00:00:00 → 00:00:03 ขอต้อนรับสู่หมอพัทรพcast Talk ความรู้
00:00:03 → 00:00:06 สุขภาพลึกและฟรีมีที่นี่
00:00:06 → 00:00:09 >> เคยรู้สึกแบบนี้กันมั้ครับตอนเข้านอนก็
00:00:09 → 00:00:12 เช็คแล้วนะว่าน้ำตาลในเลือดปกติแต่พอตื่น
00:00:12 → 00:00:14 เช้ามาเท่านั้นแหละโอ้โหตัวเลขมันพุ่ง
00:00:14 → 00:00:17 ขึ้นมาซะงั้นทั้งๆที่เราก็ไม่ได้กินอะไร
00:00:17 → 00:00:20 มาทั้งคืนเลยวันนี้เราจะมาไขปริศนาคาใจ
00:00:20 → 00:00:23 เรื่องนี้กันครับนี่แหละครับคำถามที่มัน
00:00:23 → 00:00:26 น่าหงุดหงิดใจจริงๆสำหรับหลายๆคนแล้วมัน
00:00:26 → 00:00:29 ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่เราจะมา
00:00:29 → 00:00:31 คลี่คลายกันในวันนี้ว่าไอ้เจ้าน้ำตาลใน
00:00:31 → 00:00:34 เลือดเนี่ยมันสูงขึ้นมาเองตอนเช้าได้ยัง
00:00:34 → 00:00:38 ไงกันแน่เอาล่ะครับเรามาเจาะลึกกันเลยดี
00:00:38 → 00:00:41 กว่าว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับร่าง
00:00:41 → 00:00:43 กายของเรากันแน่ในช่วงที่เรากำลังหลับ
00:00:43 → 00:00:46 สนิทโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีภาวะ
00:00:46 → 00:00:49 ก่อนเบาหวานหรือเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
00:00:49 → 00:00:52 อยู่รู้มั้ครับว่าแม้แต่ตอนที่เราหลับลึก
00:00:52 → 00:00:55 ๆเนี่ยร่างกายเราไม่ได้พักเลยนะคือพอถึง
00:00:55 → 00:00:58 ช่วงประมาณ 2:00 น.เป็นต้นไปร่างกายก็จะ
00:00:58 → 00:01:00 เริ่มกระบวนการเตรียมตัวสำหรับวันใหม่
00:01:00 → 00:01:02 แล้วครับมันจะค่อยๆปล่อยฮอร์โมนอย่าง
00:01:02 → 00:01:05 คอร์ทิซอลกับกลูคารอนออกมาเพื่อไปส่ง
00:01:05 → 00:01:08 สัญญาณบอกตราบของเราว่าเฮ้เตรียมปล่อยน้ำ
00:01:08 → 00:01:10 ตาลที่เก็บไว้ออกมาเป็นพลังงานสำหรับตอน
00:01:10 → 00:01:13 เช้าได้แล้วนะแล้วกระบวนการที่ว่ามาเนี่ย
00:01:13 → 00:01:16 นะครับไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไรเลยมัน
00:01:16 → 00:01:18 เป็นเหมือนกลไกตามธรรมชาติของร่างกาย
00:01:18 → 00:01:20 มนุษย์เราทุกคนเลยครับซึ่งเขาก็มีชื่อ
00:01:20 → 00:01:24 เรียกอย่างเป็นทางการของมันด้วยนะสิ่งนี้
00:01:24 → 00:01:27 เรียกว่าปรากฏการณ์รุ่งอรุณหรือ the da
00:01:27 → 00:01:30 phenomenal ครับมันก็เหมือนนาฬิกาปลุก
00:01:30 → 00:01:33 ชีวภาพที่อยู่ในตัวเราเลยที่คอยปลุกร่าง
00:01:33 → 00:01:36 กายให้พร้อมสำหรับวันใหม่ให้มีพลังงาน
00:01:36 → 00:01:39 พร้อมลุยซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติมากๆ
00:01:39 → 00:01:41 เกิดขึ้นกับทุกคนนะครับไม่ใช่แค่คนที่
00:01:41 → 00:01:46 เป็นเบาหวานอ้าวคำถามก็คือแล้วถ้ามันเป็น
00:01:46 → 00:01:49 เรื่องปกติแล้วทำไมทำไมมันถึงกลายเป็น
00:01:49 → 00:01:52 ปัญหาสำหรับบางคนไปได้ล่ะนี่แหละครับคือ
00:01:52 → 00:01:56 จุดที่เราจะมาหาคำตอบกันโอเคทีนี้เราจะมา
00:01:56 → 00:01:59 ถึงแก่นของปัญหากันแล้วนะครับนั่นก็คือ
00:01:59 → 00:02:02 เรื่องของภาวะดื้อต่ออินซูลินเดี๋ยวจะลอง
00:02:02 → 00:02:05 เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆเลยนะครับลอง
00:02:05 → 00:02:08 นึกภาพตามกันนะครับว่าอินซูลินเนี่ยมันก็
00:02:08 → 00:02:11 เหมือนกับกุญแจวิเศษดอกนึงหน้าที่ของมัน
00:02:11 → 00:02:14 ก็คือคอยไขประตูเซลล์ต่างๆทั่วร่างกายของ
00:02:14 → 00:02:17 เราเพื่อให้น้ำตาลซึ่งก็คือพลังงานเนี่ย
00:02:17 → 00:02:20 สามารถเข้าไปข้างในเซลล์ได้ความแตกต่าง
00:02:20 → 00:02:22 มันอยู่ตรงนี้แหละครับในร่างกายที่ตอบ
00:02:22 → 00:02:25 สนองต่ออินซูลินได้ดีกุญแจดอกนี้มัน
00:02:25 → 00:02:29 เวิร์คมากไขปุ๊บประตูเซลล์เปิดปั๊บน้ำตาล
00:02:29 → 00:02:32 ก็เข้าไปเป็นพลังงานได้เลยแต่ในคนที่มี
00:02:32 → 00:02:35 ภาวะดื้อต่ออินซูลินเนี่ยไอ้กุญแจดอกนี้
00:02:35 → 00:02:38 มันดันเหมือนพังไปแล้วนะครับขายยังไงก็ไข
00:02:38 → 00:02:41 ไม่ออกผลก็คือน้ำตาลเข้าเซลล์ไม่ได้เลย
00:02:42 → 00:02:44 ต้องลอยเท้งเต้งอยู่ในกระแสเลือดของเรา
00:02:44 → 00:02:46 นี่แหละครับแล้วมันก็เลยเกิดเป็นวงจร
00:02:46 → 00:02:49 อุบาทขึ้นมาเลยครับคือพอเซลล์มันไม่ได้
00:02:49 → 00:02:52 รับน้ำตาลใช่มั้ยครับร่างกายก็ดันเข้าใจ
00:02:52 → 00:02:56 ผิดคิดว่าเฮ้ยพลังงานกำลังจะหมดตับของเรา
00:02:56 → 00:02:59 ก็เลยหวังดีครับพยายามช่วยด้วยการผลิตน้ำ
00:02:59 → 00:03:02 ตาลเพิ่มออกมาอีกมันก็เหมือนเราเทน้ำใส่
00:03:02 → 00:03:05 แก้วที่มันเต็มจนล้นอยู่แล้วนะครับน้ำตาล
00:03:05 → 00:03:08 ในเลือดก็เลยยิ่งพุ่งกระฉูดไปกันใหญ่ดัง
00:03:08 → 00:03:11 นั้นเห็นมั้ครับว่าประเด็นสำคัญมันเลย
00:03:11 → 00:03:14 เปลี่ยนไปเลยไม่ใช่การไปโทษว่าทำไมตับถึง
00:03:14 → 00:03:18 สร้างน้ำตาลแต่คำถามที่ถูกก็คือแล้วทำไม
00:03:18 → 00:03:20 ร่างกายเราถึงใช้น้ำตาลที่มีอยู่เต็ม
00:03:20 → 00:03:23 เลือดไปหมดเนี่ยไม่ได้ล่ะนี่แหละครับคือ
00:03:23 → 00:03:26 หัวใจของเรื่องทั้งหมดเลยแล้วตัวการที่
00:03:26 → 00:03:29 แท้จริงคืออะไรงานวิจัยเค้าชี้เป้าไปที่
00:03:29 → 00:03:33 เดียวกันเลยครับนั่นก็คือไขมันส่วนเกิน
00:03:33 → 00:03:36 แต่มันไม่ใช่ไขมันที่เราเห็นตามพุงนะครับ
00:03:36 → 00:03:40 มันคือไขมันที่แอบไปซ่อนตัวอยู่ข้างใน
00:03:40 → 00:03:42 เซลล์กล้ามเนื้อกับเซลล์ตับของเราเลยไอ้
00:03:42 → 00:03:45 เจ้าไขมันพวกนี้แหละครับที่ไปขวางประตูทำ
00:03:46 → 00:03:49 ให้กุญแจอินซูลินของเรามันใช้การไม่ได้พอ
00:03:49 → 00:03:52 เรารู้ตัวการแล้วข่าวดีก็คือเราจัดการมัน
00:03:52 → 00:03:55 ได้ครับไม่ใช่เรื่องที่ต้องยอมแพ้เลยซึ่ง
00:03:55 → 00:03:59 วันนี้เรามี 4 กลยุทธ์เด็ดๆที่มีงานวิจัย
00:03:59 → 00:04:01 รองรับว่าจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ถึงต้นตอ
00:04:01 → 00:04:05 เลยทีเดียวเดี๋ยวเราจะมาเจาะลึกกันทีละ
00:04:05 → 00:04:08 ข้อเลยนะครับตั้งแต่เรื่องหน้าต่างการกิน
00:04:08 → 00:04:10 ผลฟ้องน้ำหลังมื้ออาหารเครื่องล้างไขมัน
00:04:10 → 00:04:14 ระดับเซลล์ไปจนถึงสวิตchรีซตระบบเผาผลาญ
00:04:14 → 00:04:16 ชื่อน่าสนใจทั้งนั้นเลยใช่มั้ยครับ
00:04:16 → 00:04:19 กลยุทธ์แรกเลยนะครับคือการกินให้ตรงกับ
00:04:19 → 00:04:21 นาฬิกาของร่างกายนั่นเองคืองานวิจัยเขา
00:04:21 → 00:04:24 บอกชัดเลยว่าร่างกายเราเนี่ยจะจัดการกับ
00:04:24 → 00:04:27 อินซูลินได้ดีที่สุดในช่วงเช้าดังนั้นถ้า
00:04:27 → 00:04:30 เราลองปรับเวลากินเริ่มมื้อเช้าสัก 8:00
00:04:30 → 00:04:33 น.แล้วกินมื้อสุดท้ายให้จบก่อน 16:00 น.
