01:40:30 จะค่อนข้างจืดทีนี้เมื่อกี้บอกไปแล้วว่า
01:40:30 → 01:40:33 ในกรณีที่เราจะสร้างกล้ามเนี่ยเขาจะไม่
01:40:33 → 01:40:35 ค่อยอยากมีไขมันเนาะแล้วก็มันจะต้องค่อน
01:40:35 → 01:40:38 ข้างดูแห้งๆนิดหน่อยเพื่อจะให้เห็นเส้น
01:40:38 → 01:40:40 หรือว่าเห็นลวดลายของกล้ามเนื้อชัดเจนใช่
01:40:40 → 01:40:43 มั้ยคะดังนั้นอาหารที่มีโซเดียมมากๆเนี่ย
01:40:43 → 01:40:45 จะไม่ใช่อาหารที่เขาแนะนำแต่ว่าถ้าเรา
01:40:45 → 01:40:48 เล่นกีฬาแล้วเรามีการเสียเหงื่อมากๆนะคะ
01:40:48 → 01:40:50 โซเดียมเป็นสิ่งที่จำเป็นเพราะว่าเวลาที่
01:40:50 → 01:40:52 ที่เราเสียเหงื่อไปถ้าใครเคยชิมมจะรู้สึก
01:40:52 → 01:40:55 ว่าเหงื่อมันเค็มๆนะคะดังนั้นเหงื่อที่
01:40:55 → 01:40:58 ออกไปเนี่ยก็จะมีการสูญเสียโซเดียมไปด้วย
01:40:58 → 01:41:00 ถ้าเราเสียเหงื่อมากแล้วกิจกรรมที่เรา
01:41:01 → 01:41:03 เล่นหรือการออกกำลังกายนั้นเป็นแอโรบิ
01:41:03 → 01:41:05 หรือเป็นคาร์ดิโอซึ่งเสียเหงื่อเยอะๆอัน
01:41:05 → 01:41:07 นี้เราต้องทดแทนนะคะโดยการใช้เครื่องดื่ม
01:41:07 → 01:41:10 เกลือแร่ไม่งั้นถ้าเกลือแร่ต่ำเนี่ยจะทำ
01:41:10 → 01:41:13 ให้เกิดตะคิวได้จะทำให้เกิดแบบอาการเวียน
01:41:13 → 01:41:15 หัวหน้ามืดหรือจะเป็นลมได้นะคะเพราะ
01:41:16 → 01:41:18 ฉะนั้นอันนี้ต้องเสริมเกลือแร่ด้วยแต่ว่า
01:41:18 → 01:41:20 ในอาหารที่เป็นโปรตีนส่วนใหญ่เขาจะไม่
01:41:20 → 01:41:22 ค่อยเติเติมเกลือลงไปเพราะว่าเขากลัวว่า
01:41:22 → 01:41:25 เดี๋ยวจะทำให้บวมถึงแม้เราจะบอกว่าคนที่
01:41:25 → 01:41:27 ต้องการจะสร้างกล้ามเนี่ยจะพยายามกินไข
01:41:27 → 01:41:30 มันต่ำแต่ไม่ได้บอกว่าห้ามกินไขมันนะคะ
01:41:30 → 01:41:32 ยังสามารถกินไขมันได้แล้วก็แนะนำว่าให้
01:41:32 → 01:41:36 กินไขมันดีนะคะไม่เอาไขมันเลวสังเกตว่า
01:41:36 → 01:41:39 อาหารของคนที่จะต้องการจะเ่อเป็นพ่อกาย
01:41:39 → 01:41:41 หรือว่าคนที่เป็นนักกีฬาเนี่ยส่วนใหญ่จะ
01:41:41 → 01:41:44 ไม่ค่อยมันนะคะมักจะลีนนะคะเพราะว่าเขาค
01:41:44 → 01:41:46 ไม่ได้ต้องการไข่มันเยอะนะคะส่วนนึงอาจจะ
01:41:46 → 01:41:49 เป็นเพราะว่าต้องการจะลดน้ำหนักด้วยนะคะ
01:41:49 → 01:41:51 แต่ว่ายังสามารถที่จะกินไขมันได้แล้วก็
01:41:51 → 01:41:54 ให้เลือกเป็นไขมันที่เป็นไขมันดีนะคะไข
01:41:54 → 01:41:57 มันดีคืออะไรก็คือน้ำมันที่ไม่เป็นไขไม่
01:41:57 → 01:42:00 เป็นก้อนเป็นน้ำมันที่ไม่อิ่มตัวนะคะหรือ
01:42:00 → 01:42:03 บางคนเนี่ยจะเลือกเป็นพวกน้ำมันมะกอกอะไร
01:42:03 → 01:42:06 อย่างนี้ก็พอได้นะคะเวลาที่จะออกกำลังกาย
01:42:07 → 01:42:09 หรือว่าต้องการที่จะสร้างกล้ามเนื้อห้าม
01:42:09 → 01:42:13 อดคาร์โบไฮเดรตนะคะไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้
01:42:13 → 01:42:15 กินเลยไม่ใช่นะคะคาร์โบไฮเดรตยังจำเป็น
01:42:15 → 01:42:18 อยู่ยิ่งถ้าใครที่ออกกำลังกายโดยมีการ
01:42:18 → 01:42:20 เล่นคาร์ดิโอหรือว่าพวกของ endurance นะ
