00:00:00 → 00:00:03 This is Thai PBS podcast. Ve the
00:00:03 → 00:00:06 world by the voice
00:00:06 → 00:00:08 ความกดดันมันมีทั้งกดดันจากภายในและภาย
00:00:08 → 00:00:11 นอกเนาะถ้าภายในก็คือมาจากที่ตัวเองมอง
00:00:11 → 00:00:13 ตัวเองแล้วก็กดดันตัวเองแต่ถ้าจากภายนอก
00:00:13 → 00:00:16 คือสถานการณ์แวดล้อมมันบีบบังคับให้เรา
00:00:16 → 00:00:19 รู้สึกวิตกกังวลบางอย่างและอยากจะหลุดออก
00:00:19 → 00:00:21 จากความกังวลนั้นมันก็เลยเป็นแรงกดดันที่
00:00:21 → 00:00:23 อยากจะแบบรับมือกับสิ่งที่มันกระแทกมาจาก
00:00:23 → 00:00:25 ข้างนอกคือถ้าวิ่งตามความคาดหวังคนนะครับ
00:00:25 → 00:00:27 จุดสิ้นสุดไม่มีจริงสุดท้ายจุดสิ้นสุดที่
00:00:27 → 00:00:29 แท้จริงต้องอยู่กับความเป็นจริงอ่ะครับ
00:00:29 → 00:00:32 ว่าสุดท้ายลิมิตมันเท่านี้ทีนี้คนที่ต้อง
00:00:32 → 00:00:34 เรียนรู้จะมีทั้ง 2 ฝ่ายค่ะฝ่ายแรกก็คือ
00:00:34 → 00:00:37 ฝั่งเราที่รู้แหละว่ามีแรงกดดันจากภายนอก
00:00:37 → 00:00:40 ที่คาดหวังแต่สำคัญคือเราบ้าจี้ด้วยมั้ย
00:00:40 → 00:00:41 สำคัญคืออย่าให้ชีวิตพังอ่ะครับอย่าให้
00:00:41 → 00:00:43 เราไปกลายเป็นคนตายคาโต๊ะแล้วก็อย่าให้
00:00:43 → 00:00:46 แบบชีวิตพังแบบไม่เหลืออะไรอ่ะ
00:00:46 → 00:00:50 ฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคภัยฟังราย
00:00:50 → 00:00:53 การโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงษ์สถิตพรค่ะ
00:00:53 → 00:00:57 This is Thai PBS Podcast มาค่ะคุณ
00:00:57 → 00:00:59 ผู้ฟังรายการของเราในวันนี้เราจะคุยกัน
00:00:59 → 00:01:02 ถึงเรื่องของภาวะความกดดันค่ะถ้าเกิดว่า
00:01:02 → 00:01:04 เราต้องทำอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ในภาวะความ
00:01:04 → 00:01:08 กดดันวงเล็บอย่างหนักเอ๊ะจะทำยังไงดีคุย
00:01:08 → 00:01:10 กับดร.สุวุฒิวงธานสวัสดิ์นักจิตวิทยาการ
00:01:11 → 00:01:13 ปรึกษาค่ะสวัสดีค่ะคุณเอิญครับสวัสดีครับ
00:01:13 → 00:01:14 คุณลีสวัสดีครับคุณผู้ฟังคือเรื่องของ
00:01:15 → 00:01:17 ความกดดันของแต่ละคนเนี่ยมันก็ค่อนข้าง
00:01:17 → 00:01:20 หลากหลายรูปแบบที่เจอกันเนาะทีนี้ถ้าเกิด
00:01:20 → 00:01:23 ว่าเราต้องอยู่ในภาวะความกดดันเอาเป็นไล่
00:01:23 → 00:01:26 ทีละสเต็ปดีมั้ว่าตัวเองกดดันตัวเองเพราะ
00:01:26 → 00:01:29 ว่าเชื่อว่ามีคนที่เป็นแบบนี้เหมือนกันนะ
00:01:29 → 00:01:32 อือความที่อยากจะให้ทุกอย่างมันดีอือไม่
00:01:32 → 00:01:35 ว่าจะงานครอบครัวชีวิตส่วนตัวหรืออะไรก็
00:01:35 → 00:01:38 แล้วแต่เนี่ยเลยกลายเป็นความกดดันกับตัว
00:01:38 → 00:01:40 เองอย่างหนึ่งทีนี้เราจะทำยังไงรับมือยัง
00:01:40 → 00:01:43 ไงอ่าใช่ครับความกดดันมันมีทั้งกดดันจาก
00:01:43 → 00:01:45 ภายในและภายนอกเนาะถ้าภายในก็คือมาจากที่
00:01:46 → 00:01:48 ตัวเองมองตัวเองแล้วก็กดดันตัวเองแต่ถ้า
00:01:48 → 00:01:50 จากภายนอกคือสถานการณ์แวดล้อมมันบีบ
00:01:50 → 00:01:53 บังคับอือฮึให้เรารู้สึกวิตกกังวลบาง
00:01:53 → 00:01:56 อย่างและอยากจะหลุดออกจากความกังวลนั้น
00:01:56 → 00:01:58 มันก็เลยเป็นแรงกดดันที่อยากจะแบบรับมือ
00:01:58 → 00:02:00 กับสิ่งที่มันกระแทกมาจากข้างนอกค่ะที
00:02:00 → 00:02:02 เนี้ยอย่างที่พี่รีพูดว่าแรงกดดันจากข้าง
00:02:02 → 00:02:04 ในอย่างเงี้ยครับหรือจากภายในบางทีมัน
00:02:04 → 00:02:07 เป็นเรื่องของความคาดหวังกับตัวเองอืบาง
00:02:07 → 00:02:09 ทีความคาดหวังกับตัวตัวเองเนี่ยจะมีอยู่ 2
00:02:09 → 00:02:12 แบบถ้าแบบแบ่งเป็นแบบง่ายๆแบบแรกคือคาด
00:02:12 → 00:02:17 หวังที่ตัวเองจะชอบตัวเองนับถือตัวเองว่า
00:02:17 → 00:02:19 เฮ้ยพอมองตัวเองแล้วเป็นคนที่เราเก่งว่ะ
00:02:19 → 00:02:21 สามารถทำงานชิ้นนี้ได้สำเร็จเราสามารถแบบ
00:02:21 → 00:02:25 มีเงินก้อนนี้ได้ในเวลาเท่านี้เราสามารถ
00:02:25 → 00:02:27 มีวัตถุสมบัติมีตำแหน่งหน้าที่การงานได้
00:02:27 → 00:02:29 เท่านี้เท่านี้แล้วมันรู้สึกว่าเราเป็นคน
00:02:29 → 00:02:32 ที่สำเร็จ success เป็นความภูมิใจที่เกิด
00:02:32 → 00:02:34 ขึ้นเป็นความภูมิใจบางทีพวกเนี้ยเป็นความ
00:02:34 → 00:02:37 คาดหวังกับตัวเองตัวเองกับตัวเองโดยตรง
00:02:37 → 00:02:40 แต่แน่นอนมันต้องมีการให้คุณค่าก่อนว่า
00:02:40 → 00:02:42 บุคคลในอุดมคติที่เราคิดว่านี่แหละมันคือ
00:02:42 → 00:02:46 หน้าตาของคนสำเร็จเป็นยังไงอือ่าแล้วเรา
00:02:46 → 00:02:48 ก็พยายามจะเป็นสิ่งนั้นเราก็เลยกดดันคาด
00:02:48 → 00:02:51 คั้นกับตัวเองว่าอยากเป็นอย่างนั้นน่ะคือ
00:02:51 → 00:02:55 เดี๋ยวนี้ดูจากในไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนี้
00:02:55 → 00:02:59 เนาะที่แบบว่าอฉันก็อาจจะอวดร่ำอวดรวยอวด
00:02:59 → 00:03:01 นู่นนี่นั่นอะไรอย่างเงี้ยแล้วก็เออฉัน
00:03:01 → 00:03:03 ประสบความสำเร็จนะอะไรเงี้ยแต่ส่วนใหญ่คน
00:03:04 → 00:03:06 ก็จะมองในปลายทางมากกว่าแต่ระหว่างทางที่
00:03:06 → 00:03:09 เค้าเดินมาอาจจะไม่เห็นว่าเกิดลมลุกคลุก
00:03:09 → 00:03:11 คลานหรืออะไรก็ว่ากันไปหรืออาจจะเป็นแบบ
00:03:11 → 00:03:13 เงินที่แบบไปเช่าเมาวางว้าอาจจะเป็นรถคน
00:03:13 → 00:03:15 อื่นบ้านคนอื่นเป็นพอไปถ่ายรูปอะไรอย่าง
00:03:15 → 00:03:16 งี้ใช่มั้เหมือนที่เราได้ยินตามข่าวอ่ะ
00:03:16 → 00:03:19 ครับไม่ใช่ของเแต่เ้าเอาคนอื่นเป็นพอของ