00:04:33 → 00:04:35 แค่นี้ก็จะช่วยให้ร่างกายจัดการน้ำตาลได้
00:04:35 → 00:04:38 ดีขึ้นแบบเห็นผลเลยและน้ำตาลตอนเช้าก็จะ
00:04:38 → 00:04:43 ลดลงด้วยครับข้อนี้ง่ายมากแต่ทรงพลังสุดๆ
00:04:43 → 00:04:46 เลยครับแค่เราไปเดินเล่นเบาๆสัก 15-30
00:04:46 → 00:04:49 นาทีหลังกินข้าวเสร็จมันเหมือนเราไปเปิด
00:04:49 → 00:04:52 โหมดฟองน้ำให้กับกล้ามเนื้อเลยครับคือ
00:04:52 → 00:04:54 กล้ามเนื้อมันจะช่วยดูดซับน้ำตาลออกจาก
00:04:54 → 00:04:57 เลือดไปใช้โดยตรงเลยนะเจ๋งตรงที่ว่าแทบ
00:04:57 → 00:04:59 ไม่ต้องง้ออินซูลินเลยด้วยซ้ำซึ่งมันช่วย
00:04:59 → 00:05:01 ลดการพุ่งของน้ำตาลหลังมื้ออาหารได้ถึง
00:05:01 → 00:05:03 50% เลยที
00:05:03 → 00:05:06 มาถึงข้อที่ 3 อันนี้คือการจัดการกับไอ้
00:05:06 → 00:05:09 ตัวการที่เราพูดถึงกันไปตอนแรกเลยครับ
00:05:09 → 00:05:11 นั่นก็คือการล้างไขมันที่มันที่มันเกาะ
00:05:11 → 00:05:15 อยู่ในเซลล์เราออกไปแล้วจะทำยังไงล่ะวิธี
00:05:15 → 00:05:17 ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดีมากๆก็คือการหัน
00:05:17 → 00:05:20 มากินอาหารจากพืชเป็นหลักที่สำคัญคือต้อง
00:05:20 → 00:05:23 เป็นแบบไขมันต่ำแล้วก็ไม่ขัดสีนะครับ
00:05:23 → 00:05:26 เพื่อเป็นการทำความสะอาดเปิดทางให้กุญแจ
00:05:26 → 00:05:27 อินซูลินของเรากลับมาทำงานได้ดีเหมือน
00:05:27 → 00:05:31 เดิมแล้วจะบอกว่าไอเดียนี้ไม่ใช่เรื่อง
00:05:31 → 00:05:34 ใหม่เลยนะครับเชื่อมว่ามันมีมาตั้งแต่ปี
00:05:34 → 00:05:38 1955 แล้วมีงานวิจัยสำคัญชิ้นหนึ่งที่ตี
00:05:38 → 00:05:41 พิมพ์ในวารสารเดlนซเลยนะเขาพบว่าการกิน
00:05:41 → 00:05:45 อาหารคาร์โบไฮเดรตสูงแต่ไขมันต่ำกลับช่วย
00:05:45 → 00:05:47 ให้ร่างกายจัดการน้ำตาลได้ดีขึ้นซะงั้น
00:05:47 → 00:05:49 ซึ่งมันส่วนทางกับที่หลายคนเชื่อกันทุก
00:05:49 → 00:05:52 วันนี้เลยใช่มั้ยครับแล้วผลลัพธ์มันเป็น
00:05:52 → 00:05:55 ยังไงนะเหรอครับต้องบอกว่ามันน่าทึ่งมาก
00:05:55 → 00:05:58 คือแค่ 3-6 สัปดาห์เท่านั้นนะผู้ป่วยถึง
00:05:58 → 00:06:03 63% 63% เลยนะสามารถหยุดฉีดอินซูลินได้
00:06:03 → 00:06:07 เลยไม่ต้องใช้อินซูลินอีกต่อไปสุดยอดจริง
00:06:07 → 00:06:11 ๆยังไม่หมดแค่นั้นครับพอเขาติดตามผลต่อไป
00:06:11 → 00:06:14 อีกจนครบ 18 สัปดาห์ตัวเลขมันพุ่งขึ้นไป
00:06:14 → 00:06:18 ถึง 80% เลย 80% ของผู้ป่วยหยุดใช้
00:06:18 → 00:06:21 อินซูลินได้สมบูรณ์นี่มันเป็นข้อพิสูจน์
00:06:21 → 00:06:24 ที่ชัดเจนมากเลยนะครับว่าพลังของการปรับ
00:06:24 → 00:06:26 อาหารเนี่ยมันส่งผลกับร่างกายเราได้
00:06:26 → 00:06:29 มหาศาลขนาดไหนแล้วนี่ไม่ใช่แค่เรื่องใน
00:06:29 → 00:06:32 อดีตนะครับงานวิจัยใหม่ใหม่ในยุคนี้ก็ยัง
00:06:32 → 00:06:35 ยืนยันเรื่องเดียวกันอย่างล่าสุดมีการทด
00:06:35 → 00:06:38 ลองที่พบว่ากันกินมะม่วงทุกวันใช่ครับ
00:06:38 → 00:06:41 มะม่วงนี่แหละสามารถช่วยลดภาวะดื้อ
00:06:41 → 00:06:44 อินซูลินได้ซึ่งมันก็มาท้าทายความเชื่อ
00:06:44 → 00:06:47 เดิมๆที่ว่าโอ๊ยเป็นเบาหวานห้ามกินผลไม้
00:06:47 → 00:06:50 หวานๆเห็นมั้ยครับว่ามันอาจจะไม่ใช่แบบ
00:06:50 → 00:06:54 นั้นเสมอไปโอเคทีนี้พอเราเอากลยุทธ์ทุก
00:06:54 → 00:06:57 อย่างที่ว่ามาเนี่ยมารวมพลังกันผลลัพธ์
00:06:57 → 00:06:59 ที่ได้มันจะทรงพลังขึ้นไปอีกหลายเท่าเลย
00:06:59 → 00:07:02 ครับซึ่งมันจะพาเราไปสู่เป้าหมายที่สำคัญ
00:07:02 → 00:07:05 ที่สุดนั่นก็คือเป้าหมายของเราก็คือการไป
00:07:05 → 00:07:08 ให้ถึงจุดที่เรียกว่าความยึดหยุ่นทาง
00:07:08 → 00:07:11 Metabolism หรือ Metabolic Flexibility
00:07:11 → 00:07:14 พูดง่ายๆเลยนะมันคือการสอนให้ร่างกายของ
00:07:14 → 00:07:16 เราเนี่ยกลับมาใช้พลังงานจากน้ำตาลเก่ง
00:07:16 → 00:07:18 เหมือนเดิมทำให้เซลล์ของเรากลายเป็น
00:07:18 → 00:07:20 เหมือนเครื่องจักรเพลาพลาน้ำตาลชั้น
00:07:20 → 00:07:23 เยี่ยมแล้วผลที่ตามมาคืออะไรก็น้ำตาลตอน
00:07:23 → 00:07:25 เช้ามันก็จะไม่สูงอีกต่อไปแล้วเราก็จะรู้
00:07:25 → 00:07:29 สึกมีเรี่ยวมีแรงสดชื่นขึ้นด้วยสุดท้าย
00:07:29 → 00:07:31 นี้เลยอยากจะทิ้งคำถามนี้ไว้ให้ลองคิดตาม
00:07:31 → 00:07:34 กันดูนะครับว่าจะเป็นยังไงถ้าทางออกของ
00:07:35 → 00:07:37 ปัญหาน้ำตาลในเลือดสูงเนี่ยมันอาจจะไม่
00:07:37 → 00:07:40 ใช่การหนีหรือกลัวน้ำตาลแต่เป็นการช่วย
00:07:40 → 00:07:43 ให้ร่างกายของเรากลับมาใช้มันได้อย่างถูก
00:07:43 → 00:07:46 ต้องเหมือนที่มันเคยเป็นบางทีแค่การ
00:07:46 → 00:07:48 เปลี่ยนมุมมองแค่นี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้น
00:07:48 → 00:07:50 ของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
00:07:50 → 00:07:53 ก็ได้นะครับ
00:07:53 → 00:07:57 >> เอ่อเคยตื่นนอนตอนเช้าแล้วรู้สึกเพลียๆ
00:07:57 → 00:08:00 กันมั้ยครับทั้งที่แบบเมื่อคืนก็เช็คเล็ก
