00:00:00 → 00:00:02 เรากำลังให้คุณค่ากับอะไรเรากดดันตัวเอง
00:00:02 → 00:00:04 ไปเพื่ออะไรแล้วเราจะกดดันตัวเองไปอีกนาน
00:00:04 → 00:00:07 แค่ไหนเฮ้ยจริงๆทุกวันนี้ฉันก็มีคุณค่า
00:00:07 → 00:00:09 อยู่แล้วนะฉันไม่ต้องเก่งขนาดนั้นฉันต้อง
00:00:09 → 00:00:11 ไม่ต้องเพอเฟคมากกว่าดีก็ได้ความมีคุณค่า
00:00:11 → 00:00:13 มีอยู่แล้วไอ้ความไม่มีค่าเนี่ยคืออยู่
00:00:13 → 00:00:16 กับใครก็ไม่มีค่าเพราะว่าเรื่องของใจมัน
00:00:16 → 00:00:18 เป็นเรื่องของเราเรารู้สึกว่าเราเปลี่ยน
00:00:18 → 00:00:20 ไปมยเออก่อนหน้านี้เราเป็นคนอีกแบบนึงตอน
00:00:20 → 00:00:22 นี้เราเป็นคนอีกแบบนึงหรือเปล่าความคิด
00:00:22 → 00:00:24 ซ้ายคองรู้สึกอย่างนึงก็คือมันไม่มีอะไร
00:00:24 → 00:00:27 แน่นอนถ้าใครมาชมเราอ่ะให้ฝึกขอบคุณเรา
00:00:28 → 00:00:30 ต้องให้เกียรติคนที่ชมเราด้วยเพราะฉะนั้น
00:00:30 → 00:00:32 เนี่ยการที่เราปฏิเสธนี่ถือว่าเราไม่ให้
00:00:32 → 00:00:35 เกียติเานะความคาดหวังของใครคนนั้นรับผิด
00:00:35 → 00:00:37 ชอบเราก็มีสิทธิ์คาดหวังเพียงแค่ว่าเรา
00:00:37 → 00:00:40 ไม่มีสิทธิ์เอาความคาดหวังของเราไปฝากไว้
00:00:40 → 00:00:44 ที่ใครสิ่งที่เราต้องระวังที่สุดคือเรา
00:00:44 → 00:00:47 กำลังชดเชยอะไรตัวเองหรือเปล่าคือคำว่า
00:00:47 → 00:00:51 ปล่อยวางเนี่ยพูดง่ายแต่ว่าทำยากถ้าใคร
00:00:51 → 00:00:53 อยากจะฝึกกับเรื่องนี้ต้องบอกว่าไม่มีคำ
00:00:53 → 00:00:56 ว่าสายแม้ว่าจะเป็นวินาทีสุดท้ายของชีวิต
00:00:56 → 00:00:59 รับรู้อารมณ์ของตัวเองตามความเป็นจริง
00:00:59 → 00:01:03 โกรธก็รู้กังวลก็รู้เศร้าก็รู้ท้อก็รู้
00:01:03 → 00:01:06 เหนื่อยก็รู้รับรู้แล้วไม่ตัดสินมันรู้
00:01:06 → 00:01:09 ว่าเออธรรมชาติเมันเหายไปแล้ววววางวางที่
00:01:09 → 00:01:16 ไหนลมหายใจเกลาแก้โรคเกลานิสัยห่างไกล
00:01:16 → 00:01:19 โรค EP นี้นะคะเรามาคุยกับจิตแพทย์ค่ะ
00:01:19 → 00:01:22 จิตแพทย์ท่านนี้นะคะได้ฉายาว่าจิตแพทย์
00:01:22 → 00:01:25 นักแต่งเพลงซึ่งท่านก็นั่งอยู่กับเราตรง
00:01:25 → 00:01:28 นี้แล้วนะคะขอเสียงปรบมือ 598 เสียงจากใน
00:01:28 → 00:01:30 ห้องส่งด้วยค่ะ
00:01:30 → 00:01:34 สวัสดีค่ะสวัสดีค่ะคุณหมอเอิ้นนะคะแพทย์
00:01:34 → 00:01:36 หญิงพิยดาหาชัยภูมิค่ะขออนุญาตเรียกพี่
00:01:36 → 00:01:39 เอิ้นโอ้ยินดีเลยค่ะค่ะวันนี้ค่ะเราจะมา
00:01:39 → 00:01:43 คุยกันในหัวข้อเกี่ยวกับโรคทางจิตเวทหรือ
00:01:43 → 00:01:46 ว่าอาการทางจิตใจในมุมของลูกค่ะที่ลูกรู้
00:01:46 → 00:01:48 สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เข้าใจเขาแล้วก็
00:01:49 → 00:01:51 มายุ่งกับชีวิตของเขามากเกินไปความคิด
00:01:51 → 00:01:53 หรือความรู้สึกแบบนี้ที่เกิดขึ้นมันเกิด
00:01:53 → 00:01:55 ขึ้นได้ยังไงค่ะถ้าถ้าเราพูดถึงเรื่อง
00:01:55 → 00:01:59 จริตนะจริงๆแล้วในจิตวิทยาเนี่ยก็จะมี
00:01:59 → 00:02:01 ความแทชระหว่างพ่อแม่กับเด็กอยู่เหมือน
00:02:01 → 00:02:04 กันถ้าภาษาง่ายๆเราบอกว่าเคมีเข้ากันก็
00:02:04 → 00:02:08 ได้เนาเพราะั้นเนี่ยคาแรคเตอร์บางอย่าง
00:02:08 → 00:02:10 ของลูกเนี่ยเป็นคาแรคเตอร์ที่แตกต่างจาก
00:02:10 → 00:02:15 พ่อแม่พ่อแม่รู้สึกว่าเอ้ยอันเนี้ยอาจจะ
00:02:15 → 00:02:20 แปลกหรืออาจจะไม่เคยชินคือสิ่งสำคัญก็คือ
00:02:20 → 00:02:23 พ่อแม่เองอ่ะต้องมาทำความเข้าใจพฤติกรรม
00:02:23 → 00:02:26 ของลูกมากกว่าปัญหาส่วนใหญ่นะมันจะเกิด
00:02:26 → 00:02:29 จากการที่พอพ่อแม่ไม่เข้าใจพฤติกรรมของ
00:02:29 → 00:02:32 ลูกไม่ว่าลูกจตอนเด็กนะหรือเค้าเริ่มเข้า
00:02:32 → 00:02:35 วัยรุ่นเนี่ยกังวลแล้วก็กลัวแล้วก็
00:02:35 → 00:02:38 จินตนาการและว่าโหเดี๋ยวมันจะต้องเป็น
00:02:38 → 00:02:41 อย่างงี้ถ้ายังมีอย่างงี้จะต้องเกิดอย่าง
00:02:41 → 00:02:43 นี้แน่ๆอะไรอย่างเงี้ยคราวนี้พอไม่เข้าใจ
00:02:43 → 00:02:47 แล้วเนี่ยมันจะเลวร้ายไปอีกถ้าเกิดการ
00:02:47 → 00:02:50 สื่อสารของพ่อแม่เป็นการสื่อสารผ่านความ
00:02:50 → 00:02:54 กังวลและความกลัวอย่างเช่นเอ้ยกลัวลูกไม่
00:02:54 → 00:02:57 ขยันน่ะทำไงอ๋อเปรียบเทียบกับข้างบ้านเลย
00:02:57 → 00:03:00 เรียบร้อยเเห็นพี่เค้ามั้ยออือเออพี่เา
00:03:00 → 00:03:03 เก่งแบบนั้นพี่เาเก่งแบบนี้หรือเอ้ยถ้า
00:03:04 → 00:03:07 ลูกคนนี้แบบอ่าไม่แอคทีฟหน่อยอ่ะเอาลูกคน
00:03:07 → 00:03:09 นั้นมาเปรียบเทียบเนี่ยคือการสื่อสารผ่าน
00:03:09 → 00:03:13 ความกลัวั้งจริงจริงๆพ่อแม่สามารถสื่อสาร
00:03:13 → 00:03:17 ผ่านความห่วงใยได้อันนี้ยังไม่รวมกับว่า
00:03:17 → 00:03:21 บางทีพ่อแม่แอคชั่นด้วยแอคชั่นในแบบที่
00:03:21 → 00:03:25 เป็นคำสั่งหรือการที่ไม่ฟังหรือไม่เคย
00:03:25 → 00:03:28 ตั้งคำถามที่จะทำความเข้าใจเขาเหล่านี้
00:03:28 → 00:03:32 อ่ะค่ะก็คือเอสิ่งที่อาจจะสามารถทำให้มี
00:03:32 → 00:03:35 ปัญหาได้ค่ะแต่ล้วนมันเกิดจากความหวังดี
00:03:35 → 00:03:37 และความรักที่คุณพ่อคุณแม่มีให้ลูกลูก
00:03:37 → 00:03:40 แหละแต่ว่าอาจจะไม่รู้วิธีการที่ถูกต้อง
00:03:40 → 00:03:43 ที่จะใช้มันมีอีกอันนึงค่ะพี่เอิ้นที่เ่อ
00:03:43 → 00:03:45 วัยรุ่นหลายๆคนอาจจะพูดคือมันมีคำกล่าว
00:03:45 → 00:03:48 ที่บอกว่าคุณพ่อคุณแม่อาบน้ำร้อนมามก่อน
00:03:48 → 00:03:52 ซึ่งเด็กสมัยนี้อาจจะรู้สึกว่าตอนนี้เด็ก
00:03:52 → 00:03:55 เด็กสมัยนี้ไม่เอาแล้วเอใช่พี่อ้อนคิดว่า
00:03:55 → 00:04:00 เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของการรับรู้ในแต่
00:04:00 → 00:04:02 ละ Generation นี่ไม่เหมือนกันเนาพี่
00:04:02 → 00:04:04 เอิ้นเนี่ยพี่เอิ้นแบบ 40 ขึ้นแล้วอย่าง
00:04:04 → 00:04:08 เงี้ยก็อาบน้ำร้อนมาก่อนเนี่ยดีเพราะว่า
00:04:08 → 00:04:11 อะไรเพราะว่าการรับรู้ของเราคือ
00:04:11 → 00:04:14 ประสบการณ์ที่ที่มีประโยชน์สำหรับน้องๆ
00:04:15 → 00:04:18 สมัยเนี้ยเอ่ออาบน้ำร้อนมาก่อนอาจจะไม่
00:04:18 → 00:04:20 ใช่ประสบการณ์ที่มีประโยชน์ะกลายเป็น
00:04:20 → 00:04:22 ประสบการณ์ที่ถูกยัดเยียดไม่มีใครผิดไม่
00:04:23 → 00:04:26 มีใครถูกสิ่งสำคัญกับคำเนี้ยเพื่อนคิดว่า
00:04:26 → 00:04:30 เราควรเคารพเราเองในฐานะที่เคยรู้สึก
00:04:30 → 00:04:34 ว่ามันเป็นมันเป็นคำพูดที่ที่ดีสำหรับก็
00:04:34 → 00:04:36 ต้องระวังว่ามันจะไม่ได้แบบคนอื่นเขาก็จะ
00:04:36 → 00:04:39 รู้สึกดีเหมือนเราพูดถึงการสปอยลูกค่ะพี่
00:04:39 → 00:04:43 เอินพฤติกรรมแบบไหนที่เข้าข่ายการสปอยลูก
00:04:43 → 00:04:45 แล้วอ่ะค่ะถ้าสปอยเราก็จะพูดถึงเรื่องของ
00:04:45 → 00:04:49 การตามใจนะั้นเนี่ยจริงๆแล้วอ่ะการตามใจ
00:04:49 → 00:04:53 อย่างมีสติมันก็จะมีขอบเขตสำคัญคือการที่
00:04:53 → 00:04:55 ไม่เบียดเบียนคือพ่อแม่เองก็ไม่
00:04:55 → 00:04:59 เบียดเบียนตัวเองบางคนคือคือตามใจแบบแล้ว
00:04:59 → 00:05:03 ลูกอยากได้อะไรที่มันเยอะเกินฐานะเกินการ
00:05:03 → 00:05:05 เงินอะไรอย่างเงี้ยจริงๆแล้วมันก็จะเริ่ม
00:05:05 → 00:05:08 เบียดเบียนละอันนี้คือการตามใจแบบไม่มี
00:05:08 → 00:05:11 สติถ้าเกิดมีสติเนี่ยเราจะรู้ว่าขอบเขต
00:05:11 → 00:05:13 แล้วเรามักจะมีการสื่อสารที่มีข้อตกลงกัน
00:05:13 → 00:05:17 ได้สมเช่นครั้งนี้พ่อให้ครั้งนี้แให้
00:05:17 → 00:05:21 เพราะอะไรเ้ยครั้งนี้ให้ไม่ได้เพราะอะไร
00:05:21 → 00:05:23 ครอบครัวไหนที่กำลังมีปัญหาภายในครอบครัว
00:05:23 → 00:05:26 อยู่ที่อาจจะเคยคุยกันมาหลายครั้งแล้วมัน
