00:00:00 → 00:00:03 This Is tha PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world vi The
00:00:05 → 00:00:08 Voice ถ้าเราเจอโปรเจคงานอะไรบางอย่าง
00:00:08 → 00:00:09 หรือว่าต้องทำอะไรสักอย่างที่แบบเฮ้ยเรา
00:00:09 → 00:00:11 ไม่คุ้นเคยเราไม่เคยทำมาก่อนหรือเราอาจจะ
00:00:11 → 00:00:13 ยังไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนั้นที่จะทำ
00:00:13 → 00:00:15 อ่ะครับบางทีมันจะมีความสงสัยแหละว่าเอ๊ะ
00:00:15 → 00:00:16 เราจะทำมันได้จริงมยนะครับอันนี้เป็น
00:00:17 → 00:00:18 เรื่องธรรมดาเพราะว่ามันเป็นเรื่องของการ
00:00:18 → 00:00:20 ประเมินสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราแต่ว่าไอ้
00:00:20 → 00:00:22 ความสงสัยเนี่ยมันเป็นเหมือนขั้นที่แบบ
00:00:22 → 00:00:24 เริ่มเริ่เพาะบ่มที่แบบจะทำให้เรารู้สึก
00:00:24 → 00:00:27 ไม่มั่นใจหรือว่าเมตกหรือว่ารู้สึกแบบเรา
00:00:27 → 00:00:28 ดีไม่พอคือถ้าเราดีไม่พอเนี่ยมันคือ
00:00:28 → 00:00:31 เหมือนแบบชัวไปเลยว่าเราไม่ดีมันคือคำพูด
00:00:31 → 00:00:33 ที่แบบชัดเจนว่าเราไม่ดีแต่ถ้าเกิดว่ามัน
00:00:33 → 00:00:35 มีคำว่าสงสัยคือแบบเราสงสัยว่าเราคงไม่ดี
00:00:35 → 00:00:37 เราคงไม่ดีลมั้งอย่างเงี้ยฮะมันจะมีความ
00:00:37 → 00:00:40 ก้ำๆกึ่งๆที่ยังยังไม่ถูกกลืน
00:00:40 → 00:00:44 กินฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:44 → 00:00:48 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพรค่ะ
00:00:48 → 00:00:50 This Is Toy PBS
00:00:50 → 00:00:53 podcast วันนี้นะคะคุณผู้ฟังคะเราจะมา
00:00:53 → 00:00:56 ติดตามรับฟังกันค่ะถึงเรื่องของจากสงสัย
00:00:56 → 00:01:00 ในตัวเองไปสู่การเห็นคุณค่าในตัวเองอะไร
00:01:00 → 00:01:02 คือการสงสัยในตัวเองเราเคยสงสัยตัวเอง
00:01:02 → 00:01:05 บ้างหรือเปล่าแล้วมันจะนำไปสู่การเห็นคุณ
00:01:05 → 00:01:07 ค่าได้ยังไงอันนี้เดี๋ยวเราคุยกันกับดร
00:01:07 → 00:01:11 สุวุฒิวงทางสวัสดิ์นักจิตวิทยาการปรึกษา
00:01:11 → 00:01:12 ค่ะสวัสดีค่ะคุณเอิ้นค่ะสวัสดีครับคุณลี
00:01:12 → 00:01:15 สวัสดีครับคุณผู้ฟังค่ะเรื่องบางเรื่อง
00:01:15 → 00:01:19 เราก็งงๆงนะคะสงสัยในตัวเองมันต้องสงสัย
00:01:19 → 00:01:22 อะไรเดี๋ยวต้องถามคุณเอินก่อนแต่แต่ก็มี
00:01:22 → 00:01:25 บ้างนะคะที่บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าเอ๊
00:01:25 → 00:01:30 เราเราเก่งพอมั้ยเอเออเราทำได้จริงหรอ
00:01:30 → 00:01:31 ครับหรืออะไรอย่างเงี้ยอันนี้ถือว่าเป็น
00:01:31 → 00:01:34 การสงสัยในตัวเองด้วยมอ่าใช่ครับจริงๆ
00:01:34 → 00:01:36 ต้องบอกว่าไอ้การสงสัยในตัวเองเนี่ยครับ
00:01:36 → 00:01:41 กับการที่เรามีความรอบคอบถ่อมตัวเป็นคนละ
00:01:41 → 00:01:43 เรื่องกันนะตะกี้เหมือนกับว่าถ้าเราเจอ
00:01:43 → 00:01:45 โปรเจคงานอะไรบางอย่างหรือว่าต้องทำอะไร
00:01:45 → 00:01:47 สักอย่างที่แบบเฮ้ยเราไม่คุ้นเคยเราไม่
00:01:47 → 00:01:49 เคยทำมาก่อนหรือเราอาจจะยังไม่ได้มีความ
00:01:49 → 00:01:51 รู้ในเรื่องนั้นที่จะทำอครับบางทีมันจะมี
00:01:51 → 00:01:53 ความสงสัยแหละว่าเอ๊ะเราจะทำมันได้จริง
00:01:53 → 00:01:55 มั้ยนะครับอันนี้เป็นเรื่องธรรมดาเพราะ
00:01:55 → 00:01:56 ว่ามันเป็นเรื่องของการประเมินสิ่งที่
00:01:56 → 00:01:58 อยู่ตรงหน้าเรากับสิ่งที่เรามีนะครับ
00:01:59 → 00:02:00 เพราะงั้นถ้าสิ่งสิ่งที่เรามีรู้สึกว่า
00:02:00 → 00:02:02 เฮ้ยมันยังไม่พอมันยังไม่ได้แบบมีส่วน
00:02:02 → 00:02:04 สำคัญที่ทำให้เราผ่านไอ้สิ่งนี้ไปได้มัน
00:02:04 → 00:02:08 จะไม่แปลกเลยที่เราเอ่อจะมีความไม่มั่นใจ
00:02:08 → 00:02:10 แต่ต่อให้มีความไม่มั่นใจอ่ะครับโดยส่วน
00:02:10 → 00:02:12 ใหญ่แล้วคนเราก็จะมีความรู้สึกพยายามที่
00:02:12 → 00:02:15 จะเ้ยลองเรียนรู้ดูดีมั้ยลองหาอะไรที่มัน
00:02:15 → 00:02:17 แบบทำให้เราสามารถเติมความรู้เติมความ
00:02:17 → 00:02:19 สามารถเพื่อให้เราผ่านโปรเจคนั้นไปได้
00:02:19 → 00:02:21 หรืออย่างน้อยเราอาจจะทำทั้งที่กลัวนั่น
00:02:21 → 00:02:23 แหละอาจจะทั้งที่กลัวอาจจะทั้งที่ไม่มั่น
00:02:23 → 00:02:26 ใจแต่เราก็จะทำเพราะเรารู้สึกว่าเฮ้ยสิ่ง
00:02:26 → 00:02:27 นี้มันเรียนรู้ได้แล้วมันอาจจะแบบมีความ
00:02:27 → 00:02:30 จำเป็นที่เราจะต้องสู้อืเครับพอเป็น
00:02:30 → 00:02:31 เรื่องของการสงสัยในตัวเองเนี่ยภาษา
00:02:32 → 00:02:34 อังกฤษมันคือแบบ S Drive เงี้ฮะก็คือแปล
00:02:34 → 00:02:37 ว่าเรากำลังสงสัยในคุณค่าของตัวเราโดยคซ
00:02:37 → 00:02:39 มันจะไม่ใช่เป็นการแค่สงสัยว่าเรามีความ
00:02:39 → 00:02:42 สามารถมนะแต่มันจะเป็นความสงสัยและไม่ได้
00:02:42 → 00:02:44 เชื่อมั่นในตัวเองในภาพรวมหมายความว่าตัว
00:02:44 → 00:02:47 เาอ่ะเมื่อย้อนมองตัวเองอ่ะครับเขาจะรู้
00:02:47 → 00:02:48 สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนเก่งไม่ได้เป็น
00:02:48 → 00:02:51 คนดีไม่ได้เป็นคนพิเศษอะไรเลยและเป็นไป
00:02:51 → 00:02:53 ได้ว่าคนอื่นก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขา
00:02:53 → 00:02:56 เขาคงไม่ได้มีค่าพอในสายตาใครเลยอย่าง
00:02:56 → 00:02:58 เงี้ยครับพวกเนี้ยมันจะเป็นภาพรวมของการ
00:02:58 → 00:03:01 สงสัยในตัวเองเองสงสัยในคุณค่าสงสัยใน
00:03:01 → 00:03:04 ความดีงามสงสัยว่าตัวเรามันดีพอที่จะแบบ
00:03:04 → 00:03:07 ใช้ชีวิตหรือแม้กระทั่งดีพอจะทำงานต่างๆ
00:03:07 → 00:03:10 หรือเปล่าอย่างเงี้ยครับอือคือคำว่าสงสัย
00:03:10 → 00:03:13 เนี่ยมันบางคนอาจจะมีความสงสัยเป็นช่วงๆ
00:03:13 → 00:03:15 แล้วแต่ว่าสถานการณ์ตรงนั้นแล้วแต่เรื่อง