00:08:00 → 00:08:04 ระดับน้ำตาลแล้วนะปกติดีเลยแต่พอว่าตอน
00:08:04 → 00:08:07 เช้าเท่านั้นแหละอ้าวตัวเลขมันสูงขึ้นซะ
00:08:07 → 00:08:10 งั้นทั้งที่เราก็มั่นใจนะว่าไม่ได้ลุกไป
00:08:10 → 00:08:13 หาอะไรกินตอนดึกแน่ๆปัญหานี้มันก็น่า
00:08:14 → 00:08:17 หงุดหงิดนะครับแล้วก็ทำให้สงสัยว่าเอ๊ะ
00:08:17 → 00:08:19 มันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเรากันแน่
00:08:19 → 00:08:23 >> เป็นคำถามที่เจอบ่อยมากเลยค่ะโดยเฉพาะใน
00:08:23 → 00:08:25 กลุ่มที่อาจจะมีความเสี่ยงหรือว่ากำลัง
00:08:25 → 00:08:28 จัดการกับเบาหวานชนิดที่ 2 หรือภาวะก่อน
00:08:28 → 00:08:30 เบาหวานอยู่แล้ว
00:08:30 → 00:08:33 >> ใช่เลยครับเพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาคุย
00:08:33 → 00:08:36 กันเรื่องนี้แบบเจาะลึกกันเลยนะครับว่า
00:08:36 → 00:08:39 ทำไมน้ำตาลในเลือดตอนเช้ามันถึงสูงหรือ
00:08:39 → 00:08:41 ที่เรียกว่า high fasting glูoseเนี่ย
00:08:41 → 00:08:45 เราจะอิงข้อมูลจากบทความทางวิชาการเรื่อง
00:08:45 → 00:08:48 ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงยามเช้าและวิธีแก้ไข
00:08:48 → 00:08:51 กันครับมาดูกันว่ากลไกเบื้องหลังมันคือ
00:08:51 → 00:08:54 อะไรแล้วเราจะมีวิธีจัดการด้วยวิธี
00:08:54 → 00:08:56 ธรรมชาติยังไงได้บ้าง
00:08:56 → 00:08:59 >> ค่ะเป้าหมายหลักๆของเราวันนี้ก็คือทำความ
00:08:59 → 00:09:02 เข้าใจสาเหตุจริงๆให้ลึกขึ้นนะคะไม่ใช่
00:09:02 → 00:09:05 แค่ผิวเผินแล้วก็จะมาดูกันว่ามีกลยุทธ์
00:09:05 → 00:09:08 อะไรบ้างที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าเออ
00:09:08 → 00:09:11 มันช่วยได้จริงเพื่อให้เราควบคุมภาวะนี้
00:09:11 → 00:09:12 ได้ตรงจุดมากขึ้นค่ะ
00:09:12 → 00:09:15 >> เยี่ยมเลยครับงั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
00:09:15 → 00:09:18 จุดแรกที่ต้องเข้าใจคือสิ่งที่เรียกว่า
00:09:18 → 00:09:21 ปรากฏการณ์รุ่งอรุณหรือฟนอชื่อเขาดูดีนะ
00:09:21 → 00:09:24 ครับแต่จริงๆแล้วมันคืออะไรครับเนี่ย
00:09:24 → 00:09:27 >> จริงๆแล้วphฟomอเนี่ยเป็นกระบวนการปกติ
00:09:27 → 00:09:30 ของร่างกายเลยนะคะเกิดขึ้นกับทุกคนเลยค่ะ
00:09:30 → 00:09:33 ไม่ใช่แค่คนที่มีปัญหาเรื่องน้ำตาลร่าง
00:09:33 → 00:09:35 กายเราถูกออกแบบมาให้เตรียมพร้อมรับวัน
00:09:35 → 00:09:38 ใหม่ค่ะมันจะเริ่มทำงานช่วงประมาณ 2:00
00:09:38 → 00:09:41 น. 8:00 น.อ๋อคือช่วงที่เรายังหลับอยู่
00:09:42 → 00:09:43 หรือว่าใกล้ๆจะตื่นพอดี
00:09:44 → 00:09:47 >> ใช่ค่ะช่วงนั้นล่ะค่ะแม้เราจะไม่รู้ตัวนะ
00:09:47 → 00:09:49 แต่ข้างในร่างกายเนี่ยกำลังเตรียมตัวตื่น
00:09:49 → 00:09:53 เลยสมองจะส่งสัญญาณแล้วตับก็จะเริ่มผลิต
00:09:53 → 00:09:56 พลังงานสำรองออกมาร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน
00:09:56 → 00:09:58 กลุ่มนึงออกมาค่ะเหมือนเป็นนาฬิกาปลุก
00:09:58 → 00:09:59 ข้างในตัวเรา
00:10:00 → 00:10:02 >> ฮอร์โมนกลุ่มนี้มีตัวไหนเด่นๆบ้างครับที่
00:10:02 → 00:10:02 ทำงานตอนนั้น
00:10:03 → 00:10:06 >> หลักๆก็จะมีคอร์ติซองค่ะที่เราเรียกว่า
00:10:06 → 00:10:09 ฮอร์โมนเครียดแต่ตอนเช้ามันช่วยปลุกเราก็
00:10:09 → 00:10:13 มีโรสฮอร์โมนกลูคอนซึ่งทำงานตรงข้ามกับ
00:10:13 → 00:10:16 อินซูลินแล้วก็adดรนาลีนที่ทำให้เรารู้
00:10:16 → 00:10:19 สึกตึ่งตัวฮอร์โมนพวกนี้จะไปบอกตับพร้อมๆ
00:10:19 → 00:10:22 กันเลยค่ะว่าใกล้เช้าแล้วนะเตรียมปล่อย
00:10:22 → 00:10:24 พลังงานออกมาได้แล้ว
00:10:24 → 00:10:26 >> เหมือนกับสตาร์ทเครื่องเตรียมตัวลุย
00:10:26 → 00:10:27 สำหรับวันใหม่
00:10:27 → 00:10:30 >> ใช่เลยค่ะตับก็เหมือนคลังพลังงานนะคะจะ
00:10:30 → 00:10:33 ตอบสนองโดยการปล่อยกลูโคสที่เก็บไว้ออกมา
00:10:33 → 00:10:36 ในเลือดเพื่อให้เรามีแรงพอจะลุกจากเตียง
00:10:36 → 00:10:40 เริ่มทำนู่นทำนี่ได้นี่คือกระบวนการปกติ
00:10:40 → 00:10:41 สำคัญมากๆค่ะ
00:10:41 → 00:10:44 >> ฟังดูเป็นระบบที่ดีมากเลยครับแต่ทีนี้
00:10:45 → 00:10:48 อะไรล่ะครับที่ทำให้กระบวนการปกตินี้มัน
00:10:48 → 00:10:51 กลายเป็นปัญหาขึ้นมาโดยเฉพาะกับคนที่มี
00:10:51 → 00:10:54 ภาวะดื้ออินซูลินหรือว่าเป็นเบาหวานชนิด
00:10:54 → 00:10:55 ที่ 2 อยู่แล้ว
00:10:55 → 00:10:59 >> อันนี้คือประเด็นสำคัญเลยค่ะในคนที่ร่าง
00:10:59 → 00:11:02 กายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีหรือที่เรียก
00:11:02 → 00:11:05 ว่ามีความไวต่ออินซูลินสูงเนี่ยอินซูลิน
00:11:06 → 00:11:09 เปรียบเหมือนกุญแจนะคะมันจะไปไขเปิดประตู
00:11:09 → 00:11:12 เซลล์ต่างๆทำให้น้ำตาลที่ตับปล่อยออกมา
00:11:12 → 00:11:14 ตอนเช้าเนี่ยเข้าไปในเซลล์ได้อย่างรวด
00:11:14 → 00:11:17 เร็วเอาไปใช้เป็นพลังงานได้ดีน้ำตาลใน
00:11:17 → 00:11:21 เลือดก็จะได้ไม่สูงมากควบคุมได้ค่ะ