01:42:20 → 01:42:23 นะคะออกกำลังกายหนักๆเนี่ยพวกเนี้ยร่าง
01:42:23 → 01:42:26 กายยังจำเป็นที่จะต้องได้รับเอ่อพลังงาน
01:42:26 → 01:42:28 นะคะซึ่งพวกนี้ก็จะมาหลักๆจากพวกที่เป็น
01:42:28 → 01:42:30 คาร์โบไฮเดรตอ่าเราก็แนะนำให้เป็นกลุ่ม
01:42:30 → 01:42:33 ของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนนะคะเป็นพวกของ
01:42:33 → 01:42:36 ธัญพืชเป็นข้าวแป้งที่มันมีข้าวกล้องนะคะ
01:42:36 → 01:42:39 มีไฟเบอร์แล้วก็มีเส้นใยช่วยในเรื่องของ
01:42:39 → 01:42:42 การเสริมสร้างเอ่อแร่ธาตุแล้วก็ไวตามิน
01:42:42 → 01:42:45 ร่วมไปด้วยค่ะที่เราไม่ให้งดแป้งส่วนนึง
01:42:45 → 01:42:47 อ่ะนะคะเพราะว่าคาร์โบไฮเดรตหรือว่าแป้ง
01:42:47 → 01:42:49 ที่เรากินเข้าไปเนี่ยหลังจากนั้นเนี่ย
01:42:49 → 01:42:51 ร่างกายเราจะไปเก็บในรูปของไกลโคเจนซึ่ง
01:42:51 → 01:42:54 ไกลโคเจนเนี่ยเป็นแหล่งพลังงานสำรองเวลา
01:42:54 → 01:42:55 ที่เราออกกำลังกายหนักๆนะคะเพราะฉะนั้น
01:42:56 → 01:42:59 ห้ามงดแป้งนะคะแล้วที่สำคัญห้ามลืมพวกของ
01:42:59 → 01:43:02 ไฟเบอร์ด้วยนะคะเวลาที่เราบังคับหรือว่า
01:43:02 → 01:43:04 เราบอกว่าต้องกินพวกโปรตีนเยอะๆเนี่ยบาง
01:43:04 → 01:43:06 ครั้งบางทีอาจจะมีปัญหาเรื่องของท้องผูก
01:43:06 → 01:43:09 นะคะการกินไฟเบอร์ร่วมเข้าไปด้วยเนี่ยก็
01:43:09 → 01:43:11 จะช่วยทำให้เอ่อระบบขับถ่ายของเราทำงาน
01:43:11 → 01:43:14 ได้ดีขึ้น
01:43:14 → 01:43:18 ค่ะเดี๋ยวเราจะพูดถึงอาหารโปรตีนสูงแล้ว
01:43:18 → 01:43:21 ก็ไขมันต่ำที่มีคนนิยมเอาไปใช้นะคะสำหรับ
01:43:21 → 01:43:24 คนที่ต้องการจะเสริมสร้างกล้ามเนื้อนะคะ
01:43:24 → 01:43:27 อันแรกก็คืออกไก่นะคะอกไก่ถือว่าเป็น
01:43:27 → 01:43:30 โปรตีนที่มีโปรตีนสูงแล้วก็ไขมันต่ำเป็น
01:43:30 → 01:43:33 โปรตีนคุณภาพดีอ่าเนื้อไก่นะคะส่วนใหญ่
01:43:33 → 01:43:36 ที่เค้านิยมใช้เนี่ยมักจะเป็นเนื้ออกเหตุ
01:43:36 → 01:43:38 ผลเพราะว่าตรงเนื้ออกเนี่ยจะถือว่าเป็น
01:43:38 → 01:43:42 ส่วนที่มีไขมันต่ำนะคะราคาไม่แพงเวลาที่
01:43:42 → 01:43:45 เราต้องการใช้ในปริมาณมากนะคะเอ่อวิธีการ
01:43:45 → 01:43:48 คำนวณค่ะก็คือว่าถ้าเป็นเนื้อไก่เนี่ย
01:43:48 → 01:43:51 เวลาเราซื้อมาเป็นอกไก่สดน่ะนะคะ 40 กรัม
01:43:51 → 01:43:54 จะพอต้มแล้วเนี่ยมันก็จะเหลืออยู่ประมาณ
01:43:54 → 01:43:57 สัก 30 กรัมซึ่งอันเนี้ยจะให้โปรตีนอยู่
01:43:57 → 01:44:00 ที่ประมาณ 7 กรัมก็ถ้าสมมุติว่าเราเริ่ม
01:44:00 → 01:44:03 ต้นจากคนหนักประมาณ 70 กใช่ไหมมคะแล้วเรา
01:44:03 → 01:44:06 ต้องการประมาณ 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก
01:44:06 → 01:44:08 เนาะอ่า 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กลกหมาย
01:44:08 → 01:44:10 ความว่าเาต้องการโปรตีนอยู่ที่ประมาณ 140
01:44:10 → 01:44:12 กรัมเพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการอยู่ที่
01:44:12 → 01:44:16 ประมาณ 140 กรัมก็คือเท่ากับเนื้อไก่อีก
