00:00:00 → 00:00:03 ฟังดูแล้วการใช้สารทดแทนความหวานนะครับ
00:00:03 → 00:00:06 คือมันก็ช่วยให้เรายังกินอาหารเครื่อง
00:00:06 → 00:00:09 ดื่มขนมได้ยังฟินเหมือนเดิมแต่ว่าสิ่งที่
00:00:09 → 00:00:11 ดีขึ้นหน่อยก็คือเรื่องของแคลอรี่ที่อาจ
00:00:11 → 00:00:14 จะแคลอรี่ดีขึ้นกระตุ้นอินซูลินน้อยกว่า
00:00:14 → 00:00:16 เยอะครับถามว่ากระตุ้นมั้ยกระตุ้นแต่
00:00:16 → 00:00:19 กระตุ้นน้อยกว่าการที่โดปามีนจะหลังแล้ว
00:00:20 → 00:00:22 เกิดความสุขในร่างกายเราเนี่ยมันไม่ได้มี
00:00:22 → 00:00:27 แต่รสหวานมีสิ่งอื่นด้วยขมจัดๆเย็นจัดๆ
00:00:27 → 00:00:30 หรือว่าโปรตีนเยอะๆก็สามารถกระตุ้น
00:00:30 → 00:00:32 โดปามีนได้อีกด้วยชายเย็น 1 แก้วหมด 2
00:00:32 → 00:00:36 นาทีลูกอมเม็ดเล็กๆอยู่ในปากเราเป็น 5-6
00:00:36 → 00:00:39 นาทีแต่เรารู้สึกหวานรู้สึกเย็นตลอดเวลา
00:00:39 → 00:00:41 เพราะฉะนั้นปริมาณแคลอรี่มันลดลงมากเออ
00:00:41 → 00:00:43 เนาะถ้าเราหาอะไรที่มันอยู่ในปากแล้วทำ
00:00:43 → 00:00:46 ให้เราฟินได้นานขึ้นขนาดที่กลืนลงไปได้
00:00:46 → 00:00:48 น้อยลงมันก็ก็ช่วยแล้วถูกทุกนั่นแหละครับ
00:00:48 → 00:00:50 คือประเด็น This is the standard
00:00:51 → 00:00:55 podcast I open it for your ears
00:00:55 → 00:00:59 top to พcastสุขภาพที่ใช้วิทยาศาสตร์
00:00:59 → 00:01:03 ไขปัญหาตั้งแต่หัวจดเท้า
00:01:03 → 00:01:05 ใครๆก็รู้นะครับว่าน้ำตาลเนี่ยเป็นหนึ่ง
00:01:05 → 00:01:08 ในตัวปัญหาของสุขภาพแต่คนไทยอย่างเรา
00:01:08 → 00:01:11 เนี่ยครับเราชอบกินของอร่อยของหวานอยู่
00:01:11 → 00:01:14 แล้วนะครับแล้วทำยังไงที่เราจะกินของ
00:01:14 → 00:01:16 อร่อยได้เหมือนเดิมแต่ว่าสุขภาพเนี่ยยัง
00:01:17 → 00:01:19 ดีอยู่วันนี้เนี่ยเดี๋ยวเราอยู่กับเชฟ
00:01:19 → 00:01:22 แล้วก็นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารนะครับที่
00:01:22 → 00:01:25 จะมาแชร์กับเราว่าเราจะมีเทคนิคในการที่
00:01:25 → 00:01:28 จะกินของที่มันหวานๆยังไงให้healthตีดี
00:01:28 → 00:01:31 ขึ้นนะครับเราอยู่กับดร.นุติหุตสิงห์นะ
00:01:31 → 00:01:33 ครับหรือว่าเชฟทักครับเชฟทักสวัสดีครับ
00:01:33 → 00:01:36 ครับสวัสดีครับพี่สวัสดีครับแหมหลายคนอาจ
00:01:36 → 00:01:39 จะงงนะว่าทำไมพี่ถึงแบบเชิญเชฟมาคุยในราย
00:01:39 → 00:01:42 การวิทยาศาสตร์ทั้งๆที่จริงๆแล้วอย่างเชฟ
00:01:42 → 00:01:45 ทักเองอ่ะก็เรียนมาด้าน food science
00:01:45 → 00:01:47 ใช่ครับเรียน food science ตั้งแต่ตอนป.
00:01:47 → 00:01:51 ตรีเลยป.ตีเลยครับแต่ตอนหลังตรีก่อนเข้า
00:01:51 → 00:01:54 โทรก็มีไปรันร้านอาหารอยู่สักพักนึงแล้ว
00:01:54 → 00:01:57 โทรก็เรียน culinary science คือเป็นแบบ
00:01:57 → 00:01:59 หลักสูตรวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์สำหรับเชฟ
00:01:59 → 00:02:01 ที่เมืองนอกตอนนั้นได้ทุนไปแต่สุดท้ายก็
00:02:02 → 00:02:03 กลับมาเรียนเอกวิทยาศาสตร์ทางอาหารอยู่ดี
00:02:03 → 00:02:06 ครับน้อยมากที่จะเจอเชฟหรือว่าคนที่เรียน
00:02:06 → 00:02:09 ด้านเนี้ยไปถึงแบบดอกเตอร์อ่ะเป็น
00:02:09 → 00:02:12 ดอกเตอร์ทำวิจัยด้วยแน่นอนครับทำวิจัย
00:02:12 → 00:02:14 อะไรมาครับตอนปกเกี่ยวกับเรื่องรสชาติ
00:02:14 → 00:02:17 อร่อยเลยครับพอตอนเราไปทำร้านอาหารหรือ
00:02:17 → 00:02:19 ตอนไปเรียนต่อโทรเนี่ยเนี่ยมันจะมีแบบการ
00:02:19 → 00:02:21 คุกิ้งอะไรเยอะแยะมากมายแล้วคนก็จะเถียง
00:02:21 → 00:02:22 กันว่ามันมีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้อาหาร
00:02:22 → 00:02:25 มันอร่อยอาหารคาวเออแล้วสุดท้ายทุกคนก็
00:02:25 → 00:02:27 พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันคือรสชาติ
00:02:27 → 00:02:31 อุมามิอ่าอ่าแล้วตอนนั้นมันมีผักชื่นนึง
00:02:31 → 00:02:34 ดังขึ้นมามากบอกว่าเฮ้ยไปใช้ในอาหารแล้ว
00:02:34 → 00:02:36 มันให้รสอุมามินะผมก็อยากรู้ว่าแบบมันมี
00:02:36 → 00:02:38 กลไกอะไรมันคือผักอะไรมันมีสารอะไรในนั้น
00:02:38 → 00:02:41 ผมก็เลยกลับมาต่อเอกที่ไทยเพื่อศึกษา
00:02:41 → 00:02:43 เรื่องนี้โดยเฉพาะคือเรื่องรสอุมามิในผัก
00:02:43 → 00:02:45 ที่ทำให้อาหารอร่อยเอ้ยน่าสนใจมากเดี๋ยว
00:02:45 → 00:02:47 เรามาขยายประเด็นนี้กันเพราะว่าพี่เชิญ
00:02:47 → 00:02:49 เชิญทักมาเพราะว่าอยากได้ความรู้เกี่ยว
00:02:49 → 00:02:53 กับเรื่องรสชาติเลยเรื่องทั้งหวานแล้วก็
00:02:53 → 00:02:56 เค็มเพราะว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ของสุขภาพคน
00:02:56 → 00:02:59 ไทยเนาะถูกต้องใช่มั้ยถูกต้องเดี๋ยวเรามา
00:02:59 → 00:03:01 คุยเรื่องหวานก่อนหวานนี่ตัวใหญ่มากตัว
00:03:01 → 00:03:04 ใหญ่แล้วเป็น 2 2 รสชาติตะกี้เป็นปัจจัย
00:03:04 → 00:03:07 หลักที่ทำให้เกิดโรคความดันความจริงหวาน
00:03:07 → 00:03:09 มากกว่าเข็มด้วยซ้ำเพราะความดันมาเบาหวาน
00:03:09 → 00:03:12 มาโรคอื่นๆตามมาอีกเพียบใช่มั้ยถูกต้อง
00:03:12 → 00:03:14 ครับเป็นเชฟติดหวานมั้ยติดครับแล้วทำยัง
00:03:14 → 00:03:18 ไงโหมันมีหลายเทคนิคมากไม่ว่าจะเป็นจาก
00:03:18 → 00:03:23 เเปอร์จากงานรีวิวจากเทคนิคส่วนตัวก็มี
00:03:23 → 00:03:25 อีกเยอะมากงั้นเดี๋ยววันนี้แชร์ให้ให้ฟัง
00:03:25 → 00:03:28 หน่อยเดี๋แชร์หมดเปลือกเป็นที่แรก
00:03:28 → 00:03:31 exclusive มากงั้นคำถามแรกทำไมคนเราอ่ะ
00:03:31 → 00:03:35 ถึงติดหวานกลไกง่ายมากเวลาเรากินอะไรก็มี
00:03:35 → 00:03:39 ก็ได้ที่มีรสชาติหวานอืโดปามีนซึ่งเป็น
00:03:39 → 00:03:42 ฮอร์โมนในสมองหลั่งพอรังเสร็จปุ๊บเราเกิด
00:03:42 → 00:03:44 ความสุขเพราะโดปามินเป็นฮอร์โมนแห่งความ
00:03:44 → 00:03:47 สุขเป็น rewarding system ของสมองเราใช่
00:03:47 → 00:03:49 มั้อื
00:03:49 → 00:03:52 ความร่างกายเราก็เลยจำเงื่อนไขนี้ว่าการ
00:03:52 → 00:03:55 จะมีความสุก็ต้องกินหวานรสหวานก็เลยจำ
00:03:55 → 00:03:58 เป็นแพทเทิร์นอันนี้คือกลไกแบบเบสิคที่
00:03:58 → 00:04:00 สุดในการติดหวานแต่ความจริงมันมีฮอร์โมน
00:04:00 → 00:04:03 อื่นๆวิเลสแต่ว่าขอพูดแค่เรื่องโดปามีน
00:04:03 → 00:04:06 มันชัดสุดอืแล้วเราจะจัดการอะไรกับ
00:04:06 → 00:04:10 โดปามีนได้มั้ยมันเหมือนเรื่องสารเสพติด
00:04:10 → 00:04:12 เลยครับความจริงเค้าก็บอกว่าการที่เราเสพ
00:04:12 → 00:04:13 ติดอะไรบางอย่างโคเคนก็เหมือนกันก็เกี่ยว
00:04:14 → 00:04:16 กับโดมินมันเกี่ยวกับสมองส่วนเดียวกันกับ
00:04:16 → 00:04:18 น้ำตาลน่ะอืออืถ้าดีที่สุด Best CAS ที่
00:04:19 → 00:04:21 สุดแต่คนทำได้น้อยที่สุดคือหักดิบไปเลยก็
00:04:21 → 00:04:23 ไม่ต้องกินของหวานไปเลยสมมุติว่าวันนี้ผม
00:04:23 → 00:04:26 ติดหวานอยู่วันรุ่งขึ้นผมผมไม่กินน้ำ
00:04:26 → 00:04:28 เชื่อมไม่กินน้ำหวานไม่กินขนมหวานและถ้า
00:04:28 → 00:04:31 หักดิบไปได้ตลอดชีวิตนับตั้งแต่วันนี้จาก
00:04:31 → 00:04:34 รเหลือ 0 มันดีที่สุดอยู่แล้วถูกมั้ยครับ
00:04:34 → 00:04:37 อือแต่มันจะมีสักกี่คนใน 100 คนที่ทำได้
00:04:37 → 00:04:40 พี่ก็ทำไม่ได้เผลอๆแค่ 1 คนแล้วถึงทำได้
00:04:40 → 00:04:42 ทำได้แค่ 3 วันวันที่ 4 ตบะแตกกลับมากิน
00:04:42 → 00:04:45 หวานมากกว่าเดิมอืมันเป็นการหักดิบที่ไม่
00:04:45 → 00:04:49 ยั่งยืนแต่ผมนับถือคนที่ทำได้เก็เก็เก็ดี
00:04:49 → 00:04:52 เลยอครับอแต่อีก 99%
00:04:52 → 00:04:55 จนั่นแหละก็ต้องมาดูเทคนิคอื่นว่ามันมี
00:04:55 → 00:04:58 อะไรบ้างแล้วอย่างงี้จะมีเทคนิคอะไรบ้าง
00:04:58 → 00:05:01 ที่เราสามารถที่จะช่วยทำให้เราลดกลิ่น
00:05:02 → 00:05:05 หวานอ่าก้อนที่ 2 ตะกี้ก้อนก้อนแรกคือ
00:05:05 → 00:05:07 เรื่องหักดิบไปเลยใช่มั้ยครับจากรเหลือ 0
00:05:08 → 00:05:10 ภายในระยะเวลาเพียงวันเดียวมันจะเหมือน
00:05:10 → 00:05:13 เป็นกราฟแบบลงแบบตุ๊บเลยซึ่งน้อยคนก้อน
00:05:13 → 00:05:17 ที่ 2 เนี่ยคือค่อยๆลดหวานอือฮึบค่อยๆ
00:05:17 → 00:05:20 ค่อยๆอฮเช่นวันนี้เราติดสมมตินะสมมติเรา
00:05:20 → 00:05:23 ติดอ่าชาเย็น 100
00:05:23 → 00:05:25 อาทิตย์นี้กินเหลือหวาน 80 อาทิตย์ถัดมา
00:05:26 → 00:05:29 เหลือ 70 เหลือ 50 ไปเรื่อยๆเผอๆเดือนที่