00:03:19 → 00:03:21 คนอื่นเป็นพอเออนี่มันคือเรื่องจริงของ
00:03:21 → 00:03:24 ยุคนี้เนาะเออมันก็เลยปั่นปั่นกันไปเอง
00:03:24 → 00:03:26 กันหมดเลยอ่ะก็เลยกลายเป็นความกดดันซะ
00:03:26 → 00:03:29 อย่างนั้นว่าเอ้ยฉันต้องเนี่ยหรือบางทีไป
00:03:29 → 00:03:32 อ่ะคุณเอิ้ลเป็นมั้ยไปเจอเพื่อนเลี้ยง
00:03:32 → 00:03:36 รุ่นทำอะไรอยู่กับเธอเหอะอ่าตอนนี้มีบ้าง
00:03:36 → 00:03:39 ครับมีบ้างเออจะเป็นความกดดันได้มั้ยไม่
00:03:39 → 00:03:42 ค่อยกดดันใช้คำนี้แล้วกันอาจจะเคยกดดันใน
00:03:42 → 00:03:44 ช่วงเมื่อก่อนเพราะเมื่อก่อนนะครับผม
00:03:44 → 00:03:46 เรียนอย่างเดียวยังไม่ทำงานอ่าฮในขณะที่
00:03:46 → 00:03:48 เพื่อนทุกคนทำงานแล้วอ่ะมีเงินเดือนแล้ว
00:03:48 → 00:03:50 ทำงานล่วงหน้าเราไป 6-7 ปีแล้วอย่างเงี้ย
00:03:50 → 00:03:51 ครับแต่เราเรียนตีโทรเอกเพราะงั้นเรายัง
00:03:51 → 00:03:53 เป็นเด็กน้อยที่แบบของแม่ใช้อยู่เลยใช่
00:03:54 → 00:03:56 ฉันยังเรียนอยู่นะเออใช่ครับแต่คนอื่นอาจ
00:03:56 → 00:03:58 จะมองว่าเฮ้ยเราก็เรียนอยู่ไงมันก็เป็นคน
00:03:58 → 00:04:00 ที่แบบมีการปรึกษาสูงขึ้นมันก็ถือเป็น
00:04:00 → 00:04:02 ภารกิจอย่างหนึ่งแต่ตัวเราเนี่ยเรารู้สึก
00:04:02 → 00:04:04 เฉยๆกับการเรียนแต่เรากลับมองว่าเรากำลัง
00:04:05 → 00:04:06 โหยหาการรู้สึกได้เป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งตัว
00:04:06 → 00:04:09 เองได้อืเพราะงั้นต่อให้เราเรียนสูงแต่
00:04:09 → 00:04:11 การเรียนไม่จบมันก็ยังไม่ได้บรรลุมิชชั่น
00:04:11 → 00:04:14 ของการเป็นผู้ใหญ่ก็คือกดดันตัวเองโดยแบบ
00:04:14 → 00:04:16 อาจจะไม่ทันได้รู้ตัวอึดอัดตัวเองมากก็
00:04:16 → 00:04:19 แบบโอ้เมื่อไหร่เราจะแบบจะจบซักทีเออจะจบ
00:04:19 → 00:04:22 จะมีเงินใช้เป็นตัวเองใช้ตัวเองแบบไม่
00:04:22 → 00:04:24 ต้องขอใครซักทีอะไรอย่างเงี้ยมันก็จะเป็น
00:04:24 → 00:04:26 ความกดดันตัวเองอือหรือบางคนอาจจะเป็น
00:04:26 → 00:04:29 ความกดดันไม่อยากล้มเหลวก็มีอแบบเฮ้ยไม่
00:04:29 → 00:04:31 อยากสมมุติไม่อยากหย่าล้างออไม่อยากเป็น
00:04:32 → 00:04:34 คนโสดที่แบบไม่มีใครจีบอ่ะสมมุติเป็นต้น
00:04:34 → 00:04:38 หรืออาจจะไม่อยากเป็นคนที่แบบตกงานอย่าง
00:04:38 → 00:04:40 เงี้ยครับบางทีพวกเนี้ยมันเป็นคอนเซปต
00:04:40 → 00:04:42 เนาะคอนเซปเป็นอุดมคติอเป็นมาตรฐานบาง
00:04:43 → 00:04:46 อย่างที่เราคาดหวังกับตัวเองอืว่าคนที่ดี
00:04:46 → 00:04:48 เป็นแบบคนที่โอเคเป็นแบบนี้คนที่ไม่ล้ม
00:04:48 → 00:04:51 เหลวเป็นแบบนี้อืฉันอยากเป็นคนที่ทั้งไม่
00:04:51 → 00:04:53 ล้มเหลวและเป็นคนที่สำเร็จด้วยค่ะเป็น
00:04:53 → 00:04:55 ความกดดันกับตัวเองออแต่มันจะมีอีกอย่าง
00:04:55 → 00:05:00 นึงครับก็คือเราอยากจะเอาใจคนอื่นเช่นพ่อ
00:05:00 → 00:05:02 แม่เราอาจจะแบบคาดหวังว่าเฮ้ยถ้าลูกมี
00:05:02 → 00:05:05 ตำแหน่งหน้าที่เป็นเจ้าคนนายคนแล้วเาจะ
00:05:05 → 00:05:08 รู้สึกภูมิใจหรืออาจจะเอาไปอวดชาวบ้าน
00:05:08 → 00:05:12 โอ้โหเออเป็นต้นแล้วตัวเราก็เป็นคนแบบที่
00:05:12 → 00:05:14 แคร์คำพูดหรือแคร์ความรู้สึกพ่อแม่มาก
00:05:15 → 00:05:17 อยากให้เขาถูกใจเอออยากให้เค้าภูมิใจใน
00:05:17 → 00:05:19 ตัวเราด้วยแหละเอใช่เราก็เลยมากดดันตัว
00:05:19 → 00:05:22 เองว่าเราจะต้องทำสิ่งนี้ให้สำเร็จนะและ
00:05:22 → 00:05:25 ถ้าเราทำสิ่งนี้สำเร็จแล้วพ่อแม่ถึงจะได้
00:05:25 → 00:05:27 เอาไปโม้ได้แล้วเจะภูมิใจอืแล้วเราถึง
00:05:27 → 00:05:30 ค่อยภูมิใจกับตัวเองอีกทีนึงเหมือนได้รับ
00:05:30 → 00:05:33 การยอมรับแล้วก็ได้รับความรักออืจากเค้า
00:05:33 → 00:05:35 มากขึ้นในความที่แบบเก็ยินดีปรีดาในความ
00:05:35 → 00:05:37 สำเร็จของเราอะไรอย่าเงี้ยใช่แล้วเราถึง
00:05:37 → 00:05:39 จะค่อยแบบรู้สึกชื่นชมตัวเองอมันเลยมัน
00:05:39 → 00:05:42 เลยไม่ใช่การกดดันจากตัวเองโดยตรงอย่าง
00:05:42 → 00:05:44 เช่นตะเกียที่เราคุยกันอันโหมดแรกโหมดแรก
00:05:44 → 00:05:47 คือเรามีอุดมคติบางอย่างแล้วเราอยากเป็น
00:05:47 → 00:05:50 สิ่งนั้นเราก็เลยกดดันตัวเองโดยตรงฉันจะ
00:05:50 → 00:05:53 ต้องเป็นสิ่งนั้นให้ได้กับอีกอันนึงมันมี
00:05:53 → 00:05:55 ตัวละครเพิ่มและอืคือตัวละครที่เป็นพ่อ
00:05:55 → 00:05:58 แม่เป็นเพื่อนเป็นอะไรก็แล้วแต่ที่เรา
00:05:58 → 00:06:01 อยากจะเอาใจเค้าเราก็เลยน้อมรับมิชชั่น
00:06:02 → 00:06:05 นั้นมาอือืโดยที่มิชั่นไม่ใช่จากเรานะเรา
00:06:05 → 00:06:07 อาจจะไม่ได้ต้องการเองแต่มีใครบางคน
00:06:07 → 00:06:10 ต้องการและเราให้ความสำคัญกับเาเราเลย
00:06:10 → 00:06:11 พยายามจะทำสิ่งนั้นเพื่อให้คนๆนั้นน่ะถูก
00:06:12 → 00:06:15 ใจอืเราก็เลยมากดดันตัวเองอันนี้ก็เป็น
00:06:15 → 00:06:18 การกดดันจากภายในเหมือนกันมันมีปัจจัยทำ
00:06:18 → 00:06:20 ให้กดดันไงใช่ครับเพราะว่าถ้าเกิดไม่มี
00:06:20 → 00:06:23 อะไรเราก็คงจะเฉยๆไปชิลๆไปอะไรอย่างงี้
00:06:23 → 00:06:26 มากกว่ามั้งอือๆหรือว่าอาจจะแบบเห็นคน
00:06:26 → 00:06:29 อื่นแล้วเออเฮ้ยๆฉันช้าไม่ได้ละอืรู้สึก
00:06:29 → 00:06:31 ว่าแบบอ่าบางทีพวกนี้อาจจะเป็นปัจจัยภาย
00:06:31 → 00:06:33 นอกด้วยก็ได้ครับเช่นอืออือเอ่อบางทีต้อง
00:06:33 → 00:06:36 บอกว่าพอพูดถึงปัจจัยภายนอกแรงกดดันจาก
00:06:36 → 00:06:38 ภายนอกเนี่ยมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รวม
00:06:38 → 00:06:41 กลุ่มอ่ะสมมุติถ้าเราพูดถึงเผ่าพันธุ์