01:44:16 → 01:44:19 ประมาณ 800 กรัมเราก็ไปซื้อเนื้ออกไก่มา
01:44:20 → 01:44:23 800 กรัมนะคะก็เกือบกิโลกอ่ะแล้วก็เอามา
01:44:23 → 01:44:26 ต้มเสร็จแล้วเนี่ยถามว่ากินหมดมยเอาไม่
01:44:26 → 01:44:29 หมดก็เอามาปั่นนะคะพอปั่นเป็นน้ำเสร็จ
01:44:29 → 01:44:31 ปุ๊บเนี่ยถ้ารสชาติที่มันออกมาจริงๆมันจะ
01:44:31 → 01:44:34 จืดๆเข้าก็เลยเรียกว่านมอกไก่นะคะทีนี้
01:44:34 → 01:44:36 ถ้ามันกินยากมว่าจะเติมเกลือนิดหน่อยแต่
01:44:36 → 01:44:38 เขาจะไม่เติมเยอะนะคะเติมแค่แบบเติมเกลือ
01:44:38 → 01:44:41 พริกไทยเพื่อจะให้มันมีรสชาตินิดนึงจะได้
01:44:41 → 01:44:44 ดื่มง่ายนะคะดังนั้นเนื้ออกไก่ 800 กรัม
01:44:44 → 01:44:47 ก็จะได้โปรตีนอยู่ที่ประมาณ 140 กรัมค่ะ
01:44:47 → 01:44:49 แต่ว่าเหมือนที่บอกตอนแรกนะคะเราจะให้ที
01:44:49 → 01:44:52 เดียวเยอะเยอะเนี่ยกล้ามเนื้อเราสร้างไม่
01:44:52 → 01:44:54 ไหวละมันอิ่มละเพราะฉะนั้นเราก็จะต้อง
01:44:54 → 01:44:57 แบ่งให้ถ้าเราแบ่งให้ทีละสัก 30 อย่าง
01:44:57 → 01:45:00 เงี้ยค่ะเราก็จะให้เป็น 7 หรือ 8 มื้อ
01:45:00 → 01:45:03 หรือเราอาจจะดูว่าเอ่อในมื้อหลักเรากิน
01:45:03 → 01:45:05 เท่าไหร่แล้วก็ในหลังจากที่เราออกกำลัง
01:45:05 → 01:45:08 กายเนี่ยเราจะกินทีละสักประมาณ 30-40
01:45:08 → 01:45:10 กรัมอย่างเงี้ยค่ะที่นิยมพอๆกันอีกอันนึง
01:45:10 → 01:45:12 ก็จะเป็นไข่เนาะแต่ว่าจริงๆแล้วเนี่ยถ้า
01:45:13 → 01:45:15 แบบพวกที่ต้องการจะสร้างกล้ามเนืมักจะกิน
01:45:15 → 01:45:18 แค่ไข่ขาวนะคะเพราะว่าถ้าสมมุติว่าจะกิน
01:45:18 → 01:45:20 ปริมาณเยอะๆเนี่ยแล้วกินไข่แดงด้วยเนี่ย
01:45:20 → 01:45:22 มันจะต้องได้ไขแดงเยอะมากซึ่งมันจะทำให้
01:45:22 → 01:45:25 มีไขมันแล้วก็มีคอเลสเตอรอลที่สูงขึ้นนะ
01:45:25 → 01:45:27 คะดังนั้นเนี่ยส่วนใหญ่พวกนักกีฬาเพราาะ
01:45:27 → 01:45:29 กายหรือว่าพวกที่จะสร้างกล้ามเนื้อมักจะ
01:45:29 → 01:45:33 กินแค่ไข่ขาวในไข่ขาว 1 ฟองค่ะจะมีโปรตีน
01:45:33 → 01:45:36 อยู่ประมาณ 7 กรัมซึ่งเท่ากับเนื้ออกไก่
01:45:36 → 01:45:40 เมื่อสักครู่เนี้ย 40 กรัมถ้าเราจะคิดใน
01:45:40 → 01:45:41 ปริมาณที่เท่ากันกับเมื่อสักครู่ที่เรา
01:45:41 → 01:45:45 คิดเรื่องของเนื้อไก่นะคะในคนที่ 70 กก
01:45:45 → 01:45:47 เนี่ยเราก็ต้องการประมาณ 2 กรัมต่อน้ำ
01:45:47 → 01:45:50 หนักตัว 1 กกต่อวันถ้าเราใช้เนื้อไก่
01:45:50 → 01:45:52 ประมาณ 8 800 กรัมนะคะคิดออกมาเป็นไข่
01:45:52 → 01:45:55 ขาวแล้วเนี่ย 1 ฟองให้โปรตีนประมาณ 4
01:45:55 → 01:45:59 กรัมเราจะใช้ไข่ขาวประมาณ 35 ฟองนะคะหรือ
01:45:59 → 01:46:02 ถ้าเราไปซื้อไข่ขาวดิบที่ขายอยู่นะคะเรา
01:46:02 → 01:46:04 ก็ต้องไปดูว่าไข่ขาวดิบอันนั้นเนี่ยเราจะ
01:46:04 → 01:46:06 ใช้กี่กรัมเพราะว่าเ่อเขาคจะเขียนบอกไว้
01:46:06 → 01:46:09 ว่าไข่ขาวดิบกี่ซีซีหรือว่ากี่กรัมจะได้
01:46:09 → 01:46:13 โปรตีนเท่าไหร่นะคะทีนี้วิธีกินอ่ะค่ะ
01:46:13 → 01:46:16 เค้าคงไม่เอามาต้มเป็นไข่ขาวแล้วก็มากิน