00:11:21 → 00:11:23 >> แต่ถ้าเกิดว่ากุญแจอินซูลินมันฝืดๆอ่ะ
00:11:23 → 00:11:26 ครับไขประตูเซลล์ไม่ค่อยออกจะเกิดอะไร
00:11:26 → 00:11:27 ขึ้น
00:11:27 → 00:11:30 >> นั่นแหละค่ะคือภาวะที่เรียกว่าการดื้อ
00:11:30 → 00:11:33 อินซูลินหรืออซูลิน resistance ซึ่งเป็น
00:11:33 → 00:11:36 ต้นตอของภาวะก่อนเบาหวานแล้วก็เบาหวาน
00:11:36 → 00:11:39 ชนิดที่ 2 เลยในภาวะนี้เซลล์ต่างๆทั้ง
00:11:39 → 00:11:43 กล้างเนื้อเซลล์ไขมันเซลล์ตับมันตอบสนอง
00:11:43 → 00:11:46 ต่ออินซูลินได้ไม่ค่อยดีกุญแจอินซูลินที่
00:11:46 → 00:11:48 เรามีอยู่เนี่ยมันเปิดประตูเซลล์ได้ไม่
00:11:48 → 00:11:50 เต็มที่เหมือนเดิมค่ะ
00:11:50 → 00:11:52 >> แปลว่าน้ำตาลกลูโคสที่ตับผลิตออกมาตาม
00:11:53 → 00:11:57 กุไกphนomานซึ่งจริงๆควรจะเป็นพลังงานให้
00:11:57 → 00:11:59 เรากลับเข้าเซลล์ไม่ได้หรือเข้าได้น้อย
00:11:59 → 00:12:00 มาก
00:12:00 → 00:12:03 >> ปี 2019 เขาก็พบว่าในคนที่ดื้ออินซูลิน
00:12:03 → 00:12:06 เนี่ยตับยังคงผลิตกลูโคสออกมาเยอะเลยค่ะ
00:12:06 → 00:12:09 ในช่วงเช้าทั้งๆที่ระดับน้ำตาลในเลือดก็
00:12:09 → 00:12:12 สูงอยู่แล้วซึ่งมันต่างจากคนปกติที่พอมี
00:12:12 → 00:12:15 น้ำตาลสูงตับก็จะชะลอการผลิตลง
00:12:15 → 00:12:18 >> โอ้โหกลายเป็นว่านอกจากน้ำตาลจะเข้าเซลล์
00:12:18 → 00:12:21 ไม่ได้แล้วตับก็ยังเข้าใจผลิตอีกหรือครับ
00:12:21 → 00:12:22 คิดว่าต้องผลิตเพิ่ม
00:12:22 → 00:12:25 >> ใช่ค่ะมันเลยกลายเป็นวงจรที่ซับซ้อนขึ้น
00:12:25 → 00:12:28 ไปอีกทำให้สถานการณ์แย่ลงเพราะพอเซลล์
00:12:28 → 00:12:31 ต่างๆโดยเฉพาะกล้ามเนื้อไม่ได้รับกลูโคส
00:12:31 → 00:12:33 เข้าไปใช้เป็นพลังงานเพียงพอเพราะ
00:12:33 → 00:12:36 อินซูลินทำงานไม่ดีร่างกายส่วนกลางก็จะ
00:12:36 → 00:12:39 ได้รับสัญญาณผิดๆไปว่าเฮ้ยตอนนี้ยังขาด
00:12:39 → 00:12:42 พลังงานอยู่นะต้องการน้ำตาลเพิ่มอีก
00:12:42 → 00:12:44 >> ทั้งๆที่จริงๆแล้วในเลือดนี่น้ำตาลเพียบ
00:12:44 → 00:12:47 เลยแต่เซลล์เอาไปใช้ไม่ได้ร่างกายก็เลย
00:12:47 → 00:12:47 นึกว่าขาด
00:12:48 → 00:12:50 >> ใช่ค่ะเป็นความเข้าใจผิดของระบบสื่อสาร
00:12:50 → 00:12:54 ภายในร่างกายเราเองตับซึ่งก็พยายามทำหน้า
00:12:54 → 00:12:57 ที่ของมันเต็มที่ก็จะตอบสนองต่อสัญญาณขาด
00:12:57 → 00:12:59 พลังงานที่ว่าเนี่ยด้วยการพยายามผลิต
00:12:59 → 00:13:02 กลูโคสเพิ่มเข้าไปอีกไม่ใช่แค่จากที่เก็บ
00:13:02 → 00:13:05 ไว้นะคะแต่ยังเริ่มกระบวนการที่เรียกว่า
00:13:05 → 00:13:08 การสร้างกลุกลูโคสใหม่หรือกลูโคนโจนis
00:13:08 → 00:13:08 ด้วย
00:13:09 → 00:13:12 >> การสร้างกลูโคสใหม่เอ่อหมายถึงสร้างจาก
00:13:12 → 00:13:14 อื่นที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตหรอครับ
00:13:14 → 00:13:17 >> ใช่แล้วค่ะตับเราเก่งนะคะสามารถเปลี่ยน
00:13:18 → 00:13:20 สารอาหารอื่นอย่างกรดอะมิโนจากโปรตีนหรือ
00:13:20 → 00:13:24 กลิเซอรอลจากไขมันให้เป็นน้ำตาลกลูโคสได้
00:13:24 → 00:13:26 ปกติกระบวนการนี้จะใช้ตอนที่เราขาดอาหาร
00:13:26 → 00:13:29 จริงๆแต่ในคนที่ดื้ออินซูลินกลไกนี้กลับ
00:13:29 → 00:13:32 ทำงานมากขึ้นแบบไม่ค่อยเหมาะสมค่ะ
00:13:32 → 00:13:35 >> ผลสุดท้ายก็คือน้ำตาลในเลือดยิ่งสูงขึ้น
00:13:35 → 00:13:39 ไปอีกทั้งจากที่เข้าเซลล์ไม่ได้แล้วก็จาก
00:13:39 → 00:13:41 ที่ตับสร้างเพิ่มขึ้นมาใหม่
00:13:41 → 00:13:43 >> ถูกต้องค่ะวารสารชั้นนำอย่าง Nature
00:13:43 → 00:13:46 Reviews Endocrinology ก็เคยอธิบายไว้
00:13:46 → 00:13:49 เมื่อปี 2020 ว่าในเบาหวานชนิดที่ 2 การ
00:13:49 → 00:13:52 ผลิตกลูโคสของตับมันสูงขึ้นอย่างไม่เหมาะ
00:13:52 → 00:13:53 สมจริงๆ
00:13:53 → 00:13:56 >> พอจะสรุปตรงนี้ได้มั้ครับว่าจริงๆแล้วตับ
00:13:56 → 00:14:00 ไม่ได้ผิดนะมันแค่ทำตามหน้าที่ทั้งจาก
00:14:00 → 00:14:03 phฟenomอแล้วก็พยายามตอบสนองสัญญาณที่
00:14:03 → 00:14:07 ร่างกายส่งมาแต่ปัญหาหลักจริงๆคือภาวะ
00:14:07 → 00:14:10 เดื้ออินซูลินที่ทำให้ร่างกายใช้น้ำตาล
00:14:10 → 00:14:13 ที่ตับผลิตออกมาไม่ได้น้ำตาลเลยค้างใน
00:14:13 → 00:14:14 เลือด
00:14:14 → 00:14:16 >> เป็นการสรุปที่ตรงประเด็นที่สุดเลยค่ะต้น
00:14:16 → 00:14:19 ตอจริงๆมันคือภาวะดื้ออินซูลินนี่แหละค่ะ
00:14:19 → 00:14:22 >> คำถามสำคัญต่อมาเลยครับแล้วอะไรคือสาเหตุ
00:14:22 → 00:14:24 จริงๆที่ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลินขึ้นมา
00:14:24 → 00:14:26 ตั้งแต่แรกเลยหรอครับ
00:14:26 → 00:14:28 >> จุดนี้น่าสนใจมากค่ะแล้วก็อาจจะเปลี่ยน
00:14:28 → 00:14:32 มุมมองของหลายๆคนไปเลยจากงานวิจัยที่สะสม
00:14:32 → 00:14:34 กันมาเป็น 10 ปีนะคะตีพิมพ์ในวารสารการ
00:14:34 → 00:14:37 แพทย์ดังๆอย่าง The Landset Diabetes
00:14:37 → 00:14:40 Care Nature Communications เขาชี้ไป
