00:00:00 → 00:00:02 จากงานที่เราชอบทำมากๆมันกลายเป็นพื้นที่
00:00:02 → 00:00:04 ที่เราแบบ
00:00:04 → 00:00:06 ต้องหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเดินเข้าไปที่
00:00:06 → 00:00:09 โต๊ะทำงานหรือบางทีเราเจออะไรที่เรารู้
00:00:09 → 00:00:11 สึกไม่ชอบแล้วมันก็เกิดซ้ำๆไปเรื่อยๆรู้
00:00:11 → 00:00:15 ตัวอีกทีเราก็เบิร์นเอาอยู่ล้าหมดเรี่ยว
00:00:15 → 00:00:18 แรงกิจกรรมที่เราชอบทำอ่ะวันนึงเพื่อนชวน
00:00:18 → 00:00:21 แล้วเราเริ่มแบบไปเลยไม่เอาของขึ้นง่าย
00:00:21 → 00:00:23 กระแนะกระแหนจิตกันนี่อาจจะเป็นหนึ่ง
00:00:24 → 00:00:26 สัญญาณของการเบิร์น out นะ
00:00:26 → 00:00:28 >> ยุคนี้เนาะให้คุณค่ากับระบบความคิดมาก
00:00:28 → 00:00:31 ความคิดสับขาหลอกง่ายมากเลยอ่ะแต่บอดี้
00:00:31 → 00:00:34 อ่ะมันตรงไปตรงมาบอดี้ทอมันไม่โกหกเพราะ
00:00:34 → 00:00:36 ฉะนั้นเราก็อนุญาตให้ตัวเองเนี่ย express
00:00:36 → 00:00:39 เต็มที่แล้วแสดงออกเต็มที่ผ่านร่างกายเรา
00:00:39 → 00:00:41 >> ตอนนี้นุ่นรู้สึกเปราะบางมากมันเยอะมัน
00:00:41 → 00:00:45 รุนแรงเออเราปล่อยให้มันสะสมอยู่อย่างี้
00:00:45 → 00:00:48 ได้ยังไง
00:00:48 → 00:00:51 [เพลง]
00:00:51 → 00:00:55 [ปรบมือ]
00:00:55 → 00:00:57 >> ขอต้อนรับเข้าสู่ longevity laab พcast
00:00:57 → 00:01:00 สุขภาพของคนเมือง EP แรกของเราแน่นอนว่า
00:01:00 → 00:01:03 เราอยากจะเปิดด้วยทอปินะที่แบบค่อนข้าง
00:01:03 → 00:01:05 ได้รับความนิยมมากเลยนั่นคือเรื่องของ
00:01:05 → 00:01:07 mental เนาะ mental health โดยเฉพาะ
00:01:07 → 00:01:09 ภาวะที่เรียกว่า Burn Out Syndrome ที่
00:01:09 → 00:01:12 ปัจจุบันคนทำงานเป็นกันเยอะมากๆนะคะเชื่อ
00:01:12 → 00:01:15 มั้ยคนไทยอยู่ในภาวะเนี้ยสูงมากๆสูงเกิน
00:01:15 → 00:01:18 กว่าค่าเฉลี่ยของโลกด้วยซ้ำอ่ะมันเกิด
00:01:18 → 00:01:20 อะไรขึ้นทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้แขกรับ
00:01:20 → 00:01:23 เชิญประจำ EP แรกของเรานะจะเป็นใครไปไม่
00:01:23 → 00:01:26 ได้พี่ดุจดาวนักจิตบำบัดอ่าคนดังของเรา
00:01:26 → 00:01:29 พี่ดุจดาวสวัสดีนะคะอ่ะ
00:01:29 → 00:01:31 ว่าดาว
00:01:31 → 00:01:34 ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเนเพราะว่าพี่ดุดาว
00:01:34 → 00:01:37 เคยจัดรายการพcกับมาก่อนตอนนั้นนุ่นฟัง
00:01:37 → 00:01:41 ทุกเทปเลยนะ Are you โอรายการสุขภาพจิต
00:01:41 → 00:01:44 ใช่ตอนนั้นเปิดโลกมากเพราะว่ามันทำให้เรา
00:01:44 → 00:01:46 มองว่าสุขภาพจิตอ่ะมันเป็นเรื่องใกล้ตัว
00:01:46 → 00:01:46 กัน
00:01:46 → 00:01:48 >> เออตอนนั้นเราก็มีความสนุกมากเหมือนกัน
00:01:48 → 00:01:50 ที่ทำให้เรื่องสุขภาพจิตที่หลายคนมองว่า
00:01:50 → 00:01:52 เป็นเรื่องไกลจริงๆมันเป็นเรื่องแบบ
00:01:52 → 00:01:54 >> เรื่องใกล้อ่ะเรื่องเรื่องของเรากันทุกคน
00:01:54 → 00:01:56 อยู่แล้วอะไรเงี้ให้มันเป็นเรื่องง่ายๆ
00:01:56 → 00:01:58 >> ใช่ๆตอนนั้นนได้ยินพี่อุดดาวพูดเรื่อง
00:01:58 → 00:02:00 เบิร์น out ตั้งแต่แรกๆเลยหลังจากนั้นมา
00:02:00 → 00:02:03 ก็คนก็พูดถึงอยู่เรื่อยๆก็รู้มาว่าครั้ง
00:02:03 → 00:02:07 นึงพี่จุดดาวเคยมีสภาวะ burn out ใน
00:02:07 → 00:02:10 ชีวิตด้วยแต่ก็สามารถดึงตัวเองออกมาจาก
00:02:10 → 00:02:12 จุดนั้นได้อยากให้พี่จุดดาวลองเล่าให้ฟัง
00:02:12 → 00:02:15 หน่อยว่าภาวะเบิร์น out หรือหมดไฟในการทำ
00:02:15 → 00:02:18 งาน่ะค่ะมันคืออะไรมันมีอาการอะไรมที่เรา
00:02:18 → 00:02:20 แบบเอ๊ะฉันเป็นอยู่นะแต่ฉันไม่รู้ตัว
00:02:20 → 00:02:22 >> ถ้าเบิร์น out จากเรื่องการทำงานมันก็คือ
00:02:22 → 00:02:24 การที่เรามีความเครียดสะสมอ
00:02:24 → 00:02:25 >> อื
00:02:25 → 00:02:28 >> เป็นระยะเวลานานแล้วเราก็ยังยังไม่สามารถ
00:02:28 → 00:02:32 หาวิธีจัดการความเครียดนั้นได้จนมันทะลุ
00:02:32 → 00:02:32 อ่ะ
00:02:32 → 00:02:33 >> อื
00:02:33 → 00:02:37 >> พอมันนานมันก็เป็นสภาวะเบื่อหนาวได้
00:02:37 → 00:02:39 >> มันคือเครียดอย่างเดียวเลยอ่ะคะ
00:02:39 → 00:02:42 >> ส่วนมันมาจากความเครียดสะสมที่เก็บเอาไว้
00:02:42 → 00:02:43 นานซึ่งความเครียดเป็นเรื่องปกตินะ
00:02:44 → 00:02:46 >> เราใช้ชีวิตตื่นมาเนี่ยเราก็เครียดแล้ว
00:02:46 → 00:02:48 ออกท้องถนนเราก็เครียดมีความเครียดได้
00:02:48 → 00:02:51 เป็นเรื่องปกติแต่ถ้ามีความเครียดสะสมยาว
00:02:51 → 00:02:53 นานแล้วเราไม่ยอมจัดการความเครียดออกไป
00:02:53 → 00:02:56 มันก็จะ develop หรือพัฒนาไปเป็นเบิร์น
00:02:57 → 00:02:57 เอาได้เหมือนกัน
00:02:57 → 00:03:00 >> เออแล้วอาการมันมีอาการอะไรฟ้องมั้ยคะว่า
00:03:00 → 00:03:01 แบบ
00:03:01 → 00:03:02 >> อื
00:03:02 → 00:03:05 >> มีมันมีหลายทิศทางด้วยเพราะว่าคือเวลามัน
00:03:05 → 00:03:07 เอฟเฟคอะไรกับเราเรื่องของใจเนี่ยมัน
00:03:07 → 00:03:09 เอฟเฟคทุกอย่างมันไม่ใช่แบบอุ๊ยเบิร์น out
00:03:09 → 00:03:11 เป็นเรื่องของจิตใจมันก็เอฟเฟคแค่เรื่อง
00:03:11 → 00:03:14 ใจไม่จริงๆมันเอฟเฟคไปถึงวิธีคิดวิธีมอง
00:03:14 → 00:03:18 โลกสุขภาพร่างกายสุขภาพใจเช่นอ
00:03:18 → 00:03:20 >> เอาอย่างที่หลายคนจะรู้สึกได้ง่ายๆก็คือ
00:03:20 → 00:03:22 ความเหนื่อยล้าซึ่งทำงานทั่วไปมันจะ
00:03:22 → 00:03:25 เหนื่อยล้าแต่นี่มันจะเหนื่อยล้าแบบล้า
00:03:25 → 00:03:29 หมดเรี่ยวแรงอตื่นมานอนก็พอเข้างาน 8:00
00:03:29 → 00:03:29 น.