00:06:41 → 00:06:43 อื่นบ้างเช่นกระทิงอ่าช้างอ่ะรวมฝูงอย่าง
00:06:43 → 00:06:47 เงี้ยฮะรวมฝูงอ่าเอ่อตัวไหนก็ตามที่หลุด
00:06:47 → 00:06:50 ออกจากฝูงมีแนวโน้มจะเสียชีวิตหรือถูก
00:06:50 → 00:06:53 เขมือบอ่าไม่รอดจากผู้ล่าอืเพราะงั้นการ
00:06:53 → 00:06:55 รวมกลุ่มเลยสำคัญบางทีมนุษย์น่ะครับก็ยัง
00:06:55 → 00:06:58 คงติดกับสันทตญาณนั้นโดยการที่เช็คว่าตัว
00:06:58 → 00:07:00 เองอ่ะอยู่ตรงไหนเมื่อเทียบกับกลุ่มใหญ่
00:07:00 → 00:07:03 อ่อลำดับอยู่ตรงไหนนี่เนี่ยใช่ถ้าฉันอยู่
00:07:03 → 00:07:06 กลางๆกลุ่มอยู่ต้นๆกลุ่มหรืออยู่ในแกน
00:07:06 → 00:07:08 กลางของกลุ่มได้มากเท่าไหร่ฉันยิ่งรู้สึก
00:07:08 → 00:07:11 ปลอดภัยมากเท่านั้นอนั่นหมายความว่าตัว
00:07:11 → 00:07:13 ฉันไม่รู้หรอกว่าต้องใช้เครื่องมือหรือ
00:07:13 → 00:07:15 ต้องมีอะไรเท่าไหร่เพื่อให้ใช้ชีวิตรอด
00:07:15 → 00:07:17 แต่ถ้าคนหมู่มากมันมีประมาณนี้แล้วมันรอด
00:07:17 → 00:07:20 แล้วฉันก็อยู่แถวๆนั้นฉันก็คงจะรอดเหมือน
00:07:20 → 00:07:22 กันถึงแม้จะอยู่ปลายๆแถวตรงนั้นแล้วแต่
00:07:22 → 00:07:25 แต่ถ้ายังกอกลุ่มอยู่ก็ยังรู้สึกว่าฉัน
00:07:25 → 00:07:27 ยังรอดอันนี้เป็นเรื่องสัญชาตญาณแต่สุด
00:07:27 → 00:07:28 ท้ายบางทีคนเรามันไม่รู้หรอกครับว่าต้อง
00:07:28 → 00:07:31 ใช้เท่าไหร่มันก็ต้องประเมินเอาเองว่าเรา
00:07:31 → 00:07:33 ต้องมีรายรับเท่าไหร่เรามีค่าใช้จ่ายเท่า
00:07:33 → 00:07:35 ไหร่และในการจะอยู่ในโลกนี้เราจะต้องมี
00:07:35 → 00:07:38 อะไรบ้างเพื่อให้เราใช้ชีวิตได้ดีแต่ถ้า
00:07:38 → 00:07:40 เราเกิดไปคลุกคลีอยู่กับสังคมที่แบบระดับ
00:07:40 → 00:07:43 สูงเยอะๆเงินเยอะๆบางทีมันจะกลายเป็นความ
00:07:43 → 00:07:46 ไม่รู้จักพออ่ะมันต้องขึ้นไปอีกขึ้นไปอีก
00:07:46 → 00:07:47 แล้วมันจะกลายเป็นความกดดันที่แบบเหมือน
00:07:47 → 00:07:49 ถูกปั่นว่าฉันต้องมีอันนั้นนะฉันถึงจะ
00:07:49 → 00:07:53 เป็นคนที่โอเคมันอยู่ที่เราวางเป้าหมาย
00:07:53 → 00:07:55 ด้วยมยเป้าหมายก็ส่วนนึงครับกับอีกอันนึง
00:07:55 → 00:07:58 คือในชีวิตจริงต้องใช้อะไรบ้างอืในชีวิต
00:07:58 → 00:08:00 จริงอะไรคือเพียงสิ่งที่เพียงพอแล้วที่
00:08:00 → 00:08:03 เราจะอยู่ได้อย่างมีความสุขเพียงพอที่จะ
00:08:03 → 00:08:05 ให้มีความสุขกลับแบบต้องระดับนู้นเท่า
00:08:05 → 00:08:07 นั้นนะถึงจะมีความสุขอ่ะแต่ว่าจุดของแต่
00:08:07 → 00:08:10 ละคนกับคุณผู้ฟังก็อาจจะไม่เท่ากันไม่
00:08:10 → 00:08:12 เท่ากันเรื่องนี้ก็ต้องเช็คของแต่ละคนไป
00:08:12 → 00:08:15 เลยอ่ะครับว่าแต่ละคนแบบให้คุณค่ากับอะไร
00:08:15 → 00:08:18 ให้ความสำคัญกับอะไรเรากำลังอยู่ในสภาพ
00:08:18 → 00:08:22 สังคมแบบไหนอืเออแบบนี้เราก็น่าเขียนดูนะ
00:08:22 → 00:08:27 ว่าเราต้องการอะไรอืแล้วก็อ่าสิ่งที่เรา
00:08:27 → 00:08:31 กำลังเจออยู่มันมีความรู้สึกอะไรยังไงใช่
00:08:31 → 00:08:35 ครับว่าเรากดดันมากเกินไปเปล่าเราตัวเรา
00:08:35 → 00:08:38 เองอ่ะอันดับแรกใช้คำว่าบ้าจี้อ่ะผมผมชอบ
00:08:38 → 00:08:40 ใช้คำว่าบ้าจี้มากคือแบบมันไม่ใช่สิ่งที่
00:08:40 → 00:08:43 เราต้องการน่ะแต่แต่เราแบบไปได้รับข้อมูล
00:08:43 → 00:08:45 ตรงนั้นตรงนี้มาใส่ใจตรงนั้นตรงนี้มาแล้ว
00:08:45 → 00:08:48 ก็เฮ้ยต้องมีบ้างป่าวะเฮ้ยต้องทำป่าวะ
00:08:48 → 00:08:50 เฮ้ยถ้าไม่ทำอันนี้มันจะไม่ดีป่ะนะอย่าง
00:08:50 → 00:08:53 เงี้ยฮะอืมันก็เลยบ้าจี้อ่ะเออหรือว่าบาง
00:08:53 → 00:08:55 คนอาจจะมองว่าเอ้ยฉันต้องมีเงินล้านฉัน
00:08:55 → 00:08:58 ถึงจะมีความสุขพอไปแตะระดับเงินล้านได้
00:08:58 → 00:09:00 จริงอ้าเฮ้ยไม่ใช่นี่หว่าเปล่ามันอาจจะ
00:09:00 → 00:09:03 ต้องขึ้นไปอีกเหนื่อยอีกมันคือมันสิ้นสุด
00:09:03 → 00:09:06 ตรงไหนหรือบางคนอาจจะบอกว่าต้องทำเพื่อ
00:09:06 → 00:09:10 ครอบครัวเพราะว่าเราเป็นเสาหลักของบ้านคน
00:09:10 → 00:09:12 เดียวอย่างเงี้ยโอ๊ยอันนี้กดดันสูงมากอ่ะ
00:09:12 → 00:09:14 เนาะอ่าใช่ครับแล้วเมื่อไหร่มันจะหยุด
00:09:14 → 00:09:16 เมื่อไหร่มันจะพอแล้วเมื่อไหร่เขาจะเพิ่ง
00:09:16 → 00:09:19 พาตัวเองได้อืเออมันเยอะใช่ครับเป็น
00:09:19 → 00:09:21 เรื่องความคาดหวังอย่างตะกี้พูดเรื่อง
00:09:21 → 00:09:23 เงินล้านต้องแยกตรงนี้ให้ดีครับเพราะว่า
00:09:23 → 00:09:25 เอ่อสร้างเงินล้านเพื่อให้ตัวเองมีความ
00:09:25 → 00:09:29 สุขมันอาจจะเป็นคอนเซปตแบบนึงที่ว่าถ้า
00:09:29 → 00:09:32 ฉันแตะ 1 ล้านปั๊บฉันจะสำเร็จฉันจะแฮปปี้
00:09:32 → 00:09:33 กับอีกแบบนึงคือเงินล้านเป็นสิ่งที่
00:09:33 → 00:09:37 จำเป็นกับการทำให้ชีวิตมั่นคงอืมบางคนอาจ
00:09:37 → 00:09:40 จะแบบว่าเอ่อไปใช้หนี้ได้หมดปิดหนี้หรือ
00:09:40 → 00:09:42 อะไรก็ว่าหรืออาจจะมั่นใจว่าหลังจากนี้
00:09:42 → 00:09:44 ลูกจะมีตังค์ค่าเทอมอ่าฮะคือเรื่องนี้
00:09:44 → 00:09:46 เป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงเป็นเรื่อง
00:09:46 → 00:09:48 การวางแผนไม่เกี่ยวกับความสุขแต่เป็นความ
00:09:48 → 00:09:51 รู้สึกปลอดโปร่งใจสบายใจว่าเรามีต้นทุน
00:09:51 → 00:09:53 บางอย่างที่จะช่วยเหลือเราในวันที่มัน
00:09:53 → 00:09:56 ต้องใช้คือรู้ว่ามันจำเป็นแต่มันก็ทำให้
00:09:56 → 00:09:59 เรากดดันที่จะต้องไปให้ถึงจุดๆนั้นเพื่อ
00:09:59 → 00:10:02 ความสบายใจแล้วก็ปลอดภัยใช่ครับอันนี้ก็
