00:00:00 → 00:00:05 ผมเนี่ยโชคดีเพราะว่าโค้งนึงสมัยผมกำลัง
00:00:05 → 00:00:08 เรียนแพทย์เนี่ยผมได้มีโอกาสพบอาจารย์ได้
00:00:08 → 00:00:11 เรียนกับอาจารย์ในหลักสูตรนึงนะครับก็
00:00:11 → 00:00:14 ส่วนตัวผมก็เอนไปทางจิตวิทยาอยู่แล้วแล้ว
00:00:14 → 00:00:18 พอมาเจออาจารย์ก็ได้ inspiration ระดับ
00:00:18 → 00:00:21 ระดับใหญ่เลยฮะจนโค้งนั้นก็เริ่มตัดสิน
00:00:22 → 00:00:25 ว่าตัวเองอยากจะเป็นจิตแพทย์นะครับเรียน
00:00:25 → 00:00:28 กับอาจารย์คอร์สนึงเสร็จก็อาจารย์ก็ได้
00:00:28 → 00:00:30 กรุณาให้หนังสือเล่มนึงนะครับซึ่งเป็น
00:00:30 → 00:00:33 หนังสือภาษาอังกฤษผมเอาขึ้นมาเป็นหนังสือ
00:00:33 → 00:00:36 ชื่อ The War of Silence อาจารย์ให้
00:00:36 → 00:00:38 รุ่นนะครับแต่ว่ายื่นให้ผมเพราะว่าผมเป็น
00:00:38 → 00:00:41 คนที่ถามเยอะที่สุดในห้องแล้วก็พร้อม
00:00:41 → 00:00:43 อาจารย์อาจารย์เซ็นไลเซ็นให้ด้วยนะครับ
00:00:43 → 00:00:45 ซึ่งสำหรับผมเนี่ยอาจารย์เขียนว่า 16
00:00:45 → 00:00:48 กุมภาพันธ์ 2547
00:00:48 → 00:00:48 นะครับ
00:00:48 → 00:00:49 >> โอ
00:00:49 → 00:00:50 >> 2547
00:00:50 → 00:00:52 >> ผมอ่านจบเลยฮะเล่มนี้เล่มที่อาจารย์ให้
00:00:52 → 00:00:55 บังคับให้อ่านอาจารย์บอกถ้าสนใจจริงๆอ่าน
00:00:55 → 00:00:59 ให้จบผมก็อ่านจบตั้งแต่สมัยนสพ.ปี 5
00:00:59 → 00:01:02 สำหรับนักศึกษาแพทย์นะจิตวิทยาเนี่ยเป็น
00:01:02 → 00:01:07 อะไรที่ถ้าเราไม่อยากเรียนเป็นสาขาหลัก
00:01:07 → 00:01:10 แต่เราก็ไม่ควรทิ้งเพราะว่ามันเป็นศิลปะ
00:01:10 → 00:01:12 ที่ทำให้เราเข้าใจความคิดของมนุษย์มาก
00:01:12 → 00:01:15 ขึ้นแล้วก็ approach คนไข้ได้ดีขึ้นอ
00:01:15 → 00:01:18 >> นำไปสู่หัวข้อที่ผมทักอาจารย์ไปแล้วก็
00:01:18 → 00:01:20 เรียนอาจารย์แล้วอาจารย์ก็ตอบรับผมพยายาม
00:01:21 → 00:01:24 ตั้งคำถามให้เหมาะให้ตอบโจทย์กับทุกรุ่น
00:01:24 → 00:01:28 ทุกยุคตั้งแต่เด็กการศึกษานำมาสู่มปลายไป
00:01:29 → 00:01:32 มาสู่วัยทำงานและปัญหาที่ผมมองคือปัญหา
00:01:32 → 00:01:35 ยุคของ AI ที่ทำให้มนุษย์ห่างกันมากขึ้น
00:01:35 → 00:01:39 มุมมองของอาจารย์เป็นอย่างไรความกลัวความ
00:01:39 → 00:01:42 ผวากับ AI ที่เข้ามาในชีวิตเราอาจารย์มี
00:01:42 → 00:01:44 ความเห็นอย่างไรเรามาลองฟังอาจารย์ชัชวา
00:01:44 → 00:01:48 ดูว่าอาจารย์มีมุมมองอย่างไรในฐานะที่
00:01:48 → 00:01:52 เป็นจิตแพทย์อยู่คู่บ้านคู่เมืองมากว่า 40
00:01:52 → 00:01:56 ปีรองศาสราจารย์นายแพทย์ชัชวาศิลปกิจนะ
00:01:56 → 00:01:59 ครับผู้อำนวยการศูนย์จิตปัญญาศึกษามหาลัย
00:01:59 → 00:02:02 มหิดลและอาจารย์ด้านจิตเวทศาสตร์โรง
00:02:02 → 00:02:04 พยาบาลรามาธิบดี
00:02:04 → 00:02:14 [เพลง]
00:02:14 → 00:02:17 พcastวันนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท
