00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับตั้งแต่มีสิ่งมีชีวิตถือกำเนิด
00:00:03 → 00:00:05 ขึ้นมาบนโลกของเราเี่นะครับตั้งแต่สิ่งมี
00:00:05 → 00:00:08 ชีวิตเล็กๆเลยไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรียเชื้อ
00:00:08 → 00:00:11 ราจนกระทั่งสิ่งมีชีวิตที่มันใหญ่ขึ้นมา
00:00:11 → 00:00:14 เช่นเป็นพวกสัตว์พวกพืชต่างๆรวมไปถึงคน
00:00:14 → 00:00:18 ด้วยเนี่ยก็จะมีการดำเนินชีวิตตามช่วง
00:00:18 → 00:00:22 เวลาของวันหรือพูดง่ายๆคือตาม 24 ชมงของ
00:00:22 → 00:00:25 เวลาที่โลกมันหมุนรอบตัวเองนั่นเองนะครับ
00:00:25 → 00:00:28 สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดเนี่ยก็จะมีการ
00:00:28 → 00:00:30 ดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันไปบางสิ่งมี
00:00:30 → 00:00:33 ชีวิตตื่นกลางคืนบางสิ่งมีชีวิตตื่นกลาง
00:00:33 → 00:00:36 วันแล้วแต่ละสิ่งมีชีวิตมันรู้ได้ยังไงนะ
00:00:36 → 00:00:39 ครับว่าช่วงนี้ควรตื่นช่วงนี้ควรหลับแล้ว
00:00:39 → 00:00:43 ก็ทำไมสิ่งมีชีวิตบางอย่างถึงต้องกินตอน
00:00:43 → 00:00:47 นี้ถึงต้องออกล่าตอนนี้ถึงมีความแข็งแรง
00:00:47 → 00:00:51 ตอนนี้เพิ่มขึ้นกว่าเวลาอื่นๆเออทำไมวัน
00:00:51 → 00:00:53 นี้เนี่ยเราจะมาไขความลับในเรื่องนี้ลง
00:00:53 → 00:00:57 ลึกไปถึงระดับยีนเลยทีเดียวเพราะว่าเราจะ
00:00:57 → 00:01:01 พูดถึงเรื่องของนาฬิกาชีชีวิตหรือ cardian
00:01:01 → 00:01:04 rm นะครับพบกับผมนะครับนายแพทย์ธนี
00:01:04 → 00:01:05 ธนียวันเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศ
00:01:05 → 00:01:08 สหรัฐอเมริกาเชี่ยวชาญโรคปลอดการปลูกถ่าย
00:01:08 → 00:01:11 ปอดและวิกฤตบำบัดนะครับเรื่องนี้เนี่ยบาง
00:01:11 → 00:01:14 คนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างนะครับเช่นจาก
00:01:14 → 00:01:17 ศาสตร์ของจีนเนี่ยเขาจะบอกว่าช่วงเวลานี้
00:01:17 → 00:01:19 เป็นเวลาของปอดช่วงเวลานี้เป็นเวลาของไต
00:01:19 → 00:01:22 อีกเวลานึงเป็นเวลาของตับแบบนี้เป็นต้น
00:01:22 → 00:01:26 มันมีจริงหรือเปล่ามันมีจริงๆครับแต่เวลา
00:01:27 → 00:01:29 เนี่ยอาจจะไม่ตรงเป๊ะเหมือนในตำราจีนก็
00:01:29 → 00:01:32 ได้เดี๋ยววันนี้ผมจะเล่าให้ฟังว่าคนเรา
00:01:32 → 00:01:35 เนี่ยมันมีนาฬิกาชีวิตแบบนี้ได้ยังไงต้อง
00:01:35 → 00:01:38 เริ่มจากนาฬิกาชีวิตอย่างแรกที่ทุกคนคงจะ
00:01:38 → 00:01:42 รู้จักก่อนนั่นก็คือการหลับและตื่นทำไมคน
00:01:42 → 00:01:44 เราถึงหลับกลางคืนแล้วทำไมมันถึงตื่นกลาง
00:01:44 → 00:01:46 วันมันเหตุผลเพราะอะไรมันเพราะพระอาทิตย์
00:01:46 → 00:01:49 หรือเปล่านะครับพระอาทิตย์ขึ้นเออเราตื่น
00:01:49 → 00:01:51 พระอาทิตย์ตกเออเราหลับมันเป็นอย่างงั้น
00:01:51 → 00:01:54 หรือเปล่าก็มีคนสงสัยแบบนี้ครับดังนั้นใน
00:01:54 → 00:01:58 ประมาณปี 1930 เนี่ยก็มีคนคิดว่าถ้าเราไป
00:01:58 → 00:02:00 อยู่ในที่ที่ไม่มีแสงอาทิตย์เช่นไปอยู่ใน
00:02:00 → 00:02:03 ถ้ำเลยเนี่ยเราจะยังคงหลับแล้วก็ตื่นเป็น
00:02:03 → 00:02:07 เวลาอยู่มยปรากฏว่ามีคนทดลองแบบนั้นครับ
00:02:07 → 00:02:10 แล้วก็พบว่าเราก็หลับแล้วก็ตื่นเหมือน
00:02:10 → 00:02:12 เดิมนั่นแหละเราไม่ใช่หลับตลอดเราก็ไม่
00:02:12 → 00:02:15 ได้ตื่นตลอดแต่ว่าวงจรการหลับของเรามัน
00:02:15 → 00:02:20 เพี้ยนไปเพี้ยนเป็นยังไงบางคนเนี่ยหลับใน
00:02:21 → 00:02:25 1 วันเนี่ยเวลาอาจจะไม่ใช่ 24 ชมแล้วอาจ
00:02:25 → 00:02:29 จะเป็น 25 ชมงบางคนเป็น 22 บางคนเป็น 27
00:02:29 → 00:02:32 ไม่เหมือนกันสักคนเลยก็เริ่มมีคนสงสัย
00:02:32 → 00:02:35 แล้วว่าเฮ้ยเออว่ะวงจรการหลับตื่นเนี่ย
00:02:35 → 00:02:37 มันมีอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละแต่แต่ละคน
00:02:37 → 00:02:39 มันไม่เหมือนกันมันไม่เท่ากันเลยอ่ะทำไม
00:02:39 → 00:02:42 อ่ะก็แปลว่าแต่ละคนต้องมีนาฬิกาสักอย่าง
00:02:42 → 00:02:44 นึงอ่ะอยู่ในร่างกายตัว
00:02:44 → 00:02:48 เองที่บอกเวลาไม่เหมือนกันนะ
00:02:48 → 00:02:52 ครับหลังจากนั้นนะครับพอการทดลองพวกนี้
00:02:52 → 00:02:54 ออกมาเยอะๆก็เริ่มมีคนสงสัยแล้วว่านาฬิกา
00:02:55 → 00:02:58 ชีวิตเรามันอยู่ตรงไหนของร่างกายอยู่ใม
00:02:58 → 00:03:01 หัวอยู่ที่แขนอยู่อยู่ที่ขาอยู่ที่หัวใจ
00:03:01 → 00:03:04 หรืออยู่ที่ไหนการศึกษาครั้งแรกเนี่ยเขา
00:03:04 → 00:03:07 ก็ไปทำในแมลงหวี่ครับเขไปเจอยีนตัวนึง
00:03:07 → 00:03:12 ชื่อว่าพียจีนควบคุมการหลับการตื่นการใช้
00:03:12 → 00:03:17 ชีวิตของแมงวี่ทุกอย่างเลยและในคนน่ะมีมย
00:03:17 → 00:03:21 มีครับปรากฏว่ามีคนญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อดร
00:03:21 → 00:03:25 josef ทากาฮาชิหรือโจทาชิแกเนี่ยเป็นนัก
00:03:25 → 00:03:27 วิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นนะแต่อยู่ที่
00:03:27 → 00:03:30 อเมริกาอยู่ที่ University of Texas นะ
00:03:30 → 00:03:32 ครับ
00:03:32 → 00:03:35 southwestern แล้วเขาไปค้นพบยนตัวนึง
00:03:35 → 00:03:38 ชื่อว่า Clock Jean ชื่อ Clock ที่แปล
00:03:38 → 00:03:39 ว่านาฬิกาเนี่ยแหละครับแต่มันเป็นตัวย่อ
00:03:39 → 00:03:42 ยาวๆแกก็ตั้งให้มันสวยๆนะครับคือชื่อจริง
00:03:42 → 00:03:45 ๆคือ The cardian locomotive Output
00:03:45 → 00:03:50 cycles Cut นะครับ Clock Jean ทำงาน
00:03:50 → 00:03:53 ร่วมกับยีนอีกตัวนึงชื่อว่า B Mall BM