00:05:26 → 00:05:28 หาข้อสรุปไม่ได้คุณหมอเพี่เอิ้นก็แนะนำ
00:05:28 → 00:05:31 ว่าอาหยุดกคุณพ่อคุณแม่ก็ตั้งสติก่อนกลับ
00:05:31 → 00:05:34 มาจัดการตัวเองอารมณ์ตัวเองก่อนแล้วก็
00:05:34 → 00:05:37 ค่อยไปใช้โอกาสนี้ในการที่อาจจะสอนลูก
00:05:37 → 00:05:40 หรือว่าให้ลูกได้เห็นได้รู้จักกับอารมณ์
00:05:40 → 00:05:42 ที่เกิดขึ้นแล้วเขาก็จะได้รู้จักสังเกต
00:05:42 → 00:05:44 ตัวเองแยกแยะแล้วก็มีเหตุผลด้วยว่ามัน
00:05:44 → 00:05:47 เกิดขึ้นได้ยังไงถ้าตั้งสติได้หรือว่ามี
00:05:47 → 00:05:49 วิธีการที่ถูกต้องมันอาจจะเจอทางออกอื่นๆ
00:05:49 → 00:05:53 ก็ได้ใช่ไหคะใช่แน่นอนเวลาเรามีสตินะแบบ
00:05:53 → 00:05:56 สิ่งที่จะเกิดขึ้นเราจะไม่ถึงทางตันอื้อ
00:05:56 → 00:06:00 ค่ะมันจะมีพื้นที่ว่างมันจะจะมีทางเลือก
00:06:00 → 00:06:02 บางอย่างแต่สิ่งสำคัญก็คือว่าเวลาเรา
00:06:02 → 00:06:05 เลือกแล้ว่ะเราต้องต้องรับผิดชอบหมายความ
00:06:05 → 00:06:10 ว่าไม่ว่ามันจะดีหรือมันจะร้ายอโมันโอเค
00:06:10 → 00:06:13 นะค่ะเออแล้วก็เรียนรู้กับมันอืสำคัญคือ
00:06:13 → 00:06:16 ต้องเรียนรู้ไปใช่อกปัญหานึงที่อาจจะเกิด
00:06:16 → 00:06:18 ขึ้นได้ในครอบครัวหลายๆครอบครัวค่ะพี่
00:06:18 → 00:06:21 เอิ้ลปัญหาที่ลูกๆอ่ะรู้สึกว่าครอบครัว
00:06:21 → 00:06:24 ไม่ใช่เซฟโซนในฐานะคุณพ่อคุณแม่เนี่ยควร
00:06:24 → 00:06:27 จะรับมือกับปัญหานี้ยังไงดีคะถ้าเกิดว่า
00:06:27 → 00:06:30 ลูกรู้สึกแบบนั้นเนาะเราก็ต้องเข้าใจว่า
00:06:30 → 00:06:33 ผลกระทบที่มันจะเกิดขึ้นกับคุณพ่อคุณแม่
00:06:33 → 00:06:36 หรือว่าในครอบครัวแน่นอนเลยก็คือว่าเราจะ
00:06:36 → 00:06:38 รู้จักลูกตัวเองหน่อยมาบางทีคุณพ่อคุณแม่
00:06:39 → 00:06:43 อาจจะรู้จักลูกแค่ 50% 60% ในสคุยกับ
00:06:43 → 00:06:46 น้องๆสัมผันมาส่วนใหญ่ก็จะมาจากการตอบ
00:06:46 → 00:06:50 สนองของคุณพ่อคุณแม่หรือว่าคำพูดการที่
00:06:50 → 00:06:53 เค้ารู้สึกว่าเคถูกตัดสินน่ะอาจจะมีคำ
00:06:53 → 00:06:56 อะไรบางอย่างที่จริงๆแล้วพ่อแม่อยากให้
00:06:56 → 00:06:59 กำลังใจแหละแต่เค้าตีความว่าเคถูกว่าอีก
00:06:59 → 00:07:03 แล้วว่าไม่ได้เรื่องบางคนเนี่ยคือรู้สึก
00:07:03 → 00:07:07 ว่าตัวเองคิดว่าพ่อแม่คาดหวังแบบนี้แล้ว
00:07:07 → 00:07:08 ตัวเองเป็นไม่ได้พ่อแม่อาจจะไม่ได้
00:07:08 → 00:07:12 ซีเรียสขนาดนั้นลูกเรียนดีอ้าเรียนวิศวะ
00:07:12 → 00:07:16 สิเรียนหมอสิใช่มยคือก็เป็นแพทเทิร์นปกติ
00:07:16 → 00:07:19 อ่ะแต่ว่าเด็กเองก็คือเฮ้ยเอาไปจำว่าเฮ้ย
00:07:19 → 00:07:22 ฉันต้องเป็นหมอฉันต้องเป็นวิศวะคิดเอาเอง
00:07:22 → 00:07:24 ว่าถ้าพ่อแม่รู้ว่าไม่อยากเป็นมุเป็น
00:07:24 → 00:07:28 วิศวะพ่อแม่จะเสียใจมันทำให้ต่างฝ่าย
00:07:28 → 00:07:30 เนี่ยต่างไม่ใช่พื้นที่ที่ปลอดภัยกคุณและ
00:07:30 → 00:07:33 กันวิธีการแก้กลับไปเหมือนเดิมเลยนะเราใน
00:07:33 → 00:07:36 ฐานะพ่อแม่เนี่ยก็คือเราสามารถที่จะสร้าง
00:07:36 → 00:07:41 เซฟโซนให้กับเขาได้ด้วยการที่รับฟังและ
00:07:41 → 00:07:43 ถ้าเกิดว่าเรารับฟังความคิดความรู้สึกของ
00:07:43 → 00:07:46 เขาแล้วอ่ะเรารู้สึกว่ามันเป็นอันตรายอจะ
00:07:46 → 00:07:49 เป็นอันตรายกับตัวเองหรืออันตรายกับคน
00:07:49 → 00:07:52 อื่นอันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องพลิกอีกละ
00:07:52 → 00:07:55 วิกฤตเป็นโอกาสในการที่จะสอนเขาความเข้า
00:07:55 → 00:07:58 ใจเป็นสิ่งที่สำคัญมากมากๆอืค่ะแต่ว่า
00:07:58 → 00:08:01 เท่าที่ฟังดูหนูรู้สึกว่าในหลายๆปัญหาที่
00:08:01 → 00:08:04 เกิดขึ้นในครอบครัวที่เกิดขึ้นกับลูกการ
00:08:04 → 00:08:06 ที่เราจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ในฐานะผู้ปก
00:08:06 → 00:08:09 ครองพ่อแม่คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องจิตใจ
00:08:09 → 00:08:12 เข้มแข็งมากๆเหมือนกันอันนี้ก็ใช่นะการ
00:08:12 → 00:08:14 ที่คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องดูแลจิตใจตัวเอง
00:08:15 → 00:08:17 เนี่ยก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเพราะไม่
00:08:17 → 00:08:20 อย่างงั้นเนี่ยคุณพ่อคุณแม่ก็จะตกเป็นาส
00:08:20 → 00:08:22 ของอารมณ์เหมือนกันเด็กๆแล้วก็วัยรุ่น
00:08:22 → 00:08:26 หรือเยาวชนเนี่ยค่ะก็โตมาจากการอบรมสั่ง
00:08:26 → 00:08:29 สอนของคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองทีนี้อาจจะ
00:08:29 → 00:08:31 เคยได้ยินนิยามที่บอกว่าเด็กคือผ้าขาว
00:08:31 → 00:08:33 หรือเปล่าที่คุณพ่อคุณแม่สั่งสอนอะไรก็
00:08:34 → 00:08:36 คือเขาจะมีความเข้าใจความเชื่อแบบนั้น
00:08:36 → 00:08:38 แล้วมีความเชื่ออะไรมั้ยคะที่คุณพ่อคุณ
00:08:38 → 00:08:42 แม่ควรระวังเพราะว่าความเชื่อเนี้ยอาจจะ
00:08:42 → 00:08:46 สอนไปแล้วแล้วส่งผลระยะยาวกับลูกหลานได้
00:08:46 → 00:08:49 คุณพ่อคุณแม่แต่ละคนไม่เหมือนกันวิธีการ
00:08:49 → 00:08:52 คิดแต่ละคนไม่เหมือนกันเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:08:52 → 00:08:56 เราคงจะไม่ได้มีชุดความเชื่ออะไรที่
00:08:56 → 00:08:59 เหมือนใช้ได้กับคุณพ่อคุณแม่ทุกคนแต่ว่า
00:08:59 → 00:09:02 มีคีย์ให้เราสังเกตตัวเองแล้วะระวังใน
00:09:03 → 00:09:06 เรื่องของความเชื่อให้ไปสำรวจนะก็คือว่า
00:09:06 → 00:09:09 ตอนสมัยเราเด็กๆอ่ะตอนที่เราเป็นลูกอ่ะ
00:09:09 → 00:09:13 แล้วเรามองพ่อแม่วันนี้มยที่เราเคยคิดว่า
00:09:13 → 00:09:16 ถ้าฉันเป็นพ่อเป็นแม่ฉันจะไม่ทำแบบนี้
00:09:16 → 00:09:19 หรือเรามีความรู้สึกที่เราอยากจะชดเชยตัว
00:09:19 → 00:09:23 เองตอนเด็กๆไม่ได้เลยของเล่นที่บ้านอยาก
00:09:23 → 00:09:25 จะลำบากเงี้ยฉันอยากได้ของเล่นถ้าฉันมี
00:09:25 → 00:09:28 ลูกลูกอยากได้เลยต้องได้อย่างเงี้ยเราจะ
00:09:28 → 00:09:31 ให้ในสิ่งที่เราไม่เคยได้ตลูกเพราะฉะนั้น
00:09:31 → 00:09:35 เนี่ยสิ่งที่เราต้องระวังที่สุดซึ่งมันจะ
00:09:35 → 00:09:38 เป็นที่มาของความเชื่อที่บิดเบี้ยวของคุณ
00:09:38 → 00:09:41 พ่อคุณแม่คือเรากำลังชดเชยอะไรตัวเองหรือ
00:09:41 → 00:09:46 เปล่างั้นชีวิตเราไม่ใช่ชีวิตลูกั้นสิ่ง
00:09:46 → 00:09:48 ที่ระวังก็คือว่ายุคสมัยก็ไม่เหมือนกัน
00:09:48 → 00:09:51 การเติบโตของเรากับลูกก็ไม่เหมือนกันคือ
00:09:51 → 00:09:53 ทุกอย่างมันไม่มีอะไรเหมือนกันน่ะเพราะ
00:09:53 → 00:09:56 ฉะนั้นเอาทาบกันไม่ได้อ่ะถ้าสมมุติว่าวัน
00:09:56 → 00:09:58 นี้ฉันไปทบทวนตัวเองแล้วนะเออแล้วก็เห็น
00:09:58 → 00:10:02 แล้วอ่ะเนี่ยเราเคยเคยมีความคิดความเชื่อ
00:10:03 → 00:10:05 หรือว่าเรากำลังจะชดเชยอะไรอยู่อะไรอย่าง
00:10:05 → 00:10:09 เงี้ให้คุณพ่อคุณแม่เนี่ยคือมองเห็นสิ่ง
00:10:09 → 00:10:12 ที่อยากจะชดเชยนั้นแล้วก็ให้รับรู้ว่าอัน
00:10:12 → 00:10:14 นั้นน่ะมันเป็นของเราอมันเป็นสิ่งที่เรา
00:10:14 → 00:10:18 อยากได้แล้วโค้ชคำนี้นะให้สังเกตว่าลูก
00:10:18 → 00:10:22 อยากได้ไหมสังเกตด้วยวิธีไหนคะอือสังเกต
00:10:22 → 00:10:26 ได้อย่างเช่นแต่ก่อนนะอยากเรียนอะไรไม่
00:10:26 → 00:10:28 ได้เรียนคนนี้พอมีลูกเดี๋ยวเทนนิสเดี๋ยว
00:10:28 → 00:10:32 บอลกแม่เดี๋ยวเขกิจกรรมเพียบเลยเพรางั้น
00:10:32 → 00:10:34 เนี่ยถ้าเราชดเชยเนี่ยเราจะจัดตารางให้
00:10:34 → 00:10:37 ลูกเรียบร้อยเลยว่าต้องเรียนดนตรีแล้วไป
00:10:37 → 00:10:40 เรียนเปียโนแล้วไปเรียนกีฬาแล้วอะไรอย่าง