00:02:17 → 00:02:21 เอราวัน textile เอราวัน textile อยู่คู่
00:02:21 → 00:02:24 เรามากว่า 60 ปีขอบคุณเอราวันเทคไทลที่
00:02:24 → 00:02:27 ช่วยสนับสนุนและช่วยผลักดัน
00:02:27 → 00:02:30 ในการสร้างคุณค่าให้กับสังคมผมในฐานะผู้
00:02:30 → 00:02:34 ปกครองเราก็เป็นหมอด้วยเนอะเราก็พบว่า
00:02:34 → 00:02:38 ระยะหลังเนี่ยเด็กขอใช้คำว่าteเนageวัย
00:02:38 → 00:02:40 รุ่นแล้วก็วัยกลางคนรุ่นหลังเนี่ยมี
00:02:40 → 00:02:45 อุบัติการของปัญหาทางจิตนะฮะมากขึ้นไม่
00:02:46 → 00:02:47 ว่าจะเป็นซึมเศร้าอารมณ์แปลอะไรอย่าง
00:02:48 → 00:02:48 เงี้ยครับ
00:02:48 → 00:02:54 >> ซึ่งแน่นอนครับมันก็จับสาเหตุตรงๆไม่ได้
00:02:54 → 00:02:56 แต่หนึ่งในสาเหตุที่ผมสังเกต
00:02:56 → 00:02:57 ขอย้อนกลับไปก่อน
00:02:57 → 00:02:59 >> อ
00:02:59 → 00:03:00 >> คือ
00:03:01 → 00:03:06 ล็อตเนี้ยที่โตมากับค่านิยมเลิกเรียนแล้ว
00:03:06 → 00:03:08 ต้องไปติวกลับบ้านดึง
00:03:08 → 00:03:09 >> อื
00:03:09 → 00:03:12 >> ตั้งใจฟังคำถามนะผมจะพูดช้าๆล็อตเนี้ยที่
00:03:12 → 00:03:16 จบออกมาเป็นมนุษย์เงินเดือนมนุษย์พนักงาน
00:03:16 → 00:03:19 หรือผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเนี่ยมี
00:03:19 → 00:03:24 ปัญหาทางสุขภาพจิตย้อนกลับไปเป็นส่วนหนึ
00:03:24 → 00:03:27 ส่วนนึงเป็นเพราะเด็กรุ่นนี้อ่ะเค้าขาด
00:03:27 → 00:03:32 การเล่นอันที่ 1 นะฮะเค้าขาดการเล่น 2
00:03:32 → 00:03:34 เ้าไปอยู่ในวงจรการติว
00:03:34 → 00:03:39 >> ที่ 3 ผู้ปกครองเนี่ยเอาตัวชี้วัดประสบ
00:03:39 → 00:03:43 ความสำเร็จเทียบเท่ากับการสอบผ่านเกรดที่
00:03:43 → 00:03:44 ดีอันนี้ 3 นะฮะ
00:03:44 → 00:03:50 >> แล้วก็ 4 การที่ระบบการศึกษาเราลืม
00:03:50 → 00:03:54 emotional intelligence หรือลืมการใส่
00:03:54 → 00:03:58 เข้าไปในหลักสูตรให้เด็กฝึกรู้ความรู้สึก
00:03:58 → 00:04:01 ตัวเองเข้าใจอารมณ์ตัวเอง
00:04:01 → 00:04:01 >> อ
00:04:01 → 00:04:04 >> แตกเป็น 4 หัวข้อเดี๋ยวเราจะค่อยๆฟัง
00:04:04 → 00:04:07 ประเด็นมุมมองของอาจารย์เริ่มที่คำถามแรก
00:04:07 → 00:04:12 ก่อนอาจารย์ครับการ culture ของการติวที่
00:04:12 → 00:04:15 ทำให้เด็กไม่เล่น
00:04:15 → 00:04:18 ความสำคัญของเด็กที่โตมาจะต้องเป็นเด็ก
00:04:18 → 00:04:21 ที่มี playful time เป็นเด็กที่เล่นมี
00:04:21 → 00:04:22 ความสำคัญอย่างไรครับอาจารย์
00:04:22 → 00:04:24 >> ธรรมชาติของเด็กเนี่ยมันเป็นเรื่องของการ
00:04:24 → 00:04:27 พัฒนาสมองพัฒนาเรื่องการเคลื่อนไหวระบบ
00:04:27 → 00:04:30 ประสาทกลมเนื้อมัดเล็กมัดน้อยแล้วก็
00:04:30 → 00:04:32 เรื่องของการรับรู้การปฏิสัมพันธ์กับสิ่ง
00:04:32 → 00:04:36 แวดล้อมทีนี้เราเวลากับปฏิสัมพันธ์กับ
00:04:36 → 00:04:39 สิ่งแวดล้อมลดลงมันอยู่แต่ตัวหนังสือแล้ว