00:03:53 → 00:03:57 A 1 นะครับ BM 1 ทำงานร่วมกันในการ
00:03:57 → 00:04:00 กำหนดนาฬิกาชีวิตของคน
00:04:00 → 00:04:04 นะครับอันนี้ตรงนี้ผมจะขออธิบายในเชิงยีน
00:04:04 → 00:04:06 แล้วก็โมเลกุลนิดนึงมันอาจจะยากนิดนึงถ้า
00:04:06 → 00:04:09 เกิดใครตรงนี้ไม่เข้าใจไม่เป็นไรฟังเล่นๆ
00:04:09 → 00:04:13 สนุกๆแล้วกันนะครับเพบว่าคอกกับจีนเนี่ย
00:04:14 → 00:04:17 มันทำงานร่วมกันนะครับปกติยีนของเราจะ
00:04:17 → 00:04:19 อยู่ในนิวเคลียสในนิวเคลียสจะมี DNA DNA
00:04:19 → 00:04:22 เป็นสายยาวๆพวกนี้แหละเป็นรหัสพันธุกรรม
00:04:22 → 00:04:24 ของเราแล้วในสายเนี่ยเขาจะแบ่งเป็นยีน
00:04:24 → 00:04:29 หลายๆตัวนะครับยีนพวกนี้จะมีการถอดรหัสนะ
00:04:29 → 00:04:31 ครับถอดรหัสมันก็เหมือนเป็นพิมพ์เขียวถอด
00:04:31 → 00:04:34 รหัสแล้วส่งออกไปที่ไซโตพลาสซึมก็คือนอก
00:04:34 → 00:04:37 นิวเคลียสให้ทำการอ่านรหัสนั้นแล้วสร้าง
00:04:38 → 00:04:40 เป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่อะไรก็แล้วแต่นะ
00:04:40 → 00:04:43 ครับนี่คือการทำงานของร่างกายในระดับ
00:04:43 → 00:04:46 เซลล์นะครับทีนี้ไอ้ยีนคอกกับบีมาเนี่ยทำ
00:04:46 → 00:04:50 งานร่วมกันคือมันก็มีพิมพ์เขียวของมัน
00:04:50 → 00:04:51 หลังจากนั้นพอส่งพิมพ์เขียวออกมาที่
00:04:51 → 00:04:54 ไซโตพลาสซึมสร้างโปรตีนชื่อคอกกับ BM มัน
00:04:54 → 00:04:57 มาเกาะกันแล้วกลับเข้าไปในนิวเคลียสใหม่
00:04:57 → 00:05:01 กลับเข้าไปไหนกลับเข้าไปเกาะกับยีนตัว
00:05:01 → 00:05:05 อื่นๆเพื่อทำหน้าที่บอกว่าเฮ้ยอ่านแล้วก็
00:05:05 → 00:05:08 สร้างพิมพ์เขียวของพวกแกออกมาให้หมดแล้ว
00:05:08 → 00:05:10 ไปสร้างโปรตีนซะนะครับโดยมันจะไปเกาะ
00:05:10 → 00:05:12 ตำแหน่งนึงชื่อเรียกว่า ebox นะ
00:05:12 → 00:05:16 ครับแล้วพอมันอ่านเนี่ยมันควบคุมยีนได้
00:05:16 → 00:05:20 หลายตัวมากแล้วไปเจอว่ายีนตัวที่เกี่ยว
00:05:20 → 00:05:23 ข้องกับกระบวนการสร้างนาฬิกาในร่างกายมี
00:05:23 → 00:05:27 ยีน 2 ตัวครับตัวนึงชื่อพดยีนเหมือนกับ
00:05:27 → 00:05:30 แมลงหวี่เลยอีกยีนตัวนึง
00:05:30 → 00:05:34 มันชื่อว่าโตโม 2 ตัวเนี้ยเป็นยีนที่ถูก
00:05:34 → 00:05:35 ควบคุมโดยคอกกับ
00:05:36 → 00:05:39 BM ให้สร้างพิมพ์เขียวส่งออกไปที่
00:05:39 → 00:05:42 ไซโตพลาสซึมสร้างเป็นโปรตีนแล้วเหมือน
00:05:42 → 00:05:46 เดิมครับโปรตีนจาก 2 ตัวเนี้ยทั้งิคและ
00:05:46 → 00:05:49 พีดมันจะเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนแล้วกลับ
00:05:49 → 00:05:53 เข้ามาในนิวเคลียสอีกรอบนึงเพื่อยับยั้ง
00:05:53 → 00:05:57 การทำงานของคอกและ BM ครับแล้วพอมันยับ
00:05:57 → 00:06:00 ยั้งเสร็จตัวมันจะสลายไปแล้วมันเกิดอะไร
00:06:00 → 00:06:05 ขึ้นในแบบนี้คอกกับบีมากระตุ้นให้เกิดการ
00:06:05 → 00:06:06 สร้าง
00:06:06 → 00:06:30 โปรตีนพีเรียดกับคริปโตคอกโคสิส
00:06:30 → 00:06:33 เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากๆเลยทีเดียวนะ
00:06:33 → 00:06:35 ครับตรงนี้ฟังแล้วเราแบบเฮ้ยเราเจอแล้ว
00:06:35 → 00:06:38 อ่ะว่าระดับเซลล์ของเราทุกเซลล์มันทำแบบ
00:06:38 → 00:06:43 นี้ได้นะครับคำถามต่อมาคือแล้ว
00:06:43 → 00:06:47 ทำไมคนเราถึงมีเวลาในแต่ละวันไม่เหมือน
00:06:47 → 00:06:49 กันเพราะเมื่อกี้บอกเอาเข้าไปในที่มืด
00:06:49 → 00:06:53 เนี่ยบางคนนอนบางคนนอนหลับแล้วก็ตื่นใน
00:06:53 → 00:06:57 เวลา 24 ชมงบางคน 22 ชมบางคน 27 ชมทำไม
00:06:57 → 00:06:58 มันไม่เท่า
00:06:58 → 00:07:01 กันเพราะว่าในแต่ละคนมันมีตัวควบคุม
00:07:01 → 00:07:05 นาฬิกาให้มันแตกต่างกันไปอีกก็จะมียีนตัว
00:07:05 → 00:07:07 อื่นมีปัจจัยตัวอื่นอีกที่มันมีผลต่อ
00:07:07 → 00:07:09 นาฬิกาตัวนี้นะครับถ้าใครอยากจะอ่านเพิ่ม
00:07:09 → 00:07:12 เติมเนี่ยอ่าผมจะทิ้งลิงก์ไว้ให้แล้วะกัน
00:07:12 → 00:07:14 แล้วก็ลองไปอ่านเพิ่มเติมเองมันจะมี
00:07:14 → 00:07:18 อ่ามียีนตัวนึงชื่อ ref erb Alpha นะ
00:07:18 → 00:07:21 ครับแล้วก็ ror Alpha พวกเนี้ย 2 ตัวนี้
00:07:21 → 00:07:23 มีตัวกระตุ้นแล้วก็ตัวยับยั้งแล้วนอก
00:07:23 → 00:07:26 เหนือจากนี้มียีนตัวอีกมากมายเช่น ufs
00:07:26 → 00:07:29 อ่า usf One นะครับ heat Shock Factor
00:07:29 → 00:07:31 อะไรพวกเนี้ยคือมีอีกหลายอย่างที่มันควบ
00:07:31 → 00:07:33 คุมนาฬิกาตัวนี้ทำให้มันเหมาะสมกับร่าง
00:07:33 → 00:07:36 กายของมนุษย์คนนั้นและสิ่งมีชีวิตนั้นนะ
00:07:36 → 00:07:39 ครับนี่เป็นการค้นพบที่แบบสุดยอดมากทีนี้
00:07:39 → 00:07:43 แเริ่มคำถามเลยเกี่ยวอะไรกับแสงเกี่ยว
00:07:43 → 00:07:48 อะไรกับแสงต้องบอกอย่างนี้ครับในร่างกาย
00:07:48 → 00:07:51 ของเราเมื่อตะกี้เนี่ยทุกเซลล์นะมันมียีน
00:07:51 → 00:07:53 นาฬิกาอยู่ในตัวมัน
00:07:53 → 00:07:56 เองแต่ว่าถ้าทุกเซลล์ทำงานไม่ประสานกัน
00:07:56 → 00:07:59 ร่างกายเรามันมั่วใช่มั้ยครับเหมือนเรามี
00:07:59 → 00:08:01 ทีมฟุตบอลน่ะถ้าต่างคนต่างเล่นน่ะทุกคน
00:08:01 → 00:08:05 เล่นฟุตบอลเป็นหมดมั้ครับเป็นนะทั้งทีม
00:08:05 → 00:08:07 เนี่ยเล่นฟุตบอลเป็นหมดแต่ถ้ามันเล่นแบบ
00:08:07 → 00:08:09 ไปคนละทิศคนละทางมั่วทุกคนอยากจะแย่งบอล
00:08:09 → 00:08:11 ลูกเดียวกันเงี้ยมันก็ไม่ชนะเขามันก็ทำ
00:08:12 → 00:08:15 งานเป็นทีมไม่ได้หรือเรามีวงดนตรีวงนึง
00:08:15 → 00:08:19 ทุกคนก็เล่นดนตรีของตัวเองได้แต่ถ้าเกิด