00:10:40 → 00:10:43 เงี้ยนึกออกมั้ยค่ะเออแต่ถ้าเกิดบอกว่า
00:10:43 → 00:10:47 เราสังเกตเนี่ยก็คือว่าเราอาจจะลองพาเ้า
00:10:47 → 00:10:49 ไปเรียนเนาแล้วลองดูว่าเขาชอบไมมเมีความ
00:10:49 → 00:10:52 สุขเลยถ้าเชอบเมีความสุขเบอกอุ้ยหนูอยาก
00:10:52 → 00:10:55 เรียนต่อโอ้ก็ไปก็ไปได้ละแต่ถ้าเกิดเขา
00:10:55 → 00:10:58 เริ่มต่อต้านหลายบ้านพี่เอิ้ก็จะเห็นว่า
00:10:58 → 00:11:00 เด็กเริ่มต่อต้านเริ่มงองแงเริ่มไม่อยาก
00:11:00 → 00:11:02 ไม่เรียนพ่อแม่ก็เริ่มหงุดหงิดนี่
00:11:02 → 00:11:05 อุตส่าห์หาครูให้เนี่ยเสียตังค์ทำไมไม่
00:11:05 → 00:11:08 ตั้งใจเรียนอย่างเงี้ยกลายเป็นคอนฟลิกนี่
00:11:08 → 00:11:10 คือการสังเกตแล้วก็อาจจะต้องรู้ว่าความ
00:11:10 → 00:11:13 ต้องการของเรากับความต้องการของลูกอาจจะ
00:11:13 → 00:11:15 เป็นคนละก้อนกันแล้วถ้าสมมุติว่าเราเป็น
00:11:15 → 00:11:19 คุณพ่อคุณแม่ที่มีความคาดหวังกับลูกแล้ว
00:11:19 → 00:11:21 เราก็อาจจะเคยผ่านเฟสนั้นมาแล้วก็ได้ที่
00:11:21 → 00:11:23 เอาความคาดหวังไปให้แล้วอาจจะเป็นลูกที่
00:11:23 → 00:11:26 มีความเข้มแข็งตจิตใจคือคไม่รับแล้วไอ้
00:11:26 → 00:11:28 ความคาดหวังที่ถูกตีกลับมาที่คุณพ่อคุณ
00:11:28 → 00:11:31 แม่จะจัดการยังไงดีอ่ะคะจริงๆอันนี้ไม่
00:11:31 → 00:11:33 ใช่แค่พ่อแม่นะคะพี่เอิ้นคิดว่าเป็น
00:11:34 → 00:11:37 เรื่องของเราทุกคนเลยก็คือทุกคเลยความคาด
00:11:37 → 00:11:40 หวังของใครคนนั้นรับผิดชอบถามว่าเรามี
00:11:40 → 00:11:42 สิทธิ์คาดหวังไหมเราก็มีสิทธิ์คาดหวังแต่
00:11:42 → 00:11:45 เพียงแค่ว่าเราไม่มีสิทธิ์เอาความคาดหวัง
00:11:45 → 00:11:48 ของเราไปฝากไว้ที่ใครเพราะความคาดหวังก็
00:11:48 → 00:11:51 เป็นความคิดอย่างนึงซึ่งมันห้ามไม่ได้อ่ะ
00:11:51 → 00:11:56 เราเรายังไม่ได้แบบปล่อยวางขนาดนั้นน่ะอ
00:11:56 → 00:11:58 เออมันมันเป็นความออติกที่เกิดขึ้นได้แต่
00:11:59 → 00:12:01 ว่าว่าสิ่งที่เราจะต้องรับรู้และตั้งหนัก
00:12:01 → 00:12:06 เสมอก็คือว่ามันมีโอกาสเจ็บปวกแน่นอนถ้า
00:12:06 → 00:12:09 เกิดเราให้คนอื่นรับผิดชอบความคาดหวังของ
00:12:09 → 00:12:13 เราหัวใจเลยตรงนี้ใช่อือดังนั้นเนี่ยเรา
00:12:13 → 00:12:16 มีสิทธิ์ที่จะคาดหวังแล้วเราก็มีสิทธิ์
00:12:16 → 00:12:19 ที่จะผิดหวังถ้าเกิดเราเอาความหวังไปฝาก
00:12:19 → 00:12:22 ไว้ที่คนอื่นแต่ถ้าเกิดเราไม่ฝากไว้ที่คน
00:12:22 → 00:12:24 อื่นเพราะฉะนั้นเนี่ยเราก็ต้องดูแลความ
00:12:24 → 00:12:28 คาดของในอีกมุมนึงที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่
00:12:28 → 00:12:30 อาจจะมีปมในใจเหมือนกันหรืออาจจะไม่เรียก
00:12:30 → 00:12:33 ว่าปมก็ได้อาจจะเป็นบาดแผลทางจิตใจที่รู้
00:12:33 → 00:12:37 สึกว่าเลี้ยงลูกได้ไม่ดีพอหรือว่าเราทำ
00:12:37 → 00:12:41 ให้ลูกหนี่ป้้มอ่าความรู้สึกผิดหวังในตัว
00:12:41 → 00:12:43 เองของคุณพ่อคุณแม่ที่เกิดขึ้นเนี่ยค่ะ
00:12:43 → 00:12:46 พี่เอินคุณพ่อคุณแม่จะจัดการกับมันยังไง
00:12:46 → 00:12:48 ดีหรือว่าจะมีวิธีการเยียวยาความรู้สึก
00:12:48 → 00:12:50 นี้ยังไงได้บ้างคะเราอาจจะต้องเมตตาตัว
00:12:50 → 00:12:53 เองด้วยเนาะเราก็ไม่เคยเป็นพ่อแม่ใครมา
00:12:53 → 00:12:58 ก่อนใช่ๆถูกปทุกคนเรามักมีครั้งแรกสมอ
00:12:58 → 00:13:02 แล้วครั้งแรกอ่ะเราก็ทำดีได้เท่าที่เราทำ
00:13:02 → 00:13:07 ได้ตอนการที่อดีตเนี่ยมันเข้ามาในความคิด
00:13:07 → 00:13:11 ของเราเนี่ยบางทีมันมาเพื่อให้เรามองเห็น
00:13:11 → 00:13:14 แล้วเรียนรู้เออแล้วฉันจะอยู่กับปัจจุบัน
00:13:14 → 00:13:18 ยังไงงั้นปัจจุบันที่ดีจะนำไปสู่อนาคตที่
00:13:18 → 00:13:21 ดีไม่ใช่อดีตไม่มีความหมายอดีตอ่ะก็มี
00:13:21 → 00:13:25 ความหมายยิ่งอดีตที่เจ็บปวดก็มีความหมาย
00:13:25 → 00:13:29 แต่สิ่งสำคัญก็คือเรามองเห็นไมมว่าอดีต
00:13:29 → 00:13:31 ที่ผิดพลาดนั้นให้ของขวัญอะไรกับเราใน
00:13:31 → 00:13:34 ปัจจุบันที่สำคัญที่สุดเลยฉันไม่เคยเป็น
00:13:34 → 00:13:37 พ่อแม่ใครมาก่อนเนาะเพราะฉะนั้นเนี่ยเรา
00:13:37 → 00:13:39 ก็ทำดีที่สุดเท่าที่เหตุปัจจัยเรามีในวัน
00:13:39 → 00:13:42 นี้แล้ววันนี้ค่ะเราจะมาคุยกันที่วัยทำ
00:13:42 → 00:13:44 งานค่ะพี่เอิ้นซึ่งแน่นอนว่าโรคทางจิตใจ
00:13:44 → 00:13:47 วัยทำงานเนี่ยมีแน่นอนแล้วก็น่าจะหนักหนา
00:13:47 → 00:13:50 ด้วยหลายๆคนที่มาฟังอยู่ตอนนี้ก็น่าจะ
00:13:50 → 00:13:52 อยากรู้กันแล้วอันดับแรกค่ะพี่เอินหนู
00:13:52 → 00:13:54 อยากรู้ว่าเราจะมีวิธีรีเช็คจิตใจของเรา
00:13:54 → 00:13:57 ยังไงว่าเฮ้ยตอนเเราจิตใจโอเคดีหรือว่า
00:13:57 → 00:14:00 เรากำลังไม่ค่อยดีหรือเปล่านะจริงๆเนี่ย
00:14:01 → 00:14:04 คำถามนี้แต่ละคนควรจะตอบได้ดีที่สุดเพราะ
00:14:04 → 00:14:07 ว่าเรื่องของใจมันเป็นเรื่องของเราจริงๆ
00:14:07 → 00:14:10 แล้วการที่คนอื่นมาทักเนี่ยแสดงว่ามันอาจ
00:14:11 → 00:14:14 จะมากพอที่คนอื่นจะมองเห็นเราเนี่ยจะเห็น
00:14:14 → 00:14:16 ความรู้สึกของใจเราได้เนี่ยพี่เอิ้นว่า
00:14:16 → 00:14:19 เราอาจจะต้องหมั่นมีคำถามที่สำคัญอย่าง
00:14:19 → 00:14:23 เช่นเอ่อฉันรู้สึกยังไงถ้าเกิดว่าเปรียบ
00:14:23 → 00:14:26 เป็นสีวันนี้สีของความรู้สึกแพนด้าให้
00:14:26 → 00:14:30 เป็นสีอะไรคะตอนนี้หรอคะหนสีแล้วกันแล้ว
00:14:30 → 00:14:33 มันแทนความรู้สึกอะไรเป็นเรื่องของปัญญา
00:14:33 → 00:14:36 ได้มั้ยคะหนูกำลังใช้ปัญญาเยอะมากใช่มัน
00:14:36 → 00:14:39 ส่วนใหญ่สีเหลืองก็จะแทนแบบความรู้สึกว่า
00:14:39 → 00:14:42 เราคิดรู้สึกกำลังสนุกกับความคิดก็ได้อ
00:14:42 → 00:14:46 ใช่ม 1 คือเราต้องรู้ว่าเรารู้สึกยังไง
00:14:46 → 00:14:48 อ่ะถ้าเกิดว่าเราอยากจะบอกว่าเราจะดูแล
00:14:48 → 00:14:50 อารมณ์ตัวเองหรือดูแลจิตใจตัวเองเนาะงั้น
00:14:50 → 00:14:53 เราต้องมีความสามารถในการเนี่ยเช็คเข้ามา
00:14:53 → 00:14:55 ว่าเรากำลังรู้สึกยังไงซึ่งความรู้สึก
00:14:55 → 00:14:58 เนี่ยคนไม่ค่อยนิยามความรู้สึกตัวเองไม่
00:14:58 → 00:15:01 ค่อยถูกแล้วเราอาจจะใช้สีเนี่ยมาช่วยแทน
00:15:01 → 00:15:04 ก็ได้เช้าวันนี้ความรู้สึกเป็นสีเทาไปหมด
00:15:04 → 00:15:08 เลยเอ้อวันนี้เช้ามาวันนี้สีฟ้าต่างมั้ย
00:15:08 → 00:15:11 ค่ะต่างอ่ะเพราะงั้นพอรู้แล้วเนี่ยเราก็
00:15:11 → 00:15:14 ค่อยๆดูว่าไอ้เนี่ยมันแทนความรู้สึกอะไร
00:15:14 → 00:15:16 ถ้าโดยปกติอ่ะไอ้สีพวกนี้มันเปลี่ยนไป
00:15:16 → 00:15:19 เปลี่ยนมาแต่เมื่อไหร่ก็ตามนะที่วันนั้น
00:15:19 → 00:15:22 เนี่ยคือความรู้สึกเป็นสีเทารู้สึกอึดอัด
00:15:22 → 00:15:25 หม่นหมองหดหู่ทั้งวันเลยหดหู่ทุกวันเลย
00:15:25 → 00:15:28 อ่านี่เป็นสัญญาณละเพราะความรู้สึกไม่
00:15:28 → 00:15:32 เปลี่ยนแสดงว่ามีความผิดปกติบางอย่างอ่า
00:15:32 → 00:15:35 นี้เป็นวิธีการง่ายๆนะคะพอมันเปลี่ยนไป
00:15:35 → 00:15:37 นานๆเราจะสังเกตว่าพฤติกรรมเราจะเริ่ม
00:15:37 → 00:15:39 เปลี่ยนถามตัวเองอีกคำถามนึงเรารู้สึกว่า
00:15:39 → 00:15:41 เราเปลี่ยนไปมยเออก่อนหน้านี้เราเป็นคน
00:15:41 → 00:15:43 อีกแบบนึงตอนนี้เราเป็นคนอีกแบบนึงหรือ
00:15:43 → 00:15:46 เปล่าอืออย่างเช่นตัวก่อนใจเย็นนะใครพูด
00:15:46 → 00:15:48 อะไรก็คือใจเย็นเดี๋ยวนี้คือนิดนึง
00:15:49 → 00:15:51 หงุดหงิดง่ายใช่มั้ยเราสังเกตเห็นตัวเอง
00:15:51 → 00:15:53 เปลี่ยนไปอย่างเงี้ยงั้นอันนี้ก็จะเป็น