00:03:15 → 00:03:17 ใช่เหมือนที่บอกว่าถ้าเกิดเรื่องมันแบบ
00:03:17 → 00:03:18 เฮ้ยเรื่องนี้เราไม่เคยเจอเรื่องนี้มันดู
00:03:18 → 00:03:21 ยากมันอาจจะมีความลังเลความสงสัยว่าแบบ
00:03:21 → 00:03:23 เอ๊ะเราจะไหวไม่นแต่แต่อย่างน้อยต่อให้
00:03:23 → 00:03:25 มันมีความลังเลสงสัยแต่มันจะมีความรู้สึก
00:03:25 → 00:03:28 ว่าฉันจะสู้ฉันจะลองฉันจะพยายามแต่คนที่
00:03:28 → 00:03:30 แบบสงสัยในตัวเองไม่ได้เชื่อมั่นในตัวเอง
00:03:30 → 00:03:32 โดยสมบูรณ์แบบอือจะรู้สึกว่าตัวเองแบบคง
00:03:32 → 00:03:35 ทำไม่ได้หรอกฉันแบบไม่ได้ดีพอมั้งหรือต่อ
00:03:35 → 00:03:37 ให้ทำมันก็คงคงไม่สำเร็จหรอกอะไรอย่าง
00:03:37 → 00:03:39 เงี้ยฮะเออแล้วบางทีเราก็จะไม่มั่นใจว่า
00:03:39 → 00:03:43 ที่เราตัดสินใจคงไม่ถูกหรอกมั้งเงี้ครับ
00:03:43 → 00:03:44 มันจะแบบมันจะมีความแบบคิดว่าอะไรก็ไม่
00:03:45 → 00:03:46 ถูกอะไรก็ไม่ดีไปหมดอย่างเงี้ยครับทั้ง
00:03:47 → 00:03:48 ที่ยังไม่ได้จะลองหรือว่ายังไม่ได้อะไร
00:03:49 → 00:03:51 เลยแต่คิดไปเองก่อนแล้วว่าเอ้ยไม่น่าได้
00:03:51 → 00:03:55 แน่ๆใช่ๆครับใช่อืแต่มันก็มันก็เป็นความ
00:03:55 → 00:03:57 สงสัยที่เชื่อว่าหลายคนก็เกิดขึ้นกับตัว
00:03:57 → 00:04:00 เองหลายๆครั้งเหมือนกันนะคะหรือหรือบางคน
00:04:00 → 00:04:01 อาจจะเกิดสงสัยอยู่ตลอดเวลาเลยก็ได้อย่าง
00:04:01 → 00:04:04 ที่พอบอกว่าเป็นคนที่มีความไม่มั่นใจแบบ
00:04:04 → 00:04:07 สมบูรณ์แบบขึ้นมาอย่างเงี้ยคืออะไรก็ไม่
00:04:07 → 00:04:09 มั่นใจไปหมดเลยทุกอย่างบนโลกใบนี้รู้สึก
00:04:09 → 00:04:12 แบบได้หรอทำจริงได้เออหรืออะไรอย่างเงี้ย
00:04:12 → 00:04:14 เยอะแยะมากมายเนาะเคจะมองเหมือนมองโลกใน
00:04:14 → 00:04:16 แง่ร้ายมองอะไรว่าแบบไม่ไม่น่าจะมีทาง
00:04:16 → 00:04:19 เกิดขึ้นดีงามอะไรอย่างเงี้ยฮะเออกับตัว
00:04:19 → 00:04:22 เคนะกับตัวเคอุ๊ยอย่างงี้มันก็ยากนะถ้า
00:04:22 → 00:04:25 มันมีคำถามมีข้อสงสัยกับตัวเองอ่ะคือถ้า
00:04:25 → 00:04:28 เราสงสัยในอย่างคนอื่นอย่างเงี้ยเรายัง
00:04:28 → 00:04:31 ถามเพื่อเอาคำตอบได้แต่พอสงสัยกับตัวเอง
00:04:31 → 00:04:34 ปึ๊บครับทำได้เป่าเนี่ยแล้วใครจะมาตอบแทน
00:04:34 → 00:04:36 เราได้ครับบางทีมันจะไม่ใช่แค่การสงสัยนะ
00:04:36 → 00:04:39 คือเเเชื่อไปเลยว่าตัวเขาไม่ดีอย่างเงี้ย
00:04:39 → 00:04:41 ฮะเชื่อไปเลยใช่ครับเชื่อไปเลยแต่ว่าไอ้
00:04:41 → 00:04:43 ความสงสัยเนี่ยมันเป็นเหมือนขั้นที่แบบ
00:04:43 → 00:04:47 เริ่มเริ่มเพาะบ่มที่ที่แบบจะทำให้เรารู้
00:04:47 → 00:04:49 สึกไม่มั่นใจหรือว่าเมตกหรือว่ารู้สึกแบบ
00:04:49 → 00:04:51 เราดีไม่พอคือถ้าเราดีไม่พอเนี่ยมันคือ
00:04:51 → 00:04:54 เหมือนแบบชัวไปเลยว่าเราไม่ดีมันคือคำพูด
00:04:54 → 00:04:56 ที่แบบชัดเจนว่าเราไม่ดีแต่ถ้าเกิดว่ามัน
00:04:56 → 00:04:59 มีคำว่าสงสัยคือแบบเราสงสัยว่าเราคงไม่ดี
00:04:59 → 00:05:01 เราคงไม่ดีลมั้งอย่างเงี้ยฮะมันจะมีความ
00:05:01 → 00:05:04 ก้ำๆกึ่งๆที่ยยังไม่ถูกกลืนกินใช่คำนั้น
00:05:04 → 00:05:07 ยังไม่ถูกกลืนกินอครับอย่างงั้นแสดงว่า
00:05:07 → 00:05:10 มันก็ต้องมีสิ่งที่บอกเป็นทรายเป็นสัญญาณ
00:05:10 → 00:05:13 อะไรได้ใช่มยว่าแบบใช่ครับเออมันมีความ
00:05:13 → 00:05:15 สงสัยรเองแล้วมันเป็นแบบเนี้ยเราถึงต้อง
00:05:15 → 00:05:18 มาหาคุณค่าในตัวเองให้เจอเพื่อลดความ
00:05:18 → 00:05:22 สงสัยตรงนั้นให้มันน้อยลงหรือหมดไปอ่าใช่
00:05:22 → 00:05:25 ครับใช่ซึ่งซึผมว่าไอ้สัญญาณตรงเนี้ยเอ่อ
00:05:25 → 00:05:28 คุณผู้ฟังสามารถใช้ในการสังเกตตัวเองได้
00:05:28 → 00:05:30 นะว่าเอ๊ะเรากำลังมีพวกนี้อยู่หรือเปล่า
00:05:30 → 00:05:33 หรือลองสังเกตคนใกล้ตัวครับว่าเรามีคนคน
00:05:33 → 00:05:36 ใกล้ชิดครอบครัวญาติพี่น้องที่กำลังมีมี
00:05:36 → 00:05:38 จุดของการสงสัยคุณค่าในตัวเองหรือเปล่านะ
00:05:38 → 00:05:41 ครับก็จะมีรายการดังนี้เนาะลองลองสังเกต
00:05:41 → 00:05:44 นะครับอย่างแรกก็คือเราอาจจะไม่กล้ารับคำ
00:05:44 → 00:05:46 ชมนะครับคิดว่าไม่น่าจริงหรอกเวลาคนชมเรา
00:05:46 → 00:05:49 อ่ะไม่จริงเราไม่คู่ควรกับคำชมนี้อย่าง
00:05:49 → 00:05:53 เงี้ยฮะฮึ้ยคือคือถ้าแบบว่าอันเนี้ยเฮ้ย
00:05:53 → 00:05:55 ไม่จริงหรอกเค้าแกล้งชมเราหรืออะไรอย่าง
00:05:55 → 00:06:00 เงี้ยบางทีอาจจะดูจากเอ่อความละ
00:06:00 → 00:06:03 การละครมันมันมีอยู่จริงที่พี่รีบอกเออ
00:06:03 → 00:06:06 อันนั้นอาจจะรู้สึกได้อ่ะแต่แบบถ้าโดย
00:06:06 → 00:06:08 ทั่วไปที่เาชมเราแล้วเรายังรู้สึกว่าใช่
00:06:09 → 00:06:11 หรอไม่หรอกไม่ใช่เราหรอกอะไรเงี้ยฮะไม่
00:06:11 → 00:06:13 คู้ควรจะได้รับมันมีอย่างงั้นอยู่จริงๆ
00:06:13 → 00:06:15 ครับผมก็จะมีคนที่มาปรึกษาหลายท่านที่
00:06:15 → 00:06:18 เรียกว่าเคกดดันตัวเองตั้งแต่เด็กแล้วเขา
00:06:18 → 00:06:20 ก็อาจจะคล้ายๆเติบโตมากับการที่ไม่ไม่ได้
00:06:20 → 00:06:23 ถูกพ่อแม่ชมหรือพ่อแม่ก็จะพยายามเรียก
00:06:23 → 00:06:26 อะไรนะผลักดันกดดันให้ไปได้อีกเรื่อยๆจะ
00:06:26 → 00:06:29 ไม่ได้ชมเงี้ยเพราะฉะนั้นตัวตัวเด็กเอง
00:06:29 → 00:06:31 ที่แต่เติบโตมาอย่างเงี้ครับเขาจะไม่ไม่
00:06:31 → 00:06:33 เคยมีจุดที่ถูกคอนเฟิร์มว่าเขาดีหรือเขา
00:06:33 → 00:06:35 ไม่เคยถูกคอนเฟิร์มว่าเขาเคยสำเร็จนะ
00:06:35 → 00:06:38 เพราะว่าทุกๆช็อตที่เขาทำทุกๆ 9 ที่เขาไป
00:06:38 → 00:06:40 ไม่เคยเรียกว่าสำเร็จสักทีเพราะจะมีโจทย์
00:06:40 → 00:06:43 ใหม่ๆโผลขึ้นมาเรื่อยๆหรือต่อให้ทำดีก็จะ
00:06:43 → 00:06:45 ถูกหาข้อตำหนิว่ายังไม่สมบูรณ์แบบอยู่ดี
