00:00:00 → 00:00:03 ขอต้อนรับสู่หมอพัทรพcast Talk ความรู้
00:00:03 → 00:00:06 สุขภาพลึกและฟรีมีที่นี่
00:00:06 → 00:00:09 >> เคยได้ยินไหมครับว่ากินโปรตีนเยอะๆแล้วจะ
00:00:09 → 00:00:11 ไตพังวันนี้เราจะมาเจาะลึกกันให้เคลียร์
00:00:11 → 00:00:14 ไปเลยครับว่าเรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหนกัน
00:00:14 → 00:00:17 แน่เชื่อว่าหลายๆคนต้องเคยได้ยินคำเตือน
00:00:17 → 00:00:20 นี้แน่ๆครับระวังนะกินโปรตีนเยอะเดี๋ยวไต
00:00:20 → 00:00:24 ก็พังหรอกใช่มั้ยครับเอแล้วไอ้ความเชื่อ
00:00:24 → 00:00:26 ที่ว่าเนี่ยมันมาจากไหนกันล่ะครับเดี๋ยว
00:00:26 → 00:00:30 เรามาหาคำตอบกันโอเคครับก่อนที่เราจะไป
00:00:30 → 00:00:32 ว่ากันถึงเรื่องของคนทั่วไปเนี่ยนะฮะเรา
00:00:32 → 00:00:34 ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนเลยว่าจริงๆ
00:00:34 → 00:00:37 แล้วใครกันแน่ที่ต้องระวังเรื่องการกิน
00:00:37 → 00:00:41 โปรตีนเป็นพิเศษคือคำแนะนำที่บอกให้จำกัด
00:00:41 → 00:00:43 โปรตีนเนี่ยนะครับมันเฉพาะเจาะจงมากๆเลย
00:00:44 → 00:00:47 ครับไม่ใช่สำหรับทุกคนนะแต่จะใช้กับกลุ่ม
00:00:47 → 00:00:50 คนที่เป็นโรคไตในระยะท้ายๆย้ำว่าระยะท้าย
00:00:50 → 00:00:53 ๆเลยนะครับที่การทำงานของไตเนี่ยมันบก
00:00:53 → 00:00:58 พร่องไปมากแล้วจริงๆเอ้าทีนี้ก็น่าคิดนะ
00:00:58 → 00:01:01 ครับถ้าคำแนะนำนี้มันสำหรับคนที่เป็นโรค
00:01:01 → 00:01:05 ไตระยะท้ายๆเป็นหลักแล้วทำไมทำไมมันถึง
00:01:05 → 00:01:07 กลายมาเป็นความเชื่อที่คนทั่วไปกลัวกันไป
00:01:07 → 00:01:11 หมดได้ล่ะครับเอาล่ะครับความเชื่อผิดที่
00:01:11 → 00:01:14 ว่าเนี่ยมันมีรากฐานมาจากข้อสังเกตหลักๆ
00:01:14 → 00:01:17 อยู่ 3 ข้อด้วยกันครับเดี๋ยวเรามาค่อยๆ
00:01:17 → 00:01:20 แกกไปทีละปมกันเลยดีกว่ามาเริ่มกันที่
00:01:20 → 00:01:23 จิ๊กซอชิ้นแรกเลยนะครับมันมาจากแนวคิดที่
00:01:23 → 00:01:26 ว่าพอเรากินโปรตีนเข้าไปเยอะๆเนี่ยร่าง
00:01:26 → 00:01:28 กายเราเผาผลาญแล้วมันจะเกิดสภาวะที่เป็น
00:01:28 → 00:01:32 กรดขึ้นมาซึ่งไอ้สภาวะกรดนี่แหละครับที่
00:01:32 → 00:01:34 เขาเชื่อกันว่ามันไปสร้างภาระหนักให้กับ
00:01:34 → 00:01:38 ไตเราต่อมาครับความสับสนที่ 2 เนี่ยมันมา
00:01:39 → 00:01:42 จากภาวะทางการแพทย์ที่เรียกว่าโปรตีนรั่ว
00:01:42 → 00:01:46 ในปัสสาวะหรือโปรจีโนูเรียครับผมคือมัน
00:01:46 → 00:01:49 เป็นอย่างี้ครับพอคนเราเห็นคำว่าโปรตีนใน
00:01:49 → 00:01:52 อาหารที่เรากินกับคำว่าโปรตีนที่มันรั่ว
00:01:52 → 00:01:55 ออกมาในฉี่ของคนที่เป็นโรคไตก็เลยเกิดการ
00:01:55 → 00:01:58 เชื่อมโยงแบบผิดๆขึ้นมาทันทีเลยครับคิดไป
00:01:58 → 00:02:02 ว่าอ๋อกินโปรตีนเข้าไปมันก็เลยรั่วออกมา
00:02:02 → 00:02:05 แสดงว่าการกินโปรตีนนี่แหละคือตัวการซึ่ง
00:02:05 → 00:02:08 มันก็เหมือนกับที่เราบอกว่าไขมันไม่ดี
00:02:08 → 00:02:10 เพราะในคำว่าไขมันมันมีคำว่าไขมันอยู่
00:02:10 → 00:02:14 นั่นแหละครับและมาถึงความเข้าใจผิดข้อสุด
00:02:14 → 00:02:17 ท้ายครับข้อนี้อาจจะสำคัญที่สุดเลยก็ว่า
00:02:17 → 00:02:20 ได้มันมาจากการตอบสนองตามธรรมชาติของร่าง
00:02:20 → 00:02:24 กายเราเองที่เรียกว่า Hyper Filtration
00:02:25 → 00:02:29 หรือถ้าแปลตรงๆก็คือการกรองเกินขนาดครับ
00:02:29 → 00:02:33 เอาล่ะครับจุดClกxมันอยู่ตรงนี้เลยคำว่า
00:02:33 → 00:02:36 Hyper Filtration หรือการกรองเกินขนาด
00:02:36 → 00:02:38 เนี่ยนะครับมันไม่ได้มีแค่แบบเดียวครับ
00:02:38 → 00:02:41 และความแตกต่างนี่แหละครับที่จะไขทุกข์
00:02:41 → 00:02:44 ข้อสงสัยแล้วก็หักล้างความเชื่อผิดๆที่
00:02:44 → 00:02:47 เราเคยได้ยินมาทั้งหมดเลยนี่แหละครับคือ
00:02:47 → 00:02:50 หัวใจของเรื่องทั้งหมดเลยเรากำลังเอาของ 2
00:02:51 → 00:02:54 อย่างที่ต่างกันสุดขั้วมาปนกันคือเรา
00:02:54 → 00:02:57 กำลังสับสนระหว่างการตอบสนองปกติของร่าง
00:02:57 → 00:03:00 กายที่เกิดขึ้นแป๊บเดียวแล้วก็หายไปกับ
00:03:00 → 00:03:02 อาการของโรคที่มันสร้างความเสียหายให้ไต
00:03:02 → 00:03:05 แบบเรื้อรังและต่อเนื่องครับนี่เป็นตัว
00:03:05 → 00:03:08 อย่างที่คลาสสิคสุดๆของสิ่งที่เรียกว่า
00:03:08 → 00:03:11 การสรุปเหตุผลแบบกลับด้านเลยครับพูดง่ายๆ
00:03:11 → 00:03:14 ก็คือเราเห็น 2 อย่างมันเกิดขึ้นพร้อมๆ
00:03:14 → 00:03:18 กันหรือดูคล้ายๆกันเราก็เลยเผลอสรุปไปว่า
00:03:18 → 00:03:20 อย่างนึงเป็นสาเหตุของอีกอย่างนึงทั้งที่
00:03:20 → 00:03:22 ความจริงมันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกันเลยหรือ
00:03:22 → 00:03:26 อาจจะกลับด้านกันด้วยซ้ำครับโอเคถ้า
00:03:26 → 00:03:28 โปรตีนไม่ใช่ตัวร้ายสำหรับคนที่มีไตแข็ง
00:03:28 → 00:03:31 แรงดีแล้วอะไรล่ะครับคือสิ่งที่น่ากังวล
00:03:31 → 00:03:35 จริงๆกันแน่จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์นะ
00:03:35 → 00:03:38 ครับตัวการที่แท้จริงที่คอยทำร้ายไตของ
00:03:38 → 00:03:41 เราในระยะยาวเนี่ยส่วนใหญ่เลยมันมาจาก
00:03:41 → 00:03:44 ปัญหาสุขภาพของระบบเผาผลาญหรือmetabบolิ
00:03:44 → 00:03:46 ที่ไม่ดีค่ะซึ่งตัวขับเคลื่อนหลักๆก็มา
00:03:47 → 00:03:49 จากปัจจัย 3 อย่างนี้เลยโดยเฉพาะกระบวน
00:03:49 → 00:03:52 การที่เรียกว่าไกลชัเนี่ยนะครับมัน
00:03:52 → 00:03:55 อันตรายกับไตมากเลยลองนึกภาพตามนะครับ
00:03:55 → 00:03:57 เวลาน้ำตาลในเลือดเลือดเรามันสูงเกินไป
00:03:57 → 00:04:00 เนี่ยน้ำตาลส่วนเกินพวกนั้นมันจะลอยไป
00:04:00 → 00:04:02 เกาะกับโปรตีนที่อยู่บนเซลล์ต่างๆโดย
00:04:02 → 00:04:05 เฉพาะเซลล์ไตแล้วมันก็ทำปฏิกิริยากันจน
00:04:05 → 00:04:08 เหมือนกับโปรตีนพวกนั้นมันไหม้หรือกลาย
00:04:08 → 00:04:10 เป็นคาราเมลอ่ะครับซึ่งแน่นอนว่าพอเป็น
00:04:10 → 00:04:13 แบบนั้นโปรตีนที่เคยทำงานได้ดีมันก็
00:04:13 → 00:04:17 เพี้ยนแล้วก็ทำงานผิดปกติไปเลยและนี่แหละ
00:04:17 → 00:04:20 ครับคือจุดที่เรื่องราวมันพลิกเลยเพราะ
00:04:20 → 00:04:22 เรากำลังจะมาดูกันครับว่าการกินโปรตีนให้
00:04:23 → 00:04:25 เพียงพอเนี่ยมันไม่เพียงแต่จะไม่ทำร้ายไต
00:04:25 → 00:04:29 นะแต่มันอาจจะมีบทบาทสำคัญในการปกป้องไต
00:04:29 → 00:04:32 ของเราด้วยซ้ำไปครับมันเหมือนเป็นวงจรที่
00:04:33 → 00:04:35 ดีงามที่เกิดขึ้นเลยครับคือพอเรากิน
00:04:35 → 00:04:38 โปรตีนเพียงพอมันก็จะไปช่วยเสริมสร้าง
00:04:38 → 00:04:40 ระบบที่จะทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะป้อง
00:04:40 → 00:04:43 ตันให้ไตเราจากตัวการร้ายที่แท้จริงที่
00:04:43 → 00:04:46 เราพูดถึงไปเมื่อกี้นี้แหละครับประเด็น
00:04:46 → 00:04:48 ที่สำคัญที่สุดมันอยู่ตรงนี้ครับคือกล้า
00:04:48 → 00:04:51 เนื้อของเราเนี่ยมันเป็นเหมือนโกดังหรือ
00:04:51 → 00:04:53 อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่สำหรับเก็บกลูโคสเลย
00:04:53 → 00:04:56 ครับดังนั้นยิ่งเรามีมวลกล้ามเนื้อเยอะ
00:04:56 → 00:04:59 เท่าไหร่มันก็ยิ่งมีที่ให้กลูโคสไปเก็บ
00:04:59 → 00:05:01 มากขึ้นเท่านั้นพอกลูโคสมีที่ไปมันก็ไม่
00:05:02 → 00:05:04 ลอยเคว้งคว้างอยู่ในกระแสเลือดจนสูงเกิน
00:05:04 → 00:05:06 ไปและไม่ไปสร้างความเสียหายให้กับไตหรือ
00:05:06 → 00:05:10 ส่วนอื่นๆของร่างกายครับขนาดในคนที่เป็น
00:05:10 → 00:05:13 โรคไตบางชนิดแล้วนะครับยังมีงานวิจัยที่
00:05:13 → 00:05:17 พบว่าการกินโปรตีนในปริมาณปกติก็ไม่ได้ไป
00:05:17 → 00:05:20 เร่งให้โรคของพวกเขาแย่ลงเลยครับกลับกัน
00:05:20 → 00:05:23 ซะอีกการไปจำกัดโปรตีนแบบสุดต่งเกินไป
00:05:23 → 00:05:25 เนี่ยอาจจะอันตรายกว่าด้วยซ้ำเพราะมันจะ
00:05:25 → 00:05:28 ทำให้สูญเสียมวลกลั้งเนื้อซึ่งอย่างที่
00:05:28 → 00:05:31 บอกไปว่ามันสำคัญมากๆครับมันก็เลยค่อน
00:05:31 → 00:05:33 ข้างน่าคิดนะครับพอเรามองภาพรวมทั้งหมด
00:05:33 → 00:05:36 แบบครบวงจรแล้วเนี่ยมันเหมือนกับว่าโอเค
00:05:36 → 00:05:38 ตัวปัญหาจริงๆมันอาจจะไม่ใช่โปรตีนเลยก็
00:05:38 → 00:05:41 ได้แต่กลับน่าจะเป็นพวกคาร์โบไฮเดรตที่
00:05:41 → 00:05:44 ผ่านการขัดสีหรืออาหารที่ไปกระทบกับระบบ
00:05:44 → 00:05:47 เมบอลิึมของเราโดยตรงมากกว่าสุดท้ายนี้ก็
00:05:47 → 00:05:50 เลยอยากจะทิ้งคำถามไว้ให้ไปคิดกันต่อนะ
00:05:50 → 00:05:53 ครับว่าสำหรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรงดี
00:05:53 → 00:05:56 เนี่ยการที่เรามัวแต่กลัวโปรตีนมันอาจจะ
00:05:56 → 00:05:58 กลายเป็นความเสี่ยงที่แท้จริงต่อสุขภาพไต
00:05:58 → 00:06:01 ในระยะยาวหรือเปล่าเพราะนั่นอาจหมายความ
00:06:01 → 00:06:04 ว่าเรากำลังละเลยเครื่องมือที่สำคัญที่
00:06:04 → 00:06:07 สุดชิ้นหนึ่งในการรักษาสุขภาพระบบเผาผลาญ
00:06:07 → 00:06:09 ซึ่งเป็นสิ่งที่ไตของเราต้องพึ่งพาอาศัย
00:06:09 → 00:06:12 อยู่ก็เป็นได้ครับ
00:06:12 → 00:06:15 >> สวัสดีครับยินดีต้อนรับสู่การพูดคุยเจาะ
00:06:15 → 00:06:17 ลึกของเราวันนี้นะครับกับหัวข้อที่ผมว่า
00:06:17 → 00:06:19 น่าจะอยู่ในความสนใจของหลายๆคนเลยโดย
00:06:19 → 00:06:23 เฉพาะคนที่เอ่อใส่ใจสุขภาพโภชนาการคือ
00:06:23 → 00:06:27 เรื่องความเชื่อที่ว่ากินโปรตีนสูงทำให้
00:06:27 → 00:06:30 ไต่พังเนี่ยมันจริงแค่ไหนแล้วไอ้ความ
00:06:30 → 00:06:34 เชื่อนี้มันฝังหัวกันมานานมาจากไหนกันแน่
00:06:34 → 00:06:36 วันนี้เราจะมาแกะรอยเรื่องนี้กันครับโดย
00:06:36 → 00:06:38 ใช้ข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ของผู้เชี่ยวชาญ
00:06:38 → 00:06:40 เลยเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านไต่โดยตรง
00:06:40 → 00:06:43 >> สวัสดีค่ะใช่เลยค่ะภารกิจของเราวันนี้ก็
00:06:43 → 00:06:46 คืออยากจะลงลึกไปถึงกลไกจริงๆที่มัน
00:06:46 → 00:06:49 เกี่ยวข้องนะคะแยกแยะให้ชัดๆไปเลยค่ะ
00:06:49 → 00:06:51 ระหว่างข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์กับความ
00:06:51 → 00:06:54 เชื่อที่อาจจะเอ่อคลาดเคลื่อนกันไปและที่
00:06:54 → 00:06:57 สำคัญมากๆคือทำความเข้าใจว่าจริงๆแล้วใคร
00:06:58 → 00:07:00 คือกลุ่มคนที่ต้องใส่ใจเรื่องปริมาณ
00:07:00 → 00:07:03 โปรตีนเป็นพิเศษไม่ใช่แบบเมารวมกันไปหมด
00:07:03 → 00:07:05 >> เยี่ยมเลยครับงั้นเรามาเริ่มไขปมแรกกัน
00:07:05 → 00:07:08 เลยดีกว่ากับคำถามที่คาใจแทบทุกคนที่หัน
00:07:08 → 00:07:11 มาดูแลตัวเองมากขึ้นนะครับตกลงว่าการกิน
00:07:11 → 00:07:13 โปรตีนเยอะๆเนี่ยมันเป็นสาเหตุให้ไตทำงาน
00:07:13 → 00:07:16 หนักจนพังจริงหรือเปล่าครับไอ้ความเชื่อ
00:07:16 → 00:07:18 ที่ว่านี้มันมีรากมาจากไหนกันแน่
00:07:18 → 00:07:21 >> อืมเรื่องนี้ต้องบอกว่ามันมีความซับซ้อน
00:07:21 → 00:07:24 อยู่เหมือนกันนะคะไม่ได้มีคำตอบง่ายๆว่า
00:07:24 → 00:07:27 ใช่หรือไม่ใช่ทันทีความเชื่อนี้มันก่อตัว
00:07:27 → 00:07:36 ขึ้นจากหลายปัจจัยที่ผสมปนเปรค
00:07:36 → 00:07:39 ไตเรื้อรางระยะท้ายๆเนี่ยมักจะตรวจเจอ
00:07:39 → 00:07:41 โปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะที่เรียกว่า