00:04:39 → 00:04:42 ก็การให้เด็กมาอ่านหนังสือคิดคณิตศาสตร์
00:04:42 → 00:04:45 โดยเร็วเนี่ยมันเร็วกว่าสมองเด็กเพราะ
00:04:45 → 00:04:47 งั้นสมองของเด็กที่ควรจะเรียนรู้สิ่งที่
00:04:47 → 00:04:50 เป็นธรรมชาติคือมนุษย์เราวิวัฒนาการเราโต
00:04:50 → 00:04:53 มาจากธรรมชาติอ่ะดึกดำบรธรรมชาตินั้นยัง
00:04:53 → 00:04:55 อยู่นะกระบวนการนั้นยังอยู่แต่ว่าเราเอา
00:04:55 → 00:04:58 ใส่สิ่งที่มันเป็นความคาดหวังของพ่อแม่
00:04:58 → 00:05:01 แล้วก็ภูมิใจว่าเด็กอ่านหนังสือได้เร็วใน
00:05:01 → 00:05:04 การอ่านได้เร็วก็จะมีประเด็นก็คือหลายคน
00:05:04 → 00:05:08 ก็เอ่อต้องกดดันแล้วก็ขาดขาดช่วงเวลาของ
00:05:08 → 00:05:11 ชีวิตคือตัวหนังสือบางทีมันก็ไม่ค่อยมี
00:05:11 → 00:05:12 ชีวิตเท่าไหร่เนาะ
00:05:12 → 00:05:14 >> แต่เด็กบางคนก็สามารถจะอ่านแล้วก็อ่าน
00:05:14 → 00:05:16 นิยมนิยายอ่านหาความรู้แล้วก็ไปอยู่กับ
00:05:16 → 00:05:18 ธรรมชาติอันนั้นก็ก็เป็นโชคดีไปแต่โดย
00:05:19 → 00:05:22 ส่วนใหญ่เราก็อ่านเพื่อจะสอบเข้าอนุบาล
00:05:22 → 00:05:25 สอบเข้าป.หนึ่งแล้วก็เป็นความกังวลของพ่อ
00:05:25 → 00:05:27 แม่เพราะฉะนั้นพ่อแม่ยุคนึงก็เป็นยุคที่
00:05:27 → 00:05:31 ต้องต้องดิ้นรนนะแล้วก็อยากจะสบายอยาก
00:05:31 → 00:05:32 ประสบความสำเร็จต้องเรียนให้เก่งๆเงี้ยก็
00:05:32 → 00:05:35 เลยมุ่งไปที่เรื่องของการเรียนความสำเร็จ
00:05:35 → 00:05:37 ในด้านการศึกษาเยอะดังนั้นโดยธรรมชาติ
00:05:38 → 00:05:41 แล้วก็จะมีเป็นการ
00:05:41 → 00:05:45 จังหวะพัฒนาการก็พลาดโอกาสสำคัญของเด็ก
00:05:45 → 00:05:46 >> อื
00:05:46 → 00:05:49 >> ประถมวัยประถมเนี่ยซึ่งเป็นช่วงที่จะมี
00:05:49 → 00:05:51 ความสนุกสนานมีความการ playful อย่างที่
00:05:51 → 00:05:55 บอกแล้วเป็นเป็นความเป็นความอ่ามีความสุข
00:05:55 → 00:05:58 กับชีวิตแต่พอมาเรียนปุ๊บก็ถูกคาดหวัง
00:05:58 → 00:06:00 เรื่องสอบให้ได้สังเกตนะเด็กเล็กๆไม่ค่อย
00:06:00 → 00:06:01 อยากทำการบ้าน
00:06:01 → 00:06:02 >> อื
00:06:02 → 00:06:04 >> เพราะเวลาทำการบ้านก็จะทำได้บ้างไม่ได้
00:06:04 → 00:06:06 บ้างและเวลาไม่ได้ก็จะมักจะถูกคาดหวังถูก
00:06:06 → 00:06:09 ตั้งคำถามบ่อยๆบางคนก็เสียความเชื่อมั่น
00:06:09 → 00:06:12 ในตัวเองเมื่อไหร่ที่ตอบผิดเมื่อไหร่ที่
00:06:12 → 00:06:15 ทำไม่ได้มันตามมาด้วยความรู้สึกถูกปฏิเสธ
00:06:15 → 00:06:19 ถูกตีถูกด้อยฆ่าถูกไม่รักไม่ได้รับความ
00:06:19 → 00:06:22 รักเพราะนั้นมันก็เลยกลายเป็นว่าเมื่อ
00:06:22 → 00:06:24 ไหร่ก็ตามที่เราคิดไม่ออกทำไม่ได้มันน่า
00:06:24 → 00:06:28 กลัวนั้นก็ต้องเฆี่ยนตีตัวเองให้ทำได้โชค
00:06:28 → 00:06:31 ดีก็ทำได้โชคดีเปล่าไม่รู้ไม่แน่ใจนะโชค
00:06:31 → 00:06:34 ดีทำได้ก็จะก็จะเฆี่ยนตีตัวเองไปเรื่อยๆ