00:14:40 → 00:14:43 ทางเดียวกันเลยค่ะว่าสาเหตุพื้นฐานของการ
00:14:43 → 00:14:45 ดื้ออินซูลินเนี่ยไม่ใช่แค่เรื่องน้ำหนัก
00:14:45 → 00:14:47 ตัวเกินหรือไขมันใต้ผิวหนังเยอะเท่านั้น
00:14:47 → 00:14:51 นะคะแต่มันเป็นเรื่องของไขมันที่เข้าไป
00:14:51 → 00:14:53 สะสมอยู่ข้างในเซลล์ค่ะโดยเฉพาะในเซลล์
00:14:53 → 00:14:55 กล้ามเนื้อแล้วก็เซลล์ตับ
00:14:55 → 00:14:59 >> เดี๋ยวนะครับหมายความว่าไม่ใช่แค่ไขมัน
00:14:59 → 00:15:02 พุงหรือไขมันที่เรามองเห็นจากข้างนอกแต่
00:15:02 → 00:15:05 เป็นไขมันเล็กเล็กที่มันเข้าไปอยู่ในตัว
00:15:05 → 00:15:09 เซลล์เลยเหรอครับโอ้โหนี่คือจุดเปลี่ยน
00:15:09 → 00:15:12 สำคัญเลยนะเพราะมันเปลี่ยนโฟกัสจากแค่น้ำ
00:15:12 → 00:15:15 หนักหรือไขมันหน้าท้องไปสู่สิ่งที่เกิด
00:15:15 → 00:15:17 ข้างในเซลล์จริงๆซึ่งอาจจะไม่ตรงกับที่คน
00:15:17 → 00:15:19 ส่วนใหญ่เข้าใจกัน
00:15:19 → 00:15:22 >> ใช่ค่ะมันคือไขมันระดับเซลล์เลยไขมันส่วน
00:15:22 → 00:15:25 เกินพวกนี้พอเข้าไปอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อ
00:15:25 → 00:15:28 เซลล์ตับเยอะๆเนี่ยมันจะไปขัดขวางการส่ง
00:15:28 → 00:15:31 สัญญาณของอินซูลินโดยตรงเลยคือต่อให้
00:15:31 → 00:15:33 อินซูลินมาเกาะที่หน้าเซลล์แล้วแต่สัญญาณ
00:15:33 → 00:15:36 ที่จะบอกให้เซลล์เปิดรับน้ำตาลเข้ามา
00:15:36 → 00:15:39 เนี่ยมันถูกรบกวนส่งต่อไปได้ไม่ดีค่ะ
00:15:39 → 00:15:41 >> เหมือนมีอะไรไปขวางทางทำให้คำสั่ง
00:15:41 → 00:15:43 อินซูลินไปไม่ถึงเป้าหมาย
00:15:43 → 00:15:46 >> ประมาณนั้นเลยค่ะนึกภาพเหมือนมีคราบไขมัน
00:15:46 → 00:15:49 ไปเกาะตามกลไกทำให้มันติดๆขัดๆเพราะ
00:15:49 → 00:15:51 ฉะนั้นถ้าเราสามารถลดไขมันที่อยู่ข้างใน
00:15:51 → 00:15:54 เซลล์พวกนี้ลงได้การทำงานของอินซูลินก็จะ
00:15:54 → 00:15:57 ค่อยๆกลับมาดีขึ้นเองความไวต่ออินซูลินก็
00:15:57 → 00:15:58 จะเพิ่มขึ้นค่ะ
00:15:58 → 00:16:02 >> แสดงว่ากุญแจสำคัญการจัดการไขมันในเซลล์
00:16:02 → 00:16:04 โดยเฉพาะเพราะไขมันที่อาจจะมาจากอาหารบาง
00:16:04 → 00:16:08 อย่างเช่นเนื้อสัตว์ชีสไข่หรือพวกน้ำมัน
00:16:08 → 00:16:11 แปรรูปต่างๆที่บทความพูดถึงมีแนวโน้มไป
00:16:11 → 00:16:14 ทั้งนั้นค่ะการลดไขมันกลุ่มนี้ในอาหารก็
00:16:14 → 00:16:17 อาจจะช่วยลดการสะสมไขมันในเซลล์แล้วก็
00:16:17 → 00:16:20 ช่วยฟื้นฟูการทำงานของอินซูลินได้
00:16:20 → 00:16:23 >> โหงั้นจริงๆคำถามที่เราควรถามอาจจะไม่ใช่
00:16:23 → 00:16:27 แค่ทำไมตับผลิตน้ำตาลเยอะจังแต่กูจะเป็น
00:16:27 → 00:16:29 ทำไมร่างกายถึงใช้น้ำตาลที่มีอยู่เต็ม
00:16:29 → 00:16:32 เลือดเนี่ยไปใช้ประโยชน์ไม่ได้เป็นการ
00:16:32 → 00:16:35 เปลี่ยนมุมมองที่สำคัญมากเลยนะครับเนี่ย
00:16:35 → 00:16:37 >> เป็นการตั้งคำถามที่พาเราไปสู่ต้นตอของ
00:16:37 → 00:16:39 ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้นค่ะ
00:16:39 → 00:16:42 >> เอาล่ะครับพอเราเข้าใจกลไกสาเหตุรากฐาน
00:16:42 → 00:16:46 กันแล้วทีนี้มาถึงส่วนที่ทุกคนน่าจะรอคอย
00:16:46 → 00:16:49 คือแล้วเราจะจัดการกับปัญหาน้ำตาลสูงตอน
00:16:49 → 00:16:52 เช้าแล้วก็ภาวะดื้ออินซูลินนี้ยังไงได้
00:16:52 → 00:16:55 บ้างบทความนี้เให้ความหวังว่าเออเราเห็น
00:16:55 → 00:16:59 ผลได้ในไม่กี่วันไม่กี่สัปดาห์เลยถ้าใช้
00:16:59 → 00:17:02 กลยุทธ์ที่ถูกวิธีมีอะไรบ้างครับมี 4
00:17:02 → 00:17:05 กลยุทธ์หลักๆที่ทำงานเสริมกันได้ดีมากค่ะ
00:17:05 → 00:17:07 แล้วก็มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับด้วย
00:17:07 → 00:17:10 >> น่าสนใจมากครับขอเริ่มที่กลยุทธ์แรกเลย
00:17:10 → 00:17:11 ครับ
00:17:11 → 00:17:14 >> กลยุทธ์แรกนะคะเรียกว่าหน้าต่างการกิน
00:17:14 → 00:17:17 ช่วงเช้าหรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า
00:17:17 → 00:17:20 Sunrise Eating หรือ Early Time
00:17:20 → 00:17:22 Restricted Feeding ค่ะเรียกย่อๆว่า
00:17:22 → 00:17:23 ETRF
00:17:23 → 00:17:26 >> อ๋อการจำกัดเวลากินหรือ IF ที่เราคุ้นเคย
00:17:26 → 00:17:29 กันใช่ไหมั้ครับแต่คำว่าช่วงเช้านี่น่าสน
00:17:29 → 00:17:32 ใจเพราะปกติคนทำ IF มักจะข้ามมื้อเช้า
00:17:32 → 00:17:34 แล้วไปกินบ่ายๆเย็นๆกันซะเยอะ
00:17:34 → 00:17:37 >> นั่นแหละค่ะคือจุดที่ต้องทำความเข้าใจให้
00:17:37 → 00:17:40 ถูกเลยมีความเข้าใจผิดกันเยอะว่าการอด
00:17:40 → 00:17:42 มื้อเช้าแล้วไปกินหนักมื้อเย็นหรือมื้อ
00:17:42 → 00:17:45 ดึกเนี่ยเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับ IF
00:17:45 → 00:17:48 แต่ในบริบทของการจัดการน้ำตาลตอนเช้าการ
00:17:48 → 00:17:51 ทำแบบนั้นอาจจะส่งผลตรงข้ามเลยนะคะคืออาจ
00:17:51 → 00:17:54 จะทำให้น้ำตาลตอนเช้ายิ่งสูงขึ้นได้
00:17:54 → 00:17:57 >> อ้าวเหรอครับแสดงว่าการกินให้มันเข้ากับ
00:17:57 → 00:18:00 นาฬิกาชีวภาพสำคัญกว่าที่คิดแล้ว ETRF