00:10:02 → 00:10:04 เป็นเรื่องความจำเป็นสมมุติถ้ามันจำเป็น
00:10:04 → 00:10:06 ก็ต้องกดดันตัวเองแต่ขณะเดียวกันมัน
00:10:06 → 00:10:08 สามารถลดความกดดันบางอย่างลงได้เช่น
00:10:08 → 00:10:11 สมมุตินะฉันจะต้องมีเงินส่งลูกเรียนต่าง
00:10:11 → 00:10:14 ประเทศเท่านั้นอ๋อมีคำว่าเท่านั้นขี่สแต่
00:10:14 → 00:10:16 เราอาจจะเป็นข้าราชการบางอย่างข้าราชการ
00:10:16 → 00:10:19 ที่ที่ไม่ได้มีแบบเงินเดือนเยอะๆนอกในไม่
00:10:19 → 00:10:22 งั้นคุณต้องไปกู้สหกรณ์อะไรก็ว่าไปใช่ฮะ
00:10:22 → 00:10:24 ก็กลายเป็นความปลดดันแต่ถ้าเราเกิดลดลงมา
00:10:24 → 00:10:28 ว่าโอเคจากการประเมินสถานภาพการเงินเราพอ
00:10:28 → 00:10:30 ส่งอินเตอร์ในไทยได้หรืออาจจะเป็นโรง
00:10:30 → 00:10:32 เรียน 2 ภาษาในไทยหรืออาจจะแบบเอ้ยประมาณ
00:10:32 → 00:10:36 นี้โรงเรียนรัฐบาลก็พอถ้าเราลดสามารถลด
00:10:36 → 00:10:39 เอ่อรายจ่ายหรือลดเค้าเรียกว่าระดับความ
00:10:39 → 00:10:41 คาดหวังในคุณภาพบางอย่างลงได้ความกดดัน
00:10:41 → 00:10:46 บางอย่างก็ลดลงอืโดยเฉพาะคนที่หาเงินคน
00:10:47 → 00:10:48 เดียวอย่างเงี้ยเนาะความกดดันก็จะได้น้อย
00:10:48 → 00:10:51 ลงหรือว่าไม่ต้องไปแบกคนอื่นเยอะเงี้ยใช่
00:10:51 → 00:10:53 ทีนี้บางทีความกดดันมันเกิดขึ้นจากการชด
00:10:53 → 00:10:56 เชยก็มีนะผมเคยเจอลูกค้าท่านนึงปรึกษา
00:10:56 → 00:11:00 เรื่องปัญหาครอบครัวเค้าเเเเเป็นเป็นผู้
00:11:00 → 00:11:01 หญิงที่ปรึกษาเรื่องสามีเนี่ยอารมณ์
00:11:01 → 00:11:04 เยี่ยวกามากก้าวร้าวมากอือแล้วพอผมได้ฟัง
00:11:05 → 00:11:07 ประวัติชีวิตเนี่ยคือคุณสามีเนี่ยเกิดมา
00:11:07 → 00:11:10 ในครอบครัวที่ไม่ส่งเขาเรียนก็คือไม่มี
00:11:10 → 00:11:13 เงินออฮะแล้วก็ไม่มีเงินเรียนสูงๆและโดน
00:11:13 → 00:11:15 คนรอบข้างดูถูกเหยียดหยามโอ้โหเพราะงั้น
00:11:15 → 00:11:18 ผู้ชายคนเนี้ยเกิดและเติบโตด้วยความโกรธ
00:11:18 → 00:11:22 แค้นไม่ใช่กดดันเออโกรธโกรธแค้นโกรธแค้น
00:11:22 → 00:11:24 ก่อนว่ารู้สึกถูกหยามถูกลบหรูดก่อนก็เลย
00:11:24 → 00:11:28 มีแรงผลักดันก็กดดันตัวเองเออใช่เค้าก็
00:11:28 → 00:11:30 เลยทำอาชีพเป็นแบบผู้รับเหมาที่ค่อนข้าง
00:11:30 → 00:11:33 มีสเกลงานที่รายได้สูงประมาณนึงต้องทำ
00:11:33 → 00:11:35 สเกลใหญ่อ่าใช่ครับพอรายได้สูงประมาณนึง
00:11:35 → 00:11:37 ปั๊บแน่นอนมีความกดดันจากเรื่องงานอยู่
00:11:37 → 00:11:39 และเนาะอาจจะเจอเรื่องเศรษฐกิจเจอเรื่อง
00:11:39 → 00:11:41 การเมืองเรื่องเส้นสายแล้วแต่มันเป็นความ
00:11:41 → 00:11:44 กดดันตามหน้างานปัญหาเยอะอืประจวบเหมาะ
00:11:44 → 00:11:47 กับอันนี้อีกพอเขามีลูกปั๊บเรู้สึกว่าฉัน
00:11:47 → 00:11:50 จะไม่ให้ลูกฉันเติบโตมาแบบที่ฉันผ่านมาอ
00:11:50 → 00:11:52 ลูกฉันจะต้องเป็นคนที่มีการศึกษาสูงและจะ
00:11:52 → 00:11:55 ไม่มีใครดูถูกฉันได้อืทีนี้เขาเลยส่งลูก
00:11:55 → 00:11:58 เรียนอินเตอร์อ้าหนักปัญหาเพิ่มเติมคือมี
00:11:58 → 00:12:01 ลูก 2 คนโอ้โหแล้วอินเตอร์ทั้งคู่และต้อง
00:12:01 → 00:12:05 ส่ง 2 คนและไม่ต้องให้เมียทำงานบอกว่าฉัน
00:12:05 → 00:12:07 เป็นผู้ชายเมียไม่ต้องทำงานเมียดูลูกไป
00:12:07 → 00:12:09 อย่างเดียวหมายความว่าเมียไม่มีรายได้โอ
00:12:09 → 00:12:13 รายได้มาจากเค้าทางเดียวออกดดันจากงานไม่
00:12:13 → 00:12:15 พอเนาะเลี้ยงเมียด้วยเลี้ยงลูกด้วยส่งค่า
00:12:15 → 00:12:18 เทอมด้วยแบกทั้งครอบครัวไว้เลยเป็นไงครับ
00:12:18 → 00:12:21 โอ้โหหนักหนักๆเลยทีนี้เลยกลายเป็นว่าจาก
00:12:21 → 00:12:24 สามีภรรยาที่รักกันดีเลยเริ่มแบบความรัก
00:12:24 → 00:12:28 หายไปคือจากปัญหาที่เจอเนาะคือถ้าคือไม่
00:12:28 → 00:12:31 ได้มีอะไรทุกอย่างแบบ flow เศรษฐกิจดี
00:12:31 → 00:12:34 เอ่องานน่ะมันมีเรื่องยิบย่อยให้แก้ปัญหา
00:12:34 → 00:12:36 อยู่แล้วแหละแต่ว่างานประสบความสำเร็จ
00:12:36 → 00:12:38 หรืออะไรเงี้ยมันก็ไม่มีปัญหายังไงลูกก็
00:12:38 → 00:12:41 เรียนอินเตอร์ได้ดูแลลูกเมียได้แต่อันนี้
00:12:41 → 00:12:44 มึงมันไม่ใช่ไงใช่ครับเออมันกลายเป็นว่า
00:12:44 → 00:12:46 เป็นความกดดันเพราะว่าความคาดหวังจากการ
00:12:46 → 00:12:49 จนต้องการชดเชยปมตัวเองอืมันกดดันจากการ
00:12:49 → 00:12:52 อยากจะชดเชยอ่ะอืทีนี้มันมาลงลงกับลูกกับ
00:12:52 → 00:12:54 เมียว่าทำไมแกไม่สำเร็จอย่างงู้นอย่างงี้
00:12:54 → 00:12:56 ฉันอุตส่าห์หาเงินหาเงินมันเหนื่อย
00:12:57 → 00:12:58 ให้แกอ่ะกลายเป็นว่าพ่อคนนี้ก็กดดันลูก
00:12:59 → 00:13:00 อีกกดดันเมียอีกทำไมเลี้ยงลูกแบบนี้อ้า
00:13:01 → 00:13:04 หนักอีกทีนี้อืก็เลยเละจากภายในเลยคาด
00:13:04 → 00:13:06 หวังไว้ด้วยแหละคาดหวังใช่ครับความกดดัน
00:13:06 → 00:13:09 เกิดขึ้นจากความคาดหวังเสมอแล้วยังไงต่อ
00:13:09 → 00:13:11 อ่ะทีนี้เคสอันนี้คือเค้าตัวเขาเองมา
00:13:11 → 00:13:14 ปรึกษาเอ่อเป็นคุณภรรยามาเล่าให้ฟังอ๋อ
00:13:14 → 00:13:19 ว่าว่าคือโดนความกดดันจากสามีเออลูกต้อง
00:13:19 → 00:13:21 เผชิญกับอะไรตัวเองต้องเผชิญกับอะไรแล้ว
00:13:21 → 00:13:23 ยิ่งเป็นคนไม่มีรายได้แล้วรับหน้าที่ใน
00:13:23 → 00:13:26 การเลี้ยงลูกอย่างเดียวแล้วมันไม่ตรงตาม
00:13:26 → 00:13:29 ที่เขาต้องการเงี้ยอืปัญหาใช่ครับสุดท้าย
00:13:29 → 00:13:31 เคสเนี้สิ่งที่ผมแนะนำก็คือว่าบางทีเรา
00:13:31 → 00:13:35 ต้องคล้ายๆค่อยๆให้ตให้สติสามีเหมือนกัน
00:13:35 → 00:13:38 ว่าไอ้ที่เราพยายามจะมีทรัพย์สมบัติมีลูก