00:08:19 → 00:08:20 ว่ามันเล่นไม่ประสานกันมันก็ฟังไม่รู้
00:08:20 → 00:08:24 เรื่องแล้วร่างกายเราอ่ะมันมีคนคุมวงอยู่
00:08:24 → 00:08:28 ตรงไหนเออเหมือนเราถ้าเราเป็นวงดนตรีเรา
00:08:28 → 00:08:30 มีหัวหน้าวงอยู่ตรงไหนในร่างกายเราอยู่
00:08:30 → 00:08:35 ตรงไหนกันแน่เค้าก็พบว่ามันอยู่ที่สมอง
00:08:35 → 00:08:39 ครับตรงไหนของสมองเค้าก็ไปเจอครับแสงเข้า
00:08:39 → 00:08:42 ทางตาเข้าทางเรติน่ามันจะผ่านเส้นประสาท
00:08:42 → 00:08:45 ตาซึ่งมีเส้นประสาท 2 เส้นแล้วมันจะมา
00:08:45 → 00:08:48 ไขว้ตัดกันตรงกลางตรงที่มันไขว้เป็นตัว X
00:08:48 → 00:08:49 เนี่ยเราจะเรียกว่า
00:08:49 → 00:08:55 ไสมานะครับแล้วตรงนั้นนี่แหละมันจะมีที่
00:08:55 → 00:08:58 ที่หนึ่งเราเรียกได้ว่า sura ctic
00:08:58 → 00:09:00 นิวเคลียส
00:09:00 → 00:09:03 ซคือเหนือไสมาคือไอ้ตัว X นี่แหละที่มา
00:09:03 → 00:09:05 เซ้ลประสาทตามมาตัดกันนิวเคลียสก็คือเป็น
00:09:05 → 00:09:08 กลุ่มก้อนของเซลล์ประสาทนะครับไอ้กลุ่ม
00:09:08 → 00:09:11 ก้อนของเซลล์ประสาทเนี่ยอยู่ในสมองสูนที่
00:09:11 → 00:09:13 เราเรียกว่าไฮโปทาลามัส
00:09:13 → 00:09:15 และในแต่
00:09:15 → 00:09:19 ละกลุ่มก้อนของเซลล์ตัวเนี้ยคือ sura
00:09:19 → 00:09:22 Chic นสเนี่ยมีเซลล์ประสาทอยู่เป็นหมื่น
00:09:22 → 00:09:27 ตัวมันทำหน้าที่คุยกันเองประสานงานกันเอง
00:09:27 → 00:09:31 แล้วก็กำหนดเวลาของร่างทั้งหมดผ่านทาง
00:09:31 → 00:09:34 แสงแล้วมันกำหนดยังไงปกติคอนดักเตอร์
00:09:34 → 00:09:37 เนี่ยจะมีไม้ไม้อนึงใช่มั้ยคอยคuอย่าง
00:09:37 → 00:09:39 เงี้ยใช่มั้ยที่บอกให้ลูกวนเอ้ยเล่นเล่น
00:09:39 → 00:09:42 ตรงนี้ดังหน่อยเล่นตรงนี้เบาหน่อยไอ้
00:09:42 → 00:09:45 เซลล์ตัวนี้เนี่ยมันไปควบคุมทั้งร่างกาย
00:09:45 → 00:09:49 ผ่านทางหลายระบบหนึ่งในนั้นก็คือฮอร์โมน
00:09:49 → 00:09:50 สเตียรอยด์
00:09:50 → 00:09:55 ครับตัวมันเองเนี่ยจะมีสายประสาทเไป
00:09:55 → 00:09:58 กระตุ้นเซลล์สุมที่อยู่ในไฮโปทาลามัสให้
00:09:58 → 00:10:00 มันสร้างฮอร์โมนตัวนึงชื่อคิอ
00:10:00 → 00:10:03 corticotropin releasing Hormone แล้ว
00:10:03 → 00:10:07 มันก็จะไปกระตุ้นต่อมพารซึ่งอยู่ติดกับ
00:10:07 → 00:10:12 ไฮโปทาลามัสเลยให้สร้างฮอร์โมน
00:10:12 → 00:10:16 acth นะครับ act เนี่ยก็จะวิ่งไปที่ต่อม
00:10:16 → 00:10:19 บวกไตบอกว่าเฮ้ยสร้างสเตียรอยด์สร้าง
00:10:19 → 00:10:22 คอร์ติซอลออกมาอ่าแล้วคอร์ติซอลก็จะควบ
00:10:22 → 00:10:24 คุมอย่างอื่นของร่างกายนี่คือกลไกที่ 1
00:10:24 → 00:10:28 กลไกที่ 2 มันควบคุมผ่านทางระบบประสาท
00:10:28 → 00:10:31 อัตโนโนมัติครับและกลไกที่ 3 ควบคุมผ่าน
00:10:31 → 00:10:33 ทาง
00:10:33 → 00:10:37 อุณหภูมิมันสุดยอดขนาดนี้แล้วทีนี้เขาไป
00:10:37 → 00:10:39 ทดสอบกับไอ้พวกเซลล์ต่างๆของร่างกายของ
00:10:39 → 00:10:44 เราเพบว่ามันเชื่อฟังนาฬิกาชีวิตที่ส่งมา
00:10:44 → 00:10:47 จากเนี่ยซุ clastic นิคสมาก
00:10:47 → 00:10:51 เลยแล้วก็นักวิทยาศาสตร์ก็บอกพูดง่ายๆกวน
00:10:51 → 00:10:53 บาทาไม่ใช่เล่นอยากจะไปก่อกวนนาฬิกาชีวิต
00:10:53 → 00:10:58 ดูซิมันจะเกิดอะไรขึ้นเช่นเฮ้ยเอาเอาก็ใน
00:10:58 → 00:11:00 เมื่อเซลล์ที่มันเจอแสงอย่างเดียวก็คือ
00:11:00 → 00:11:02 เซลล์ตาเนี่ยมันส่งมาตรง sura ctic
00:11:02 → 00:11:04 นิวเคลียสแล้วมันเห็นแสงมันก็ต้องควบคุม
00:11:04 → 00:11:07 ได้สิไอ้เซลล์อื่นมันไม่เห็นตอบสนองต่อ
00:11:07 → 00:11:09 แสงมันไม่เห็นแสงนี่เออแล้วทำไมมันเป็น
00:11:09 → 00:11:11 งั้นน่ะมันตอบสนองแต่อย่างอื่นอะไรหรือ
00:11:11 → 00:11:13 เปล่าตอบสนองตการควบคุมของไอ้ตัว sura
00:11:13 → 00:11:15 ctic นิวเคลียสผ่านไอ้กลไก 3 อย่างเมื่อ
00:11:15 → 00:11:19 ตะกี้ที่บอกหรือเปล่าเขาก็พบว่ามันเซลล์
00:11:19 → 00:11:21 รอบๆนอกของเราเนี่ยเราเรียกว่า peripheral
00:11:21 → 00:11:24 Cell Central ก็คือในหัวตรงกลางนะครับ
00:11:24 → 00:11:28 ข้างนอกเราเนี่ยมันมีการไปกระตุ้นนะครับ
00:11:28 → 00:11:31 ได้ด้วยความร้อนได้ด้วยแฮะถ้าเปลี่ยนแปลง
00:11:31 → 00:11:34 อุณหภูมิเนี่ยนาฬิกาชีวิตของเซลล์แต่ละ
00:11:34 → 00:11:37 เซลล์เปลี่ยนไปหมดเลยเออเปลี่ยนไปหมดเลย
00:11:37 → 00:11:39 นะครับ
00:11:39 → 00:11:42 แต่มันเปลี่ยนไปไม่แบบ 100% เท่าไหร่คือ
00:11:42 → 00:11:44 ยังมีความดื้อด้านของมันอยู่ที่ไม่
00:11:44 → 00:11:47 เปลี่ยนเต็มที่แต่คุณรู้อะไรมครับ SCN
00:11:48 → 00:11:50 ของเราเนี่ยหรือ Su นิวเคลียสที่เป็น
00:11:50 → 00:11:52 ศูนย์ควบคุมนาฬิกาทั้งร่างกายของเราเนี่ย
00:11:52 → 00:11:56 มันดื้อความร้อนว่ะมันโดนความร้อนนะแต่
00:11:56 → 00:11:58 ว่ามันไม่เกิดอะไรขึ้นมันไม่เปลี่ยนแปลง
00:11:58 → 00:12:01 ไปตามความร้อนร้อนถามว่าทำไมมันเป็นอย่าง
00:12:01 → 00:12:05 งั้นนั่นก็เพราะว่าเซลล์ประสาทในนั้น
00:12:05 → 00:12:07 เนี่ยมันมีความพิเศษอย่างหนึ่งคือมันสื่อ
00:12:07 → 00:12:10 สารซึ่งกันและกันจูนนาฬิกาให้มันตรงกัน
00:12:10 → 00:12:14 แล้วค่อยส่งข้อมูลออกไปต่อให้เจอความร้อน
00:12:14 → 00:12:19 ความร้อนอาจจะมีผลต่อเซลล์ใน suic เสตัว
00:12:19 → 00:12:22 นึงแบบนึงอีกตัวนึงก็โดนอีกแบบนึงแต่ว่า
00:12:22 → 00:12:25 พอเจอหลายๆคนเข้ามันมาคุยกันเองเฮ้ยไม่
00:12:25 → 00:12:27 ใช่แล้วต้องอย่างเงี้ยถือว่าเป็นข้อสรุป
00:12:27 → 00:12:29 ของทีมทั้งทีมข้อสรุปของศูนย์ชาการแล้ว