00:03:29 → 00:03:32 >> 10:00 น.มันก็ลาแล้วอ่ะเหนื่อยแล้วอ่ะ
00:03:32 → 00:03:35 คือมันเหนื่อยไปหมดแล้วมันก็ลามไปจนถึง
00:03:35 → 00:03:38 แบบไม่ค่อยอยากจะพัฒนาไม่ค่อยอยากจะทำ
00:03:38 → 00:03:41 อะไรไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรที่แบบเรา
00:03:41 → 00:03:43 เคยชอบทำอันนี้ก็จะเป็นแบบอาการที่หลายคน
00:03:43 → 00:03:45 อาจจะรู้สึกว่าแบบได้ไหวหรือบางคนไม่ค่อย
00:03:45 → 00:03:47 รู้สึกไปทำงานไม่มีความสุข
00:03:47 → 00:03:48 >> อื
00:03:48 → 00:03:51 >> ทั้งๆที่ตอนสมัครงานอยากทำตำแหน่งดีมาก
00:03:51 → 00:03:53 เลยตำแหน่งนี้แหละแล้วองค์กรนี้แหละที่รอ
00:03:53 → 00:03:54 คอยกระตือรือร้นมาก
00:03:54 → 00:03:56 >> มากอีกสัญญาณนึงคือ
00:03:56 → 00:03:58 >> มองไปรอบๆเนี่ยเราเห็นทุกอย่างแบบเห็นแต่
00:03:58 → 00:04:01 แง่ลบเห็นแต่ข้อเสียของเพื่อนร่วมงานเห็น
00:04:01 → 00:04:03 แต่ข้อเสียขององค์กรเห็นแต่ข้อเสียของงาน
00:04:03 → 00:04:05 ที่เราทำเต็มไปหมดเลยมันจะเป็นไปได้ยังไง
00:04:05 → 00:04:07 บางทีมันจะเป็นอาการของเบิร์น out
00:04:07 → 00:04:09 >> แล้วมันสะท้อนมาที่ร่างกายด้วยมั้ยเช่น
00:04:09 → 00:04:13 บางคนเครียดมากกินไม่ได้อ่ะนอนไม่หลับ
00:04:13 → 00:04:14 อะไรแบบเนี้ย
00:04:14 → 00:04:16 >> ใช่ใช่นอนนี่คือแบบว่าเป็นที่เป็นมาตวัด
00:04:16 → 00:04:19 ที่ดีมากนอนยากหรือนอนหลับแล้วตื่นตื่น
00:04:20 → 00:04:22 ตอนกลางคืนมากกว่า 1 ครั้งหรืออะไรอย่าง
00:04:22 → 00:04:25 เงี้ยพอนอนยากปุ๊บตอนตื่นก็ตื่นยากด้วย
00:04:25 → 00:04:26 อันนี้ก็จะเป็นแบบ
00:04:26 → 00:04:27 >> ไม่อยากลุกไง
00:04:27 → 00:04:30 >> เออใช่ไม่อยากลุกแล้วขอแช่
00:04:30 → 00:04:32 แล้วก็ last minut แล้วก็วิ่งไปแบบแต่ง
00:04:32 → 00:04:35 ตัวอะไรเงี้ก็คือเป็นสัญญาณได้หรือบางที
00:04:35 → 00:04:36 ดูที่การกิน
00:04:36 → 00:04:36 >> อือๆ
00:04:36 → 00:04:40 >> คือไม่อยากกินเหรอคือไม่หิวอ่ะไม่มีความ
00:04:40 → 00:04:42 อยากจะกินอะไรเลยอาจจะแบบเออมันอาจจะมา
00:04:42 → 00:04:46 จากความเครียดก็ได้หรือบางทีกินเยอะมาก
00:04:46 → 00:04:48 ช่วงนี้กินเยอะสุดๆเห็นอะไรก็อยากกินนั่น
00:04:48 → 00:04:50 กินโน่นกินนี่บางทีก็อาจจะเป็นอีกสัญญาณ
00:04:50 → 00:04:51 ได้เหมือนกัน
00:04:51 → 00:04:51 >> ออ
00:04:51 → 00:04:54 >> แต่อันนึงที่มันชัดมากก็คือกิจกรรมที่เรา
00:04:54 → 00:04:56 แบบชอบทำอ่ะปกติโหอันเนี้ย
00:04:56 → 00:04:57 >> อ
00:04:57 → 00:04:58 >> เรารู้อยู่แล้วว่าเราชอบมากอ่ะ
00:04:58 → 00:04:59 >> อืออือ
00:04:59 → 00:05:01 >> วันนึงเพื่อนชวนแล้วเราเริ่มแบบเออไปเลย
00:05:01 → 00:05:01 ไม่เอาอ่ะ
00:05:01 → 00:05:02 >> อือ
00:05:02 → 00:05:02 >> ไม่ป
00:05:02 → 00:05:03 >> ไม่อยากทำอะไร
00:05:03 → 00:05:05 >> ไม่อยากทำอะไรไม่ค่อยอยากจะเข้าร่วมอะไร
00:05:05 → 00:05:08 ใครชวนทำอะไรก็เออไม่เป็นไรขี้เกียจจะสัก
00:05:08 → 00:05:10 พักก็เริ่มแยกจากสังคม
00:05:10 → 00:05:12 >> หรือบางทีมันจะเป็นอาการทางอารมณ์เช่น
00:05:12 → 00:05:14 หงุดหงิดง่ายอะไรนิดๆหน่อยๆ
00:05:14 → 00:05:15 >> ของขึ้น
00:05:15 → 00:05:17 >> ของขึ้นง่าย
00:05:17 → 00:05:20 >> ฉุนเฉี่ยวจุงไปไหนมาจ๊ะเกิดอะไรขึ้นแบบ
00:05:20 → 00:05:22 แค่วางน้ำผิดที่เองอ่ะ
00:05:22 → 00:05:25 >> เออเฮ้ยบอกแล้วไงว่ามันเอออะไรที่มันดู
00:05:25 → 00:05:27 แบบเฮ้ยเรื่องแค่นี้ทำไมจะต้องปี๊ดขนาด
00:05:27 → 00:05:30 นั้นบางทีมันอาจจะมาจากแถวๆนี้ก็ได้ก็ให้
00:05:30 → 00:05:31 มอนิเตอร์หน่อย
00:05:31 → 00:05:31 >> ออ
00:05:31 → 00:05:35 >> หรือบางคนก็จะเป็นแบบกระแนะกระแหนจิกกัด
00:05:35 → 00:05:39 แซะอะไรอย่างเงี้ยมันจริงๆนี่อาจจะเป็น
00:05:39 → 00:05:41 หนึ่งสัญญาณของการเบิร์น out อ่ะนะ
00:05:41 → 00:05:43 >> มันเกิดขึ้นทั้งกับชีวิตเฉพาะชีวิตใน
00:05:43 → 00:05:45 ออฟฟิศหรือนอกออฟฟิศเราก็เป็นอ
00:05:45 → 00:05:48 >> โหพอมันเกิดขึ้นแล้วอาการมันก็โรยไปทั่ว
00:05:48 → 00:05:51 โปรยไปหวานๆใครอยู่รอบๆเราก็มีมีสิทธิ์
00:05:51 → 00:05:54 ที่จะโดนได้มากยิ่งถ้าสมมุติในวงคนที่แบบ
00:05:54 → 00:05:55 เรารู้สึกว่าเ้าปลอดภัยอ่ะ
00:05:55 → 00:05:56 >> เออ
00:05:56 → 00:06:02 >> เราก็ใส่เต็มที่
00:06:02 → 00:06:05 อาหมบ่ง
00:06:05 → 00:06:08 รีบไปแปะป้ายเอาจจะแบบมีความเครียดสะสม
00:06:08 → 00:06:10 ยาวนานเบาหือเปล่าอะไรอย่าเงี้
00:06:10 → 00:06:12 >> แต่นุได้ยินมาว่าตัวนี้มันมีภาวะก่อน
00:06:13 → 00:06:14 เบิร์น out มีอะไรที่มันเป็นฮิ้นบอกได้
00:06:15 → 00:06:15 มั้คะ
00:06:15 → 00:06:18 >> มันจะมาแบบซึมๆอยู่เหมือนกันนะคืออาการ
00:06:18 → 00:06:19 ทั้งหมดที่เราเล่าเนี่ย
00:06:19 → 00:06:19 >> อือ
00:06:19 → 00:06:22 >> จริงๆพอจังหวะเบิร์นเอาแล้วมันจะเป็นอะไร
00:06:22 → 00:06:24 พวกเนี้ยแบบเห็นชัดมากๆเพราะฉะนั้นการที่
00:06:25 → 00:06:27 เราเริ่มหงุดหงิดง่ายแล้วเราเริ่มเห็นตัว
00:06:27 → 00:06:29 เองหรือบางทีเราแบบคอมเมนต์นู่นๆมีแต่ข้อ
00:06:29 → 00:06:32 เสียก็จะๆอาจจะเป็นสัญญาเล็กๆน้อยๆแล้วก็
00:06:32 → 00:06:36 ได้ที่ทำให้เราเห็นว่าอ๋อมันกำลังจะเกิด
00:06:36 → 00:06:36 ขึ้น
00:06:36 → 00:06:37 >> อือ
00:06:37 → 00:06:41 >> หรือเอาจริงๆอย่างตรงไปตรงมาปวดคอบ่าไหล
00:06:41 → 00:06:44 ปวดตาปวดหน้าปวดตัวเนี่ยจริงๆคือมันเป็น
00:06:44 → 00:06:47 อะไรที่รูปธรรมมากว่าเราเครียดนะ
00:06:47 → 00:06:48 >> ใช่อฟice syndrome
00:06:48 → 00:06:49 >> office syndrome
00:06:49 → 00:06:51 >> มันกลายเป็นเรื่องปกติอ่ะแล้วทุกคนคิดว่า
00:06:51 → 00:06:54 เอ้าก็อฟิศ syndrome ไม่ office syndrome