00:13:38 → 00:13:41 มีเมียคำถามคือมันเป็นไปเพื่อแค่ประดับยศ
00:13:41 → 00:13:44 ว่าตัวเองมีหรือเราต้องการมีความสุขจาก
00:13:44 → 00:13:47 การมีครอบครัวจริงๆกันแน่อืถ้าต้องการแค่
00:13:47 → 00:13:50 ประดับยศแสดงว่าความรักที่มีต่อลูกเมีย
00:13:50 → 00:13:52 ไม่ได้มีอยู่จริงเป็นแค่เครื่องมือให้เขา
00:13:53 → 00:13:55 รู้สึกว่ากูสำเร็จเท่านั้นแหละก็ฉันก็มี
00:13:55 → 00:13:57 ครอบครัวที่สมบูรณ์เพเฟคเป็นแค่เป็นแค่
00:13:57 → 00:13:59 ต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้คนอื่นเห็นว่า
00:13:59 → 00:14:01 ฉันสำเร็จและให้คนอื่นไม่สามารถมาดูหมิ่น
00:14:01 → 00:14:03 ได้อันเนี้ยแสดงว่าเขากำลังโฟกัสแค่ตัว
00:14:03 → 00:14:06 เองอย่างี้ครอบครัวจะไม่มีทางมีความสุข
00:14:06 → 00:14:08 และสุดท้ายลูกเมียจะต้องจับเข้าไปเพราะเค
00:14:08 → 00:14:10 รู้สึกอยู่ไม่ได้หันมาอีกทีไม่เจอใครแล้ว
00:14:10 → 00:14:12 และนั่นเป็นชะตาที่เขาต้องเจอถ้าเายังคง
00:14:12 → 00:14:15 เป็นอย่างงั้นเออแต่ถ้าสมมุติตัวเาพื้น
00:14:15 → 00:14:18 ฐานมีความรักในลูกๆและเมียจริงๆอือฮึเขา
00:14:18 → 00:14:21 จะต้องกลับมาจดจำสิ่งนี้ให้ได้ว่าตัวเามี
00:14:21 → 00:14:23 ครอบครัวเพราะเขาอยากอบอุ่นอยากมีความสุข
00:14:23 → 00:14:26 กับครอบครัวไม่ใช่แค่ประดับยศหรือแค่ใช้
00:14:26 → 00:14:28 ลูกเมียเป็นเครื่องมือให้ตัวเองสำเร็จอ
00:14:28 → 00:14:30 ถ้านี้แสดงว่าทำเพื่อตัวเองคนเดียวและอื
00:14:30 → 00:14:33 ไม่ได้มีความรักมีแค่การทำเพื่อตัวเองคน
00:14:33 → 00:14:35 เดียวอ่าแต่ถ้าเกิดเค้ายังคงไม่ลืมว่า
00:14:35 → 00:14:39 เค้ามีลูกที่รักและเมียที่รักเขาจะต้องหา
00:14:39 → 00:14:42 จุดบาลานซเพื่อรักษาทุกคนไว้ให้ได้โอ้โห
00:14:42 → 00:14:44 แล้วเพราะงั้นเขาจะต้องปล่อยวางจากเรื่อง
00:14:44 → 00:14:47 การยึดติดว่าฉันจะต้องไม่ล้มจะต้องไม่จม
00:14:47 → 00:14:50 คนจะต้องไม่หยามถ้าเขาไม่ไม่ปล่อยวางจาก
00:14:50 → 00:14:52 เรื่องนี้สุดท้ายเขาจะมาบี้เอาจากลูกจาก
00:14:52 → 00:14:56 เมียเพื่อปกป้องตัวเองคนเดียวมันมีปมฝัง
00:14:56 → 00:14:58 ใจไงมันจะยากอ่ะสิปมเนี้ยเพราะว่าตัวเขา
00:14:59 → 00:15:01 เองไม่ได้เป็นคนมาคุยใช่อ่าใช่ครับทีนี้
00:15:01 → 00:15:03 มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราอาจจะพูดผ่านเมีย
00:15:03 → 00:15:06 เขาได้ให้ภรรยาไปพูดว่าวันเนี้ได้ปรึกษาน
00:15:06 → 00:15:10 จิตมาคือบางทีต้องยืมต้องยืมคำพูดเลยแล้ว
00:15:10 → 00:15:13 เพราะว่าถ้าเกิดภรรยาพูดสามีอาจจะหูดับ
00:15:13 → 00:15:15 แต่ถ้าเกิดวันนี้คุยเสร็จปั๊บนักจิตเบอก
00:15:15 → 00:15:17 ไม่รู้หรอกว่าใช่ไม่ใช่แต่เหมือนกับว่ามี
00:15:17 → 00:15:20 สิ่งที่เป็นห่วงก็เลยยกประเด็นนี้ขึ้นมา
00:15:20 → 00:15:22 เพื่อถามดูว่ามันมีตรงนี้มั้ยอย่างเงี้ย
00:15:23 → 00:15:28 ครับบางครั้งก็ต้องใช้ภาษาอ้อมๆอ้อมๆไปอ
00:15:28 → 00:15:32 มันก็อาจจะไปในอีกมุมนึงได้ว่าทำไมต้องไป
00:15:32 → 00:15:35 มีมีเหมือนกันมีเหมือนกันใช่ครับทีนี้
00:15:35 → 00:15:36 เรื่องเรื่องเนี้ยครับมันแล้วแต่ความ
00:15:36 → 00:15:39 พร้อมของคนที่อยากจะแก้ไขตัวเองอโอ้โหที
00:15:39 → 00:15:41 นี้ถ้าคนไม่พร้อมผมก็ไม่ก้าวกะอยู่แล้ว
00:15:41 → 00:15:43 แต่เพียงแค่ว่าสมมุติถ้าภรรยาพร้อมอย่าง
00:15:43 → 00:15:47 เงี้ยครับอแล้วผมได้ชวนให้เค้าลองทำวิธี
00:15:47 → 00:15:49 หลายๆวิธีละแต่ถ้าสมมุติมันไม่ได้ผลเลย
00:15:49 → 00:15:52 สุดท้ายคนที่ต้องปรับโตคือภรรยาค่ะว่าบาง
00:15:52 → 00:15:55 ครั้งก็ต้องทำใจปล่อยวางจากสามีคนนี้อาจ
00:15:55 → 00:15:58 จะแบบเลิกคาดหวังว่าเขาต้องรักเราหรือเรา
00:15:58 → 00:16:00 อาจจะเริ่มคิดวางแผนในการเก็บเงินอะไรบาง
00:16:00 → 00:16:03 อย่างตัวเองหรือเปล่าหรืออาจจะแยกทางก็
00:16:03 → 00:16:06 ได้อืสุดท้ายอย่างที่บอกอ่ะครับทุกคนจะมี
00:16:06 → 00:16:09 ชะตาจากการเลือกของตัวเองอืถ้าถ้าสามียัง
00:16:09 → 00:16:11 คงเลือกเป็นสิ่งนั้นมันก็จะมีผลลัพธ์ที่
00:16:11 → 00:16:13 เกิดขึ้นตามมาแล้วคนที่รับผลกระทบก็ไม่
00:16:13 → 00:16:16 พ้นลูกเมียแต่สิ่งที่เราต้องไม่ลืมคือคน
00:16:16 → 00:16:18 ที่มีสิทธิ์เลือกไม่ใช่แค่ผู้ชายทุกคนมี
00:16:18 → 00:16:21 สิทธิ์เลือกผู้หญิงมีสิทธิ์เลือกลูก 2 คน
00:16:21 → 00:16:24 มีสิทธิ์เลือกอืเออและการเลือกของแต่ละคน
00:16:24 → 00:16:26 จะเอฟเฟคกับอีกคนเสมอเพราะงั้นถ้าลูก
00:16:26 → 00:16:28 เลือกอะไรบางอย่างเมียเลือกอะไรบางอย่าง
00:16:28 → 00:16:31 แล้วสามีต้องโดนเค้าก็ต้องโดนคือจริงๆมัน
00:16:31 → 00:16:33 เหมือแเป็นปมที่เขาเจอในวัยเด็กแล้วแล้ว
00:16:33 → 00:16:36 ก็สุดท้ายตัวเขาก็ทำเองเหมือนกันใช่ทีนี้
00:16:36 → 00:16:38 ขึ้นกับว่าเคิดได้มั้ยถ้าคิดไม่ได้ก็ต้อง
00:16:38 → 00:16:41 โดนต่อไปจนกว่าจะคิดได้หรืออาจจะคิดไม่
00:16:41 → 00:16:43 ได้จนตายเลยก็มีอุ๊ยขอให้กลับมาเป็น
00:16:43 → 00:16:45 ครอบครัวที่แบบมีความสุขแฮปปี้ดีกว่าเนาะ
00:16:45 → 00:16:47 ใช่ทีนี้ถ้าสมมุติเกิดคุยกันแล้วเาเกิด
00:16:47 → 00:16:50 ตระหนักได้ในวันที่จะเสียเมียแล้วเกิดได้
00:16:50 → 00:16:52 สติว่าเฮ้ยเราไม่ได้อยากให้สิ่งนี้เกิด
00:16:52 → 00:16:55 ขึ้นอืบางครั้งบางคนน่ะจะมีจุดตาสว่างไม่
00:16:55 → 00:16:59 พร้อมกันเตือนเท่าไหร่ก็ไม่คิดไม่ออกจนจะ
00:16:59 → 00:17:01 เสียจริงๆเราเคยเห็นมั้ฮะเหตุการณ์บางอัน