00:07:41 → 00:07:43 โปรตีนนูเรีย
00:07:43 → 00:07:47 >> อ๋อครับที่เวลาไปตรวจสุขภาพแล้วเจอโปรตีน
00:07:47 → 00:07:50 ในฉี่แล้วคุณหมอบอกว่าเอ๊ไตอาจจะมีปัญหา
00:07:50 → 00:07:51 ใช่มั้ครับ
00:07:51 → 00:07:55 >> ใช่ค่ะใช่ค่ะแต่จุดที่ทำให้เกิดความเข้า
00:07:55 → 00:07:58 ใจผิดคือโปรตีนที่รั่วออกมาในปัสสาวะของ
00:07:58 → 00:08:01 ผู้ป่วยโรคไตเนี่ยค่ะโดยหลักๆแล้วมันคือ
00:08:01 → 00:08:05 โปรตีนแอลบูมินแอลบูมินซึ่งเป็นโปรตีนที่
00:08:05 → 00:08:07 โมเลกุลมันค่อนข้างใหญ่แล้วก็เป็นส่วน
00:08:07 → 00:08:10 ประกอบสำคัญที่ปกติมันต้องอยู่ในเลือดเรา
00:08:10 → 00:08:13 นะคะที่มันรั่วออกมาได้เนี่ยเพราะว่าตัว
00:08:13 → 00:08:16 กรองของไตหรือกลมลูัสอ่ะค่ะมันเกิดความ
00:08:16 → 00:08:19 เสียหายหรือมีรูรั่วมันเลยกักเก็บโปรตีน
00:08:19 → 00:08:22 ใหญ่ๆพวกนี้ไว้ไม่ได้เหมือนเดิมไม่ใช่ว่า
00:08:22 → 00:08:24 เกิดจากการที่เรากินโปรตีนจากอาหารเข้าไป
00:08:24 → 00:08:26 เยอะๆโดยตรงนะคะ
00:08:26 → 00:08:30 >> อ๋อเข้าใจประเด็นแล้วครับคือเป็นโปรตีน
00:08:30 → 00:08:34 อัลบูมินในเลือดที่รั่วออกมาเพราะไตพัง
00:08:34 → 00:08:37 แต่ดันไปใช้คำว่าโปรตีนเหมือนกับโปรตีนใน
00:08:37 → 00:08:40 อาหารเป๊ะๆคนก็เลยเกิดการเชื่อมโยงแบบ
00:08:40 → 00:08:44 ง่ายๆไปเลยว่ากินโปรตีนเยอะโปรตีนรั่วใน
00:08:44 → 00:08:46 ฉี่ไตพังแน่ๆ
00:08:46 → 00:08:48 >> ตรงประเด็นนั้นเลยค่ะมันคล้ายๆกับเรื่อง
00:08:48 → 00:08:52 ไขมันเลยที่หลายคนยังสับสนอยู่กลัวการกิน
00:08:52 → 00:08:55 ไขมันในอาหารเพราะชื่อมันดันไปเหมือนกับ
00:08:55 → 00:08:58 ไขมันในเลือดหรือไขมันที่พุงเราทั้งที่
00:08:58 → 00:09:01 จริงๆชนิดและผลกระทบต่อร่างกายมันต่างกัน
00:09:01 → 00:09:04 เลยนี่คือจุดเริ่มต้นของความสับสนจุดแรก
00:09:04 → 00:09:07 เกี่ยวกับโปรตีนกับไตค่ะปัจจัยที่ 2 ที่
00:09:07 → 00:09:09 มาเสริมความเชื่อนี้เข้าไปอีกก็คือเรื่อง
00:09:09 → 00:09:12 ของความเป็นกรดในร่างกายหรือ
00:09:12 → 00:09:15 acciidification ค่ะการย่อยสลายการเผา
00:09:15 → 00:09:18 ผลาญโปรตีนโดยเฉพาะโปรตีนที่มีกรด
00:09:18 → 00:09:21 อะมิโนกรรมถัน์สูงๆเช่นจากเนื้อสัตว์
00:09:21 → 00:09:23 เนี่ยมันทำให้เกิดผลผลิตที่เป็นกรดขึ้นมา
00:09:23 → 00:09:26 ในร่างกายแล้วร่างกายก็ต้องขับกรดส่วน
00:09:26 → 00:09:30 เกินนี้ออกทางไตผ่านการสร้างแอมโมเนีย
00:09:30 → 00:09:32 ซึ่งมันก็ทำให้ปัสสาวะมีแนวโน้มเป็นกรด
00:09:32 → 00:09:33 มากขึ้น
00:09:33 → 00:09:36 >> แล้วการที่ปัสสาวะเป็นกรดมันส่งผลเสียต่อ
00:09:36 → 00:09:39 ไตยังไงครับมันมันไปเกี่ยวกันยังไง
00:09:39 → 00:09:41 >> คือไตของเราเนี่ยค่ะมันทำงานได้ดีที่สุด
00:09:41 → 00:09:45 ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่เป็นกรดหรือดั่งจัด
00:09:45 → 00:09:48 เกินไปอ่ะค่ะค่าพีที่เหมาะๆของเนื้อไตจะ
00:09:48 → 00:09:52 อยู่ราวๆ 6.8-7.2 2 พอร่างกายต้องรับมือ
00:09:52 → 00:09:55 กับภาวะกรดที่สูงขึ้นเรื้อรังจากการเผา
00:09:55 → 00:09:58 ผลาโปรตีนเยอะๆมหาศาลก็เลยเกิดความกังวล
00:09:58 → 00:10:01 ขึ้นมาว่าไอ้สภาวะที่เป็นกรดเนี่ยมันอาจ
00:10:01 → 00:10:05 จะไปสร้างภาระหรือส่งผลเสียต่อการทำงาน
00:10:05 → 00:10:08 ของเซลล์ไตในระยะยาวได้นี่ก็เป็นอีกเส้น
00:10:08 → 00:10:11 เรื่องนึงที่ทำให้คนมองว่าโปรตีนอาจจะไม่
00:10:11 → 00:10:13 ค่อยเป็นมิตรกับไตเท่าไหร่
00:10:13 → 00:10:16 >> พอเห็นภาพครับโปรตีนเยอะเกิดกรดเยอะไต
00:10:16 → 00:10:19 ต้องทำงานหนักเพื่อขับกรดทิงอาจจะทำให้
00:10:19 → 00:10:22 ไต่เสื่อมเป็นอีกหนึ่งความเชื่อมโยงที่ทำ
00:10:22 → 00:10:24 ให้คนกังวลขึ้นมาได้เหมือนกัน
00:10:24 → 00:10:27 >> ใช่ค่ะทีนี้มาถึงปัจจัยที่ 3 ซึ่งเป็น
00:10:28 → 00:10:30 เรื่องที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงบ่อยมากเลยใน
00:10:30 → 00:10:33 ช่วงหลังๆแล้วก็ค่อนข้างซับซ้อนนิดนึงคือ
00:10:33 → 00:10:35 เรื่องภาวะการกรองเกินหรือHperปอฟ
00:10:35 → 00:10:38 Filtration ค่ะมันมีการศึกษาที่พบว่าการ
00:10:38 → 00:10:41 กินโปรตีนในปริมาณมากในมื้อเดียวเช่นแบบ
00:10:41 → 00:10:45 กินสเต็กชิ้นใหญ่ๆหรือดื่มเวโปรตีน 30-40
00:10:45 → 00:10:47 กรัมขึ้นไปเนี่ยมันสามารถกระตุ้นให้อัตรา
00:10:47 → 00:10:50 การกรองของไตหรือ GFR ค่ะเพิ่มสูงขึ้น
00:10:50 → 00:10:53 เป็นการชั่วคราวได้อย่างชัดเจนเลย
00:10:53 → 00:10:56 >> ชั่วคราวหมายถึงแค่แป๊บเดียวหลังกินมื้อ
00:10:56 → 00:10:58 นั้นๆนะครับแล้วมันอันตรายมั้ยครับการที่
00:10:58 → 00:11:00 มันสูงขึ้นแป๊บเนี่ย
00:11:00 → 00:11:03 >> ถูกต้องค่ะมันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองทาง
00:11:03 → 00:11:07 สรีรวิทยาที่อ่าปกติเลยนะคะเมื่อระดับกรด
00:11:07 → 00:11:11 อะมิโนในเลือดมันสูงขึ้นร่างกายก็ปรับตัว
00:11:11 → 00:11:13 โดยการเพิ่มเลือดไปเลี้ยงไตแล้วก็เพิ่ม
00:11:13 → 00:11:16 อัตราการกรองขึ้นชั่วขณะเพื่อจัดการกับ
00:11:16 → 00:11:19 สารต่างๆที่มันเพิ่มเข้ามาแต่ปัญหาที่ทำ
00:11:20 → 00:11:23 ให้คนกังวลคือไอ้ภาวะhyปอร์ฟilทรชที่มัน
00:11:23 → 00:11:25 เกิดขึ้นแบบเรื้อรังหรือต่อเนื่องยาวนาน
00:11:25 → 00:11:28 เนี่ยมันดันเป็นลักษณะที่พบได้บ่อยในผู้
00:11:28 → 00:11:31 ป่วยโรคไตระยะแรกๆหรือในคนที่เป็นเบาหวาน
00:11:31 → 00:11:34 ความดันสูงที่ยังคุมได้ค่อยได้ซึ่งไอ้
00:11:34 → 00:11:37 ภาวะhyฮเปอร์ฟilทรชเรื้อรังเนี่ยเชื่อกัน
00:11:37 → 00:11:40 ว่าเป็นกลไกนึงเลยที่นำไปสู่ความเสียหาย
00:11:40 → 00:11:42 ของหน่วยไตในระยะยาว
00:11:42 → 00:11:47 >> อ๋อจุดนี้เองสินะครับที่ทำให้คนสับสนคือ
00:11:47 → 00:11:49 เอาปฏิกิริยาชั่วคราวที่มันเป็นเรื่อง
00:11:49 → 00:11:53 ปกติหลังกินโปรตีนเนี่ยไปเปรียบเทียบหรือ
00:11:53 → 00:11:55 ไปโยงกับอาการเรื้อรังที่เป็นสัญญาณของ
00:11:55 → 00:11:59 โรคไตแล้วก็เลยตีความไปเลยว่าการกระตุ้น
00:11:59 → 00:12:03 ให้ไตกรองหนักขึ้นบ่อยๆจากการกินโปรตีน
00:12:03 → 00:12:06 สูงทุกมื้อทุกวันเนี่ยจะทำให้ไตทำงานหนัก
00:12:06 → 00:12:09 เกินกำลังจนพังในที่สุดเหมือนเครื่องยนต์
00:12:09 → 00:12:12 ที่เร่งบ่อยๆก็พังเร็วอะไรแบบนั้น
00:12:12 → 00:12:15 >> ใช่ค่ะเป็นการเปรียบเทียบที่ดูเหมือนจะสม
00:12:15 → 00:12:18 เหตุสมผลนะคะแต่ในความเป็นจริงมันอาจจะ
00:12:18 → 00:12:22 ไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้นสำหรับคนที่มีไต
00:12:22 → 00:12:25 แข็งแรงดีการเกิดHperปอฟilชั่วคราวหลัง
00:12:25 → 00:12:28 มื้ออาหารอาจจะเปรียบได้กับเวลาเราออก
00:12:28 → 00:12:31 กำลังกายแล้วหัวใจเต้นเร็วขึ้นชั่วคราว
00:12:31 → 00:12:33 ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติแล้วก็ไม่ได้ทำ
00:12:33 → 00:12:36 ให้หัวใจเสียหายใช่มั้ยคะแต่ถ้าคนที่มี
00:12:36 → 00:12:39 โรคหัวใจอยู่แล้วไปออกกำลังกายหนักๆเนี่ย
00:12:39 → 00:12:42 อาจจะเป็นอันตรายได้กรณีของไตก็คล้ายๆกัน
00:12:42 → 00:12:46 ค่ะไตที่แข็งแรงดีเค้ามีความสามารถในการ
00:12:46 → 00:12:49 ปรับตัวแล้วก็รับมือกับพาราที่เพิ่มขึ้น
00:12:49 → 00:12:52 ชั่วคราวได้ดีกว่าไตที่เริ่มมีปัญหาแล้ว
00:12:52 → 00:12:56 >> แต่ถึงแม้จะเป็นผลชั่วคราวสำหรับคนไตปกติ
00:12:56 → 00:12:59 อ่ะครับการกระตุ้นให้ไตกรองหนักขึ้นบ่อยๆ
00:12:59 → 00:13:03 ทุกวันวันละหลายมื้อมันมันไม่มีทางส่งผล
00:13:03 → 00:13:06 เสียสะสมในระยะยาวเลยหรอครับเหมือน
00:13:06 → 00:13:08 เครื่องจักรที่ใช้งานหนักทุกวันมันก็ต้อง
00:13:08 → 00:13:10 สึกหรอเร็วกว่าปกติหรือเปล่าครับ
00:13:10 → 00:13:13 >> เป็นคำถามที่ดีมากค่ะแล้วก็เป็นประเด็น
00:13:13 → 00:13:15 ที่นักวิจัยก็ยังถกเถียงแล้วก็ศึกษาเพิ่ม
00:13:16 → 00:13:18 เติมกันอยู่เรื่อยๆนะคะแต่จากข้อมูลที่มี
00:13:18 → 00:13:21 ในปัจจุบันซึ่งรวมถึงการศึกษาในกลุ่มคน
00:13:21 → 00:13:24 ที่เขากินโปรตีนสูงเป็นประจำอย่างเช่นนัก
00:13:24 → 00:13:27 กีฬาหรือคนที่กินคีโตอะไรแบบเนี้ยก็ยัง
00:13:27 → 00:13:30 ไม่เจอหลักฐานที่ชัดเจนนะคะว่าการเกิด
00:13:30 → 00:13:33 Hperปอร์filชั่วคราวซ้ำๆแบบเนี้ยมันจะนำ
00:13:33 → 00:13:35 ไปสู่การเสื่อมของไตที่เร็วขึ้นในคนที่มี
00:13:35 → 00:13:39 สุขภาพไตปกติหรือแม้แต่ในคนที่มีไตข้าง
00:13:39 → 00:13:42 เดียวแต่ทำงานได้ดีก็ยังไม่เจอนะคะร่าง
00:13:42 → 00:13:45 กายมนุษย์เราเนี่ยมีความสามารถในการปรับ
00:13:45 → 00:13:47 ตัวแล้วก็ซ่อมแซมตัวเองด้วยหน้าทึ่งกว่า
00:13:47 → 00:13:50 ที่เราคิดเยอะค่ะตราบใดที่ไตยังแข็งแรงดี
00:13:50 → 00:13:52 การกระตุ้นเป็นครั้งคราวอาจจะไม่ได้สร้าง
00:13:52 → 00:13:55 ความเสียหายถาวรอย่างที่เรากังวลกันและ
00:13:55 → 00:13:57 ปัจจัยสุดท้ายที่ทำให้ความเชื่อนี้มัน
00:13:57 → 00:14:00 อย่างรากลึกก็คืออิทธิพลจากงานวิจัยเก่าๆ
00:14:00 → 00:14:03 ค่ะมันมีงานวิจัยสำคัญชิ้นนึงในยุค 70
00:14:03 → 00:14:05 โดยดร. Barry Benner นะคะซึ่งเขาศึกษาใน
00:14:05 → 00:14:09 หนูทดลองแล้วก็เสนอแนวคิดว่าการกินโปรีน
00:14:09 → 00:14:11 สูงเนี่ยอาจจะเร่งให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น
00:14:11 → 00:14:14 ผ่านกลไกHอฟิเรตationนี่แหละค่ะงานวิจัย
00:14:14 → 00:14:18 ชิ้นนี้มีอิทธิพลสูงมากแล้วแนวคิดนี้ก็
00:14:18 → 00:14:20 ถูกเอามาใช้เป็นเหตุผลในการแนะนำให้จำกัด
00:14:20 → 00:14:23 โปรตีนกันในวงกว้างเลยแม้ว่าจะเป็นการ
00:14:24 → 00:14:26 ศึกษาในสัตว์ทดลองอ่ะนะแล้วก็อาจจะมีข้อ
00:14:26 → 00:14:29 จำกัดในการเอามาปรับใช้กับคนโดยตรงทั้ง
00:14:29 → 00:14:29 หมด
00:14:29 → 00:14:33 >> แปลว่างานวิจัยใหม่ๆในคนอาจจะให้ภาพที่
00:14:33 → 00:14:36 ต่างออกไปหรือว่าไม่เหมือนกัน
00:14:36 → 00:14:40 >> ใช่ค่ะงานวิจัยในมนุษย์ที่ตามมาในหลายสิบ
00:14:40 → 00:14:44 ปีหลังๆเนี่ยพบว่าในคนที่มีสุขภาพไตปกติ
00:14:44 → 00:14:47 การกินโปรตีนในระดับที่สูงกว่าค่าแนะนำ
00:14:47 → 00:14:50 ทั่วไปหรือ RDA เช่นอาจจะอยู่ที่ประมาณ
00:14:50 → 00:14:54 1.5-2.2 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กกัต่อ
00:14:54 → 00:14:57 วันหรือคิดเป็น 20-30% ของพลังงานรวม
00:14:57 → 00:15:00 เนี่ยไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการลดลงของ
00:15:00 → 00:15:03 ค่า GFR หรือการทำงานของไตที่แย่ลงอย่าง
00:15:03 → 00:15:05 มีนัยยะสำคัญในระยะยาวเลยค่ะ
00:15:05 → 00:15:10 >> โหฟังดูแล้วเรื่องนี้มันมีหลายมิติมากๆ
00:15:10 → 00:15:13 เลยนะครับทั้งการตีความอาการป่วยการ
00:15:13 → 00:15:16 เชื่อมโยงกลไกทางสรีรวิทยาที่ซับซ้อนแล้ว
00:15:16 → 00:15:19 ก็มีอิทธิพลจากงานวิจัยเก่าๆมารวมกันอีก
00:15:19 → 00:15:23 จนกลายเป็นความเชื่อที่แข็งแรงมากๆเลย
00:15:23 → 00:15:25 >> เป็นอย่างนั้นเลยค่ะมันไม่ใช่เรื่องขาวดำ
00:15:25 → 00:15:26 ง่ายๆเลยจริงๆ