00:05:29 → 00:05:33 2 เราอาจจะกินชานมหวานแค่ 25% มันจะชิน
00:05:33 → 00:05:37 ขึ้นมั้ยมันจะชินขึ้นคือความอยากหวานมัน
00:05:37 → 00:05:41 จะลดลงเพราะมันเกิดเขาเรียกว่าเทสโฮที่
00:05:41 → 00:05:44 บอกว่าอาหารเนี้ยมันหวานน่ะมันค่อยๆลดลง
00:05:44 → 00:05:46 เทสโฮคือความหวานน้อยที่สุดที่เราจะรู้
00:05:46 → 00:05:50 สึกว่าอาหารนี้อร่อยอืสมมุติคนติดหวานชาย
00:05:50 → 00:05:53 เย็นอาจจะต้องการแบบน้ำตาล 10 ช้อนโต๊ะ
00:05:53 → 00:05:55 ถึงจะบอกว่าอร่อยแต่การที่เราค่อยๆลด
00:05:55 → 00:05:58 เทรสโฮลเราค่อยๆลดตามปริมาณน้ำตาลที่เรา
00:05:58 → 00:06:01 ค่อยๆลดด้วยไงอืคนที่เขากินหวานน้อยเรา
00:06:01 → 00:06:04 บอกโอหหวานมากแล้วอ่ะเทสโฮเอาจจะแค่น้ำ
00:06:04 → 00:06:07 ตาล 2 ช้อนโต๊ะต่อชาเย็น 1 แก้วก็ได้ค่อย
00:06:07 → 00:06:11 ๆลดค่อยๆเป็นค่อยๆไปผมว่ามันยั่งยืนกว่า
00:06:11 → 00:06:12 แต่อันนี้คือไม่เอาเทคนิคอื่นเลยนะแค่
00:06:12 → 00:06:15 เรื่องค่อยๆลดน้ำตาลถามว่ามันทำได้ไหมมัน
00:06:15 → 00:06:18 ทำได้ดีด้วยแต่มันก็ยากด้วยเพราะว่ามันก็
00:06:18 → 00:06:20 ต้องมีการมอนิเตอร์ตัวเองถูกมยอาทิตย์นี้
00:06:20 → 00:06:23 เหลือเหลือหวาน 70 หวาน 50 หวาน 40 อืมัน
00:06:23 → 00:06:25 ก็ดูดีเนาะฟังดูมันเป็นทฤษฎีที่แบบเออถ้า
00:06:25 → 00:06:28 เราทำได้มันก็ดีกับสุขภาพแต่ในชีวิตจริง
00:06:28 → 00:06:31 อ่ะเฮ้ยวันนี้เหนื่อยจังเลยอ่ะวันนี้แบบ
00:06:31 → 00:06:33 ต้องการอะไรหวานๆหน่อยอ่ะมันก็ไม่ได้อยู่
00:06:33 → 00:06:36 ดีบางทีบางวันเราก็แบบไม่ได้เพราะเรา
00:06:36 → 00:06:38 เควingเราดันไปเสพติดไงครับว่าพอเรา
00:06:38 → 00:06:40 เหนื่อยเราอยากได้ความสุขถูกมั้ยอือแล้ว
00:06:40 → 00:06:42 สมองหรือว่า system เราเราไปจำไปแล้วว่า
00:06:43 → 00:06:47 การที่จะมีความสุขมันต้องมันต้องรสหวานอื
00:06:47 → 00:06:50 แต่คนที่เข้าใจว่าความสุขแล้วมันมีรสหวาน
00:06:50 → 00:06:52 มันเป็นตัวกระตุ้นน่ะตัวตรงกลางมันคือ
00:06:52 → 00:06:54 ฮอร์โมนที่เรียกว่าโดปามีนถ้าไปศึกษาลึก
00:06:54 → 00:06:57 อีกโดปามีนไม่ได้โดนหลั่งด้วยสารรสหวาน
00:06:57 → 00:07:00 เพียงอย่างเดียวไงอืมันสามารถหลั่งได้
00:07:00 → 00:07:03 ด้วยสารรถอื่นๆอีกด้วยซึ่งสารรถอื่นๆเ
00:07:03 → 00:07:05 เดี๋เรามาคุยกันแล้วผมก็ใช้เทคนิคเนี้ยใน
00:07:05 → 00:07:08 การรสหวานแล้วผมก็ค่อนข้างค่อนข้าง
00:07:08 → 00:07:11 success แสดงว่าตอนนี้เราบอกว่าสารที่ทำ
00:07:11 → 00:07:14 ให้โดปามีนหลั่งคือสารที่ทำให้เกิดความ
00:07:14 → 00:07:16 หวานซึ่งตัวหลักที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้
00:07:16 → 00:07:19 คือน้ำตาลถูกน้ำตาลครับแล้วงี้ถ้าเกิดเรา
00:07:19 → 00:07:22 ไม่อยากใช้น้ำตาลมีตัวอะไรบ้างที่เราใช้
00:07:22 → 00:07:24 ได้แล้วมันยังแบบทำให้เราฟินได้อีกบ้าง
00:07:24 → 00:07:26 โอเคมันก็จะกลับมาเรื่องตัว sweeter ถูก
00:07:26 → 00:07:29 มั้ครับอืออ่ะสมมุติผมผมอยู่บนสมมติฐาน
00:07:29 → 00:07:31 ว่ารสชาติหวานเท่าเดิมสมมุติว่า sweetness
00:07:31 → 00:07:33 intensity หรือความเข้มของความหวานเท่า
00:07:33 → 00:07:35 เดิมอ่ะมันไม่ได้มีแต่น้ำตาลที่ให้ความ
00:07:35 → 00:07:37 หวานได้อือก่อนเราไปรสชาติอื่นเอารสหวาน
00:07:37 → 00:07:42 ก่อนเนาะมีเรื่องน้ำตาลปกติก็คือซูโรสถูก
00:07:42 → 00:07:45 มั้ฮน้ำตาลทรายปกติขตัวนั้นมันให้พลังงาน
00:07:45 → 00:07:47 แล้วมันตัวนั้นก็กระตุ้นอินซูลินแต่มันมี
00:07:47 → 00:07:51 ตัวอื่นเช่นชูการแอลกอฮอล์ sweeter ทั้ง
00:07:51 → 00:07:53 หลายที่มันมีแบ่งเป็น 2 ประเภทนะครับพี่
00:07:53 → 00:07:56 ข้าวมันเป็นชูการแอลกอฮอลนะครับตัวนึง
00:07:56 → 00:07:58 แล้วอีกกลุ่มนึงเขาเรียกว่า intense
00:07:58 → 00:08:01 sweetener intense intense sweetener
00:08:01 → 00:08:04 อ่าฮะนั่นน่ะ sweeter ภาษาไทยมันคือสารทด
00:08:04 → 00:08:06 แทนความหวานสารทดแทนความหวานใช่มันที่มี
00:08:06 → 00:08:08 ขายอยู่ทั่วไปถูกต้องมี 2 กลุ่มอ่าฮะเค้า
00:08:08 → 00:08:11 เรียกว่าตัว BK Sweeter กับ Intense
00:08:11 → 00:08:14 Sweetener อ่าฮะเบาคือต้องใส่จำนวนเยอะ
00:08:14 → 00:08:17 ก็คือใส่ประมาณเท่าๆกับน้ำตาลถึงจะหวาน
00:08:17 → 00:08:19 เท่ากับน้ำตาลได้ออาฮะกลุ่มเหล่าเนี้ย
00:08:19 → 00:08:21 ส่วนใหญ่เป็นพวกชูการแอลกอฮอล์อะไรก็ตาม
00:08:21 → 00:08:24 ที่ลงท้ายด้วยอ้อทั้งหลายอยู่กลุ่มนี้หมด
00:08:24 → 00:08:27 multital ไitalอบitalถูกมั้ครับอยู่
00:08:28 → 00:08:31 กลุ่มนี้หมดอ๋อถ้าเกิดใครกินพวกหมักฝรั่ง
00:08:31 → 00:08:34 ไซริalใช่มั้ครับเอออะไรเงี้ยมีอ้อๆอ้อ
00:08:34 → 00:08:36 คือกลุ่มนี้กลุ่มแอลกอฮอล์กลุ่มชูการ
00:08:36 → 00:08:39 แอลกอฮอล์ครับซึ่งต้องใส่เยอะด้วยไม่ได้
00:08:39 → 00:08:42 เยอะกว่าน้ำตาลแต่ต้องใส่ปริมาณอยู่ในเ้า
00:08:42 → 00:08:44 เรียกว่าอยู่ในยูนิตยูนิตเดียวกับน้ำตาล
00:08:44 → 00:08:46 สมมุติสูตรเดิมใส่น้ำตาล 10 กรัมไอ้ตัว
00:08:46 → 00:08:49 นี้อาจจะต้องใส่ 12 กรัม 13 กรัมถึงจะ
00:08:49 → 00:08:51 หวานเท่ากับน้ำตาลอืเค้าเรียกเรียกว่าเบา
00:08:51 → 00:08:53 ไงพอคำว่าเบาแปลว่าใส่ลงไปแล้วมันให้
00:08:53 → 00:08:56 เนื้ออาหารก็เลยเรียกว่าเบแต่อีกกลุ่มนึง
00:08:56 → 00:08:59 อ่ะเศษเล็บนิดเดียวหวานเท่ากับน้ำตาลเลย
00:08:59 → 00:09:02 มีอะไรบ้างพวกนี้นะครับมีหญ้าหวานสตีเวีย
00:09:02 → 00:09:05 นะครับคนๆแน่นอนใช่มั้ครับหญ้าหวานน้ำตาล
00:09:05 → 00:09:08 หล่อฮางก๊วยซูคาโรสแอสปาแตมอซิซาเฟม
00:09:08 → 00:09:11 โปแทสเซียมขันทศกรพวก
00:09:11 → 00:09:16 พริกดูในน้ำอัดลมในนมเวโปรตีนที่พี่กิน
00:09:16 → 00:09:19 อะไรเงี้ยเจอไอ้พวกนี้แน่ๆแล้วก็มีคำที่
00:09:19 → 00:09:21 มักจะพูดเสมอแนะนำให้คนกินพวก Natural
00:09:21 → 00:09:24 Sweeter ใช่ป่ะอะไรนะ Natural Natural
00:09:24 → 00:09:26 Natural Natural ตอนเนี้ยถ้าเป็นตัว
00:09:26 → 00:09:28 Intense นะครับมันจะมีหญ้าหวานกับหล่อ
00:09:28 → 00:09:31 ฮางกล้วยหล่อฮางกล้วยอือ่าแล้วอี 2 กลุ่ม
00:09:31 → 00:09:33 นี้แต่ละกลุ่มมันมีข้อดีข้อเสียแตกต่าง
00:09:33 → 00:09:36 กันยังไงมั้ยถ้าเทียบโดยรวมก่อนยังยังไม่
00:09:36 → 00:09:39 แบ่ง 2 กลุ่มนะอ่า Sweet Tiner ทั้งหลาย
00:09:39 → 00:09:41 ไม่ว่าจะเป็น Intense หรือน้ำตาล
00:09:41 → 00:09:44 แอลกอฮอล์เทียบกับน้ำตาลทรายปกติความจริง
00:09:44 → 00:09:47 มันเป็นข้ออถกเถียงกันอยู่ถูกมั้ยครับว่า
00:09:47 → 00:09:49 จะกินสวิตนเนอร์ดีหรือกินน้ำตาลทรายปกติ
00:09:49 → 00:09:51 ดีถ้าเทียบแบบ Apple to Apple คือเทียบ
00:09:51 → 00:09:54 แบบไม่มีใบแอดเลยนะแล้วเทียบที่คความหวาน
00:09:54 → 00:09:56 เท่ากันไม่มันเทียบจำนวนปริมาณเท่ากันไม่
00:09:56 → 00:09:59 ได้ถูกมั้ยพอน้ำตาลทรายเทียบกับหญ้าหวาน
00:09:59 → 00:10:00 100 กับรอยไม่ได้เพราะหญ้าหวาน 100 กรัม
00:10:00 → 00:10:02 กินไม่ได้อยู่แล้วหวานหวานแบบหวานขมเลย
00:10:02 → 00:10:05 เทียบกับระดับความหวานเท่ากันออือผมยัง
00:10:05 → 00:10:09 เชียร์ให้รับประทานสweนเนอร์เพราะเพราะ
00:10:09 → 00:10:12 โดยภาพรวมแล้วอ่ะสวิตเterอร์กระตุ้น
00:10:13 → 00:10:16 อินซูลินน้อยกว่าน้ำตาลทรายอืเรื่อง
00:10:16 → 00:10:18 กระตุ้นอินซูลินนี่ก็เป็นคอนเซิร์นมาก
00:10:18 → 00:10:20 เหมือนกันถูกมั้ครับน้ำตาลทรายสมมุตินะ
00:10:20 → 00:10:22 สมมุติน้ำตาลทรายปกติกระตุ้นอินซูลิน 100%
00:10:22 → 00:10:25 ไอ้พวกสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่หลายคนเ
00:10:25 → 00:10:26 คอนเซิร์นเตัวนี้กระตุ้นหรือเปล่าตัวนี้
00:10:26 → 00:10:29 ไม่กระตุ้นอืความจริงเกือบทุกตัวกระตุ้น
00:10:29 → 00:10:31 แต่กระตุ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่าน้ำตาล
00:10:31 → 00:10:34 ทรายมากครับอืแสดงว่าถ้าเกิดมุมของว่ามัน
00:10:34 → 00:10:36 กระตุ้นอินซูลินมั้ยน้อยกว่าน้ำตาลทราย
00:10:37 → 00:10:39 น้อยกว่าแต่เกือบทุกตัวกระตุ้น
00:10:39 → 00:10:41 เพราะการกระตุ้นอินซูลินมันมี 2 เฟสมี 2
00:10:41 → 00:10:46 ระยะไงระยะที่ระยะส่วนหัวคือแตะลิ้นยัง