00:06:45 → 00:06:47 อือย่างเงี้ยครับเพราะเขาคเติบโตมากับการ
00:06:47 → 00:06:49 รู้สึกว่าไม่เคยถูกยอมรับอะไรอย่างเงี้ย
00:06:49 → 00:06:52 ฮะเขาก็จะแสวงหาการถูกยอมรับจากคนอื่นแต่
00:06:52 → 00:06:54 ทีเนี้พอมันฝังไปมากๆปั๊บเขาจะรู้สึกว่า
00:06:54 → 00:06:57 ต่อให้ถูกชมมันก็ยังไม่ได้ดีหรอกมันก็ยัง
00:06:57 → 00:07:00 ไม่สมบูรณ์มันก็ยังไม่เคยพอใจได้สักสักที
00:07:00 → 00:07:02 สรุปแล้วอย่างงี้ปัญหามันเกิดจากที่ตัว
00:07:02 → 00:07:05 เราหรือว่าเกิดจากคนที่ไม่ชมเราเอเลยจริง
00:07:05 → 00:07:07 ๆมันเป็นปัญหาองค์รวมเนาะบางครั้งมันเกิด
00:07:07 → 00:07:10 ขึ้นจากตัวตนเขาเองก็มีนะตัวตนเขาเองที่
00:07:10 → 00:07:12 แบบไม่ได้มั่นใจหรือบางคนคล้ายๆได้รับ
00:07:12 → 00:07:15 อิทธิพลจากสภาพแวดล้อมที่นานพอสมควรจาก
00:07:15 → 00:07:17 จากบุคคลสำคัญเหมือนตะกี้ที่เล่าให้ฟัง
00:07:17 → 00:07:19 เรื่องพ่อแม่อย่าเงี้ยครับซึ่งซึเดี๋ยว
00:07:19 → 00:07:21 เราจะมีเรื่องของแบบเอ้ยสาเหตุมันมาจาก
00:07:21 → 00:07:22 อะไรได้บ้างตะกี้ก็เลยเปลอให้ฟังก่อนว่า
00:07:22 → 00:07:24 เดี๋ยวเราจะมีการพูดถึงที่มาที่ไปของมัน
00:07:24 → 00:07:27 ด้วยออันนี้คือการไม่กล้ารับคำชมอ่าใช่
00:07:27 → 00:07:29 ครับประการแรกคือเราไม่กล้ารับคำชมคิดว่า
00:07:29 → 00:07:31 ไม่น่าจริงที่ที่ไม่ใช่เค้าละครใส่เรานะ
00:07:31 → 00:07:35 ไอ้คนชมอ่ะคือเค้าชมจริงๆแต่ตัวเรารู้สึก
00:07:35 → 00:07:37 ว่าแบบเราไม่กล้ารับไม่กล้ารับมันใหญ่
00:07:37 → 00:07:39 เกินไปที่ตัวเใช่มันดีเกินไปสำหรับเรา
00:07:39 → 00:07:41 อะไรเงี้เฮ้ยเราไม่ถึงขนาดนั้นหรอกอะไร
00:07:41 → 00:07:44 อย่างเงี้ยใช่เอ๊ะมันคล้ายๆการถ่อมตัวไป
00:07:44 → 00:07:46 มันมันจะไม่เหมือนถ่อมตัวครับถ่อมตัวจะ
00:07:46 → 00:07:49 กล้ารับกล้ารับคำชมแต่จะมีจุดที่แบบไม่
00:07:49 → 00:07:51 ได้ทะนงตัวว่าเราโอ้โหเจ๋งที่สุดใน
00:07:51 → 00:07:53 จักรวาลอือเขาจะรู้สึกว่าเออเราก็สามารถ
00:07:54 → 00:07:56 ชื่นชมยินดีดื่มดำได้อแต่แต่เราจะไม่
00:07:56 → 00:07:58 ลำพองว่าเราเก่งแล้วไม่พัฒนาต่ออย่างเงี้
00:07:58 → 00:08:01 ครับคือถ่อมตัวอออ่าครับอ่ะถัดมาครับ
00:08:01 → 00:08:04 อาการต่อมาคือเราไม่กล้ายอมรับหรือไม่
00:08:04 → 00:08:06 กล้าพูดว่าความสำเร็จอะไรก็ตามที่เกิด
00:08:06 → 00:08:09 ขึ้นเกิดขึ้นมาจากเราอุยเราอาจจะผลักไป
00:08:09 → 00:08:12 ว่าดวงดีหรืออาจจะแบบโชคดีที่ได้คนนู้นคน
00:08:12 → 00:08:14 นี้จริงๆเหมือนที่พี่รีพูดเกี้ครับเราอาจ
00:08:14 → 00:08:16 จะแบบไม่กล้าเคลมหรือไม่กล้าแบบบอกว่า
00:08:16 → 00:08:18 ทั้งหมดมาจากเราอะไรอย่าเงี้ยฮะใช่อแต่
00:08:19 → 00:08:21 บางคนเขาจะคือสมมุติถ้าคนถ่อมตัวเขาจะบอก
00:08:21 → 00:08:24 ว่าเราเป็นหนึ่งในทีมนั้นเราภูมิใจกับ
00:08:24 → 00:08:26 ความสำเร็จแต่ว่าจะบอกว่าเราคือทั้งหมด
00:08:26 → 00:08:28 ไม่ใช่อืเขาจะมีความรู้สึกว่าเยังสามารถ
00:08:28 → 00:08:31 รับได้รับว่าแบบเขาเป็นส่วนหนึ่งอะไอย่า
00:08:31 → 00:08:34 เงี้ยครับแต่ว่าถ้าแบบเรียกอะไรอ่ะถ้าถ้า
00:08:34 → 00:08:36 เป็นสงสัยในคุณค่าตัวเองมันจะมีความรู้
00:08:36 → 00:08:37 สึกว่าไม่ใช่เราหรอกไม่ใช่เพราะเราเพราะ
00:08:37 → 00:08:40 คนอื่นทั้งนั้นแหละอืออย่างเงี้ยฮะอ่าอัน
00:08:40 → 00:08:42 ถัดมาเราจะรู้สึกไม่ได้มั่นใจนะครับไม่
00:08:42 → 00:08:44 ได้เชื่อมั่นในตัวเองอันนี้มันจะเป็นความ
00:08:45 → 00:08:47 รู้สึกที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเลยป่าที่แบบ
00:08:47 → 00:08:50 จะทำอะไรก็แล้วแต่ใช่ๆเราก็จะแบบมีความ
00:08:50 → 00:08:53 ไม่เชื่อมั่นแล้วก็ต่อไปคือเรามีความนับ
00:08:53 → 00:08:55 ถือตัวเองต่ำไม่ได้ชื่นชมตัวเองไม่ได้รู้
00:08:55 → 00:08:57 สึกว่าตัวเองดีหรือรู้สึกอาจจะไม่ได้ชอบ
00:08:57 → 00:09:00 ตัวเองก็ได้อย่างเงี้ยครับโอยรู้สึกดีไม่
00:09:00 → 00:09:03 พอนะครับอืออาจจะมีบางคนที่ผลัดวันประกัน
00:09:03 → 00:09:05 พุ่งไปเลยครับไม่กล้าลงมือทำเพราะรู้สึก
00:09:05 → 00:09:07 อย่างที่บอกเนาะพอคิดว่าตัวเองไม่ดีทำ
00:09:07 → 00:09:09 อะไรคงไม่สำเร็จหรอกเงี้ยฮะก็จะผัดไปไม่
00:09:09 → 00:09:13 กล้าลงมืออืก็จะขาดแรงจูงใจในการลงมือทำ
00:09:13 → 00:09:15 อะไรก็ตามเนาะค่ะครับแล้วอันสุดท้ายก็จะ
00:09:15 → 00:09:17 เป็นไม่กล้าตัดสินใจครับอาจจะให้ผู้อื่น
00:09:17 → 00:09:20 คิดแทนหรือตัดสินใจแทนไปเลยเพราะเหมือน
00:09:20 → 00:09:22 ที่บอกว่าเวลาการที่คนเราจะต้องใช้ชีวิต
00:09:22 → 00:09:24 เนาะมันต้องมีการรับผิดชอบมันต้องมีการ
00:09:24 → 00:09:26 ออกโดงออกหน้าหรือลงมือทำอะไรอยู่ในความ
00:09:26 → 00:09:28 รับผิดชอบของเราทีนี้พอเราไม่ได้มั่นใจ
00:09:28 → 00:09:31 ว่าเราดีอ่ะครับโดยส่วนใหญ่เราก็จะผลัก
00:09:31 → 00:09:33 ผลักให้คนอื่นทำแทนหรือให้คนอื่นคิดแทนไป
00:09:33 → 00:09:35 เถอะเราจะได้รอดจากการแบบกดดันตัวเอง
00:09:35 → 00:09:38 อย่างเงี้ยครับพวกพวกเนี้ยก็คือสัญญาณของ
00:09:38 → 00:09:40 การที่คนๆนึงกำลังมีความสงสัยในคุณค่าของ
00:09:40 → 00:09:43 ตัวเองแต่บางอย่างเนี่ยการสงสัยในตัวเอง
00:09:43 → 00:09:47 อ่ะคือเข้าใจได้นะแต่บางอย่างคือมัน
00:09:47 → 00:09:49 เหมือนแบบไม่ได้เกิดจากตัวเองอย่างเดียว
00:09:49 → 00:09:52 อ่ะแต่เกิดจากปัจจัยแวดล้อมหรือการเติบโต
00:09:52 → 00:09:56 มาอือยู่ในครอบครัวในลักษณะแบบนี้นะคะ
00:09:56 → 00:10:01 เอ่อหรือในสังคมที่แบบโอ้โหการแข่งขันสูง
00:10:01 → 00:10:07 ไม่การชมก็คือต้องแบบโอ้โหคนที่แบบครับ
00:10:07 → 00:10:09 พวกเดียวกันอะไรบ้างใช่จิงๆแล้วสิ่งพวกเ
00:10:09 → 00:10:11 ครับเหมือนที่ผมย้ำกับทุกๆเทปที่เคยพูด