01:46:16 → 01:46:17 ข้าวปากเพราะว่าอันนี้มันจะกินยากเหมือน
01:46:17 → 01:46:20 ที่บอกเมื่อสักครู่นี้กินไก่เนาะวิธีีการ
01:46:20 → 01:46:23 ทำหลายๆคนจะมีทั้งแบบที่กินเป็นไข่ขาวดิบ
01:46:23 → 01:46:26 เลยหรือจะไปลวกให้มันแบบกึ่งสุกกึ่งดิบ
01:46:26 → 01:46:28 เหมือนจะเป็นไข่ลวกอ่ะค่ะแล้วก็ดื่มเข้า
01:46:28 → 01:46:32 ไปนะคะซึ่งปริมาณค่อนข้างมากทีนี้ประเด็น
01:46:32 → 01:46:34 มีนิดเดียวในกรณีของคนที่กินไข่ขาวดิบใน
01:46:34 → 01:46:38 ไข่ขาวดิบจะมีสารตัวนึงชื่อว่าอวอนนะคะ
01:46:38 → 01:46:41 ตัวเนี้ยจะมีหน้าที่ยับยั้งการดูดซึมของ
01:46:41 → 01:46:43 วิตามินตัวนึงที่ชื่อว่าไบโอตินถ้าเมื่อ
01:46:43 → 01:46:46 ไหร่ก็ตามเราทำให้ไข่ขาวสุกอดินจะหายไป
01:46:46 → 01:46:49 ไม่มีปัญหาแต่ถ้าเรากินไข่ขาวดิบเรากิน
01:46:49 → 01:46:53 เป็นปริมาณมากกินเป็นระยะเวลายาวนานเรา
01:46:53 → 01:46:55 อาจจะมีการบกพร่องหรือว่าการดูดซึมของ
01:46:55 → 01:46:58 ไบโอตินเนี่ยมันลดลงได้แล้วทำให้เราขาด
01:46:58 → 01:47:01 ไบโอตินถ้าขาดไบโอตินแล้วทำให้เกิดอะไร
01:47:01 → 01:47:04 ขึ้นอาจจะทำให้หัวล้านได้นะคะเพราะฉะนั้น
01:47:04 → 01:47:07 อันนี้ก็จะเจอได้ถ้าสมมุติว่าคนๆนั้นกิน
01:47:07 → 01:47:09 ไข่ขาวเป็นระยะเวลายาวนานแล้วเป็นไข่ขาว
01:47:09 → 01:47:13 ดิบนะคะอีกกลุ่มนึงก็จะเป็นนมนะคะต้องบอก
01:47:13 → 01:47:15 ก่อนว่านมธรรมดาเนี่ยส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้
01:47:15 → 01:47:18 รับความนิยมเพราะว่าถ้าจะกินนมให้ได้
01:47:18 → 01:47:21 ปริมาณเอิ่มโปรตีนเพียงพอเท่ากับที่
01:47:21 → 01:47:24 ต้องการเนี่ยมันจะมีส่วนของไขมันแล้วก็จะ
01:47:24 → 01:47:27 มีส่วนของน้ำตาลในนมเข้าไปด้วยนะคะซึ่ง
01:47:27 → 01:47:29 ปกติเขาไม่ได้ชอบต้องการที่จะกินน้ำตาล
01:47:29 → 01:47:32 ปริมาณเยอะๆแล้วต้องกินนมปริมาณมากๆสิ่ง
01:47:32 → 01:47:35 ที่เขาจะกินเขาจะกินเป็นนมที่เป็นนมไฮ
01:47:35 → 01:47:38 โปรตีนนะคะหรืออาจจะเป็นนมแล้วมาผสมใน
01:47:38 → 01:47:41 ส่วนของผงโปรตีนแล้วกันนะคะเพื่อจะทำให้
01:47:41 → 01:47:43 ได้โปรตีนเพียงพออันนี้ก็จะเป็นอีกเทคนิค
01:47:44 → 01:47:47 นึงที่จะมีคนทำในเรื่องของการเสริมโปรตีน
01:47:47 → 01:47:50 นะคะอ่านอกเหนือจากนั้นเนี่ยอาหารอื่นๆ
01:47:50 → 01:47:52 ที่ที่เราแนะนำให้กินร่วมกันจะเป็นอะไร
01:47:52 → 01:47:55 บ้างก็อย่างเช่นอ่าอะไรที่มันมีแคลเซียม
01:47:55 → 01:47:57 กับไวตามินดีเยอะนะคะซึ่งอันนี้มันก็จะ
01:47:57 → 01:47:59 ช่วยในเรื่องของการเสริมสร้างพวกของ
01:47:59 → 01:48:02 กระดูกแล้วก็กล้ามเนื้อนะคะอาจจะแบบเวลา
01:48:02 → 01:48:04 ออกกำลังกายบางทีถ้าเราสมมุติว่าเป็นนัก
01:48:04 → 01:48:06 กีฬาแล้วไม่ได้ไปออกกลางแจ้งเลยอยู่ในยิม
01:48:06 → 01:48:08 ตลอดเวลาก็อาจจะต้องเช็คดูนิดนึงว่า
01:48:08 → 01:48:11 ไวตามินดีพอมไวตามินดีไม่พอหลายคนก็อาจจะ
01:48:11 → 01:48:14 ใช้เป็นวิตามินดีเสริมไปหรือว่าอาจจะไป