00:10:46 → 00:10:48 ไม่ต้องดูดซึมเลยนะแตะลิ้นก็กระตุ้นแล้ว
00:10:48 → 00:10:50 กับต้องหลังดูดซึมถึงจะกระตุ้นน้ำตาลทราย
00:10:50 → 00:10:54 กระตุ้นทั้งที่ลิ้นแล้วก็หลังดูดซึมทำถาม
00:10:54 → 00:10:56 ว่าทำไมที่ลิ้นต้องต้องกระตุ้นทำไมทำไม
00:10:56 → 00:10:58 ร่างกายต้องหลังอินซูลินตอนตอนอยู่ในลิ้น
00:10:58 → 00:11:00 แม้ว่ายังไม่ดูดซึมเพราะร่างกายเหมือน
00:11:00 → 00:11:02 เป็นการเตรียมตัวว่าแบบเฮ้ยน้ำตาลจะมา
00:11:02 → 00:11:04 แล้วนะอินซูลินหลังหน่อยแต่สัดส่วนอันนี้
00:11:04 → 00:11:07 ผมเทียบให้ฟังแบบคร่าวๆสัดส่วนการกระตุ้น
00:11:07 → 00:11:09 อินซูลินที่ระยะเเรียกว่าเฟalic face
00:11:09 → 00:11:13 หรือระยะหัวเนี่ยมันแค่ประมาณ 2-5% เมื่อ
00:11:13 → 00:11:14 เทียบกับการที่หลั่งอินซูลินทั้งหมดใน
00:11:15 → 00:11:19 ร่างกายอซึ่ง sweeter ทุกตัวมันแทบไม่
00:11:19 → 00:11:22 กระตุ้นอินซูลินหลังดูดซึมแต่มันกระตุ้น
00:11:22 → 00:11:24 แค่ส่วนหัวมันก็กระตุ้นน้อยถามว่ากระตุ้น
00:11:24 → 00:11:25 มั้ยกระตุ้นอยู่แล้วเพราะทุกตัวให้รสหวาน
00:11:25 → 00:11:28 ถูกมั้ครับอออืแต่มันกระตุ้นน้อยกว่าผม
00:11:28 → 00:11:31 เลยเชียร์ว่าถ้าเทียบน้ำตาลทรายกับน้ำตาล
00:11:31 → 00:11:34 สวิตนเนอร์อ่ะสวิตนเนอร์โดยรวมอ่ะยังดี
00:11:34 → 00:11:36 กว่าวงเล็บถ้ากินในปริมาณที่พอเหมาะไม่
00:11:36 → 00:11:38 ใช่พอผมบอกว่าโหสวิตเนอร์ดีกว่าแล้วอัด
00:11:39 → 00:11:41 สวิตเนอร์กินหวานเท่าเดิมแล้วมันก็มันก็
00:11:41 → 00:11:44 สวิตเนอร์แต่ละตัวมีผลเสียนะครับอืตรงนี้
00:11:44 → 00:11:48 น่าสนใจมากคือพี่เชื่อว่าคนที่เขา้าสนใจ
00:11:48 → 00:11:51 เรื่องสุขภาพอ่ะก็อหันมาใช้ sweeter กัน
00:11:51 → 00:11:54 อยู่และในชีวิตประจำวันแต่ว่าคำถามของคน
00:11:55 → 00:11:57 ใช้งานน่ะอาจจะแบบเฮ้ยแล้วเราควรจะเลือก
00:11:57 → 00:12:01 sweeter ตัวไหนเออพี่ว่านั้นเป็นคำถาม
00:12:01 → 00:12:03 ใหญ่เออที่หลายคนอาจจะไม่รู้แล้วก็แบบมัก
00:12:03 → 00:12:05 จะได้ยินข่าวว่าเดี๋ก็จะมีข่าวว่า
00:12:05 → 00:12:09 สweนเนอร์ชื่อนั้นชื่อนี้มันเสียงมะเร็ง
00:12:09 → 00:12:11 บ้างแหละนู่นนี่นั่นแล้วเราควรจะหลีก
00:12:11 → 00:12:15 เลี่ยงมั้ยอยากได้ให้ทักช่วยคifายให้
00:12:15 → 00:12:17 หน่อยได้ครับตะกี้เรามีสวิตเนอร์ 2 ก้อน
00:12:17 → 00:12:19 เนาะมีเป็นตัวเบหรือว่าชู้าแอลกอฮอล์กับ
00:12:19 → 00:12:22 ตัว intense ที่แบบใส่นิดเดียวก็ก็หวาน
00:12:22 → 00:12:25 ตัวเบาสส่วนใหญ่ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการ
00:12:25 → 00:12:28 เกิดมะเร็งนะครับหรือว่าผลเสียอะไรเช่นเ
00:12:28 → 00:12:31 ตะกเดี๋ยวผมจะลิสให้ดูนะital
00:12:31 → 00:12:34 multital 4 ตัวเนี้ยครับยังพบข้อดีด้วย
00:12:34 → 00:12:36 ซ้ำไปตรงที่ว่าถ้าเรากินในปริมาณพอเหมาะ
00:12:36 → 00:12:39 หรือเล็กเล็กเนี่ยอือปางตัวพบว่ามันเพิ่ม
00:12:39 → 00:12:42 จุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
00:12:42 → 00:12:44 อือมันไม่ย่อยในกระเพาะอาหารกับลำไส้เล็ก
00:12:44 → 00:12:46 เราใช่มั้ยครับแล้วมันเดินทางไปหาลำไส้
00:12:46 → 00:12:49 ใหญ่บางตัวเป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ได้
00:12:49 → 00:12:52 อีกด้วยอ๋ออฮถ้าจำไม่ผิดนี่เพิ่ม
00:12:52 → 00:12:55 บิฟิโดแบคทีเรียมในลำไส้ใหญ่ได้นะครับอือ
00:12:55 → 00:12:57 ฮึย้ำว่ากินในปริมาณพอเหมาะชูต้า
00:12:57 → 00:13:01 แอลกอฮอล์ข้อเสียคือถ้ากินเยอะจะถ่ายท้อง
00:13:01 → 00:13:03 ก็คือ laxative effectฟectหรือท้องอืด
00:13:03 → 00:13:06 เพราะมันย่อยให้เป็นพลังงานได้น้อยกว่า
00:13:06 → 00:13:08 เพราะว่าชูการก้าแอลกอฮอล์หลายคนบอกกิน
00:13:08 → 00:13:11 แล้วไม่อ้วนส่วนใหญ่ให้พลังงานครึ่งเดียว
00:13:11 → 00:13:17 ของน้ำตาลอ่าก็ยังให้ถูกมั้ครับอืไลital
00:13:17 → 00:13:20 เนี่ยให้ประมาณ 2 กว่าๆกิโลแคลน้ำตาลให้ 4
00:13:20 → 00:13:23 อือตัวที่ไม่ให้เลยคือitalให้น้อยมาก
00:13:23 → 00:13:26 เกือบจะ 0 จุดกว่าอือฮึถามว่าให้มให้ถ้า
00:13:26 → 00:13:29 ใครฟังตื่นเราบอกเฮ้ยชู้าแอลกอฮอล์ดีกิน
00:13:29 → 00:13:31 เยอะก็ยังให้พลังงานอยู่ก็ยังให้แคลอรี่
00:13:31 → 00:13:34 อยู่แค่มันลดลงครึ่งนึงกับกระตุ้น
00:13:34 → 00:13:36 อินซูลินน้อยลงอือแล้วอีกกลุ่มกลุ่มนึง
00:13:36 → 00:13:39 เหรออีกกลุ่มนึงเนี่ยตัวนี้เป็นประเด็น
00:13:39 → 00:13:42 Intense Swetner นักวิทยาศาสตร์ทาง
00:13:42 → 00:13:44 อาหารศึกษาเรื่องนี้เยอะมากเพราะเขาบอก
00:13:44 → 00:13:46 ว่าแม้ว่าจะเป็นตัวจากธรรมชาติไอ้หญ้า
00:13:46 → 00:13:50 หวานน่ะอืหลังๆหลายๆเปอร์เขาพบว่ามีข้อ
00:13:51 → 00:13:53 เสียเหมือนกันคือหญ้าหวานน่ะมันไป
00:13:53 → 00:13:56 เมตตาบไรตที่เราไส้ใหญ่แล้วมันได้สาร
00:13:56 → 00:13:58 STVAL กับbyโพของมันแล้วก็พบว่ามันไปรบ
00:13:58 → 00:14:02 กวนระบบนิเวศของจุลินทรีย์ชนิดดีก็คือลด
00:14:02 → 00:14:04 จำนวนลงอนะครับแต่เปเปอร์มันยังไม่ได้
00:14:04 → 00:14:06 เยอะมากผมก็ยังไม่อยากให้เค้าสรุปแต่พูด
00:14:06 → 00:14:09 ว่ามันมีมันเริ่มมีมูนแล้วกันนะครับแต่
00:14:09 → 00:14:11 ตัวที่ยังไม่มีหลักฐานแล้วยังปลอดภัย
00:14:11 → 00:14:15 เนี่ยคือหล่อฮังกวยนะครับมองฟุชug้ายัง
00:14:15 → 00:14:17 รับประทานได้ดีงั้นถ้าอยากให้เลือกแล้ว
00:14:17 → 00:14:20 แบบมีโอกาสเลือกได้อ่ะเลือกโปรดักหรือว่า
00:14:20 → 00:14:23 อะไรที่เขาใช้พวกน้ำตาลหล่อฮังกวยก็ยังจะ
00:14:23 → 00:14:26 ดีกว่าแล้วรสขมมันไม่ได้ขมเท่าเท่าหญ้า
00:14:26 → 00:14:29 หวานด้วยหญ้าหวานมันจะมีติดขมอ่ะเนาะอือ
00:14:29 → 00:14:33 พูดถึงขมคือไอ้กลุ่มที่เป็นกลุ่มไอ้ที่
00:14:33 → 00:14:36 เติมนิดเดียวแล้วแล้วหวานครับมันมีความขม
00:14:36 → 00:14:38 อยู่ใช่มั้ยหรือว่ายังไงขมอันนั้นเป็นขม
00:14:38 → 00:14:40 after test เป็นรสหลังจากที่เรากลืนไป
00:14:40 → 00:14:42 รสแรกมันหวานอยู่แล้วนะครับไอ้ตัวท็อป
00:14:42 → 00:14:45 notนตมันคือรสหวานแต่พอกลืนเข้าไปแล้วมัน
00:14:45 → 00:14:47 จะมีขม after test ติดอยู่ steevia
00:14:47 → 00:14:50 เนี่ยตัวที่ชัดมากแล้วอย่างงี้ในฐานะเชฟ
00:14:50 → 00:14:53 เลือกอะไรให้ตัวเองถ้าผมเป็นไปได้ใช่มยผม
00:14:53 → 00:14:57 จะเลือกอะไรที่เป็นแบบหล่อฮังกวยหรือ
00:14:57 → 00:14:59 ซูคาโรสซูคารโรสจะให้รสหวานที่ค่อนข้าง
00:14:59 → 00:15:02 คลีนแต่ซูคาโรสเป็นตัวสังเคราะห์นะไม่ได้
00:15:02 → 00:15:05 มาจากตัวธรรมชาติอือนะครับก็ยังกินได้
00:15:05 → 00:15:09 ปลอดภัยอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมแต่ทีเนี้ย
00:15:09 → 00:15:11 เวลาเราไปเลือกในซุเปอร์มาร์เก็ตอ่ะมันจะ
00:15:11 → 00:15:13 ไม่มีตัวไหนตัวหนึ่งที่แบบสมมุติว่านม
00:15:13 → 00:15:15 ยี่ห้อ 1 ใช้steีเวียอย่างเดียวน้อยมาก
00:15:15 → 00:15:17 ส่วนใหญ่เขาจะผสมตะกี้เราพูดถึงก้อน
00:15:18 → 00:15:21 intense นะมันจะไปผสมตัว bulk ด้วยอือ
00:15:21 → 00:15:23 เพราะว่าอันนี้ in general อันนี้เรื่อง
00:15:23 → 00:15:25 sensory sign แล้วนะครับไอ้พวกรสขมหรือ
00:15:25 → 00:15:27 รถ after test ยาวๆของตัว intense
00:15:27 → 00:15:29 sweeter ไม่ว่าจะเป็นหญ้าหวานหลอฮังกวย
00:15:29 → 00:15:32 sucarose มันสามารถกลบได้ด้วยตัว bulk
00:15:32 → 00:15:35 sweetener ก็คือพวกเช่น erit ใช่
00:15:35 → 00:15:38 suugar้าแอลกอฮอล์พวกครับพอโปรไฟล์รสหวาน
00:15:38 → 00:15:41 มันจะสั้นแต่ไอ้ตัว intensive มันยาวพอ
00:15:41 → 00:15:43 มันมาผสมกันมันจะเจ๊ากันแล้วได้โปรไฟล์รส
00:15:43 → 00:15:46 หวานใกล้เคียงน้ำตาลทรายเอ้ยหรือว่านี่
00:15:46 → 00:15:49 คือเหตุผลที่เวลาสมมุติพี่ซื้อพวกเครื่อง
00:15:49 → 00:15:51 ดื่มกินน่ะแล้วพลิกดูว่าเขาใช้สารทดแทม
00:15:51 → 00:15:54 ความหวานอ่ะไม่เคยมีอันไหนเลยที่มันจะใส่
00:15:54 → 00:15:56 ตัวเดียวใช่เพราะถ้าใส่ตัวเดียวถามว่า
00:15:56 → 00:15:59 หวานมหวานแต่เรื่องเซensoryกับเรื่องรส
00:15:59 → 00:16:02 ชาติมันไม่รอดอืพอใส่ตัวเดียวปุ๊บขมแต่
00:16:02 → 00:16:05 ถามว่ามีปัจจุบันมีไหมที่ใส่ตัวเดียวแล้ว