00:06:54 → 00:06:56 คือแปลว่าคุณเครียด
00:06:56 → 00:06:57 >> ออออ
00:06:57 → 00:06:58 >> ไปจัดการความเครียด
00:06:58 → 00:06:59 >> ออ
00:06:59 → 00:07:00 >> ไม่ใช่ว่าก็sydrม
00:07:00 → 00:07:01 >> เออ
00:07:01 → 00:07:03 >> ทุกวันพวกนี้เป็นแบบนี้ทุกคนบอกว่าเอ้าก็
00:07:03 → 00:07:05 >> ใช่ไม่คิดก็คิดว่าก็นั่งทำงานท่านี้ถูก
00:07:05 → 00:07:05 แล้ว
00:07:05 → 00:07:07 >> เออไปเรื่อยๆเราก็เป็นปกติ
00:07:07 → 00:07:09 >> ถูกเออไม่มันไม่ใช่สิ
00:07:09 → 00:07:12 >> คือการที่เราเริ่มมีออฟฟิศsyนrมต้องแบบ
00:07:12 → 00:07:16 เข้าร้านนวดให้คุณพี่เ้าคลายเส้นอ
00:07:16 → 00:07:17 >> แล้วสุดท้ายเราก็เอาตัวเองเข้าไปในloูป
00:07:17 → 00:07:18 เดิม
00:07:18 → 00:07:18 >> อือ
00:07:18 → 00:07:21 >> ไม่จัดการความเครียดอย่างอื่นเลย
00:07:21 → 00:07:21 >> อือ
00:07:21 → 00:07:23 >> เดี๋เราก็เจอพี่เ้าไปเรื่อยๆไปนวดอยู่
00:07:23 → 00:07:24 เรื่อยๆ
00:07:24 → 00:07:25 >> นำพาไปจุดนั้นอยู่ดี
00:07:25 → 00:07:26 >> ใช่
00:07:26 → 00:07:28 >> แสดงว่าอะไรก็ตามที่เราทำแล้วเรารู้สึก
00:07:28 → 00:07:31 ว่ามันเยอะเกินไปหรือผิดปกติเอ้ยมันต้อง
00:07:31 → 00:07:34 ขนาดนั้นเลยหรอต้องเริ่มหันมาสำรวจตัวเอง
00:07:34 → 00:07:37 ว่าเอ๊ะมันใจเราเป็นยังไงอย่างงี้หรือ
00:07:37 → 00:07:37 เปล่าคะ
00:07:37 → 00:07:40 >> อืจริงคือปกติไม่
00:07:40 → 00:07:42 >> ปกติเราจะไม่ค่อยใช้คำว่าปกติอ
00:07:42 → 00:07:44 >> เพราะว่าไม่รู้ว่าปกติของแต่ละคนอยู่ตรง
00:07:45 → 00:07:47 ไหนแต่ละคนมันจะมีปกติของตัวเองนะใช่
00:07:47 → 00:07:50 >> ที่เรารู้ว่าจริงๆพื้นฐานบุคลิกภาพเรา
00:07:50 → 00:07:50 เนี่ย
00:07:50 → 00:07:54 >> เป็นยังไงเป็นคนแบบไหนชอบอะไรไม่ชอบอะไร
00:07:54 → 00:07:56 enjoy กับอะไรไม่ enjoy กับอะไรอย่าง
00:07:56 → 00:07:59 เงี้ยอยากจะให้เอาตัวนั้นน่ะเป็นตัวตั้งอ
00:07:59 → 00:08:02 >> จะได้รู้ว่าตอนเนี้ยเอ๊ะเราเติบโตขึ้น
00:08:02 → 00:08:04 หรือเฮ้ยไม่ใช่แล้วเรามีสภาวะอะไรบาง
00:08:04 → 00:08:07 อย่างที่มันทำให้เราต่างออกไป
00:08:07 → 00:08:10 >> อย่างเช่นอ่ะช่วงที่เราเรามีภาวะ burn
00:08:10 → 00:08:11 out เงี้ย
00:08:11 → 00:08:15 >> เพื่อนทักแบบเฮ้ยทำไมแกขี้ป่นจังอ่ะ
00:08:15 → 00:08:15 >> อ้อ
00:08:15 → 00:08:17 >> ทำไมคิดลบอ่ะ
00:08:17 → 00:08:17 >> อื
00:08:17 → 00:08:22 >> เราก็เอ้ยโหเอ้ยขอบคุณจริงบอกว่าเลยจริง
00:08:22 → 00:08:23 รู้ตัว
00:08:23 → 00:08:25 >> ไม่รู้เพื่อนบอก
00:08:25 → 00:08:26 >> เฮ้ยทำไมแกคิดลบจังอ่ะ
00:08:26 → 00:08:27 >> เออ
00:08:27 → 00:08:29 >> ซึ่งเออปกติแกไม่ได้อะไรแบบนี้หรือมีบาง
00:08:29 → 00:08:32 ช่วงเงี้ยเฮ้ยทำไมแกแบบก้าวร้าวจังอ่ะ
00:08:32 → 00:08:33 >> แล้วก็
00:08:33 → 00:08:36 >> เออจริงคะเพราะว่าเพื่อนน่ะยิ่งเพื่อนที่
00:08:36 → 00:08:38 แบบเป็นเพื่อนกับเรามาตั้งแต่เด็กๆแบบวัย
00:08:38 → 00:08:41 รุ่นปลายๆอ่ะเขาจะจำเราได้ว่าไอ้การที่
00:08:41 → 00:08:43 เราแก่ขึ้นก็เรื่องนึงแต่ว่าตัวพื้นฐาน
00:08:43 → 00:08:45 ของแค่ปกติก็ไม่ใช่เป็นคนแบบนี้แต่ช่วง
00:08:45 → 00:08:49 เนี้ยแกต่างออกไปก็เขาก็ทักเราแล้วก็
00:08:49 → 00:08:51 >> อ๋ออะไรแบบนี้เพราะฉะนั้นเวลาพูดว่าปกติ
00:08:52 → 00:08:54 บางทีอยากให้ดูว่าเฮ้ยบางทีถ้าเราต่างไป
00:08:54 → 00:08:57 จากพื้นฐานเดิมก็ก็น่าจะเอ๊ะได้บ้างแล้ว
00:08:57 → 00:08:59 >> เออได้บ้างแล้วเมื่อกี้พีุ่ดาพูดถึง
00:08:59 → 00:09:01 เรื่องที่ตัวเองเผชิญมาพอดีอ่าว่าถามเลย
00:09:01 → 00:09:04 ว่าเล่าให้ฟังได้มยว่าเออที่พี่ดาวเคยเจอ
00:09:04 → 00:09:07 มาภาวะเบิร์น out หรือหมดไฟในการทำงานน่ะ
00:09:07 → 00:09:10 แล้วเกิดขึ้นกับบิดุดาวด้วยเออมันเกิด
00:09:10 → 00:09:13 ขึ้นได้ยังไงคะเป็นยังไงเรื่องราวตอนนั้น
00:09:13 → 00:09:15 >> เออตอนนั้นมันก็มาแบบที่เราก็ไม่แน่ใจคือ
00:09:16 → 00:09:17 การทำงานมีความเครียดเป็นเรื่องปกติหรือ
00:09:17 → 00:09:19 ว่าการทำงานแล้วมันมีบางส่วนที่เรารู้สึก
00:09:19 → 00:09:21 ว่าอ
00:09:21 → 00:09:23 >> อันนี้คือความเครียดจังเลยอันนี้คือความ
00:09:23 → 00:09:24 กดดันอันนี้คือความไม่ชอบมันก็เป็นเรื่อง
00:09:24 → 00:09:26 ปกติ
00:09:26 → 00:09:27 ตอนนั้นทำงานประจำ
00:09:27 → 00:09:29 >> ทำงานประจำเออเดี๋ยวก็จะมีพวกที่ทำงาน
00:09:29 → 00:09:30 ประจำ
00:09:30 → 00:09:32 >> ซึ่งมันมักจะเป็นพื้นที่ที่ทำให้หลายคนไป
00:09:32 → 00:09:34 เจอภาวะเบื่อนเอานะเพราะว่า
00:09:34 → 00:09:36 >> เราไม่ค่อยมีอำนาจ
00:09:36 → 00:09:37 >> อ่าใช่
00:09:37 → 00:09:40 >> มากนักในการที่จะปรับจัดอะไรบางอย่างอ่ะ
00:09:40 → 00:09:42 มันจะมีคนแค่บางคนที่มีอำนาจ
00:09:42 → 00:09:44 >> แต่ถ้าเราไม่ได้มีอำนาจ maximum คือการ
00:09:44 → 00:09:45 ศึกษาแล้วก็การปรับตัว
00:09:45 → 00:09:46 >> อ
00:09:46 → 00:09:48 >> เพราะฉะนั้นจากงานที่เราชอบทำมากๆมากๆมาก
00:09:48 → 00:09:51 ๆมากๆโหเราชอบมากๆเลยมันกลายเป็นพื้นที่
00:09:51 → 00:09:53 ที่เราแบบ
00:09:53 → 00:09:56 >> ต้องหายใจเข้าลึกลึกก่อนที่จะเดินเข้าไป
00:09:56 → 00:09:57 ที่โต๊ะทำงานอ
00:09:57 → 00:10:02 >> ไม่อยากทำเลยหรือการที่จะต้องคุยงานกับ
00:10:02 → 00:10:04 ผู้คนที่ปกติเราควรจะคุยงานกับเขาหรือ
00:10:04 → 00:10:07 ฟีดแบคกับเขาหรือแบบเฮ้ยเรามาชวนกันพัฒนา
00:10:07 → 00:10:07 กันเถอะ
00:10:07 → 00:10:08 >> เออ
00:10:08 → 00:10:11 >> มันก็มีข้อลำบากแค่จะพูดออกไปมันต้องคิด
00:10:11 → 00:10:14 เยอะคิดมากคิดอะไรไม่รู้มันเริ่มไม่ค่อย
00:10:14 → 00:10:14 สนุก
00:10:14 → 00:10:15 >> อื