01:48:14 → 01:48:16 เลือกอาหารซึ่งเหมือนที่บอกค่ะอาหารที่จะ
01:48:16 → 01:48:19 มีวิตามินดีก็มีตั้งแต่นมที่เสริมไวตามิน
01:48:19 → 01:48:21 ดีนะคะพวกพวกสาหร่ายหรือว่าพวกของเห็ดนะ
01:48:21 → 01:48:24 คะโดยเฉพาะพวกที่เป็นเห็ดหอมตักแห้งนะคะ
01:48:24 → 01:48:27 อันนี้ก็จะมีวิตามินดีสูงเช่นกันค่ะนอก
01:48:27 → 01:48:29 เหนือจากนมนะคะที่จะเป็นไฮโปรตีนเนี่ยอีก
01:48:29 → 01:48:31 อันนึงที่คนจะกินก็คือจะเป็นพวกของ
01:48:31 → 01:48:33 โยเกิร์ตแต่ว่าก็จะแนะนำให้เป็นพวกกรีก
01:48:33 → 01:48:35 โยเกิร์ตนะคะเพราะว่ากรีกโยเกิร์ตก็คือ
01:48:35 → 01:48:38 เหมือนกับเอาโยเกิร์ตมาทำให้เข้มข้นอัน
01:48:38 → 01:48:40 นี้จะมีโปรตีนเยอะขึ้นนะคะอันนี้ก็จะเป็น
01:48:40 → 01:48:43 อีกทางเลือกนึงแล้วเหมือนที่บอกค่ะเมื่อ
01:48:43 → 01:48:46 สักครู่นี้ว่ามีคนที่พยายามจะเลือกใช้บอก
01:48:46 → 01:48:48 ว่ากินไม่ไหวก็จะเติมพวกของเวนะคะเรามา
01:48:49 → 01:48:52 รู้จักเวนิดนึงนะคะเเหมือนที่บอกเมื่อตอน
01:48:52 → 01:48:56 ต้นเลยว่าเเองเนี่ยเป็นโปรตีนที่มาจากนม
01:48:56 → 01:48:59 นะคะเป็นส่วนของโปรตีนที่ละลายน้ำได้
01:48:59 → 01:49:02 เพราะฉะนั้นเอานมมาเนี่ย 20% ของโปรตีนนม
01:49:02 → 01:49:05 เนี่ยมันเป็นเวยอีก 80% เป็นเคซีนนะคะ
01:49:05 → 01:49:08 เพราะฉะนั้นกว่าจะสกัดเมาได้เนี่ยมันต้อง
01:49:08 → 01:49:11 ใช้นมปริมาณมากเลยนะคะอ่าเแบ่งอาเป็น 3
01:49:11 → 01:49:14 ส่วนอันแรกเราเรียกว่าเ concentrate นะคะ
01:49:14 → 01:49:17 หรือเข้มข้นอันที่ 2 เราเรียกว่าเป็นเ
01:49:17 → 01:49:20 isolate นะคะคือแยกออกมาเฉพาะเวเลยอัน
01:49:20 → 01:49:22 ที่ 3 เราเรียกว่าเไฮโดรไลเซทหมายความว่า
01:49:22 → 01:49:25 เป็นเที่ย่อยแล้วนะคะไล่มาทีละอันอันแรก
01:49:25 → 01:49:28 ที่เป็นเ concentrate เนี่ยคือเข้มข้นนะ
01:49:28 → 01:49:31 คะแต่ยังไม่ได้เป็น PE Way เพราะฉะนั้น
01:49:31 → 01:49:34 เนี่ยในกรณีของ concentrate เนี่ยจะยังคง
01:49:34 → 01:49:38 มีน้ำตาลในนมอยู่ถ้าใครที่แพ้หรือว่าใคร
01:49:38 → 01:49:40 ที่ย่อยน้ำตาลในนมไม่ได้เช่นกินนมแล้ว
01:49:40 → 01:49:44 ท้องเสียกินนมแล้วมีแก๊สนะคะไม่ควรที่จะ
01:49:44 → 01:49:47 เลือกเ concentrate นะคะพวกนี้จะมีปริมาณ
01:49:48 → 01:49:50 ของเวในผงนมเี่อยู่ประมาณสัก 5 50-80
01:49:50 → 01:49:54 per เนาะอันที่ 2 เราเรียกว่าเ isolate
01:49:54 → 01:49:55 หมายความว่าเราเอาเฉพาะเวมาแล้วเนาะ
01:49:55 → 01:49:58 อันเนี้ยเมันจะเข้มข้นขึ้นปริมาณเวย
01:49:58 → 01:50:01 โปรตีนที่อยู่ในผงเนี่ยมีมากกว่า 80%
01:50:01 → 01:50:04 หมายความว่าสมมุติเราตักผมมา 100 นตักที่
01:50:04 → 01:50:06 มันเป็นผงผมา 100 นเนี่ยมันจะมีเวยอยู่ใน
01:50:06 → 01:50:09 นั้นประมาณ 80% อ่าแล้วอันสุดท้ายเรา
01:50:10 → 01:50:11 เรียกว่าเป็นเไฮโดรไลเสต
01:50:11 → 01:50:14 เไฮโดรไลเสตคืออะไรหมายความว่าเอาโปรตีน
01:50:14 → 01:50:16 ไปย่อยเสร็จละเพราะฉะนั้นเวลากินปุ๊บเรา