00:10:11 → 00:10:13 เนาะทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นน่ะครับมันมีคำ
00:10:13 → 00:10:15 อธิบายเสมอแหละเนาะซึ่งคำอธิบายสำหรับ
00:10:15 → 00:10:17 เรื่องเนี้ยครับสิ่งที่อาจเป็นไปได้นะ
00:10:17 → 00:10:19 ครับลองฟังดูสิ่งที่อาจเป็นไปได้อย่างแรก
00:10:19 → 00:10:22 คือบางคนคือเคยเเคยเจอความผิดพลาดในอดีต
00:10:22 → 00:10:25 จริงๆคือพอเจอปั๊บแหยงเลยอย่างเงี้ยฮะ
00:10:25 → 00:10:28 เช่นแบบเราอาจจะเคยทำงานผิดพลาดทำงานแบบ
00:10:28 → 00:10:30 สมมุติว่าเราลองนึกภาพว่าเราอาจจะเคยเป็น
00:10:30 → 00:10:33 คนมั่นใจว่าเราดีแล้วปรากฏว่าไปไปทำงาน
00:10:33 → 00:10:35 ชิ้นนี้ปั๊บปรากฏมันพังมันพลาดถูกฟีดแบค
00:10:35 → 00:10:39 แย่มากเงี้ยฮะซึ่งนั่นหมายความว่าเอ่อ
00:10:39 → 00:10:41 สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมันจะเป็นภาพตรง
00:10:41 → 00:10:44 ข้ามกับที่เราเคยเชื่อว่าตัวเองดีค่ะเรา
00:10:44 → 00:10:45 เคยเชื่อว่าตัวเองดีแต่ภาพที่เกิดขึ้น
00:10:45 → 00:10:48 จริงกำลังบอกว่าเราไม่ดีอย่างเงี้ยครับ
00:10:48 → 00:10:50 บางทีบางทีมันจะมีจุดของการเสียความมั่น
00:10:50 → 00:10:54 ใจพอเสียความมั่นใจปั๊บก็จะแหยงอืแยงปั๊บ
00:10:54 → 00:10:56 ทีนี้ตัวตนที่แบบเคยมั่นใจก็จะกลายเป็น
00:10:56 → 00:11:00 ว่าหรือว่าเราเชื่อไปเองว่าเราดีอือืมเรา
00:11:00 → 00:11:02 คิดไปเองมาตลอดหรือเปล่านะว่าเราดีแต่ว่า
00:11:02 → 00:11:04 จริงๆเรามีช่องโบ่เรามีจุดอ่อนเรามีจุด
00:11:05 → 00:11:07 ที่ไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองไม่ดีแต่แบบมัน
00:11:07 → 00:11:10 กระแทกแรงอ่ะครับมันทำให้เสียความมั่นใจ
00:11:10 → 00:11:13 มันคิดมาได้อย่างนึงค่ะคุณเอิ้นคุณผู้ฟัง
00:11:13 → 00:11:17 ว่าการที่เราจะดีหรือไม่ดีอ่ะบางทีเราไม่
00:11:17 → 00:11:19 บอกตัวเองอ่ะว่าเราดีหรือไม่ดียังไงใช่
00:11:19 → 00:11:23 มั้ยคะแต่จะขึ้นอยู่กับคนอื่นก็มีครับใช่
00:11:23 → 00:11:27 ที่แบบอ่ะถ้าคนนี้บอกว่าดีคือเราดีครับคน
00:11:27 → 00:11:30 นี้บอกไม่ดีปึ๊บเราคือคไม่ดีอ่าเราก็มี
00:11:30 → 00:11:32 แนวโน้มที่พร้อมจะเชื่อทีนี้มันขึ้นอยู่
00:11:32 → 00:11:34 กับการประเมินด้วยครับบางทีเหตุการณ์ที่
00:11:34 → 00:11:36 เกิดขึ้นเนี่ยดีหรือไม่ดีมันมองได้ 2 มุม
00:11:36 → 00:11:39 มุมแรกคือคนอื่นพูดพูดกับเรายังไงอืมุม
00:11:40 → 00:11:42 ที่ 2 คือตัวเราประเมินสิ่งนี้ยังไงค่ะ
00:11:42 → 00:11:45 เช่นสมมุติเราทำงานกับเจ้านายเพื่อนร่วม
00:11:45 → 00:11:47 งานที่แบบโอ้โหมองโลกในแง่รบพร้อมด่าคน
00:11:47 → 00:11:51 อื่นยับเงี้ยทิกสุดๆเอแล้วถ้าเกิดสมมุติ
00:11:51 → 00:11:54 เราจิตอ่อนสมมติเราจิตอ่อนเชื่อเชื่อว่า
00:11:54 → 00:11:57 แบบที่เขาพูดเนี่ยโอหจริงมากมันก็เป็นไป
00:11:57 → 00:11:59 ได้ว่าอิทธิพลจากข้างนอกก็จะส่งผลที่เรา
00:11:59 → 00:12:01 ถูกมั้ยครับถ้าเราจิตอ่อนอแต่สมมุติเรา
00:12:01 → 00:12:04 จิตแข็งแล้วเราประเมินว่าแบบไม่หรอกมัน
00:12:04 → 00:12:07 ไม่ถึงขั้นนั้นโอเคมันอาจจะมีสะเทือนแต่
00:12:08 → 00:12:10 เราไม่ได้ไปหยิบคำพูดเข้ามาทั้งหมดอืแต่
00:12:10 → 00:12:12 ถ้าสมมุติตัวเราเองอ่ะครับประเมินว่าเฮ้ย
00:12:12 → 00:12:14 มันแย่จริงๆแต่คนอื่นพยายามปลอบใจเรานะ
00:12:15 → 00:12:17 เพราะแบบเฮ้ยมันไม่ขนาดนั้นแต่ตัวเรา
00:12:17 → 00:12:19 เนี่ยเป็นคนประเมินว่าแต่มันไม่ดีอ่ะมัน
00:12:19 → 00:12:21 ไม่สมบูรณ์มันแบบมันเนี่ยมันส่งผลกระทบ
00:12:21 → 00:12:23 อย่างงั้นอย่างงี้อย่างเงี้ยให้ภัยตัวเอง
00:12:23 → 00:12:25 ไม่ได้ตรงนี้บางทีก็มาจากตัวเราเหมือนกัน
00:12:25 → 00:12:28 ครับมันจะกลายเป็นแบบพวกแนวคือถ้าคนจะแนว
00:12:28 → 00:12:30 อย่างเงี้ต้องแบบ perfectionist เปล่าใช่
00:12:30 → 00:12:33 ครับประมาณทรงเชิอยากทำทุกอย่างให้เนียบ
00:12:33 → 00:12:36 ใช่ครับคนอื่นต่อให้ปลอบยังไงก็ไม่เข้าหู
00:12:36 → 00:12:38 ปล่อยผ่านไปซึ่งซึนอกจากเรื่องงานบางที
00:12:38 → 00:12:40 มันมีเรื่องความสัมพันธ์ด้วยนะผมก็จะเจอ
00:12:40 → 00:12:43 เคสอย่างนี้เยอะเหมือนกันอือ้าเหรอใช่บาง
00:12:43 → 00:12:45 ทีบางทีเป็นเรื่องของโดนเพื่อนแบรนดโดน
00:12:45 → 00:12:48 เพื่อนบุลลี่อือๆก็มีหรือถ้าเป็นความรัก
00:12:48 → 00:12:51 คือแบบคล้ายๆถูกอะไรนะถูกนอกใจถูกหักหลัง
00:12:51 → 00:12:53 ถูกหลอกแล้วแต่พวกเนี้ยฮะบางทีมันทำให้
00:12:53 → 00:12:56 เขาสงสัยในคุณค่าตัวเองยิ่งถ้าเกิดโดนซ้ำ
00:12:56 → 00:13:00 ๆคบกับแฟนมากี่คนก็โดนนอกใจทุกคนอมันจะมี
00:13:00 → 00:13:02 จุดที่แบบรู้สึกเหมือนแบบความความมั่นใจ
00:13:02 → 00:13:04 หรือความภูมิใจในตัวเองมันตกต่ำลงอ่ะ
00:13:04 → 00:13:06 เพราะรู้สึกเหมือนเฮ้เราโดนทิ้งทุกรอบเลย
00:13:06 → 00:13:09 ว่ะแล้วเหมือนเรามีอะไรสักอย่างไม่ดีพอ
00:13:09 → 00:13:12 หรือเปล่านะที่จะลั้งคนที่เป็นแฟนเราไว้
00:13:12 → 00:13:13 อย่างเงี้ยครับพวกเนี้ยก็ทำให้เกิดการ
00:13:14 → 00:13:15 สงสัยในคุณค่าตัวเองได้เหมือนกันมันตอก
00:13:15 → 00:13:17 ย้ำเข้าไปเรื่อยๆอ๋อแล้วยิ่งถ้าเกิดว่า
00:13:17 → 00:13:20 แค่ความสัมพันธ์ไม่พอเพื่อนมาร่วมด้วย
00:13:20 → 00:13:22 เข้าไปอีกดใช่ครับทั้งงานทั้งเพื่อน
00:13:22 → 00:13:24 เรื่องความรักจริงๆเรื่องครอบครัวก็มีผล
00:13:24 → 00:13:26 อืเหมือนที่ที่กำลังจะคุยในเรื่องที่ 2
00:13:26 → 00:13:28 เนี่ยฮะบางทีเป็นเรื่องของการเลี้ยงดูในว
00:13:28 → 00:13:30 เด็กประสบการณ์ที่เราเติบโตมากับครอบครัว
00:13:30 → 00:13:32 ค่ะถ้าเกิดเราเจอพ่อแม่ที่แบบไม่เคยบอก
00:13:32 → 00:13:35 ว่าเราดีอะไรเงี้ยครับมันก็เป็นไปได้นะ