00:10:15 → 00:10:17 >> หรือบางทีเราเจออะไรที่เรารู้สึกไม่ชอบ
00:10:17 → 00:10:19 เรารู้สึกว่าเฮ้ยสิ่งนี้มันไม่มันไม่ควร
00:10:19 → 00:10:21 เกิดขึ้นในบริบทการทำงานอ
00:10:21 → 00:10:22 >> อือ
00:10:22 → 00:10:24 >> แล้วมันก็เกิดซ้ำๆไปเรื่อยๆออ
00:10:24 → 00:10:25 >> เอแล้วแล้วไม่ต้องห่วงเรื่องการสื่อสาร
00:10:25 → 00:10:29 ดุจดาววัฒนกรโดยตรงไปพูดกับคนที่สามารถ
00:10:29 → 00:10:31 บริหารจัดการได้อยู่แล้วเดี๋มจะพูดตรงๆ
00:10:31 → 00:10:34 ว่าเออมันมีสิ่งนี้เกิดขึ้นคิดว่ามันน่า
00:10:34 → 00:10:37 จะต้องถูกปรับหรือถูกแก้ไขหรือทำอะไรบาง
00:10:37 → 00:10:38 อย่างได้บ้างอะไรอย่างเงี้ย
00:10:38 → 00:10:38 >> อือ
00:10:38 → 00:10:41 >> เออเราก็ทำมันก็ยังเกิดอยู่มันก็ไม่ได้
00:10:41 → 00:10:43 เกิดมีความเปลี่ยนแปลงหรืออะไรอย่างเงี้ย
00:10:43 → 00:10:47 มันมันอยู่ในสภาวะซ้ำๆย้ำๆแล้วมันเครียด
00:10:47 → 00:10:47 >> อือ
00:10:47 → 00:10:50 >> แล้วมันไม่ได้มีว่าแล้วมันจะต่างออกไปยัง
00:10:50 → 00:10:50 ไง
00:10:50 → 00:10:50 >> อือ
00:10:50 → 00:10:53 >> รู้ตัวอีกทีแล้วก็เบื่อนเอาอยู่
00:10:53 → 00:10:54 >> อือื
00:10:54 → 00:10:55 >> ตกอยู่ในสภาวะนั้นนานมั้คะ
00:10:55 → 00:10:56 >> เป็นปี
00:10:57 → 00:10:59 >> พี่ทนอยู่กับตรงนั้นเป็นปี
00:10:59 → 00:11:00 >> ใช่
00:11:00 → 00:11:02 >> เพราะกว่าเราจะแบบอู้นี่เราเบิร์น out
00:11:02 → 00:11:04 นี่หว่าเพราะเราชอบงานมากคือแต่ว่ามันมัน
00:11:04 → 00:11:07 อาจจะทำให้เราเราตาบอดไปแล้วครึ่งนึงก็
00:11:07 → 00:11:10 ได้เพราะว่างานมันแบบโหมันใช่งานจ๊อบงาน
00:11:10 → 00:11:10 ใน
00:11:10 → 00:11:12 >> ถูกต้องแบบว่าเกิดมาเจองานนี้คือแบบว่า
00:11:12 → 00:11:14 อยากจะไหว้ย่อนานๆเลยแต่ว่า
00:11:14 → 00:11:16 >> เออมันมีอะไรบางอย่างที่มันแบบเราไม่ชอบ
00:11:16 → 00:11:19 แล้วนึกว่าเรื่องพวกนี้มันเรื่องเล็กแหละ
00:11:19 → 00:11:19 >> เออ
00:11:19 → 00:11:21 >> แต่เรารู้อย่างเดียวว่าเราแบบมีความอัด
00:11:21 → 00:11:25 อั้นรู้สึกไม่ปลอดภัยรู้สึกตอนแรกมันยัง
00:11:25 → 00:11:28 landนingไม่ได้ต้องไปเคลียร์ไปทำความเข้า
00:11:28 → 00:11:30 ใจตัวเองให้มันเท่าทันส่วนหนึ่งก็อยากจะ
00:11:30 → 00:11:31 เจอเพื่อนทุกเย็นเลย
00:11:31 → 00:11:32 >> อือๆๆ
00:11:32 → 00:11:35 >> แล้วก็จะได้พูดๆๆๆๆๆแล้วจะได้ยินเสียงตัว
00:11:35 → 00:11:37 เองแล้วให้เพื่อนช่วยแยกว่าแบบไอ้นี้ฉัน
00:11:37 → 00:11:39 คิดไปเองฉันฉันเวอร์ไปหรือเปล่าหรือมัน
00:11:39 → 00:11:42 เป็นที่ฉันหรือมันเป็นที่อะไรกับอีกอัน
00:11:42 → 00:11:45 นึงเราก็จะไปวิ่งเราวิ่งไปแล้วเราให้ร่าง
00:11:45 → 00:11:48 กายเราที่มันรับประสบการณ์ในที่ทำงานทั้ง
00:11:48 → 00:11:49 หมดน่ะ
00:11:49 → 00:11:49 >> อือ
00:11:49 → 00:11:51 >> มันช่วยบอกเราที
00:11:51 → 00:11:56 >> ว่าเราเป็นอะไรเราก็จะวิ่งไปบ่นไปในใจ
00:11:56 → 00:11:57 หรือบางทีก็บ่นออกมา
00:11:57 → 00:11:58 >> อื
00:11:58 → 00:11:59 >> เสียงดัง
00:11:59 → 00:11:59 >> อือ
00:11:59 → 00:12:01 >> แต่ไม่ได้ดังมากจนรบกวนคนอื่นที่วิ่งใน
00:12:01 → 00:12:05 สวนนะบ่นออกเสียงแล้วก็ให้มือเนี่ยมัน
00:12:05 → 00:12:08 แบบอะไรเงี้ตัวเองขึ้นก็ไปเรื่อยๆก็วิ่ง
00:12:08 → 00:12:10 ไปต้องให้ไอ้เนี่ยออกมาด้วยเพราะบางทีไอ้
00:12:10 → 00:12:13 นี่มันออกมาก่อนที่เราจะเข้าใจแล้วไอ้
00:12:13 → 00:12:16 เนี่ยมันบอกเราชัดกว่าเราเป็นเราเป็น
00:12:16 → 00:12:17 dance wompist
00:12:17 → 00:12:20 >> เราก็เลยเชื่อในบอดี้เรามากๆเลยเพราะเรา
00:12:21 → 00:12:23 รู้สึกว่าไอ้เนี่ยอ่ะไม่ซับซ้อนเท่าความ
00:12:23 → 00:12:23 คิด
00:12:24 → 00:12:24 >> อ่าใช่
00:12:24 → 00:12:27 >> ความคิดมันโคตรมันสับขาหลอกง่ายมากเลยอ่ะ
00:12:27 → 00:12:28 แต่บอดี้อ่ะ
00:12:28 → 00:12:29 >> มันตรงไปตรงมา
00:12:29 → 00:12:32 >> มันรู้สึกยังไงเดี๋เขาจะบอกเราแต่เไปเจอ
00:12:32 → 00:12:34 อะไรมาแล้วเต้องการอะไรเอยู่ตรงนี้เดี๋
00:12:34 → 00:12:35 ให้เขาบอกเราเพราะฉะนั้นเราก็อนุญาตให้
00:12:35 → 00:12:36 ตัวเองเนี่ย
00:12:36 → 00:12:39 >> Express เต็มที่แล้วแสดงออกเต็มที่ผ่าน
00:12:39 → 00:12:41 ร่างกายเราแล้วเราก็ดูแล้วเราก็เออคุยกับ
00:12:41 → 00:12:45 มันพูดแบบทุกอย่างกองออกมาตอนเว่งคือถ้า
00:12:45 → 00:12:47 เราระบายอะไรบางอย่างออกไปแล้วเราไม่ได้
00:12:47 → 00:12:50 ปล่อยให้มันลอยออกไปตามลมแต่ระบายแล้วเรา
00:12:50 → 00:12:52 ดูไอ้ที่ระบายออกมามันคืออะไรอ่ะอ
00:12:52 → 00:12:54 >> จริงๆเราจะเข้าใจตัวเองนะ
00:12:54 → 00:12:55 >> เออใช่
00:12:55 → 00:12:55 >> เออ
00:12:56 → 00:12:58 >> คือมันหลักการเดียวกับเหมือนศิลปำบัติอ่ะ
00:12:58 → 00:13:00 >> คือระบายมันออกมาคือตอนระบายก็ระบายมา
00:13:00 → 00:13:02 เหอะแต่มีอะไรมารับหน่อยแล้วก็ไปดูมันอีก
00:13:02 → 00:13:04 ทีว่าระบายอะไรออกมาเอาแล้วไอ้นี่ออกมา
00:13:04 → 00:13:07 นี้เอ้ยแปลว่าอันนี้เออแล้วพอไปวิ่งทุก
00:13:07 → 00:13:10 วันไปแยกใหม่อ่ะมันจะเริ่มเจอประเด็นซ้ำๆ
00:13:10 → 00:13:11 >> อื
00:13:11 → 00:13:13 >> ที่เฮ้ยมันเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆในแต่
00:13:13 → 00:13:15 ละวันแต่ถ้าเราไม่โอเคกับเรื่องนี้แล้ว
00:13:15 → 00:13:17 แบบจังหวะที่เราพูดถึงเนี่ยแบบตัวเรามัน
00:13:17 → 00:13:19 ร้อนขึ้นมา
00:13:19 → 00:13:21 >> แต่แปลว่าเรื่องนี้มันกับเราเรื่องนี้มัน
00:13:21 → 00:13:22 สำคัญกับเราเฮ้ยมัน
00:13:22 → 00:13:25 >> เฮ้ยมันทำงานกับเราแปลว่าเราไม่โอเคจริงๆ
00:13:25 → 00:13:27 มันจะเริ่มกระจ่างชัดขึ้น