00:06:34 → 00:06:35 แล้วก็ติดกับดักว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่
00:06:36 → 00:06:39 ได้มันเป็นความล้มเหลวในชีวิต
00:06:39 → 00:06:39 >> ครับ
00:06:39 → 00:06:41 >> ทั้งๆที่มันไม่ได้ล้มเหลวมันไม่ได้บอก
00:06:41 → 00:06:43 อะไรอ่ะมันก็ได้บ้างไม่ได้บ้างนั่นแหละ
00:06:43 → 00:06:46 >> ผู้ปกครองควรจะให้
00:06:46 → 00:06:50 เด็กเล่นอย่างไรสายกลางคืออะไรที่เด็กไม่
00:06:50 → 00:06:52 หลุดการเรียนด้วยแต่ก็เล่นเหตุผลที่ผมถาม
00:06:53 → 00:06:55 เพราะว่าบังเอิญผมอ่ะโชคดีตรงที่ว่าผมได้
00:06:55 → 00:06:58 สัมผัสกับหลายวัฒนธรรมอันหนึ่งในนั้นคือ
00:06:58 → 00:07:01 พวกกลุ่มยุโรปเนเธอร์แลนด์ก็ถามเ้าว่ามี
00:07:01 → 00:07:03 Tusion Culture มั้ยมีcultเจอร์การติว
00:07:03 → 00:07:07 นอกนอกเรียนมั้ยเลิกเรียนแล้วอ่ะคุณทำ
00:07:07 → 00:07:10 อะไรเาก็บอกว่าของเขาไม่มีcultเจอร์การ
00:07:10 → 00:07:12 ติวไม่มีเพราะเลิกเรียนเนี่ยระบบการศึกษา
00:07:12 → 00:07:15 เ้าเนี่ยเน้นให้เขาไปเล่น
00:07:15 → 00:07:16 >> ไปอยู่กับครอบครัว
00:07:17 → 00:07:19 >> ไปอยู่กับเพื่อน Human Interaction มาก
00:07:19 → 00:07:22 ขึ้นเพราะเเชื่อว่าที่เราเรียนไปเนี่ย
00:07:22 → 00:07:25 เกรดมันไม่ได้ทำให้มนุษย์สำเร็จแต่สิ่ง
00:07:25 → 00:07:27 ที่ทำให้มนุษย์สำเร็จคือบุคลิกเค้า
00:07:27 → 00:07:28 >> ครับ
00:07:28 → 00:07:30 >> มันเหมือนกับเริ่มต้นเนี่ยเราเตรียมพื้น
00:07:30 → 00:07:33 ที่เตรียมพื้นที่ร่างกายและสมองเหมือนกับ
00:07:33 → 00:07:36 เตรียมเตรียมภาชนะคอนเทนเนอร์ในสมองเรา
00:07:36 → 00:07:39 ให้หลากหลายทั้งสังคมทั้งเพื่อนฝูงเตรียม
00:07:39 → 00:07:41 ไว้ให้พร้อมเมื่อถึงวัยนึงประถมปลาย
00:07:41 → 00:07:44 ปฐมมัธยมเนี่ยมันพร้อมที่จะใส่วิชาการแต่
00:07:44 → 00:07:48 เนี้ยเราเราไปปิดกล่องบางกล่องที่เหลือ
00:07:48 → 00:07:50 แต่เหลือแต่คณิตศาสตร์เหลือแต่เอ่อภาษา
00:07:51 → 00:07:53 อังกฤษภาษาไทยอะไรเงี้ยนะครับแต่ไอ้กล่อง
00:07:53 → 00:07:55 ที่มันเป็นชีวิตน่ะมันเป็นคอนเทนเนอร์ที่
00:07:55 → 00:07:57 เราเควรจะได้รับการกระตุ้นให้มันมี
00:07:57 → 00:07:59 สศักิภาพที่พร้อมจะเรียนแต่นี้เราเราไม่
00:07:59 → 00:08:02 ได้ตุกระตุ้นให้ได้ใช้อ่ะมันก็ใช้สมอง
00:08:02 → 00:08:04 ส่วนของการคิดตรรกะเหตุผลลogicแต่ว่า
00:08:04 → 00:08:06 เรื่องเรื่องอารมณ์เรื่องความสัมพันธ์ไม่
00:08:06 → 00:08:10 ได้ไม่ได้รับการพัฒนามันก็เป็นการเรียก
00:08:10 → 00:08:12 ว่าพอมันมันถูกดึงไปด้านหนึ่งด้านใดเนี่ย
00:08:13 → 00:08:15 สมดุลมันก็เสียละเพราะะนั้นถามว่าแค่ไหน
00:08:15 → 00:08:19 ถึงพอดีเราก็เอ่อวิวัฒนาการของเด็กเรา
00:08:19 → 00:08:22 เริ่มต้นเด็กเด็กประถมเนี่ยเป็นเด็กที่
00:08:22 → 00:08:23 เวลาที่ไม่ต้องไปเคร่งเครียดเรื่องเรียน