01:50:16 → 01:50:19 ก็คาดว่ามันจะต้องดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว
01:50:19 → 01:50:21 นะคะอันนี้จะแพงกว่ารสชาติก็จะไม่ค่อย
01:50:21 → 01:50:24 อร่อยเท่าไหร่ดังนั้นส่วนใหญ่สิ่งที่เขา
01:50:24 → 01:50:27 เลือกใช้กันมักจะเป็น Way isolate อ่า
01:50:27 → 01:50:30 ถ้าเป็นเ isolate เนี่ยคนที่อ่อย่อยน้ำ
01:50:30 → 01:50:32 ตาลในนมไม่ได้นะคะหรือว่ากินนมแล้วท้อง
01:50:32 → 01:50:34 เสียพวกนี้กินได้ละเพราะว่าในเนี้ยจะไม่
01:50:34 → 01:50:37 มีน้ำตาลแลคโตสแล้วนะคะค่ะแล้วเวลาจะ
01:50:37 → 01:50:40 คำนวณเวนะคะก็เหมือนกันว่าเราเลือกเวย
01:50:40 → 01:50:42 อะไรอ่ะอย่างที่บอกยกตัวอย่างเช่นสิ่งที่
01:50:42 → 01:50:45 เคนิยมคือเคนิยมเว isolate อ่ะเราไปดู
01:50:45 → 01:50:48 ข้างซองข้างฉลากแล้วเนี่ยมันจะเขียนว่า
01:50:48 → 01:50:51 80% ความเข้มข้นเนี่ยเป็นเว isolate 80%
01:50:51 → 01:50:53 หมายความว่าถ้าสมมุติเราตักเป็นผงมาเนี่ย
01:50:53 → 01:50:57 อ่าผงที่มันให้มา 100 กรัมมันจะมีเวอยู่
01:50:57 → 01:51:00 ในนั้นน่ะ 80 กรัมเพราะฉะนั้นถ้าสมมุติ
01:51:00 → 01:51:02 ว่าเราต้องการเนี่ยเราก็จะไปดูว่า 1 ช้อน
01:51:02 → 01:51:04 ที่เขาคให้มาเนี่ยเราจะได้โปรตีนเท่าไหร่
01:51:04 → 01:51:07 เราจะได้เวยเท่าไหร่ไปเสริมจากของที่เรา
01:51:07 → 01:51:09 กินอยู่เดิมเพื่อให้ได้ปริมาณของโปรตีน
01:51:09 → 01:51:12 เท่าที่เราคำนวณได้ค่ะถ้าสมมุติว่าเอ่อคน
01:51:12 → 01:51:15 ๆนั้นเนี่ยน้ำหนัก 70 กแล้วต้องการโปรตีน
01:51:15 → 01:51:18 อยู่ที่ประมาณ 2-3 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1
01:51:18 → 01:51:21 กกต่อวันเพว่าต้องการที่จะเป็นน้เพ้อกาย
01:51:21 → 01:51:23 หรือว่าจะสร้างกล้ามใช่มั้ยคะอันนี้แสดง
01:51:23 → 01:51:26 ว่าเค้าต้องการโปรตีนอยู่ที่ประมาณ 140
01:51:26 → 01:51:31 จนถึง 210 กรัมต่อวันนะคะถ้าสมมุติว่าเขา
01:51:31 → 01:51:35 จะใช้เวแล้วเวอันนั้นเป็นเ isolate 80%
01:51:35 → 01:51:39 100 กรัมของผงที่เราได้มาเนี่ยมันจะมี
01:51:39 → 01:51:42 เวยอยู่ประมาณ 80 กรัมถูกมั้ยคะถ้าเรา
01:51:42 → 01:51:45 ต้องการอยู่ที่ประมาณ 160 กรัมแสดงว่าเรา
01:51:45 → 01:51:48 ต้องเอาผงอันนี้มา 200 กรัมมากินต่อวัน
01:51:48 → 01:51:50 ดังนั้นนะคะใครที่จะเอ่อสร้างกล้ามเนื้อ
01:51:50 → 01:51:52 หรือเป็นนักเพาะกายเนี่ยไม่ใช่แค่มี
01:51:52 → 01:51:54 ระเบียบวินัยที่จะต้องออกกำลังกายเป็น
01:51:54 → 01:51:57 ประจำสม่ำเสมอแล้วเนี่ยต้องมีฐานะดีพอสม
01:51:57 → 01:51:59 ควรนะคะไม่งั้นก็คงไม่สามารถที่จะหา
01:51:59 → 01:52:02 โปรตีนได้เพียงพอกับความต้องการค่ะทีนี้
01:52:02 → 01:52:04 พอฟังเสร็จแล้วก็บอกโอ๊ยไม่เป็นไรฉันอยาก
01:52:04 → 01:52:07 จะมีกล้ามแล้วก็ฉันมีปัญญาที่จะซื้อเวยมา
01:52:07 → 01:52:09 ใช้นะคะสมมุติว่าดิฉันเองเนี่ยนะคะก็ไป
01:52:10 → 01:52:12 ซื้อเวยมากินเสร็จแล้วก็นอนอันนี้ไม่เกิด
01:52:12 → 01:52:15 กล้ามนะคะแต่จะเกิดพุงน้อยๆแทนนะคะเพราะ