00:13:27 → 00:13:29 >> เรื่อยๆเรื่อๆเรื่อๆอ
00:13:29 → 00:13:30 >> โอ๊ยมันชัดนะตอนที่ิวดาบอกว่าบางเรื่อง
00:13:31 → 00:13:32 เราพอเราคิดปั๊บ
00:13:32 → 00:13:36 >> ร่างกายมันฟ้องมันแบบอือืโกรธความรู้สึก
00:13:37 → 00:13:38 ปี๊ดขึ้นอะไรอย่างเงี้ย
00:13:38 → 00:13:41 >> เออมันเกิดขึ้นแบบนั้นกับทอปิเดิมๆเรื่อง
00:13:41 → 00:13:43 เดิมๆที่เรา
00:13:43 → 00:13:45 >> คล้ายๆเดิมแต่ถ้ามันค้างในใจเราเราก็อยาก
00:13:45 → 00:13:48 จะเข้าใจว่าเราไม่โอเคกับอะไรแล้วถ้า
00:13:48 → 00:13:51 เรื่องนี้มันเกิดคล้ายๆเดิมซ้ำซ้ำสมการ
00:13:51 → 00:13:53 คล้ายเดิมแต่ตัวละครอาจจะเปลี่ยนเราก็จะ
00:13:53 → 00:13:55 แบบก็ไม่สนุกอ่ะ
00:13:55 → 00:13:56 >> อื
00:13:56 → 00:13:58 >> อ๋อเราเครียดจากอันนี้นี่หว่า
00:13:58 → 00:13:59 >> อือ
00:13:59 → 00:14:01 >> เออที่เงินเดือนหรือ Dream Job เราน้ำ
00:14:01 → 00:14:03 หนักมันอาจจะแบบเวทกับเรื่องนี้ไม่ได้
00:14:03 → 00:14:05 เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องคุณค่าอะไรพอเรา
00:14:05 → 00:14:08 ให้คุณค่าต่างกันแล้วมันขัดกับคุณค่าหลัก
00:14:08 → 00:14:11 ที่เรารู้สึกว่าเราไม่ยืดอยู่ตรงเนี้ย
00:14:11 → 00:14:11 >> อือ
00:14:11 → 00:14:14 >> เมื่อนั้นคือจุดปะทะที่เราจะต้องแบบใคร่
00:14:14 → 00:14:14 ครวญ
00:14:14 → 00:14:15 >> อื
00:14:15 → 00:14:18 >> มากๆอุ้ยเราจะเบิร์น out ต่อเราจะไปทำงาน
00:14:18 → 00:14:19 ด้วยสภาพแบบนี้
00:14:19 → 00:14:19 >> เอออื
00:14:19 → 00:14:21 >> ดังนั้นถ้าเรารู้สึกอะไรสื่อสาร
00:14:21 → 00:14:25 >> คิดว่าสื่อสารอืแต่สื่อสารด้วยวุฒิภาวะ
00:14:25 → 00:14:28 >> แต่จะไปสื่อสารเนี่ยก็ต้องเข้าใจตัวเอง
00:14:28 → 00:14:28 ก่อนนะ
00:14:28 → 00:14:29 >> อือ
00:14:29 → 00:14:31 >> บางคนไปสื่อสารด้วยความรู้สึกแบบหงุดหงิด
00:14:31 → 00:14:32 รำคาญใจแล้วไปเลย
00:14:32 → 00:14:33 >> อือๆ
00:14:33 → 00:14:35 >> แต่ไม่ได้เข้าใจว่าที่หงุดหงิดรำคาญใจ
00:14:35 → 00:14:37 เกิดจากอะไรเพราะยังทำงานกับตัวเองไม่พอ
00:14:37 → 00:14:40 พูดเรื่องการสื่อสารควรจะนึกถึงแค่ว่าเรา
00:14:40 → 00:14:41 ต้องสื่อสารออกไปข้างนอก
00:14:41 → 00:14:42 >> อ่า
00:14:42 → 00:14:44 >> แต่จริงๆมันมีการสื่อสารอีกอันนึงที่
00:14:44 → 00:14:47 สำคัญมากคือ intrapersonal communication
00:14:47 → 00:14:50 คือการสื่อสารที่อยู่ภายในตัวเองอื
00:14:50 → 00:14:53 >> ถ้าเรายังประมวลกับตัวเองไม่จบเนี่ยแล้ว
00:14:53 → 00:14:55 เราจะไปเรียบเรียงบ่ออีกคนนึงอ่ะบางทีเรา
00:14:55 → 00:14:56 พูดไม่รู้เรื่องนะ
00:14:56 → 00:14:56 >> ใช่
00:14:56 → 00:14:58 >> แล้วบางทีเราพูดไม่ตรงประเด็นแล้วบางที
00:14:59 → 00:15:01 เราอุตส่าห์ได้ได้เวลาหัวหน้ามา 15 นาที
00:15:01 → 00:15:04 โอ้โหหายากมาก 15 นาทีนี้พูดอะไรก็ไม่รู้
00:15:04 → 00:15:05 จะเอาอะไรก็ไม่รู้
00:15:05 → 00:15:06 >> อใช่
00:15:06 → 00:15:09 >> เพราะฉะนั้นก่อนที่จะไปสื่อสารประมวลข้าง
00:15:09 → 00:15:12 ในให้จบอ๋อคือ 1 2 3 4 5 แล้วก็ไป
00:15:12 → 00:15:14 สื่อสารกับคนที่เขาสามารถซัพพอร์ตเราได้
00:15:14 → 00:15:17 >> อือันนี้จริงมากค่ะคืออยากแค่สื่อสารแค่
00:15:17 → 00:15:19 อยากจะพูดอะไร
00:15:19 → 00:15:19 >> อื
00:15:19 → 00:15:21 >> มันไม่ใช่แค่นั้นประมวลมาก่อนอ
00:15:21 → 00:15:22 >> ใช่
00:15:22 → 00:15:23 >> ตกผลึกมาก่อน
00:15:23 → 00:15:25 >> ใช่ถ้าอยากระบายไประบายกับเพื่อนถ้าอยาก
00:15:25 → 00:15:28 จะสื่อสารกับหัวหน้าเพื่อการแก้ไข
00:15:28 → 00:15:28 >> อื
00:15:29 → 00:15:31 >> อย่าไประบายกับหัวหน้าไปประมวลมาก่อน
00:15:31 → 00:15:34 >> อืมุมที่พี่พี่ดุดาวปรึกษาเพื่อนว่าก็ดี
00:15:34 → 00:15:36 นะแล้วบวกกับพี่ดุดาวได้ไปวิ่งด้วย
00:15:36 → 00:15:38 >> นะแต่นุ่นสนใจเรื่องวิ่งเหมือนกันเพราะ
00:15:38 → 00:15:40 นุ่นก็เป็นคนวิ่งเรามุ่งมั่นเน่าแน่ไงเรา
00:15:40 → 00:15:43 ก็จะวิ่งของเราแต่ว่ายังไม่เคยออกไปแล้ว
00:15:43 → 00:15:45 พูดกับตัวเองไปแบบพี่หยุดดาวได้มันระบาย
00:15:45 → 00:15:48 ออกมาจริงๆอันนี้มันมีคำเรียกหรืออะไร
00:15:48 → 00:15:50 เป็นศาสตร์อย่างนึงมั้ยคะที่แบบเอ้ยเรา
00:15:50 → 00:15:53 พูดกับตัวเองเราแบบสะท้อนปล่อยความรู้สึก
00:15:53 → 00:15:55 ปล่อยออกมาอย่างเงี้ย
00:15:55 → 00:15:57 >> ทางร่างกายใช่มั้ยคะคือเรียกว่า body
00:15:57 → 00:15:59 talk ก็คือให้บอดี้มัน talk ปกติเราจะ
00:15:59 → 00:16:01 พูดผ่านภาษาอ
00:16:01 → 00:16:01 >> อ
00:16:01 → 00:16:04 >> แล้วพอพูดผ่านภาษาเนี่ยมัน process เยอะ
00:16:04 → 00:16:04 >> เออ
00:16:04 → 00:16:07 >> มันต้องเอาความรู้สึกประมวลขึ้นไปผ่าน
00:16:07 → 00:16:08 สมองผ่านสมองเสร็จ
00:16:08 → 00:16:09 >> อื
00:16:09 → 00:16:12 >> เรียบเรียงเข้ารหัสภาษา
00:16:12 → 00:16:13 >> จะพูดเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ
00:16:14 → 00:16:16 >> มันต้องมีอีกก้อนนึงเข้ามาที่แปลว่าเรา
00:16:16 → 00:16:19 ต้องมีโปรแกรมภาษาไว้ในนี้อีกเข้าภาษา
00:16:19 → 00:16:22 เสร็จมันวุ่นวายแล้วบางทีมันสับขาหลอกเรา
00:16:22 → 00:16:25 ได้ง่ายมากบอดี้อ่ะมันตรงไปตรงมา
00:16:25 → 00:16:27 >> เราเรียนมาทางนี่ด้วยมั้งเราเลยรู้ว่า
00:16:27 → 00:16:29 บอดี้อ่ะมันไม่โกหกก็เรียน dance woman
00:16:29 → 00:16:32 psychotherapy มาเพราะฉะนั้นเราทำด้วย
00:16:32 → 00:16:34 การใช้อ
00:16:34 → 00:16:37 >> ภาษาร่างกายควบคู่ไปกับภาษาพูดแล้วบางที
00:16:37 → 00:16:39 เรามักจะให้น้ำหนักกับภาษาร่างกายมากกว่า
00:16:39 → 00:16:41 ภาษาพูดด้วยภาษาพูดมันโกหกกันได้
00:16:41 → 00:16:41 >> จริง