00:08:23 → 00:08:24 หนังสือมาก
00:08:24 → 00:08:24 >> อือ
00:08:24 → 00:08:27 >> ถ้าจะถ้าจะให้เรียนหนังสือให้รู้ภาษา
00:08:27 → 00:08:29 เนี่ยอ่านนิทานให้ฟังดีกว่า
00:08:29 → 00:08:29 >> อือ
00:08:29 → 00:08:32 >> อ่านนิทานให้ฟังมีเวลาอยู่ก็พ่อแม่เด็กก็
00:08:32 → 00:08:35 รู้ภาษาเร็วจำคำศัพท์กำอะไรได้เร็วสามารถ
00:08:35 → 00:08:39 จะสื่อสารได้ผ่านนิทานผ่านการเ passive เ
00:08:39 → 00:08:42 เรียนผ่านที่เไม่ต้องนั่งท่องเด็กหลายคน
00:08:42 → 00:08:44 อ่านอ่านหนังสือได้โดยที่ไม่ต้องท่องกไก่
00:08:44 → 00:08:47 >> จากที่แม่ชี้นิทานให้ดูทุกวันได้บอนิ้ง
00:08:47 → 00:08:50 ได้ได้พันธะสัมพันธ์สภาพกับพ่อแม่ด้วยได้
00:08:50 → 00:08:54 ความอบอุ่นมันได้ทุกอย่างเลยทั้งทั้ง
00:08:54 → 00:08:56 พัฒนาทางด้านร่างกายทางด้านความสัมพันธ์
00:08:56 → 00:08:59 ทั้งคุณค่าในตัวเองทั้งความสนุกสนานได้
00:08:59 → 00:09:02 หนังสือได้เข้าใจเรื่องราวมีจินตนาการ
00:09:02 → 00:09:05 ด้วยบางทีนิทานมันมีจินตนาการใช่มั้ครับ
00:09:05 → 00:09:08 ทำไมนิทานหรือการ์ตูนเด็กๆถึงถึงเป็นภาพ
00:09:08 → 00:09:10 ของเรื่องราวที่เป็นจินตนาการเพื่อ
00:09:10 → 00:09:12 กระตุ้นสมองเพราะเด็กเนี่ยจะสามารถจะ
00:09:12 → 00:09:14 จินตนาการได้สารพัด
00:09:14 → 00:09:17 นั้นถามว่าสมดุลจะสมดุลจะอยู่ที่ไหนเราก็
00:09:17 → 00:09:19 ต้องยอมรับเราอยู่ในสังคมที่มันมีมันมี
00:09:19 → 00:09:21 ออกแบบมาแล้วฮะโรงเรียนมันเป็นแบบนี้ใช่
00:09:21 → 00:09:24 มั้ยครับอ่าถ้าถามผมว่าขณะนี้ความท้าทาย
00:09:24 → 00:09:26 คือถ้าผู้ปกครองไม่มั่นคงในตัวเองเนี่ยจะ
00:09:26 → 00:09:27 กลัวแพ้ลูกชาวบ้านเค้า
00:09:27 → 00:09:28 >> อื
00:09:28 → 00:09:30 >> กลัวแพ้กลัวไม่เหมือนกลัวอายเนี่ยต้อง
00:09:30 → 00:09:32 ระวังให้ดีครับบางทีเรากลัวอายแล้วเราเอา
00:09:32 → 00:09:34 ความกลัวอายไปให้ลูกเราแบก
00:09:34 → 00:09:35 >> อือ
00:09:35 → 00:09:36 >> เรากลัวเรากลัวอายชาวบ้านเพราะฉะนั้นลูก
00:09:36 → 00:09:39 เราต้องได้ดีลูกเราอาจจะไม่อยากแบกเป็น
00:09:39 → 00:09:42 แบบนั้นเราก็ไปเขี่ยวเขญั้นภาระที่เราเจอ
00:09:42 → 00:09:46 มากที่สุดก็คือว่าภาระของผู้ใหญ่แหละแต่
00:09:46 → 00:09:48 ไม่รู้ไปโยนให้เด็กโดยไม่ได้ตั้งใจ
00:09:48 → 00:09:49 >> อือ
00:09:49 → 00:09:52 >> รับไม่ได้ที่ลูกจะได้ที่โลูกลูกจะไม่ได้
00:09:52 → 00:09:55 ไม่ได้เขตเท่านั้นเท่านี้เนี่ยครับถึงบอก
00:09:55 → 00:09:57 ว่าความพอดีก็อยู่ที่ใจเราไม่บีบคั้นนะ
00:09:57 → 00:10:00 ครับยังไงเราก็รักลูกเราผลคะแนนจะเป็นยัง
00:10:00 → 00:10:02 ไงเราก็ยังยิ้มได้
00:10:02 → 00:10:02 >> อ
00:10:02 → 00:10:05 >> พากันดื่นต่อไม่ต้องมาหัวเสียกับทำไม
00:10:05 → 00:10:08 อุตส่าห์อุตส่าห์ส่งไปนั่นอุตส่าห์ส่งไป