00:16:05 → 00:16:08 ได้มีเหมือนกันแต่แพงมากเขาเลยไม่เลือก
00:16:08 → 00:16:10 ใส่มันจะเป็น quality แบบแพงๆเกรด
00:16:10 → 00:16:13 พรีเมี่มเขาก็เลยต้องเลือกหญ้าหวานหรือ
00:16:13 → 00:16:15 ว่าน้ำตาลหลอกหางกวยที่มันไม่ได้แพงมาก
00:16:15 → 00:16:18 แล้วไปผสมกับตัวชูการ์แอลกอฮอล์นิดนึงอื
00:16:18 → 00:16:21 ซึ่งคนที่เลือกใช้กลุ่มเนี้ยกลุ่มหญ้า
00:16:21 → 00:16:23 หวานรอฮังกล้วยเลยพวกเนี้ยอาจจะไม่ค่อย
00:16:23 → 00:16:26 ชอบคืออาจจะมีแบบ after test ที่มันขม
00:16:26 → 00:16:28 ถูกนิดๆถูกมั้ยใช่เทียบกับกลุ่มแอลกอฮอล์
00:16:29 → 00:16:30 กลุ่มแอลกฮอคืออาจจะมีปัญหาเรื่องท้องอืด
00:16:30 → 00:16:33 อ่าถูกถ้ากินเยอะเกินไปถ้ากินเยอะเกิน
00:16:33 → 00:16:35 เพราะน้ำตาลหล่อฮังกวยที่หลายคนฮิตอ่ะที่
00:16:35 → 00:16:37 บอกบางคนซื้อซื้อมาฝากผมเป็นถุงๆอ่ะมัน
00:16:38 → 00:16:40 ไม่ใช่หล่อฮังกวย 100% นะเผลอๆน้ำตาลหล่อ
00:16:40 → 00:16:42 ฮังโก๊ยมีแค่ 1% แล้วที่เหลืออีก 99 เป็น
00:16:42 → 00:16:45 เบาไงเป็นตัวชู้าแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่ผสมออ
00:16:45 → 00:16:48 เหรอเราไม่ผสมไม่ได้เ้าเลยเรียกไอ้ชู้า
00:16:48 → 00:16:49 แอลกอฮอล์กลุ่มนั้นว่าเบาเพราะมันให้
00:16:49 → 00:16:53 ปริมาณถ้าทั้งถุง 1 กก.เป็นน้ำตาลแบบจาก
00:16:53 → 00:16:55 หล่อฮางกวยล้วนๆนะใช้ยากจะใช้ยากมากจะติด
00:16:55 → 00:16:58 ขมจะ after test ยาวแล้วใช้ได้ปริมาณนิด
00:16:58 → 00:17:01 เดียวออฮะครับอือันนี้คือสาเหตุเออแล้ว
00:17:01 → 00:17:03 อย่างงี้เดี๋นะเมื่อกี้บอกว่าตัว
00:17:03 → 00:17:05 แอลกอฮอล์ทั้งหลายมันจะมีแคลอรี่อยู่บ้าง
00:17:05 → 00:17:07 แม้ว่าจะสัดส่วนน้อยกว่าน้ำตาลใช่ป่ะแล้ว
00:17:08 → 00:17:10 ไอ้กลุ่มเนี่ยกลุ่มนิดใส่เยอะกลุ่มเล็กๆ
00:17:10 → 00:17:13 น้อยๆด้วยความที่มันใส่น้อยมากคือตัว
00:17:14 → 00:17:15 ธรรมชาติเองก็ไม่ให้แคลอรี่อยู่แล้วเกือบ
00:17:15 → 00:17:18 จะ 0 เลยแต่มันจะมีบางตัวที่มันอาจจะให้
00:17:18 → 00:17:21 นิดเดียวเช่นมันจะมีแสปaอย่างเงี้ยครับพอ
00:17:21 → 00:17:23 แอสปาแตมมันมันเป็นกดอะมิโนชนิดหนึ่งนะ
00:17:23 → 00:17:28 แมปมันให้พลังงานอาจจะ 2-3 กแคต่อกรัมแต่
00:17:28 → 00:17:31 เวลาใส่โดสในอาหารน่ะมันใส่เป็นหลัก ppm
00:17:31 → 00:17:33 อ่ะน้อยมากเพราะฉะนั้นพลังงานมันแทบไม่
00:17:33 → 00:17:35 contribute อยู่แล้วโดยสรุป intensive
00:17:35 → 00:17:37 ไม่ให้พลังงานครับแสดงว่าใครที่กังวล
00:17:37 → 00:17:41 เรื่องอ้วนแล้วอยากจะใช้ไอ้สารทดแทนความ
00:17:41 → 00:17:45 หวานควรจะเลือกกลุ่ม intense retainer
00:17:45 → 00:17:48 แต่ถ้าใช้ยากก็ต้องไปผสมกับตัวชู
00:17:48 → 00:17:51 แอลกอฮอล์อาจจะไปผสมกับก็ได้เพราะให้ 0
00:17:51 → 00:17:54 กิโลแควไงฮแต่ตัวอื่นมัน 2.1 2.2 2.3 3
00:17:54 → 00:17:56 มันก็ยังครึ่งนึงของน้ำตาลทรายอยู่ดีอัน
00:17:56 → 00:17:58 นี้ก็ดูเป็นศิลปะในการใช้สารให้ความหวาน
00:17:58 → 00:18:02 แล้วศิลปะมากถึงเราจะใช้ erital ที่ให้
00:18:02 → 00:18:04 พลังงาน 0 กิโลแคลแต่ถ้าใช้ในอาหารปิด
00:18:04 → 00:18:08 ประเภทเช่นไปใส่ในไอศครีมอไปใส่ในแยมตก
00:18:08 → 00:18:10 ผลึกเลยเพราะitalละลายน้ำแย่มากเห็นมั้
00:18:10 → 00:18:12 มันจะมีข้อจำกัดของมันอยู่อืมันจะมีหลาย
00:18:12 → 00:18:16 หลายประเด็นให้คอนเซิร์นแล้วอะไรนะล้ำ 1
00:18:16 → 00:18:18 ลิตรละลายได้แค่ 80 กรัมเองอ่ะแต่แยมน้ำ
00:18:18 → 00:18:20 ตาลต้องเยอะมากหลายคนไม่รู้ไปเอาอิทอal
00:18:20 → 00:18:24 กวนแยมตั้งไว้สักพักเป็นเกล็ดขึ้นเพราะใน
00:18:24 → 00:18:27 น้ำแย่ก็ต้องไปใช้พวก multital แทนแล้ว
00:18:27 → 00:18:29 อย่างี้มันมีสวิตเนอร์ตัวไหนที่แบบเลี่ยง
00:18:29 → 00:18:33 ได้เลี่ยงมั้ยที่มีข้อมูลทางมีคลินิกเยอะ
00:18:33 → 00:18:35 ว่าอันตรายถ้าสมัยก่อนผมจะบอกว่าเป็น
00:18:35 → 00:18:38 แซคารินหรือขันทศกรแต่ตอนนี้ด้วยความที่
00:18:38 → 00:18:41 มันมีหลักฐานว่ามันสามารถเป็นคาสิโนเจน
00:18:41 → 00:18:43 ได้อุตสาหกรรมเขาก็เลิกใช้ไปแล้วจะหายาก
00:18:43 → 00:18:46 มากแทบไม่มีเลยว่าว่าอาหารไหนใช้แซคาริน
00:18:46 → 00:18:48 แต่เพิ่ง 2 ปีที่ผ่านมาอีกตัวนึงที่เป็น
00:18:49 → 00:18:51 จำเลยก็คือเขาพบว่าเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม
00:18:51 → 00:18:54 2B คือเริ่มมีแนวโน้มที่จะเกิดสารก่อ
00:18:54 → 00:18:56 มะเร็งนะครับถ้าถ้ากลุ่ม 1 กับ 2A เนี่ย
00:18:56 → 00:19:00 มีโอกาสแนวโน้มสูงอันนี้ได้ 2B ก็คือ 5050
00:19:00 → 00:19:02 ก็คือตัวแอสปาแตมอือืหลายคนก็พยายาม
00:19:03 → 00:19:05 เลี่ยงอะไรที่เขา้าเติมแอสปาแตมกันเพราะ
00:19:05 → 00:19:08 มันเริ่มมีมูลซึ่งมันส่วนใหญ่ผู้ผลิตเขา
00:19:08 → 00:19:10 จะเติมแอสปาแตมในไหนบ้างอสมัยก่อนมันจะมี
00:19:10 → 00:19:13 ในพวกน้ำตาลเทียมที่เขาที่เขาซื้อกันเป็น
00:19:13 → 00:19:16 ผงๆแล้วให้ผู้บริโภคไปเติมกาแฟเองมันจะมี
00:19:16 → 00:19:19 หลายยี่ห้อที่เขาเบนแอสปาแตมมาหรือว่าน้ำ
00:19:19 → 00:19:21 อัดลมบางยี่ห้อก็จะมีแอสปาแตมแต่ตั้งแต่
00:19:21 → 00:19:24 มีข่าวอันนั้นเขาก็เลี่ยมไปใช้ตัวอื่นไป
00:19:24 → 00:19:27 ใช้ frame k ไปใช้ suarose ครับซึ่งโดย
00:19:27 → 00:19:29 ทั่วๆไปมันก็ยังโอเคอยู่รับประทานได้รับ
00:19:29 → 00:19:31 ประทานได้ยังไม่ได้น่ากลัวอะไรโอเคนั่น
00:19:31 → 00:19:34 คือเรื่องของ sweeter สารทันใช่อันนี้คือ
00:19:34 → 00:19:36 กรณีที่แบบยังอยากกินหวานเหมือนเดิมนะแต่
00:19:36 → 00:19:38 เราเปลี่ยนฟอร์มจากน้ำตาลทรายที่เป็นน้ำ
00:19:38 → 00:19:42 ตาลทรายขาวหรือซูโครสเป็นสารอื่นอืออือ
00:19:42 → 00:19:44 นึกได้นึงเดี๋ขอถามก่อนพูดถึงน้ำตาลทราย
00:19:44 → 00:19:47 เงี้ยเรามักจะเคยได้ยินมาว่าแบบเฮ้ยน้ำ
00:19:47 → 00:19:51 ตาลทรายสีขาวเทียบกับน้ำตาลทรายสีไม่ขัด
00:19:51 → 00:19:54 สีน้ำตาลไม่ขัดสีอ่าน้ำตาลคาราเมลน้ำตาล
00:19:54 → 00:19:56 ทรายแดงใช่มั้ Hey กว่า healy กว่ามั้ย
00:19:56 → 00:19:59 ไม่อ่ะครับตามเปอร์งานวิจัยหลายๆอันน่ะ G
00:19:59 → 00:20:01 ใกล้เคียงกันมากน้ำตาลทรายปกติมัน 65
00:20:02 → 00:20:04 60-65 วิ่งเรนอยู่เท่านี้ใช่มั้ครับแล้ว
00:20:04 → 00:20:06 เขาก็ทดลองเอาน้ำตาลทรายไม่ขัดสีมาไม่ขัด
00:20:06 → 00:20:09 สีมันก็แค่มีโมลักากน้ำตาลเกาะนิดเดียว
00:20:09 → 00:20:11 เอาไปเทียบค่า G ก็เท่ากันค่า GI คือ
00:20:11 → 00:20:13 ระดับความเร็วของน้ำตาลที่พุ่งขึ้นใน
00:20:13 → 00:20:15 กระแสเลือดระดับน้ำตาลกลูโคสที่เพิ่มขึ้น
00:20:15 → 00:20:18 ในกระแสเลือดต่อเวลาอืโดยเขาเอาตัวที่
00:20:18 → 00:20:22 เป็น Reference คือการกินพวกกลูโคสปิเพีย
00:20:22 → 00:20:24 สมมุติเรามีกลูโคสผงปเพียวยัดเข้าปากอัน
00:20:24 → 00:20:27 นั้นคือ G 100 อือเป็น Reference ตั้งไว
00:20:27 → 00:20:29 แล้วตัวอื่นสมมุติตะกี้เราเอาน้ำตาล
00:20:29 → 00:20:31 กลูโคสยัดเข้าปากใช่มั้ยแต่ถ้าเป็นน้ำตาล
00:20:31 → 00:20:34 ทรายน้ำตาลทรายขาวที่ชงกาแฟยัดเข้าปาก
00:20:34 → 00:20:38 แล้วพอเขาเทียบtiveกันน่ะมันขึ้นแค่ 65%
00:20:38 → 00:20:41 ในระยะเวลาเท่ากันของกลูโคสเ้าบอกไอ้นี่
00:20:41 → 00:20:44 G65 ก็คือทำให้ระดับน้ำตาระดับกลูโคสใน
00:20:45 → 00:20:47 เลือดขึ้นช้ากว่าขึ้นช้ากว่าขึ้นช้าซึ่ง
00:20:47 → 00:20:51 ไม่ว่าจะทรายแดงหรือทรายขาวก็พอกันพอๆกัน
00:20:51 → 00:20:55 กินไปเหอะแล้วแต่ชอบเงี้สมัยก่อนคนเลือก
00:20:55 → 00:20:57 ที่จะกินน้ำตาลทรายไม่ขัดสีพอน้ำตาลทราย
00:20:57 → 00:20:59 ขัดสีเขาใช้กรรมฐานในการขัดสีอเขาก็จะ
00:21:00 → 00:21:01 เลี่ยงไอ้พวกสารประกอบซันไฟท์เหล่านั้น
00:21:01 → 00:21:04 แต่ปัจจุบันน้ำตาลไซส์ขาวไม่ได้ใช้พวกสาร
00:21:04 → 00:21:07 ฟอกฟอกขาวแล้วมันใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
00:21:07 → 00:21:09 เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มันปลอดภัยมากกว่า
00:21:09 → 00:21:11 อือครับเพราะฉะนั้นน้ำตาลทรายขาวกับน้ำ
00:21:11 → 00:21:15 ตาลทรายไม่ฟอกสีถ้าพูดตรงๆคือเลวพอกันไม่
00:21:15 → 00:21:18 ได้มีตัวไหนดีกว่ากันครับแค่เป็นเรื่อง