00:13:35 → 00:13:38 ที่เราจะแบบไม่ไม่ได้เรียนรู้ว่าการชื่น
00:13:38 → 00:13:41 ชมตัวเองหรือการขอบคุณตัวเองได้หรือการ
00:13:41 → 00:13:44 แบบให้กำลังใจว่าที่เราทำเนี้ยดีแล้วดื่ม
00:13:44 → 00:13:46 ดำกับมันนะครับมันจะไม่ค่อยเกิดขึ้นค่ะ
00:13:46 → 00:13:49 เพราะเราจะถูกวางด้วยเป้าหมายใหม่ๆเสมอ
00:13:49 → 00:13:51 และเป้าหมายที่สำเร็จแล้วจะกลายเป็นแค่
00:13:51 → 00:13:53 เรื่องธรรมดาที่ไม่น่ายินดีเพราะพ่อแม่
00:13:53 → 00:13:56 กำลังจะมองไปหาสิ่งที่ไกลกว่านั้นอีกอืทำ
00:13:56 → 00:13:59 เท่าไหร่ก็จะไม่ดีพอทีนี้ลองนึกภาพน้อง
00:13:59 → 00:14:01 เด็กคนนึงเกิดมาถ้าเกิดว่าโหยหาการยอมรับ
00:14:01 → 00:14:04 จากพ่อแม่พ่อแม่คือบุคคลที่คำพูดของเขาจะ
00:14:05 → 00:14:07 มีอิทธิพลที่สุดเค้าอาจจะไม่ได้ฟังคนนอก
00:14:07 → 00:14:09 บ้านน่ะว่าคนนอกบ้านชมเขายังไงแต่เขาจะ
00:14:10 → 00:14:12 จับจ้องว่าพ่อแม่พูดถึงเขาว่ายังไงนั่น
00:14:12 → 00:14:14 หมายความว่าประโยคพ่อแม่สำคัญกับคนนอก
00:14:14 → 00:14:17 บ้านค่ะอย่างเงี้ยครับพอเขาคเติบโตขึ้นไป
00:14:17 → 00:14:19 ลองนึกภาพเนาะพอเขาคเข้าไปอยู่ในสังคม
00:14:19 → 00:14:21 เา้าก็จะแบบได้รับคำชมแต่เขาจะรู้สึกว่า
00:14:21 → 00:14:25 เขาไม่คู่ควรเดีไม่พอทีเนี้ยจะเริ่มลำบาก
00:14:25 → 00:14:28 ละโอ้โหเขาจะเริ่มกดดันตัวเองไปเรื่อยๆ
00:14:28 → 00:14:30 เงี้ยฮะถ้าเกิดพ่อแม่ก็ยังคาดหวังอยู่
00:14:30 → 00:14:32 หลังบ้านต่อให้ทำงานข้างนอกสำเร็จแค่ไหน
00:14:32 → 00:14:35 ก็ตามกลับมาบ้านเจอพ่อแม่คาดหวังไม่ได้ชม
00:14:35 → 00:14:39 มันก็ยังติดในวังวังบนเดิมเงี้ยครับอือ
00:14:39 → 00:14:41 มันเป็นความคาดหวังที่รอคอยแล้วก็รอคอย
00:14:41 → 00:14:44 อยู่แบบเนี้ยตลอใช่รอคอยการชื่นชมเนาะ
00:14:44 → 00:14:46 แล้วอันสุดท้ายที่เกิดขึ้นได้ในยุคนี้ยุค
00:14:46 → 00:14:48 ที่มีโซเชียล Media นะครับแลก็มี
00:14:48 → 00:14:49 influencer มาก
00:14:49 → 00:14:52 มายคือคือการเอาตัวเองอ่ะครับไปเปรียบ
00:14:52 → 00:14:55 เทียบกับคนอื่นที่สำเร็จมากกว่าอืซึ่งคำ
00:14:55 → 00:14:56 ว่าสำเร็จมากกว่าในที่เยครับเหมือนที่ผม
00:14:56 → 00:14:59 บอกว่าโซเชียล Media มันจะมีเ้าเรียกว่า
00:14:59 → 00:15:01 คุณสมบัติในการเอาของที่เรามีมาอวดกันได้
00:15:01 → 00:15:04 ค่ะไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่จริงก็ตามเรา
00:15:04 → 00:15:07 สามารถอวดสิ่งที่เรามีจริงได้ค่ะอวดสิ่ง
00:15:07 → 00:15:10 ที่ไม่มีจริงแต่ว่าเอาภาพมาสร้างก็ได้อ่า
00:15:10 → 00:15:13 นะครับซึ่งแน่นอนพอพอเราในฐานะผู้เสพสื่อ
00:15:13 → 00:15:15 เรานั่งดูสิ่งพวกเนี้ยบางทีเราก็จะเผลอไป
00:15:15 → 00:15:17 เชื่อว่าสิ่งเนี้ยมันคือทั้งหมดมันคือ
00:15:17 → 00:15:19 เรื่องจริงก็มีอืออะไรอย่าเงี้ยครับแล้ว
00:15:19 → 00:15:22 ทีนี้พอเราไปสังเกตกับสิ่งที่เป็นวัตถุ
00:15:22 → 00:15:24 หรืออาจจะเช่นแบบเป็นเรื่องของความสำเร็จ
00:15:24 → 00:15:27 ในตัวงานเงินที่เขามีเขาเอาาเงินล้านแบบ
00:15:27 → 00:15:32 มามาตั้งโชว์โต้นเเมีบอกว่าซื้อบ้านได้
00:15:32 → 00:15:34 แล้วบ้านหลังแรกหรือแบบเนี่ยทำงานมาตั้ง
00:15:34 → 00:15:36 นานซื้อบ้านให้แม่ได้แล้วอือ่าเป็นวัย
00:15:36 → 00:15:40 รุ่นสำเร็จเร็วอะไรเงี้ยฮะมีรถมาอวดเนาะ
00:15:40 → 00:15:43 มีแฟนดีไปเที่ยวต่างประเทศแล้วแต่นะครับ
00:15:43 → 00:15:45 แล้วแต่มุมมองมีวัตถุมีกระเป๋าแบรนด์เนม
00:15:45 → 00:15:48 มีสมทรัพย์สมบัติมีไลฟ์สไตล์หรูหราฟู่ฝ้า
00:15:48 → 00:15:51 อะไรก็ตามค่ะบางทีพวกเนี้ยครับมันเป็นจุด
00:15:51 → 00:15:53 ที่แบบพอเรายิ่งมองปั๊บมันจะรู้สึกว่า
00:15:53 → 00:15:56 ทำไมตัวเรามันตำต้อยจังวะทำไมเรามันทำได้
00:15:56 → 00:15:59 แค่นี้วะทำไมคนอื่นเทำได้ขนาดนั้นน่ะเออ
00:15:59 → 00:16:02 มันจะมีความสงสัยว่าเรากำลังตกอันดับอะไร
00:16:02 → 00:16:05 อยู่หรือเปล่านะค่ะเออในขณะที่ดูคนอื่นเ
00:16:05 → 00:16:07 เหมือนชีวิตมีความสุขดีไปหมดเลยอ่ะทำไม
00:16:07 → 00:16:10 ตัวเราถึงไม่ไม่ได้รู้สึกอย่างงั้นกับตัว
00:16:10 → 00:16:12 เองอืบางทีพวกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้
00:16:12 → 00:16:14 สงสัยคุณค่าในตัวเองได้เหมือนกันครับนี่
00:16:14 → 00:16:16 จะเลิกเล่นโซเชียลก็เพราะอย่างนี้แหละไม่
00:16:16 → 00:16:19 ใช่ไม่ใช่แต่คือเ่อถ้าอย่างบางคนแย่งแย้ม
00:16:19 → 00:16:21 ไม่ได้เนี่ยจะยิ่งแล้วใหญ่เลยนะใช่ครับ
00:16:21 → 00:16:24 ใช่ไปอาจจะไปในทางที่ไม่ไม่ถูกต้องไปเลย
00:16:24 → 00:16:27 ก็ได้เพื่อที่จะได้เท่าเทียมหรือว่าการ
00:16:27 → 00:16:30 โอ้อวดใช่ครับเกิดขึ้นเพื่อให้ตัวเอง
00:16:30 → 00:16:34 เนี่ยรู้สึกว่า่ฉันฉันก็ทำได้เห็นดแต่
00:16:34 → 00:16:36 ทั้งที่ในความเป็นจริงมองไปข้างหลังอาจจะ
00:16:36 → 00:16:38 ไม่ใช่เลยก็ได้จริงๆเราอาจจะมีสิ่งที่เรา
00:16:38 → 00:16:40 พอใจอยู่แล้วก็ได้นะแต่ว่ามันกลายเป็นว่า
00:16:40 → 00:16:43 พอเปรียบเทียบกับบางสิ่งที่มันเยอะมากๆ
00:16:43 → 00:16:45 อะไรเงี้ยฮะเราจะเริ่มสงสัยว่าที่เรามี
00:16:45 → 00:16:48 มันดูน้อยอ่ะมันมันไม่พอมั้งแต่จริงๆมัน
00:16:48 → 00:16:52 พอนะไม่คือบางทีถ้าเกิดเราเห็นเค้าอ่ะเอา
00:16:52 → 00:16:55 เงินเป็นปึ๊งๆเป็นก้อนๆเป็นเงี้ยมามาวาง
00:16:56 → 00:16:59 วางๆๆอ่ะเราก็เอาเหรียญเรามามาเทกันด้วย
00:16:59 → 00:17:02 ได้ครับเราก็มีเหมือนกันเกทับเกทับด้วย
00:17:02 → 00:17:05 เหรียญเกทับด้วยเหรียญแบงกาโม่มาวางแทน
00:17:05 → 00:17:07 แล้วเอออะไรประมาณนี้คือแบบไม่หรอกแต่
00:17:07 → 00:17:10 อย่าไปทำแบบนั้นเลยคือเรารู้ก็ยินดีกับ