00:17:01 → 00:17:03 คือถ้าไม่เห็นรองศพไม้หลังน้ำตาใช่ต้อง
00:17:03 → 00:17:05 ถึงขั้นนั้นนะครับเาถึงจะปิ๊งขึ้นมาว่าเ
00:17:05 → 00:17:08 ยอมแล้วอ่ะหรือบางทีไปจนระยะนึงแล้วถึง
00:17:08 → 00:17:10 เพิ่งมาคิดได้ก็มีด้วยอ่ะเนาะใช่ใช่ครับ
00:17:10 → 00:17:13 เพราะงั้นบางบางครั้งในมุมการปรึกษาเชิง
00:17:13 → 00:17:16 จิตวิทยาเราอาจจะจำเป็นต้องปล่อยให้แรงกด
00:17:16 → 00:17:18 ดันจากสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเพื่อให้
00:17:18 → 00:17:20 ใครบางคนคิดได้อืแต่ถ้าคิดไม่ได้ก็ให้คิด
00:17:21 → 00:17:24 ซะว่าตัวเาเป็นผู้ได้เลือกเขาเองแล้วอื
00:17:24 → 00:17:26 แต่เราไม่ได้เล่นเกมกับเาค้านะเราแค่มอง
00:17:26 → 00:17:28 ว่าสิ่งนี้จำเป็นกับการกระตุ้นบางอย่าง
00:17:28 → 00:17:30 เพื่อให้เขาระลึกได้ว่าอะไรสำคัญเหมือน
00:17:30 → 00:17:33 กับว่าก็ลองคุยดูก่อนแล้วก็ดูสถานการณ์ใน
00:17:33 → 00:17:36 อนาคตว่ามีการปรับเปลี่ยนหรือว่ามุมมอง
00:17:36 → 00:17:39 เค้ามีอะไรที่แบบกลับมามองกันบ้างอีกนิด
00:17:39 → 00:17:42 นึงมั้ยข้างหลังว่าเาเป็นยังไงกันใช่
00:17:42 → 00:17:43 เพราะงั้นอย่างเคสเนี้ยอ่ะสมมุติเอาแค่ 4
00:17:43 → 00:17:46 ตัวละครตะกี้เลยอืมันมีแรงกดดันจากภายใน
00:17:46 → 00:17:49 ภายนอกที่เราคุยกันตะกี้ครบเลยใช่สามี
00:17:49 → 00:17:52 เนาะสามีมีแรงกดดันจากตัวเองจากอดีต
00:17:52 → 00:17:55 และอาจจะโดนเศรษฐกิจช่วงนี้เข้าไปชอบเข้า
00:17:55 → 00:17:58 ไปแรงกดดันจากข้างนอกเครียดมีคู่แข่งเอ่อ
00:17:58 → 00:18:01 เงินฝืดผู้ว่าจ้างไม่จ่ายตังค์โอ้โหนี่
00:18:01 → 00:18:03 พวกนี้คือแรงกดดันจากข้างนอกเออแต่ภายใน
00:18:03 → 00:18:07 ก็มีถูกมั้ยครับทีนี้ภรรยาก็มีแรงกดดัน
00:18:07 → 00:18:10 จากภายในเหมือนกันที่แบบฉันเคยทำงานได้
00:18:10 → 00:18:12 ปรากฏวันนี้ฉันไม่ได้ทำงานฉันรู้สึก
00:18:12 → 00:18:14 เหมือนแบบไม่มีอำนาจอะไรเลยนี่ก็เป็นแรง
00:18:14 → 00:18:16 กดดันความผิดหวังจากตัวเองกดดันเพราะโดน
00:18:16 → 00:18:20 รับแรงกระแทกจากสามีก็มีถูกมั้ยครับหรือ
00:18:20 → 00:18:23 อย่างลูกๆลูกๆอาจจะมีคนที่แบบฉันอยากเป็น
00:18:23 → 00:18:25 คนที่สำเร็จเหมือนพ่ออ่ะสมมุติหรืออาจจะ
00:18:25 → 00:18:27 สำเร็จมากกว่าพ่ออันนี้อาจจะกดดันตัวเอง
00:18:27 → 00:18:30 อือแต่อีกคนอาจจะบอกว่าอยากอยากสำเร็จให้
00:18:30 → 00:18:33 พ่อรักออาฮะอันนี้ก็จะเป็นอีกคอนเซปตนึง
00:18:33 → 00:18:35 ว่าฉันอยากทำให้สำเร็จเพื่อพ่อจะได้ภูมิ
00:18:35 → 00:18:38 ใจอุ้ยครบองค์ประกอบเลยครบเลยมั้ฮะเออฮะ
00:18:38 → 00:18:40 เออเพราะงั้นพวกเนี้ยครับเป็นตัวอย่างที่
00:18:40 → 00:18:43 ให้ดูว่าแปรงกดดันจากข้างนอกข้างในมัน
00:18:43 → 00:18:45 เป็นหน้าตาอย่างี้แหละแต่มันก็มีวิธีการ
00:18:45 → 00:18:47 รับมือของมันอยู่ว่าจะทำยังไงเพื่อให้แรง
00:18:47 → 00:18:50 กดดันน้อยลงอืสุดท้ายขึ้นอยู่กับว่าเรา
00:18:50 → 00:18:52 สามารถปรับปรับลดความคาดหวังลงได้หรือ
00:18:52 → 00:18:55 เปล่าค่ะและต้องไม่ลืมว่าอะไรสำคัญต่อการ
00:18:55 → 00:18:57 มีชีวิตที่มีความสุขจริงๆอืแล้วอย่างถ้า
00:18:58 → 00:19:00 เกิดว่าเราเจอในสถานการณ์ที่มันอาจจะแตก
00:19:00 → 00:19:04 ต่างจากเขาคือเป็นการเจอแรงกดดันจากการทำ
00:19:04 → 00:19:08 งานครับที่โอเคไม่มีคำว่าท่าและถ้าเกิดมี
00:19:08 → 00:19:11 ทางเลือกอื่นอือไม่มีฉันต้องอยู่อย่าง
00:19:12 → 00:19:14 เงี้ยอู้หูเทียมงานกดดันจังเลยคือถ้าวิ่ง
00:19:14 → 00:19:16 ตามความคาดหวังคนนะครับจุดสิ้นสุดไม่มี
00:19:16 → 00:19:18 จริงสุดท้ายจุดสิ้นสุดที่แท้จริงต้องอยู่
00:19:18 → 00:19:20 กับความเป็นจริงอ่ะครับว่าสุดท้ายลิมิตมิ
00:19:20 → 00:19:23 มันเท่านี้อทีนี้คนที่ต้องเรียนรู้จะมี
00:19:23 → 00:19:26 ทั้ง 2 ฝ่ายฝ่ายแรกก็คือฝั่งเราที่รู้
00:19:26 → 00:19:29 แหละว่ามีแรงกดดันจากภายนอกที่คาดหวัง
00:19:29 → 00:19:31 อือฮึแต่สำคัญคือเราบ้าจี้ด้วยมั้ยบ้าจี้
00:19:31 → 00:19:33 ด้วยต้องต้องบ้าจี้ด้วยบ้าจี้ด้วยก็ไม่จบ
00:19:33 → 00:19:35 บ้าจี้ก็ไม่จบมันโดนให้ต้องบ้าจี้ตามอ่ะ
00:19:36 → 00:19:37 ใช่ครับแต่ต่อให้บ้าจี้เท่าไหร่ก็ตามอ่ะ
00:19:37 → 00:19:40 ครับสุดท้ายมันก็จะลิมิตตามสุขภาพเรามัน
00:19:40 → 00:19:43 จะมีจุดนึงที่อาจจะมีใครบางคนเส้นเลือ
00:19:43 → 00:19:45 สมองแตกไปก่อนไวโดยที่แทนที่เราจะเบรคได้
00:19:45 → 00:19:48 ก่อนหน้านั้นแต่เราอาจจะต้องสุขภาพเสียไป
00:19:48 → 00:19:52 เลยอแล้วให้แล้วให้ชีวิตเบรคเราแทนที
00:19:52 → 00:19:53 เนี้ยขึ้นกับว่าเราจะปล่อยให้ตัวเองไปถึง
00:19:53 → 00:19:55 ขั้นนั้นหรือเปล่าอืเพราะมันมีเหมือนกัน
00:19:55 → 00:19:57 นะคนที่ทำจนตายคาโต๊ะเราเคยได้ยินข่าวอ่ะ
00:19:57 → 00:20:00 ๆใช่ๆบอกงานไม่เคยทำให้ใครตายก็มีจ้ะมีมี
00:20:00 → 00:20:02 คนตายมีคนตายจากงานหนักจริงๆเพราะฉะนั้น
00:20:02 → 00:20:05 เรื่องเนี้ยเราต้องตัดสินใจว่าจะให้ชีวิต
00:20:05 → 00:20:07 เบรคเราหรือเราเบรคตัวเองก่อนจะถึงเส้น
00:20:08 → 00:20:10 นั้นอุย
00:20:10 → 00:20:12 เพราะถ้าเราไม่เบรคได้ครับเหมือนที่ผมบอก
00:20:12 → 00:20:14 ถ้าเราบ้าจี้ตามความคาดหวังชาวบ้านเค้า
00:20:14 → 00:20:17 เนี่ยไม่มีจุดจบและมันอาจจะต้องอยู่ที่
00:20:17 → 00:20:19 ว่าเดิมพันชีวิตเราอ่ะเราจะไปถึงขั้นท่าน
00:20:20 → 00:20:22 ที่แบบตายคาโต๊ะหรือเปล่าถ้าตายคาโต๊ะก็