00:21:18 → 00:21:20 ของ marketing กับ Emotional แค่นั้นเอง
00:21:20 → 00:21:23 โอเคฟังดูแล้วการใช้สารทดแทนความหวานนะ
00:21:23 → 00:21:26 ครับคือมันก็ช่วยให้เรายังกินอาหาร
00:21:26 → 00:21:30 เครื่องดื่มขนมได้ยังฟินเหมือนเดิมแต่ว่า
00:21:30 → 00:21:32 สิ่งที่ดีขึ้นหน่อยก็คือเรื่องของแคลอรี่
00:21:32 → 00:21:35 ที่อาจจะแคลอรี่ดีขึ้นหน่อยกระตุ้น
00:21:35 → 00:21:37 อินซูลินน้อยกว่าเยอะครับถามว่ากระตุ้น
00:21:37 → 00:21:40 มั้ยกระตุ้นแต่กระตุ้นน้อยกว่าโอเคก็คือ
00:21:40 → 00:21:43 เลือกกินได้เลี่ยงแอสปาแตมก่อนช่วงนี้
00:21:43 → 00:21:46 เลี่ยงแอสปาแตมก่อนถูกต้องโอเคอ่ะแล้วถ้า
00:21:46 → 00:21:48 นอกจากการเลือกใช้สารทดแทนความหวานแล้วมี
00:21:48 → 00:21:51 เทคนิคอะไรอีกบ้างที่เราสามารถจะมาใช้ใน
00:21:51 → 00:21:53 ชีวิตได้ตะกี้เราแต่เรื่องรสหวานเนาะที
00:21:53 → 00:21:56 นี้เรามาดูกันว่าการที่โดปามีนจะหลังแล้ว
00:21:56 → 00:21:59 เกิดความสุขในร่างกายเราเนี่ยมันไม่ได้มี
00:21:59 → 00:22:05 แต่รสหวานมีสิ่งอื่นด้วยอขมจัดๆเย็นจัดๆ
00:22:05 → 00:22:08 ออฮะหรือว่าโปรตีนเยอะๆก็สามารถกระตุ้น
00:22:08 → 00:22:11 โดปามีนได้อีกด้วยจริงหรอยังไงอ่ะอันนี้
00:22:11 → 00:22:14 เป็นอีกปัจจัยนึงนะครับแล้วผมจะมีตัว
00:22:14 → 00:22:17 เซอร์ไพรส์ตัวสุดท้ายตะกี้ขมจัดใช่มั้ย
00:22:17 → 00:22:20 เค็มจัดความจริงเผ็ดก็กระตุ้นโดปามีนแต่
00:22:20 → 00:22:22 เผ็ดเราคงไม่อยากแบบจะกินของหวานแล้วไปหา
00:22:22 → 00:22:25 ของเผ็ดเนาะอตัวสุดท้ายที่ไม่เกี่ยวกับรส
00:22:25 → 00:22:28 ชาติเลยนะคือเพื่อนรักของเราตั้งแต่เรา
00:22:28 → 00:22:31 เกิดมาครับอะไรวะโปรไบโอติกจุลินทรีย์
00:22:31 → 00:22:34 ชนิดดีในลำไส้ใหญ่ถ้าเราเลี้ยงเ้าดีเรา
00:22:34 → 00:22:37 กินผักเยอะแล้วระบบนิเวศของจุลินทรีย์มัน
00:22:37 → 00:22:40 ดีเราจะอยากหว่านลดลงจำได้มั้ยมันจะมีนัก
00:22:40 → 00:22:42 วิทยาศาสตร์หลายคนบอกว่าเรามีสมอง 2 ส่วน
00:22:43 → 00:22:46 นะสมองข้างบนอือแล้วก็ second เนี่ยคือลำ
00:22:46 → 00:22:50 ไส้ใหญ่อือฮึเพราะว่าตัวไบโอติอ่ะมีส่วน
00:22:50 → 00:22:53 ในการกระตุ้นโดปามีนได้โอเคเดี๋ยวๆไปทีละ
00:22:53 → 00:22:57 ตัวครับขมขมคือยังไงให้กินอะไรมันมี
00:22:57 → 00:23:00 เปเปอร์น่าจะ 2-3 2-3 เปเปอร์เขาพบว่ารส
00:23:00 → 00:23:04 ชาติที่ขมจะขมหรือขมไม่จัดก็ได้เวลาเรา
00:23:04 → 00:23:07 กินเข้าไปโดปามีนหลังได้เหมือนกันสังเกต
00:23:07 → 00:23:10 สมมุติคนไม่ได้ติดหวานแต่คนที่ชอบแบบกิน
00:23:10 → 00:23:14 ข้าวเสร็จเช่นคนอิตาลีสั่งเอสปรสโซอ่าฮะ
00:23:14 → 00:23:18 อ่าเวลากินกาแฟเราจะรู้สึกฟินเพราะรสมัน
00:23:18 → 00:23:22 ขมจัดสังเกตความอยากหวานจะลดลงอือฮึไม่
00:23:22 → 00:23:24 รู้ใครสังเกตหรือเปล่าแต่ผมเป็นเพราะผม
00:23:24 → 00:23:28 พูดตามตรงอาชีพเนี้ยมันต้องเทสอาหารเยอะ
00:23:28 → 00:23:32 มากใช่มั้ครับผมเป็นคนนึงที่ติดหวานหลัง
00:23:32 → 00:23:35 กินข้าวเสร็จมันจะอยากหาน้ำตาลละแต่ถ้า
00:23:35 → 00:23:38 กินกาแฟดำ 1 แก้วหรืออมกาโนก็ได้หรือ
00:23:38 → 00:23:42 โกโก้เข้มๆก็ได้ความอยากหวานจะลดลงเกือบ
00:23:42 → 00:23:44 หายไปเลยคือเราจะไม่รู้สึกเควingน้ำตาล
00:23:44 → 00:23:46 เท่าเดิมเฮ้ยอันนี้น่าสนใจต้องไปลองอ่ะ
00:23:46 → 00:23:50 ใช่ลองลองได้เลยครับเย็นนี้ลองเลยอันนี้
00:23:50 → 00:23:54 คือขมใช่มั้ยขมถ้านอกจากกาแฟนอกจากโกโก้
00:23:54 → 00:23:57 อะไรก็ตามที่ขมนี่ได้หมดเลยป่ะได้หมดขมๆ
00:23:57 → 00:23:59 กระตุ้นโดปามีนได้แล้วพอโดปามีนหลังเราจะ
00:23:59 → 00:24:02 รู้สึกความสุขแล้วร่างกายเราจะค่อยๆลืม
00:24:02 → 00:24:06 ว่าความสุขที่ได้มาจากน้ำตาลมันก็จะเ
00:24:06 → 00:24:08 เรียกว่า distraction sensory ไงคือมัน
00:24:08 → 00:24:10 เกิดการเบี่ยงเบนเมื่อก่อนเราจะจำตลอด
00:24:10 → 00:24:11 ความสุขมาจากความหวานความสุขมาจากความ
00:24:11 → 00:24:14 หวานตอนนี้เริ่มแล้วว่าความสุขมาจากความ
00:24:14 → 00:24:15 ขมเพราะฉะนั้นความอยากน้ำตาลมันจะลดลงไม่
00:24:15 → 00:24:18 ใช่ลดลงแค่มือนั้นแต่มันจะลดลงในมื้อถัดๆ
00:24:18 → 00:24:21 ไปด้วยไงถ้าเราเริ่มสั่งสมองเราให้
00:24:21 → 00:24:25 เปลี่ยนเงื่อนไขการจำว่าความสุขมาจากรสขม
00:24:25 → 00:24:28 ได้ด้วยแล้วถ้าเกิดเป็นอย่างแบบอะไรดีอ่ะ
00:24:28 → 00:24:31 สมมุติพี่กินอาหารมื้อหนักเสร็จใช่ป่ะ
00:24:31 → 00:24:34 แล้วมื้อนั้นกินของที่มีของขมๆเยอะๆเช่น
00:24:34 → 00:24:37 มะระมะระขี้นกหรืออะไรเงี้ยผักที่มันขมๆ
00:24:37 → 00:24:39 เงี้ยมันช่วยทำให้เราอยากหวานน้อยลงมั้ย
00:24:40 → 00:24:44 ถ้าตามทฤษฎีน่าจะช่วยลดแต่ว่ายังไม่มีใคร
00:24:44 → 00:24:46 พิสูจน์ยังไม่ใช่ยังไม่มีใครพิสูจน์อีก
00:24:46 → 00:24:49 ทฤษฎีนึงที่เขาบอกกาแฟมันช่วยลดได้อ่ะแต่
00:24:49 → 00:24:52 ยังไม่มีใครอธิบายเป็นเรื่องmeisึมคือว่า
00:24:52 → 00:24:55 การที่เราอยากหวานหลังมื้อคราวอ่ะนอกจาก
00:24:55 → 00:24:57 เรื่องความสุขกับโดปามีนแล้วมันคือเรื่อง
00:24:57 → 00:25:00 ของความรู้สึกไม่สบายในปากอมันรู้สึกว่า
00:25:00 → 00:25:02 มันคาวแต่พอมันเป็นมะระอย่างเงี้ยมันกลาย
00:25:02 → 00:25:04 เป็นมื้อมันกลายเป็นอาหารคาวไปแล้วอ่ะอือ
00:25:04 → 00:25:07 ๆมันอาจจะยังรู้สึกอยากหวานอยู่เพราะว่า
00:25:07 → 00:25:09 มันจะรู้อยากรู้สึกล้างปากหาอะไรมาล้าง
00:25:09 → 00:25:12 ปากใช่แต่พอเอเปรสโซมันทั้งขมแล้วมันมัน
00:25:12 → 00:25:14 ล้างปากได้ด้วยถูกมั้ครับมันจะรู้สึกหวาด
00:25:14 → 00:25:17 ลดลงโอเโอเคน่าสนใจมากนอกจากขมเมื่อกี้
00:25:17 → 00:25:19 พูดพูดเรื่องอะไรเย็นเหรอเย็นจัดเออเย็น
00:25:19 → 00:25:21 มันดูแปลกๆเนาะความจริงเย็นหรือว่า
00:25:21 → 00:25:23 cooling effectect จาก mental เขาก็พบ
00:25:23 → 00:25:25 ว่ามันมีส่วนในการกระตุ้นโดปามินได้
00:25:25 → 00:25:29 เหมือนกันลูกอมลูกอมได้ชาเปเปอร์มิ้ก็
00:25:29 → 00:25:31 ช่วยอืนะครับนอกจากโดปามินมันก็ย้อนกลับ
00:25:31 → 00:25:33 ไปเรื่องเดิมคือเรื่องทำให้รู้สึกว่าปาก
00:25:33 → 00:25:36 มันไม่คาวคือหลายคนน่ะอยากกินหวานไม่ได้
00:25:36 → 00:25:37 เรื่องความสุขอย่างเดียวแต่มันรู้สึกว่า
00:25:37 → 00:25:41 ปากมันคาวมันอยากหาอะไรล้างอืแต่พอมันมี
00:25:41 → 00:25:44 ลักษณะมิ้นๆลูกอมเปปเปอร์มิ้นทอีกอันนึง
00:25:44 → 00:25:47 ที่หลายคนนึกไม่ถึงคิดก่อนไม่ต้องเอาอะไร
00:25:47 → 00:25:50 กลืนเข้าลำไส้เลยครับลองนึกอ่ะลูกอมมันก็
00:25:50 → 00:25:52 มีมันก็อาจจะมีน้ำตาลเทียมเข้าไปนิดนึง
00:25:52 → 00:25:56 ใช่มยหรือว่าชาเปเปอร์มินอ่ะก็มีก็มีน้ำ
00:25:56 → 00:25:59 เข้าไปมันจะมีอยู่อย่างนึงที่ไม่ต้องเอา
00:25:59 → 00:26:01 อะไรกระซวกเข้าไปในร่างกายคืออะไรวะกลั่ว
00:26:01 → 00:26:06 ปากหรอใช่แปรงฟันอ๋อแปรงฟันใช้น้ำยาบ้วน
00:26:06 → 00:26:10 ปากนะครับออฮแล้วอย่าลืมในยาสีฟันหรือน้ำ
00:26:10 → 00:26:13 ยาบ้วนปากมันไม่ได้มีแต่สารให้รสเย็นๆ
00:26:13 → 00:26:16 อย่างเดียวนะทุกยี่ห้อใส่ชูการ์ได้
00:26:16 → 00:26:18 แอลกอฮอล์สังเกตเวลาเราแปรงฟันจะมีรสหวาน
00:26:18 → 00:26:22 นิดๆพอมันได้หวานนิดๆแล้วก็มิ้นนิดๆโดย
00:26:22 → 00:26:24 ที่ไม่มีแคลอรี่เลยเพราะเราไม่มีใครกลืน
00:26:24 → 00:26:26 อย่าสีฟันถูกมั้ยเออแล้วเราบนออกนั่นแหละ
00:26:26 → 00:26:29 ครับตัวปามีนหลังแล้วพอเรารู้สึกว่าปาก
00:26:29 → 00:26:31 เราสะอาดเราจะไม่ค่อยอยากกินของหวานชินี้
00:26:31 → 00:26:33 ทำได้อย่างงี้ช่วงไหนอยากลดน้ำหนักก็คือ
00:26:33 → 00:26:35 กินข้าวเสร็จแล้วรีบไปแปรงฟันแล้วนะใช่
00:26:35 → 00:26:37 แล้วสังเกตจะไม่ค่อยอยากของหวานเออครับจะ
00:26:37 → 00:26:40 ไม่ค่อยอยากของหวานถ้าพูดแบบภาษาบ้านๆคือ
00:26:40 → 00:26:43 ถ้าไม่พูดเรื่องmeคanismหรือฟิioเลยอ่ะ
00:26:43 → 00:26:45 แปรงฟันแล้วอ่ะก็ไม่อยากกินอะไรเออแค่
00:26:45 → 00:26:46 นั้น
00:26:46 → 00:26:49 มันรู้สึกปากสะอาดก็ไม่อยากหาของหวานไป
00:26:49 → 00:26:52 กินออโอเคโอเคแต่ชินี้ผมทำบ่อยสมมุติว่า
00:26:52 → 00:26:56 ผมไปออกกองหรืออยู่ตามร้านอาหารหรือว่าไป
00:26:56 → 00:26:59 สถานที่ไหนที่ไม่สะดวกที่จะมีพวกของขมใช่