00:18:00 → 00:18:02 ที่ถูกต้องนี้ต้องทำยังไงครับ
00:18:02 → 00:18:05 >> แนวทางที่แนะนำแล้วก็มีงานวิจัยสนับสนุน
00:18:05 → 00:18:08 มากขึ้นเรื่อยๆนะคะคือการกำหนดกรอบเวลา
00:18:08 → 00:18:11 ที่เราจะกินอาหารทั้งหมดของวันเนี่ยให้
00:18:11 → 00:18:15 อยู่ในช่วง 6-8 ชมงและที่สำคัญมากๆคือ
00:18:15 → 00:18:18 เริ่มมื้อแรกในช่วงเช้าค่ะแล้วก็จบมื้อ
00:18:18 → 00:18:21 สุดท้ายของวันให้เร็วขึ้นอย่างเช่นอาจจะ
00:18:21 → 00:18:23 เริ่มกินมื้อเช้า 8:00 น.แล้วก็กินมื้อ
00:18:23 → 00:18:25 สุดท้ายให้เสร็จไม่เกิน 14:00 น.หรือ 1600
00:18:25 → 00:18:27 น.ประมาณนี้ค่ะ
00:18:27 → 00:18:30 >> ทำไมการเลื่อนเวลากินมาอยู่ช่วงเช้าๆถึง
00:18:30 → 00:18:34 ดีกว่าล่ะครับโดยเฉพาะกับเรื่องน้ำตาล
00:18:34 → 00:18:37 เหตุผลหลักเลยคือมันสอดคล้องกับนาฬิกา
00:18:37 → 00:18:40 ชีวภาพหรือ circadian ritm ของเราค่ะ
00:18:40 → 00:18:42 ร่างกายเราเนี่ยจะมีความไวต่ออินซูลิน
00:18:42 → 00:18:45 หรืออินซูลิน sensitivity สูงสุดในตอน
00:18:45 → 00:18:49 เช้าแล้วจะค่อยๆลดลงในช่วงบ่ายกับเย็นการ
00:18:49 → 00:18:51 กินอาหารในช่วงที่ร่างกายไวกับอินซูลิน
00:18:51 → 00:18:54 มากที่สุดก็จะช่วยให้เซลล์นำกลูโคสไปใช้
00:18:54 → 00:18:57 ได้ดีขึ้นลดภาระตับอ่อนแล้วก็มีงานวิจัย
00:18:57 → 00:19:00 ที่ชี้ว่า ETRF เนี่ยช่วยเพิ่มความไวต่อ
00:19:00 → 00:19:04 อินซูลินลดความดันลดภาวะเครียดออกซิเดชั
00:19:04 → 00:19:07 ได้ด้วยนะคะแม้ว่าน้ำหนักตัวอาจจะยังไม่
00:19:07 → 00:19:08 ได้ลดลงก็ตาม
00:19:08 → 00:19:13 >> โหแค่ปรับเวลากินก็มีผลต่อประสิทธิภาพการ
00:19:13 → 00:19:16 จัดการน้ำตาลได้น่าทึ่งมากครับแล้ว
00:19:16 → 00:19:18 กลยุทธ์ที่ 2 ล่ะครับ
00:19:18 → 00:19:22 >> คือเรียกว่าผลของฟองน้ำหลังมื้ออาหารหรือ
00:19:22 → 00:19:25 after meal sponge effectect ค่ะพูด
00:19:25 → 00:19:28 ง่ายๆก็คือการใช้ประโยชน์จากการออกกำลัง
00:19:28 → 00:19:31 ไปให้ถูกจังหวะถูกเวลาค่ะ
00:19:31 → 00:19:34 >> ฟังดูเหมือนไม่ต้องออกกำลังกายหนักแต่
00:19:34 → 00:19:35 เน้นจังหวะที่ใช่
00:19:35 → 00:19:39 >> ใช่เลยค่ะไม่จำเป็นต้องหนักเลยวิธีที่แนะ
00:19:39 → 00:19:43 นำคือการเดินเบาๆค่ะสัก 15-30 นาทีหลัง
00:19:43 → 00:19:46 อาหารแต่ละมื้อหรืออย่างน้อยๆก็หลังมื้อ
00:19:46 → 00:19:50 ที่ใหญ่ที่สุดของวันก็ได้การทำแค่นี้ผล
00:19:50 → 00:19:53 ลัพธ์มันดีมากเลยนะคะมีงานศึกษาพบว่าช่วย
00:19:53 → 00:19:56 ลดระดับน้ำตาลที่พุ่งสูงหลังอาหารเนี่ย
00:19:56 → 00:20:00 ได้มากถึง 50% เมื่อเทียบกับการที่เราอาจ
00:20:00 → 00:20:02 จะรวบไปเดินยาวๆทีเดียวตอนเย็นอะไรแบบ
00:20:02 → 00:20:03 เนี้ยค่ะ
00:20:03 → 00:20:06 >> ลดได้ครึ่งนึงเลยหรอครับแค่เดินหลังกิน
00:20:06 → 00:20:09 ข้าวเนี่ยนะโหทำไมมันถึงได้ผลดีขนาดนั้น
00:20:09 → 00:20:10 ครับ
00:20:10 → 00:20:12 >> เพราะว่าการที่เราขยับกล้ามเนื้อค่ะไม่
00:20:13 → 00:20:16 ว่าจะเบาหรือหนักมันจะไปกระตุ้นกลไกพิเศษ
00:20:16 → 00:20:19 อย่างหนึ่งเรียกว่าการนำกลูโคสเข้าเซลล์
00:20:19 → 00:20:22 โดยอาศัยการหดตัวของกล้ามเนื้อ
00:20:22 → 00:20:25 contraction mediated glู uptake คือ
00:20:25 → 00:20:28 กลไกนี้ทำให้กล้ามเนื้อดูดกลูโคสจากเลือด
00:20:28 → 00:20:32 เข้าไปใช้เป็นพลังงานได้โดยตรงเลยโดยที่
00:20:32 → 00:20:35 ไม่ต้องรอสัญญาณจากอินซูลินมากเท่าปกติ
00:20:35 → 00:20:37 หรือบางทีอาจจะไม่ต้องใช้เลยค่ะเหมือน
00:20:37 → 00:20:40 กล้ามเนื้อที่กำลังทำงานมันกลายเป็นฟอง
00:20:40 → 00:20:43 น้ำช่วยดูดซับน้ำตาลส่วนเกินจากเลือกหลัง
00:20:43 → 00:20:45 กินข้าวได้ทันทีเลย
00:20:45 → 00:20:47 >> โอ้โหเป็นวิธีเคลียร์น้ำตาลสุดเกินที่
00:20:47 → 00:20:50 ง่ายมากแต่ได้ผลดีเยี่ยมเลยสุดยอดไปต่อ
00:20:50 → 00:20:52 กันที่กลยุทธ์ที่ 3 เลยครับ
00:20:52 → 00:20:56 >> กลยุทธ์ที่ 3 คือการล้างไขมันระดับเซลล์
00:20:56 → 00:20:59 หรือเซลล์ decreaser ค่ะอันนี้จะกลับไป
00:20:59 → 00:21:02 โยงกับสาเหตุที่เราคุยกันตอนแรกเรื่องไข
00:21:02 → 00:21:05 มันสะสมในเซลล์นั่นแหละค่ะซึ่งก็หมายถึง
00:21:05 → 00:21:07 การปรับเรื่องอาหารการกินของเรา
00:21:07 → 00:21:10 >> เน้นจัดการไขมันที่มันไปขวางการทำงานของ
00:21:10 → 00:21:12 อินซูลินในเซลล์ตับเซลล์กล้ามเนื้อใช่มั้
00:21:12 → 00:21:12 ครับ
00:21:12 → 00:21:15 >> ถูกต้องค่ะพอเรารู้ว่าไขมันส่วนเกินข้าง
00:21:15 → 00:21:20 ในเซลล์คือตัวปัญหาวิธีที่ตรงจุดก็คือการ
00:21:20 → 00:21:23 degreas หรือล้างไขมันพวกนี้ออกไปซึ่ง
00:21:23 → 00:21:26 แนวทางที่บทความและงานวิจัยหลายๆชิ้น
00:21:26 → 00:21:29 สนับสนุนมากๆก็คือการหันมากินอาหารไขมัน
00:21:29 → 00:21:32 ต่ำค่ะโดยเน้นอาหารจากพืชเป็นหลักและอยู่
00:21:32 → 00:21:35 ในรูปแบบที่ไม่แปรรูปหรือ Plant Base