00:15:26 → 00:15:30 >> ทีนี้คำถามสำคัญที่ผมว่าหลายคนอยากรู้ที่
00:15:30 → 00:15:35 สุดเลยคือแล้วจริงๆแล้วใครคือกลุ่มคนที่
00:15:35 → 00:15:38 ควรจะต้องระมัดระวังหรือจำกัดการบริโภค
00:15:38 → 00:15:40 โปรตีนอย่างจริงจังครับไม่ใช่แค่กังวลไป
00:15:40 → 00:15:41 เรื่อยๆตามๆกัน
00:15:41 → 00:15:44 >> จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แล้วก็แนวปฏิบัติ
00:15:44 → 00:15:47 ทางการแพทย์ในปัจจุบันนะคะกลุ่มหลักๆเลย
00:15:47 → 00:15:49 ที่แนะนำให้มีการจำกัดปริมาณโปรตีนอย่าง
00:15:49 → 00:15:52 ชัดเจนคือผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังโคริ
00:15:52 → 00:15:56 คIDนียด CKD ที่การทำงานของไตเขาเนี่ยลด
00:15:56 → 00:15:59 ลงไปอยู่ในระดับปานกลางถึงรุนแรงแล้วค่ะ
00:15:59 → 00:16:02 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่ 4 GFR 30
00:16:02 → 00:16:05 หรือบางครั้งอาจจะรวมถึงระยะ 3B GFR
00:16:05 → 00:16:06 30-44 ด้วยค่ะ
00:16:06 → 00:16:09 >> ทำไมกลุ่มนี้ถึงต้องจำกัดโปรตีนครับเหตุ
00:16:09 → 00:16:11 ผลหลักๆคืออะไร
00:16:11 → 00:16:13 >> เพราะว่าในระยะเนี้ยค่ะไตเขาเริ่มมีปัญหา
00:16:13 → 00:16:16 ในการขับของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญ
00:16:16 → 00:16:19 โปรตีนเช่นพวกยูเรียกรดยูริกหรือสาร
00:16:19 → 00:16:21 ประกอบไนโตรเจนอื่นๆเนี่ยออกจากร่างกาย
00:16:21 → 00:16:24 ได้ไม่ทันแล้วการกินโปรตีนในปริมาณสูงมัน
00:16:24 → 00:16:26 ก็จะยิ่งไปเพิ่มภาระให้กับไตที่อ่อนแอ
00:16:26 → 00:16:28 อยู่แล้วทำให้ของเสียพวกเนี้ยมันคั่งคั้ง
00:16:28 → 00:16:31 ในเลือดมากขึ้นซึ่งอาจจะนำไปสู่อาการต่าง
00:16:31 → 00:16:35 ๆได้เช่นคลื่นไส้เบื่ออาหารอ่อนเพลียหรือ
00:16:35 → 00:16:38 ภาวะเลือดเป็นกรดได้การจำกัดโปรตีนในผู้
00:16:38 → 00:16:40 ป่วยกลุ่มนี้ก็เลยเป็นการช่วยลดภาระของไต
00:16:40 → 00:16:43 แล้วก็อาจจะช่วยชะลอการดำเนินไปสู่ภาวะไต
00:16:43 → 00:16:46 วายระยะสุดท้ายที่ต้องล้างไตหรือปลุกไถไต
00:16:46 → 00:16:46 ได้ค่ะ
00:16:46 → 00:16:49 >> นั่นหมายความว่าสำหรับคนทั่วไปเลยที่ตรวจ
00:16:49 → 00:16:54 ตรวจสุขภาพและค่าไตอย่าง GF หรือเนี่ยยัง
00:16:54 → 00:16:57 อยู่ในเกณฑ์ปกติไม่ได้มีโรคไตเรื้อรัง
00:16:58 → 00:17:01 อะไรการบริโภคโปรตีนในระดับปกติหรือแม้จะ
00:17:01 → 00:17:04 ระดับที่ค่อนข้างสูงอย่างเช่นคนที่ออก
00:17:04 → 00:17:07 กำลังกายหนักๆต้องการโปรตีนเยอะหน่อย
00:17:07 → 00:17:09 เพื่อสร้างกล้ามเนื้อเนี่ยก็ยังไม่จำเป็น
00:17:09 → 00:17:12 ต้องกังวลจนเกินเหตุว่าจะทำให้ไตเสียหาย
00:17:12 → 00:17:13 ใช่มั้ครับ
00:17:13 → 00:17:15 >> โดยหลักการแล้วเป็นแบบนั้นเลยค่ะข้อมูล
00:17:15 → 00:17:18 ปัจจุบันสนับสนุนแนวคิดนี้ค่อนข้างชัดเจน
00:17:18 → 00:17:21 เลยแม้แต่ในผู้ป่วยโรคทางพันธุกรรมอย่าง
00:17:21 → 00:17:24 โรคถุงน้ำในไตหรือ PKD อ่ะค่ะซึ่งเป็นโรค
00:17:24 → 00:17:27 ที่ทำให้ไตเสื่อมลงเรื่อยๆนะก็มีงานวิจัย
00:17:27 → 00:17:30 ใหม่ๆที่พบว่าการบริโภคโปรตีนในระดับปกติ
00:17:30 → 00:17:32 ไม่ได้เร่งให้โรคแย่ลงอย่างที่เคยเชื่อ
00:17:32 → 00:17:35 กันในอดีตเลยค่ะจริงๆแล้วในทางกลับกันนะ
00:17:35 → 00:17:38 คะการจำกัดโปรตีนมากเกินความจำเป็นในคน
00:17:38 → 00:17:41 ทั่วไปหรือแม้แต่ในผู้ป่วย CKD ระยะต้นๆ
00:17:41 → 00:17:44 เนี่ยอาจจะส่งผลเสียได้นะคะโดยเฉพาะอย่าง
00:17:44 → 00:17:46 ยิ่งในเรื่องการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อหรือ
00:17:46 → 00:17:49 ซาโคพีเนียซึ่งสำคัญมากๆเลยต่อการเคลื่อน
00:17:49 → 00:17:52 ไหวไหวการเผาผลาญและคุณภาพชีวิตโดยรวม
00:17:52 → 00:17:54 เอ่อดิฉันเคยเจอเคสที่น่าเสียดายนะคะเป็น
00:17:55 → 00:17:57 ผู้ป่วย CKD ระยะต้นๆนี่แหละค่ะกลัวมาก
00:17:57 → 00:18:00 เรื่องโปรตีนก็เลยไปจำกัดเข้มงวดมากๆตาม
00:18:00 → 00:18:02 คำแนะนำที่อาจจะเก่าไปแล้วปรากฏว่าน้ำ
00:18:02 → 00:18:06 หนักลดฮวบเลยกล้ามเนื้อหายไปเยอะมากทำให้
00:18:06 → 00:18:08 คุมน้ำตาลยากขึ้นด้วยสุดท้ายกลายเป็นว่า
00:18:08 → 00:18:11 ผลเสียอาจจะมากกว่าผลดีจากการจำกัดโปรตีน
00:18:11 → 00:18:13 ที่ไม่จำเป็นต้องเข้มขนาดนั้นก็ได้ค่ะ
00:18:13 → 00:18:16 >> โหเป็นมุมมองที่น่าสนใจมากครับแสดงว่าการ
00:18:16 → 00:18:18 กลัวโปรตีนเกินไปก็อาจจะมีโทษได้เหมือน
00:18:18 → 00:18:22 กันไม่ใช่มีแต่ข้อดีทีนี้มีอีกประเด็นที่
00:18:22 → 00:18:24 ถกเถียงกันบ่อยเหมือนกันคือเรื่องความแตก
00:18:24 → 00:18:26 ต่างระหว่างโปรตีนจากสัตว์กับโปรตีนจาก
00:18:26 → 00:18:30 พืชว่าอันไหนส่งผลต่อไตมากกว่ากันพอเรา
00:18:30 → 00:18:32 พูดถึงเรื่องhyperฟilตationหรือการกรอง
00:18:32 → 00:18:34 เกินชั่วคราวเมื่อกี้มันก็มีคนเชื่อกัน
00:18:34 → 00:18:37 อีกว่าตัวการหลักที่กระตุ้นแรงๆเนี่ยคือ
00:18:37 → 00:18:39 โปรตีนจากสัตว์โดยเฉพาะเนื้อแดงอันนี้
00:18:39 → 00:18:41 จริงเท็จแค่ไหนครับเรื่องนี้
00:18:41 → 00:18:44 >> ประเด็นนี้มีส่วนจริงอยู่บ้างค่ะในแง่ของ
00:18:44 → 00:18:47 ปฏิกิริยาตอบสนองระยะสั้นนะคะมีงานวิจัย
00:18:47 → 00:18:50 ที่เขาเปรียบเทียบผลทันทีหลังการกิน
00:18:50 → 00:18:53 โปรตีนจากแหล่งต่างๆพบว่าโปรตีนจากสัตว์
00:18:53 → 00:18:56 บางชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเวโปรตีนหรือ
00:18:56 → 00:18:58 เนื้อแดงเนี่ยมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้
00:18:58 → 00:19:01 เกิดไฮเปอร์ฟilทรชัได้มากกว่าโปรตีนจาก
00:19:01 → 00:19:03 พืชบางชนิดเช่นโปรตีนถั่วเหลืองหรือ
00:19:04 → 00:19:06 โปรตีนจากธัญพืชเชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้อง
00:19:06 → 00:19:09 กับความแตกต่างของสัดส่วนกรดอะมิโนบาง
00:19:09 → 00:19:12 ชนิดอ่ะค่ะเช่นพวกกรดอะมิโนที่มีกรรมถรร
00:19:12 → 00:19:16 กรดอะมิโนชนิดกิ่ง BCA ที่อาจจะส่งผลต่อ
00:19:16 → 00:19:18 การไหลเวียนเลือดในไตต่างกันไป
00:19:18 → 00:19:22 >> อ๋อหมายความว่าถ้ากินเวโปรตีนแก้วใหญ่ๆ
00:19:22 → 00:19:25 อาจจะทำให้ไตกรองหนักขึ้นชั่วคราวมากกว่า
00:19:25 → 00:19:28 การกินเต้าหู้ในปริมาณโปรตีนเท่ากันอะไร
00:19:28 → 00:19:29 แบบนี้เหรอครับ
00:19:29 → 00:19:33 >> มีความเป็นไปได้ค่ะแต่ต้องย้ำคำเดิมนะคะ
00:19:33 → 00:19:36 ว่านี่คือผลกระทบที่เกิดขึ้นชั่วคราวใน
00:19:36 → 00:19:38 ช่วงไม่กี่ชั่วโมงหลังมื้ออาหารนั้นๆเท่า
00:19:38 → 00:19:40 นั้นยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่
00:19:40 → 00:19:43 แข็งแรงพอจะสรุปได้ว่าความแตกต่างในการ
00:19:43 → 00:19:46 กระตุ้นระยะสั้นแค่นี้มันจะนำไปสู่ความ
00:19:46 → 00:19:48 เสี่ยงต่อโรคไตในระยะยาวที่แตกต่างกัน
00:19:49 → 00:19:51 อย่างมีนัยยะสำคัญสำหรับคนที่มีสุขภาพไต
00:19:51 → 00:19:53 เป็นปกติดี
00:19:53 → 00:19:56 >> กระจ่างเลยครับแม้จะมีการตอบสนองระยะสั้น
00:19:56 → 00:19:59 ที่ต่างกันเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แปลตรงๆว่า
00:19:59 → 00:20:02 โปรตีนสัตว์อันตรายต่อไตมากกว่าในระยะยาว
00:20:02 → 00:20:03 สำหรับคนทั่วไป
00:20:03 → 00:20:06 >> ณข้อมูลปัจจุบันยังสรุปแบบนั้นไม่ได้ค่ะ
00:20:06 → 00:20:09 ทีนี้อยากจะชวนมองอีกมุมนึงที่ดิฉันคิด
00:20:09 → 00:20:11 ว่าสำคัญมากๆเลยแล้วอาจจะช่วยให้เราเห็น
00:20:11 → 00:20:14 ภาพรวมของสุขภาพไตได้ดีขึ้นนะคะนั่นคือ
00:20:14 → 00:20:17 ความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพเมบอicหรือ
00:20:17 → 00:20:20 สุขภาพระบบเผาผลาญโดยรวมของเรากับสุขภาพ
00:20:20 → 00:20:21 ของไตค่ะ
00:20:21 → 00:20:25 >> มันเกี่ยวข้องกันยังไงครับสุขภาพเผาผลาญ
00:20:25 → 00:20:27 กับไตฟังดูเหมือนจะคนละเรื่องกัน
00:20:27 → 00:20:30 >> เกี่ยวข้องอย่างยิ่งยวดเลยค่ะเราทราบกัน
00:20:30 → 00:20:33 ดีใช่ไหมคะว่า 2 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุด
00:20:33 → 00:20:35 เลยที่นำไปสู่โรคไตเรื้อรังในปัจจุบันคือ
00:20:36 → 00:20:39 อะไรก็คือเบาหวานกับความดันโลหิตสูงซึ่ง
00:20:39 → 00:20:41 ทั้ง 2 ภาวะนี้มีความสัมพันธ์อย่างใกล้
00:20:41 → 00:20:44 ชิดกับสุขภาพเมาบอลิคที่ไม่ดีโดยเฉพาะ
00:20:44 → 00:20:46 อย่างยิ่งภาวะดื้อต่ออินซูลินอินซูลิน
00:20:46 → 00:20:49 Resistance แล้วก็ภาวะอ้วนลงพง
00:20:49 → 00:20:50 Metabบolic syndrome น่ะค่ะ
00:20:50 → 00:20:53 >> แล้วโปรตีนเข้ามาเกี่ยวข้องตรงไหนครับ
00:20:53 → 00:20:56 >> โปรตีนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งเลยค่ะในการ
00:20:56 → 00:20:59 สร้างและรักษามวลกล้ามเนื้อของเราและมวล
00:20:59 → 00:21:01 กล้ามเนื้อนี่แหละค่ะคือเตาเผาพลังงานและ
00:21:01 → 00:21:04 อ่างเก็บน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายเรา
00:21:04 → 00:21:06 เลยกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและมีปริมาณเพียง
00:21:06 → 00:21:09 พอมีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยดึงน้ำตาล
00:21:09 → 00:21:12 ออกจากกระแสเลือดไปใช้แล้วก็เก็บสะสมช่วย
00:21:12 → 00:21:15 ให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลเรนได้ดีขึ้น
00:21:15 → 00:21:17 แล้วก็ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
00:21:17 → 00:21:17 ด้วย
00:21:17 → 00:21:21 >> โอ้โหคิดไม่ถึงเลยนะครับแปลว่าการที่เรา
00:21:21 → 00:21:23 กินโปรตีนให้เพียงพอเพื่อรักษามวลกล้าม
00:21:23 → 00:21:26 เนื้อให้ดีอยู่เสมอโดยเฉพาะเมื่ออายุมาก
00:21:26 → 00:21:29 ขึ้นหรือตอนที่พยายามลดน้ำหนักเนี่ยอาจจะ
00:21:29 → 00:21:32 เป็นการช่วยปกป้องสุขภาพไตทางอ้อมผ่านการ
00:21:32 → 00:21:35 ส่งเสริมสุขภาพเมาบอลิคที่ดีแบบนั้นเลย
00:21:35 → 00:21:36 หรอครับ
00:21:36 → 00:21:38 >> มีความเป็นไปได้สูงมากค่ะเพราะเมื่อเรา
00:21:38 → 00:21:41 ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีลดภาวะดื้อ
00:21:41 → 00:21:44 ต่ออินซูลินได้เราก็กำลังลดปัจจัยเสี่ยง
00:21:44 → 00:21:47 หลักที่ทำลายไต่โดยตรงเลยหนึ่งในกลไก
00:21:47 → 00:21:50 สำคัญที่น้ำตาลสูงเรื้อรังทำลายไตก็คือ
00:21:50 → 00:21:53 การทำให้เกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่าไกลชั
00:21:53 → 00:21:54 นี่แหละค่ะ
00:21:54 → 00:21:56 >> มาถึงเรื่องไกลเคชันี่ก็เป็นอีกจุดที่ผม
00:21:57 → 00:21:59 ว่าคนเข้าใจผิดกันเยอะเลยครับเคยได้ยิน
00:21:59 → 00:22:03 บางคนกังวลว่าการกินโปรเตนเยอะๆเนี่ยจะทำ
00:22:03 → 00:22:05 ให้โปรตีนจากอาหารที่เรากินเข้าไปนั่น
00:22:05 → 00:22:08 แหละไปทำปฏิกิริยาไกลเคชักับน้ำตาลในร่าง
00:22:08 → 00:22:10 กายแล้วก็กลายเป็นสารพิษทำลายไตมันใช่แบบ
00:22:11 → 00:22:11 นั้นมั้ครับ
00:22:11 → 00:22:14 >> โออันนั้นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไป
00:22:14 → 00:22:17 ไกลเลยค่ะต้องทำความเข้าใจใหม่นะคะว่า
00:22:17 → 00:22:20 ภาวะไกลเคชัที่อันตรายต่อไตและหลอดเลือด