00:26:59 → 00:27:02 มั้ยกาแฟหรือชาผมก็พกลูกอมเปเปอร์มิ้นทไป
00:27:02 → 00:27:05 อันนึงกินของคาวเสร็จกินน้ำตามเสร็จปุ๊บ
00:27:05 → 00:27:08 ก็เอาเปเปอร์มิ้นแบบเผ็ดๆเลยนะจัดเข้าปาก
00:27:08 → 00:27:11 ก็ไม่รู้สึกว่าอยากของหวานแล้วอืออืจบมัน
00:27:11 → 00:27:13 ช่วยได้เยอะผมพูดได้เต็มปากเพราะผมเป็นคน
00:27:13 → 00:27:15 ที่ติดคองหวานแล้วใช้เทคนิคต่างๆพวกเนี้ย
00:27:15 → 00:27:17 เราลดแล้วตอนนี้แทบไม่กินขนมหวานหลังกิน
00:27:17 → 00:27:20 ข้าวแล้วอ่ะออชีวิตมีความสุขมั้ยเนี่ยมัน
00:27:20 → 00:27:23 ดีขึ้นถ้าอย่างที่ผมบอกถ้ามันหักดิบอ่ะ
00:27:23 → 00:27:27 มันจะมันจะทรมานอ่าแต่พอเรามีวิธีการเค้า
00:27:27 → 00:27:29 เรียกว่า distraction sensory หรือการ
00:27:29 → 00:27:32 การหลอกประสาทสัมผัสอ่ะครับมันจะช่วยได้
00:27:32 → 00:27:34 โดยที่เราไม่ได้แบบผอพะอมมากอ่ะไม่ได้รู้
00:27:34 → 00:27:37 สึกแบบโรงแดงนึกออกมั้ยอ่าฮอันนี้สนใจ
00:27:37 → 00:27:40 เดี๋ยวไปทำเดี๋ยวจะไปลองบ้วนปากดูลองลอง
00:27:41 → 00:27:43 อืเมื่อกี้อีกอันนึงจดไว้อันนี้สนใจกิน
00:27:43 → 00:27:47 โปรตีนเยอะๆทำไมอ่ะเกี่ยวอะไรถ้าคนที่สาย
00:27:47 → 00:27:49 ที่แบบเพาะกายหรืออะไรแบบเนี้ยจะอ่าน
00:27:49 → 00:27:52 เเปอร์มาเยอะว่าปริมาณโปรตีนคทนต่อมื้อ
00:27:52 → 00:27:55 อาหารหลั่งโดปามีนได้แต่มันจะไม่รู้สึก
00:27:55 → 00:27:59 ฟินเหมือนการกินของขมหรือการกินมิ้นๆอัน
00:27:59 → 00:28:01 นี้ผมก็ทดลองมากับตัวเองนะอฮผมไม่เชื่อ
00:28:01 → 00:28:03 ว่ามันแบบมันจะทำให้อยากของหวานได้จริงๆ
00:28:03 → 00:28:05 สมมุติว่ากินอาหารคาวเสร็จแล้วเราอยากของ
00:28:05 → 00:28:09 หวานผมไปลองดื่มอันนี้คือผมเข้ายิมใช่มั้
00:28:09 → 00:28:12 ผมก็กินได้เวโปรตีนออฮะเครื่องดื่มโปรตีน
00:28:12 → 00:28:14 สูงหลังจากกินแบบมื้อหนักหลังจากกินมื้อ
00:28:14 → 00:28:17 หนักพอกินเสร็จสมมุติมื้อหนักเรากินข้าว
00:28:17 → 00:28:18 ผัดซึ่งโปรตีนมันไม่ได้สูงเราอยากหา
00:28:18 → 00:28:21 โปรตีนเพิ่มใช่มครับพอกินเวโปรตีนน่ะผม
00:28:21 → 00:28:23 มองว่ามันเป็น 2 กลไกด้วยเวโปรตีนส่วน
00:28:23 → 00:28:25 ใหญ่จะมีรสหวานนิดๆแล้วเรารู้สึกว่าจะ
00:28:25 → 00:28:28 เป็นขนมออและที่สำคัญอันนั้นไม่เกี่ยวนะ
00:28:28 → 00:28:31 แต่ถ้าเรื่องโปรตีนล้วนๆน่ะโปรตีนกินเข้า
00:28:31 → 00:28:35 ไปมันอยู่ท้องนานเราจะรู้สึกหิวน้อยลง
00:28:35 → 00:28:37 แล้วก็รู้สึกเราก็รู้สึกว่าไม่อยากกินของ
00:28:37 → 00:28:41 หวานแล้วออืออือน่าสนใจเพราะปกติอ่ะครับ
00:28:41 → 00:28:44 พี่กินเวโปรตีนก่อนกินของย่อยเร็วก่อน
00:28:45 → 00:28:47 โปรตีนที่ย่อยเร็วก่อนแล้วค่อยกินโปรตีน
00:28:47 → 00:28:49 ที่อยู่ในตามมาทีหลังอ๋อเพื่อกะว่าเดี๋ยว
00:28:50 → 00:28:52 กินเสร็จแล้วมันก็จะได้โปรตีนยาวๆใช่ป่ะ
00:28:52 → 00:28:54 เฮ้ยน่าสนใจว่ะเดี๋ลองสลับก็ลองสลับแล้ว
00:28:54 → 00:28:57 เราจะรู้สึกว่าเราอยากของหวานลดลงอันนี้
00:28:57 → 00:28:59 อันนี้ผมแต่ผมจะทำตอนอยู่บ้านเพราะว่า
00:28:59 → 00:29:02 บ้านผมจะมีพวกแบบนมโปรตีนสูงสต๊อกไว้ไง
00:29:02 → 00:29:06 อ่าอือๆโอเคสุดท้ายเดี๋ยวนะโปรติกโหอัน
00:29:06 → 00:29:08 นี้อันนี้เพิ่งอ่านมาเหมือนกันอัปเดต
00:29:08 → 00:29:11 papอร 2024-2023 เพบเยอะมากว่าโปรไบโอติก
00:29:11 → 00:29:15 สามารถมีส่วนในการหลั่งฮอร์โมนแห่งความ
00:29:15 → 00:29:18 สุขก็คือโดปามีนได้และมันดันไปรีเลสกับ
00:29:18 → 00:29:22 ฮอร์โมนอิ่มอีกด้วยออือไอ้พวก GLP1 อะไร
00:29:22 → 00:29:23 พวกนั้นนะครับเพราะงั้นถ้าเราเลี้ยง
00:29:23 → 00:29:26 โปรไบโติกในลำไส้เราเหมาะสมแล้วมีหลาก
00:29:26 → 00:29:29 หลายชนิดpapเปอร์บอกแล้วว่าเราจะมี
00:29:29 → 00:29:32 Sweetness craving ลดลงเราจะอยากหวานลด
00:29:32 → 00:29:35 ลงอืมแล้วเราต้องเลี้ยงมันยังไงมี 2 ทาง
00:29:35 → 00:29:39 กินโปรไบโอติกและกินอาหารที่โปรไบโอติก
00:29:39 → 00:29:42 ชอบกินโปรไบโติกเช่นอาหารหมากดองไงกิมจิ
00:29:42 → 00:29:45 ซาวเค้าโยเกิร์ตใช่มั้ครับเพื่อเอาตัวมัน
00:29:45 → 00:29:47 ลงไปก่อนแต่เอาตัวมันลงไปอย่างเดียวไม่
00:29:48 → 00:29:49 ได้เราต้องกินอาหารที่มันชอบด้วยอาหารที่
00:29:49 → 00:29:52 มันชอบคืออะไรก็พีไบโอติกก็เช่นอาหารที่
00:29:52 → 00:29:55 มียอาหารเยอะๆผักใบเขียว diary ไฟเบอร์
00:29:55 → 00:29:58 ทั้งหลายเงี้ยครับกินผักเยอะๆก็ก็ช่วยทำ
00:29:58 → 00:30:02 ให้มันแฮปปี้อยู่ในลำไส้เรามากขึ้นอืเฮ้ย
00:30:02 → 00:30:04 อันนี้ไม่เคยคิดมาก่อนเลยอ่ะมันเกี่ยวมัน
00:30:04 → 00:30:06 เกี่ยวเฮ้ยน่าสนใจมากเ้าเลยบอกว่าเพื่อน
00:30:07 → 00:30:08 รักของเราที่ดีที่สุดอ่ะคือโปรไบโอติก
00:30:08 → 00:30:10 เพราะมันอยู่กับเราตั้งแต่เกิดจนตายแล้ว
00:30:10 → 00:30:12 มันดูแลสุขภาพเราอีกด้วยอันนี้ยังไม่ได้
00:30:12 → 00:30:15 พูดถึงว่ามันสังเคราะห์กดไขมันชนิดดีอ่า
00:30:15 → 00:30:17 เพิ่มภูมิคุ้มกันอันนี้คือพูดถึงเรื่อง
00:30:17 → 00:30:19 น้ำตาลอย่างเดียวนะอือืมันทำให้เรารู้สึก
00:30:19 → 00:30:22 แบบอยากหวานลดลงแสดงว่าก้อนนี้ทั้งก้อน 4
00:30:22 → 00:30:26 อย่างเนี้ยมีเรื่องรสขมเย็นจัดโปรตีนเยอะ
00:30:26 → 00:30:31 ๆแล้วก็โปรบoโปรไบoicคือทำให้กระตุ้นร่าง
00:30:31 → 00:30:34 กายหลังโดปามินถูกต้องได้ไม่ต่างจากอะไร
00:30:34 → 00:30:35 ที่หวานๆถูกมั้ยความจริงมันมีอีกก้อนนึง
00:30:35 → 00:30:39 นะกินอาหารเท่าเดิมเลยกินอาหารแบบหวาน
00:30:39 → 00:30:40 เหมือนเดิมเลยแต่เปลี่ยนฟอร์มจากของ
00:30:40 → 00:30:42 เหลียวเป็นของแข็ง
00:30:42 → 00:30:45 มันยังไงอ่ะอันนี้คือถ้าสมมุติว่าเราแพ้
00:30:45 → 00:30:49 กาแฟแพ้ไม่ชอบกินอะไรที่เป็นมิ้นทไม่
00:30:49 → 00:30:52 สะดวกแปรงฟันไม่สเลือกฟอร์มของหวานได้
00:30:52 → 00:30:54 ครับอือฮึเช่นหลายคนกินเค้าเรียกว่าอะไร
00:30:54 → 00:30:57 กินข้าวอาหารกลางวันเสร็จโหหิวน้ำตาลมาก
00:30:57 → 00:31:00 ขอชาเย็นแก้วนึงอือชาเย็นแก้วนึงพี่ข้าว
00:31:00 → 00:31:03 ลองนึกดูดถ้าดูดต่อเนื่องดูดหมดภายในกี่
00:31:03 → 00:31:06 นาทีแป๊บเดียวแป๊บเดียวบางคน 1 นาที 2
00:31:06 → 00:31:08 นาทีหมดแต่น้ำตาลที่มันเข้าไปในร่างกาย 10
00:31:08 → 00:31:10 ช้อนโต๊ะแล้วอ่ะถ้าเราเปลี่ยนฟอร์มจากชา
00:31:10 → 00:31:14 เย็นแก้วนึงเป็นพันาคotต้าชาเย็นหรือ
00:31:14 → 00:31:17 พุดดิ้งชาเย็นหรือเยลลี่ชาเย็นที่มันต้อง
00:31:17 → 00:31:20 ใช้เวลาในการเคี้ยวนานหมายความว่าลิ้นเรา
00:31:20 → 00:31:23 อ่ะจะเจอรสหวานนานทั้งๆที่ร่างกายเราอ่ะ
00:31:23 → 00:31:26 ไม่ได้น้ำตาลได้เร็วเท่ากับชาเย็นอธิบาย
00:31:26 → 00:31:28 พ่อเข้าใจมั้คือชาเย็นมันอยู่ในปากน้อย
00:31:28 → 00:31:30 แต่มันเข้าร่างกายเร็วมากเพราะฉะนั้นร่าง
00:31:30 → 00:31:32 กายเราโหน้ำตาลโหลดมากแต่เรารู้สึกหวาน
00:31:32 → 00:31:35 ไม่ได้ไม่ได้นานเพราะว่ามันเป็นของเหลว
00:31:35 → 00:31:37 คือเปลี่ยนฟอร์มไปเลยแล้วเทคนิคเนี้ยใช้
00:31:37 → 00:31:39 กับเค้าเรียกว่าอะไรนะครับหลายโรงพยาบาล
00:31:39 → 00:31:42 ใช้ก็คือเขาเปลี่ยนฟอร์มฟอร์มเป็นฟอร์ม
00:31:42 → 00:31:45 โซิให้เวลาในการเคี้ยวแล้วการเคี้ยวเนี่ย
00:31:45 → 00:31:48 การเคี้ยวแล้วมันมีความแบบนึบหนับนุ่มนวล
00:31:48 → 00:31:51 กระตุ้นฟินเข้าไปอีกใช่กระตุ้นโดปามีนได้
00:31:51 → 00:31:55 อีกด้วยแสดงว่าสมมุติกินน้ำที่แบบเป็น
00:31:55 → 00:31:57 เหลวหมดเลยแค่พี่เปลี่ยนเป็นรูปแบบปั่น
00:31:57 → 00:31:59 ได้มั้ยปั่นก็ดีกว่าพี่ลองนึกดูนะไอ้พวก
00:31:59 → 00:32:03 แบบชายเย็นปั่นโกโก้ปั่นใช้เวลาในการกินอ
00:32:03 → 00:32:05 นานกว่าถูกมั้กว่าจะหมดแก้วใช่แล้วแล้ว
00:32:06 → 00:32:07 ส่วนใหญ่กินไม่หมดกินไม่หมดครึ่งแก้ว
00:32:07 → 00:32:09 เพราะฉะนั้น sugar อิทakeน้อยกว่าอือแล้ว
00:32:10 → 00:32:13 อินซูลินจะสไปคช้ากว่าเพราะเรากินช้าลงไง
00:32:13 → 00:32:17 แต่ไอ้พวกแบบน้ำเหลวๆอ่ะชาเย็นหวานๆเหลวๆ
00:32:17 → 00:32:19 แป๊บเดียวมันขึ้นไวมากอ่าเปลี่ยนฟอร์ม
00:32:19 → 00:32:22 ครับเออดูทำได้ทำได้ทำได้ใช่มั้ยทำได้อัน
00:32:22 → 00:32:24 นี้อันนี้คนทั่วไปแล้วมันก็ไปรีเียดกับ