00:12:29 → 00:12:32 ส่งข้อมูลออกไปมันก็เลยมีความทนทานต่อ
00:12:32 → 00:12:35 อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปนะครับก็เหมือน
00:12:35 → 00:12:38 เวลาคนเราทำงานน่ะทำงานคนเดียวคุณอาจจะ
00:12:38 → 00:12:40 ผิดพลาดได้แต่ถ้าเกิดคุณเอาคนหลายๆคนมา
00:12:40 → 00:12:42 รวมกันแล้วเนี่ยโอกาสผิดพลาดมันน้อยลงมี
00:12:42 → 00:12:44 อะไรข้างนอกมาจูงใจให้เปลี่ยนใจเนี่ยมัน
00:12:44 → 00:12:47 จะไม่ค่อยเปลี่ยนใจนี่เป็นข้อดีอย่าง
00:12:47 → 00:12:49 หนึ่งของสูตควบคุมร่างกายนะครับดังนั้น
00:12:49 → 00:12:52 ตอนนี้เรารู้แล้วว่าจุดที่ควบคุมนาฬิกา
00:12:52 → 00:12:58 ชีวิตเนี่ยมันอยู่ในสมองตรงนี้นะครับอ่ะ
00:12:58 → 00:13:01 มาถึงเรื่องสำคัญและตรงนี้สำคัญที่ผมก็
00:13:01 → 00:13:04 อยากหลายๆคนอยากจะรู้แล้วร่างกายของเรา
00:13:04 → 00:13:07 เนี่ยมันมีนาฬิกาในแต่ละช่วงไม่เหมือนกัน
00:13:07 → 00:13:12 เหมือนศาสตร์แพทย์แผนจีนยังไงยังไงผมจะขอ
00:13:12 → 00:13:15 เริ่มต้นอ่าเอาตัวอย่างที่สำคัญำคัญก่อน
00:13:15 → 00:13:18 นะครับแล้วเดี๋ยวจะลงไปในแต่ละระบบเลย
00:13:18 → 00:13:22 เช่นปกติเวลากลางคืนเนี่ยเรานอนใช่มยเรา
00:13:22 → 00:13:25 นอนหลับช่วงเวลานั้นเนี่ยจะเป็นช่วงที่
00:13:25 → 00:13:29 เราสร้างไขมันขึ้นมาเราจะสร้างสร้างไขมัน
00:13:29 → 00:13:31 เยอะในเวลากลางคืนสร้าง ldl เยอะในเวลา
00:13:31 → 00:13:34 กลางคืนดังนั้นเนี่ยเวลาที่เอามาใช้ในทาง
00:13:34 → 00:13:37 การแพทย์คือเราจะต้องกินยาพวกสแตตินใน
00:13:37 → 00:13:40 เวลาก่อนนอนมันจะได้ไปยับยั้งกระบวนการ
00:13:40 → 00:13:43 ที่มันมีเยอะในเวลากลางคืนได้เต็มที่ถ้า
00:13:43 → 00:13:46 เกิดเราเอาไปกินตอนเช้ามันก็อาจจะไม่ได้
00:13:46 → 00:13:48 ผลขนาดนั้นอย่างไรก็ตามต้องอันนี้ต้องบอก
00:13:48 → 00:13:51 ไว้ก่อนว่ายารุ่นใหม่ๆนะครับเช่น UA
00:13:51 → 00:13:53 statin เนี่ยเาทำให้มันออกฤทธิ์ยาวทั้ง
00:13:53 → 00:13:55 วันทั้งคืนมันจะกินตอนไหนก็ไม่มีผลแต่ถ้า
00:13:55 → 00:13:57 เป็นยารุ่นเก่าเช่น stin พวกเยมันออก
00:13:57 → 00:14:00 ฤทธิ์สั้นจะก็ต้องกินก่อนนอนเท่านั้นถึง
00:14:00 → 00:14:02 จะได้ผลนะครับร่างกายเราก็มีความเปลี่ยน
00:14:03 → 00:14:05 แปลงบางอย่างที่มันเกิดขึ้นกลางคืนหรือ
00:14:05 → 00:14:09 บางอย่างจะบอกว่าทำไมโรคหัวใจขาดเลือด
00:14:09 → 00:14:11 เนี่ยโรคหัวใจขาดเลือดหรือสตกที่คุณสมรัก
00:14:11 → 00:14:14 เป็นเนี่ยทำไมมันต้องเป็นตอนเช้าด้วยแฮะ
00:14:14 → 00:14:17 นั่นก็เพราะว่าร่างกายนะครับมีระบบ caden
00:14:17 → 00:14:21 rym หรือนาฬิกาชีวิตที่กระตุ้นระบบหัวใจ
00:14:21 → 00:14:25 และหลอดเลือดตอนเช้าครับแล้วทำไมมันต้อง
00:14:25 → 00:14:28 เป็นอย่างงั้นด้วยก็เพราะว่าตอนคืนเราพัก
00:14:28 → 00:14:32 ผ่อนนะหัวใจเราต้องเต้นช้าทุกอย่างช้าหมด
00:14:32 → 00:14:35 แต่ตอนเช้าอ่ะเราต้องมีกิจกรรมเราต้องไป
00:14:35 → 00:14:38 ทำอะไรักอย่างถ้ามันยังช้าหัวใจเต้นช้า
00:14:38 → 00:14:41 ความดลหิตต่ำๆอยู่มันทำไม่ได้ครับเพราะ
00:14:41 → 00:14:44 ว่าหัวใจก็ต้องปั๊มเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง
00:14:44 → 00:14:48 ๆของร่างกายให้เขามีสารอาหารมีออกซิเจนมี
00:14:48 → 00:14:51 พลังงานในการดำเนินชีวิตถ้าเกิดมันยัง
00:14:51 → 00:14:55 เต้นช้าความถิตกคุณจะไปวิ่งโอหน้ามืดตาย
00:14:55 → 00:14:57 เลยครับไม่ไหวดังนั้นก่อนที่เราจะตื่น
00:14:57 → 00:14:59 เนี่ยจะเริ่มมีการเร่งระบบประสาทพวกนี้
00:14:59 → 00:15:03 ขึ้นมาหมดเลยนะครับแล้วบังเอิญถ้าโชคร้าย
00:15:03 → 00:15:07 นะคือถ้าคุณมีโรคหลอดเลือดหัวใจมันตีบ
00:15:07 → 00:15:09 หรือโรคหลอดเลือดสมองมันตีบอยู่ตรงนั้น
00:15:09 → 00:15:12 น่ะแล้วมีการเร่งหัวใจให้มันทำงานเยอะๆ
00:15:12 → 00:15:15 สิ่งที่เกิดขึ้นคือหัวใจมันมันได้เลือดมา
00:15:15 → 00:15:17 เลี้ยงตัวเองไม่เพียงพอเพราะมันทำงานมาก
00:15:17 → 00:15:20 ไปเนื่องจากเส้นเลือดหัวใจมันตีบอ่ะมัน
00:15:20 → 00:15:22 ต้องใช้เลือดในการบีบตัวแรงๆเหมือนกันนะ
00:15:22 → 00:15:25 ตัวมันเองก็ต้องใช้เลือดเหมือนกันนะทีนี้
00:15:25 → 00:15:28 มันมันทำงานเยอะแต่มันได้เลือดไม่พอมันก็
00:15:28 → 00:15:31 จะเกิดก้าหัวใจตายขึ้นมาครับอ่ะแล้วสมอง
00:15:31 → 00:15:35 ล่ะส่วนเส้นเตีบหัวใจปั๊มแรงๆที่อื่นได้
00:15:35 → 00:15:38 เลือดหมดที่นี่ไม่ค่อยได้ครับมันโดนแย่ง
00:15:38 → 00:15:42 เลือดไปก็เกิดสตกขึ้นมาได้ในช่วงเวลานี้
00:15:42 → 00:15:46 ไอ้นี่แหละคือความรู้ทางด้านของวงจรชีวิต
00:15:46 → 00:15:49 นาฬิกาชีวิตที่เราเอาไปใช้จริงๆอ่ะเรามา
00:15:49 → 00:15:53 ลองเริ่มแต่ละระบบกันแล้วกันเริ่มจากระบบ
00:15:53 → 00:15:56 ประสาทก่อนสมองของเรานะครับสมองของเรา
00:15:56 → 00:15:59 เนี่ยมันจะตื่นตัวมากช่วงเวลาเช้าเลยนะ
00:15:59 → 00:16:02 ครับบางคนก็คือออันนี้ต้องต้องขอบอกไว้
00:16:03 → 00:16:06 ก่อนนะว่ามันจะมีความเกี่ยวข้องกับการใช้
00:16:06 → 00:16:09 ชีวิตของเราการกินอาหารของเราการเจอแสง
00:16:09 → 00:16:11 แดดหรือสิ่งกระตุ้นเพราะว่าพวกนี้คือ
00:16:11 → 00:16:14 ปัจจัยภายนอกที่เปลี่ยนแปลงนาฬิกาชีวิต
00:16:14 → 00:16:16 ของเราได้อาจจะเวลาไม่เหมือนกันซะทีเดียว
00:16:16 → 00:16:21 แต่ผมจะขอพูดในแง่ของวงจรหรือนาฬิกาของ
00:16:21 → 00:16:23 ชีวิตที่มันเท่าๆกันเสียก่อนโดยไม่โดน
00:16:23 → 00:16:26 ปัจจัยภายนอกมาทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปนะ
00:16:26 → 00:16:29 ครับช่วงเวลาเช้าเนี่ยเนี่ยจะเป็นช่วง
00:16:29 → 00:16:34 เวลาที่เรามีความอ่ามีความ Active ในด้าน
00:16:34 → 00:16:37 ของสมองเยอะมากดังนั้นเราเอามาใช้ทำอะไร
00:16:37 → 00:16:41 อ่ะก็เอามาใช้ในการทำงานตัดดสินใจอะไรที่
00:16:41 → 00:16:44 มันสำคัญำคัญคิดเรื่องสำคัญในช่วงเวลาที่
00:16:44 → 00:16:47 สมองเรา Active สุดๆแล้วสมองเรามันจะตกลง
00:16:47 → 00:16:48 ไปอีกทีนึงตอน
00:16:48 → 00:16:52 ไหนตอนหลังเที่ยน 13:00 นถึง 15:00 นเป็น
00:16:52 → 00:16:56 ช่วงเวลาที่ใครต่อใครก็คงจะรู้ว่ามัน
00:16:56 → 00:17:00 ง่วงมันง่วงมันอยากนอนช่วงนั้นเนี่ยถ้า
00:17:00 → 00:17:03 คุณไปใช้เวลาช่วงนั้นในการตัดสินใจสำคัญ
00:17:03 → 00:17:05 ำคัญประชุมสำคัญแล้วคิดเรื่องสำคัญๆหรือ
00:17:05 → 00:17:08 เรียนเนี่ยไม่รู้เรื่องหรอกครับไม่รู้
00:17:08 → 00:17:11 เรื่องง่วงเหมือนเดิมนะครับแต่อย่างไรก็
00:17:11 → 00:17:14 ตามมันมีวิธีในการแก้ไขซึ่งผมเคยทำคลิปไป
00:17:14 → 00:17:16 แล้วนะว่าเราจะทำไงให้ช่วงเวลาที่เราหลัง
00:17:16 → 00:17:18 กินข้าวเที่ยงอ่ะไม่ค่อยง่วงนะครับก็ลอง
00:17:18 → 00:17:21 ไปฟังคลิปนั้นดูได้นะฮะนี่เป็นเรื่องของ
00:17:21 → 00:17:27 สมองนะต่อมาเรื่องของหัวใจและหลอดเลือด
00:17:27 → 00:17:30 อย่างที่บอกครับมันจะทำงานเต็มที่ช่วงตอน
00:17:30 → 00:17:33 ใกล้รุ่งสางหลังจากนั้นเนี่ยถึงประมาณสัก
00:17:33 → 00:17:37 11:00 นเนี่ยมันจะทำงานเยอะเลยในช่วงนี้
00:17:37 → 00:17:41 แต่ว่าอย่างนึงซึ่งคุณจะมีมีความเกี่ยว
00:17:41 → 00:17:44 ข้องก็คือเรื่องของอ่าหลอดเลือดต่างๆนะ
00:17:44 → 00:17:47 ครับมันจะขยายตัวได้ดีในช่วงเวลาช่วงบ่าย
00:17:47 → 00:17:51 ประมาณสัก 16:00 นนะ 16 น- 18:00 นช่วง
00:17:51 → 00:17:53 เนี้ยหลอดเลือดขยายตัวดีแล้วมันจะดันไป
00:17:53 → 00:17:57 พร้องกับระบบกล้ามเนื้อซึ่งระบบกล้าม
00:17:57 → 00:18:00 เนื้อจะทำงานได้ดีช่วงนี้พอดีเลยถามแล้ว
00:18:00 → 00:18:04 มันดียังไงเออเราไปใช้ทำอะไรได้บ้างเล่น
00:18:04 → 00:18:07 เวทไงครับออกกำลังกายไงครับออกกำลังกาย
00:18:07 → 00:18:10 ช่วงบ่ายอ่ะประมาณ 3-4 นถ 6:00 นเนี่ย
00:18:10 → 00:18:12 เป็นช่วงที่เราจะมีประสิทธิภาพทางร่างกาย
00:18:12 → 00:18:16 สูงที่สุดในตอนนั้นอืเราก็สามารถเอาไปออก
00:18:16 → 00:18:19 กำลังกายในตอนนั้นเพื่อให้มันได้ประโยชน์
00:18:19 → 00:18:23 เยอะที่สุดตามนาฬิกาชีวิตของเราได้นะ
00:18:23 → 00:18:27 ครับระบบภูมิคุ้มกันเอออันนี้น่าสนใจะมัน
00:18:27 → 00:18:30 มีความเรื่องภูมิคุ้มกันนี่ยาวแน่นอนนะ
00:18:30 → 00:18:32 ครับแต่ผมก็จะขอเอาให้มันสั้นๆแล้วกันนะ
00:18:32 → 00:18:37 ครับภูมิคุ้มกันของเราเนี่ยในเวลากลางคืน
00:18:37 → 00:18:40 ที่เรานอนนะมันจะมีการอักเสบเกิดขึ้นใน
00:18:40 → 00:18:42 ร่างกายแต่เป็นการอักเสบที่ดีถ้าเรานอน
00:18:42 → 00:18:46 หลับได้ดีมันจะมีอินติ 6 ค่อยๆสูงขึ้นไป
00:18:46 → 00:18:48 เรื่อยๆแล้วมันสูงที่สุดตอนช่วงเราใกล้
00:18:48 → 00:18:50 ตื่นกลางคืนมันจะเยอะมากถามว่ามันเอาไว้
00:18:50 → 00:18:52 ทำอะไรตงเนี้ยมันอักเสบในร่างกายมันดียัง
00:18:52 → 00:18:56 ไงเนี่ยคือร่างกายของเราเนี่ยระบบที่มัน
00:18:56 → 00:18:59 จะจัดการกับสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย
00:18:59 → 00:19:02 มันจะต้องมีเซลล์ซึ่งเฉพาะเจาะจงกับสิ่ง
00:19:02 → 00:19:07 แปลกปลอมนั้นๆเช่นเซลล์ตัวนี้ไปเจอเชื้อ
00:19:07 → 00:19:10 โรคอีโคไลมันก็จะจัดการเชื้อโรคอีโคไล
00:19:10 → 00:19:13 เซลล์ตัวนี้ต้องเจอไข้หวัดใหญ่มันถึงจะ
00:19:13 → 00:19:16 จัดการได้ถ้าเจถ้าเกิดเซลล์ไข้หวัดใหญ่ไป
00:19:16 → 00:19:18 เจอเซลล์อีโคไลไปเจอตัวอีโลมันก็จัดการ
00:19:18 → 00:19:23 ไม่ได้ดังนั้นร่างกายก็ต้องหาทางจัดให้
00:19:23 → 00:19:25 มันมาเจอกับสิ่งพวกเนี้ยหรือสิ่งที่
00:19:25 → 00:19:28 กระตุ้นให้ที่เหมาะสมในเวลากลางคืนนะครับ
00:19:28 → 00:19:31 ครับเซลล์พวกเมดเลือดขาวที่ออกไปลดตระเวน
00:19:31 → 00:19:33 ตามบริเวณต่างๆของร่างกายเนี่ยมันจะกลับ
00:19:33 → 00:19:36 เข้าสู่ศูนย์บัญชาการของมันนั่นก็คือพวก
00:19:36 → 00:19:40 ต่อมน้ำเหลืองต่างๆในร่างกายศูนย์บัญชา
00:19:40 → 00:19:42 การของมันเนี่ยเหมือนมันกลับมาพักผ่อน
00:19:42 → 00:19:44 แล้วก็กลับมาแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน
00:19:44 → 00:19:47 เวลาใครเจออะไรก็มาคุยกันในเนี้ยนะครับ
00:19:47 → 00:19:49 คุยกันคุยกันเสร็จปุ๊บมันก็จะมีความแข็ง
00:19:49 → 00:19:52 แรงของภูมิต้านทานแล้วก็ Inter 6 พวก
00:19:52 → 00:19:53 เนี้ยมันมีความเกี่ยวข้องกับการที่มันมา
00:19:53 → 00:19:56 คุยกันนะมีการแต่มันมีอีกตั้งหลายตัว
00:19:56 → 00:19:59 อินเตอร์วิวคน 2 เพิ่มพวกพวกกลุ่มอ่า T
00:19:59 → 00:20:02 เซลหรืออื่นๆนะครับพวกเซลล์ที่มันเป็น
00:20:02 → 00:20:04 antigen presenting sal ก็คือเซลล์
00:20:04 → 00:20:08 ซึ่งแบบไปเก็บชิ้นส่วนของพวกสิ่งที่ไม่ดี
00:20:08 → 00:20:11 ทั้งหลายแหล่มาเนี่ยแล้วบอกว่าเฮ้ยเราจะ
00:20:11 → 00:20:13 ทำยังไงดีต้องหาคนมาจัดการคือตัวมันเอง
00:20:13 → 00:20:15 จัดการไม่ได้นะแต่ตัวมันเองสามารถไปแจ้ง
00:20:15 → 00:20:18 ได้เหมือนคนคนที่ไปแจ้งตำรวจอ่ะคนแจ้ง
00:20:18 → 00:20:20 ตำรวจถ้าไม่เจอตำรวจก็แจ้งไม่ได้ใช่มั้ย
00:20:20 → 00:20:23 ฮะนี่ก็เหมือนกันถ้าเกิดว่าเราเป็นคนที่