00:17:10 → 00:17:13 เขานะคะอืมอาจจะไม่ได้ง่ายในบางความรู้
00:17:13 → 00:17:17 สึกคอืมันก็มันก็เป็นมนุษย์อ่ะนะที่แบบ
00:17:17 → 00:17:20 อาจจะรู้สึกว่าเออก็น่าสงสัยเนาะแต่แบบ
00:17:20 → 00:17:23 อิจฉามั้ยอิจฉานะแต่เราก็ไม่ได้แบบว่าจะ
00:17:23 → 00:17:25 ต้องแบบอือเพราะว่าบางทีกว่าจะได้สิ่ง
00:17:25 → 00:17:27 นั้นมาต้องแลกกับอะไรบางอย่างเหมือนกัน
00:17:27 → 00:17:29 เนาะใช่เรืองเรื่องที่เราไม่รู้ครับบางที
00:17:29 → 00:17:31 เราเห็นเมีแล้วมันดูง่ายแต่จริงๆแล้วเอาจ
00:17:31 → 00:17:33 จะต้องแลกกับอะไรบางอย่างเราจะเห็นปลาย
00:17:33 → 00:17:35 ทางคนอื่นที่สำเร็จแล้วเสมอใช่ครับบางคน
00:17:35 → 00:17:37 แลกบางคนแลกกับความเหนื่อยเนาะบางคนแลก
00:17:37 → 00:17:40 กับสุขภาพจิตหรือบางคนแลกกับการที่ต้องทำ
00:17:40 → 00:17:42 ทุจริตบางอย่างเพื่อให้ได้เงินก้อนนั้นมา
00:17:42 → 00:17:44 ผมว่ามีเยอะแยะครับค่ะเนาะแล้วก็อย่างสุด
00:17:44 → 00:17:46 ท้ายเหมือนตะกี้ที่พี่รีพูดตอนต้นเลยบาง
00:17:46 → 00:17:49 ทีเราเจอสถานการณ์ใหม่ที่ไม่มั่นใจเป็น
00:17:49 → 00:17:52 โปรเจคเป็นงานเป็นปัญหาชีวิตใหม่ๆการแต่ง
00:17:52 → 00:17:54 งานการมีลูกแล้วแต่อบางทีพวกนี้คือการ
00:17:55 → 00:17:57 ประเมินตัวเองอาจจะไม่ใช่การสงสัยตัวเอง
00:17:57 → 00:17:59 โดยสมบูรณ์แต่มันมีแค่ความไม่มั่นใจว่า
00:17:59 → 00:18:02 เอ๊เราจะไหวเพราะเราจะไหวไม่นเพราะเราไม่
00:18:02 → 00:18:05 เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนมันก็มีสิ่ง
00:18:05 → 00:18:06 ที่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เหมือนกันอันเนี้ย
00:18:06 → 00:18:09 คือเกิดความรู้สึกแบบเนี้ยในในในช่วงเวลา
00:18:09 → 00:18:11 ที่ผ่านมาเพราะว่าได้โปรเจคใหญ่มาอยู่ใน
00:18:11 → 00:18:13 มือใช่มั้ยคะเพราะโปรเจคใหญ่ที่อยู่ในมือ
00:18:13 → 00:18:15 มันคือสิ่งที่เราไม่เคยทำแล้วเราหันกลับ
00:18:15 → 00:18:18 มาปุ๊บเอ้ยเราไม่ได้มีแบ็คไม่มีทีมก็จะ
00:18:18 → 00:18:21 ด้วยตัวของเราคนเดียวเป็นหลักและพออย่าง
00:18:21 → 00:18:23 งี้ใช้วิธีอะไรรู้มั้ยคะเพื่อเพิ่มความ
00:18:23 → 00:18:27 มั่นใจครับจากความสงเราจะทำได้มั้ยนะทำ
00:18:27 → 00:18:29 ได้หรือเปล่าอ่ะเฮ้ยโปจมันใหญ่นะนนี่มัน
00:18:29 → 00:18:32 มีข้อสงสัยเยอะคำถามเยอะว่าความสามารถตัว
00:18:32 → 00:18:35 เองไม่ถึงอือทำไมผู้ใหญ่ถึงให้มาเค้ามอง
00:18:35 → 00:18:37 เห็นอะไรในตัวเราอ่ะแต่เรายังไม่เห็นตัว
00:18:37 → 00:18:39 เราเลยเราได้ถามผู้ใหญ่มั้ยฮะไม่ถามค่ะไป
00:18:40 → 00:18:42 ถามหมอดูค่ะครับผมก็ว่าแล้วเชียวต้องเข้า
00:18:42 → 00:18:45 หมอดูแน่ๆไปถามหมอดูค่ะครับเปิดไพ่เลยค่ะ
00:18:45 → 00:18:49 อะไรใดๆอืแล้วได้คำตอบแล้วได้คำตอบคำตอบ
00:18:49 → 00:18:51 มันก็ดีแหละมันก็มันมันเป็นในเชิงของ
00:18:51 → 00:18:54 จิตวิทยาอย่างนึ่งที่ทำให้เราแบบเออเราทำ
00:18:54 → 00:18:58 ได้เว้ยครับเออแต่ถึงเวลาจริงๆอ่ะมันไม่
00:18:58 → 00:19:01 ได้ง่ายอย่างที่ไบอกหรอกไม่ง่ายงอ่าแต่
00:19:01 → 00:19:04 แต่ท้ายที่สุดแล้วเนี่ยมันก็ต้องทำให้ได้
00:19:05 → 00:19:08 ใช่ครับอือืคือถ้ามันมีถ้ามันมีความหมาย
00:19:08 → 00:19:10 มีความสำคัญและเป็นโอกาสในการเรียนรู้บาง
00:19:10 → 00:19:12 ทีผมว่าระหว่างทางชีวิตเราเจอเรื่อง
00:19:12 → 00:19:14 เครียดได้แต่เป็นความเครียดที่แบบเหมือน
00:19:14 → 00:19:16 ถ้าเราผ่านไปเราจะเติบโตขึ้นไปอีกขั้นนึง
00:19:16 → 00:19:18 ใช่ๆผมว่าทุกๆคนจะต้องผ่าน ess อย่าง
00:19:18 → 00:19:21 เงี้ยฮผ่านกระบวนการพวกนี้แต่ถ้าเกิด
00:19:21 → 00:19:22 สมมุติผ่านไม่ได้มันจะกลายเป็นความเครียด
00:19:22 → 00:19:25 ที่กัดกินเราหนักเลยทีนี้หนักเอาไงล่ะทำ
00:19:25 → 00:19:27 ไงดีมันก็เลยต้องประเมินทางปฏิบัติด้วยอ
00:19:27 → 00:19:29 ฮะเพราะว่าเราได้โอ้โหเป็นเทพที่แบบนึกจะ
00:19:29 → 00:19:32 ทำพัฒนาหรือจะทำอะไรก็สำเร็จไปหมดมันจะมี
00:19:32 → 00:19:34 บางสิ่งที่มันอาจจะแบบไม่ได้สอดคล้องไป
00:19:34 → 00:19:36 ตามทรัพยากรที่เรามีหรือไม่ได้สอดคล้อง
00:19:36 → 00:19:39 กับศักยภาพที่เราเป็นความถนัดมันมีสิ่ง
00:19:39 → 00:19:42 นั้นเหมือนกันครับใช่ๆแต่ก็ต้องคือสงสัย
00:19:42 → 00:19:44 ได้แต่ก็อย่าสงสัยมากจนจนบั่นทอนตัวเองจน
00:19:45 → 00:19:48 ไม่กล้าจะเดินไปตามที่มันมีสัญญาณบอกว่า
00:19:48 → 00:19:51 เราไม่แน่ใจจนไม่กล้าตัดสินใจไม่ไม่ทำเลย
00:19:51 → 00:19:54 ไม่ไม่เอาแล้วให้คนอื่นทำเถอะใช่ค่ะเพราะ
00:19:54 → 00:19:56 ว่าไอ้ความสงสัยตัวเองพวกเถ้ามันมีมากๆ
00:19:56 → 00:19:58 เนาะสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นกับตัวเองคือเรา
00:19:58 → 00:20:01 จะมีอาจจะเป็นภาวะวิตกกังวลบางคนเป็นซึม
00:20:01 → 00:20:03 เศร้ารู้สึกไม่มีค่าอออะไรเงี้ยครับหรือ
00:20:03 → 00:20:06 รู้สึกว่าแบบมันไม่ดีพอเนาะนับถือตระเวน
00:20:06 → 00:20:09 ต่ำแล้วก็อย่างที่บอกว่าพอเรามีความสงสัย
00:20:09 → 00:20:11 เราอาจจะไม่กล้าลงมือทำอะไรก็ตามมันเลยทำ
00:20:11 → 00:20:13 ให้เป็นการขัดขวางความก้าวหน้าอืนะครับ
00:20:13 → 00:20:15 หรือบางทีพอเราจะทำงานเราก็จะมีความโลก
00:20:15 → 00:20:20 อ่ะความรนดีดีพอมไม่ไหวกลัวจังเลยเงี้ยฮะ
00:20:20 → 00:20:22 ก็จะลนเราก็จะไม่มีสมาธิกับการใส่ใจว่า
00:20:22 → 00:20:24 เอ๊ะเราจะคิดเรื่องงานนี้ยังไงแล้วถ้ามัน
00:20:25 → 00:20:26 มากๆเข้าอ่ะครับมันจะกลายเป็นสะสมเป็น
00:20:26 → 00:20:29 บุคคลิกภาพของเราบุคลิกภาพคือคาแรคเตอร์
00:20:29 → 00:20:32 หรือว่าความเป็นเราในทั้งๆวันในทั้งวัน
00:20:32 → 00:20:34 นั้นนะครับในในทุกช่วงชีวิตที่แบบมันจะ