00:32:24 → 00:32:27 เรื่องลูกอมด้วยลูกอมนอกจากเปเปอร์มิน
00:32:27 → 00:32:29 แล้วอ่ะชายเย็น 1 แก้วหมด 2 นาทีลูกอม
00:32:30 → 00:32:33 เม็ดเล็กๆเม็ดแบบไม่ถึง 1 กรัมอ่ะอยู่ใน
00:32:33 → 00:32:36 ปากเราเป็น 5-6 นาทีแต่เรารู้สึกหวานรู้
00:32:36 → 00:32:39 สึกเย็นตลอดเวลาเพราะฉะนั้นปริมาณแคลอรี่
00:32:39 → 00:32:41 มันลดลงมากเออเออเนาะถ้าเราหาอะไรที่มัน
00:32:41 → 00:32:45 อยู่ในปากแล้วทำให้เราฟินได้นานขึ้นขนาด
00:32:45 → 00:32:47 ที่กลืนลงไปได้น้อยลงมันก็ก็ช่วยแล้วถูก
00:32:47 → 00:32:50 ทุกนั่นแหละครับคือประเด็นอ๋อถ้าใคร
00:32:50 → 00:32:51 แอนทนเนอร์
00:32:51 → 00:32:54 มากกินลูกอมที่เป็นน้ำตาลทรายปกติก็ได้
00:32:54 → 00:32:56 ยังดีกว่ากินขนมหวานด้วยซ้ำเพราะลูกอมมัน
00:32:56 → 00:32:59 อยู่ในปากเรานานกว่าออโอเคสมองเราก็
00:32:59 → 00:33:01 perceive ว่าโออันนี้หวานนานหวานนานหวาน
00:33:01 → 00:33:03 นานแต่ร่างกายแฮปปี้ไงลูกอม 1 เม็ดน้ำตาล
00:33:03 → 00:33:07 ทรายแค่แบบถ้าไม่ถ้าสูตรแบบเร็วๆเลยอ่ะ
00:33:07 → 00:33:10 น้ำตาลทรายก็แค่ 4-5 กรัมเองอ่ะ
00:33:10 → 00:33:12 แต่ชาเย็น 1 แก้วน้ำตาลทรายปลาไป 30-40
00:33:12 → 00:33:16 กรัมอือๆเฮ้ยได้หลายเทคนิคแล้วอ่ะมีอะไร
00:33:16 → 00:33:18 อีกมั้ยตะกี้เราพูดถึงแค่เรื่องรสชาติกับ
00:33:19 → 00:33:20 texture ใช่มั้ครับมันจะมีเรื่องกลิ่น
00:33:20 → 00:33:22 ด้วยกลิ่นกลิ่นกระตุ้นรสหวานเนี่ยอันนี้
00:33:22 → 00:33:26 โหเปเปอร์เยอะมากกลิ่นที่กระตุ้นรสหวาน
00:33:26 → 00:33:28 ส่วนใหญ่จะเป็นกลิ่นที่ลิงก์กับรสชาติ
00:33:28 → 00:33:31 หวานกลิ่นหวานๆมันจะมีมันจะมีเปเปอร์นึง
00:33:31 → 00:33:33 ที่เขาบอกว่า reformulate ไม่ใช้สารทดแทน
00:33:33 → 00:33:36 ความหวานแทนน้ำตาลเลยนะอืสูตรเดิมน้ำตาล
00:33:36 → 00:33:39 100% แล้วสูตรใหม่น้ำตาลเหลือ 70%
00:33:40 → 00:33:42 แต่คนชิมน้ำตาล 70 บอกว่าหวานเท่าน้ำตาล
00:33:42 → 00:33:45 100 หรอแต่มันต้องใส่กลิ่นกลิ่นที่ลิง
00:33:45 → 00:33:49 กับรสหวานเช่นวานิลลาคาราเมลกลิ่นกลิ่น
00:33:49 → 00:33:53 น้ำตาลสดกลิ่นอะไรที่ก็ได้ที่กลิ่นกะทิ
00:33:53 → 00:33:55 กลิ่นอะไรก็ได้ที่ลิ้งกับรสหวานเพราะว่า
00:33:55 → 00:33:58 เวลาที่สมองมันแปลคือมันแปลทั้งจมูกและ
00:33:58 → 00:34:00 ปากพร้อมกันอ่ะจมูกและลิ้นพร้อมกันเงี้ย
00:34:00 → 00:34:02 ถูกเวลาคนเราจะบอกรสหวานไม่ได้มาสัญญาณมา
00:34:02 → 00:34:04 จากลิ้นอย่างเดียวมาจากอโรม่าด้วยเ้าเลย
00:34:04 → 00:34:07 มีคำว่าถ้าอโรม่าบวก test ได้ flavor
00:34:07 → 00:34:09 เวลาสมองเราจะจัว่าอันนี้หวานหรือไม่หวาน
00:34:09 → 00:34:12 นะจัจากflวอรมันจะมาจาก 2 ประสาทสัมผัส
00:34:12 → 00:34:15 รวมกันเพราะฉะนั้นถ้าเราลดหวานลง 30% แต่
00:34:15 → 00:34:19 ต้องrepลceด้วยกลิ่นนิดนึงอ่ะคนจะคิดว่า
00:34:19 → 00:34:21 มันหวานเท่าเดิมแต่อันเนี้ชัดมากผมทำงาน
00:34:21 → 00:34:23 ในเครือร้านอาหารร้านนึงอ่ะไอศครีมสูตร
00:34:23 → 00:34:26 เดิมน้ำตาลสมมุตินะผมยกตัวอย่างนะน้ำตาล
00:34:26 → 00:34:28 20 กรัมแล้วผมปรับสูตรใหม่อยากเปลี่ยน
00:34:28 → 00:34:31 เป็นสูตรใหม่เป็นกลิ่นอน้ำตาลตะโนดเป็น
00:34:31 → 00:34:34 น้ำเป็นไอติมกะทิหอมอ่าไม่ปรับน้ำตาลเลย
00:34:34 → 00:34:37 ใส่กลิ่นน้ำตาลตะโนดไปลูกค้าด่ายับบอกมาก
00:34:37 → 00:34:40 หวานมากความจริงน้ำตาลเท่าเดิมพอผมลดน้ำ
00:34:40 → 00:34:42 ตาลลงเหลือ 70% แล้วก็ใส่กลิ่นเท่าเดิมก็
00:34:42 → 00:34:45 บอกเอออร่อยหวานเท่าเดิมทั้งๆที่น้ำตาล
00:34:45 → 00:34:48 มันหายไป 30% เฮ้ยเจ๋งเพราะงั้นกลิ่นช่วย
00:34:48 → 00:34:52 ได้อ่าฮะอืโอเคจะทำขนมอะไรใส่วานิลาหรือ
00:34:52 → 00:34:55 ว่าใช้น้ำตาลตะโนดหรือใส่กินคาราเมลช่วย
00:34:55 → 00:34:57 กระตุ้นรสหวานได้แต่มันกระตุ้นได้แค่แบบ
00:34:57 → 00:34:59 มันลดได้แค่ 30 นะถ้าพี่ข้าวลดลงเหลือ 50
00:34:59 → 00:35:01 จะเริ่มรู้สึกจืดละมันจะมีลิมิตของมัน
00:35:01 → 00:35:03 อยู่ครับอโอเคโอเคครับเก็บไว้ใช้เรื่อง
00:35:03 → 00:35:06 กลิ่นเก็บไว้ใช้ได้จะทำน้ำใบเตยอะไรอย่าง
00:35:06 → 00:35:08 เงี้ยครับใส่น้ำตาลน้อยกว่าน้ำเชื่อมปกติ
00:35:08 → 00:35:11 ลองสังเกตดูโอเคเพราะว่ากลิ่นใบเต้ยมัน
00:35:11 → 00:35:13 กระตุ้นรสหวานได้โอเคตะกี้ที่เราพูดมา
00:35:13 → 00:35:16 ทั้งหมดอ่ะมันเกี่ยวกับเรื่องการใช้สารทด
00:35:16 → 00:35:18 แทนความหวานการใช้กลิ่นแต่มันยังมีอยู่
00:35:18 → 00:35:21 เทคนิคเดียวในโลกที่ไม่ต้องใช้สารทดแทน
00:35:21 → 00:35:24 ความหวานและไม่ต้องใช้กลิ่นแต่เรารู้สึก
00:35:24 → 00:35:27 ว่าหวานเท่าเดิมแม้น้ำตาลทรายลดลงแล้ว
00:35:27 → 00:35:30 เรื่องเผมเคยเอาไปประกวดในการประกวดอาหาร
00:35:30 → 00:35:35 เปกเราได้ที่ 1 ออาฮะคือการสลับชั้นหวาน
00:35:35 → 00:35:39 จืดคือยังไงอ่ะสมมุตินะสมมติว่าขนมชั้น 1
00:35:39 → 00:35:42 ชิ้นอือมีน้ำตาล 10% ทั้งก้อนก็รู้สึก
00:35:42 → 00:35:45 หวาน 10% ถูกมั้ครับแต่ถ้าผมบอกว่าผมขอลด
00:35:45 → 00:35:47 น้ำตาลได้มั้ยเหลือน้ำตาลไซส์ 5% ทั้ง
00:35:47 → 00:35:49 ชิ้นเอาไปกินไม่มีใครบอกอร่อยเพราะมันจืด
00:35:49 → 00:35:52 อือืแต่การสลับชั้นเนี่ยผมยกตัวอย่างขนม
00:35:52 → 00:35:54 ชั้นเพราะมันง่ายสุดถูกมั้ยถ้าน้ำตาล 10
00:35:54 → 00:35:56 มันก็ 10 10 เท่ากันหมดถ้า 5 ก็ 5 เท่า
00:35:56 → 00:35:59 กันหมดสมมุติผมทำขนมชั้นสูตรใหม่มันมี
00:35:59 → 00:36:01 หลายชั้นใช่มั้ยผมทำ 12 5 12 5 12 5
00:36:01 → 00:36:04 12 5 พี่ว่ามันหวานเท่าไหร่อ
00:36:04 → 00:36:08 มัน 12 กับ 5 มาเฉลี่ยมันก็ 8.5 8.5
00:36:08 → 00:36:11 ชั้นละ 8.5 อันนั้นคือตามสถิติหรือตาม
00:36:11 → 00:36:14 คณิตศาสตร์เออแต่ตามหลักเซensory 125 125
00:36:14 → 00:36:17 เรากินน่ะหวาน 11 อืทำไมอ่ะหวานกว่าสูตร
00:36:17 → 00:36:19 แรกที่เป็น 10 อีกด้วยซ้ำทั้งๆที่น้ำตาล
00:36:19 → 00:36:22 ลดลงเหลือ 8.5 อฮเพราะอย่าลืมว่าตะกี้เรา
00:36:22 → 00:36:23 คุยกันเรื่องน้ำตาลมันมีเรื่อง after
00:36:23 → 00:36:27 test น้ำตาล after test ของชั้น 12.5
00:36:27 → 00:36:29 เวลาเรากินเข้าไปอ่ะมันจะมากลบชั้น 5 คือ
00:36:29 → 00:36:31 พูดง่ายๆลิ้นเราแทบไม่เจอความหวานชั้น 5
00:36:31 → 00:36:35 เลยเออ 125 ลิ้นเราจะ perceive ว่าไอ้ขนม
00:36:35 → 00:36:38 ชั้นอันเนี้ยหวานเกือบ 12 ตลอดเวลาเพราะ
00:36:38 → 00:36:40 ความหวาน 12 มันกลบ 5 ตลอดเวลาครับเพราะ
00:36:40 → 00:36:43 น้ำตาลทรายมี after test ออันนี้คือหลัก
00:36:43 → 00:36:46 การแต่ugar content ลดลงอ่ะสูตรเดิมมัน 10
00:36:46 → 00:36:50 ใช่มั้ยเหลือ 8 แล้วอ่ะหายไปแต่หวานเท่า
00:36:50 → 00:36:53 เดิมด้วยซ้ำอันนี้คือเทคนิคการสลับชันน้ำ
00:36:53 → 00:36:57 ตาลเฮ้ยน่าสนใจกำลังคิดอยู่ว่าเราจะไป
00:36:57 → 00:36:59 ปรับใช้ยังไงวะหมายความว่าสมมุติพี่กิน
00:36:59 → 00:37:03 ขนมอืสักอย่างนึงครับแทนที่พี่ต้องทำให้
00:37:03 → 00:37:06 เค้กก้อนเนี้ยอ่ะกินเค้กก้อนเนี้ยให้เค้ก
00:37:06 → 00:37:08 ก้อนเนี้ยน้ำตามันกระจายเท่ากันน่ะแต่
00:37:08 → 00:37:11 เลือกcomponเนentนึงในจานเนี้ยให้แบบโคตร
00:37:11 → 00:37:13 หวานเลยกับอีกอันนึงแบบจืดจืดลงหน่อยอ่ะ
00:37:13 → 00:37:16 จืดใช่ดีกว่าถูกอย่างงั้นแหละเข้าใจถูก
00:37:16 → 00:37:17 แล้วอันเนี้ยความจริงผมเอามาจากเปเปอร์
00:37:18 → 00:37:20 ของเมืองนอกที่เขาทดลองอยากรดหวานในเด็ก
00:37:20 → 00:37:23 แล้วเขาใช้ทดลองในมัฟฟินแล้วเกว่าจะกว่า
00:37:23 → 00:37:26 เขาจะทำมาฟิน 1 ชิ้นน่ะเต้องทำ 2 แอถูก
00:37:26 → 00:37:28 ถูกมครับแล้วมาผสมสลับกันซึ่งในความความ
00:37:28 → 00:37:30 เป็นจริงมันไม่ practical อือแต่ถ้าอยาก
00:37:30 → 00:37:33 prคticalอ่ะมันเอามาประยุกต์ได้สมมุติว่า
00:37:33 → 00:37:35 พี่ข้าวจะกินตะเก้เค้กใช่มั้ยหรือ
00:37:35 → 00:37:37 พนาคotต้าพาต้ากินกับซอสสตรอว์เบอร์รี่
00:37:37 → 00:37:40 ใช่มั้ครับแทนที่พานาคotต้าจะมีทั้งน้ำ
00:37:40 → 00:37:42 ตาลซอสสตรอ์เบอร์รี่ก็มีทั้งน้ำตาลถ้า
00:37:42 → 00:37:45 อยากลดหวานปล่อยให้พาพนาคอต้าจืดแล้วให้
00:37:45 → 00:37:47 ไปหวานแค่ซอสสตรอ์เบอร์รี่เพราะอย่าลืม