01:52:15 → 01:52:18 ฉะนั้นเนี่ยในกรณีที่เราจะใช้เวนะคะบอก
01:52:18 → 01:52:22 เลยว่าโปรตีนที่เยอะขึ้นนะคะจะใช้ได้แล้ว
01:52:22 → 01:52:24 เหมาะสมสำหรับคนที่มีการออกกำลังกายอย่าง
01:52:24 → 01:52:26 สม่ำเสมอนะคะแล้วก็ออกกำลังกายค่อนข้าง
01:52:27 → 01:52:29 หนักแต่ถ้าเรากินโปรตีนเยอะขึ้นโดยที่เรา
01:52:29 → 01:52:31 ไม่มีการออกกำลังกายเลยสิ่งที่จะตามมาก็
01:52:32 → 01:52:34 คืออาจจะทำให้เราอ้วนขึ้นได้กับอันที่ 2
01:52:34 → 01:52:37 ค่ะจะทำให้ไเราทำงานหนักขึ้นเพราะว่า
01:52:37 → 01:52:39 โปรตีนเนี่ยมีหน้าที่ซ่อมแซมส่วนที่สึก
01:52:39 → 01:52:43 หรอถ้าไม่มีอะไรต้องซ่อมเขาคก็จะทิ้งที่
01:52:43 → 01:52:45 เดียวที่เขาคทิ้งอวัยวะที่จะจัดการกับ
01:52:46 → 01:52:48 เค้าก็คือตับแล้วก็ไตนะคะเพราะฉะนั้น
01:52:48 → 01:52:51 เนี่ยไตเราจะถูกทำทำงานหนักขึ้นนะคะโดย
01:52:51 → 01:52:53 เฉพาะในคนที่มีปัญหาเรื่องไตอยู่แล้วก็
01:52:53 → 01:52:56 ไม่แนะนำที่จะให้กินโปรตีนปริมาณมากๆแบบ
01:52:56 → 01:52:58 นี้ค่ะค่ะทีนี้หลายๆครั้งเนี่ยเราก็จะพูด
01:52:58 → 01:53:01 กันถึงเวย์โปรตีนเนาะคำถามคือเอ๊ะแล้วมัน
01:53:01 → 01:53:04 มีแต่เวหรอที่มันจะดีนะคะเหมือนที่บอกค่ะ
01:53:04 → 01:53:06 ว่าการที่เรารับประทานเป็นเวเนี่ยมันจะ
01:53:06 → 01:53:08 ดูดซึมเข้าไปในกระแสะเลือดเราได้ค่อนข้าง
01:53:08 → 01:53:10 เร็วนะคะเพราะฉะนั้นเนี่ยมันก็จะเปลี่ยน
01:53:11 → 01:53:13 ไปเป็นกรดอะมิโนแล้วก็ไปสร้างโปรตีนได้ดี
01:53:13 → 01:53:17 แต่ว่าถ้าสมมุติว่าเอ่อเวลาที่เราจะนอน
01:53:17 → 01:53:20 เนี่ยกลางคืนนะคะถ้าสมมุติว่ากรดอะมิโน
01:53:20 → 01:53:22 ของเรามันลดลงอย่างรวดเร็วเนี่ยสิ่งที่
01:53:22 → 01:53:24 เกิดขึ้นร่างกายก็จะมีการสลายกล้ามเนื้อ
01:53:24 → 01:53:27 ใช่มั้ยคะดังนั้นหลายๆคนเนี่ยก็จะเลือก
01:53:27 → 01:53:30 เป็นโปรตีนชนิดที่เราเรียกว่าเป็นเคซีน
01:53:30 → 01:53:33 หรือพวกนมอย่างเงี้ยค่ะมาทานก่อนนอนการ
01:53:33 → 01:53:36 ดื่มนมพวกนี้ก่อนนอนก็จะช่วยทำให้ระดับ
01:53:36 → 01:53:38 ของอะมิโนแอซิดเนี่ยในเลือดเนี่ยมันค่อน
01:53:38 → 01:53:41 ข้างคงที่อยู่นานแล้วทำให้ลดการสลายกล้าม
01:53:41 → 01:53:43 เนื้อเพราะฉะนั้นเนี่ยเวลาที่เราจะเลือก
01:53:43 → 01:53:45 โปรตีนเนี่ยขึ้นกับคุณสมบัติว่าเราอยากจะ
01:53:45 → 01:53:48 ได้อะไรนะคะเราอยากจะได้โปรตีนที่ขึ้นสูง
01:53:48 → 01:53:50 เร็วๆเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อเขาก็จะ
01:53:50 → 01:53:53 วิ่งไปทางเวยนะคะหรืออยากจะให้โปรตีน
01:53:53 → 01:53:55 เนี่ยมันอยู่ในร่างกายได้นานขึ้นอะมิโน
01:53:55 → 01:53:59 แอซิดคงที่ลดลงช้าๆอันนี้เขาคก็จะเลือก
01:53:59 → 01:54:02 เคซีนก็จะทำให้ร่างกายมีการสลายกล้าม
01:54:02 → 01:54:05 เนื้อเนี่ยลดลงที่สำคัญค่ะนักกีฬาพ้อกาย
01:54:05 → 01:54:09 มักจะกินอาหารบ่อยๆแล้วก็กินหลายๆมื้อต่อ
01:54:09 → 01:54:12 กันเนาะมักจะไม่ค่อยให้อดอาหารเท่าไหร่นะ