00:10:08 → 00:10:11 นี่แล้วจะได้เรียนได้แค่นี้มันมันได้แค่
00:10:11 → 00:10:13 ไหนก็ยอมรับก่อนนะครับแล้วก็จะปรับปรุง
00:10:13 → 00:10:17 ต่อไปยังไงจะทำให้ดีขึ้นได้ยังไงก็คุยกัน
00:10:17 → 00:10:19 แรงกดกดดันมันน้อยลงผมมีเพื่อนหลายคนที่
00:10:19 → 00:10:22 สมัยปฐมเรียนไม่ค่อยเก่งนะครับแต่ไป speed
00:10:22 → 00:10:24 up ช่วงหลังได้เพราะฉะนั้นเราเร่งเร็ว
00:10:24 → 00:10:27 เกินไปแล้วก็มีบางคนที่พอเริ่มมาประถมปาย
00:10:27 → 00:10:30 มัธยมปลายมันเรียนมาอิ่มแล้วมันเบื่อการ
00:10:30 → 00:10:31 เรียนไปเลยอ่ะครับ
00:10:31 → 00:10:32 >> เหมือนนักศึกษาเพศเรา
00:10:32 → 00:10:34 >> ใช่ครับเบื่อไปเลยมันเหนื่อยมากคือมันเจอ
00:10:34 → 00:10:37 มาจนกระทั่งเรียกเบิร์น out แล้วเรียกว่า
00:10:37 → 00:10:39 เผาพลังงานไปหมดแล้วความอยากเรียนรู้อยาก
00:10:40 → 00:10:43 รู้อยากเขียนอยากเรียนเนี่ยมันถูกเร่งจน
00:10:43 → 00:10:43 >> อือ
00:10:44 → 00:10:46 >> หมดเชื้อไปแล้วอ่ะครับนั้นเนี่ยอันนี้น่า
00:10:46 → 00:10:47 กลัวมากคีเลย
00:10:47 → 00:10:49 >> เพราะงั้นก็จะเรียนเพราะความจำเป็นเรียน
00:10:49 → 00:10:52 เพราะเรียนเพราะต้องสอบอะไรที่ต้องสอบ
00:10:52 → 00:10:55 อะไรที่ต้องใช้ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ก็ทำนอก
00:10:55 → 00:10:57 เหนือจากนั้นก็ไม่อยากทำนะอยากจะ enjoy
00:10:57 → 00:10:58 อย่างเดียว
00:10:58 → 00:11:00 >> เพราะงั้นหลายคนก็
00:11:00 → 00:11:02 >> จะคับแคบก็จะอยู่แค่แค่เรื่องตรงนี้เพราะ
00:11:02 → 00:11:05 มันเหนื่อยเวลาเรียนทีนึงก็จะสมองเป็น
00:11:05 → 00:11:06 เหมือนบางเงื่อนไขอ่ะ
00:11:06 → 00:11:06 >> อือๆ
00:11:06 → 00:11:09 >> เวลาอยู่กับการลงการเรียนเราก็จะนึกถึงจะ
00:11:09 → 00:11:11 ทำได้ไม่ได้มันก็เกิดความไม่สบายอ่ะ
00:11:11 → 00:11:12 >> มันไม่รีแลก
00:11:12 → 00:11:13 >> ไม่รีแลก
00:11:13 → 00:11:13 >> มันไม่สนุก
00:11:13 → 00:11:16 >> ก็ไม่สนุกกับการเรียนรู้ก็มันมันแค่เคร่ง
00:11:16 → 00:11:19 เครียดอ่านแล้วจำไม่ได้อ่านแล้วไม่รู้
00:11:19 → 00:11:20 เรื่องก็ไม่อยากอ่านอะไรเงี้ย
00:11:20 → 00:11:21 >> อื
00:11:21 → 00:11:25 >> คือโดยสรุปก็คือว่าชีวิตเราเ่อความสมดุล
00:11:25 → 00:11:27 ชีวิตก็อยู่ที่ให้มีความสุขความเบิกบานใจ
00:11:27 → 00:11:30 ประมาณหนึ่งขณะเดียวกันไอ้กรอบโรงเรียน
00:11:30 → 00:11:33 กรอบของระบบการศึกษาเนี่ยก็เราก็ต้องไป
00:11:33 → 00:11:35 กับมันเนาะแต่ว่าไปให้มันพอดีแล้วไม่ต้อง
00:11:35 → 00:11:37 ไปไม่ต้องไปซีเรียสกับไอ้ผลลัพธ์ตรงนั้น
00:11:37 → 00:11:38 มากเท่าไหร่อ่ะครับ
00:11:38 → 00:11:39 >> อือ
00:11:39 → 00:11:40 >> คะแนนมันไม่ได้บอก
00:11:40 → 00:11:41 >> ครับ
00:11:41 → 00:11:44 >> คะแนนมันบอกว่าจะต้องปรับปรุงอะไรมั้ยมัน