00:15:53 → 00:15:55 จุดสังเกตแล้วว่าโอ้งั้นอารมณ์ที่เปลี่ยน
00:15:56 → 00:15:58 เนี่ยเริ่มมีอิทธิพลกับความเป็นตัวตนของ
00:15:58 → 00:16:01 เราแล้วนะอเป็นวิธีที่แบบน่าจะทำได้ง่าย
00:16:02 → 00:16:04 เหมือนกันนะคะหมายถึงว่าถ้าเราเริ่มที่สี
00:16:04 → 00:16:06 ก่อนเพราะบางครั้งเราอาจจะนิยามความรู้
00:16:06 → 00:16:09 สึกที่มันมีไม่ถูกอ่าเริ่มที่สีแล้วก็มา
00:16:09 → 00:16:11 สังเกตพาเลสสีของเราสิว่าเฮ้ยในช่วงนี้
00:16:11 → 00:16:13 เดือนนี้สัปดาห์นี้สีมันไปทางไหนถ้ามัน
00:16:13 → 00:16:17 แบบเท้าเยอะๆมืดๆดำๆเยอะๆอันนี้ก็เริ่มจะ
00:16:17 → 00:16:20 มีปัญหาะซึ่งปกติแล้วอ่ะถ้าเกิดเราอมี
00:16:20 → 00:16:23 ความเบิกบานมีความสนุกมีความสุขอย่าง
00:16:23 → 00:16:26 เงี้ยเราก็จะเพลิดเพลินกับมันอยู่แล้วใช่
00:16:26 → 00:16:30 มั้ยเราก็จะแบบเอ่อไปตามทำงานหรือใช้
00:16:30 → 00:16:32 ชีวิตไปตามปกติอยู่ะแต่ว่าเมื่อไหร่ที่
00:16:32 → 00:16:36 เรารู้สึกว่าเอ๊มันมันสะดุดจังเลยหรือว่า
00:16:36 → 00:16:39 มันเริ่มติดขัดนะเริ่มรู้สึกไม่เหมือน
00:16:39 → 00:16:42 เดิมอ่ะอันเนี้ยเราอาจจะลองมาเช็คคำถาม
00:16:42 → 00:16:44 ต่อไปค่ะถ้าสมมุติว่าเราเป็นคนที่มี
00:16:44 → 00:16:48 mindset ติดลบต่อตัวเองตลอดเลยไซตติดลบ
00:16:48 → 00:16:50 คือเรารู้สึกว่าเราทำไม่ได้หรอกเราเก่ง
00:16:50 → 00:16:53 ไม่พอโปรเจคเนี้ยอย่ามาให้เราเลยอุยทำไม่
00:16:53 → 00:16:55 ได้ทำไม่ได้ความรู้สึกแบบเค่ะที่มันเกิด
00:16:55 → 00:16:57 ขึ้นเนี่ยเราจะทำยังไงดีเพราะว่ามันเริ่ม
00:16:58 → 00:17:00 กระทบกับการทำงานแล้วอ่ะพี่อนว่าเหมือน
00:17:00 → 00:17:03 กันกับความรู้สึกเมื่อตะกีนี้ก็คือว่าอัน
00:17:03 → 00:17:05 นี้เป็นความคิดละความคิดก็คล้ายความรู้
00:17:05 → 00:17:07 สึกอย่างนึงก็คือว่าจริงๆแล้วมันไม่มี
00:17:07 → 00:17:10 อะไรแน่นอนแต่ความผิดปกติของความคิดนี้
00:17:10 → 00:17:12 คืออะไรรู้มั้ยแน่นอนเลยว่าฉันไม่ทำไม่
00:17:12 → 00:17:15 ได้แน่นอนไม่มีความสามารถแน่นอนเมื่อไหร่
00:17:15 → 00:17:18 ที่รู้สึกอย่างเงี้ยตลอดเนี่ยหมายความว่า
00:17:18 → 00:17:20 ความคิดนี้อาจจะเชื่อถือไม่ได้เพราะมัน
00:17:20 → 00:17:23 อาจจะเป็นความคิดที่มันอาจจะมาจากความ
00:17:23 → 00:17:26 กลัวกลัวตัวเองจะผิดหวังกลัวตัวเองจะล้ม
00:17:26 → 00:17:27 เหลวแค่นั้นเองแต่ไม่ได้เกี่ยวกับความ
00:17:27 → 00:17:30 สามารถของเรานึกออกมั้ยอืเราไปสะกดจิตเรา
00:17:30 → 00:17:32 เองเรียบร้อยเลยแล้วเราพอเราเชื่อมันมัน
00:17:32 → 00:17:35 จะเหมือนกับเราเป็นสิ่งนั้นจริงๆแต่จริงๆ
00:17:35 → 00:17:38 มันอาจจะเป็นแค่ความกลัวกลัวไม่ถูกใจคน
00:17:38 → 00:17:41 อื่นถ้าทำแล้วก็คือมันมีสำเร็จกับล้มเหลว
00:17:41 → 00:17:44 ใช่มใช่ค่ะเลยไม่อยากทำเพราะกลัวล้มเหลว
00:17:44 → 00:17:47 เพราะงั้นมันก็จะผลิตความคิดแบบนี้ขึ้นมา
00:17:47 → 00:17:50 ได้แต่ถ้าเกิดมันมันไม่มีอย่างอื่นเลยอ่ะ
00:17:50 → 00:17:52 คืออันนี้เรื่องนี้ฉันเก่งว่ะแต่จะเรื่อง
00:17:52 → 00:17:54 นี้ทำไม่ได้เรื่องนี้ไม่ค่อยถนัดเรื่อง
00:17:54 → 00:17:57 นี้ถนัดน้อยเรื่องนี้ถนัดมากเห็นมยมันก็
00:17:57 → 00:17:59 มีแบบเฉดของความคิดเหมือนกันน่ะถ้ามันไม่
00:17:59 → 00:18:02 เป็นแบบนี้เลยนะคือไม่ได้หรอกเออฉันไม่
00:18:03 → 00:18:06 เก่งพอฉันอะไรอย่างเงี้ยตลอดเวลาเนี่ย
00:18:06 → 00:18:09 อันเนี้ยเชื่อถือไม่ได้ละอ่าดังนั้นอัน
00:18:09 → 00:18:12 แรกอย่าเชื่อถือให้มาดูว่าออแล้วเพราะ
00:18:12 → 00:18:14 อะไรคิดแบบนี้อาจจะเป็นเพราะว่าความกลัว
00:18:14 → 00:18:16 หรือเปล่าเพราะงั้นสิ่งที่เราต้องมาจัด
00:18:16 → 00:18:19 การก็คือความกลัวถ้าเกิดเกิดความคิดนี้
00:18:19 → 00:18:23 เกิดขึ้นมันไม่ได้ผิดอะไรฉันจะทำได้ไหมพอ
00:18:23 → 00:18:25 เราไม่เชื่อมันแล้วเนี่ยเราถอยออกมานิด
00:18:25 → 00:18:29 นึงปัจจัยภายนอกจริงหรอที่เราทำได้ลองมอง
00:18:29 → 00:18:32 ในอีกมุมของุคนที่ 3 อย่าเงี้ใช่ใช่เรา
00:18:32 → 00:18:35 ลองเราลองเป็นคนอื่นอ้อแล้วลองประเมินเรา
00:18:35 → 00:18:38 เออแล้วใช่เราลองมงเป็นคนอื่นที่ประเมิน
00:18:38 → 00:18:41 เราดูเราทำไม่ได้จริงหรือเปล่าถ้าจะมัน
00:18:41 → 00:18:44 ตอบว่าจริงเพราะอะไรบางทีเราจะพบว่าอ๋อ
00:18:44 → 00:18:46 ทั้งหมดคิดไปเองทั้งหมดเพราะว่าแค่ความ
00:18:46 → 00:18:49 กลัวเองอ่อองค์ประกอบมีแล้วทีมมีแล้ว
00:18:49 → 00:18:52 ทักษะมีแล้วเวลามีแล้วเหลืออย่างเดียว
00:18:52 → 00:18:56 เชื่อตัวเองอเหมือนจะง่ายถือว่าก็ไม่ค่อย
00:18:56 → 00:18:59 ง่ายนะคะถ้าถ้าคนที่อยู่ในภาวะนั้นจริงๆ
00:18:59 → 00:19:01 เพราะงั้นถ้าเชื่อตัวเองไม่ได้ทำคือ
00:19:01 → 00:19:04 เปลี่ยนจากความคิดเป็นแอชงั้นสิ่งสำคัญ
00:19:04 → 00:19:07 ที่สุดคือการกระทำดีกว่าเราล่มสลายทุก
00:19:07 → 00:19:10 อย่างเพียงแค่ว่าสิ่งที่เราเชื่อว่าเรา
00:19:10 → 00:19:12 เป็นทั้งๆที่จริงๆแล้วมันอาจจะแค่เป็น
00:19:12 → 00:19:15 ความคิดที่เป็นผลผลิตของความกลัวแค่นั้น
00:19:15 → 00:19:18 เองแล้วก็จะมีอีกกลุ่มนึงค่ะที่เป็นคนที่
00:19:18 → 00:19:20 เราไม่รู้ว่าจะเรียกว่ามนุษย์บ้างานได้ม
00:19:20 → 00:19:22 อ่ะแต่ว่าอาจจะเป็นคนเก่งแล้วกันก็คือ
00:19:22 → 00:19:26 กลุ่มเค่ะที่ดีเท่าไหร่ก็ไม่พอคนชมก็รับ
00:19:26 → 00:19:28 ไม่เป็นออ่าก็จะรู้สึกว่าเราแบบไม่เหมา
00:19:28 → 00:19:31 สสมที่จะได้รับคำชมจากใครเลยหรือเราไม่
00:19:31 → 00:19:33 เชื่อว่าเราเก่งถึงแม้ว่าคนอื่นจะชื่นชม
00:19:33 → 00:19:35 เราก็ตามถ้าเราเป็นคนแบบนี้หรือมีอาการ
00:19:35 → 00:19:38 แบบนี้เราควรจะทำยังไงดีค่ะจริงๆในชีวิต
00:19:38 → 00:19:40 จริงก็ปรากฏอยู่แล้วเนาะแหมเราก็ทำงานก็
00:19:40 → 00:19:43 ได้เลื่อนขั้นมาตลอดเลยหน้าที่การงานมา
00:19:43 → 00:19:47 ถึงตำแหน่งนี้ได้มาถึงในจุดนี้ได้แต่ไม่
00:19:47 → 00:19:50 เคยรู้สึกชื่นชมตัวเองเลยรู้สึกว่าโชค
00:19:50 → 00:19:55 ช่วยตลอดเวลาโอ้เราโชคดีไม่ได้ทำอะไรคนชม
00:19:55 → 00:19:59 ว่าเราดีก็ไม่กล้ารับและที่สำคัญนะตัวเรา
00:19:59 → 00:20:01 อ่ะก็คือเชื่อไปแล้วว่าเราอ่ะไม่เก่งหรอก
00:20:01 → 00:20:04 แล้วกลัวคนอื่นเนี่ยเขาจะรู้ด้วยว่าเรา
00:20:04 → 00:20:07 อ่ะเก่งไม่จริงทั้งๆจริงๆเราเก่งนั้นคน
00:20:07 → 00:20:09 กลุ่มนี้ก็จะเหนื่อยมากเลยเหนื่อยตรงที่
00:20:09 → 00:20:12 ว่าเหมือนมันต้องทำตลอดเวลาสำคัญคือทำ
00:20:12 → 00:20:15 แล้วไม่ชื่นใจมันไม่มีแบบสิ่งที่มาเป็น
00:20:15 → 00:20:17 ความมั่นใจในตัวเองเพราะว่าอะไรเพราะว่า
00:20:17 → 00:20:20 ปัญหาก็คือความมั่นใจนั่นแหละเราไม่มั่น
00:20:20 → 00:20:24 ใจในตัวเองคือการที่เราไม่ได้มองตัวเอง
00:20:24 → 00:20:26 ตามความเป็นจริงว่าจริงๆแล้วมนุษย์ทุกคน
00:20:27 → 00:20:30 เนี่ยเรามีจุดที่เราเก่งแล้วก็จะมีจุดที่
00:20:30 → 00:20:33 เราไม่เก่งและแม้ว่าจุดที่เราเก่งก็จะมี
00:20:33 → 00:20:36 คนที่เก่งกว่าเราเสมอและจุดที่เราไม่เก่ง
00:20:36 → 00:20:38 ก็จะมีคนที่ไม่เก่งกว่าเราไปอีกเสมออัน
00:20:38 → 00:20:41 นี้เขาจะเรียกว่า imposter Syndrome ค
00:20:41 → 00:20:43 เป็นกลุ่มก้อนอาการเลยคือเก่งเท่าไหร่ก็
00:20:43 → 00:20:45 ยังไม่พอเนี่ยสิ่งสำคัญถ้าเราจับสัญญานี้
00:20:45 → 00:20:47 ได้อ่ะพี่เอิ้นแนะนำให้ทำอย่างงี้นะถ้า
00:20:47 → 00:20:50 ใครมาชมเราอ่ะให้ฝึกขอบคุณคือแม้ว่าใจเรา
00:20:50 → 00:20:53 จะปฏิเสธนะอย่าเพิ่งไปรีบปฏิเสธสิ่งสำคัญ