00:21:35 → 00:21:36 Whole Food นั่นเอง
00:21:36 → 00:21:39 >> คำว่าไขมันต่ำนี่มันต้องต่ำประมาณไหนครับ
00:21:39 → 00:21:41 พอจะมีตัวเลขมั้ครับ
00:21:41 → 00:21:43 >> งานวิจัยบางชิ้นที่เขาศึกษาเข้มข้นหน่อย
00:21:43 → 00:21:47 นะคะเขาแนะนำให้จำกัดไขมันรวมต่อวันเนี่ย
00:21:47 → 00:21:50 ให้น้อยกว่า 30 กรัมซึ่งอาจจะฟังดูน้อย
00:21:50 → 00:21:53 มากเลยนะคะสำหรับหลายๆคนแต่การเน้นอาหาร
00:21:53 → 00:21:57 จากพืชที่ไม่แปรรูปพวกผักผลไม้ธัญพืชไม่
00:21:57 → 00:22:00 ขัดสีถั่วต่างๆในปริมาณพอเหมาะมันจะช่วย
00:22:00 → 00:22:02 ให้เราทำตามเป้าหมายนี้ได้ง่ายขึ้นค่ะโดย
00:22:02 → 00:22:04 ที่ไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไป
00:22:04 → 00:22:09 >> แต่เอ๊ะแนวคิดเรื่องไขมันต่ำาฟสูงเนี่ย
00:22:09 → 00:22:12 มันอาจจะฟังดูขัดๆกับคำแนะนำสุขภาพบาง
00:22:12 → 00:22:15 อย่างนะครับที่มักจะให้ระวังคาร์โบไฮเดรต
00:22:15 → 00:22:18 โดยเฉพาะคนเป็นเบาหวานนี่มีหลักฐานอะไรมา
00:22:18 → 00:22:20 ยืนยันแนวทางนี้ได้แน่ๆมั้ครับ
00:22:20 → 00:22:23 >> มีหลักฐานที่น่าสนใจมากค่ะแล้วก็ทรงพลัง
00:22:23 → 00:22:26 มากๆแม้ว่าจะเก่าหน่อยแต่ก็ยังถูกอ้างอิง
00:22:26 → 00:22:30 อยู่เรื่อยๆคืองานวิจัยตั้งแต่ปี 1955
00:22:30 → 00:22:35 ในวารสารเดนค่ะโดยดร.อินอ์ซิท่านได้ทดลอง
00:22:35 → 00:22:38 กับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 80 คน
00:22:38 → 00:22:41 ซึ่งตอนนั้นทุกคนต้องฉีดอินซูลินอยู่โดย
00:22:41 → 00:22:44 ให้พวกเขาลองเปลี่ยนมากินอาหารสูตรพิเศษ
00:22:44 → 00:22:48 คือไขมันต่ำมากๆน้อยกว่า 30 กรัมต่อวัน
00:22:48 → 00:22:51 แต่คาร์โบไฮเดรตสูงค่ะส่วนใหญ่มาจากข้าว
00:22:51 → 00:22:52 กับผลไม้
00:22:52 → 00:22:54 >> แล้วผลเป็นยังไงบ้างครับกับการกินคราบ
00:22:54 → 00:22:58 เยอะแต่ไขมันต่ำขนาดนั้น
00:22:58 → 00:23:01 >> ผลลัพธ์น่าทึ่งมากค่ะภายในแค่ 3-6
00:23:01 → 00:23:05 สัปดาห์ผู้ป่วยถึง 63% สามารถหยุดฉีด
00:23:05 → 00:23:08 อินซูลินได้เลยและพอติดตามไปครบ 18
00:23:08 → 00:23:11 สัปดาห์ตัวเลขคนที่หยุดอินซูลินได้สนิท
00:23:11 → 00:23:14 เพิ่มเป็น 80% เลยค่ะแม้แต่คนที่เคยฉีด
00:23:14 → 00:23:18 อินซูลินเยอะมากๆเช่น 120 ยูนิตต่อวันก็
00:23:18 → 00:23:21 ลดลงได้อย่างน้อยครึ่งนึงเลยผลลัพธ์นี้
00:23:21 → 00:23:23 เกิดขึ้นทั้งๆที่ผู้ป่วยกินอาหารที่มี
00:23:23 → 00:23:24 คาร์โบไฮเดรตเยอะนะคะ
00:23:25 → 00:23:28 >> เหลือเชื่อจริงๆหยุดอินซูลินได้เกือบหมด
00:23:28 → 00:23:31 แค่เปลี่ยนอาหารแล้วดร.สิ่งเขาสรุปผลการ
00:23:31 → 00:23:32 ทดลองนี้ว่ายังไงบ้างครับ
00:23:32 → 00:23:36 >> ไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆเลยว่าคนสุขภาพดีที่กิน
00:23:36 → 00:23:39 อาหารคาร์โบไฮเดรตสูงจะเสี่ยงเป็นเบาหวาน
00:23:39 → 00:23:42 เป็นพิเศษแต่ตรงกันข้ามมีข้อสังเกตมากมาย
00:23:42 → 00:23:45 ที่ชี้ว่าความทนทานต่อคาร์โบไฮเดรตของ
00:23:45 → 00:23:47 ร่างกายเนี่ยมันดีขึ้นด้วยซ้ำเมื่อกิน
00:23:47 → 00:23:50 คาร์โบไฮเดรตมากขึ้นแน่นอนว่าต้องอยู่ใน
00:23:50 → 00:23:53 บริบทที่อาหารโดยรวมไขมันต่ำมากๆนะคะ
00:23:53 → 00:23:56 >> โหเป็นมุมมองที่พลิกเรื่องคาร์โบไฮเดรตไป
00:23:56 → 00:24:00 เลยนะครับแล้วมีงานวิจัยใหม่ๆปัจจุบันที่
00:24:00 → 00:24:02 พอจะสนับสนุนแนวคิดคล้ายๆกันนี้อีกมั้ย
00:24:03 → 00:24:03 ครับ
00:24:03 → 00:24:06 >> มีค่ะงานวิจัยใหม่ๆก็ยังคงตอกย้ำเรื่อง
00:24:06 → 00:24:08 การลดไขมันในเซลล์เพื่อฟื้นฟูความไวต่อ
00:24:08 → 00:24:11 อินซูลินนะคะอย่างเช่นงานวิจัยแบบสุ่มที่
00:24:11 → 00:24:14 มีกลุ่มครอบคลุมตีพิมพ์ในวารสารนutนไม่
00:24:14 → 00:24:17 นานมานี้เขาพบว่าการให้ผู้ใหญ่ที่น้ำหนัก
00:24:17 → 00:24:20 เกินหรืออ้วนเนี่ยกินมะม่วงสดวันละ 2
00:24:20 → 00:24:23 ถ้วยนะคะมะม่วงนี่น้ำตาลธรรมชาติสูงเลย
00:24:23 → 00:24:26 กินแบบนี้เป็นเวลา 4 สัปดาห์สามารถช่วยลด
00:24:26 → 00:24:28 ภาวะดื้ออินซูลินได้อย่างมีนัยยะสำคัญเลย
00:24:28 → 00:24:30 ค่ะโดยที่น้ำหนักตัวไม่ได้เปลี่ยนแปลง
00:24:30 → 00:24:31 ด้วยนะคะ
00:24:31 → 00:24:35 >> ก็ช่วยลดการดื้ออินซูลินได้นี่ก็น่าแปลก
00:24:35 → 00:24:38 ใจอีกเรื่องแต่ถ้าโยงกลับไปเรื่องไขมันใน
00:24:38 → 00:24:41 เซลล์ก็พอจะเข้าใจได้นะครับว่าพอเราลดตัว
00:24:41 → 00:24:45 ขวางอินซูลินคือไขมันในเซลล์ร่างกายก็อาจ
00:24:45 → 00:24:48 จะกลับมาจัดการน้ำตาลจากอาหารแม้แต่ผลไม้
00:24:48 → 00:24:49 ได้ดีขึ้น
00:24:49 → 00:24:53 >> ถูกต้องค่ะมันสนับสนุนแนวคิดที่ว่าคุณภาพ
00:24:53 → 00:24:55 อาหารโดยรวมและผลกระทบต่อกลไกในเซลล์
00:24:56 → 00:24:59 เนี่ยสำคัญกว่าแค่การนับแคลอรี่หรือกลัว
00:24:59 → 00:25:01 าฟอย่างเดียวการเน้นอาหารจากพืชที่ไม่แปร
00:25:01 → 00:25:04 รูปซึ่งธรรมชาติมันมักจะไขมันต่ำไฟเบอร์