00:11:44 → 00:11:45 ไม่ได้บอกว่าดีไม่ดี
00:11:45 → 00:11:48 >> คุณค่าเป็นแค่ไหนไม่เลยแต่เราเอาคะแนนมา
00:11:48 → 00:11:50 ใส่คุณค่าของคนเยอะ
00:11:50 → 00:11:51 >> ครับๆ
00:11:51 → 00:11:52 >> มันกลายเป็นเรื่องเดียวกันไง
00:11:52 → 00:11:53 >> ครับๆ
00:11:53 → 00:11:55 >> เหมือนกับเคยได้ยินว่าไม่ได้เขียนนิยมไม่
00:11:55 → 00:11:58 ได้ 4.00 ก็ไม่อยากอยู่แล้วทั้งๆที่โอ้โห
00:11:58 → 00:12:01 4.00 0 นี่มันก็เต็มที่เลยใช่มั้ครับ
00:12:01 → 00:12:06 >> ครับก็สรุปที่อาจารย์พยายามจะสื่อผมสรุป
00:12:06 → 00:12:09 ให้อีกผู้ปกครองอีกรอบนะครับเด็กต้องยืน
00:12:09 → 00:12:11 พื้นด้วยการเล่นที่อาจารย์บอกการเล่นเป็น
00:12:11 → 00:12:16 การสอนที่ดีที่สุด 2 อยากฆ่า Curiosity
00:12:16 → 00:12:19 หรือการอยากรู้อยากเห็นของเด็กอย่าฆ่านะ
00:12:19 → 00:12:21 ผู้ปกครองอย่าไปฆ่าโดน Kill it อย่าฆ่า
00:12:21 → 00:12:24 หมายถึงว่าเราไปอัดๆในกระป๋องที่อาจารย์
00:12:24 → 00:12:26 บอกแต่ถึงจุดนึงเนี่ยซึ่งเราเห็นเยอะใน
00:12:26 → 00:12:30 ปรากฏการณ์นักศึกษาแพทย์คือพอสอบแล้วจบ
00:12:30 → 00:12:32 แล้วพอละไม่ไหวละไม่อยากต่อไม่อยากรู้ไม่
00:12:32 → 00:12:34 อยากอะไรอยากเที่ยวอยากกินอยาก
00:12:34 → 00:12:39 >> อยากเอางานสบายเพราะว่าเราอัดเ้ามา 3 คือ
00:12:39 → 00:12:41 อาจารย์บอกแล้วว่ามันไม่ต้อง Excel ทุก
00:12:41 → 00:12:44 เรื่องไม่จำเป็นต้อง Excel คือแบบ
00:12:44 → 00:12:46 >> รเต็มทุกเรื่อง
00:12:46 → 00:12:49 >> ค่อยๆไปแล้วไปเก็บตอนหลังตอนที่เรารู้ว่า
00:12:49 → 00:12:50 เด็กเราต้องการอะไร
00:12:50 → 00:12:54 >> เพราะอย่าลืมสงอาจารย์บอกว่าการพัฒนาจิต
00:12:54 → 00:12:57 วิญญาณของเด็กสำคัญเหนือกว่าครับอันนี้
00:12:57 → 00:13:00 คือเด็กจบหัวข้อที่ 1 ขอถามก่อนไปหัวข้อ
00:13:00 → 00:13:04 ที่ 2 คือผู้ปกครองอ่ะเค้าจะดูรู้ได้ไง
00:13:04 → 00:13:07 ว่าเด็กเขากำลังอินหรือstrสอย่างที่
00:13:07 → 00:13:10 อาจารย์บอกเด็กมันเครียดกับกรอบที่กดไว้
00:13:10 → 00:13:13 มันมีเทคนิคอะไรที่ทำให้ผู้ปกครองเดูออก
00:13:13 → 00:13:15 มั้ว่าลูกเ้าเออไม่โอเคอยู่อาจารย์
00:13:15 → 00:13:18 >> ก็คือก็ดูว่าปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ลดลงถ้า
00:13:18 → 00:13:22 สมมุติว่าโดยว่าถ้าเกิดเราเผลอไปติดกับ
00:13:22 → 00:13:24 เรื่องของผลการเรียนใช่มั้ยครับเวลาผลการ
00:13:24 → 00:13:26 เรียนไม่ดีก็ไม่อยากเจอพ่อแม่พ่อแม่ถามก็
00:13:26 → 00:13:28 อาจจะหงุดหงิดไม่อยากพูดด้วยดู
00:13:28 → 00:13:30 ปฏิสัมพันธ์ว่าอยู่บ้านแล้วมีความสุขมั้ย
00:13:30 → 00:13:32 เสาร์อาทิตย์เป็นยังไงผมคิดว่า
00:13:32 → 00:13:34 ปฏิสัมพันธ์แล้วไม่หลบหน้าหลบตานี่แสดง
00:13:35 → 00:13:37 ว่าใช้ได้ชวนไปไหนก็ยังไปด้วยเนาะอันนั้น