00:22:20 → 00:22:23 จริงๆเนี่ยมันเกิดจากระดับน้ำตาลในเลือด
00:22:23 → 00:22:26 ที่สูงเกินไปเป็นตัวการหลักเลยค่ะเมื่อมี
00:22:26 → 00:22:28 น้ำตาลกลูโคสล่องลอยอยู่ในกระแสเลือดมาก
00:22:28 → 00:22:31 เกินไปโมเลกุลน้ำตาลเหล่านี่แหละค่ะที่จะ
00:22:31 → 00:22:34 เข้าไปทำปฏิกิริยาเกาะติดกับโมเลกุล
00:22:34 → 00:22:36 โปรตีนต่างๆที่เป็นส่วนประกอบภายในเซลล์
00:22:36 → 00:22:38 และเนื้อเยื่อของร่างกายเราเองโดยที่ไม่
00:22:38 → 00:22:42 ได้ใช้เอนไซม์ช่วยนะคะ non enซation
00:22:43 → 00:22:45 เช่นไปเกาะกับโปรตีนคอลลาเจนในผนังหลอด
00:22:45 → 00:22:48 เลือดหรือโปรตีนในหน่วยกรองของไต GL
00:22:48 → 00:22:50 Basement MBนอะไรแบบนี้
00:22:50 → 00:22:52 >> อ๋อ
00:22:52 → 00:22:56 คือน้ำตาลในเลือดที่สูงมันไปแปะติดกับ
00:22:56 → 00:22:58 โปรตีนที่เป็นโครงสร้างของร่างกายเราเอง
00:22:58 → 00:23:00 ไม่ใช่โปรตีนที่เราเพิ่งกินเข้าไปเมื่อ
00:23:00 → 00:23:01 กี้
00:23:01 → 00:23:04 >> ถูกต้องค่ะการที่น้ำตาลเข้าไปเกาะติดแบบ
00:23:04 → 00:23:07 ผิดปกตินี้จะทำให้โครงสร้างและการทำงาน
00:23:07 → 00:23:10 ของโปรตีนเหล่านั้นมันผิดเพี้ยนไปเสื่อม
00:23:10 → 00:23:13 สภาพเร็วขึ้นเกิดการอักเสบแล้วก็นำไปสู่
00:23:13 → 00:23:16 ความเสียหายของอวัยอวัยวะต่างๆรวมถึงไตใน
00:23:16 → 00:23:19 ระยะยาวนี่คือปัญหาหลักของไกเคชัที่เกิด
00:23:19 → 00:23:23 จากน้ำตาลสูงไม่ใช่โปรตีนในอาหารโดยตรง
00:23:23 → 00:23:26 ค่ะอย่างไรก็ตามอาจจะมีกรณีของสารที่
00:23:26 → 00:23:29 เรียกว่า Advance Gcation and Products
00:23:29 → 00:23:32 หรือ AG East ซึ่งเป็นผลผลิตขั้นสุดท้าย
00:23:32 → 00:23:36 ของปฏิกิริยาไลเคชสาร AG พวกนี้สามารถ
00:23:36 → 00:23:38 เกิดขึ้นได้ทั้งในร่างกายเราเองจากภาวะ
00:23:38 → 00:23:41 น้ำตาลสูงแล้วก็เกิดขึ้นในอาหารได้ด้วย
00:23:41 → 00:23:44 โดยเฉพาะอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยความร้อน
00:23:44 → 00:23:47 สูงๆร่วมกับน้ำตาลและโปรตีนเช่นพวกเนื้อ
00:23:47 → 00:23:50 ย่างกริมหรืออาหารแปรรูปที่มีสีน้ำตาล
00:23:50 → 00:23:53 เข้มๆอ่ะค่ะการบริโภคอาหารที่มี AGA สูงๆ
00:23:53 → 00:23:56 เข้าไปก็อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายและไต
00:23:56 → 00:23:59 ได้เหมือนกันแต่นี่เป็นคนละกลไกหลักกับ
00:23:59 → 00:24:01 ไกเคชัที่เกิดจากน้ำตาลในเลือดสูงนะคะ
00:24:01 → 00:24:05 >> ชัดเจนขึ้นเยอะเลยครับสรุปว่าตัวร้ายหลัก
00:24:05 → 00:24:09 จริงๆของไกลเคชัที่ทำลายไตคือน้ำตาลใน
00:24:09 → 00:24:12 เลือดสูงไม่ใช่การกินโปรตีนสูงโดยตรงมี
00:24:12 → 00:24:14 อีกความเชื่อนึงครับที่เกี่ยวเนื่องกัน
00:24:14 → 00:24:17 ที่ว่าพอเรากินโปรตีนเกินความจำเป็นร่าง
00:24:17 → 00:24:20 กายจะฉลาดพอที่จะเอาโปรตีนส่วนเกินนั้นไป
00:24:20 → 00:24:23 เปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสผ่านกระบวนการที่
00:24:23 → 00:24:25 เรียกว่ากลูโคนิogenesis
00:24:25 → 00:24:28 แล้วน้ำตาลที่ได้มาก็จะถูกเปลี่ยนต่อไป
00:24:28 → 00:24:31 เป็นไขมันสะสมทำให้เราอ้วนง่ายขึ้นถ้ากิน
00:24:31 → 00:24:33 โปรตีนเยอะๆอันนี้จริงนะครับ
00:24:33 → 00:24:36 >> เรื่องนี้ก็เป็นอีกตำนานที่เล่าต่อๆกันมา
00:24:36 → 00:24:39 จนดูเหมือนเป็นเรื่องจริงจังมากเลยนะคะ
00:24:39 → 00:24:41 กระบวนการเปลี่ยนโปรตีนเป็นกลูโคสหรือ
00:24:41 → 00:24:45 กลูโคน Genesis เนี่ยมีอยู่จริงค่ะเกิด
00:24:45 → 00:24:48 ขึ้นที่ตับเป็นหลักแต่ประเด็นคือมันเป็น
00:24:48 → 00:24:51 กระบวนการที่ค่อนข้างไม่มีประสิทธิภาพเอา
00:24:51 → 00:24:54 ซะเลยแล้วก็เกิดขึ้นตามความต้องการของ
00:24:54 → 00:24:57 ร่างกาย Demand Driven ไม่ใช่เกิดขึ้น
00:24:57 → 00:25:00 ตามปริมาณโปรตีนที่กินเข้าไป Supply
00:25:00 → 00:25:01 Driven ค่ะ
00:25:01 → 00:25:04 >> หมายความว่ายังไงครับ Demand Driven กับ
00:25:04 → 00:25:06 Supply Driven ช่วยขยายความนิดนึงครับ
00:25:06 → 00:25:09 >> หมายความว่าร่างกายจะสร้างกลูโคสจาก
00:25:09 → 00:25:12 โปรตีนหรือไขมันก็ต่อเมื่อร่างกายจำเป็น
00:25:12 → 00:25:16 ต้องใช้กลูโคสจริงๆแต่มีไม่พอเท่านั้นค่ะ
00:25:16 → 00:25:19 เช่นในภาวะอดอาหารนานๆหรือกิน
00:25:19 → 00:25:22 คาร์โบไฮเดรตต่ำมากๆจนระดับน้ำตาลในเลือด
00:25:22 → 00:25:25 เริ่มต่ำร่างกายถึงจะเริ่มกระบวนการนี้
00:25:25 → 00:25:28 เพื่อรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ไม่ใช่ว่า
00:25:28 → 00:25:31 พอกินโปรตีนเข้าไปเยอะๆแล้วร่างกายจะบอก
00:25:31 → 00:25:34 ว่าโอ้โปรตีนเหลือเยอะจังเอาไปเปลี่ยน
00:25:34 → 00:25:36 เป็นน้ำตาลเก็บไว้เล่นๆดีกว่าแบบนั้นไม่
00:25:36 → 00:25:39 ใช่เลยค่ะประสิทธิภาพการเปลี่ยนก็น้อยมาก
00:25:39 → 00:25:42 นะคะประมาณกันว่ากรดอะมิโนจากโปรตีน 100
00:25:42 → 00:25:45 กรัมเนี่ยอาจจะเปลี่ยนเป็นกลูโคสได้แค่
00:25:45 → 00:25:48 ราวๆ 50-60 กรัมเองแล้วก็ไม่ใช่กรดอะมิโน
00:25:48 → 00:25:51 ทุกชนิดที่เปลี่ยนได้ด้วยแล้วการเปลี่ยน
00:25:51 → 00:25:53 จากกลูโคสที่ได้มาสมมุติว่าเปลี่ยนมาได้
00:25:53 → 00:25:57 จริงๆไปเป็นไขมันล่ะครับยิ่งยากเข้าไปอีก
00:25:57 → 00:25:57 ไหม
00:25:57 → 00:26:00 >> ยากและซับซ้อนขึ้นไปอีกค่ะกระบวนการ
00:26:00 → 00:26:05 เปลี่ยนกลูโคสส่วนเกินไปเป็นไขมันหรือ
00:26:05 → 00:26:09 DNL ในมนุษย์เราเนี่ยมีประสิทธิภาพต่ำ
00:26:09 → 00:26:12 มากๆเลยค่ะเกิดขึ้นน้อยมากในสภาวะปกติยก
00:26:12 → 00:26:15 เว้นในกรณีที่กินคาร์โบไฮเดรตโดยเฉพาะน้ำ
00:26:15 → 00:26:18 ตาลฟรุกโตสในปริมาณมหาศาลจริงๆและอยู่ใน
00:26:18 → 00:26:21 ภาวะพลังงานเกินดุลมากๆเท่านั้นการที่
00:26:21 → 00:26:23 โปรตีนจะต้องถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสแล้ว
00:26:23 → 00:26:26 กลูโคสนั้นต้องถูกเปลี่ยนต่อไปเป็นไขมัน
00:26:26 → 00:26:28 สะสมอีกทอดนึงเนี่ยถือว่าเป็นไปได้น้อย
00:26:28 → 00:26:32 มากๆมากๆในทางสรีรวิทยาเลยค่ะเหมือนต้อง
00:26:32 → 00:26:35 ปีนเขา 3 ลูกกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ร่าง
00:26:35 → 00:26:38 กายมักจะเลือกทางที่ง่ายกว่าคือเอาโปรตีน
00:26:38 → 00:26:40 ไปใช้ส้มแซมสร้างเนื้อเยื่อหรือเผาผลาน
00:26:40 → 00:26:43 เป็นพลังงานโดยตรงมากกว่าเยอะค่ะ
00:26:43 → 00:26:46 >> สรุปได้ว่าความกังวลที่ว่ากินโปรตีนเยอะ
00:26:46 → 00:26:48 แล้วจะกลายเป็นไขมันพอกตามตัวโดยตรงนี่
00:26:48 → 00:26:51 แทบจะเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติหรือเกิด
00:26:51 → 00:26:54 ขึ้นน้อยมากๆจนไม่มีนัยยะสำคัญทางคลินิก
00:26:54 → 00:26:54 เลย
00:26:54 → 00:26:57 >> ใช่ค่ะปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดไขมันสะสม
00:26:57 → 00:27:00 ยังคงเป็นเรื่องของสมดุลพลังงานโดยรวมคือ
00:27:00 → 00:27:03 รับพลังงานหรือแคลอรี่เข้ามามากกว่าที่
00:27:03 → 00:27:05 ใช้ไประยะยาวไม่ว่าพลังงานนั้นจะมาจาก
00:27:05 → 00:27:09 โปรตีนคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันก็ตามแต่การ
00:27:09 → 00:27:11 เปลี่ยนโปรตีนเป็นไขมันโดยตรงนั้นแทบแทบ
00:27:11 → 00:27:13 ไม่มีบทบาทสำคัญอะไรเลยค่ะ
00:27:13 → 00:27:16 >> โอ้โหวันนี้เราได้เจาะลึกกันหลายแง่มุม
00:27:16 → 00:27:19 มากเลยนะครับเกี่ยวกับโปรตีนกับไตเนี่ย
00:27:19 → 00:27:23 ตั้งแต่ต้นตอความเชื่อไปจนถึงกลไกต่างๆ
00:27:23 → 00:27:26 แล้วก็ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยๆสรุปแล้ว
00:27:26 → 00:27:29 ความเชื่อที่ว่าการกินโปรตีนสูงเป็น
00:27:29 → 00:27:32 อันตรายต่อไตที่ปกติของคนทั่วไปนั้นส่วน
00:27:32 → 00:27:35 ใหญ่เกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไม่
00:27:35 → 00:27:37 ว่าจะเป็นการสับสนเรื่องโปรตีนในปัสสาวะ
00:27:37 → 00:27:39 การตีความเรื่องhyperปอฟ filtration ชั่ว
00:27:39 → 00:27:42 คราวเกิมจริงไปแล้วก็อิทธิพลจากงานวิจัย
00:27:42 → 00:27:43 เก่าๆด้วย
00:27:43 → 00:27:46 >> ถูกต้องเลยค่ะหัวใจสำคัญที่เราได้คุยกัน
00:27:46 → 00:27:49 วันนี้คือกลุ่มที่ต้องระมัดระวังและอาจจะ
00:27:49 → 00:27:52 ต้องจำกัดโปรตีนจริงๆก็คือผู้ป่วยโรคไต
00:27:52 → 00:27:55 เรื้อรังในระยะที่การทำงานของไตลดลงไปมาก
00:27:55 → 00:27:58 แล้วเท่านั้นนะคะสำหรับคนทั่วไปที่มี
00:27:58 → 00:28:01 สุขภาพไตแข็งแรงการบริตีนให้เพียงพอซึ่ง
00:28:01 → 00:28:04 อาจจะสูงกว่าค่า RDA สำหรับคนที่แคtive
00:28:04 → 00:28:06 หรือออกกำลังกายเนี่ยไม่เพียงแต่ไม่เป็น
00:28:06 → 00:28:08 อันตรายนะคะแต่ยังเป็นสิ่งจำเป็นต่อการ
00:28:08 → 00:28:11 รักษาสุขภาพโดยรวมโดยเฉพาะการรักษามวล
00:28:11 → 00:28:14 กล้ามเนื้อซึ่งน่าประหลาดใจที่อาจจะส่งผล
00:28:14 → 00:28:16 ดีต่อสุขภาพไตในระยะยาวทางอ้อมด้วยซ้ำ
00:28:16 → 00:28:18 ผ่านการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและส่งเสริม
00:28:18 → 00:28:21 สุขภาพเมาบอลิสที่ดีอย่างที่เราคุยกันถ้า
00:28:21 → 00:28:24 จะให้กังวลจริงๆนะคะสำหรับสุขภาพไตของคน
00:28:24 → 00:28:27 ส่วนใหญ่ในยุคนี้สิ่งที่น่ากังวลมากกว่า
00:28:27 → 00:28:29 อาจจะเป็นการบริโภคน้ำตาลน้ำหวานแล้วก็
00:28:29 → 00:28:32 คาร์โบไฮเดรตแปรรูปที่มันมากเกินพอดีซึ่ง
00:28:32 → 00:28:34 นำไปสู่ภาวะอ้วนลงพุงดื้อต่ออินซูลินและ
00:28:34 → 00:28:37 น้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังปัจจัยเหล่านี้
00:28:37 → 00:28:39 ต่างหากค่ะที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า
00:28:39 → 00:28:42 เป็นตัวการสำคัญที่ทำลายไตโดยตรงผ่านกลไก
00:28:42 → 00:28:44 ต่างๆรวมทั้งไกลเคชัที่เราคุยกันไป
00:28:44 → 00:28:48 >> ครับผมชัดเจนมากครับและในตอนท้ายนี้ก็ขอ
00:28:48 → 00:28:51 ฝากคำถามชวนคิดไว้นิดนึงสำหรับผู้ฟังทุก
00:28:51 → 00:28:55 ท่านลองนำไปพิจารณากันต่อนะครับในเมื่อ
00:28:55 → 00:28:58 เราเห็นแล้วว่าการดูแลอ่างเก็บน้ำตาล
00:28:58 → 00:29:00 สำคัญของร่างกายอย่างมวลกล้ามเนื้อเนี่ย
00:29:00 → 00:29:03 มันมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาล
00:29:03 → 00:29:06 ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อสุขภาพตายในระยะยาว
00:29:06 → 00:29:09 เลยการหันมาให้ความสำคัญกับการบริโภค
00:29:09 → 00:29:12 โปรตีนให้เพียงพอและเหมาะสมกับกิจกรรมควบ
00:29:13 → 00:29:15 คู่ไปกับการออกกำลังกายแบบมีแรงต้านเพื่อ
00:29:15 → 00:29:18 สร้างและรักษากล้ามเนื้อให้แข็งแรงเนี่ย
00:29:18 → 00:29:20 อาจจะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์เชิงป้องกันโรคไต
00:29:20 → 00:29:23 หรือชะลอความเสื่อมของไตที่เราอาจจะมอง
00:29:23 → 00:29:26 ข้ามหรือให้ความสำคัญน้อยเกินไปในยุคที่
00:29:26 → 00:29:28 เต็มไปด้วยความกังวลเรื่องอาหารการกินนี้
00:29:28 → 00:29:32 หรือไม่ลองเก็บไปคิดเป็นการบ้านดูนะครับ
00:29:32 → 00:29:49 [เพลง]