00:20:23 → 00:20:25 ต้องไปแจ้งคนอื่นเพราะเราเจอเรื่องมาแล้ว
00:20:25 → 00:20:27 เราต้องไปแจ้งแจ้งใครอ่ะก็ต้องแจ้งไอ้เม
00:20:27 → 00:20:29 เลือดขาวที่มีความเฉพาะต่อจงเรื่องๆนี้
00:20:29 → 00:20:32 แล้วจะแจ้งที่ไหนก็ต้องเข้าไปในต่อมน้ำ
00:20:32 → 00:20:34 เหลืองแต่ถ้าเกิดยังเดินวนเวียนอยู่ข้าง
00:20:34 → 00:20:36 นอกมันแจ้งไม่ได้และการนอนหลับที่สมบูรณ์
00:20:36 → 00:20:38 แข็งแรงของเราดีๆนี่แหละจะทำให้ระบบภูมิ
00:20:39 → 00:20:41 ต้านทานของเราเนี่ยมันทำงานได้ดีในเวลา
00:20:41 → 00:20:44 ที่นอนเพราะว่ามันเอาเซลลทุกเซลล์ที่ไป
00:20:44 → 00:20:46 เดินล่าตระเวรกลับมาเจอกันคุยกันก็จะทำ
00:20:46 → 00:20:48 ให้วางแผนจัดการกับสิ่งแปลกปลอมพวกนั้น
00:20:48 → 00:20:50 ได้ดีขึ้นนะ
00:20:50 → 00:20:54 ครับแต่ถ้าเกิดว่าคุณไม่นอนตอนนั้นนะเกิด
00:20:54 → 00:20:58 อะไรขึ้นกระบวนการนี้ไม่เกิดขึ้นนะเซลลล์
00:20:58 → 00:21:00 พูมการของเราน่ะในเวลาที่เราตื่นมันต้อง
00:21:00 → 00:21:02 ออกไปข้างนอกออกไปตามแขนตามขาเพื่อดูซิ
00:21:02 → 00:21:04 ว่าเอ๊ะมันจะมีแผลอะไรเข้ามาหรือเปล่ามี
00:21:04 → 00:21:07 แผลเกิดขึ้นปุ๊บเราก็ต้องเอาเซมพุ้งกันเ
00:21:07 → 00:21:09 ไปต่อสู้กับเชื้อโรคที่มันเข้ามาทางแผล
00:21:09 → 00:21:11 แต่เวลานอนน่ะคนเรามันไม่เกิดแผลเวลานอน
00:21:11 → 00:21:14 เท่าไหร่อยู่แล้วแหละโอกาสยากมากดังนั้น
00:21:14 → 00:21:16 มันก็เป็นเวลาที่มันได้พักเข้ามาคุยกันนะ
00:21:16 → 00:21:19 ครับถ้ามันไม่เข้ามาคุยกันบ่อยๆเกิดอะไร
00:21:19 → 00:21:22 ขึ้นภูมิแพ้เกิดขึ้นครับการตอบสนองต่อ
00:21:22 → 00:21:25 เชื้อโรคต่างๆมันแย่ลงนะครับดังนั้นภูมิ
00:21:25 → 00:21:28 กันของเราก็จะมีเวลาเหมือนกันจะเยอะตอน
00:21:28 → 00:21:32 เวลากลางคืนนะเมื่อกี้เราพุ้มกันไปะสมอง
00:21:32 → 00:21:36 ไปะหัวใจไปแล้วปอดอันเนี้ยผมเป็นหมอโรค
00:21:36 → 00:21:39 ปอดเจะมีช่วงที่ปอดทำงานได้ดีที่สุดแล้ว
00:21:39 → 00:21:41 ก็ช่วงที่มันทำงานได้แย่ที่สุดพวกนี้ยจะ
00:21:41 → 00:21:43 เรียกว่า diurnal variation นะครับ
00:21:43 → 00:21:46 diurnal ก็คือมีช่วงเวลานึงที่มันมาก
00:21:46 → 00:21:48 แล้วช่วงเวลาที่มันน้อยปอดของเราเนี่ยทำ
00:21:48 → 00:21:52 งานน้อยที่สุดในช่วงเวลากลางคืนดึกๆนี่
00:21:52 → 00:21:54 แหละ 2:00 3:00 4:00 แถวๆเนี้ยทำงานไม่
00:21:55 → 00:21:57 ค่อยดีเท่าไหร่แล้วบางคนหอบกำเริบขึึ้นมา
00:21:57 → 00:22:01 ตอนนั้นนะครับแล้วก็ทางเนือนหายใจของเรา
00:22:01 → 00:22:04 จะแคบเล็กลงบางคนก็มีการหยุดหายใจหยุดหาย
00:22:04 → 00:22:07 ใจนอนกรนในช่วงเวลานั้นจะเยอะที่สุดใน
00:22:07 → 00:22:09 ช่วงเวลาเนี่ย 2:00 นถึงเช้าเนี่ยช่วง
00:22:09 → 00:22:12 เนี้ยปอดทำงานไม่ค่อยดีแล้วปอดทำงานดี
00:22:12 → 00:22:13 ช่วง
00:22:13 → 00:22:17 ไหนช่วงบ่ายๆนะครับ 16:00 น 18:00 นเป็น
00:22:18 → 00:22:21 ไงไปตรงกับอะไรเมื่อกี้หลอดเลือดขยายตัว
00:22:21 → 00:22:25 ได้ดีช่วงนี้กล้ามเนื้อร่างกายคำนาญได้ดี
00:22:25 → 00:22:27 ช่วงนี้แล้วปอดทำงานได้ดีช่วงนี้แปลว่า
00:22:27 → 00:22:30 คุณควรจะออกกำลังกายมีประสิทธิภาพที่ดี
00:22:30 → 00:22:35 ที่สุดช่วงบ่ายครับอย่างงี้เลยนะฮะปอด
00:22:35 → 00:22:35 เป็นแบบ
00:22:35 → 00:22:39 นี้จะเห็นว่ามันมีความเกี่ยวเนื่องกันแล
00:22:39 → 00:22:42 ว่าเฮ้ยศูนย์บัญชาการใหญ่จาก sura Chic
00:22:42 → 00:22:45 นิวเคลียสสั่งกระบวนการร่างกายให้มันมี
00:22:45 → 00:22:49 นาฬิกาที่พ้องต้องไปตรงกันนะครับพวกเยจะ
00:22:49 → 00:22:52 เรียกว่าเป็น End Training ให้มันมีเฟส
00:22:52 → 00:22:55 ของนาฬิกาที่เหมือนกันตรงกันทำงานร่วมกัน
00:22:55 → 00:23:00 ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดนะครับ
00:23:00 → 00:23:01 แล้ว
00:23:01 → 00:23:04 ก็อย่างอีกอย่างหนึงระบบเรื่องต่อมไร้ท่อ
00:23:04 → 00:23:06 แล้วกันอ่ะต่อมไล้ท่อนี้มีความเกี่ยวข้อง
00:23:06 → 00:23:09 ต่อมไล้ท่อเนี่ยแน่นอนว่าสมองของเราเนี่ย
00:23:09 → 00:23:12 มันจะหลับแต่ตื่นเนี่ยมันจะเกี่ยวข้องกับ
00:23:12 → 00:23:15 แสงนะครับแสงเนี่ยกระตุ้นไอ้นิวเคลียสตัว
00:23:15 → 00:23:17 เนี้ยซ ctic นิวเคลียสมันก็จะไปบอกต่อม
00:23:17 → 00:23:20 ไนลบอกว่าเฮ้ยตอนเนี้ยกลางวันนะไม่ต้อง
00:23:20 → 00:23:23 สร้างเมลาโทนินแต่พอมันมืดไม่มีตัว
00:23:23 → 00:23:25 กระตุ้นมันก็บอกว่าเออต่อมไพเนียลก็สร้าง
00:23:25 → 00:23:27 เมลาโทนินได้ะเมลาโทนินออกมาก็บอกว่าเออ
00:23:27 → 00:23:30 เราไปนอนได้ะนะครับแต่เมลาโทนินยังมี
00:23:30 → 00:23:34 ฤทธิ์อีกอย่างนึงนะครับเมลาโทนินเนี่ยมัน
00:23:34 → 00:23:36 สามารถไปที่ตับอ่อนของเราได้มันมีตัวรับ
00:23:36 → 00:23:39 ของเมลาโทนินอยู่ที่ตับอ่อนตับอ่อนทำอะไร
00:23:39 → 00:23:42 สร้างอินซูลินอินซูลินทำอะไรลดน้ดับน้ำ
00:23:42 → 00:23:44 ตาลในเลือดทำไม
00:23:44 → 00:23:48 อ่ะเมลาโทนินเนี่ยมันมาจับที่ตับอ่อนจะ
00:23:48 → 00:23:50 บอกตับอ่อนว่าเฮ้ยไม่ต้องสร้างและ
00:23:50 → 00:23:53 อินซูลินเพราะว่าตอนนี้เวลากลางคืนเราคง
00:23:53 → 00:23:55 จะไม่กิน
00:23:55 → 00:23:59 อะไรเห็นมยร่างกายเราเรามันฉลาดมากกลาง
00:23:59 → 00:24:02 คืนเรานอนเราไม่ต้องกินจะสร้างอินซูลินมา
00:24:02 → 00:24:05 เพื่ออะไรไม่ได้ประโยชน์นะครับมันก็เลยจะ
00:24:05 → 00:24:07 บอกว่าเฮ้ยไม่ต้องสร้างแต่ถ้าเกิดคนเราไป
00:24:07 → 00:24:10 กวนมันน่ะเช่นแบบเฮ้ยจะนอนแล้วใช่มั้ยกิน