00:16:41 → 00:16:44 >> เราจะบอกว่าเราสบายดีเรารวยแล้วประสบความ
00:16:44 → 00:16:47 สำเร็จเราชนะมาทุกอย่างในโลกใบนี้ก็ได้
00:16:47 → 00:16:49 เดี๋ยวก็อาจโล
00:16:49 → 00:16:52 >> ไม่ได้อะไรอย่างเงี้ยเออแต่ว่าบอดี้มัน
00:16:52 → 00:16:53 >> มันหลอกยาก
00:16:53 → 00:16:55 >> มันหลอกยากแล้วบางที
00:16:55 → 00:16:58 >> มันนี่แหละเป็นตัวเฉลยวิธีคิดคือเราแบบ
00:16:58 → 00:17:02 ให้คุณค่ากับระบบความคิดมากยุคนี้นะโอ้โห
00:17:02 → 00:17:04 ต้องมีตรงความคิดต้องดีต้องคิดออกต้อง
00:17:04 → 00:17:07 เป็นตรรกะอะไรก็ thinking ไปหมดเลยอ่ะ
00:17:07 → 00:17:08 เดี๋ยวก่อน
00:17:08 → 00:17:11 >> มันมีทางที่มันแบบตรงไปตรงมาคือไม่ต้อง
00:17:11 → 00:17:13 ผ่านระบบความคิดเลยให้บอดี้มันน่ะช่วยบอก
00:17:13 → 00:17:16 เราทีแล้วเราก็ฟังมันอย่างตรงๆแล้วเดี๋ยว
00:17:16 → 00:17:17 สักพักเราก็จะได้รู้
00:17:17 → 00:17:18 >> แล้วเดี๋ค่อยเข้าใจ
00:17:18 → 00:17:21 >> เอ้ยนุ่นชอบคำนี้นะเราให้คุณค่ากับความ
00:17:21 → 00:17:24 คิดมากเกินไปมันคือยังไงคะมันเป็นสิ่งที่
00:17:24 → 00:17:25 ไม่ดีหรอ
00:17:25 → 00:17:27 >> คือระบบความคิดมันก็เป็นส่วนหนึ่งของของ
00:17:27 → 00:17:30 การดำเนินไปของชีวิตอ่ะแต่มันไม่ใช่ทั้ง
00:17:30 → 00:17:32 หมดแล้วมันไม่ได้ไม่ได้ accurate หรือถูก
00:17:32 → 00:17:33 ต้องที่สุด
00:17:33 → 00:17:34 >> เสมอไปนะ
00:17:34 → 00:17:34 >> เออ
00:17:34 → 00:17:36 >> คือความคิดเป็นสิ่งที่จริงน้อยสุดแล้ว
00:17:36 → 00:17:37 สำหรับเราอ่ะ
00:17:37 → 00:17:38 >> เพราะคนเราคิ้ไปเรื่อย
00:17:38 → 00:17:39 >> คิดไปไหนก็ได้อ่ะ
00:17:39 → 00:17:39 >> เออก็จริง
00:17:39 → 00:17:41 >> เราว่ามันจริงน้อยสุดเลยอ่ะ
00:17:41 → 00:17:42 >> แล้วสิ่งที่เราคิดกับสิ่งที่เราเป็นมัน
00:17:42 → 00:17:44 อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น
00:17:44 → 00:17:47 >> แต่คิดว่าตัวเรามันอยู่ในอ่ะตัวรถมันอยู่
00:17:47 → 00:17:50 ในนี้มันอยู่ในในร่างกายนี้อ่ะ
00:17:50 → 00:17:51 >> อือเออ
00:17:51 → 00:17:53 >> จะรู้สึกอะไรความรู้สึกเราไม่ได้ลอยนอก
00:17:53 → 00:17:55 ตัวนะความรู้สึกเราก็ลอยอยู่ในตัว
00:17:55 → 00:17:55 >> ใช่
00:17:55 → 00:17:58 >> แม้กระทั่งความคิดเดี๋ยวก่อนความคิดเราก็
00:17:58 → 00:17:59 อยู่ในร่างกาย
00:17:59 → 00:17:59 >> ใช่
00:17:59 → 00:18:01 >> เออมันไม่ใช่เหมือนตัวการ์ตูนที่ความคิด
00:18:01 → 00:18:04 เราพออัพขึ้นมาเป็นเมฆอยู่ตรงนี้นะมัน
00:18:04 → 00:18:05 อยู่ในนี้หมด
00:18:05 → 00:18:08 >> แปลว่า being หรือว่าการตั้งอยู่ของร่าง
00:18:08 → 00:18:08 กายอ่ะ
00:18:08 → 00:18:09 >> อือ
00:18:09 → 00:18:12 >> ดำมันมันจริงมากความคิดมันก็จะมีข้อดี
00:18:12 → 00:18:15 แหละแต่ว่ามันไม่ใช่ทุกอย่างของทุกสิ่งอ
00:18:15 → 00:18:18 >> อืถ้าให้พี่ดาวลองเล่าให้ฟังได้มคะว่าการ
00:18:18 → 00:18:21 ทำ Body Talk หรือการ dance แบบเนี้ย
00:18:21 → 00:18:23 >> โสขั้นตอนของมันมีอะไรบ้าง
00:18:23 → 00:18:27 >> ขั้นตอนแรกๆก็คืออาจจะวอร์มแต่มันไม่ได้
00:18:27 → 00:18:29 วอร์มเหมือนเหมือนจะออกกำลังกายอันนั้น
00:18:29 → 00:18:32 วอร์มร่างกายเพื่ออบอุ่นร่างกายใช่มั้คะ
00:18:32 → 00:18:35 แต่วอร์มเพื่อที่จะจูนจูนให้ร่างกายมัน
00:18:35 → 00:18:37 เปลี่ยนบทบาทเพราะทุกวันเนี้ย
00:18:37 → 00:18:38 >> อ
00:18:38 → 00:18:40 >> พูดแล้วก็สงสารร่างกายทุกคนใช้ร่างกาย
00:18:40 → 00:18:44 เป็นทาสอ่ะเธอพาฉันเดินทางจากจุดหนึ่งไป
00:18:44 → 00:18:46 จุดหนึ่งเธอเธอเขียนหนังสือให้ฉันเธอ
00:18:47 → 00:18:49 พิมพ์ให้ฉันเธอหยิบแก้วให้ฉันเธอหยิบช้อน
00:18:49 → 00:18:52 ตักข้าวให้ฉันกินคือใช้เาแบบเชิงฟังก์ชัน
00:18:52 → 00:18:53 >> อื
00:18:53 → 00:18:56 >> แล้วเขาก็เข้าใจว่าอ๋อเขามีหน้าที่ถูกใช้
00:18:56 → 00:18:56 แรงงาน
00:18:56 → 00:18:57 >> อื
00:18:57 → 00:19:00 >> แต่จริงๆร่างกายมันจะต้องถูกบอกว่าโอเค
00:19:00 → 00:19:03 เดี๋ยวเธอวางบทบาทฟังก์ชันออกนะ
00:19:03 → 00:19:04 >> เออ
00:19:04 → 00:19:08 >> เธอมาเป็นเพื่อนคู่คิดแล้วเธอเป็นผู้เล่า
00:19:08 → 00:19:12 และบอกฉันหน่อยว่าฉันแบกอะไรอยู่บ้างคือ
00:19:12 → 00:19:14 เป็นการเหมือนแบบค่อยๆให้ร่างกายมันปรับ
00:19:14 → 00:19:15 ปรับจูนใหม่
00:19:15 → 00:19:16 >> อื
00:19:16 → 00:19:18 >> ว่าทำตรงเนี้ยไม่ได้ทำเพื่อความถูกผิดไม่
00:19:18 → 00:19:20 ได้มีมาตวัดเธอไม่ได้ต้องพาฉันเพื่อไป
00:19:20 → 00:19:23 ประสบความสำเร็จตามมาตวัดอะไรถูกผิดไม่มี
00:19:23 → 00:19:27 แล้วบอกเว่าเค้ามีความสำคัญมากพอที่เขาจะ
00:19:27 → 00:19:29 พูดอะไรก็ได้แล้วทุกอย่างมันมีความหมาย
00:19:29 → 00:19:30 หมดแล้วเดี๋ยวเราจะรอฟังอ
00:19:31 → 00:19:31 >> อือ
00:19:31 → 00:19:35 >> ด้วยการค่อยๆแค่มองมือขยับมือในแบบที่ไม่
00:19:35 → 00:19:37 ต้องจะเอามือไปทำอะไรแล้วก็เออดูมือของ
00:19:37 → 00:19:40 ตัวเองเป็นการสร้าง connection แบบใหม่
00:19:40 → 00:19:40 >> อ
00:19:40 → 00:19:45 >> กับจิตใจของเราฉันรู้สึกแบบ
00:19:45 → 00:19:48 หรือฉันรู้สึกอย่างงี้อันเนี้ยเรากำลัง
00:19:48 → 00:19:50 เหมือนป้อนโปรแกรมใหม่ให้เขารู้ว่าโอเค
00:19:50 → 00:19:54 เห็นมเธอเป็นเพื่อนคู่คิดในบทสนทนาฉันได้
00:19:54 → 00:19:54 อะไรเงี้ยค่ะ
00:19:54 → 00:19:57 >> อโอแค่ทำแค่นี้ก็รู้สึกได้แล้วนะ
00:19:57 → 00:19:57 >> เนาะ
00:19:57 → 00:20:00 >> เออว่าเออจริงร่างกายมัน
00:20:00 → 00:20:01 >> สื่อสารกับเราได้
00:20:01 → 00:20:02 >> พูดใช่
00:20:02 → 00:20:05 >> เออบางอย่างเราไม่ต้องสั่งมันมาเอง