00:00:00 → 00:00:03 ขอต้อนรับสู่หมอพัทรพcast Talk ความรู้
00:00:03 → 00:00:06 สุขภาพลึกและฟรีมีที่นี่
00:00:06 → 00:00:09 >> เคยได้ยินไหมครับว่ากินโปรตีนเยอะๆแล้วจะ
00:00:09 → 00:00:11 ไตพังวันนี้เราจะมาเจาะลึกกันให้เคลียร์
00:00:11 → 00:00:14 ไปเลยครับว่าเรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหนกัน
00:00:14 → 00:00:17 แน่เชื่อว่าหลายๆคนต้องเคยได้ยินคำเตือน
00:00:17 → 00:00:20 นี้แน่ๆครับระวังนะกินโปรตีนเยอะเดี๋ยวไต
00:00:20 → 00:00:24 ก็พังหรอกใช่มั้ยครับเอแล้วไอ้ความเชื่อ
00:00:24 → 00:00:26 ที่ว่าเนี่ยมันมาจากไหนกันล่ะครับเดี๋ยว
00:00:26 → 00:00:30 เรามาหาคำตอบกันโอเคครับก่อนที่เราจะไป
00:00:30 → 00:00:32 ว่ากันถึงเรื่องของคนทั่วไปเนี่ยนะฮะเรา
00:00:32 → 00:00:34 ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนเลยว่าจริงๆ
00:00:34 → 00:00:37 แล้วใครกันแน่ที่ต้องระวังเรื่องการกิน
00:00:37 → 00:00:41 โปรตีนเป็นพิเศษคือคำแนะนำที่บอกให้จำกัด
00:00:41 → 00:00:43 โปรตีนเนี่ยนะครับมันเฉพาะเจาะจงมากๆเลย
00:00:44 → 00:00:47 ครับไม่ใช่สำหรับทุกคนนะแต่จะใช้กับกลุ่ม
00:00:47 → 00:00:50 คนที่เป็นโรคไตในระยะท้ายๆย้ำว่าระยะท้าย
00:00:50 → 00:00:53 ๆเลยนะครับที่การทำงานของไตเนี่ยมันบก
00:00:53 → 00:00:58 พร่องไปมากแล้วจริงๆเอ้าทีนี้ก็น่าคิดนะ
00:00:58 → 00:01:01 ครับถ้าคำแนะนำนี้มันสำหรับคนที่เป็นโรค
00:01:01 → 00:01:05 ไตระยะท้ายๆเป็นหลักแล้วทำไมทำไมมันถึง
00:01:05 → 00:01:07 กลายมาเป็นความเชื่อที่คนทั่วไปกลัวกันไป
00:01:07 → 00:01:11 หมดได้ล่ะครับเอาล่ะครับความเชื่อผิดที่
00:01:11 → 00:01:14 ว่าเนี่ยมันมีรากฐานมาจากข้อสังเกตหลักๆ
00:01:14 → 00:01:17 อยู่ 3 ข้อด้วยกันครับเดี๋ยวเรามาค่อยๆ
00:01:17 → 00:01:20 แกกไปทีละปมกันเลยดีกว่ามาเริ่มกันที่
00:01:20 → 00:01:23 จิ๊กซอชิ้นแรกเลยนะครับมันมาจากแนวคิดที่
00:01:23 → 00:01:26 ว่าพอเรากินโปรตีนเข้าไปเยอะๆเนี่ยร่าง
00:01:26 → 00:01:28 กายเราเผาผลาญแล้วมันจะเกิดสภาวะที่เป็น
00:01:28 → 00:01:32 กรดขึ้นมาซึ่งไอ้สภาวะกรดนี่แหละครับที่
00:01:32 → 00:01:34 เขาเชื่อกันว่ามันไปสร้างภาระหนักให้กับ
00:01:34 → 00:01:38 ไตเราต่อมาครับความสับสนที่ 2 เนี่ยมันมา
00:01:39 → 00:01:42 จากภาวะทางการแพทย์ที่เรียกว่าโปรตีนรั่ว
00:01:42 → 00:01:46 ในปัสสาวะหรือโปรจีโนูเรียครับผมคือมัน
00:01:46 → 00:01:49 เป็นอย่างี้ครับพอคนเราเห็นคำว่าโปรตีนใน
00:01:49 → 00:01:52 อาหารที่เรากินกับคำว่าโปรตีนที่มันรั่ว
00:01:52 → 00:01:55 ออกมาในฉี่ของคนที่เป็นโรคไตก็เลยเกิดการ
00:01:55 → 00:01:58 เชื่อมโยงแบบผิดๆขึ้นมาทันทีเลยครับคิดไป
00:01:58 → 00:02:02 ว่าอ๋อกินโปรตีนเข้าไปมันก็เลยรั่วออกมา
00:02:02 → 00:02:05 แสดงว่าการกินโปรตีนนี่แหละคือตัวการซึ่ง
00:02:05 → 00:02:08 มันก็เหมือนกับที่เราบอกว่าไขมันไม่ดี
00:02:08 → 00:02:10 เพราะในคำว่าไขมันมันมีคำว่าไขมันอยู่
00:02:10 → 00:02:14 นั่นแหละครับและมาถึงความเข้าใจผิดข้อสุด
00:02:14 → 00:02:17 ท้ายครับข้อนี้อาจจะสำคัญที่สุดเลยก็ว่า
00:02:17 → 00:02:20 ได้มันมาจากการตอบสนองตามธรรมชาติของร่าง
00:02:20 → 00:02:24 กายเราเองที่เรียกว่า Hyper Filtration
00:02:25 → 00:02:29 หรือถ้าแปลตรงๆก็คือการกรองเกินขนาดครับ
00:02:29 → 00:02:33 เอาล่ะครับจุดClกxมันอยู่ตรงนี้เลยคำว่า
00:02:33 → 00:02:36 Hyper Filtration หรือการกรองเกินขนาด
00:02:36 → 00:02:38 เนี่ยนะครับมันไม่ได้มีแค่แบบเดียวครับ
00:02:38 → 00:02:41 และความแตกต่างนี่แหละครับที่จะไขทุกข์
00:02:41 → 00:02:44 ข้อสงสัยแล้วก็หักล้างความเชื่อผิดๆที่
00:02:44 → 00:02:47 เราเคยได้ยินมาทั้งหมดเลยนี่แหละครับคือ
00:02:47 → 00:02:50 หัวใจของเรื่องทั้งหมดเลยเรากำลังเอาของ 2
00:02:51 → 00:02:54 อย่างที่ต่างกันสุดขั้วมาปนกันคือเรา
00:02:54 → 00:02:57 กำลังสับสนระหว่างการตอบสนองปกติของร่าง
00:02:57 → 00:03:00 กายที่เกิดขึ้นแป๊บเดียวแล้วก็หายไปกับ
00:03:00 → 00:03:02 อาการของโรคที่มันสร้างความเสียหายให้ไต
00:03:02 → 00:03:05 แบบเรื้อรังและต่อเนื่องครับนี่เป็นตัว
00:03:05 → 00:03:08 อย่างที่คลาสสิคสุดๆของสิ่งที่เรียกว่า
00:03:08 → 00:03:11 การสรุปเหตุผลแบบกลับด้านเลยครับพูดง่ายๆ
00:03:11 → 00:03:14 ก็คือเราเห็น 2 อย่างมันเกิดขึ้นพร้อมๆ
00:03:14 → 00:03:18 กันหรือดูคล้ายๆกันเราก็เลยเผลอสรุปไปว่า
00:03:18 → 00:03:20 อย่างนึงเป็นสาเหตุของอีกอย่างนึงทั้งที่
00:03:20 → 00:03:22 ความจริงมันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกันเลยหรือ
00:03:22 → 00:03:26 อาจจะกลับด้านกันด้วยซ้ำครับโอเคถ้า
00:03:26 → 00:03:28 โปรตีนไม่ใช่ตัวร้ายสำหรับคนที่มีไตแข็ง
00:03:28 → 00:03:31 แรงดีแล้วอะไรล่ะครับคือสิ่งที่น่ากังวล
00:03:31 → 00:03:35 จริงๆกันแน่จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์นะ
00:03:35 → 00:03:38 ครับตัวการที่แท้จริงที่คอยทำร้ายไตของ
00:03:38 → 00:03:41 เราในระยะยาวเนี่ยส่วนใหญ่เลยมันมาจาก
00:03:41 → 00:03:44 ปัญหาสุขภาพของระบบเผาผลาญหรือmetabบolิ
00:03:44 → 00:03:46 ที่ไม่ดีค่ะซึ่งตัวขับเคลื่อนหลักๆก็มา
00:03:47 → 00:03:49 จากปัจจัย 3 อย่างนี้เลยโดยเฉพาะกระบวน
00:03:49 → 00:03:52 การที่เรียกว่าไกลชัเนี่ยนะครับมัน
00:03:52 → 00:03:55 อันตรายกับไตมากเลยลองนึกภาพตามนะครับ
00:03:55 → 00:03:57 เวลาน้ำตาลในเลือดเลือดเรามันสูงเกินไป
00:03:57 → 00:04:00 เนี่ยน้ำตาลส่วนเกินพวกนั้นมันจะลอยไป
00:04:00 → 00:04:02 เกาะกับโปรตีนที่อยู่บนเซลล์ต่างๆโดย
00:04:02 → 00:04:05 เฉพาะเซลล์ไตแล้วมันก็ทำปฏิกิริยากันจน
00:04:05 → 00:04:08 เหมือนกับโปรตีนพวกนั้นมันไหม้หรือกลาย
00:04:08 → 00:04:10 เป็นคาราเมลอ่ะครับซึ่งแน่นอนว่าพอเป็น
00:04:10 → 00:04:13 แบบนั้นโปรตีนที่เคยทำงานได้ดีมันก็
00:04:13 → 00:04:17 เพี้ยนแล้วก็ทำงานผิดปกติไปเลยและนี่แหละ
00:04:17 → 00:04:20 ครับคือจุดที่เรื่องราวมันพลิกเลยเพราะ
00:04:20 → 00:04:22 เรากำลังจะมาดูกันครับว่าการกินโปรตีนให้
00:04:23 → 00:04:25 เพียงพอเนี่ยมันไม่เพียงแต่จะไม่ทำร้ายไต
00:04:25 → 00:04:29 นะแต่มันอาจจะมีบทบาทสำคัญในการปกป้องไต
00:04:29 → 00:04:32 ของเราด้วยซ้ำไปครับมันเหมือนเป็นวงจรที่
00:04:33 → 00:04:35 ดีงามที่เกิดขึ้นเลยครับคือพอเรากิน
00:04:35 → 00:04:38 โปรตีนเพียงพอมันก็จะไปช่วยเสริมสร้าง
00:04:38 → 00:04:40 ระบบที่จะทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะป้อง
00:04:40 → 00:04:43 ตันให้ไตเราจากตัวการร้ายที่แท้จริงที่
00:04:43 → 00:04:46 เราพูดถึงไปเมื่อกี้นี้แหละครับประเด็น
00:04:46 → 00:04:48 ที่สำคัญที่สุดมันอยู่ตรงนี้ครับคือกล้า
00:04:48 → 00:04:51 เนื้อของเราเนี่ยมันเป็นเหมือนโกดังหรือ
00:04:51 → 00:04:53 อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่สำหรับเก็บกลูโคสเลย
00:04:53 → 00:04:56 ครับดังนั้นยิ่งเรามีมวลกล้ามเนื้อเยอะ
00:04:56 → 00:04:59 เท่าไหร่มันก็ยิ่งมีที่ให้กลูโคสไปเก็บ
00:04:59 → 00:05:01 มากขึ้นเท่านั้นพอกลูโคสมีที่ไปมันก็ไม่
00:05:02 → 00:05:04 ลอยเคว้งคว้างอยู่ในกระแสเลือดจนสูงเกิน
00:05:04 → 00:05:06 ไปและไม่ไปสร้างความเสียหายให้กับไตหรือ
00:05:06 → 00:05:10 ส่วนอื่นๆของร่างกายครับขนาดในคนที่เป็น
00:05:10 → 00:05:13 โรคไตบางชนิดแล้วนะครับยังมีงานวิจัยที่
00:05:13 → 00:05:17 พบว่าการกินโปรตีนในปริมาณปกติก็ไม่ได้ไป
00:05:17 → 00:05:20 เร่งให้โรคของพวกเขาแย่ลงเลยครับกลับกัน
00:05:20 → 00:05:23 ซะอีกการไปจำกัดโปรตีนแบบสุดต่งเกินไป
00:05:23 → 00:05:25 เนี่ยอาจจะอันตรายกว่าด้วยซ้ำเพราะมันจะ
00:05:25 → 00:05:28 ทำให้สูญเสียมวลกลั้งเนื้อซึ่งอย่างที่
00:05:28 → 00:05:31 บอกไปว่ามันสำคัญมากๆครับมันก็เลยค่อน
00:05:31 → 00:05:33 ข้างน่าคิดนะครับพอเรามองภาพรวมทั้งหมด
00:05:33 → 00:05:36 แบบครบวงจรแล้วเนี่ยมันเหมือนกับว่าโอเค
00:05:36 → 00:05:38 ตัวปัญหาจริงๆมันอาจจะไม่ใช่โปรตีนเลยก็
00:05:38 → 00:05:41 ได้แต่กลับน่าจะเป็นพวกคาร์โบไฮเดรตที่
00:05:41 → 00:05:44 ผ่านการขัดสีหรืออาหารที่ไปกระทบกับระบบ
00:05:44 → 00:05:47 เมบอลิึมของเราโดยตรงมากกว่าสุดท้ายนี้ก็
00:05:47 → 00:05:50 เลยอยากจะทิ้งคำถามไว้ให้ไปคิดกันต่อนะ
00:05:50 → 00:05:53 ครับว่าสำหรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรงดี
00:05:53 → 00:05:56 เนี่ยการที่เรามัวแต่กลัวโปรตีนมันอาจจะ
00:05:56 → 00:05:58 กลายเป็นความเสี่ยงที่แท้จริงต่อสุขภาพไต
00:05:58 → 00:06:01 ในระยะยาวหรือเปล่าเพราะนั่นอาจหมายความ
00:06:01 → 00:06:04 ว่าเรากำลังละเลยเครื่องมือที่สำคัญที่
00:06:04 → 00:06:07 สุดชิ้นหนึ่งในการรักษาสุขภาพระบบเผาผลาญ
00:06:07 → 00:06:09 ซึ่งเป็นสิ่งที่ไตของเราต้องพึ่งพาอาศัย
00:06:09 → 00:06:12 อยู่ก็เป็นได้ครับ
00:06:12 → 00:06:15 >> สวัสดีครับยินดีต้อนรับสู่การพูดคุยเจาะ
00:06:15 → 00:06:17 ลึกของเราวันนี้นะครับกับหัวข้อที่ผมว่า
00:06:17 → 00:06:19 น่าจะอยู่ในความสนใจของหลายๆคนเลยโดย
00:06:19 → 00:06:23 เฉพาะคนที่เอ่อใส่ใจสุขภาพโภชนาการคือ
00:06:23 → 00:06:27 เรื่องความเชื่อที่ว่ากินโปรตีนสูงทำให้
00:06:27 → 00:06:30 ไต่พังเนี่ยมันจริงแค่ไหนแล้วไอ้ความ
00:06:30 → 00:06:34 เชื่อนี้มันฝังหัวกันมานานมาจากไหนกันแน่
00:06:34 → 00:06:36 วันนี้เราจะมาแกะรอยเรื่องนี้กันครับโดย
00:06:36 → 00:06:38 ใช้ข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ของผู้เชี่ยวชาญ
00:06:38 → 00:06:40 เลยเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านไต่โดยตรง
00:06:40 → 00:06:43 >> สวัสดีค่ะใช่เลยค่ะภารกิจของเราวันนี้ก็
00:06:43 → 00:06:46 คืออยากจะลงลึกไปถึงกลไกจริงๆที่มัน
00:06:46 → 00:06:49 เกี่ยวข้องนะคะแยกแยะให้ชัดๆไปเลยค่ะ
00:06:49 → 00:06:51 ระหว่างข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์กับความ
00:06:51 → 00:06:54 เชื่อที่อาจจะเอ่อคลาดเคลื่อนกันไปและที่
00:06:54 → 00:06:57 สำคัญมากๆคือทำความเข้าใจว่าจริงๆแล้วใคร
00:06:58 → 00:07:00 คือกลุ่มคนที่ต้องใส่ใจเรื่องปริมาณ
00:07:00 → 00:07:03 โปรตีนเป็นพิเศษไม่ใช่แบบเมารวมกันไปหมด
00:07:03 → 00:07:05 >> เยี่ยมเลยครับงั้นเรามาเริ่มไขปมแรกกัน
00:07:05 → 00:07:08 เลยดีกว่ากับคำถามที่คาใจแทบทุกคนที่หัน
00:07:08 → 00:07:11 มาดูแลตัวเองมากขึ้นนะครับตกลงว่าการกิน
00:07:11 → 00:07:13 โปรตีนเยอะๆเนี่ยมันเป็นสาเหตุให้ไตทำงาน
00:07:13 → 00:07:16 หนักจนพังจริงหรือเปล่าครับไอ้ความเชื่อ
00:07:16 → 00:07:18 ที่ว่านี้มันมีรากมาจากไหนกันแน่
00:07:18 → 00:07:21 >> อืมเรื่องนี้ต้องบอกว่ามันมีความซับซ้อน
00:07:21 → 00:07:24 อยู่เหมือนกันนะคะไม่ได้มีคำตอบง่ายๆว่า
00:07:24 → 00:07:27 ใช่หรือไม่ใช่ทันทีความเชื่อนี้มันก่อตัว
00:07:27 → 00:07:36 ขึ้นจากหลายปัจจัยที่ผสมปนเปรค
00:07:36 → 00:07:39 ไตเรื้อรางระยะท้ายๆเนี่ยมักจะตรวจเจอ
00:07:39 → 00:07:41 โปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะที่เรียกว่า