00:24:10 → 00:24:13 เข้าไปเยอะๆเลยกินขนมหวานก่อนนอนสิ่งที่
00:24:13 → 00:24:16 เกิดขึ้นนะครับคือเมลาโทนินออกมาเรียบ
00:24:16 → 00:24:19 ร้อยแล้วมันไปสั่งตับอ่อนเราว่าไม่ต้อง
00:24:19 → 00:24:22 สร้างอินซูลินแต่เราดันกินของหวานเข้าไป
00:24:22 → 00:24:25 อินซูลินไม่มีโอกาสก็จะเกิดเบาหวานได้
00:24:25 → 00:24:28 ง่ายขึ้นกว่าการที่คุณไปกินของหวานตอน
00:24:28 → 00:24:30 กลลางวันเพราะตอนกลางวันคุณไม่มี
00:24:30 → 00:24:33 เมลาโทนินตัอ่อนคุณทำงานเต็มที่อินซูลิน
00:24:33 → 00:24:36 ออกมาเต็มที่คุณก็จะไม่มีปัญหาตรงนี้นะ
00:24:36 → 00:24:39 ครับนี่คือ 1 อย่างแล้วนะที่มีความเกี่ยว
00:24:39 → 00:24:44 ข้องกับทางด้านของระบบของอินซูลินนะครับ
00:24:44 → 00:24:48 เนี่ยมีอะไรอีกไทรรอยด์ฮอร์โมนทำงานเยอะ
00:24:48 → 00:24:51 ตอนช่วงเช้าเพราะว่าไทรรอยด์ฮอร์โมนจะไป
00:24:51 → 00:24:53 เร่งการทำงานของส่วนต่างๆของร่างกายก็
00:24:53 → 00:24:55 เหมาะกับการที่คุณจะต้องออกไปใช้ชีวิตมี
00:24:55 → 00:24:59 กิจกรรมต่างๆนั่นแหละนะครับ
00:24:59 → 00:25:03 ไตไตมีช่วงเวลาของมันมั้ยมีครับไตเนี่ยจะ
00:25:03 → 00:25:05 ทำงานได้ดีช่วงเวลากลางวันแล้วมันจะไม่
00:25:05 → 00:25:09 ค่อยทำงานช่วงเวลากลางคืนแล้วทำแล้วมัน
00:25:09 → 00:25:12 เกี่ยวอะไรไงช่วงเวลากลางวันเนี่ยเรามี
00:25:12 → 00:25:15 การใช้ชีวิตต่างๆมีการอักเสบเกิดขึ้นต่าง
00:25:15 → 00:25:18 ๆในร่างกายจากการใช้ชีวิตมีของเสียซึ่ง
00:25:18 → 00:25:20 สร้างขึ้นมาเรื่อยๆตมันต้องเ้ยเอาไปทิ้ง
00:25:20 → 00:25:23 เอาไปทิ้งเยอะๆนะครับเอาของเสียขับทางไต
00:25:23 → 00:25:26 นะครับดังนั้นตอนช่วงเช้าเนี่ยหรือช่วง
00:25:26 → 00:25:28 กลางวันตั้งแต่ 10:00 นตั้งแต่ 10:00 น
00:25:29 → 00:25:30 ถึงประมาณ 18:00 นเนี่ยจะเป็นช่วงเวลาของ
00:25:30 → 00:25:34 ไตเลยมันจะทำงานเยอะแยะไปหมดนะครับเพราะ
00:25:34 → 00:25:37 ว่าเรามีของเสียให้มันทำนั่นแหละไตมันจะ
00:25:37 → 00:25:39 ขับของเสียก็ต้องอาศัยน้ำดังนั้นแปลว่า
00:25:39 → 00:25:43 ช่วงกลางวันคุณควรจะกินน้ำครับและช่วง
00:25:43 → 00:25:46 เวลากลางคืนอ่ะคนพักผ่อนไม่ค่อยมีของเสีย
00:25:46 → 00:25:48 ไไม่ต้องทำ
00:25:48 → 00:25:51 งานคุณก็เลยไม่จำเป็นต้องกินน้ำแล้วถ้า
00:25:51 → 00:25:53 เกิดคุณกินน้ำเข้าไปตอนนั้นล่ะฉี่บ่อย
00:25:54 → 00:25:56 ครับกลางคืนปวดฉี่ประจำเลยเพราะว่าไม่
00:25:56 → 00:25:59 ต้องใช้อ่ะมันก็ขับมันมันจะไปให้มันทำไม
00:25:59 → 00:26:03 อ่ะน้ำมันน่ะใช่มั้ยฮะเอ่าดังนั้นเนี่ย
00:26:03 → 00:26:06 เราก็มาใช้ในความรู้พวกเนี้ยในแง่ของ
00:26:06 → 00:26:10 นาฬิกาชีวิตต่างๆว่าเราควรจะทำอะไรกลาง
00:26:10 → 00:26:13 คืนเรานอนคือกลางวันเนี่ยเรามีหน้าที่ไป
00:26:13 → 00:26:15 ใช้ร่างกายถูกมั้ยเรามีกิจกรรมเรามีการ
00:26:15 → 00:26:17 บาดเจ็บเราใช้สมองใช้ร่างกายหนักๆละกลาง
00:26:17 → 00:26:20 คืนเรากลับมาพักผ่อนร่างกายของเรามันก็
00:26:20 → 00:26:22 ต้องพยายามทำทุกอย่างให้มันเข้าสู่การพัก
00:26:22 → 00:26:26 ผ่อนได้ดีที่สุดนะครับอย่างตอนเช้าปุ๊บ
00:26:26 → 00:26:29 เมื่อกี้เราบอกว่ามีการอักเสบบางอย่าง
00:26:29 → 00:26:31 เกิดขึ้นในเวลากลางคืนการอักเสบในที่นี้
00:26:31 → 00:26:33 เป็นการอักเสบในในสิ่งที่ดีคือให้เซลล์ุ
00:26:33 → 00:26:35 กันของเราเข้ามาประชุมกันเพื่อสร้างวาง
00:26:35 → 00:26:38 แผนรับมือวันต่อไปใช่มั้ยครับแล้วเราจะ
00:26:38 → 00:26:41 ปิดการอักเสบพวกนี้ยังไงปิดโดยระบบ
00:26:41 → 00:26:43 คอร์ติซอลระบบสเตียรอยด์ของเรานี่แหละ
00:26:43 → 00:26:45 สเตียรอยด์มันเป็นตัวต้านการอักเสบเฮ้ยไป
00:26:45 → 00:26:51 ปิดมันซะอ่านะครับแต่ปัญหาคือแล้วถ้าเกิด
00:26:51 → 00:26:52 คุณไม่นอนอ่ะคุณนอนมั่วๆสิ่งที่เกิดขึ้น
00:26:53 → 00:26:56 ในร่างกายอิลิค 6 พวกเนี้ยที่มันขึ้นมา
00:26:56 → 00:26:58 มันไม่หายไปนะมันจะแทนที่มันจะหายไปตรง
00:26:58 → 00:27:01 กลางวันมันก็ยาวเลยคราวนี้ยาวทั้งวันทั้ง
00:27:01 → 00:27:04 คืนเกิดการอักเสบซึ่งมันไม่ควรจะเกิดแล้ว
00:27:04 → 00:27:07 คอร์ติซอลของคุณก็บอกเฮ้ยไม่ได้อะไอลวเคน
00:27:07 → 00:27:09 6 มันออกมาเยอะแยะฉันต้องไปกดมันไว้ไม่
00:27:09 → 00:27:12 งั้นอ่ะร่างกายแย่แน่เลยคอร์ติซอลก็หลั่ง
00:27:12 → 00:27:14 ตลอดเวลาคอร์ติซอลหลั่งตลอดเวลาเกิดอะไร
00:27:14 → 00:27:16 ขึ้นกระตุ้นเกิดเบาหวานเกิดโรคอ้วนเกิด
00:27:16 → 00:27:20 อะไรเต็มไปหมดเลยเนี่ยคือความที่เรา
00:27:20 → 00:27:22 สามารถเข้าใจนาฬิกาชีวิตได้มันจะรู้ว่า
00:27:22 → 00:27:24 มันมีความเกี่ยวเนื่องกับทุกๆอย่างเลยนะ
00:27:24 → 00:27:28 ครับเนี่ยมันจะเป็นสิ่งที่แบบสนุกตอนนี้
00:27:28 → 00:27:30 นี่แหละพอเราจะรู้ว่าแต่ละระบบมันใช้ทำ
00:27:30 → 00:27:33 อะไรได้บ้างนะครับอ่าเมื่อกี้เราพูดถึง
00:27:33 → 00:27:35 ระบบอ่าต่อมไล้ท่อไปแล้วเราพูดถึง
00:27:35 → 00:27:38 เมลาโทนินใช่่มั้ยครับไทรรอยด์อ่าเรื่อง
00:27:38 → 00:27:40 ของคอร์ติซอลไปแล้วเราพูดถึงเรื่องของ
00:27:40 → 00:27:42 อินซูลินว่ามันมีความเกี่ยวเนื่องอะไรไป
00:27:42 → 00:27:44 แล้วนะครับก็มีอีกตั้งหลายระบบที่มันมี
00:27:44 → 00:27:47 ความเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกันนะครับแต่
00:27:47 → 00:27:50 สุดท้ายจริงๆเนี่ยคือไอ้ cardian rym
00:27:50 → 00:27:55 เนี่ยมันออกมาเพื่อให้ดีไซน์ออกแบบให้