00:20:53 → 00:20:56 ก็คือเราต้องให้เกียรติคนที่ชมเราด้วยอื
00:20:56 → 00:21:00 จริงค่ะเออว่าเมองเห็นบางอย่างในตัวเรา
00:21:00 → 00:21:03 ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาพเดียวกับที่เรา
00:21:03 → 00:21:04 มองตัวเองเพราะฉะนั้นเนี่ยการที่เรา
00:21:04 → 00:21:07 ปฏิเสธนี่ถือว่าเราไม่ให้เกียรติเขานะแรก
00:21:07 → 00:21:10 ๆมันอาจจะขอบคุณแต่ปากนะแต่พอเราฝึกที่จะ
00:21:10 → 00:21:13 ขอบคุณเนี่ยพอขอบคุณแล้วเราลองสัมผัสความ
00:21:13 → 00:21:16 รู้สึกเราว่าเวลาเราขอบคุณเรารู้สึกยังไง
00:21:16 → 00:21:18 เวลาเราขอบคุณเรารู้อาจจะรู้สึกดีเกิด
00:21:18 → 00:21:21 ขึ้นเนี่ยร่างกายเราเกิดปฏิกิริยาอะไรใจ
00:21:21 → 00:21:24 เรามันเต้นยังไงลองลองสัมผัสกับความรู้
00:21:24 → 00:21:28 สึกในร่างกายงั้นความภูมิใจมันจะค่อยๆ
00:21:28 → 00:21:31 ค่อยๆสะสมค่อยๆกลับมาการกดดันตัวเองเนี่ย
00:21:31 → 00:21:34 มันมันเกิดมาจากอะไรคะแล้วก็ถ้าเราเป็นคน
00:21:34 → 00:21:37 ที่มีความกดดันตัวเองเราจะทำยังไงดีเพราะ
00:21:37 → 00:21:41 ว่ามันเหนื่อยค่ะจริงๆเหตุผลของความกดดัน
00:21:41 → 00:21:45 แต่ละคนก็คงไม่เหมือนกันพี่อนคิดว่าอาจจะ
00:21:45 → 00:21:48 ไม่สามารถตอบในมุมของความสมบูรณ์แบบของ
00:21:48 → 00:21:51 ความกดดันได้เนาะอย่างเช่นบางคนก็เกิดมา
00:21:51 → 00:21:53 ในครอบครัวที่พร้อมทุกอย่างคุณพ่อคุณแม่
00:21:53 → 00:21:57 ก็ปล่อยฟรีสไตล์อะไรทุกอย่างเลยแต่คือรู้
00:21:57 → 00:22:01 สึกว่าอุ้ยฉันก็เกิดมาสบายคือเกิดมาดี
00:22:01 → 00:22:04 แล้วต้องดีอีกแต่บางคนคือเริ่มต้นด้วย
00:22:04 → 00:22:06 ความยากลำบากครอบครัวลำบากอยากให้
00:22:06 → 00:22:09 ครอบครัวสบายมีแรงในการผลักดันขึ้นมา
00:22:09 → 00:22:12 เพราะงั้นเนี่ยตอบค่อนข้างยากแต่ที่แน่ๆ
00:22:12 → 00:22:15 ก็คือว่าคนที่มีความกดดันเนี่ยก็คือว่าคน
00:22:15 → 00:22:18 ๆนั้นมีความคาดหวังในตัวเองมากกว่าเพราะ
00:22:18 → 00:22:21 เรามีความคาดหวังว่าเราจะต้องเป็นอย่างไร
00:22:21 → 00:22:25 เราถึงจะได้รับการยอมรับเราถึงจะมีตัวตน
00:22:25 → 00:22:29 เราถึงจะมีคุณค่างั้นเมื่อไหร่ก็ก็ตามที่
00:22:29 → 00:22:31 เรารู้สึกว่าปัญหาของเราหรือความทุกข์ของ
00:22:31 → 00:22:34 เราเนี่ยมันคือการกดดันตัวเองให้เรากลับ
00:22:34 → 00:22:37 มามองสิ่งเนี้ยคือเรากำลังให้คุณค่ากับ
00:22:37 → 00:22:40 อะไรเรากดดันตัวเองไปเพื่ออะไรแล้วเราจะ
00:22:40 → 00:22:42 กดดันตัวเองไปอีกนานแค่ไหนการกดดันตัวเอง
00:22:42 → 00:22:45 ไม่ได้ไม่ได้เป็นเรื่องไม่ดีนะมันเป็น
00:22:45 → 00:22:48 เรื่องดีในบางเรื่องบางครั้งแต่มันไม่ดี
00:22:48 → 00:22:51 ถ้ามันเป็นอยู่ตลอดเวลาอกดดันตัวเองบ้าง
00:22:51 → 00:22:54 อ่าเมื่อมันจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างให้
00:22:54 → 00:22:57 สำเร็จใช่ๆเพงั้นเนี่ยเอ่อทุกอย่างมันมี
00:22:57 → 00:22:59 มันมีข้อดีชั่วเสียทุกอย่างมันเป็น
00:22:59 → 00:23:01 ประโยชน์แต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มันเป็น
00:23:01 → 00:23:03 ความอัตโนมัติของเราอ่ะคือมันเกิดขึ้นโดย
00:23:03 → 00:23:06 อัตโนมัติเลยเราเป็นกับเรื่องไม่ต้องกด
00:23:06 → 00:23:09 ดันก็กดดันเรื่องที่ต้องสบายก็มากดดัน
00:23:09 → 00:23:11 อย่างเงี้ยอ่าอันนี้ก็เป็นเรื่องที่เรา
00:23:11 → 00:23:13 ต้องมีสติล่ะว่าอะไรที่ทำให้เราต้องคาด
00:23:13 → 00:23:15 หวังกับตัวเองขนาดนั้นน่ะแล้วเราจะมี
00:23:15 → 00:23:18 คุณค่าเมื่อไหร่จริงๆเราอาจจะพบว่าเฮ้ย
00:23:18 → 00:23:20 จริงๆทุกวันนี้ฉันก็มีคุณค่าอยู่แล้วนะ
00:23:20 → 00:23:22 ฉันไม่ต้องเก่งขนาดนั้นฉันต้องไม่ต้อง
00:23:22 → 00:23:25 Perfect มากกว่าดีก็ได้ความมีคุณค่ามี
00:23:25 → 00:23:27 อยู่แล้วแล้วความกดดันมันก็ลดลงเองแปลว่า
00:23:27 → 00:23:32 คนที่มีภาวะความกดดันตัวเองก็ควรที่จะมี
00:23:32 → 00:23:35 เวลาที่จะอยู่กับตัวเองเพื่อคุยกับตัวเอง
00:23:35 → 00:23:38 ที่เราเป็นอยู่เนี่ยยมันเพื่ออะไรกันแน่
00:23:38 → 00:23:41 อืที่สำคัญตอนคุยกับตัวเองเนี่ยเราควร
00:23:41 → 00:23:43 อยู่ในสภาวะที่สบายนะไม่ใช่กดดันตัวเอง
00:23:43 → 00:23:47 แล้วก็คุยกับตัวเองอต่าตัวเองเลยคราวนี้
00:23:47 → 00:23:52 อือค่ะแล้วโรคซึมเศร้าเนี่ยค่ะแค่ไหนที่
00:23:52 → 00:23:54 อันเนี้ยเริ่มมีภาวะเข้าสู่ความเป็นโรค
00:23:54 → 00:23:57 ซึมเศร้าแล้วอ่ะเมื่อกี้เราบอกว่าพอเบิน
00:23:57 → 00:24:01 Out ใช่มยงั้นเ Out เนี่ยจริงๆเรายังจะ
00:24:01 → 00:24:03 มีความรู้สึกที่หลากหลายได้อยู่นะคือมัน
00:24:03 → 00:24:06 อาจจะรู้สึกแบบหมดพลังรู้สึกเหนื่อยแต่
00:24:06 → 00:24:08 มันอาจจะเกิดในช่วงเวลางานอย่างเดียวแต่
00:24:08 → 00:24:10 ว่าพอเราอยู่เมาาาเนี่ยก็คือเหมือนความ
00:24:10 → 00:24:13 คิดความรู้สึกเรามันจะกลืนไปในทุกอนูของ
00:24:13 → 00:24:17 ชีวิตละเพราะงั้นพอมันกลายเป็นโรคซึม
00:24:17 → 00:24:19 เศร้าเนี่ยมันจะกลายเป็นว่าเราอ่ะรู้สึก
00:24:19 → 00:24:23 แย่กับตัวเองรู้สึกแย่กับสิ่งแวดล้อมรู้
00:24:23 → 00:24:26 สึกแย่กับสิ่งที่เจอบนโลกใบนี้แล้วเกิด
00:24:26 → 00:24:29 เป็นความเศร้าซึ่งเกิดในทุกที่ทุกเวลาจะ
00:24:29 → 00:24:32 ไม่เฉพาะเรืื่องงานอือฮึทุกมิติเลยเออใช่
00:24:32 → 00:24:34 ไอ้ความไม่มีค่าเนี่ยคืออยู่กับใครก็ไม่
00:24:34 → 00:24:37 มีค่าอยู่กับคนรักโหดีมากก็รู้สึกตัวเอง
00:24:37 → 00:24:40 ไม่มีค่าอยู่กับลูกที่ผ่านมาก็รู้สึกไม่
00:24:40 → 00:24:43 มีค่าอยู่ที่ทำงานก็รู้สึกไม่มีค่าความ
00:24:43 → 00:24:45 รู้สึกเนี้มันแทบจะสิงอ่ะอยู่ในทุกที่ทุก
00:24:45 → 00:24:49 เวลาและมันก็จะเริ่มทำให้เราสูญเสียการดู
00:24:49 → 00:24:52 แลตัวเองอย่างเห็นได้ชัดก็คือเริ่มจะไม่
00:24:52 → 00:24:55 รู้สึกไม่อยากจะดูแลตัวเองละเริ่มอยากจะ
00:24:55 → 00:24:58 ห่างไกลจากความสัมพันธ์มากขึ้นเริ่มอยาก
00:24:58 → 00:25:00 จะเก็บเนื้อเก็บตัวมากขึ้นงั้นเริ่มมีผล
00:25:00 → 00:25:03 กับความสัมพันธ์ละเริ่มมีผลกับงานแน่นอน
00:25:03 → 00:25:05 เพราะงั้นอย่าง burn Out มันอาจจะมีผลจ
00:25:05 → 00:25:08 เฉพาะงานใช่มยใช่ค่ะแต่ว่าอันเนี้ยคือมัน
00:25:08 → 00:25:11 เริ่มมีผลทุกอนูะทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน
00:25:11 → 00:25:13 ทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัวเองก็เหมือน
00:25:13 → 00:25:17 กันถ้าเรารู้สึกว่าเ้ยเรานี่แหละน่าจะ
00:25:17 → 00:25:19 ภาวะซึมเศร้าหรือโรคซึมเศร้าแล้วเนี่ยเรา
00:25:20 → 00:25:22 จะมีวิธีการปรับพฤติกรรมยังไงที่จะทำให้
00:25:22 → 00:25:25 เรารู้สึกดีขึ้นน่ะค่ะจริงๆถ้าเราก้าว
00:25:25 → 00:25:28 ข้ามแดนไปแล้วนะเราอาจจะต้องไปไปหาผู้
00:25:28 → 00:25:31 เชี่ยวชาญเพราะว่าสิ่งสำคัญหมายถึงว่ามัน
00:25:31 → 00:25:34 ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างหรือว่าสารเคมีใน
00:25:34 → 00:25:36 สมองของเราบางอย่างอันนี้ถ้าถ้าเป็นถึง
00:25:36 → 00:25:38 โรคซึมเศร้าแล้วใช่ถ้าเป็นโรคซึมเศร้า
00:25:38 → 00:25:42 ต้องบอกว่าการที่จะให้เา้าออกจากหลุมของ
00:25:42 → 00:25:44 ความเศร้าเนี่ยมันไม่ใช่เรื่องง่ายดัง
00:25:44 → 00:25:47 นั้นเนี่ยบางทีเนี่ยเราต้องไปพบผู้เชี่ยว
00:25:47 → 00:25:50 ชาญเพื่อที่จะประเมินและเพื่อที่จะลำดับ
00:25:50 → 00:25:54 การดูแลเนี่ยสำคัญเราจะดูแลเรื่องของเคมี