00:20:05 → 00:20:07 >> ถ้าจะเป็นโยนคำถามกับตัวเองแล้วให้ร่าง
00:20:07 → 00:20:11 กายช่วยให้ช่วยหาทางออกหรือพูดคุยกับตัว
00:20:11 → 00:20:15 เองมันก็ทำให้เราได้เท่าทัน
00:20:15 → 00:20:18 >> ทุกอย่างแล้วก็เจอคำตอบอะไรบางอย่างที่
00:20:18 → 00:20:19 มันเป็นอ
00:20:19 → 00:20:23 >> คำตอบที่มาจากข้างในงั้นวันนี้เราลองมา
00:20:23 → 00:20:27 สาธิตกันหน่อยมั้คะว่าบอ Talk ในแบบของ
00:20:27 → 00:20:37 พี่ดุจดาวเนี้ยมันเป็นยังไง
00:20:37 → 00:20:41 วันนี้นี่คือสิ่งที่ดาวรู้สึกตอนนี้
00:20:41 → 00:20:42 นุ่นรู้สึกยังยังไง
00:20:42 → 00:20:43 >> อ
00:20:43 → 00:20:46 >> แล้วให้บอกดาวกลับมาเป็นท่าเดี๋ดาวจะทำ
00:20:46 → 00:20:48 ด้วยแต่ยังนึกไม่ออกก็ทำท่าเก่าไปก่อนวัน
00:20:48 → 00:20:50 นี้รู้สึกยังไงคะ
00:20:50 → 00:20:51 >> โอเคลื่นไหล
00:20:51 → 00:20:52 >> อือฮึ
00:20:52 → 00:20:55 >> มัน flow วันนี้คิดว่าเป็นวันที่ดีมันก็
00:20:55 → 00:20:59 ไม่มีอะไรมากวนใจตื่นมาก็ออกกำลังกาย
00:20:59 → 00:21:02 เหมือนเดิมแล้วก็ทำกิจวัดแบบที่เราแบบ
00:21:02 → 00:21:06 ตั้งใจแล้วก็มาเจอทีมทีมก็ดูอารมณ์ดี
00:21:06 → 00:21:08 กันerร์จี
00:21:08 → 00:21:11 พูดคุยกันเออรับส่งกันี้รู้สึกว่าเอ้อวัน
00:21:11 → 00:21:13 นี้มันดีเนาะ
00:21:13 → 00:21:16 >> ค่ะโอเคแล้วสังเกตมั้ยคะว่าสิ่งที่นุ่น
00:21:16 → 00:21:17 พูดกับการเคลื่อนไหวของนุ่นมันเริ่ม
00:21:17 → 00:21:20 สัมพันธ์กันมันเริ่มบอกเป็นแบบนี้
00:21:20 → 00:21:22 >> คราวนี้เดี๋จะให้โจทย์อีก 1 โจทย์เดี๋ยว
00:21:22 → 00:21:23 เราพูดก่อน
00:21:23 → 00:21:26 >> สิ่งที่เราอัดอั้นในชีวิตตอนนี้
00:21:26 → 00:21:26 >> อื
00:21:26 → 00:21:29 >> แต่คราวเนี้ยเราจะม้วเสียงเหมือนมีปุ่มกด
00:21:29 → 00:21:31 แต่เราจะตอบในใจแต่เดี๋จะให้ทุกอย่างมัน
00:21:31 → 00:21:32 ออกมาในท่าทาง
00:21:32 → 00:22:07 >> อือ
00:22:07 → 00:22:09 เมื่อกี้เรา talk กับนนแล้วเล่าว่ามันอัด
00:22:09 → 00:22:10 อั้นยังไงคราวนี้
00:22:10 → 00:22:11 >> อ
00:22:11 → 00:22:13 >> ได้าจะโยนกลับไปหานู่นเป็นตานู่นละ
00:22:13 → 00:22:14 >> อ่า
00:22:14 → 00:22:16 >> แต่นู่นไม่ต้องห่วงว่าเราจะฟังนู่นหรือ
00:22:16 → 00:22:19 เราจะเข้าใจหรือเปล่าโฟกัสที่ตัวเองไป
00:22:19 → 00:22:20 เรื่อยๆ
00:22:20 → 00:22:22 >> หลับตาอย่างี้ก็ยังได้
00:22:22 → 00:22:22 >> อื
00:22:22 → 00:22:25 >> แล้วเดี๋ยวลองดูนะลองทำให้บอดี้มันทkออก
00:22:25 → 00:22:28 มาจากจากเสียงที่มันก้องอยู่ข้างในว่า
00:22:28 → 00:22:31 >> ชีวิตช่วงเนี้ยมันอัดอั้นมันติดขัดมันมี
00:22:31 → 00:22:35 อะไรที่มันอยากจะตะโกนแล้วมันคั่งค้าง
00:22:35 → 00:22:36 อยู่ข้างใน
00:22:36 → 00:22:39 >> เพราะฉะนั้นมือไม้มันจะตามฟีลิ่งก็ได้ตาม
00:22:39 → 00:22:41 เรื่องก็ได้นึกถึงหน้าใครแล้วมันตัวใหญ่
00:22:41 → 00:22:44 อยากจะทำท่าตัวใหญ่เหรืออยากจะแบบลองแบบ
00:22:45 → 00:22:46 อนุญาตทุกอย่าง
00:22:46 → 00:22:46 >> อื
00:22:46 → 00:22:49 >> อื moving อย่างนี้ได้เลยค่ะลองค่อยๆนึก
00:22:49 → 00:22:53 ถึงสภาวะที่มันอึดอ้างอัดอั้นใช่
00:22:53 → 00:22:54 >> ค่อยๆโชว์ออกมา
00:22:54 → 00:23:12 >> อืให้มันขยายมาที่ใช่
00:23:12 → 00:23:24 [เพลง]
00:23:24 → 00:23:26 อื
00:23:26 → 00:23:35 [เพลง]
00:23:50 → 00:23:52 คราวนี้ลองถามตัวเองอยากทำอะไรกับไอ้ก้อน
00:23:52 → 00:23:55 เมื่อกี้เดี๋เห็นมวลอะไรเงี้ยอยากให้มัน
00:23:55 → 00:23:58 ถามตัวเองว่าอยากจะจัดการกับมันยังไงลอง
00:23:58 → 00:24:03 ทำดู
00:24:03 → 00:24:20 [เพลง]
00:24:20 → 00:24:21 อื
00:24:21 → 00:24:34 [เพลง]
00:24:34 → 00:24:36 มันเป็นยังไงบ้าง
00:24:36 → 00:24:37 ตอนนี้เลย
00:24:37 → 00:24:38 >> อืตอนนี้ค่ะ
00:24:38 → 00:24:39 >> อือ
00:24:39 → 00:24:41 >> ยังรู้สึกอยู่เลยอ่ะ
00:24:41 → 00:24:41 >> อือ
00:24:41 → 00:24:45 >> เออมันมันทำงานมากนว่ามันไม่ได้เป็นแค่
00:24:45 → 00:24:47 เรื่องของอารมณ์
00:24:47 → 00:24:50 >> เออมันเป็นแบบความรู้สึกที่มันอยู่ข้างใน
00:24:50 → 00:24:53 จริงจริงที่นู่นว่ามันคงอยู่มานานแล้ว
00:24:53 → 00:24:56 แหละมันอยู่แหละแต่ก่อนในนู้นไม่เคยสนใจ
00:24:56 → 00:24:58 ไงก็อ่ะปล่อยมันทิ้งไว้ไม่เคยดูแลเดี๋ยว
00:24:58 → 00:25:00 ค่อยมาจัดการกับปัญหาอะไรอย่างเงี้ย
00:25:00 → 00:25:05 >> แต่พอพี่ดุดาวก็ชวนคุยให้แบบพูดกับตัวเอง
00:25:05 → 00:25:09 ให้มองลึกลงไปปล่อยใจปล่อยแล้วก็เลยโอเค
00:25:09 → 00:25:12 >> เป็นช่วงเวลาที่เราน่าจะจัดการกับมันซะที
00:25:12 → 00:25:14 >> คือจริงๆเมื่อกี้ในเวลาอันสั้นขอบคุณมาก
00:25:14 → 00:25:17 ที่นุ่นไว้ใจเราเห็นโหนุ่นไว้ใจเรามากเลย
00:25:17 → 00:25:20 เราก็อยู่ข้างๆแล้วมันก็ทำงานแบบหลายๆ
00:25:20 → 00:25:21 มิติอยู่เหมือนกัน
00:25:22 → 00:25:24 >> ใช่แล้วเวลาทำเนี่ยปกติเราควรจะเปิดเพลง
00:25:24 → 00:25:26 มั้หรือว่าไม่ต้องก็ได้
00:25:26 → 00:25:28 >> ไม่จำเป็นต้องเปิดก็ได้
00:25:28 → 00:25:30 >> แต่เปิดก็ได้แต่ถ้าจะเปิดขอเพลงที่ไม่ได้
00:25:30 → 00:25:31 มีเนื้อร้อง
00:25:31 → 00:25:33 >> ไม่งั้นน่ะเดี๋เราจะไปอยู่กับ narattive
00:25:33 → 00:25:36 ที่เป็นเนื้อร้องวันเนี้ยเพลงแบบไหนที่
00:25:36 → 00:25:39 มันจะซิงคกับข้างในเรา
00:25:39 → 00:25:39 >> อ
00:25:39 → 00:25:41 >> ก็ให้เลือกจากตัวเองเลยแล้วเราจะได้รู้
00:25:41 → 00:25:43 ว่าเฮ้ยวันนี้ต้องเพลงเนี้ยไม่ต้องมีเหตุ
00:25:43 → 00:25:44 ผลน่ะแต่แปลว่าอุ้ยมันต้องมีอะไรสักอย่าง
00:25:44 → 00:25:47 ที่เราเลือกเพลงนี้มันมันบอกอะไรก็ก็เอา
00:25:47 → 00:25:49 เพลงนั้นมาแล้วก็ไปกับมันอื