00:27:55 → 00:27:57 เหมาะกับร่างกายและการใช้ชีวิตประจำวัน
00:27:57 → 00:28:00 ของเรา้าทั้งหมดเลยนะครับกระเพาะอาหารลำ
00:28:00 → 00:28:03 ไส้ของเราก็ทำงานเยอะในช่วงเวลากลางวัน
00:28:03 → 00:28:07 เพราะคุณจะกินอะไรเข้าไปนะตับก็เช่นเดียว
00:28:07 → 00:28:12 กันนะครับนั้นทั้งหมดทั้งมวลเนี่ยนาฬิกา
00:28:12 → 00:28:17 ชีวิตวงจรชีวิตวงจรของเซลล์มีจริงๆแต่อาจ
00:28:17 → 00:28:19 จะไม่เหมือนแพทย์แผนจีนซะทีเดียวแล้วก็
00:28:19 → 00:28:21 เราเอาความรู้พวกเนี้ยมาใช้ได้ในทางการ
00:28:21 → 00:28:26 แพทย์นะครับบางคนอาจจะถ้าถ้าเราคุยมาถึง
00:28:26 → 00:28:29 ตรงเนี้ยหลายคนจะรู้แล้วว่า
00:28:29 → 00:28:32 ถ้าตาบอดอ่ะยังคงมีการหลับการตื่นเหมือน
00:28:32 → 00:28:37 เดิมมั้ยมีวงจรชีวิตมั้ยคำตอบคือมีสิครับ
00:28:37 → 00:28:41 ทำไมจะไม่มีต่อให้คุณรับแสงไม่ได้นะเซลล์
00:28:41 → 00:28:43 ุ cic นิวเคลียสของคุณเนี่ยถึงแม้มันไม่
00:28:43 → 00:28:46 มีแสงมันมีอะไรครับมีนาฬิกาชีวิตของมัน
00:28:46 → 00:28:49 อยู่ในนั้นอยู่ในเซลล์อยู่แล้วมีอยู่แล้ว
00:28:49 → 00:28:52 ดังนั้นพอมันมีอยู่แล้วเนี่ยมันก็สามารถ
00:28:53 → 00:28:55 สร้างไซเคิลให้กับคนต่างๆได้เหมือนกับคน
00:28:55 → 00:28:57 เข้าไปอยู่ในถ้ำมืดๆนั่นแหละครับยังมีการ
00:28:57 → 00:29:00 หลับการตื่นปกติแต่นั่นเอาจโอเคอาจจะมีคน
00:29:00 → 00:29:02 บอกว่าเอ้ยเราเปิดไฟหรือเปล่าอะไรเงี้ยนะ
00:29:02 → 00:29:04 ครับแต่ถ้าไม่มีไฟเลยนาฬิกาชีวิตก็ยัง
00:29:05 → 00:29:08 ดำเนินได้ตามปกติเพียงแต่ว่ารอบหนึของ
00:29:08 → 00:29:11 เขาคเนี่ยอาจจะไม่ใช่ 24 ชมมอาจจะมากหรือ
00:29:11 → 00:29:14 อาจจะน้อยกว่านั้นก็ได้นะครับตรงนี้ก็
00:29:14 → 00:29:17 เป็นสิ่งๆนึงซึ่งแบบผมรู้สึกว่ามันมัน
00:29:17 → 00:29:21 เจ๋งมากมันว้าวมากที่เรารู้จักกับนาฬิกา
00:29:21 → 00:29:24 ชีวิตตัวนี้นะครับดังนั้นโดยสรุปนะครับ
00:29:24 → 00:29:27 นาฬิกาชีวิตของคนเราเนี่ยมีจริงๆนะครับ
00:29:27 → 00:29:30 แล้วตัวหัวหน้าใหญ่ของเขาตัวคุมวงของเขา
00:29:30 → 00:29:32 เนี่ยคืออยู่ตรงสมองส่วนที่เรียกว่า
00:29:32 → 00:29:36 ไฮโปทาลามัสก็คือ sura ctic นคสนะครับทำ
00:29:36 → 00:29:39 หน้าที่ควบคุมนาฬิกาทุกเรือนบนร่างกายหมด
00:29:39 → 00:29:41 เลยและจริงๆเนี่ยมีความเกี่ยวข้องกับ
00:29:41 → 00:29:45 สเตมเซลล์ด้วยนะถ้าเกิดว่าคุณควบคุมกลุ่ม
00:29:45 → 00:29:49 cardian rym ไม่ดีเนี่ยการหลับการตื่น
00:29:49 → 00:29:52 ของคุณไม่ดีคุณไปกวนมันมากกินข้าวไม่เป็น
00:29:52 → 00:29:56 เวลานะครับนอนไม่เป็นเวลาเจอแสงไม่เป็น
00:29:56 → 00:29:59 เวลาตลอดอย่างเงี้ยมั่วๆตลอดเวลาร่างกาย
00:29:59 → 00:30:03 คุณมันรวนนาฬิกามันรวนพอนาฬิการวนบ่อยๆก็
00:30:03 → 00:30:05 เหมือนคนในวง
00:30:05 → 00:30:08 ดนตรีคือคุณไปให้อิสระมากจนเกินไปคุณไม่
00:30:08 → 00:30:10 คุมต่างคนก็ต่างเล่นทีมนี้เล่นอีกอย่าง
00:30:10 → 00:30:12 ทีมนี้เล่นอีกอย่างต่อไปวงมันก็ไม่เป็นวง
00:30:12 → 00:30:16 มันก็เจ๊งเร็วโรคต่างๆก็จะตามมาครับเพบ
00:30:16 → 00:30:18 ว่าคนที่ไปยุ่งเกี่ยวข้องกับเกี้ rit
00:30:18 → 00:30:23 เนี่ยมีปัญหาเยอะนะคืออะไรอัลไซเมอร์
00:30:23 → 00:30:28 พาร์กินสันตามมาะเบาหวานโรคอ้วนตามมาหมด
00:30:28 → 00:30:32 เลยโรคหัวใจจความดลหิตสูงพวกเนี้ยส่วน
00:30:32 → 00:30:35 หนึ่งนะเกี่ยวข้องกับการที่คุณไปยุ่งกับ
00:30:35 → 00:30:40 ระบบนาฬิกาชีวิตมากจนเกินไปทีเนี้ยสุด
00:30:40 → 00:30:44 ท้ายผมขอบอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดถ้าเกิดว่า
00:30:44 → 00:30:47 คุณรู้จักนาฬิกาชีวิตนี้แล้วคุณจำอะไรไม่
00:30:47 → 00:30:50 ได้ที่ผมพูดไปนะขอจำไว้อย่างหนึ่งใช้
00:30:50 → 00:30:54 ชีวิตให้มันเป็นเวลลาเหมือนเดิมทุกวันให้
00:30:54 → 00:30:58 มันมีแบบแผนเหมือนเดิมทุกวันแล้วนทั้ง
00:30:58 → 00:31:01 ร่างกายของคุณมันจะทำงานพร้อมกันและมี
00:31:01 → 00:31:03 ประสิทธิภาพสูงที่
00:31:03 → 00:31:07 สุดถ้าเกิดคุณอยากจะให้การทำงานของร่าง
00:31:07 → 00:31:10 กายคุณในแต่ระบบดีเช่นออกกำลังกายตอนช่วง
00:31:10 → 00:31:15 บ่ายดีตอนเช้าเจอแสงมันกระตุ้นสมองดี
00:31:15 → 00:31:19 อย่างนี้เป็นต้นโรคภัยค่ายเจ็บต่างๆมัน
00:31:19 → 00:31:23 สามารถทำได้พวกนี้ถ้าเราเป็นคนนอนดึกเรา
00:31:23 → 00:31:26 จะค่อยๆถอยมานอนเร็วได้มได้แต่เมื่อกี้
00:31:26 → 00:31:29 ที่บอกว่าทุกระบบมันเกี่ยวข้องกันหมดเลย
00:31:29 → 00:31:32 ทั้งระบบการกินใช่มยฮอร์โมนการหลับการ
00:31:32 → 00:31:35 ตื่นโสฮอร์โมนทุกอย่างเกี่ยวข้องกันหมด
00:31:35 → 00:31:38 แปลว่าถ้าเกิดคุณจะอยากนอนเร็วขึ้นเช่น
00:31:38 → 00:31:42 จาก 3:00 นมาเหลือ 1:00 นอย่างเงี้ยคุณจะ
00:31:42 → 00:31:45 ถอยเวลาการนอนมาอย่างเดียวไม่ได้คุณต้อง
00:31:45 → 00:31:47 ถอยทุกกิจกรรมชีวิตของคุณมาหมดเพราะมัน
00:31:47 → 00:31:50 เกี่ยวเนื่องกันหมดเลยนะครับถึงจะสามารถ
00:31:50 → 00:31:54 ทำให้คุณปรับเวลาของชีวิตได้นะครับโอเค
00:31:54 → 00:31:56 วันนี้ผมก็เล่ามาซะยาวเลยนะครับก็ขอจบแต่
00:31:56 → 00:31:59 เพียงเท่านี้นะครับสุดท้ายขอให้ทุกคนจำ
00:31:59 → 00:32:03 ไว้เสมอว่าถ้าเกิดว่าคุณทำให้นาริชีวิต
00:32:03 → 00:32:08 ของคุณมันดีตรงทุกระบบทำงานประสานกันคุณ
00:32:08 → 00:32:11 อาจจะปราศจากโรคภัยค่ายเจ็บต่างๆได้นะ
00:32:11 → 00:32:13 ครับโอเควันนี้เท่านี้นะครับขอบคุณมาก
00:32:13 → 00:32:16 ครับสวัสดีครับ