00:25:54 → 00:25:58 ก่อนมยหรือว่าอันนี้ยังพอได้อยู่เราดูใน
00:25:59 → 00:26:02 เรื่องของการทำจิตบำบัดก่อนหรือเราจะต้อง
00:26:02 → 00:26:05 ทำในเรื่องของจิตสังคมไปด้วยก็คือเขาอาจ
00:26:05 → 00:26:07 จะอยู่กับคนในครอบครัวคนครอบครัวก็ไม่
00:26:08 → 00:26:10 เข้าใจอีกอะไรอย่างเงี้ยแล้วก็ต้องทำความ
00:26:10 → 00:26:12 เข้าใจหรือการสื่อสารกันไปด้วยคือ 3
00:26:12 → 00:26:15 อย่างเยมันต้องเริ่มทำไปด้วยกันครานี้ถ้า
00:26:15 → 00:26:18 เกิดว่าเป็นตัวคนที่แบบมีปัญหาซึมเศร้า
00:26:18 → 00:26:20 เองเนี่ยอยากให้เราเริ่มต้นก็คือว่าเรา
00:26:20 → 00:26:22 สามารถล้องขอความช่วยเหลือได้นะเพราะว่า
00:26:22 → 00:26:25 ปัญหานึงของคนที่มีปัญหามเศร้าก็คือรู้
00:26:25 → 00:26:27 สึกว่าตัวเองไม่มีค่าอยู่แล้วเนาะเพราะ
00:26:27 → 00:26:29 ฉะนั้นเนี่ยบางทีก็จะไม่อยากจะแบบไปรบกวน
00:26:29 → 00:26:32 คนอื่นหรือรู้สึกว่าเงี้ยก็คือเราสามารถ
00:26:32 → 00:26:35 ที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้นะอัน
00:26:35 → 00:26:37 ที่ 2 คือถ้าเรารู้สึกว่าเรามีปัญหากับ
00:26:37 → 00:26:39 อารมณ์เศร้านะหรือสงสัยว่าเป็นโรคซึม
00:26:39 → 00:26:41 เศร้าดังนั้นเนี่ยเราอย่าเชื่ออารมณ์นี้
00:26:42 → 00:26:45 มากเพราะแสดงว่ามันไม่ได้ปกติอารมณ์ที่
00:26:45 → 00:26:48 ไม่ปกติเนี่ยหลอกเราได้งั้นอารมณ์ที่ปกติ
00:26:48 → 00:26:52 จะเป็นยังไงก็คือฉันเศร้าแล้วฉันก็ไม่
00:26:52 → 00:26:54 เศร้าได้ก็เหมือนความเครียดเครียดบ้างก็
00:26:54 → 00:26:57 ได้เศร้าบ้างก็ได้เอใช่เออเศร้าเนี่ยเรา
00:26:57 → 00:27:00 ก็เศร้าบ้างก็ได้ใช่มยแต่สมมุติว่าคือ
00:27:00 → 00:27:04 เศร้าแล้วมันเศร้าตลอดเวลาแล้วมันไม่รู้
00:27:04 → 00:27:07 ว่าความสุขอยู่แห่งหนไหนเลยเป็นระยะเวลา
00:27:07 → 00:27:10 ที่ยาวนานมากๆจนรู้สึกหมดหวังในการที่เรา
00:27:10 → 00:27:13 จะมีชีวิตอยู่อันเนี้ยก็คือเป็นสัญญาณละ
00:27:13 → 00:27:16 ที่ว่าความเศร้านี้ไม่ปกตินะอืดังนั้นค่ะ
00:27:16 → 00:27:20 คำว่าไม่ปกติก็คืออย่าเชื่ออย่าเพิ่ง
00:27:20 → 00:27:23 เชื่อแล้วเรื่องของสมาธิล่ะคะพี่เอิน
00:27:23 → 00:27:26 สมาธิเนี่ยมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูสภาพจิต
00:27:26 → 00:27:29 ใจของเราได้ยังไงบ้างสมาธิิต้องบอกว่ามัน
00:27:29 → 00:27:34 เหมือนเป็นการออกกำลังใจนะอืค่ะเออก็เป็น
00:27:34 → 00:27:37 การออกกำลังใจอย่างนึงก็คืออย่างอย่างที่
00:27:37 → 00:27:40 พี่เอิ้นเคยคุยอ่ะว่าจริงๆสมาธิมันเป็น
00:27:40 → 00:27:44 พื้นฐานสำคัญของการที่เราจะมีสติั้นนะดัง
00:27:45 → 00:27:48 นั้นมันเหมือนกับการที่เราเข้ายิมอย่าง
00:27:48 → 00:27:52 ร่างกายเราเวลาเราจะฟิตเนสคือเรายกเวท
00:27:52 → 00:27:54 กล้ามเนื้อใช่มยสมาธิก็เหมือนกันมันคือ
00:27:54 → 00:27:58 สิ่งที่ทำให้เรามีกำลังแต่มันเป็นกำลังใจ
00:27:58 → 00:28:02 กำลังใจที่เราจะมีความสงบงั้นอันนี้ก็คือ
00:28:02 → 00:28:05 เป็นเบื้องต้นเนาะเป็นแบบสิ่งพื้นฐาน
00:28:05 → 00:28:07 เบื้องต้นเลยที่อยากให้ทุกคนลองฝึกถ้าเรา
00:28:08 → 00:28:10 อยากจะฝึกให้ใจของเรามันมีกำลังกลับมาที่
00:28:10 → 00:28:14 มุมของลูกๆอีกครั้งค่ะว่าเราจะมีวิธีอ่า
00:28:14 → 00:28:16 สังเกตยังไงว่าคุณพ่อคุณแม่หรือผู้สูง
00:28:16 → 00:28:19 อายุคนใกล้ตัวคนในครอบครัวเราอ่ะท่าน
00:28:19 → 00:28:21 กำลังเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าหรือเปล่าภาวะ
00:28:21 → 00:28:24 ซึมเศร้าในผู้สูงอายุอ่ะค่ะบางทีอ่า
00:28:24 → 00:28:26 ลักษณะอาการหรือที่มาเนี่ยอาจจะไม่ตรงไป
00:28:27 → 00:28:29 ตรงมาเหมือนกับพวกเราในวัยทำงานนะหรือ
00:28:29 → 00:28:32 เด็กๆทั่วๆไปเพราะว่าพอเราสูงอายุเนี่ย
00:28:32 → 00:28:34 อันที่ 1 ก็คือในเรื่องของความเสื่อมของ
00:28:34 → 00:28:37 ตัวสมองเองซึ่งสมองเองก็เป็นตัวที่ควบคุม
00:28:37 → 00:28:40 ในเรื่องของอารมณ์ใช่มยอันที่ 2 คือความ
00:28:40 → 00:28:42 เปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนใชมเราได้ยินคำว่า
00:28:42 → 00:28:45 วัยทองค่ะใช่มยคะก็คืออาจจะเป็นการ
00:28:45 → 00:28:48 เปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายอันที่ 3
00:28:48 → 00:28:51 มันมีเรื่องของความเจ็บป่วยทางด้านร่าง
00:28:51 → 00:28:54 กายบางอย่างจะเรืรังบางอย่างที่อาจจะส่ง
00:28:54 → 00:28:57 ผลกับอารมณ์ของเขาได้ว่าผู้ป่วยหรือว่าใน
00:28:57 → 00:28:59 ผู้สูงอายุเนี่ยเราจะสังเกตว่าเขาก็จะแบบ
00:28:59 → 00:29:02 มีเริ่มเริ่มมีโรคใช่มั้ยเริ่มมีหลายโรค
00:29:02 → 00:29:04 อย่างเงี้ยเป็นต้นหรือว่ายาที่เขากินเอง
00:29:04 → 00:29:07 บางตัวก็จะมีผลในเรื่องของอารมณ์ได้เพราะ
00:29:07 → 00:29:09 ฉะนั้นเนี่ยเ่อในเรื่องของพาเซมเศร้าใน
00:29:09 → 00:29:12 ผู้สูงอายุเนี่ยก็เลยจะมีความซับซ้อนใน
00:29:12 → 00:29:15 เรื่องของที่มาคือมักจะมีในเรื่องของร่าง
00:29:15 → 00:29:19 กายแฝงอยู่ด้วยในความซึมเศร้าของผู้สูง
00:29:19 → 00:29:22 อายุเนี่ยอาจจะมีในลักษณะของความหงุดอิด
00:29:22 → 00:29:24 ได้เพราะว่าอะไรเพราะว่าจริงๆแล้วมันเกิด
00:29:24 → 00:29:28 จากการที่ความอดทนน้อยลงก็ทำให้เคอาจจะ
00:29:28 → 00:29:31 เคยแบบใจเย็นได้เคยรอได้เคยอดทนได้เนี่ย
00:29:32 → 00:29:35 ก็เริ่มไม่ได้เริ่มหงุดหงิดเริ่มฉนเฉียว
00:29:35 → 00:29:38 แต่ในขณะที่บางคนก็คืออ่ะเห็นตรงๆเลยก็
00:29:39 → 00:29:42 คือว่าแยกตัวไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาเงียบลง
00:29:42 → 00:29:45 กว่าเดิมหรือเรารู้สึกว่าเขาไม่สดชื่นไม่
00:29:45 → 00:29:48 สดใสแตกต่างจากบุคลิกเดิมอันนี้สำคัญตัว
00:29:48 → 00:29:51 ชี้วัดที่สำคัญที่เราในฐานะคนข้างๆเนี่ย
00:29:51 → 00:29:54 ก็คือว่าพ่อแม่เราเหมือนบุคลิกเาเปลี่ยน
00:29:54 → 00:29:58 ไปหรือเปล่าคือแม่ว่าบเเงียบอยู่แล้วก็ก็
00:29:58 → 00:30:01 เ้าพอเคแก่เป็นซึมเศร้าหรือเปล่าอย่างงี้
00:30:01 → 00:30:03 อ่าก็คือเงียบมาตั้งนานแล้วเออก็จริงๆเค
00:30:03 → 00:30:05 อาจจะเงียบมาตั้งนานแล้วจุดสังเกตสำคัญก็
00:30:05 → 00:30:07 คืออย่างที่บอกก็คือเรื่องของบุคลิกที่
00:30:07 → 00:30:10 เปลี่ยนไปอาจจะเปลี่ยนไปได้หลายรูปแบบ
00:30:10 → 00:30:14 หน่อยก็อาศัยความใส่ใจที่เราต้องมีใช่นอก
00:30:14 → 00:30:17 จากความเสียใจคือเราต้องช่า่งสังเกตใน
00:30:17 → 00:30:21 ส่วนนึงก็มีผู้สูงอายุหลายคนก็รู้สึกว่า
00:30:21 → 00:30:24 ไม่อยากให้ตัวเองเป็นปัญหาอือใช่ใช่มยค่ะ
00:30:24 → 00:30:28 รู้สึกว่าไม่อยากเอาภาระมาให้ลูกเราได้
00:30:28 → 00:30:31 ยินคำนี้ใช่มั้ยไม่อยากเป็นภาระของใครไม่
00:30:31 → 00:30:33 อยากเป็นภาระของลูกแต่ว่าหลายครั้งเราจะ
00:30:33 → 00:30:37 พบว่ายิ่งเคิดแบบเนี้ยไม่อยากเป็นภาระอาจ
00:30:37 → 00:30:40 จะต่อต้านหรือมีอะไรไม่บอกกลายเป็นลูกก็
00:30:40 → 00:30:43 อยากดูแลคนที่ต้องได้รับการดูแลก็ไม่ให้
00:30:43 → 00:30:46 ความร่วมมือไม่เป็นไรไม่เป็นไรป่วยก็ไม่
00:30:46 → 00:30:49 เป็นไรไม่มีอะไไม่เป็นไรเอออยู่ได้แต่ล้ม
00:30:49 → 00:30:52 หัวแตกละอย่างเงี้ยจริงๆเราเรารักกันนะ
00:30:52 → 00:30:55 เราปรารถนาดีต่อกันพ่อแม่ไม่อยากให้ลูกมี
00:30:55 → 00:30:59 ภาระใช่มยลูกก็มีความปรารถนาดีอยากจะดูแล
00:30:59 → 00:31:02 แต่กลายเป็นความรักสื่อไม่ถึงกันเพราะว่า
00:31:02 → 00:31:05 เราคิดในมุมของเราใช่พี่เอินก็แนะนำไป