00:20:34 → 00:20:36 เกิดขึ้นในช่วงพีเรียดนั้นบุคลิกจะเป็น
00:20:36 → 00:20:38 สิ่งที่ฝังลงไปจนกลายเป็นว่าทุกๆเรื่องนะ
00:20:38 → 00:20:41 ครับทุกๆวันทุกๆเวลาเราจะมีความรู้สึกไม่
00:20:41 → 00:20:43 ได้เชื่อมั่นตัวเองไปกับทุกๆเรื่องเลยอื
00:20:43 → 00:20:46 นะครับซึ่งแน่นอนมันก็อาจจะเกี่ยวข้องกับ
00:20:46 → 00:20:48 การที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นด้วยเนาะ
00:20:48 → 00:20:50 มันไม่ใช่แค่เราไม่เติบโตแล้วคนอื่นอาจจะ
00:20:50 → 00:20:53 เริ่มเริ่มรู้สึกรำคาญแล้วเหมือนกันหรือ
00:20:53 → 00:20:56 อาจจะเริ่มรู้สึกแบบเอ๊ะเราวางใจได้มนกับ
00:20:56 → 00:20:59 คนๆนี้ที่แบบมีแต่ความสงสัยในตัวเองไปหมด
00:20:59 → 00:21:01 อือย่างเงี้ยครับมันก็จะมีผลต่อต่อการ
00:21:01 → 00:21:03 ก้าวหน้าในชีวิตหรือว่าการพัฒนาทักษะใน
00:21:03 → 00:21:05 การรับมือปัญหาเหมือนกันอ้าแล้วอย่างงี้
00:21:05 → 00:21:08 เราจะทำยังไงให้เราสามารถที่จะกล้าพ้น
00:21:08 → 00:21:12 ข้ามทะเลของความไม่มั่นใจที่มันเวิ้งวาง
00:21:12 → 00:21:15 เหลือเกินตรงนี้ไปได้ทีนี้เหมือนอ่ะโอเค
00:21:15 → 00:21:17 เรามาดูวิธีการก้าวข้ามสิ่งนี้เนาะข้อแรก
00:21:17 → 00:21:19 ครับคือเราต้องพาตัวเองเข้าหาผู้คนหรือ
00:21:19 → 00:21:21 สภาพแวดล้อมที่สนับสนุนเราด้วยความจริงใจ
00:21:21 → 00:21:23 เพราะว่าเหมือนที่บอกตะกี้ว่าบางครั้งการ
00:21:23 → 00:21:25 ่องแสงในตัวเองเกิดขึ้นจากการที่เราถูก
00:21:25 → 00:21:29 ปั่นถูกปั่นจากใครบางคนถูกมั้ยฮะทีนี้ที
00:21:29 → 00:21:31 นี้บางทีถ้าเราได้อยู่ใกล้ๆนะครับคนที่
00:21:31 → 00:21:34 แบบมีการฟีดแบคเราด้วยความจริงใจสนับสนุน
00:21:34 → 00:21:36 และที่สำคัญคือเขาเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้
00:21:36 → 00:21:39 เราเรียนรู้ค่ะว่าเฮ้ยมันโอเคนะที่เราอาจ
00:21:39 → 00:21:42 จะมีสงสัยตัวเองบ้างแต่มันก็มีสิ่งที่เรา
00:21:42 → 00:21:45 สามารถพัฒนาได้แล้วก็ชื่นชมตัวเองได้อือ
00:21:45 → 00:21:46 พวกเนี้มันจะทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนผ่อน
00:21:46 → 00:21:49 คลายมากขึ้นค่ะนะครับบางทีเราอาจจะต้อง
00:21:49 → 00:21:50 ฟังประสบการณ์คนอื่นเหมือนกันที่เขาอาจจะ
00:21:50 → 00:21:53 เคยผ่านการสงสัยในตัวเองแล้วเก้าวข้ามมา
00:21:53 → 00:21:56 ได้ว่าเ้ารับมือยังไงบางทีสิ่งพวกนี้มัน
00:21:56 → 00:21:58 ก็จะช่วยให้เราแบบได้รับได้ซึมซับวิธีคิด
00:21:58 → 00:22:01 มาอืนะครับต่อไปคือเราต้องเท่าทันครับรู้
00:22:01 → 00:22:04 เท่าทันความคิดลบของตัวเองค่ะะบางทีต้อง
00:22:04 → 00:22:06 เห็นมันจนกระทั่งรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์
00:22:06 → 00:22:08 อะไรเลยอ่ะอือย่างเงี้ยครับแล้วก็อาจจะ
00:22:08 → 00:22:10 ต้องฝึกขอบคุณชื่นชมตัวเองบ้างนะครับเล็ก
00:22:10 → 00:22:13 ๆน้อยๆนะครับต้อนรับต้อนรับการชมตัวเอง
00:22:14 → 00:22:15 ไว้บ้างนะครับแต่ยังต้องถ่อมตัวเหมือนที่
00:22:16 → 00:22:18 ผมบอกว่าเฮ้ยเราจะไม่ได้ทะนงตัวนะอือฮึ
00:22:18 → 00:22:20 อ่าแล้วก็อีกอย่างนึงครับก็คือว่าความ
00:22:20 → 00:22:23 มั่นใจในตัวเองมันจะเกิดขึ้นจากการเห็นผล
00:22:23 → 00:22:26 งานที่เราสร้างเพราะฉะนั้นถ้าเราแบบสงสัย
00:22:26 → 00:22:28 ในตัวเองเราไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมาเลยครับ
00:22:28 → 00:22:30 เราจะไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าเราเป็น
00:22:30 → 00:22:33 คนมีความสามารถอืเพราะฉะนั้นเราจะเลี้ยง
00:22:33 → 00:22:35 ตัวเองหรือดองตัวเองไว้ในจุดที่ไม่ทำอะไร
00:22:35 → 00:22:37 เลยไม่ได้ครับเราจะต้องคล้ายๆทำอะไรบาง
00:22:37 → 00:22:41 สิ่งแล้วเห็นเห็นผลงานที่เกิดขึ้นจากสิ่ง
00:22:41 → 00:22:43 ที่เราทำนั่นแหละจะเป็นจุดที่ยืนยันว่า
00:22:43 → 00:22:46 เรามีความสามารถนะครับในขณะที่เรากำลังทำ
00:22:46 → 00:22:49 ก็ต้องระมัดระวังการกดดันตัวเองไปด้วยบาง
00:22:49 → 00:22:51 ทีเราหวังความสมบูรณ์อย่างเงี้ยครับสหวัง
00:22:51 → 00:22:53 ให้มันเนียบตรงนี้มันจะยิ่งทำให้เราไม่
00:22:53 → 00:22:55 สามารถมองเห็นสิ่งดีงามที่เราทำได้ค่ะ
00:22:56 → 00:22:58 เหมนที่ผมบอกเนาะการสงสัยตัวเองมักจะ
00:22:58 → 00:23:01 โฟกัสในที่ในในสิ่งที่เราไม่มีอืนะครับ
00:23:01 → 00:23:03 แต่การชื่นชมตัวเองหรือภูมิใจตัวเองมันจะ
00:23:03 → 00:23:06 เป็นการโฟกัสสิ่งที่เรามีอืประโยคเนี้ย
00:23:06 → 00:23:10 เอ่อมีเพื่อนเคยพูดเหมือนกันนะคะอาจจะ
00:23:10 → 00:23:14 เห็นว่าเราค่อนข้างจะเครียดหนักอยู่ใน
00:23:14 → 00:23:19 ระยะเวลาหนึเค้าก็บอกว่าให้หัดใจดีกับตัว
00:23:19 → 00:23:22 เองบ้างอ่าใช่ครับเออให้อภัยตัวเองบ้าง
00:23:22 → 00:23:24 เออไม่เป็นไรบ้างใช่ๆเพราะว่าเราอาจเรา
00:23:24 → 00:23:28 อ่ะความอึมครึมของชีวิตในช่วงนั้นเนี่ย
00:23:28 → 00:23:30 แน่นอนว่าทุกคนจะคิดอะไรไม่ออกหรอกใช่
00:23:30 → 00:23:33 ครับจนกระทั่งแบบต้องมีคนมาบอกอ่ะเออแล้ว
00:23:33 → 00:23:35 บางทีเราจับจ้องกับเรื่องแย่มากเกินไปเออ
00:23:35 → 00:23:37 เฮ้ยมันต้องใจดีกับตัวเองบ้างนะเราเรา
00:23:37 → 00:23:39 ร้ายกับตัวเองอ่ะท็อกซิกกับตัวเองอยู่ใน
00:23:39 → 00:23:43 ภายในวนอยู่อย่างเงี้ยเนาะเออเพราะงั้นก็
00:23:43 → 00:23:46 ต้องลองปรับเปลี่ยนดูนะใช่ครับใช่สุดท้าย
00:23:46 → 00:23:47 ก็เหมือนที่พี่ลีพูดอครับว่าเราต้องใจดี
00:23:48 → 00:23:50 กับตัวเองบางครั้งก็ต้องบอกตัวเองว่าเฮ้ย
00:23:50 → 00:23:52 เราก็คนธรรมดาไม่เป็นไรมันผิดพลาดได้ไม่
00:23:52 → 00:23:54 ได้สมบูรณ์แต่อย่าบ่อยก็ได้นะอย่าไม่ต้อง
00:23:54 → 00:23:57 บ่อยไม่ต้องบ่อยแต่แค่แต่แค่มันมีจุดผ่อน