01:54:12 → 01:54:15 คะส่วนในเรื่องของบางคนจะพูดถึงเ่อชีท Day
01:54:15 → 01:54:17 หรืออะไรอย่างเงี้ยจริงๆแล้วก็ทำได้นะคะ
01:54:17 → 01:54:20 แต่ว่าชีส Day ก็อย่าให้บ่อยนักเพราะไม่
01:54:20 → 01:54:22 งั้นเนี่ยเอ่อเวลาที่เราจะเพาะกายหรือเรา
01:54:22 → 01:54:24 จะเล่นกล้ามเนี่ยเราไม่ต้องการแฟตเยอะๆ
01:54:24 → 01:54:26 เนาะเราต้องการให้เห็นกล้ามเนื้อโตๆในขณะ
01:54:26 → 01:54:29 เดียวกันก็คือไขมันน้อยๆจะได้มองเห็นเ้า
01:54:29 → 01:54:32 เรียกว่าสัดส่วนหรือว่ากล้ามเนื้อชัดเจน
01:54:32 → 01:54:35 ขึ้นนะคะดังนั้นชีเทำได้ค่ะจะเป็นเอ่อ 23
01:54:35 → 01:54:37 อาทิตย์ครั้งนึงหรือว่าเดือนละครั้งอัน
01:54:37 → 01:54:39 นี้แล้วแต่เลยนะคะแล้วส่วนใหญ่ต่อให้ชีท
01:54:40 → 01:54:42 Day เราก็ไม่ได้แบบว่าชีทซะจนแบบ unlimit
01:54:42 → 01:54:45 นะคะอันนี้ก็จะเป็นเทคนิคที่นักกีฬาเพาะ
01:54:45 → 01:54:48 กายก็จะทำกันส่วนในเรื่องของอาหารเสริม
01:54:48 → 01:54:51 หรือมนอื่นๆน่ะจะมีคำถามต้องบอกก่อนว่า
01:54:51 → 01:54:54 เอ่อมีเยอะแยะมากมายเลยที่จะมีคนพยายาม
01:54:54 → 01:54:57 ออกไปใช้นะคะโดยหลักการก็คืออันที่ 1 อาจ
01:54:57 → 01:54:59 จะเป็นเรื่องของแอนติออกซิแดนท์อาจจะเป็น
01:54:59 → 01:55:02 เรื่องของการเพิ่มโิทำให้กล้ามเนื้อมัน
01:55:02 → 01:55:05 แข็งแรงมากขึ้นนะคะไม่ว่าจะเป็นพวกของ
01:55:05 → 01:55:07 เอ่อกาแฟคาเฟอีนนะคะหรือว่าจะเป็นพวกของ
01:55:07 → 01:55:10 แอนติออกซิแดนท์เช่นพวกของชาเขียวอย่าง
01:55:10 → 01:55:13 งี้นะคะหรือว่าจะเป็นพวกของโปรตีนชนิด
01:55:13 → 01:55:16 อื่นๆเช่นจะเป็นครินหรือว่าจะเป็นเตีนนะ
01:55:16 → 01:55:19 คะแล้วก็มีอีกอีกเยอะแยะมากมายอีกอันนึง
01:55:19 → 01:55:22 ที่ที่อาจจะใช้กันอยู่แล้วก็อ่าอันตราย
01:55:22 → 01:55:25 นิดหน่อยก็คือเรื่องของฮอร์โมนนะคะบางคน
01:55:25 → 01:55:27 จะใช้ฮอร์โมนเพื่อจะทำให้กล้ามเนื้อมัน
01:55:27 → 01:55:30 ขึ้นเร็วขึ้นต้องบอกนิดนึงว่าใช้เนี่ยมัน
01:55:30 → 01:55:32 ก็มีประโยชน์เนาะแต่ว่ามันมีข้อเสีย
01:55:32 → 01:55:35 เหมือนกันพวกนี้จะทำให้เลือดข้นค่ะและ
01:55:35 → 01:55:37 เพิ่มความเสี่ยงของการที่จะเกิดเส้นเลือด
01:55:37 → 01:55:39 หลุดตันจริงๆไม่ได้แนะนำเนาะแต่ถ้าใครใช้
01:55:39 → 01:55:42 อยู่ก็ระมัดระวังแล้วก็ดูแลเรื่องของความ
01:55:42 → 01:55:46 เสี่ยงที่จะมีอันตรายกับสุขภาพด้วยค่ะพบ
01:55:46 → 01:55:49 กับรายการ Food Choice กินดีสุขภาพดี
01:55:49 → 01:55:52 เลือกได้ทุกวันจันทร์เวลา 18:00 นที่
01:55:52 → 01:55:55 มหิดน Channel podcast ผ่านช่องทาง
01:55:55 → 01:55:58 Facebook มหิดน Channel YouTube มหิดน
01:55:58 → 01:56:02 Channel Apple podcast spotify anor
01:56:02 → 01:56:05 blockit ดำเนินรายการโดยหมอเอ๋ผู้ช่วย
01:56:05 → 01:56:08 ศาสตราจารย์แพทย์หญิงดรุณีวัลย์
01:56:08 → 01:56:15 [เพลง]
01:56:15 → 01:56:19
01:56:19 → 01:56:23 ดลปัญญาของแผ่น
01:56:23 → 01:56:30 [เพลง]
01:56:30 → 01:56:33 ดิน