00:31:05 → 00:31:08 แล้วว่าวิธีการที่จะสื่อสารกันอย่างมี
00:31:08 → 00:31:10 คุณภาพก็คือหาเวลาที่มีคุณภาพร่วมกัน
00:31:10 → 00:31:12 อย่างที่บอกไปตอนแรกใช่โพชไว้ว่าเวลา
00:31:12 → 00:31:15 คุณภาพอาจจะไม่ได้จำเป็นจะต้องมากมายต่อ
00:31:15 → 00:31:19 ให้ 10 นาทีก็มีคุณภาพได้อือ๋อบางคนบอก
00:31:19 → 00:31:24 ว่ารอเทศกาลเออใช่โอยรอเทศกาลรอปีใหม่รอ
00:31:24 → 00:31:27 สงกรานต์แล้วจริงๆแล้วเวลาคุณภาพเกิดขึ้น
00:31:27 → 00:31:30 ได้ทุกวันเพงั้นจะ 5 นาทีจะ 10 นาทีจะ 1
00:31:30 → 00:31:33 ช่วโมงแต่ขอให้เป็นเวลาที่เราเป็นพื้นที่
00:31:33 → 00:31:35 ปลอดภัยของกันและกันคือแน่นอนว่าทุกคน
00:31:35 → 00:31:36 ต้องดูแลตัวเองอย่างที่พี่เอิ้ลบอกไปว่า
00:31:36 → 00:31:39 คุณพ่อคุณแม่งานหลักก็คือดูแลตัวเองลูกๆ
00:31:39 → 00:31:41 เองก็ก็ทำงานรับผิดชอบหน้าที่ไปแต่ว่าเรา
00:31:41 → 00:31:44 เองก็ยังเป็นทีมเดียวกันนะเรายังสื่อสาร
00:31:44 → 00:31:46 กันเรายังแบบพร้อมซัพพอร์ตกันอืออ่าแต่จะ
00:31:46 → 00:31:49 ไม่ได้เบียดเบียนกันอือแล้วถ้าสมมุติว่า
00:31:49 → 00:31:52 ครอบครัวไหนค่ะพี่เอิ้ลอที่คุณพ่อคุณแม่
00:31:52 → 00:31:55 อาจจะมีอาการป่วยชนิดที่ว่าอาจจะจำเป็น
00:31:55 → 00:31:58 ที่ลูกหลานต้องมาดูแลใกล้ชิดตรงเหนูมั่น
00:31:58 → 00:32:00 ใจเลยว่าทั้งตัวคุณพ่อคุณแม่เองที่ป่วย
00:32:00 → 00:32:03 กับตัวลูกหลานก็ต่างต้องมีความรู้สึกทาง
00:32:03 → 00:32:05 จิตใจแน่ๆคุณพ่อคุณแม่เองก็อาจจะรู้สึก
00:32:05 → 00:32:07 ว่าอย่างที่บอกว่าเราไม่ได้อยากเป็นภาระ
00:32:07 → 00:32:11 ใครอ่าอ่าแต่ว่าลูกๆก็แบบมันไม่ได้หนูหนู
00:32:11 → 00:32:13 ต้องหนูต้องดูแลความรู้สึกตรงนี้ที่เกิด
00:32:13 → 00:32:15 ขึ้นกับการที่ต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่ที่
00:32:15 → 00:32:18 ป่วยค่ะตัวลูกๆเองเนี่ยควรที่จะดูแลตัว
00:32:18 → 00:32:21 เองยังไงบ้างให้มีกำลังใจในการที่จะดูแล
00:32:21 → 00:32:23 คุณพ่อคุณแม่ต่อเราต้องเห็นคุณค่าในตัว
00:32:23 → 00:32:26 เองนะว่าเรากำลังทำในสิ่งที่ประเสริฐที่
00:32:26 → 00:32:28 สุดที่มนุษย์คนนึงกำลังจะทำหลายครั้งอ่ะ
00:32:28 → 00:32:30 เราไม่ให้คุณค่าตัวเองตรงนี้อันนี้เกิด
00:32:30 → 00:32:34 ขึ้นได้บ่อยๆเลยนะในในครอบครัวอย่างเช่น
00:32:34 → 00:32:37 อ่ะใครไม่มีครอบครัวมาดูพ่อแม่อย่างเงี้ย
00:32:37 → 00:32:39 หรือการเป็นลูกคนเล็กหรือจะเป็นลูกคนโต
00:32:39 → 00:32:43 อ่ะมาดูพ่อแม่อ่ะหรือใครภาระน้อยกว่าหรือ
00:32:43 → 00:32:45 แบบก็ไม่มีใครดูเราเลยต้องดูไม่ได้เกิด
00:32:45 → 00:32:48 จากความสมัครใจเออคือจริงๆแล้วอาจจะสมัคร
00:32:48 → 00:32:51 ใจแหละแต่พอการที่เราไม่ให้คุณค่าคิดว่า
00:32:51 → 00:32:54 มันต้องเป็นฉันเพราะฉันไม่มีครอบครัวอ๋อ
00:32:54 → 00:32:57 ไปรับมาเออใช่จริงๆคือสิ่งที่เรารับมาเอง
00:32:57 → 00:33:00 สมมุติว่าเราไม่มีความเมตตากับพ่อแม่เลย
00:33:00 → 00:33:02 เอาจริงๆนะถ้าเกิดเราไม่มีความเมตตาต่อเค
00:33:02 → 00:33:04 ไม่มีความรักต่อเานะมันเงื่อนไขอะไรเราก็
00:33:04 → 00:33:07 ไม่ดูแลถูกมใช่ค่ะถูกมั้ยเพราะฉะนั้น
00:33:07 → 00:33:11 เนี่ยการที่เราตัดสินใจที่จะละทิ้งอะไร
00:33:11 → 00:33:13 บางอย่างเพื่อที่จะทำหน้าที่นี้เอาเอาแค่
00:33:13 → 00:33:16 เนี้ยพี่เอิ้นคิดว่ามันเพียงพอที่จะทำให้
00:33:16 → 00:33:19 เรานับถือตัวเองได้อ่ะอในความเสียสละของ
00:33:19 → 00:33:22 เราแต่ว่าตราบใดที่ถ้าสมมุติเราคิดว่ามัน
00:33:22 → 00:33:25 คือภาระนะหรือเรามองว่ามันเป็นหน้าที่มัน
00:33:25 → 00:33:28 ลดทอนทันทีเลยจริงๆพ่อแม่อาจจะแค่มาเราก็
00:33:28 → 00:33:30 หงุดหงิดแล้วนึกออกมั้ยแฉันต้องลาออกจาก
00:33:30 → 00:33:33 งานหรือฉันต้องเสียโอกาสนู่นนั่นนี่ทั้งๆ
00:33:33 → 00:33:36 ที่เราทำทำสิ่งที่ดีเหมือนกันนะแต่เพียง
00:33:36 → 00:33:38 แค่ว่ามันอาจจะไม่ได้มูลค่าแต่มันได้
00:33:38 → 00:33:40 คุณค่าคือมันอาจจะไม่ได้แบบถูกมองว่านี่
00:33:40 → 00:33:42 คือการทำงานแต่จริงๆมันคืองานอย่างนึงนะ
00:33:42 → 00:33:45 แล้วมันอาจจะไม่ได้มีมูลค่าคือมันไม่ได้
00:33:45 → 00:33:47 ค่าตอบแทนอ่ะแต่มันมีคุณค่าโดยเฉพาะวัน
00:33:47 → 00:33:49 ที่เขาไม่อยู่แล้วอ่ะมันจะมีคุณค่ามาก
00:33:49 → 00:33:52 สำหรับลูกนะพี่เอิ้นว่าก่อนอื่นเลยถ้าคุณ
00:33:52 → 00:33:56 เลือกที่จะมาดูแลเขาคุณต้องเห็นคุณค่าใน
00:33:56 → 00:33:58 สิ่งนี้ให้ได้แล้วคุณค่อยมาความรู้สึกของ
00:33:58 → 00:34:01 เราก็จะดีด้วยใช่ใช่การที่เราอยู่กับเค้า
00:34:01 → 00:34:04 การที่เราเลือกที่จะมาอยู่ตรงนี้เนี่ยเรา
00:34:04 → 00:34:06 เป็นเจ้าของชีวิตงั้นเราก็ต้องมีสิทธิ์
00:34:06 → 00:34:09 ที่จะมีความสุขกับทางที่ตัวเองเลือกอัน
00:34:09 → 00:34:11 นี้คือ mindset แรกของลูกเลยอันที่ 2 คือ
00:34:11 → 00:34:14 ถ้าสมมุติว่าคุณพ่อคุณแม่เขามีปัญหาทาง
00:34:14 → 00:34:16 ด้านร่างกายหรือจิตใจอะไรเนี่ยเราเองอาจ
00:34:16 → 00:34:18 จะต้องมีความรู้อเพราะว่าอย่างเช่นถ้าคุณ
00:34:18 → 00:34:20 พ่อคุณแม่เป็นโรคสมองเสื่อมเป็น
00:34:20 → 00:34:22 อัลไซเมอร์อะไรอย่างเงี้ยค่ะเราเราต้องมี
00:34:22 → 00:34:25 ความรู้ในเรื่องตัวโลกของเขาเรามีความรู้
00:34:25 → 00:34:27 ในการเปลี่ยนแปลงของเขาเพราะว่าการการที่
00:34:28 → 00:34:29 เราไม่มีความรู้เนี่ยมันทำให้เรากังวลใจ
00:34:30 → 00:34:33 อือพอเรากังวลก็ส่งต่อความกังวลด้วยใช่
00:34:33 → 00:34:35 แล้วส่งต่อความกังวลส่งต่อความกลัวเพราะ
00:34:35 → 00:34:38 นั้นเลยมีความรู้เนาะอันที่ 3 เพื่อนคิด
00:34:38 → 00:34:41 ว่าเราต้องมีทีมหลายครั้งเลยในการที่เรา
00:34:41 → 00:34:45 เห็นกรณีที่ต้องมีลูกบางคนที่จะต้องดูแล
00:34:45 → 00:34:47 เป็นหลักอะไรอย่างเงี้ยแล้วก็กลายเป็นว่า
00:34:47 → 00:34:50 กอดว่าเป็นหน้าที่ที่ฉันจะต้องทำเท่านั้น
00:34:50 → 00:34:53 แล้วก็ไม่กล้าที่จะขอความช่วยเหลือพี่ๆ
00:34:53 → 00:34:56 น้องๆคนอื่นเราอาจจะต้องประเมินตัวเอง
00:34:56 → 00:34:58 เหมือนกันว่าอย่าเช่นเราก็ต้องการการพัก
00:34:59 → 00:35:01 ผ่อนเนาะเราไหวแค่ไหนเวลาที่เราจะให้เขาค
00:35:01 → 00:35:04 เต็มที่นะเวลาที่เราอาจจะขอในการที่เราจะ
00:35:04 → 00:35:06 ดูแลตัวเองเรื่องส่วนตัวยังไงแล้วเวลา
00:35:06 → 00:35:09 นั้นเนี่ยเราจะให้คนอื่นๆในบ้านเนี่ยมามี
00:35:09 → 00:35:11 ส่วนร่วมได้อย่างไรเพราะบางทีการที่คน
00:35:11 → 00:35:13 อื่นในบ้านเไม่มีส่วนร่วมไม่มาเป็นทีมกับ
00:35:13 → 00:35:15 เราเพราะเราก็ไม่อนุญาตให้เขามามีส่วน
00:35:15 → 00:35:19 ร่วมอือหรือไม่เปิดพื้นที่นั้นเช่นกันนะ
00:35:19 → 00:35:21 คะคราวนี้เปิดพื้นที่ให้เขาแล้วเนี่ยอย่า
00:35:21 → 00:35:23 ไปคาดหวังกับเขาเยอะบางคนเนี่ยดูแลไม่ได้
00:35:23 → 00:35:28 ดั่งใจอ่ะเออเท่าเรางั้นเราแล้วกันอทำได้
00:35:28 → 00:35:29 ดีกว่าเราเข้าใจมากกว่าเราเข้าใจมากกว่า
00:35:29 → 00:35:31 แล้วไงั้นเนี่ยก็ไม่มีใครอยากมาเป็นทีม
00:35:31 → 00:35:34 กับเราเพราะว่าอ้าจริงๆเก็อยากช่วยนะแต่
00:35:34 → 00:35:35 เหมือนว่าบางทีเช่วยแล้วเรารู้สึกว่าเทำ
00:35:35 → 00:35:38 ได้ไม่ดีเออใช่เพราะงั้นวิธีการช่วยเนี่ย
00:35:38 → 00:35:41 มันก็ไม่เหมือนกันใช่มั้ยคะงั้นทีมในที่
00:35:41 → 00:35:44 นี้เนี่ยยังหมายถึงบุคลากรทางการแพทย์ยัง
00:35:44 → 00:35:47 หมายถึงผู้เชี่ยวชาญยังหมายถึงอะไรอื่นๆ