00:07:41 → 00:07:43 โปรตีนนูเรีย
00:07:43 → 00:07:47 >> อ๋อครับที่เวลาไปตรวจสุขภาพแล้วเจอโปรตีน
00:07:47 → 00:07:50 ในฉี่แล้วคุณหมอบอกว่าเอ๊ไตอาจจะมีปัญหา
00:07:50 → 00:07:51 ใช่มั้ครับ
00:07:51 → 00:07:55 >> ใช่ค่ะใช่ค่ะแต่จุดที่ทำให้เกิดความเข้า
00:07:55 → 00:07:58 ใจผิดคือโปรตีนที่รั่วออกมาในปัสสาวะของ
00:07:58 → 00:08:01 ผู้ป่วยโรคไตเนี่ยค่ะโดยหลักๆแล้วมันคือ
00:08:01 → 00:08:05 โปรตีนแอลบูมินแอลบูมินซึ่งเป็นโปรตีนที่
00:08:05 → 00:08:07 โมเลกุลมันค่อนข้างใหญ่แล้วก็เป็นส่วน
00:08:07 → 00:08:10 ประกอบสำคัญที่ปกติมันต้องอยู่ในเลือดเรา
00:08:10 → 00:08:13 นะคะที่มันรั่วออกมาได้เนี่ยเพราะว่าตัว
00:08:13 → 00:08:16 กรองของไตหรือกลมลูัสอ่ะค่ะมันเกิดความ
00:08:16 → 00:08:19 เสียหายหรือมีรูรั่วมันเลยกักเก็บโปรตีน
00:08:19 → 00:08:22 ใหญ่ๆพวกนี้ไว้ไม่ได้เหมือนเดิมไม่ใช่ว่า
00:08:22 → 00:08:24 เกิดจากการที่เรากินโปรตีนจากอาหารเข้าไป
00:08:24 → 00:08:26 เยอะๆโดยตรงนะคะ
00:08:26 → 00:08:30 >> อ๋อเข้าใจประเด็นแล้วครับคือเป็นโปรตีน
00:08:30 → 00:08:34 อัลบูมินในเลือดที่รั่วออกมาเพราะไตพัง
00:08:34 → 00:08:37 แต่ดันไปใช้คำว่าโปรตีนเหมือนกับโปรตีนใน
00:08:37 → 00:08:40 อาหารเป๊ะๆคนก็เลยเกิดการเชื่อมโยงแบบ
00:08:40 → 00:08:44 ง่ายๆไปเลยว่ากินโปรตีนเยอะโปรตีนรั่วใน
00:08:44 → 00:08:46 ฉี่ไตพังแน่ๆ
00:08:46 → 00:08:48 >> ตรงประเด็นนั้นเลยค่ะมันคล้ายๆกับเรื่อง
00:08:48 → 00:08:52 ไขมันเลยที่หลายคนยังสับสนอยู่กลัวการกิน
00:08:52 → 00:08:55 ไขมันในอาหารเพราะชื่อมันดันไปเหมือนกับ
00:08:55 → 00:08:58 ไขมันในเลือดหรือไขมันที่พุงเราทั้งที่
00:08:58 → 00:09:01 จริงๆชนิดและผลกระทบต่อร่างกายมันต่างกัน
00:09:01 → 00:09:04 เลยนี่คือจุดเริ่มต้นของความสับสนจุดแรก
00:09:04 → 00:09:07 เกี่ยวกับโปรตีนกับไตค่ะปัจจัยที่ 2 ที่
00:09:07 → 00:09:09 มาเสริมความเชื่อนี้เข้าไปอีกก็คือเรื่อง
00:09:09 → 00:09:12 ของความเป็นกรดในร่างกายหรือ
00:09:12 → 00:09:15 acciidification ค่ะการย่อยสลายการเผา
00:09:15 → 00:09:18 ผลาญโปรตีนโดยเฉพาะโปรตีนที่มีกรด
00:09:18 → 00:09:21 อะมิโนกรรมถัน์สูงๆเช่นจากเนื้อสัตว์
00:09:21 → 00:09:23 เนี่ยมันทำให้เกิดผลผลิตที่เป็นกรดขึ้นมา
00:09:23 → 00:09:26 ในร่างกายแล้วร่างกายก็ต้องขับกรดส่วน
00:09:26 → 00:09:30 เกินนี้ออกทางไตผ่านการสร้างแอมโมเนีย
00:09:30 → 00:09:32 ซึ่งมันก็ทำให้ปัสสาวะมีแนวโน้มเป็นกรด
00:09:32 → 00:09:33 มากขึ้น
00:09:33 → 00:09:36 >> แล้วการที่ปัสสาวะเป็นกรดมันส่งผลเสียต่อ
00:09:36 → 00:09:39 ไตยังไงครับมันมันไปเกี่ยวกันยังไง
00:09:39 → 00:09:41 >> คือไตของเราเนี่ยค่ะมันทำงานได้ดีที่สุด
00:09:41 → 00:09:45 ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่เป็นกรดหรือดั่งจัด
00:09:45 → 00:09:48 เกินไปอ่ะค่ะค่าพีที่เหมาะๆของเนื้อไตจะ
00:09:48 → 00:09:52 อยู่ราวๆ 6.8-7.2 2 พอร่างกายต้องรับมือ
00:09:52 → 00:09:55 กับภาวะกรดที่สูงขึ้นเรื้อรังจากการเผา
00:09:55 → 00:09:58 ผลาโปรตีนเยอะๆมหาศาลก็เลยเกิดความกังวล
00:09:58 → 00:10:01 ขึ้นมาว่าไอ้สภาวะที่เป็นกรดเนี่ยมันอาจ
00:10:01 → 00:10:05 จะไปสร้างภาระหรือส่งผลเสียต่อการทำงาน
00:10:05 → 00:10:08 ของเซลล์ไตในระยะยาวได้นี่ก็เป็นอีกเส้น
00:10:08 → 00:10:11 เรื่องนึงที่ทำให้คนมองว่าโปรตีนอาจจะไม่
00:10:11 → 00:10:13 ค่อยเป็นมิตรกับไตเท่าไหร่
00:10:13 → 00:10:16 >> พอเห็นภาพครับโปรตีนเยอะเกิดกรดเยอะไต
00:10:16 → 00:10:19 ต้องทำงานหนักเพื่อขับกรดทิงอาจจะทำให้
00:10:19 → 00:10:22 ไต่เสื่อมเป็นอีกหนึ่งความเชื่อมโยงที่ทำ
00:10:22 → 00:10:24 ให้คนกังวลขึ้นมาได้เหมือนกัน
00:10:24 → 00:10:27 >> ใช่ค่ะทีนี้มาถึงปัจจัยที่ 3 ซึ่งเป็น
00:10:28 → 00:10:30 เรื่องที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงบ่อยมากเลยใน
00:10:30 → 00:10:33 ช่วงหลังๆแล้วก็ค่อนข้างซับซ้อนนิดนึงคือ
00:10:33 → 00:10:35 เรื่องภาวะการกรองเกินหรือHperปอฟ
00:10:35 → 00:10:38 Filtration ค่ะมันมีการศึกษาที่พบว่าการ
00:10:38 → 00:10:41 กินโปรตีนในปริมาณมากในมื้อเดียวเช่นแบบ
00:10:41 → 00:10:45 กินสเต็กชิ้นใหญ่ๆหรือดื่มเวโปรตีน 30-40
00:10:45 → 00:10:47 กรัมขึ้นไปเนี่ยมันสามารถกระตุ้นให้อัตรา
00:10:47 → 00:10:50 การกรองของไตหรือ GFR ค่ะเพิ่มสูงขึ้น
00:10:50 → 00:10:53 เป็นการชั่วคราวได้อย่างชัดเจนเลย
00:10:53 → 00:10:56 >> ชั่วคราวหมายถึงแค่แป๊บเดียวหลังกินมื้อ
00:10:56 → 00:10:58 นั้นๆนะครับแล้วมันอันตรายมั้ยครับการที่
00:10:58 → 00:11:00 มันสูงขึ้นแป๊บเนี่ย
00:11:00 → 00:11:03 >> ถูกต้องค่ะมันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองทาง
00:11:03 → 00:11:07 สรีรวิทยาที่อ่าปกติเลยนะคะเมื่อระดับกรด
00:11:07 → 00:11:11 อะมิโนในเลือดมันสูงขึ้นร่างกายก็ปรับตัว
00:11:11 → 00:11:13 โดยการเพิ่มเลือดไปเลี้ยงไตแล้วก็เพิ่ม
00:11:13 → 00:11:16 อัตราการกรองขึ้นชั่วขณะเพื่อจัดการกับ
00:11:16 → 00:11:19 สารต่างๆที่มันเพิ่มเข้ามาแต่ปัญหาที่ทำ
00:11:20 → 00:11:23 ให้คนกังวลคือไอ้ภาวะhyปอร์ฟilทรชที่มัน
00:11:23 → 00:11:25 เกิดขึ้นแบบเรื้อรังหรือต่อเนื่องยาวนาน
00:11:25 → 00:11:28 เนี่ยมันดันเป็นลักษณะที่พบได้บ่อยในผู้
00:11:28 → 00:11:31 ป่วยโรคไตระยะแรกๆหรือในคนที่เป็นเบาหวาน
00:11:31 → 00:11:34 ความดันสูงที่ยังคุมได้ค่อยได้ซึ่งไอ้
00:11:34 → 00:11:37 ภาวะhyฮเปอร์ฟilทรชเรื้อรังเนี่ยเชื่อกัน
00:11:37 → 00:11:40 ว่าเป็นกลไกนึงเลยที่นำไปสู่ความเสียหาย
00:11:40 → 00:11:42 ของหน่วยไตในระยะยาว
00:11:42 → 00:11:47 >> อ๋อจุดนี้เองสินะครับที่ทำให้คนสับสนคือ
00:11:47 → 00:11:49 เอาปฏิกิริยาชั่วคราวที่มันเป็นเรื่อง
00:11:49 → 00:11:53 ปกติหลังกินโปรตีนเนี่ยไปเปรียบเทียบหรือ
00:11:53 → 00:11:55 ไปโยงกับอาการเรื้อรังที่เป็นสัญญาณของ
00:11:55 → 00:11:59 โรคไตแล้วก็เลยตีความไปเลยว่าการกระตุ้น
00:11:59 → 00:12:03 ให้ไตกรองหนักขึ้นบ่อยๆจากการกินโปรตีน
00:12:03 → 00:12:06 สูงทุกมื้อทุกวันเนี่ยจะทำให้ไตทำงานหนัก
00:12:06 → 00:12:09 เกินกำลังจนพังในที่สุดเหมือนเครื่องยนต์
00:12:09 → 00:12:12 ที่เร่งบ่อยๆก็พังเร็วอะไรแบบนั้น
00:12:12 → 00:12:15 >> ใช่ค่ะเป็นการเปรียบเทียบที่ดูเหมือนจะสม
00:12:15 → 00:12:18 เหตุสมผลนะคะแต่ในความเป็นจริงมันอาจจะ
00:12:18 → 00:12:22 ไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้นสำหรับคนที่มีไต
00:12:22 → 00:12:25 แข็งแรงดีการเกิดHperปอฟilชั่วคราวหลัง
00:12:25 → 00:12:28 มื้ออาหารอาจจะเปรียบได้กับเวลาเราออก
00:12:28 → 00:12:31 กำลังกายแล้วหัวใจเต้นเร็วขึ้นชั่วคราว
00:12:31 → 00:12:33 ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติแล้วก็ไม่ได้ทำ
00:12:33 → 00:12:36 ให้หัวใจเสียหายใช่มั้ยคะแต่ถ้าคนที่มี
00:12:36 → 00:12:39 โรคหัวใจอยู่แล้วไปออกกำลังกายหนักๆเนี่ย
00:12:39 → 00:12:42 อาจจะเป็นอันตรายได้กรณีของไตก็คล้ายๆกัน
00:12:42 → 00:12:46 ค่ะไตที่แข็งแรงดีเค้ามีความสามารถในการ
00:12:46 → 00:12:49 ปรับตัวแล้วก็รับมือกับพาราที่เพิ่มขึ้น
00:12:49 → 00:12:52 ชั่วคราวได้ดีกว่าไตที่เริ่มมีปัญหาแล้ว
00:12:52 → 00:12:56 >> แต่ถึงแม้จะเป็นผลชั่วคราวสำหรับคนไตปกติ
00:12:56 → 00:12:59 อ่ะครับการกระตุ้นให้ไตกรองหนักขึ้นบ่อยๆ
00:12:59 → 00:13:03 ทุกวันวันละหลายมื้อมันมันไม่มีทางส่งผล
00:13:03 → 00:13:06 เสียสะสมในระยะยาวเลยหรอครับเหมือน
00:13:06 → 00:13:08 เครื่องจักรที่ใช้งานหนักทุกวันมันก็ต้อง
00:13:08 → 00:13:10 สึกหรอเร็วกว่าปกติหรือเปล่าครับ
00:13:10 → 00:13:13 >> เป็นคำถามที่ดีมากค่ะแล้วก็เป็นประเด็น
00:13:13 → 00:13:15 ที่นักวิจัยก็ยังถกเถียงแล้วก็ศึกษาเพิ่ม
00:13:16 → 00:13:18 เติมกันอยู่เรื่อยๆนะคะแต่จากข้อมูลที่มี
00:13:18 → 00:13:21 ในปัจจุบันซึ่งรวมถึงการศึกษาในกลุ่มคน
00:13:21 → 00:13:24 ที่เขากินโปรตีนสูงเป็นประจำอย่างเช่นนัก
00:13:24 → 00:13:27 กีฬาหรือคนที่กินคีโตอะไรแบบเนี้ยก็ยัง
00:13:27 → 00:13:30 ไม่เจอหลักฐานที่ชัดเจนนะคะว่าการเกิด
00:13:30 → 00:13:33 Hperปอร์filชั่วคราวซ้ำๆแบบเนี้ยมันจะนำ
00:13:33 → 00:13:35 ไปสู่การเสื่อมของไตที่เร็วขึ้นในคนที่มี
00:13:35 → 00:13:39 สุขภาพไตปกติหรือแม้แต่ในคนที่มีไตข้าง
00:13:39 → 00:13:42 เดียวแต่ทำงานได้ดีก็ยังไม่เจอนะคะร่าง
00:13:42 → 00:13:45 กายมนุษย์เราเนี่ยมีความสามารถในการปรับ
00:13:45 → 00:13:47 ตัวแล้วก็ซ่อมแซมตัวเองด้วยหน้าทึ่งกว่า
00:13:47 → 00:13:50 ที่เราคิดเยอะค่ะตราบใดที่ไตยังแข็งแรงดี
00:13:50 → 00:13:52 การกระตุ้นเป็นครั้งคราวอาจจะไม่ได้สร้าง
00:13:52 → 00:13:55 ความเสียหายถาวรอย่างที่เรากังวลกันและ
00:13:55 → 00:13:57 ปัจจัยสุดท้ายที่ทำให้ความเชื่อนี้มัน
00:13:57 → 00:14:00 อย่างรากลึกก็คืออิทธิพลจากงานวิจัยเก่าๆ
00:14:00 → 00:14:03 ค่ะมันมีงานวิจัยสำคัญชิ้นนึงในยุค 70
00:14:03 → 00:14:05 โดยดร. Barry Benner นะคะซึ่งเขาศึกษาใน
00:14:05 → 00:14:09 หนูทดลองแล้วก็เสนอแนวคิดว่าการกินโปรีน
00:14:09 → 00:14:11 สูงเนี่ยอาจจะเร่งให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น
00:14:11 → 00:14:14 ผ่านกลไกHอฟิเรตationนี่แหละค่ะงานวิจัย
00:14:14 → 00:14:18 ชิ้นนี้มีอิทธิพลสูงมากแล้วแนวคิดนี้ก็
00:14:18 → 00:14:20 ถูกเอามาใช้เป็นเหตุผลในการแนะนำให้จำกัด
00:14:20 → 00:14:23 โปรตีนกันในวงกว้างเลยแม้ว่าจะเป็นการ
00:14:24 → 00:14:26 ศึกษาในสัตว์ทดลองอ่ะนะแล้วก็อาจจะมีข้อ
00:14:26 → 00:14:29 จำกัดในการเอามาปรับใช้กับคนโดยตรงทั้ง
00:14:29 → 00:14:29 หมด
00:14:29 → 00:14:33 >> แปลว่างานวิจัยใหม่ๆในคนอาจจะให้ภาพที่
00:14:33 → 00:14:36 ต่างออกไปหรือว่าไม่เหมือนกัน
00:14:36 → 00:14:40 >> ใช่ค่ะงานวิจัยในมนุษย์ที่ตามมาในหลายสิบ
00:14:40 → 00:14:44 ปีหลังๆเนี่ยพบว่าในคนที่มีสุขภาพไตปกติ
00:14:44 → 00:14:47 การกินโปรตีนในระดับที่สูงกว่าค่าแนะนำ
00:14:47 → 00:14:50 ทั่วไปหรือ RDA เช่นอาจจะอยู่ที่ประมาณ
00:14:50 → 00:14:54 1.5-2.2 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กกัต่อ
00:14:54 → 00:14:57 วันหรือคิดเป็น 20-30% ของพลังงานรวม
00:14:57 → 00:15:00 เนี่ยไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการลดลงของ
00:15:00 → 00:15:03 ค่า GFR หรือการทำงานของไตที่แย่ลงอย่าง
00:15:03 → 00:15:05 มีนัยยะสำคัญในระยะยาวเลยค่ะ
00:15:05 → 00:15:10 >> โหฟังดูแล้วเรื่องนี้มันมีหลายมิติมากๆ
00:15:10 → 00:15:13 เลยนะครับทั้งการตีความอาการป่วยการ
00:15:13 → 00:15:16 เชื่อมโยงกลไกทางสรีรวิทยาที่ซับซ้อนแล้ว
00:15:16 → 00:15:19 ก็มีอิทธิพลจากงานวิจัยเก่าๆมารวมกันอีก
00:15:19 → 00:15:23 จนกลายเป็นความเชื่อที่แข็งแรงมากๆเลย
00:15:23 → 00:15:25 >> เป็นอย่างนั้นเลยค่ะมันไม่ใช่เรื่องขาวดำ
00:15:25 → 00:15:26 ง่ายๆเลยจริงๆ