00:23:57 → 00:23:59 ปนให้ตัวตัวเองครับเนี่ยแล้วทั้งหมดทั้ง
00:23:59 → 00:24:01 มวลเครับหลังจากที่เราเข้าใจไอ้เรื่องว่า
00:24:01 → 00:24:03 เอ๊ะเราสงสัยตัวเองจากอะไรอย่างเงี้ยฮะ
00:24:03 → 00:24:05 ตรงนี้ปลายทางก็คือจุดที่เราจะสามารถออก
00:24:05 → 00:24:08 มาจากการสงสในตัวเองได้แต่สิ่งพวกนี้ถ้า
00:24:08 → 00:24:10 เราสามารถทำอยู่บ่อยๆอครับเรื่องการพัฒนา
00:24:10 → 00:24:11 การเห็นคุณค่าตัวเองเราก็จะกลายเป็นคนที่
00:24:11 → 00:24:13 มีความสุขในชีวิตแต่ละวันได้มากขึ้นครับ
00:24:13 → 00:24:18 อืแต่ถ้าเกิดว่าเรายังไม่สามารถที่จะอาลั
00:24:18 → 00:24:20 ด้วยตัวเองได้หรือเราก็ยังรู้สึกว่ามันก็
00:24:20 → 00:24:23 ยังมีความสงสัยในตัวเองอยู่อย่างเงี้ย
00:24:23 → 00:24:26 จำเป็นมั้ยเอาาแหละคุยกันจิตแพทย์เลยมัน
00:24:26 → 00:24:28 ร้ายแรงขนาดนั้นมั้ยหรือว่าคุยกนัก
00:24:28 → 00:24:31 จิตวิยาดีดีกว่าบางทีบางทีมันมีจากปมใน
00:24:31 → 00:24:33 อดีตจากจุดที่เรามองไม่เห็นรู้ไม่ทันบาง
00:24:33 → 00:24:36 ทีการคุยกับนักจิตวิทยานักจิตวิทยาเงี้ย
00:24:36 → 00:24:37 ครับจะทำให้ประเด็นพวกเยมันปรากฏขึ้นมา
00:24:37 → 00:24:39 แล้วทำให้เรารู้ตัวเท่าทันมากขึ้นครับอัน
00:24:39 → 00:24:41 นี้แค่นักจิตวิทยาก็พอไม่ถึงต้องถึงกับ
00:24:41 → 00:24:43 จิตแพทย์ใช่มั้ยจิตแพทย์ก็ได้ครับแล้วแต่
00:24:43 → 00:24:45 สามารถเข้าถึงได้แต่ว่านักจิตวิทยาเนี่ย
00:24:45 → 00:24:48 จะจะได้ทำงานคลุกคลีกับการพูดคุยเพื่อให้
00:24:48 → 00:24:50 เข้าถึงโจทย์พวกเนี้ยได้มากกว่าแกะปมออก
00:24:50 → 00:24:52 ใช่ค่ะเพราะจิตแพทย์จะค่อนข้างทำงานไปกับ
00:24:52 → 00:24:55 เรื่องโรคเรื่องการจ่ายยาแล้วก็คุณหมออาจ
00:24:55 → 00:24:57 จะไม่ได้มีช่วงเวลาในการรับฟังยาวเท่า
00:24:57 → 00:24:59 ไหร่แต่ว่านักจิตวิทยาเนี่ยจะอยู่กับเรา
00:24:59 → 00:25:01 ค่อนข้างนานเพกระบวนการมันยาวครับเธอคือ
00:25:01 → 00:25:05 ครอบครัวของเราคนหนึ่งครับผมอ่านี้ก็เป็น
00:25:05 → 00:25:08 เรื่องของการที่เราจะเอ่อจากสงสัยในตัว
00:25:08 → 00:25:11 เองไปสู่การเชื่อมั่นในตัวเองได้ยังไงนะ
00:25:11 → 00:25:14 คะก็จริงๆมันอยู่ที่พื้นฐานและไม่ยากแต่
00:25:14 → 00:25:17 ถ้าเกิดเรายังแกะตัวเองไม่ออกเชิญนัก
00:25:17 → 00:25:21 จิตวิยาครับผมยินดีต้อนรับครับค่ะอ้าวัน
00:25:21 → 00:25:23 นี้หมดเวลาแล้วนะคะขอบคุณคุณเอิ้นค่ะ
00:25:23 → 00:25:26 สวัสดีค่ะหมดเวลาแล้วค่ะพบกันใหม่ครั้ง
00:25:26 → 00:25:28 หน้ากับรายการโรงหมอทางไย PBS podcast
00:25:28 → 00:25:31 ค่ะวันนี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ This Is Toy
00:25:31 → 00:25:34 PBS podcast สิ่งที่เราจะได้จากการกิน
00:25:34 → 00:25:37 ผักมีอะไรบ้างมีสารสำคัญอะไรแต่ละวันควร
00:25:38 → 00:25:40 กินเท่าไหร่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดรเอกราช
00:25:40 → 00:25:42 บำรุงพืชผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ
00:25:42 → 00:25:46 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตมาเล่าให้ฟังครับ
00:25:46 → 00:25:49 ถามว่าเอ้ยทำไมการกินผักถึงมีความสำคัญ
00:25:49 → 00:25:53 เนาะเราเคยได้ยินแคมเปญรณรงค์ของสสสนะ
00:25:53 → 00:25:56 กระทรวงสาธารณสุขหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
00:25:56 → 00:25:59 ด้านสุขภาพต่างๆเขาก็จะบอกเลยว่าเอ้ยผัก
00:25:59 → 00:26:01 ครึ่งนึงอย่างอื่นครึ่งนึงถามว่าอ้าทำไม
00:26:01 → 00:26:03 ต้องผักครึ่งนึงอย่างอื่นครึ่งนึงนะเพราะ
00:26:04 → 00:26:08 ว่าในผักเนี่ยมันมีสารอาหารนะแล้วสารที่
00:26:09 → 00:26:11 ให้ประโยชน์กับร่างกายเนี่ยโอ้โหเยอะแยะ
00:26:11 → 00:26:14 มากมายเลยนะครับหลักๆเลยเนี่ยก็คือกลุ่ม
00:26:14 → 00:26:18 ของใยอาหารหรือที่เราชอบเรียกว่าไฟเบอร์
00:26:18 → 00:26:21 ไฟเบอร์อันนี้ก็พบได้ในผักพูดโดยภาพรวม
00:26:21 → 00:26:24 ว่าเฮ้ยผักเนี่ยมันเป็นแหล่งของใยอาหารนะ
00:26:24 → 00:26:26 เป็นแหล่งของไฟเบอร์นะอ่าแล้วก็เป็นแหล่ง
00:26:26 → 00:26:32 ของพวกวิินแร่ธาตุแล้วก็สารพฤกษเคมีอ่า
00:26:32 → 00:26:35 ที่เราเห็นสารสีต่างๆสีเขียวสีส้มสีแดง
00:26:35 → 00:26:39 ถูกต้องสีเขียวมีโคโลฟิลสีส้มมีพวกรูทีน
00:26:39 → 00:26:43 ซีแซนทีนเบต้าแีนสีแดงมีไลโคปีนสีม่วงมี
00:26:43 → 00:26:45 แอนโทไซยานินอะไรโอโหเยอะแยะมากมายเลย
00:26:46 → 00:26:49 เห็นมั้ยครับอแล้วผักเนี่ยจึงแนะนำไงครับ
00:26:49 → 00:26:52 ว่าโให้กินให้หลักหลักสีนะแล้วก็เพียงพอ
00:26:52 → 00:26:56 ถ้าปริมาณผักและผลไม้นะแนะนำเนี่ย 7 วัน
00:26:56 → 00:26:59 เนี้ยสัปดาหนึงเนี่ยนะคือเราต้องกินทุกๆ
00:26:59 → 00:27:02 วันอยู่แล้วนะครับโดย 1 วันเนี่ยแนะนำให้
00:27:02 → 00:27:05 กินผักผลไม้เนี่ยอย่างน้อย 400 กรัมต่อ
00:27:05 → 00:27:08 วันเาจะแนะนำเลยมื้อละ 2 ทับพีอ่านัก
00:27:09 → 00:27:11 โภชนาการนักกำหนดอาหารแนะนำเลยครับว่าผัก
00:27:11 → 00:27:14 เนี่ยต้องกินมื้อละ 2 ทับพีเพื่อให้เพียง
00:27:14 → 00:27:18 พอนะครับแล้วยิ่งได้หลากสีต่างๆเนี่ยยิ่ง
00:27:18 → 00:27:19 มีประโยชน์
00:27:19 → 00:27:21 [เพลง]
00:27:21 → 00:27:25 เลย This Is Toy PBS
00:27:25 → 00:27:29 podcast ติดตามการทางเว็บไซต์และ
00:27:29 → 00:27:32 Application ของ thi PBS podcast
00:27:32 → 00:27:34 spotify sth Cloud Google podcast
00:27:34 → 00:27:37 Apple podcast และ YouTube Channel
00:27:37 → 00:27:41 Thai PBS podcast Thai PBS podcast
00:27:41 → 00:27:44 View the world via The
00:27:44 → 00:27:53 [เพลง]
00:27:53 → 00:27:56 Voice