00:25:50 → 00:25:53 >> มันก็ช่วยประคองได้แบบนึงคือบางคนพอไม่มี
00:25:53 → 00:25:56 แบบแผนเลยไม่มีท่าเต้นที่ถูกต้องไม่มี 1
00:25:56 → 00:25:59 2 3 4 5 6 7 8 ไม่มีปลายทางบางคน
00:25:59 → 00:26:00 ก็จะเริ่มยาก
00:26:00 → 00:26:01 >> อือ
00:26:01 → 00:26:04 >> ก็ไม่เป็นไรหรือบางคนอยากจะพูดออกเสียง
00:26:04 → 00:26:06 แล้วมือไม้มันมาอันนี้อันนี้ก็ไม่ติดอะไร
00:26:06 → 00:26:08 ทำได้เหมือนกันเมื่อกี้ไม่ได้ออกเสียง
00:26:08 → 00:26:11 เพราะว่ามีหลายคนแล้วเดี๋ยวไปpuับลิคแล้ว
00:26:11 → 00:26:13 มันจะแบบว่ามันจะไม่มีความเป็นส่วนตัว
00:26:14 → 00:26:16 ด้วยแล้วมันไม่จำเป็นต้องพูดออกมาก็ได้
00:26:16 → 00:26:16 ค่ะ
00:26:16 → 00:26:18 >> ตอนนี้นุ่นรู้สึกเปราะบางมาก
00:26:18 → 00:26:20 >> เสียงต้องเป็นอย่างงี้
00:26:20 → 00:26:21 ใช่ใช่
00:26:21 → 00:26:23 >> แล้วนอยากรู้อย่างเงี้ยถ้าเราทำเสร็จปั๊บ
00:26:23 → 00:26:26 แล้วถ้าเกิดคนทำแล้วมีสภาวะแบบเนี้ยเาควร
00:26:26 → 00:26:29 จะอยู่กับตัวเองก่อนมั้ยหรือว่าควรที่จะ
00:26:29 → 00:26:31 อ่ะออกไปเจอผู้คนเลยไปรับเนerร์gีใหม่ๆ
00:26:31 → 00:26:32 เลย
00:26:32 → 00:26:35 >> อู้ถ้าสามารถระบุได้ว่าตัวเองเปราะบาง
00:26:35 → 00:26:35 >> อ่า
00:26:35 → 00:26:40 >> โหขอบคุณคิดว่าเปราะบางแล้วพร้อมที่จะ
00:26:40 → 00:26:43 ปะทะหรือไปเจอกับเอเนอร์จีใหม่ๆที่เราคาด
00:26:43 → 00:26:46 เดาไม่ได้ว่าจะเป็นเอเนอร์จี้แบบไหนถ้า
00:26:46 → 00:26:49 ประเมินแล้วว่าไม่อยากจะเสี่ยงก็อยู่ก่อน
00:26:49 → 00:26:53 ก็ได้แต่ถ้าจะต้องออกไปแล้วต้องไปทำงานก็
00:26:53 → 00:26:57 ต้องหาวิธีจัดการตัวเองให้มันอยู่ในเลเวล
00:26:57 → 00:27:00 ที่พร้อมที่จะเผชิญกับอะไรก็ไม่รู้ที่จะ
00:27:00 → 00:27:01 เข้ามา
00:27:01 → 00:27:04 >> อือือถ้างั้นต้องให้เวลาตัวเอง
00:27:04 → 00:27:07 >> คิดว่าต้องสร้างเวลาทำมันเองใช่
00:27:07 → 00:27:08 >> ใช่
00:27:08 → 00:27:12 >> ก่อนที่จะล่ำลาอ่ะล่ำลากันไปอยากให้พี่
00:27:12 → 00:27:14 ดุจดาวนะลองฝากถึงคนที่ตอนนี้อาจจะกำลัง
00:27:14 → 00:27:18 เผชิญภาวะ burn out หรือว่าหมดไฟในการทำ
00:27:18 → 00:27:19 งานหน่อยได้มั้ยคะ
00:27:19 → 00:27:23 >> อืคือถ้าสัมผัสได้ว่าเอ้ยเราน่าจะมีอาการ
00:27:23 → 00:27:25 burn out คิดว่ายังไม่อยากให้ตัดสินใจ
00:27:25 → 00:27:28 อะไรก่อนจนกว่าจะเข้าใจว่าเอ้ยอาการ
00:27:28 → 00:27:30 เบิร์น out มาจากอะไรแล้วก็ลองค่อยๆระบุ
00:27:30 → 00:27:34 ให้ได้ว่าเอ้ยมันมาจากปัจจัยอะไรปัจจัย
00:27:34 → 00:27:36 นั้นเราจัดการได้มากน้อยแค่ไหนไปจัดการ
00:27:36 → 00:27:39 ตรงนั้นก่อนแต่พอจัดการเคลียร์เคลียร์
00:27:39 → 00:27:41 เข้าใจเอาแล้วแล้วก็ค้นพบว่าเฮ้ยสิ่ง
00:27:41 → 00:27:44 เนี้ยเป็นสิ่งที่เราไม่โอเคให้ลองสื่อสาร
00:27:44 → 00:27:46 >> กับคนที่ทำงานด้วยจะเป็นเพื่อนร่วมงานแม้
00:27:46 → 00:27:47 กระทั่งหัวหน้าอ
00:27:47 → 00:27:50 >> การทำงานเราสามารถที่จะปฏิเสธอะไรได้
00:27:50 → 00:27:53 เหมือนกันชอบอะไรไม่ชอบอะไรสะดวกใจกับ
00:27:53 → 00:27:55 อะไรไม่สะดวกใจกับอะไรก็ Voice ออกมา
00:27:55 → 00:27:57 หน่อยฝึกที่จะเซต boundary ด้วย
00:27:57 → 00:27:58 >> อือ
00:27:58 → 00:28:00 >> ถ้าสมมุติว่าสุดทางแล้วจริงๆค้นพบแล้วว่า
00:28:00 → 00:28:03 สิ่งที่เราไม่โอเคด้วยแล้วมันเริ่มจะ
00:28:03 → 00:28:05 เบียดเบียน mental wellbeing สุขภาวะทาง
00:28:05 → 00:28:06 ใจเรา
00:28:06 → 00:28:09 >> มากเกินไปแล้วถึงจุดที่แบบไม่ไหวไม่แลก
00:28:09 → 00:28:10 >> อือ
00:28:10 → 00:28:13 >> การตัดสินใจว่าจะไม่ทำงานต่อหรือลาออกก็
00:28:13 → 00:28:15 ไม่ได้เป็นว่าเป็นการยอมแพ้
00:28:15 → 00:28:18 >> เราพูดอย่างี้ในยุคที่หูหลายคนกำลังจะบอก
00:28:18 → 00:28:20 ว่าเฮ้ยลาออกแล้วกลับมาไม่ได้แล้วนะไอ
00:28:20 → 00:28:23 กำลังมาหรือนั่นนู่นนี่สุขภาพใจก็
00:28:23 → 00:28:26 >> สำคัญไม่แพ้กันอยากจะบอกว่าทุกคนมีสิทธิ์
00:28:26 → 00:28:28 เลือกชีวิตเราเลือกได้
00:28:28 → 00:28:28 >> อือ
00:28:29 → 00:28:31 >> ถ้าไม่อยากลาออก
00:28:31 → 00:28:36 >> เลือกวิธีที่จะมองแล้วก็อยู่ในที่ที่เดิม
00:28:36 → 00:28:37 แบบใหม่
00:28:37 → 00:28:39 >> เพราะจะกลับไปทำทุกอย่างเหมือนเดิม out
00:28:39 → 00:28:43 เหมือนเดิมแน่ๆเพราะฉะนั้นใช้อำนาจนี้ใน
00:28:43 → 00:28:45 ชีวิตตัวเองสักหน่อยอำนาจที่จะพูดอำนาจ
00:28:45 → 00:28:48 ที่จะ voice อำนาจที่จะ say อำนาจที่เข้า
00:28:48 → 00:28:50 ใจหรืออำนาจที่เลือกได้ว่าเราจะอยู่ต่อ
00:28:51 → 00:28:54 ยังไงหรือจะไม่อยู่ก็ตามไม่มีชอยไหนเท่า
00:28:54 → 00:28:56 กับการแพ้พ่ายหรือยอมแพ้
00:28:56 → 00:28:56 >> อ
00:28:56 → 00:28:58 >> ถ้าเราเป็นคนเลือกด้วยความเข้าใจ
00:28:58 → 00:29:03 >> อือย่างน้อยเราหันกลับมาให้ความสำคัญกับ
00:29:03 → 00:29:04 ใจเราเอง
00:29:04 → 00:29:04 >> อื
00:29:04 → 00:29:07 >> ณเวลานึงก่อนเมื่อเราพร้อมแข็งแรงเมื่อ
00:29:07 → 00:29:08 ไหร่ค่อยกลับไปทำงานก็ได้อื
00:29:09 → 00:29:09 >> อือ
00:29:09 → 00:29:12 >> ใช่แล้วงานก็มีหลายแบบมีหลายที่มีหลาย
00:29:12 → 00:29:12 อย่าง
00:29:12 → 00:29:13 >> ใช่อือ
00:29:13 → 00:29:16 >> มันมีความกลัวลอยในอากาศเต็มไปหมดแหละ
00:29:16 → 00:29:21 >> ใช่แต่ชีวิตเราก็ต้องก็ต้องมีสุขภาพดี
00:29:21 → 00:29:22 ก่อนม
00:29:22 → 00:29:23 >> อือ
00:29:23 → 00:29:26 >> ไม่งั้นเราจะอยู่ตรงนั้นแล้วเราก็จะแบบ
00:29:26 → 00:29:28 เบียดเบียนตัวเองไปเรื่อยๆทำไมเนาะ
00:29:28 → 00:29:30 >> ใช่ๆเลย
00:29:30 → 00:29:37 >> ใช่ค่ะคำตอบอันนั้นดูดาก็ลาออก
00:29:37 → 00:29:46 อ
00:29:46 → 00:29:50 [เพลง]