00:15:26 → 00:15:30 >> ทีนี้คำถามสำคัญที่ผมว่าหลายคนอยากรู้ที่
00:15:30 → 00:15:35 สุดเลยคือแล้วจริงๆแล้วใครคือกลุ่มคนที่
00:15:35 → 00:15:38 ควรจะต้องระมัดระวังหรือจำกัดการบริโภค
00:15:38 → 00:15:40 โปรตีนอย่างจริงจังครับไม่ใช่แค่กังวลไป
00:15:40 → 00:15:41 เรื่อยๆตามๆกัน
00:15:41 → 00:15:44 >> จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แล้วก็แนวปฏิบัติ
00:15:44 → 00:15:47 ทางการแพทย์ในปัจจุบันนะคะกลุ่มหลักๆเลย
00:15:47 → 00:15:49 ที่แนะนำให้มีการจำกัดปริมาณโปรตีนอย่าง
00:15:49 → 00:15:52 ชัดเจนคือผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังโคริ
00:15:52 → 00:15:56 คIDนียด CKD ที่การทำงานของไตเขาเนี่ยลด
00:15:56 → 00:15:59 ลงไปอยู่ในระดับปานกลางถึงรุนแรงแล้วค่ะ
00:15:59 → 00:16:02 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่ 4 GFR 30
00:16:02 → 00:16:05 หรือบางครั้งอาจจะรวมถึงระยะ 3B GFR
00:16:05 → 00:16:06 30-44 ด้วยค่ะ
00:16:06 → 00:16:09 >> ทำไมกลุ่มนี้ถึงต้องจำกัดโปรตีนครับเหตุ
00:16:09 → 00:16:11 ผลหลักๆคืออะไร
00:16:11 → 00:16:13 >> เพราะว่าในระยะเนี้ยค่ะไตเขาเริ่มมีปัญหา
00:16:13 → 00:16:16 ในการขับของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญ
00:16:16 → 00:16:19 โปรตีนเช่นพวกยูเรียกรดยูริกหรือสาร
00:16:19 → 00:16:21 ประกอบไนโตรเจนอื่นๆเนี่ยออกจากร่างกาย
00:16:21 → 00:16:24 ได้ไม่ทันแล้วการกินโปรตีนในปริมาณสูงมัน
00:16:24 → 00:16:26 ก็จะยิ่งไปเพิ่มภาระให้กับไตที่อ่อนแอ
00:16:26 → 00:16:28 อยู่แล้วทำให้ของเสียพวกเนี้ยมันคั่งคั้ง
00:16:28 → 00:16:31 ในเลือดมากขึ้นซึ่งอาจจะนำไปสู่อาการต่าง
00:16:31 → 00:16:35 ๆได้เช่นคลื่นไส้เบื่ออาหารอ่อนเพลียหรือ
00:16:35 → 00:16:38 ภาวะเลือดเป็นกรดได้การจำกัดโปรตีนในผู้
00:16:38 → 00:16:40 ป่วยกลุ่มนี้ก็เลยเป็นการช่วยลดภาระของไต
00:16:40 → 00:16:43 แล้วก็อาจจะช่วยชะลอการดำเนินไปสู่ภาวะไต
00:16:43 → 00:16:46 วายระยะสุดท้ายที่ต้องล้างไตหรือปลุกไถไต
00:16:46 → 00:16:46 ได้ค่ะ
00:16:46 → 00:16:49 >> นั่นหมายความว่าสำหรับคนทั่วไปเลยที่ตรวจ
00:16:49 → 00:16:54 ตรวจสุขภาพและค่าไตอย่าง GF หรือเนี่ยยัง
00:16:54 → 00:16:57 อยู่ในเกณฑ์ปกติไม่ได้มีโรคไตเรื้อรัง
00:16:58 → 00:17:01 อะไรการบริโภคโปรตีนในระดับปกติหรือแม้จะ
00:17:01 → 00:17:04 ระดับที่ค่อนข้างสูงอย่างเช่นคนที่ออก
00:17:04 → 00:17:07 กำลังกายหนักๆต้องการโปรตีนเยอะหน่อย
00:17:07 → 00:17:09 เพื่อสร้างกล้ามเนื้อเนี่ยก็ยังไม่จำเป็น
00:17:09 → 00:17:12 ต้องกังวลจนเกินเหตุว่าจะทำให้ไตเสียหาย
00:17:12 → 00:17:13 ใช่มั้ครับ
00:17:13 → 00:17:15 >> โดยหลักการแล้วเป็นแบบนั้นเลยค่ะข้อมูล
00:17:15 → 00:17:18 ปัจจุบันสนับสนุนแนวคิดนี้ค่อนข้างชัดเจน
00:17:18 → 00:17:21 เลยแม้แต่ในผู้ป่วยโรคทางพันธุกรรมอย่าง
00:17:21 → 00:17:24 โรคถุงน้ำในไตหรือ PKD อ่ะค่ะซึ่งเป็นโรค
00:17:24 → 00:17:27 ที่ทำให้ไตเสื่อมลงเรื่อยๆนะก็มีงานวิจัย
00:17:27 → 00:17:30 ใหม่ๆที่พบว่าการบริโภคโปรตีนในระดับปกติ
00:17:30 → 00:17:32 ไม่ได้เร่งให้โรคแย่ลงอย่างที่เคยเชื่อ
00:17:32 → 00:17:35 กันในอดีตเลยค่ะจริงๆแล้วในทางกลับกันนะ
00:17:35 → 00:17:38 คะการจำกัดโปรตีนมากเกินความจำเป็นในคน
00:17:38 → 00:17:41 ทั่วไปหรือแม้แต่ในผู้ป่วย CKD ระยะต้นๆ
00:17:41 → 00:17:44 เนี่ยอาจจะส่งผลเสียได้นะคะโดยเฉพาะอย่าง
00:17:44 → 00:17:46 ยิ่งในเรื่องการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อหรือ
00:17:46 → 00:17:49 ซาโคพีเนียซึ่งสำคัญมากๆเลยต่อการเคลื่อน
00:17:49 → 00:17:52 ไหวไหวการเผาผลาญและคุณภาพชีวิตโดยรวม
00:17:52 → 00:17:54 เอ่อดิฉันเคยเจอเคสที่น่าเสียดายนะคะเป็น
00:17:55 → 00:17:57 ผู้ป่วย CKD ระยะต้นๆนี่แหละค่ะกลัวมาก
00:17:57 → 00:18:00 เรื่องโปรตีนก็เลยไปจำกัดเข้มงวดมากๆตาม
00:18:00 → 00:18:02 คำแนะนำที่อาจจะเก่าไปแล้วปรากฏว่าน้ำ
00:18:02 → 00:18:06 หนักลดฮวบเลยกล้ามเนื้อหายไปเยอะมากทำให้
00:18:06 → 00:18:08 คุมน้ำตาลยากขึ้นด้วยสุดท้ายกลายเป็นว่า
00:18:08 → 00:18:11 ผลเสียอาจจะมากกว่าผลดีจากการจำกัดโปรตีน
00:18:11 → 00:18:13 ที่ไม่จำเป็นต้องเข้มขนาดนั้นก็ได้ค่ะ
00:18:13 → 00:18:16 >> โหเป็นมุมมองที่น่าสนใจมากครับแสดงว่าการ
00:18:16 → 00:18:18 กลัวโปรตีนเกินไปก็อาจจะมีโทษได้เหมือน
00:18:18 → 00:18:22 กันไม่ใช่มีแต่ข้อดีทีนี้มีอีกประเด็นที่
00:18:22 → 00:18:24 ถกเถียงกันบ่อยเหมือนกันคือเรื่องความแตก
00:18:24 → 00:18:26 ต่างระหว่างโปรตีนจากสัตว์กับโปรตีนจาก
00:18:26 → 00:18:30 พืชว่าอันไหนส่งผลต่อไตมากกว่ากันพอเรา
00:18:30 → 00:18:32 พูดถึงเรื่องhyperฟilตationหรือการกรอง
00:18:32 → 00:18:34 เกินชั่วคราวเมื่อกี้มันก็มีคนเชื่อกัน
00:18:34 → 00:18:37 อีกว่าตัวการหลักที่กระตุ้นแรงๆเนี่ยคือ
00:18:37 → 00:18:39 โปรตีนจากสัตว์โดยเฉพาะเนื้อแดงอันนี้
00:18:39 → 00:18:41 จริงเท็จแค่ไหนครับเรื่องนี้
00:18:41 → 00:18:44 >> ประเด็นนี้มีส่วนจริงอยู่บ้างค่ะในแง่ของ
00:18:44 → 00:18:47 ปฏิกิริยาตอบสนองระยะสั้นนะคะมีงานวิจัย
00:18:47 → 00:18:50 ที่เขาเปรียบเทียบผลทันทีหลังการกิน
00:18:50 → 00:18:53 โปรตีนจากแหล่งต่างๆพบว่าโปรตีนจากสัตว์
00:18:53 → 00:18:56 บางชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเวโปรตีนหรือ
00:18:56 → 00:18:58 เนื้อแดงเนี่ยมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้
00:18:58 → 00:19:01 เกิดไฮเปอร์ฟilทรชัได้มากกว่าโปรตีนจาก
00:19:01 → 00:19:03 พืชบางชนิดเช่นโปรตีนถั่วเหลืองหรือ
00:19:04 → 00:19:06 โปรตีนจากธัญพืชเชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้อง
00:19:06 → 00:19:09 กับความแตกต่างของสัดส่วนกรดอะมิโนบาง
00:19:09 → 00:19:12 ชนิดอ่ะค่ะเช่นพวกกรดอะมิโนที่มีกรรมถรร
00:19:12 → 00:19:16 กรดอะมิโนชนิดกิ่ง BCA ที่อาจจะส่งผลต่อ
00:19:16 → 00:19:18 การไหลเวียนเลือดในไตต่างกันไป
00:19:18 → 00:19:22 >> อ๋อหมายความว่าถ้ากินเวโปรตีนแก้วใหญ่ๆ
00:19:22 → 00:19:25 อาจจะทำให้ไตกรองหนักขึ้นชั่วคราวมากกว่า
00:19:25 → 00:19:28 การกินเต้าหู้ในปริมาณโปรตีนเท่ากันอะไร
00:19:28 → 00:19:29 แบบนี้เหรอครับ
00:19:29 → 00:19:33 >> มีความเป็นไปได้ค่ะแต่ต้องย้ำคำเดิมนะคะ
00:19:33 → 00:19:36 ว่านี่คือผลกระทบที่เกิดขึ้นชั่วคราวใน
00:19:36 → 00:19:38 ช่วงไม่กี่ชั่วโมงหลังมื้ออาหารนั้นๆเท่า
00:19:38 → 00:19:40 นั้นยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่
00:19:40 → 00:19:43 แข็งแรงพอจะสรุปได้ว่าความแตกต่างในการ
00:19:43 → 00:19:46 กระตุ้นระยะสั้นแค่นี้มันจะนำไปสู่ความ
00:19:46 → 00:19:48 เสี่ยงต่อโรคไตในระยะยาวที่แตกต่างกัน
00:19:49 → 00:19:51 อย่างมีนัยยะสำคัญสำหรับคนที่มีสุขภาพไต
00:19:51 → 00:19:53 เป็นปกติดี
00:19:53 → 00:19:56 >> กระจ่างเลยครับแม้จะมีการตอบสนองระยะสั้น
00:19:56 → 00:19:59 ที่ต่างกันเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แปลตรงๆว่า
00:19:59 → 00:20:02 โปรตีนสัตว์อันตรายต่อไตมากกว่าในระยะยาว
00:20:02 → 00:20:03 สำหรับคนทั่วไป
00:20:03 → 00:20:06 >> ณข้อมูลปัจจุบันยังสรุปแบบนั้นไม่ได้ค่ะ
00:20:06 → 00:20:09 ทีนี้อยากจะชวนมองอีกมุมนึงที่ดิฉันคิด
00:20:09 → 00:20:11 ว่าสำคัญมากๆเลยแล้วอาจจะช่วยให้เราเห็น
00:20:11 → 00:20:14 ภาพรวมของสุขภาพไตได้ดีขึ้นนะคะนั่นคือ
00:20:14 → 00:20:17 ความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพเมบอicหรือ
00:20:17 → 00:20:20 สุขภาพระบบเผาผลาญโดยรวมของเรากับสุขภาพ
00:20:20 → 00:20:21 ของไตค่ะ
00:20:21 → 00:20:25 >> มันเกี่ยวข้องกันยังไงครับสุขภาพเผาผลาญ
00:20:25 → 00:20:27 กับไตฟังดูเหมือนจะคนละเรื่องกัน
00:20:27 → 00:20:30 >> เกี่ยวข้องอย่างยิ่งยวดเลยค่ะเราทราบกัน
00:20:30 → 00:20:33 ดีใช่ไหมคะว่า 2 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุด
00:20:33 → 00:20:35 เลยที่นำไปสู่โรคไตเรื้อรังในปัจจุบันคือ
00:20:36 → 00:20:39 อะไรก็คือเบาหวานกับความดันโลหิตสูงซึ่ง
00:20:39 → 00:20:41 ทั้ง 2 ภาวะนี้มีความสัมพันธ์อย่างใกล้
00:20:41 → 00:20:44 ชิดกับสุขภาพเมาบอลิคที่ไม่ดีโดยเฉพาะ
00:20:44 → 00:20:46 อย่างยิ่งภาวะดื้อต่ออินซูลินอินซูลิน
00:20:46 → 00:20:49 Resistance แล้วก็ภาวะอ้วนลงพง
00:20:49 → 00:20:50 Metabบolic syndrome น่ะค่ะ
00:20:50 → 00:20:53 >> แล้วโปรตีนเข้ามาเกี่ยวข้องตรงไหนครับ
00:20:53 → 00:20:56 >> โปรตีนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งเลยค่ะในการ
00:20:56 → 00:20:59 สร้างและรักษามวลกล้ามเนื้อของเราและมวล
00:20:59 → 00:21:01 กล้ามเนื้อนี่แหละค่ะคือเตาเผาพลังงานและ
00:21:01 → 00:21:04 อ่างเก็บน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายเรา
00:21:04 → 00:21:06 เลยกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและมีปริมาณเพียง
00:21:06 → 00:21:09 พอมีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยดึงน้ำตาล
00:21:09 → 00:21:12 ออกจากกระแสเลือดไปใช้แล้วก็เก็บสะสมช่วย
00:21:12 → 00:21:15 ให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลเรนได้ดีขึ้น
00:21:15 → 00:21:17 แล้วก็ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
00:21:17 → 00:21:17 ด้วย
00:21:17 → 00:21:21 >> โอ้โหคิดไม่ถึงเลยนะครับแปลว่าการที่เรา
00:21:21 → 00:21:23 กินโปรตีนให้เพียงพอเพื่อรักษามวลกล้าม
00:21:23 → 00:21:26 เนื้อให้ดีอยู่เสมอโดยเฉพาะเมื่ออายุมาก
00:21:26 → 00:21:29 ขึ้นหรือตอนที่พยายามลดน้ำหนักเนี่ยอาจจะ
00:21:29 → 00:21:32 เป็นการช่วยปกป้องสุขภาพไตทางอ้อมผ่านการ
00:21:32 → 00:21:35 ส่งเสริมสุขภาพเมาบอลิคที่ดีแบบนั้นเลย
00:21:35 → 00:21:36 หรอครับ
00:21:36 → 00:21:38 >> มีความเป็นไปได้สูงมากค่ะเพราะเมื่อเรา
00:21:38 → 00:21:41 ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีลดภาวะดื้อ
00:21:41 → 00:21:44 ต่ออินซูลินได้เราก็กำลังลดปัจจัยเสี่ยง
00:21:44 → 00:21:47 หลักที่ทำลายไต่โดยตรงเลยหนึ่งในกลไก
00:21:47 → 00:21:50 สำคัญที่น้ำตาลสูงเรื้อรังทำลายไตก็คือ
00:21:50 → 00:21:53 การทำให้เกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่าไกลชั
00:21:53 → 00:21:54 นี่แหละค่ะ
00:21:54 → 00:21:56 >> มาถึงเรื่องไกลเคชันี่ก็เป็นอีกจุดที่ผม
00:21:57 → 00:21:59 ว่าคนเข้าใจผิดกันเยอะเลยครับเคยได้ยิน
00:21:59 → 00:22:03 บางคนกังวลว่าการกินโปรเตนเยอะๆเนี่ยจะทำ
00:22:03 → 00:22:05 ให้โปรตีนจากอาหารที่เรากินเข้าไปนั่น
00:22:05 → 00:22:08 แหละไปทำปฏิกิริยาไกลเคชักับน้ำตาลในร่าง
00:22:08 → 00:22:10 กายแล้วก็กลายเป็นสารพิษทำลายไตมันใช่แบบ
00:22:11 → 00:22:11 นั้นมั้ครับ
00:22:11 → 00:22:14 >> โออันนั้นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไป
00:22:14 → 00:22:17 ไกลเลยค่ะต้องทำความเข้าใจใหม่นะคะว่า
00:22:17 → 00:22:20 ภาวะไกลเคชัที่อันตรายต่อไตและหลอดเลือด