00:37:47 → 00:37:49 ว่าเวลาเรากินพนาคotต้า
00:37:49 → 00:37:52 สิ่งที่กระทบลิ้นเราอันแรกไม่ใช่พนาคot้า
00:37:52 → 00:37:55 แต่เป็นซอสแล้วก็เอาความหวานของซอส
00:37:55 → 00:37:58 สตรอวเบอร์รี่ที่กลบความจืดของพาคotต้า
00:37:58 → 00:38:02 ได้ทำได้เหมือนกันเอออืรู้สึกว่ามีความ
00:38:02 → 00:38:04 หวังมากเลยฟังดูแล้วพี่ยังกินของหวานๆ
00:38:04 → 00:38:07 เป็นคนชอบกินของขนมคือกินหวานคือกินขนมไป
00:38:07 → 00:38:09 เลยฮะงี้คือยังกินขนมหวานได้แบบฟินอยู่
00:38:09 → 00:38:11 แต่มันก็ฟินอยู่แต่ข้อเสียคือมันต้องทำ
00:38:11 → 00:38:15 เองไงจะไปไปร้านอาหารแล้วจะบอกเชพาต้าขอ
00:38:15 → 00:38:17 ไม่ใส่น้ำตาลเลยเออแต่ก็โอเคเป็นความรู้
00:38:17 → 00:38:19 ที่ดีถึงแม้ผู้ประกอบการถ้ารู้แบบเนี้ย
00:38:19 → 00:38:21 มันก็สามารถที่จะไปประยุกต์ใช้ประยุกต์
00:38:21 → 00:38:24 ได้เพื่อออกแบบอาหารให้มัน healther ขึ้น
00:38:24 → 00:38:26 แล้วมันไม่ใช่ประยุกต์แค่เทคนิคนี้อเไป
00:38:26 → 00:38:29 ใช้สารทดแทนความหวานแทนน้ำตาลเพิ่มช่วย
00:38:29 → 00:38:32 ได้อีกก็ได้สมมุติว่าเไปลองทำพนากต้าจืด
00:38:32 → 00:38:34 แล้วสตรอ์เบอร์รี่มีรสหวานแล้วสมมุติผู้
00:38:34 → 00:38:36 บริโภคกินอ่าบางคนอาจจะไม่ชอบซอสแล้วไป
00:38:36 → 00:38:38 กินแต่พาต้าอาจจะโดนบ่นเขาก็ไปเลือกใช้
00:38:38 → 00:38:41 sweetเนอร์คือมันประยุกต์ได้หลายเทคนิคใน
00:38:41 → 00:38:44 อาหาร 1 จานได้เออดีมากดีมากอือๆแล้วถ้า
00:38:44 → 00:38:47 เกิดว่าอ่ะพี่สมมุติพี่ดื้อตาใสอะไรฟังมา
00:38:47 → 00:38:49 ทั้งหมดแล้วรู้สึกว่าไม่เอาอ่ะรู้สึกก็
00:38:49 → 00:38:52 ยังยากอยู่ดีอ่ะอยากกินเหมือนเดิมเลยมี
00:38:52 → 00:38:54 เทคนิคอะไรพอจะแบบอยากกินเหมือนเดิมอยาก
00:38:54 → 00:38:56 กินของหวานเหมือนอื
00:38:56 → 00:39:00 ว่าถ้าอยากกินขนมหวานนะขอร้องกินของคาว
00:39:00 → 00:39:03 ก่อนอืแล้วกินอาหารหวานหลังของคาวมันจะดี
00:39:03 → 00:39:05 ต่อระบบเลือดมากกว่าอันนี้ผมไม่ได้พูดเอง
00:39:05 → 00:39:08 หมอเบาหวานเป็นคนพูดหลายคนเสียงเดียวกัน
00:39:08 → 00:39:10 แต่เชื่อมั้ยเรื่องนี้ไม่มีเปเปอร์รองรับ
00:39:10 → 00:39:13 อเรื่องการกินของหวานก่อนกับหลังอาหารคาว
00:39:13 → 00:39:14 งงมั้ยครับว่ามันเกี่ยวทั้งๆที่ปริมาณน้ำ
00:39:15 → 00:39:17 ตาลมันเข้าไปในร่างกายเท่าเดิมอ่ะอือ
00:39:17 → 00:39:22 สมมุติว่าเรามีอะไรอ่ะครับชาเย็นกับอ่า
00:39:22 → 00:39:24 ข้าวคนคะคนปลาเค็มให้กินข้าวคนคะนะปลา
00:39:24 → 00:39:26 เค็มก่อนแล้วค่อยกินชาเย็นตอนหลังอือมัน
00:39:26 → 00:39:29 จะดีกับสุขภาพมากกว่าเพราะข้าวคะคนป้า
00:39:29 → 00:39:31 เค็มมันไปบล็อกอยู่ในกระเพาะอาหารพอกินชา
00:39:31 → 00:39:34 เย็นเข้าไปการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแส
00:39:34 → 00:39:37 เลือดจะช้ากว่าอือแล้วคีย์เวิร์ดการที่
00:39:37 → 00:39:40 บอกว่าน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดช้ากว่ามัน
00:39:40 → 00:39:43 คือเรื่องของ GI GLCIC Index อือทั้งๆ
00:39:43 → 00:39:45 ที่สูตรเดียวกันแค่สลับออเดอร์แค่นั้นเอง
00:39:45 → 00:39:48 กินหลังอาหารหรือถ้ารู้ว่าโหร้านอาหารนี้
00:39:48 → 00:39:51 ขนมหวานอร่อยมากอันนี้ผมเป็นว่ะพเมื่อวาน
00:39:51 → 00:39:54 เพิ่งเป็นขนมอร่อยมากผมจะลด
00:39:54 → 00:39:57 ขาบลดลดเส้นลดข้าวในมื้อหลักแล้วเน้นผัก
00:39:57 → 00:40:00 เยอะๆเพราะผักมันเป็นไฟเบอร์มันจะไปขวาง
00:40:00 → 00:40:03 การดูดซึมน้ำตาลอ่าฮะครับเพื่อเก็บโคต้า
00:40:03 → 00:40:05 การกินหวานไว้เก็บโคต้าอันนี้คือข้อที่ 1
00:40:05 → 00:40:08 ข้อที่ 2 คือทำให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลง
00:40:08 → 00:40:11 ด้วยคือจดไว้เต็มเลยอ่ะนี่คือเดี๋เตรียม
00:40:11 → 00:40:15 ไปทำคือมันมีหลายอย่างมากที่ไม่เคยทำแล้ว
00:40:15 → 00:40:17 ก็วันนี้เรียนรู้มากเรียนรู้แบบใหม่เลย
00:40:17 → 00:40:21 อ่ะอย่างแรกนะคือเรื่องทำให้ปากสะอาดอ่ะ
00:40:21 → 00:40:23 ไม่ว่าจะเป็นแปรงฟัน
00:40:23 → 00:40:27 บ้วนปากหรือว่าลูกอมอะไรที่แบบกลิ่นสะอาด
00:40:27 → 00:40:31 ๆมิ้นๆใช่ป่ะกินหลังหลังมื้ออาหารหลัง
00:40:31 → 00:40:32 มื้ออาหารเดี๋จะไปลองดูว่าแบบมันจะช่วย
00:40:32 → 00:40:35 ให้เราแบบอยากกินมันไม่ได้หาย 100% มัน
00:40:35 → 00:40:38 แค่อยากหวานลดลงแต่อยากหวานลดลงมันก็ดีไง
00:40:38 → 00:40:40 สมมุติเรากินปกติกินเค้กก้อนนึงอาจจะ
00:40:40 → 00:40:43 เหลือ 1/4 ก้อนก็ยังดีอ่า 2 คือขมครับ
00:40:43 → 00:40:46 เดี๋ยวไปลองคืออ่ะพี่อาจจะไม่ได้กินกาแฟ
00:40:46 → 00:40:47 ใครที่ใครที่ดื่มกาแฟเนี่ยไปลองได้เลยแต่
00:40:47 → 00:40:51 ว่าโกโก้เงี้ยเฮ้ยโอเคชDarkชockได้มั้ย
00:40:51 → 00:40:54 โกช็อยิ่ง Dark SH ดีมัน 3 กลไกเลยนะ
00:40:54 → 00:40:57 เป็นของแข็งถูกมั้ครับกินแล้วกรุบกรุบๆ
00:40:57 → 00:41:00 กับโดปามีนหลังข้อ 2 รสขมก็โดปามีนหลัง
00:41:00 → 00:41:03 ข้อ 3 มีสารในโกโก้ที่ว่าฟีนเอทิลามีน
00:41:03 → 00:41:05 ซึ่งตัวนี้กระตุ้นโดปามีนโดยตรงเพราะ
00:41:05 → 00:41:08 ฉะนั้นDarkชock 1 แท่งอ่ะกระตุ้นได้ 3
00:41:08 → 00:41:10 กลไกอเอางั้นต้องพอเจะบอกว่าการจะบอกว่า
00:41:10 → 00:41:13 เทคนิคที่ 3 ที่จดไว้จะไปทำคือพยายามจะ
00:41:13 → 00:41:15 เปลี่ยน texture จากไอ้ที่มันเหลวให้มัน
00:41:15 → 00:41:17 เป็นอะไรแข็งๆแสดงว่าDarkชockต้องตอบ
00:41:17 → 00:41:19 โจทย์พี่ช็อกแล้วผมตุนไว้อ่ะแต่ Dar dark
00:41:19 → 00:41:22 dar ย้ำว่า Dark 70 ขึ้นเออไปกินมิ
00:41:22 → 00:41:24 ช็อกโกแลตน้ำตาลมันก็เยอะเหมือนเดิมเอา 70
00:41:24 → 00:41:27 ขึ้นแล้วก็เวลาไปสั่งน้ำจะลองเปรียบมา
00:41:27 → 00:41:31 เป็นแบบน้ำปั่นแฟรปเป้อะไรเงี้ยแทนดูบ้าง
00:41:31 → 00:41:34 ใช่แต่ระวังน้ำปั่นแฟรปเป้หลายคาเฟ่ผมมี
00:41:34 → 00:41:37 สูตรเขาอยู่พอลูกค้าสั่งน้ำปั่นเขาต้อง
00:41:37 → 00:41:40 เติมน้ำเชื่อมไปนิดนึงเพราะมันจะจืดลงบอก
00:41:40 → 00:41:43 เขาว่าเอาชาเย็นหวานปกติแต่เอาไปปั่นแต่
00:41:43 → 00:41:45 แล้วก็ไม่ต้องเติมน้ำเชื่อมหรือไซลับ
00:41:45 → 00:41:48 เพิ่มโอเคโอเคได้จำไว้เดี๋ยวนำไปใช้มันจะ
00:41:48 → 00:41:50 สดชื่นมากกินแบบมีเกล็ดน้ำแข็งสดชื่นกรุบ
00:41:50 → 00:41:53 ๆกลับๆแล้วกว่าจะหมดแก้วก็เป็นชั่วโมง
00:41:53 → 00:41:55 เวิร์คกว่าเวิร์คกว่าโอเคโอเคเพราะงั้นโห
00:41:55 → 00:41:57 วันนี้มีหลายหลายเทคนิคมากลองไปทำกันดูนะ
00:41:57 → 00:42:00 ครับทุกคนสุดท้ายครับไหนๆที่อ่าทักเอง
00:42:00 → 00:42:03 เป็นเชฟแล้วก็เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์
00:42:03 → 00:42:06 ด้านอาหารดูแลหลายๆบริษัทเลยเนาะที่เป็น
00:42:06 → 00:42:09 ผู้ประกอบการด้านอาหารมีอะไรอยากจะฝากถึง
00:42:09 → 00:42:13 คนดูที่ติดหวานอ่ะแต่ว่าอ้าก็อยากรัก
00:42:14 → 00:42:16 สุขภาพด้วย
00:42:16 → 00:42:18 ได้ครับสิ่งที่ฝากสุดท้ายคือเรื่องทางสาย
00:42:18 → 00:42:20 กลางนั่นแหละอะไรก็ได้อย่าไปหักดิบเยอะ
00:42:20 → 00:42:22 เยอะไม่ใช่โหวันนี้กินน้ำตาลมาพรุ่งนี้
00:42:22 → 00:42:25 กินเหลือ 0 ทำได้แค่ 2 วันวันถัดมากิน
00:42:25 → 00:42:28 เยอะเหมือนเดิมหรือทางสุดโต่งอีกทางคือ
00:42:28 → 00:42:31 กินหวานเยอะมากกินชาเย็นวันละ 2-3 แก้ว
00:42:31 → 00:42:34 มันก็ไม่ดีทางสายกลางคือกินหวานน้อยค่อยๆ
00:42:34 → 00:42:35 เป็นค่อยๆไปแล้วใช้เทคนิคตะกี้ที่ผมบอก
00:42:35 → 00:42:38 อ่ะค่อยๆปรับพฤติกรรมตัวเองให้ค่อยๆรับ
00:42:38 → 00:42:41 ประทานหวานลดลงแล้วมันจะยั่งยืนอือแล้ว
00:42:41 → 00:42:43 เดี๋ยวจะเห็นร่างกายตัวเองเมื่อเรากินน้ำ
00:42:43 → 00:42:47 ตาลลดลงกินหวานลดลงนอนหลับดีขึ้นหน้าตาสด
00:42:47 → 00:42:50 ใสขึ้นผิวพรรณดีขึ้นค่าเลือดดีขึ้นแล้ว
00:42:50 → 00:42:53 มันจะเป็นrewardว์ดกับตัวเองครับค่อยๆ
00:42:53 → 00:42:55 เป็นค่อยๆไปใช้หลายเทคนิคและใช้ความรู้
00:42:55 → 00:42:57 ประกอบแต่ถ้าใครไม่มั่นใจก็มาดูเทปนี้
00:42:57 → 00:43:03 ย้อนหลังครับ
00:43:03 → 00:43:07 Top to the standard podcast eye
00:43:07 → 00:43:11 opening for your ears بس