00:25:04 → 00:25:07 สูงจึงเป็นกุญแจสำคัญในการล้างไขมันออก
00:25:07 → 00:25:10 จากเซลล์แล้วก็ฟื้นฟูการทำงานของอินซูลิน
00:25:10 → 00:25:11 ค่ะ
00:25:11 → 00:25:13 >> ชัดเจนมากครับว่าการปรับอาหารให้เป็นแบบ
00:25:14 → 00:25:18 ไขมันต่ำเน้นพืชไม่แปรรูปคือหัวใจจริงๆที
00:25:18 → 00:25:22 นี้มาถึงกลยุทธ์สุดท้ายครับกลยุทธ์ที่ 4
00:25:22 → 00:25:24 >> กลยุทธ์ที่ 4 เรียกว่า Swich Reset ระบบ
00:25:24 → 00:25:27 เผ่าผลาญหรือ Metabolic Reset Swich
00:25:27 → 00:25:29 ค่ะจริงๆแล้วมันไม่ใช่ให้กลยุทธ์ใหม่ซะที
00:25:29 → 00:25:32 เดียวนะคะแต่เป็นการรวมพลังของ 3 กลยุทธ์
00:25:32 → 00:25:35 แรกที่เราคุยกันไปให้มันทำงานร่วมกันแบบ
00:25:35 → 00:25:36 เต็มที่ที่สุดค่ะ
00:25:36 → 00:25:40 >> หมายถึงว่าทำทั้งการจำกัดเวลากินช่วงเช้า
00:25:40 → 00:25:43 เดินหลังอาหารแล้วก็กินอาหารไขมันตำพืช
00:25:43 → 00:25:44 ควบคู่กันไปเลย
00:25:44 → 00:25:47 >> ใช่ค่ะพอเราเอาทั้ง 3 อย่างนี้มาทำร่วม
00:25:47 → 00:25:51 กันสม่ำเสมอมันจะส่งผลกระทบที่ลึกมากๆต่อ
00:25:51 → 00:25:54 ระบบเผาผลาญของเรากระตุ้นให้เกิดสิ่งที่
00:25:54 → 00:25:57 นักวิจัยเรียกว่าความยืดหยุ่นทางเมบอลึม
00:25:57 → 00:26:00 หรือเมบ Flexibility ค่ะ
00:26:00 → 00:26:03 >> ความยืดหยุ่นทาง Metabolism ฟังดูดีจัง
00:26:03 → 00:26:06 ครับมันคืออะไรครับในจางปฏิบัติมันคือ
00:26:06 → 00:26:10 ภาวะที่เซลล์ในร่างกายเราสามารถสลับไปใช้
00:26:10 → 00:26:12 พลังงานต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะไม่
00:26:13 → 00:26:16 ว่าจะเป็นกลูโคสหรือไขมันตามสถานการณ์และ
00:26:16 → 00:26:19 ที่สำคัญคือเซลล์มันเรียนรู้ที่จะตอบสนอง
00:26:19 → 00:26:22 ต่ออินซูลินแล้วก็นำกลูโคสไปใช้ได้อย่าง
00:26:22 → 00:26:25 เหมาะสมอีกครั้งเหมือนเรากดปุ่มรีซตให้
00:26:25 → 00:26:28 ระบบเผาผลาญที่เคยติดขัดเนี่ยกลับมาทำงาน
00:26:28 → 00:26:30 ได้ลื่นไหลยืดหยุ่นเหมือนเดิมค่ะ
00:26:30 → 00:26:33 >> พอระบบมันกลับมายืดหยุ่นได้ผลลัพธ์ที่ตาม
00:26:33 → 00:26:34 มาก็คือ
00:26:34 → 00:26:37 >> ระดับน้ำตาลในเลือดตอนเช้าที่เคยสูงก็จะ
00:26:37 → 00:26:40 ค่อยๆลดลงมาเป็นปกติมากขึ้นค่ะพลังงาน
00:26:40 → 00:26:43 ระหว่างวันก็จะกลับมารู้สึกสดชื่นขึ้นไม่
00:26:43 → 00:26:46 ค่อยโหยไม่เพลียง่ายเหมือนเดิมซึ่งการ
00:26:46 → 00:26:49 เปลี่ยนแปลงดีๆเหล่านี้บทความเขาบอกว่า
00:26:49 → 00:26:51 เกิดขึ้นได้ค่อนข้างเร็วนะคะอาจจะในไม่
00:26:51 → 00:26:53 กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์เลยถ้าเราปรับ
00:26:53 → 00:26:55 พฤติกรรมอย่างจริงจัง
00:26:55 → 00:26:58 >> ฟังดูมีหวังแล้วก็ลงมือทำได้จริงมากๆครับ
00:26:59 → 00:27:01 สรุปการพูดคุยของเราวันนี้เราก็ได้เจาะ
00:27:01 → 00:27:04 ลึกตั้งแต่สาเหตุของน้ำตาลสูงตอนเช้าซึ่ง
00:27:04 → 00:27:08 มาจากปรากฏการณ์รุ่งอรุณที่ทำงานผิดปกติ
00:27:08 → 00:27:11 ไปในภาวะดื้ออินซูลินแล้วก็พบว่ารากฐาน
00:27:11 → 00:27:15 ที่ลึกกว่านั้นคือไขมันที่สะสมในเซลล์ที่
00:27:15 → 00:27:17 มันไปขวางอินซูลินทำงาน
00:27:17 → 00:27:20 >> ค่ะแล้วเราก็ได้ดูกลยุทธ์หลักๆ 4 อย่าง
00:27:20 → 00:27:23 ที่เน้นแก้ที่ต้นเหตุนะคะทั้งการปรับหน้า
00:27:23 → 00:27:26 ต่างช่วงเช้าการใช้ผลของฟองน้ำหลังมื้อ
00:27:26 → 00:27:29 อาหารด้วยการเดินการล้างไขมันระดับเซลล์
00:27:29 → 00:27:32 ด้วยอาหารไขมันต่ำจากพืชไม่แกรรูปและการ
00:27:32 → 00:27:35 นำทั้งหมดนี้มารวมกันพวกกดสวิตchresีต
00:27:35 → 00:27:38 ระบบเผาผลาญฟื้นฟูความยืดหยุ่นทาง
00:27:38 → 00:27:39 เวตabบอลิึมกลับมาค่ะ
00:27:39 → 00:27:42 >> เป็นข้อมูลเชิงลึกที่เอาไปปรับใช้ได้จริง
00:27:43 → 00:27:45 แล้วก็อาจจะเปลี่ยนมุมมองเรื่องสุขภาพเม
00:27:45 → 00:27:47 metabบolิึมของหลายๆคนไปเลยนะครับก่อนจะ
00:27:48 → 00:27:50 จบการพูดคุยวันนี้ผมขอทิ้งท้ายด้วยคำถาม
00:27:50 → 00:27:53 ชวนคิดนิดนึงนะครับจากข้อมูลที่เราคุยกัน
00:27:53 → 00:27:55 โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าไขมันในอาหารบางชนิด
00:27:55 → 00:27:58 มันส่งผลตรงๆต่อการทำงานของอินซูลินใน
00:27:58 → 00:28:01 ระดับเซลล์เลยมันก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า
00:28:01 → 00:28:04 เอ๊ะนอกจากเรื่องไขมันแล้วเนี่ยมันมีความ
00:28:04 → 00:28:07 เชื่อหรือสมุนิษฐานทั่วๆไปเกี่ยวกับอาหาร
00:28:07 → 00:28:09 ประเภทอื่นๆอีกไหมที่เราอาจจะต้องลองกลับ
00:28:10 → 00:28:12 มาทบทวนหรือตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพที่
00:28:12 → 00:28:15 แท้จริงของมันใหม่ในมุมของการจัดการ
00:28:15 → 00:28:18 สุขภาพเมลอิึมระยะยาวนะครับเป็นคำถามปลาย
00:28:18 → 00:28:20 เปิดให้ลองนำกลับไปคิดไปค้นข้อมูลกันดู
00:28:20 → 00:28:22 ต่อนะครับ
00:28:22 → 00:28:39 [เพลง]