00:22:20 → 00:22:23 จริงๆเนี่ยมันเกิดจากระดับน้ำตาลในเลือด
00:22:23 → 00:22:26 ที่สูงเกินไปเป็นตัวการหลักเลยค่ะเมื่อมี
00:22:26 → 00:22:28 น้ำตาลกลูโคสล่องลอยอยู่ในกระแสเลือดมาก
00:22:28 → 00:22:31 เกินไปโมเลกุลน้ำตาลเหล่านี่แหละค่ะที่จะ
00:22:31 → 00:22:34 เข้าไปทำปฏิกิริยาเกาะติดกับโมเลกุล
00:22:34 → 00:22:36 โปรตีนต่างๆที่เป็นส่วนประกอบภายในเซลล์
00:22:36 → 00:22:38 และเนื้อเยื่อของร่างกายเราเองโดยที่ไม่
00:22:38 → 00:22:42 ได้ใช้เอนไซม์ช่วยนะคะ non enซation
00:22:43 → 00:22:45 เช่นไปเกาะกับโปรตีนคอลลาเจนในผนังหลอด
00:22:45 → 00:22:48 เลือดหรือโปรตีนในหน่วยกรองของไต GL
00:22:48 → 00:22:50 Basement MBนอะไรแบบนี้
00:22:50 → 00:22:52 >> อ๋อ
00:22:52 → 00:22:56 คือน้ำตาลในเลือดที่สูงมันไปแปะติดกับ
00:22:56 → 00:22:58 โปรตีนที่เป็นโครงสร้างของร่างกายเราเอง
00:22:58 → 00:23:00 ไม่ใช่โปรตีนที่เราเพิ่งกินเข้าไปเมื่อ
00:23:00 → 00:23:01 กี้
00:23:01 → 00:23:04 >> ถูกต้องค่ะการที่น้ำตาลเข้าไปเกาะติดแบบ
00:23:04 → 00:23:07 ผิดปกตินี้จะทำให้โครงสร้างและการทำงาน
00:23:07 → 00:23:10 ของโปรตีนเหล่านั้นมันผิดเพี้ยนไปเสื่อม
00:23:10 → 00:23:13 สภาพเร็วขึ้นเกิดการอักเสบแล้วก็นำไปสู่
00:23:13 → 00:23:16 ความเสียหายของอวัยอวัยวะต่างๆรวมถึงไตใน
00:23:16 → 00:23:19 ระยะยาวนี่คือปัญหาหลักของไกเคชัที่เกิด
00:23:19 → 00:23:23 จากน้ำตาลสูงไม่ใช่โปรตีนในอาหารโดยตรง
00:23:23 → 00:23:26 ค่ะอย่างไรก็ตามอาจจะมีกรณีของสารที่
00:23:26 → 00:23:29 เรียกว่า Advance Gcation and Products
00:23:29 → 00:23:32 หรือ AG East ซึ่งเป็นผลผลิตขั้นสุดท้าย
00:23:32 → 00:23:36 ของปฏิกิริยาไลเคชสาร AG พวกนี้สามารถ
00:23:36 → 00:23:38 เกิดขึ้นได้ทั้งในร่างกายเราเองจากภาวะ
00:23:38 → 00:23:41 น้ำตาลสูงแล้วก็เกิดขึ้นในอาหารได้ด้วย
00:23:41 → 00:23:44 โดยเฉพาะอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยความร้อน
00:23:44 → 00:23:47 สูงๆร่วมกับน้ำตาลและโปรตีนเช่นพวกเนื้อ
00:23:47 → 00:23:50 ย่างกริมหรืออาหารแปรรูปที่มีสีน้ำตาล
00:23:50 → 00:23:53 เข้มๆอ่ะค่ะการบริโภคอาหารที่มี AGA สูงๆ
00:23:53 → 00:23:56 เข้าไปก็อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายและไต
00:23:56 → 00:23:59 ได้เหมือนกันแต่นี่เป็นคนละกลไกหลักกับ
00:23:59 → 00:24:01 ไกเคชัที่เกิดจากน้ำตาลในเลือดสูงนะคะ
00:24:01 → 00:24:05 >> ชัดเจนขึ้นเยอะเลยครับสรุปว่าตัวร้ายหลัก
00:24:05 → 00:24:09 จริงๆของไกลเคชัที่ทำลายไตคือน้ำตาลใน
00:24:09 → 00:24:12 เลือดสูงไม่ใช่การกินโปรตีนสูงโดยตรงมี
00:24:12 → 00:24:14 อีกความเชื่อนึงครับที่เกี่ยวเนื่องกัน
00:24:14 → 00:24:17 ที่ว่าพอเรากินโปรตีนเกินความจำเป็นร่าง
00:24:17 → 00:24:20 กายจะฉลาดพอที่จะเอาโปรตีนส่วนเกินนั้นไป
00:24:20 → 00:24:23 เปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสผ่านกระบวนการที่
00:24:23 → 00:24:25 เรียกว่ากลูโคนิogenesis
00:24:25 → 00:24:28 แล้วน้ำตาลที่ได้มาก็จะถูกเปลี่ยนต่อไป
00:24:28 → 00:24:31 เป็นไขมันสะสมทำให้เราอ้วนง่ายขึ้นถ้ากิน
00:24:31 → 00:24:33 โปรตีนเยอะๆอันนี้จริงนะครับ
00:24:33 → 00:24:36 >> เรื่องนี้ก็เป็นอีกตำนานที่เล่าต่อๆกันมา
00:24:36 → 00:24:39 จนดูเหมือนเป็นเรื่องจริงจังมากเลยนะคะ
00:24:39 → 00:24:41 กระบวนการเปลี่ยนโปรตีนเป็นกลูโคสหรือ
00:24:41 → 00:24:45 กลูโคน Genesis เนี่ยมีอยู่จริงค่ะเกิด
00:24:45 → 00:24:48 ขึ้นที่ตับเป็นหลักแต่ประเด็นคือมันเป็น
00:24:48 → 00:24:51 กระบวนการที่ค่อนข้างไม่มีประสิทธิภาพเอา
00:24:51 → 00:24:54 ซะเลยแล้วก็เกิดขึ้นตามความต้องการของ
00:24:54 → 00:24:57 ร่างกาย Demand Driven ไม่ใช่เกิดขึ้น
00:24:57 → 00:25:00 ตามปริมาณโปรตีนที่กินเข้าไป Supply
00:25:00 → 00:25:01 Driven ค่ะ
00:25:01 → 00:25:04 >> หมายความว่ายังไงครับ Demand Driven กับ
00:25:04 → 00:25:06 Supply Driven ช่วยขยายความนิดนึงครับ
00:25:06 → 00:25:09 >> หมายความว่าร่างกายจะสร้างกลูโคสจาก
00:25:09 → 00:25:12 โปรตีนหรือไขมันก็ต่อเมื่อร่างกายจำเป็น
00:25:12 → 00:25:16 ต้องใช้กลูโคสจริงๆแต่มีไม่พอเท่านั้นค่ะ
00:25:16 → 00:25:19 เช่นในภาวะอดอาหารนานๆหรือกิน
00:25:19 → 00:25:22 คาร์โบไฮเดรตต่ำมากๆจนระดับน้ำตาลในเลือด
00:25:22 → 00:25:25 เริ่มต่ำร่างกายถึงจะเริ่มกระบวนการนี้
00:25:25 → 00:25:28 เพื่อรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ไม่ใช่ว่า
00:25:28 → 00:25:31 พอกินโปรตีนเข้าไปเยอะๆแล้วร่างกายจะบอก
00:25:31 → 00:25:34 ว่าโอ้โปรตีนเหลือเยอะจังเอาไปเปลี่ยน
00:25:34 → 00:25:36 เป็นน้ำตาลเก็บไว้เล่นๆดีกว่าแบบนั้นไม่
00:25:36 → 00:25:39 ใช่เลยค่ะประสิทธิภาพการเปลี่ยนก็น้อยมาก
00:25:39 → 00:25:42 นะคะประมาณกันว่ากรดอะมิโนจากโปรตีน 100
00:25:42 → 00:25:45 กรัมเนี่ยอาจจะเปลี่ยนเป็นกลูโคสได้แค่
00:25:45 → 00:25:48 ราวๆ 50-60 กรัมเองแล้วก็ไม่ใช่กรดอะมิโน
00:25:48 → 00:25:51 ทุกชนิดที่เปลี่ยนได้ด้วยแล้วการเปลี่ยน
00:25:51 → 00:25:53 จากกลูโคสที่ได้มาสมมุติว่าเปลี่ยนมาได้
00:25:53 → 00:25:57 จริงๆไปเป็นไขมันล่ะครับยิ่งยากเข้าไปอีก
00:25:57 → 00:25:57 ไหม
00:25:57 → 00:26:00 >> ยากและซับซ้อนขึ้นไปอีกค่ะกระบวนการ
00:26:00 → 00:26:05 เปลี่ยนกลูโคสส่วนเกินไปเป็นไขมันหรือ
00:26:05 → 00:26:09 DNL ในมนุษย์เราเนี่ยมีประสิทธิภาพต่ำ
00:26:09 → 00:26:12 มากๆเลยค่ะเกิดขึ้นน้อยมากในสภาวะปกติยก
00:26:12 → 00:26:15 เว้นในกรณีที่กินคาร์โบไฮเดรตโดยเฉพาะน้ำ
00:26:15 → 00:26:18 ตาลฟรุกโตสในปริมาณมหาศาลจริงๆและอยู่ใน
00:26:18 → 00:26:21 ภาวะพลังงานเกินดุลมากๆเท่านั้นการที่
00:26:21 → 00:26:23 โปรตีนจะต้องถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสแล้ว
00:26:23 → 00:26:26 กลูโคสนั้นต้องถูกเปลี่ยนต่อไปเป็นไขมัน
00:26:26 → 00:26:28 สะสมอีกทอดนึงเนี่ยถือว่าเป็นไปได้น้อย
00:26:28 → 00:26:32 มากๆมากๆในทางสรีรวิทยาเลยค่ะเหมือนต้อง
00:26:32 → 00:26:35 ปีนเขา 3 ลูกกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ร่าง
00:26:35 → 00:26:38 กายมักจะเลือกทางที่ง่ายกว่าคือเอาโปรตีน
00:26:38 → 00:26:40 ไปใช้ส้มแซมสร้างเนื้อเยื่อหรือเผาผลาน
00:26:40 → 00:26:43 เป็นพลังงานโดยตรงมากกว่าเยอะค่ะ
00:26:43 → 00:26:46 >> สรุปได้ว่าความกังวลที่ว่ากินโปรตีนเยอะ
00:26:46 → 00:26:48 แล้วจะกลายเป็นไขมันพอกตามตัวโดยตรงนี่
00:26:48 → 00:26:51 แทบจะเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติหรือเกิด
00:26:51 → 00:26:54 ขึ้นน้อยมากๆจนไม่มีนัยยะสำคัญทางคลินิก
00:26:54 → 00:26:54 เลย
00:26:54 → 00:26:57 >> ใช่ค่ะปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดไขมันสะสม
00:26:57 → 00:27:00 ยังคงเป็นเรื่องของสมดุลพลังงานโดยรวมคือ
00:27:00 → 00:27:03 รับพลังงานหรือแคลอรี่เข้ามามากกว่าที่
00:27:03 → 00:27:05 ใช้ไประยะยาวไม่ว่าพลังงานนั้นจะมาจาก
00:27:05 → 00:27:09 โปรตีนคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันก็ตามแต่การ
00:27:09 → 00:27:11 เปลี่ยนโปรตีนเป็นไขมันโดยตรงนั้นแทบแทบ
00:27:11 → 00:27:13 ไม่มีบทบาทสำคัญอะไรเลยค่ะ
00:27:13 → 00:27:16 >> โอ้โหวันนี้เราได้เจาะลึกกันหลายแง่มุม
00:27:16 → 00:27:19 มากเลยนะครับเกี่ยวกับโปรตีนกับไตเนี่ย
00:27:19 → 00:27:23 ตั้งแต่ต้นตอความเชื่อไปจนถึงกลไกต่างๆ
00:27:23 → 00:27:26 แล้วก็ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยๆสรุปแล้ว
00:27:26 → 00:27:29 ความเชื่อที่ว่าการกินโปรตีนสูงเป็น
00:27:29 → 00:27:32 อันตรายต่อไตที่ปกติของคนทั่วไปนั้นส่วน
00:27:32 → 00:27:35 ใหญ่เกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไม่
00:27:35 → 00:27:37 ว่าจะเป็นการสับสนเรื่องโปรตีนในปัสสาวะ
00:27:37 → 00:27:39 การตีความเรื่องhyperปอฟ filtration ชั่ว
00:27:39 → 00:27:42 คราวเกิมจริงไปแล้วก็อิทธิพลจากงานวิจัย
00:27:42 → 00:27:43 เก่าๆด้วย
00:27:43 → 00:27:46 >> ถูกต้องเลยค่ะหัวใจสำคัญที่เราได้คุยกัน
00:27:46 → 00:27:49 วันนี้คือกลุ่มที่ต้องระมัดระวังและอาจจะ
00:27:49 → 00:27:52 ต้องจำกัดโปรตีนจริงๆก็คือผู้ป่วยโรคไต
00:27:52 → 00:27:55 เรื้อรังในระยะที่การทำงานของไตลดลงไปมาก
00:27:55 → 00:27:58 แล้วเท่านั้นนะคะสำหรับคนทั่วไปที่มี
00:27:58 → 00:28:01 สุขภาพไตแข็งแรงการบริตีนให้เพียงพอซึ่ง
00:28:01 → 00:28:04 อาจจะสูงกว่าค่า RDA สำหรับคนที่แคtive
00:28:04 → 00:28:06 หรือออกกำลังกายเนี่ยไม่เพียงแต่ไม่เป็น
00:28:06 → 00:28:08 อันตรายนะคะแต่ยังเป็นสิ่งจำเป็นต่อการ
00:28:08 → 00:28:11 รักษาสุขภาพโดยรวมโดยเฉพาะการรักษามวล
00:28:11 → 00:28:14 กล้ามเนื้อซึ่งน่าประหลาดใจที่อาจจะส่งผล
00:28:14 → 00:28:16 ดีต่อสุขภาพไตในระยะยาวทางอ้อมด้วยซ้ำ
00:28:16 → 00:28:18 ผ่านการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและส่งเสริม
00:28:18 → 00:28:21 สุขภาพเมาบอลิสที่ดีอย่างที่เราคุยกันถ้า
00:28:21 → 00:28:24 จะให้กังวลจริงๆนะคะสำหรับสุขภาพไตของคน
00:28:24 → 00:28:27 ส่วนใหญ่ในยุคนี้สิ่งที่น่ากังวลมากกว่า
00:28:27 → 00:28:29 อาจจะเป็นการบริโภคน้ำตาลน้ำหวานแล้วก็
00:28:29 → 00:28:32 คาร์โบไฮเดรตแปรรูปที่มันมากเกินพอดีซึ่ง
00:28:32 → 00:28:34 นำไปสู่ภาวะอ้วนลงพุงดื้อต่ออินซูลินและ
00:28:34 → 00:28:37 น้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังปัจจัยเหล่านี้
00:28:37 → 00:28:39 ต่างหากค่ะที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า
00:28:39 → 00:28:42 เป็นตัวการสำคัญที่ทำลายไตโดยตรงผ่านกลไก
00:28:42 → 00:28:44 ต่างๆรวมทั้งไกลเคชัที่เราคุยกันไป
00:28:44 → 00:28:48 >> ครับผมชัดเจนมากครับและในตอนท้ายนี้ก็ขอ
00:28:48 → 00:28:51 ฝากคำถามชวนคิดไว้นิดนึงสำหรับผู้ฟังทุก
00:28:51 → 00:28:55 ท่านลองนำไปพิจารณากันต่อนะครับในเมื่อ
00:28:55 → 00:28:58 เราเห็นแล้วว่าการดูแลอ่างเก็บน้ำตาล
00:28:58 → 00:29:00 สำคัญของร่างกายอย่างมวลกล้ามเนื้อเนี่ย
00:29:00 → 00:29:03 มันมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาล
00:29:03 → 00:29:06 ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อสุขภาพตายในระยะยาว
00:29:06 → 00:29:09 เลยการหันมาให้ความสำคัญกับการบริโภค
00:29:09 → 00:29:12 โปรตีนให้เพียงพอและเหมาะสมกับกิจกรรมควบ
00:29:13 → 00:29:15 คู่ไปกับการออกกำลังกายแบบมีแรงต้านเพื่อ
00:29:15 → 00:29:18 สร้างและรักษากล้ามเนื้อให้แข็งแรงเนี่ย
00:29:18 → 00:29:20 อาจจะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์เชิงป้องกันโรคไต
00:29:20 → 00:29:23 หรือชะลอความเสื่อมของไตที่เราอาจจะมอง
00:29:23 → 00:29:26 ข้ามหรือให้ความสำคัญน้อยเกินไปในยุคที่
00:29:26 → 00:29:28 เต็มไปด้วยความกังวลเรื่องอาหารการกินนี้
00:29:28 → 00:29:32 หรือไม่ลองเก็บไปคิดเป็นการบ้านดูนะครับ
00:29:32 → 00:29:49 [เพลง]