00:20:22 → 00:20:25 ไม่เป็นไรก็ถือว่าเกมโอเวอร์ก็ไปเกิดร่าง
00:20:25 → 00:20:27 ใหม่เอ๊ะหรือจริงๆเไม่ได้กดดันเราแต่เรา
00:20:27 → 00:20:29 อ่ะคิดไปเองหรือเปล่าเป็นไปได้แต่จริงๆเ
00:20:29 → 00:20:31 อาจจะกดดันจริงๆครับแต่ด้วยความที่เราแบบ
00:20:31 → 00:20:33 ไม่ได้ตระหนักว่ามีสิ่งที่ต้องรักษาไว้
00:20:33 → 00:20:36 คือสุขภาพหรือชีวิตเราก็เลยรู้สึกว่าไข่
00:20:36 → 00:20:38 วิญญาณได้อีกมันเหมือนว่าเฮ้ยสู้เว้ยอะไร
00:20:38 → 00:20:41 ด้วยความเคยชินด้วยการเป็นสายใต้บังคับ
00:20:41 → 00:20:43 บัญชามาตลอดเราอาจจะชินกับการต้องตอบรับ
00:20:43 → 00:20:46 สนองสนองตามที่ต้องการอะไรก็ว่าไปนี่คือ
00:20:46 → 00:20:48 พาร์ทเราแต่อีกพาร์ทนึงคือนายจำเป็นต้อง
00:20:48 → 00:20:51 เรียนรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังใช้งานมันมี
00:20:51 → 00:20:55 ลิมิตของมันอยู่อืเออเอิ่มเต้องยอมรับ
00:20:55 → 00:20:57 ความจริงแล้วก็สุดท้ายต้องบริหารอย่างที่
00:20:57 → 00:20:59 บอกนะมันไม่ใช่แค่ผลงานดีแต่คุณควรรักษา
00:20:59 → 00:21:02 คนของคุณไว้ได้ด้วยออือคือไม่ได้แบบว่า
00:21:02 → 00:21:05 เราจะถึงขั้นพลีชีพอะไรขนาดนั้นหรือว่า
00:21:05 → 00:21:09 โอ้ยเาเอาไม้มาเฆี่ยนมาตีเราจนเราต้องแบบ
00:21:09 → 00:21:12 ว่าต้องทำอะไรไม่ไม่ใช่ขนาดนั้นแต่ว่าแค่
00:21:12 → 00:21:15 เรามองว่าเฮ้ยมันเลเวลมันขนาดนี้แล้วอ่ะ
00:21:15 → 00:21:18 มันไปได้อีกสเต็ปนึงแล้วอ่ะเฮ้ยมันไปได้
00:21:18 → 00:21:20 อีกมันจุดแค่ตรงไหนแค่นั้นเองแต่ว่ามัน
00:21:20 → 00:21:22 กลายเป็นแบบทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเป็น
00:21:22 → 00:21:25 จริงในหน้างานแหละว่ามันได้แค่ไหนอเพราะ
00:21:25 → 00:21:27 มันอาจจะมีที่ไม่ได้ก็ได้นะเช่นแบบควงกะ
00:21:27 → 00:21:29 ไปเลย 2 วันไม่ต้องนอนอย่างเงี้ยฮะคือมัน
00:21:29 → 00:21:32 ก็จะเป็นอีกเลเวลนึงออฮะซึ่งถ้านายยังคง
00:21:32 → 00:21:34 ทำอย่างนั้นหมายความว่าธรรมาภิบาลบาง
00:21:34 → 00:21:36 อย่างหายไปแล้วเพราะเพราะมดได้สนใจอะไร
00:21:36 → 00:21:38 บางอย่างมากเกินไปจนไม่ได้สนใจชีวิตคนน่ะ
00:21:39 → 00:21:42 อืออืเพราะงั้นเรื่องนี้มันผมตัดสินยาก
00:21:42 → 00:21:44 เพราะว่ามันแล้วแต่หน้างานว่าแบบความคาด
00:21:44 → 00:21:47 หวังคืออะไรหน้างานคืออะไรสำคัญแค่ไหนอ
00:21:47 → 00:21:49 มันเลยตัดสินยากแต่ที่ผมเบาอันนี้เป็น
00:21:49 → 00:21:51 คอนเซปตที่ต้องไปประยุกต์ใช้เองในหน้างาน
00:21:51 → 00:21:55 นั้นอืคืออะไรก็ได้ให้ตัวเองอ่ะคือทำเรา
00:21:55 → 00:22:00 ก็ยังรู้สึกว่าเออแฮปปี้เว้ยโอเคเฮ้ยมัน
00:22:00 → 00:22:03 จบมันจบมันมีวันจบแน่นอนแต่จะส่วนจะเริ่ม
00:22:03 → 00:22:05 โปรเจคใหม่หรือจะอะไรใหม่มันก็อีกเรื่อง
00:22:05 → 00:22:07 นึงเพราะว่าเชื่อว่าหลายคนเจอภาวะความกด
00:22:07 → 00:22:10 ดันจากที่ทำงานเนี่ยหลากหลายรูปแบบบางคน
00:22:10 → 00:22:15 ต้องทำเอ่อ KPI ใช่มั้ยให้สูงๆเพื่อให้
00:22:15 → 00:22:19 ประเมินข้อเท็จจริงเออหรือบางอันก็เป็นผล
00:22:19 → 00:22:23 เรื่องของเงินเดือนที่จะเพิ่มเติมมากขึ้น
00:22:23 → 00:22:26 ด้วยมันเลยถูกกดดันหลายๆทางที่จะต้องทำ
00:22:26 → 00:22:29 ให้มันออกมาเกินเกณฑ์มาตรฐานครับอยู่
00:22:29 → 00:22:31 เรื่อยๆแต่มันมีบางคนเหมือนกันนะเลือกจะ
00:22:31 → 00:22:33 ขอไม่ขึ้นเงินเดือนแล้วขอทำงานประมาณนี้
00:22:33 → 00:22:36 พอก็เออพอใจแค่นี้บางคนบางคนเป็นอย่าง
00:22:36 → 00:22:38 งั้นครับเรื่องนี้มันเลยกลายเป็นว่าแล้ว
00:22:38 → 00:22:40 แต่หน้างานน่ะมันตัดสินยากเคแต่ว่ายังไง
00:22:40 → 00:22:42 ก็เอาตัวเองก่อนเนาะจัดการความเครียดถ้า
00:22:42 → 00:22:46 มันเครียดมากก็ไปหาอะไรทำสำคัญคืออย่าให้
00:22:46 → 00:22:47 ชีวิตพังอ่ะครับอย่าให้เราไปกลายเป็นคน
00:22:47 → 00:22:49 ตายคาโต๊ะแล้วก็อย่าให้แบบชีวิตพังแบบไม่
00:22:49 → 00:22:52 เหลืออะไรอ่ะโอแค่นี้เลยโอ้โหเจ็บปวดอ่ะ
00:22:52 → 00:22:55 ส่วนส่วนทำได้แค่ไหนเอาเต็มที่เท่าที่ทำ
00:22:55 → 00:22:59 ได้ไม่ฉันจะไม่ตายคาโต๊ะทำงานแน่
00:22:59 → 00:23:02 นอนทุกวันนี้ก็ใช้วิธีการไปหาอะไรอร่อยๆ
00:23:02 → 00:23:06 กินสัปดาห์นึงต้องมีวันได้พักสัก 1 วัน
00:23:06 → 00:23:08 หรือครึ่งวันก็ได้อะไรอย่างเงี้ยนะคะ 1
00:23:08 → 00:23:10 ใน 1 สัปดาห์เพราะวางลิมิตตัวเองไว้แล้ว
00:23:10 → 00:23:13 ว่ามันเกินกว่านี้ไม่ได้และอถ้ามันเกิน
00:23:13 → 00:23:15 กว่าเนี้ยอาจจะฝืนให้แต่ถ้าแต่ถ้าฝืนไป
00:23:15 → 00:23:19 มากกว่าเนี้ยไม่ได้ไม่ได้ใช่แล้วก็เท่า
00:23:19 → 00:23:22 ที่ได้เด้อใช่ครับอารมณ์ประมาณนี้อ่านี้
00:23:22 → 00:23:23 เป็นแนวทางไว้ไม่รู้คุณผู้ฟังโดนกดดัน
00:23:24 → 00:23:26 อะไรยังไงบ้างก็บอกเล่ากันมาในคอมเมนต์ก็
00:23:26 → 00:23:30 ได้เอาใจช่วยทุกคนเลยครับสู้ค่ะขอบคุณคุณ
00:23:30 → 00:23:33 เอิ้นค่ะสวัสดีค่ะหมดเวลาแล้วค่ะคุณผู้
00:23:33 → 00:23:35 ฟังพบกันใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอทาง
00:23:35 → 00:23:38 Thai PBS พcastค่ะวันนี้ลาไปก่อนสวัสดี
00:23:38 → 00:23:41 ค่ะ This is Thai PBS Podcast ทำไม
00:23:42 → 00:23:44 รักในช่วงวัยรุ่นเป็นรักแท้หรือแค่ความ
00:23:44 → 00:23:46 หลงแล้วทำไมเมื่อเราโตขึ้นทุกอย่างกลับ
00:23:46 → 00:23:48 ไม่เหมือนเดิมผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.