00:35:47 → 00:35:49 อีกที่จำเป็นบางทีมันก็อยู่ในส่วนของการ
00:35:49 → 00:35:52 ที่อ่าเราต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณพ่อ
00:35:52 → 00:35:54 คุณแม่มีปัญหาเรื่องความจำเสื่อมีปัญหา
00:35:54 → 00:35:56 เรื่องอารมณ์ก็ต้องมีจิตแพทย์ที่จะคอยพูด
00:35:56 → 00:36:00 คุยหรือหรือว่าดูในเรื่องของยาดูในเรื่อง
00:36:00 → 00:36:02 ของพฤติกรรมอะไรอื่นๆไมการเนี่ยต้องมีที
00:36:02 → 00:36:04 พี่เอิ้นคิดว่ากับคุณลูกเนี่ยเ 3 อย่าง
00:36:04 → 00:36:07 นี้สำคัญมากทีนี้มีอีกเรื่องนึงค่ะพี่
00:36:07 → 00:36:10 เอิ้ลก็ผู้สูงวัยหรือผู้สูงอายุหลายๆท่าน
00:36:10 → 00:36:13 อาจจะรู้สึกว่าเราอายุมากขึ้นแล้วอ่ะแต่
00:36:13 → 00:36:16 เรายังปล่อยวางไม่ได้เลยผิดมแล้วก็ถ้าเรา
00:36:16 → 00:36:20 อยากจะปล่อยวางได้ทำยังไงดีบางคนก็ปล่อย
00:36:20 → 00:36:23 วางไม่ได้จนวันสุดท้ายของชีวิตนะซึ่งก็มี
00:36:23 → 00:36:26 เยอะแยะคือคำว่าปล่อยวางเนี่ยพูดง่ายแต่
00:36:26 → 00:36:29 ว่าหลายคนก็จะคิดว่ามันก็ทำยากเราทุกคน
00:36:29 → 00:36:32 รู้ว่าถ้าทำได้มันจะดีพี่เอิ้นอยากให้เรา
00:36:32 → 00:36:35 มองอย่างนี้ว่าจริงๆที่มันยากอ่ะเพราะว่า
00:36:35 → 00:36:38 เราไปหวังที่ผลของมันผลของมันคือเวลาเรา
00:36:38 → 00:36:41 ปล่อยวางแล้วคือเป็นยังไงคือเราสบายใจเรา
00:36:41 → 00:36:44 มีความสุขปัญหาคือเรายังไม่ได้ทำเหตุของ
00:36:44 → 00:36:47 มันเรายังไม่ได้ทำกระบวนการของการปล่อย
00:36:47 → 00:36:50 วางถ้าใครอยากจะฝึกกับเรื่องนี้ต้องบอก
00:36:50 → 00:36:53 ว่าไม่มีคำว่าสายแม้ว่าจะเป็นวินาทีสุด
00:36:53 → 00:36:56 ท้ายของชีวิตอืไม่มีคำว่าสายหวังเลยใช่
00:36:56 → 00:36:59 ไม่มีคำว่าสายแต่ว่าสิ่งสำคัญคือเราอย่า
00:36:59 → 00:37:02 อยู่กับผลของมันให้เราอยู่กับกระบวนการ
00:37:02 → 00:37:05 ของมันกระบวนการของการปล่อยวางอเพราะ
00:37:05 → 00:37:07 ฉะนั้นกระบวนการของการปล่อยวางเนี่ยเราจะ
00:37:07 → 00:37:10 ฝึกยังไงอใช่ก็คือเราลองปล่อยให้ตัวเองมี
00:37:10 → 00:37:12 อิสระในเรื่องของการคิดในเรื่องของความ
00:37:12 → 00:37:15 รู้สึกหลายครั้งในช่วงวัยนึงรุ่นคุณปู่
00:37:16 → 00:37:17 คุณย่าคุณตาคุณยายหรือแม้กระทั่งแม้
00:37:17 → 00:37:20 กระทั่งรุ่นพี่เอิ้นเองเนี่ยเราก็ยังโตมา
00:37:20 → 00:37:23 กับในลักษณะของการเลี้ยงดูที่เราอาจจะไม่
00:37:23 → 00:37:26 ถูกอนุญาตให้รู้สึกกับความรู้สึกบางอย่าง
00:37:26 → 00:37:29 อย่างเช่นโกรธเอโกรธไม่ดีเดี๋ยวพี่เอิ้น
00:37:29 → 00:37:32 จะโดนบอกเสมอเนาะร้องไห้อ่อนแออืออย่าง
00:37:32 → 00:37:34 เงี้ยคนอ่อนแอเท่ากับขี้แพ้อย่างเงี้ยเรา
00:37:34 → 00:37:36 ไม่อยากเป็นอย่างงั้นเพราะฉะนั้นเนี่ยพอ
00:37:36 → 00:37:38 เวลาเราเห็นความคิดความรู้สึกแบบนั้น
00:37:38 → 00:37:40 เนี่ยเราจะตัดสินตัวเองเลยว่าไม่ดีเพราะ
00:37:40 → 00:37:42 ฉะนั้นเราจะไม่ชอบเราปฏิเสธมันถ้าเราจะ
00:37:42 → 00:37:45 ฝึกปล่อยวางก็คือว่าเราฝึกที่จะเอากรอบ
00:37:45 → 00:37:48 เหล่านั้นออกค่ะคือรับรู้ความคิดรับรู้
00:37:48 → 00:37:51 อารมณ์ของตัวเองตามความเป็นจริงโกรธก็รู้
00:37:51 → 00:37:55 กังวลก็รู้เศร้าก็รู้ท้อก็รู้เหนื่อยก็
00:37:55 → 00:37:58 รู้เออคือรับรู้มันตามคความเป็นจริงอัน
00:37:58 → 00:38:00 ที่ 2 รับรู้แล้วไม่ตัดสินมันไม่ตัดสิน
00:38:00 → 00:38:04 มันว่าเป็นตัวแย่มันจะทำให้เราเป็นคนไม่
00:38:04 → 00:38:08 ดีงั้นไม่ตัดสินมันคือรับและรู้ที่ 2 คือ
00:38:08 → 00:38:11 รู้ว่าธรรมชาติของมันก็คือเดี๋ยวมันก็หาย
00:38:11 → 00:38:14 ไปอืงั้นอารมณ์ความคิดเนี่ยมันเกิดขึ้น
00:38:14 → 00:38:16 มันอยู่แป๊บนึงเดี๋ยวมันหายไปปล่อยวางคือ
00:38:16 → 00:38:20 ปล่อยให้ตัวเองรับรู้ความคิดความรู้สึก
00:38:20 → 00:38:23 โดยไม่ตัดสินรู้ว่าเออธรรมชาติเมก็หายไป
00:38:23 → 00:38:28 แล้ววางวางวางที่ไหนลมหายใจค่ะคิดความรู้
00:38:28 → 00:38:31 สึกเนี่ยเจ้าเล่ห์หลอกเราได้แต่ว่าเราหาย
00:38:31 → 00:38:34 ใจอยู่อ่ะอย่างแพนด้าหายใจเข้าหายใจออก
00:38:34 → 00:38:38 รู้สึกมั้ยถ้าตั้งใจรู้สึกอ่ารู้สึกมั้ย
00:38:38 → 00:38:41 ค่ะถ้าหายใจเข้าจะโกหกว่าหายใจออกได้มั้ย
00:38:41 → 00:38:44 ก็ไม่ได้เออก็ร่างกายหายใจเข้าถูกมยเพราะ
00:38:44 → 00:38:46 ั้นเนี่ยร่างกายเนี่ยซื่อสัตย์ลมหายใจ
00:38:46 → 00:38:48 เนี่ยซื่อสัตย์มากเลยงั้นเนี่ยเรามาวาง
00:38:48 → 00:38:51 ที่นี่รับรู้อารมณ์ความคิดแล้วมาวางความ
00:38:52 → 00:38:55 รู้สึกที่การหายใจหายใจเข้ารู้สึกหายใจ
00:38:55 → 00:38:59 ออกรู้สึกเห็นมยนี่คือกระบวนการพอพูดถึง
00:38:59 → 00:39:02 กระบวนการง่ายมยคราวนี้ทำได้เลยทำได้เลย
00:39:02 → 00:39:06 ถูกมยค่ะเออคราวนี้พอเราทำแบบนี้บ่อยๆผล
00:39:06 → 00:39:09 คือความสบายใจความสุขของการไม่ยึดติดกับ
00:39:09 → 00:39:12 อารมณ์กับความคิดเกิดขึ้นเองใช่ป่ะใช่ค่ะ
00:39:12 → 00:39:16 เอองั้นปล่อยวางทำได้มในชาตินี้ทำได้
00:39:16 → 00:39:19 เริ่มที่หายใจก่อนตอนนี้อ่าใช่ทำได้ที่
00:39:19 → 00:39:22 หายใจก่อนเราปล่อยวางไม่ได้ตลอดหรอกอัน
00:39:22 → 00:39:26 นี้คือสิ่งที่นะบางทีโอ๊ยได้แล้วเนี่ยจะ
00:39:26 → 00:39:29 เอาอีกหรือต้องเป็นอย่างงี้ตลอดไม่มีอะไร
00:39:29 → 00:39:31 ตลอดหรอกบางวันมันก็ได้บางวันมันก็ไม่ได้
00:39:31 → 00:39:33 บางวันมันก็ดีบางวันก็ไม่ดีก็อย่าไป
00:39:33 → 00:39:37 หงุดหงิดว่าวันนี้ทำไม่ได้ก่อทำใช่วเออ
00:39:37 → 00:39:39 เมื่อวานนี้ยังทำได้เลยทำไมวันนี้ทำไม่
00:39:39 → 00:39:42 ได้ออันนี้คือเรื่องของการปล่อยวางทำได้
00:39:42 → 00:39:45 ทุกขณะไม่นับที่ผ่านมาแล้วกันจะเริ่มตอน
00:39:45 → 00:39:47 นี้เลยใช่แล้วจริงๆไม่ต้องรอให้ตัวเองสูง
00:39:47 → 00:39:50 อายุและไม่มีคำว่าสายแม้วินาทีสุดท้ายของ
00:39:50 → 00:39:52 ชีวิตแต่ถ้าวินาทีสุดท้ายของชีวิตแล้ว
00:39:52 → 00:39:55 เนี่ยยังไม่วางเนี่ยอันนี้อาจจะสายเพราะ
00:39:55 → 00:39:57 ฉะนั้นก็ต้องรู้ก่อนว่าประโยชน์ของการวาง
00:39:57 → 00:40:00 คืออะไรเนาะพไม่รู้ก็คงไม่ทำเออประโยชน์
00:40:00 → 00:40:04 ของการปล่อยปประยของการปล่อยแล้วมาวางวาง
00:40:04 → 00:40:07 ที่ลมหายใจของเราอืค่ะวันนี้หนูเชื่อว่า
00:40:07 → 00:40:11 หลายๆคนที่ฟังมาก็จะได้เห็นในหลายๆมุมมอง
00:40:11 → 00:40:14 ก็ได้เข้าใจทั้งในมุมของเราเองหรือว่า
00:40:14 → 00:40:17 Sandwich Generation ในมุมของลูกหลานใน
00:40:17 → 00:40:21 มุมของคุณพ่อคุณแม่เราได้เปิดใจรับฟัง
00:40:21 → 00:40:23 ความคิดและความรู้สึกของท่านมากขึ้นนะคะ
00:40:23 → 00:40:25 หนูเชื่อว่าแม้กระทั่งตัวหนูเองที่หนูฟัง
00:40:25 → 00:40:28 วันนี้หนูอาจจะไม่ได้อยู่ในวัยแซนวิช
00:40:28 → 00:40:29 Generation หนูอาจจะไม่ได้เป็นผู้สูง
00:40:30 → 00:40:33 อายุแต่ว่าหนูก็ได้แนวทางที่ดีว่าในอนาคต
00:40:33 → 00:40:36 ต่อไปที่เราจะทำกับชีวิตตัวเองเป็นยังไง
00:40:36 → 00:40:39 แล้วก็เราสามารถที่จะส่งต่อความรู้ดีๆนี้
00:40:39 → 00:40:42 ให้กับคนที่เรารักได้ยังไงหลายๆท่านนะคะ
00:40:42 → 00:40:44 ถ้าชมแล้วนะคะชอบตรงไหนแล้วก็คอมเมนต์
00:40:44 → 00:40:47 เป็นกำลังใจให้ทีมงานขอบคุณคุณหมอเอิ้น
00:40:47 → 00:40:49 ให้กับพวกเราด้วยนะคะก็ขอขอบคุณคุณหมอ
00:40:49 → 00:40:52 เอิ้นมากๆอีกครั้งค่ะสวัสดีค่ะขอบคุณ
00:40:52 → 00:40:56 [เพลง]
00:40:56 → 00:41:02 ค่ะ A
00:41:02 → 00:41:13 [เพลง]