00:23:48 → 00:23:50 จันทวิภาดีลกสัมพันธ์ผู้เชี่ยวชาญด้าน
00:23:50 → 00:23:54 ความสัมพันธ์และครอบครัวมาเล่าให้ฟังครับ
00:23:54 → 00:23:58 เป็นหนุ่มสาวเนี่ยมันจะมีความรักแบบหา
00:23:58 → 00:24:01 อยากอยู่ใกล้อยากเห็นหน้าไปเห็นหลังคา
00:24:01 → 00:24:04 บ้านก็ยังดีคิดถึงตลอดเวลานะคะแล้วมันก็
00:24:04 → 00:24:08 นำไปสู่การอยากแตะเนื้อต้องตัวอยากกอดจูบ
00:24:08 → 00:24:11 อยากมีเพศสัมพันธ์ด้วยถึงจุดๆหนึก็ไม่ได้
00:24:11 → 00:24:14 และฉันตื่นมาฉันต้องเห็นคนเนี้ยอยู่ข้างๆ
00:24:14 → 00:24:16 ไม่ไหวและมันสุกงอมหอมหวานเต็มทีก็ต้อง
00:24:16 → 00:24:20 แต่งงานแต่พอหลังแต่งงานเนี่ยความรักแบบ
00:24:20 → 00:24:23 เสน่หามันจะค่อยๆลดลงลดลงลดลงแต่ไม่ได้
00:24:23 → 00:24:26 แปลว่าหมดรักนะคะมันจะเกิดความรักรูปแบบ
00:24:26 → 00:24:29 เปลี่ยนแปลงไปออเป็นความรักแบบ Platonic
00:24:29 → 00:24:34 Love ความรักแบบมิตรภาพผูกพันห่วงหาอาทร
00:24:34 → 00:24:38 ทำอะไรเพื่อกันและกันเข้าใจกันนะคะแล้วใน
00:24:38 → 00:24:41 ที่สุดถ้าอยู่กันไปยาวๆเลยที่เขาเรียกถือ
00:24:41 → 00:24:43 ไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรมันก็จะกลาย
00:24:43 → 00:24:47 เป็นลมหายใจของกันและกันแต่ถึงตรงนั้นน่ะ
00:24:47 → 00:24:50 เซ็ก์ไม่สำคัญและเสิหาไม่ได้สำคัญและแต่
00:24:50 → 00:24:52 มันเป็นลมหายใจของกันและกันอันนี้คือ
00:24:52 → 00:24:55 ธรรมชาติของความรักแต่วัยรุ่นเนี่ยเขา
00:24:55 → 00:24:58 เพิ่งมามีประสบการณ์เขาจะตื่นเต้นมันเป็น
00:24:58 → 00:25:02 ความรู้สึกท่วมทนในอารมณ์สุดๆนะฮะโดย
00:25:02 → 00:25:05 เฉพาะวัยรุ่นเนี่ยเขาไม่มีตรงกลางไม่ซ้าย
00:25:05 → 00:25:08 สุดก็ขวาสุดรักสุดเกลียดสุดเพราะฉะนั้น
00:25:08 → 00:25:10 หลายคนที่ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับความ
00:25:10 → 00:25:13 รักก็คิดว่าความรักรักๆเี่คือรักแรกและจะ
00:25:14 → 00:25:17 เป็นรักสุดท้ายของฉันรักฉันต้องอมตะและ
00:25:17 → 00:25:21 วัยรุ่นไม่เคยสนใจอนาคตรักคนนี้ไม่ได้สน
00:25:21 → 00:25:25 ใจว่าเาจะเลี้ยงเรารอดมั้ยเจะเรียนจบอะไร
00:25:25 → 00:25:28 เจะทำมาหากินอะไรรักพ่อเป็นเค้าแต่ความ
00:25:28 → 00:25:31 จริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเขาจึงมีคำพูดไงคะ
00:25:31 → 00:25:34 บอกว่ารักในวัยเรียนเหมือนจุดเทียนกลาง
00:25:34 → 00:25:37 พายุฝนแต่ทีนี้พระไปถามใครก็ได้ไม่มีใคร
00:25:37 → 00:25:40 ลืมความรักครั้งแรกได้เพราะความรักครั้ง
00:25:40 → 00:25:43 แรกไม่ว่าจะดีหรือผิดหวังเสียใจทุกข์แค่
00:25:43 → 00:25:47 ไหนหรือมีความสุขแค่ไหนมันติดตราตรึงใจ
00:25:47 → 00:25:50 เพราะมันคือความรักด้วยอารมณ์เขาทำวิจัย
00:25:50 → 00:25:52 ไว้ในต่างประเทศอ่ะนะคะในอเมริกาของ
00:25:52 → 00:25:54 มหาวิทยาลัยฮาวardดเนี่ยนะฮะเขาบอกว่า
00:25:54 → 00:25:59 ประมาณ 71% นะคะคนที่ผ่านรักครั้งแรกแล้ว
00:25:59 → 00:26:03 เกิดบาดแผลเนี่ยต้องเยียวยาเนี่ยนะคะเป็น
00:26:03 → 00:26:07 เวลา 3 เดือน 71% นะอือ่าเพราะฉะนั้นอีก
00:26:07 → 00:26:09 29% เป็นไงไม่ต้องเยียวยาเหรอเปล่าค่ะ
00:26:10 → 00:26:12 เยียวยาเกิน 3 เดือนส่วนผลวิจัยในประเทศ
00:26:12 → 00:26:16 อังกฤษก็น่าสนใจทีเดียวนะฮะเาบอกว่าถ้าคน
00:26:16 → 00:26:19 ที่ไม่ได้บาดเจ็บจากการมีความรักครั้งแรก
00:26:19 → 00:26:21 เนี่ยนะคะก็จะทำให้สร้างความสัมพันธ์ใหม่
00:26:21 → 00:26:24 กับคนอื่นได้ดีกว่าแต่ถ้าบาดเจ็บจากความ
00:26:24 → 00:26:27 รักครั้งแรกเนี่ยบางคนอาจจะปิดใจเลยแต่
00:26:27 → 00:26:31 บางคนมีความรักครั้งแรกดีเลิศไม่มีบาดแผล
00:26:31 → 00:26:33 กลับไม่ดีนะคะเพราะจะกลายเป็นว่าความ
00:26:33 → 00:26:35 สัมพันธ์ครั้งต่อไปเนี่ยกลายเป็นเรื่อง
00:26:35 → 00:26:39 น่าเบื่อความโกรธความแค้นกับความรักเนี่ย
00:26:39 → 00:26:42 มันอยู่บนพื้นฐานเดียวกันนะคะสลับขั้วนิด
00:26:42 → 00:26:44 เดียวเท่านั้นแหละจากที่รักสุดก็เกลียด
00:26:44 → 00:26:47 สุดนะฮะมันอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึก
00:26:47 → 00:26:49 เดียว
00:26:49 → 00:26:54 กัน This is Thai PBS
00:26:54 → 00:26:57 Podcast ติดตามรายการของ Thai PBS
00:26:57 → 00:26:59 Podcast ได้ทางเว็บไซต์
00:26:59 → 00:27:01 www.thaipspodcast.com
00:27:01 → 00:27:04 thapodcast.com แอปพลิเคช Thai PBBS
00:27:04 → 00:27:07 Podcast รวมถึงฟังผ่าน podcast ช่องทาง
00:27:07 → 00:27:11 อื่นๆ Spotify YouTube Apple Podcast
00:27:11 → 00:27:13 และ Soundcloud เ้า
00:27:13 → 00:27:16 [เพลง]