00:13:38 → 00:13:41 อันนั้นพูดคุยได้แล้วก็สิ่งที่จะทำให้
00:13:41 → 00:13:43 สร้างความอึดอัดมากคือไปถามเรื่องการ
00:13:43 → 00:13:44 เรียนเยอะไป
00:13:44 → 00:13:45 >> อื
00:13:45 → 00:13:47 >> ถามผลการเรียนเป็นยังไงเรียนรู้เรื่องมัน
00:13:47 → 00:13:49 มีแต่เรื่องเรียนเหรอวะชีวิตนี้อะไรเงี้
00:13:49 → 00:13:51 เนาะเออเราก็โอเคเป็นยังไงบ้างถามเรื่อง
00:13:51 → 00:13:53 ความรู้สึกว่ากังวลจะอยากไปโรงเรียนมี
00:13:53 → 00:13:56 ความสุขมีเพื่อนสนุกสนานทำอะไรกันบ้างรู้
00:13:56 → 00:13:58 สันทุกขดิบให้มากขึ้นนะครับพฤติกรรมที่จะ
00:13:58 → 00:14:00 บอกว่าเด็กมีปัญหามันก็เรื่องของการแยก
00:14:00 → 00:14:04 ตัวเรื่องของการหงุดหงิดง่ายแสดงออกทาง
00:14:04 → 00:14:09 พฤติกรรมที่จากเดิมจากเดิมที่ดูแววตา
00:14:09 → 00:14:12 แจ่มใสก็กลายเป็นดูหงอยไปอันนี้ก็คือส่วน
00:14:12 → 00:14:14 ใหญ่ก็คงจะมองเห็นนะครับพ่อแม่ผู้ปกครอง
00:14:14 → 00:14:15 เนาะ
00:14:15 → 00:14:19 >> แต่มองเห็นแล้วบางทีเราไม่ได้เปิดพื้นที่
00:14:19 → 00:14:21 ให้ปลอดภัยที่เด็กจะพูดมาก่อนเนี่ยก็เด็ก
00:14:21 → 00:14:23 ก็จะไม่ค่อยพูดหรอกครับ
00:14:23 → 00:14:26 >> ก็อาจจะต้องถ้าจำเป็นก็อาจจะต้องอาศัยอ่า
00:14:26 → 00:14:28 วิชาชีพถ้าถ้าเกิดว่าเด็กมีปัญหาพฤติกรรม
00:14:28 → 00:14:30 เนาะบางทีพ่อแม่พยายามจะไปคยั้นคยอบางที
00:14:30 → 00:14:33 ยิ่งลำบากบางทีเไม่รู้สึกปลอดภัยที่เขาจะ
00:14:33 → 00:14:35 บอกว่าเค้ารู้สึกถูกกดดัน
00:14:35 → 00:14:36 >> อื
00:14:36 → 00:14:38 >> เ้ารู้สึกพ่อแม่กดดันเค้าพูดไม่ออกไง
00:14:38 → 00:14:39 >> ครับ
00:14:39 → 00:14:41 >> พ่อแม่ก็ไม่ได้บอกไม่ได้กดดันไม่ได้คาด
00:14:41 → 00:14:43 หวังทุกบ้านนะบ้านไหนก็ไม่เคยบอกว่าคาด
00:14:43 → 00:14:45 หวังลูกทั้งนั้นแหละครับแต่ลูกก็จะรู้สึก
00:14:45 → 00:14:46 ว่าถูกกดดันถูกคาดหวัง
00:14:46 → 00:14:47 >> อื
00:14:47 → 00:14:49 >> มันไม่ได้ว่าใครผิดใครถูกแต่เค้าเค้ารู้
00:14:50 → 00:14:53 สึกแล้วเค้ารู้สึกแล้วว่าเค้าถูกคาดหวัง
00:14:53 → 00:14:55 ไม่ต้องมาไม่ต้องมาบอกรู้สึกอย่างงั้นได้
00:14:55 → 00:14:58 ยังไงฉันฉันไม่ได้หวังอะไรเค้ารู้สึกแล้ว
00:14:58 → 00:15:00 เคารพว่ามันมีเหตุบางอย่างที่เค้าตีความ
00:15:00 → 00:15:05 แบบนั้นความเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน
00:15:05 → 00:15:09 โดยไม่ตัดสินหลังจากเห็นอาการเห็นเห็นท่า
00:15:09 → 00:15:12 ทีปัญหาต่างๆจะเป็นพฤติกรรมหรือว่าการ
00:15:12 → 00:15:16 เรียนดรอปลงอย่างน่าวิตกวิชาที่เคยทำได้
00:15:16 → 00:15:18 เคยอะไรอย่างภาษาภาษาอังกฤษอะไรต่างๆอยู่
00:15:18 → 00:15:21 ดีคะแนนร่วงไปหมดทีนี้ถ้าพ่อแม่พูดความ
00:15:21 → 00:15:24 ไม่เข้าใจพอคะแนนร่วงมักจะเป็นความผิดจะ
00:15:24 → 00:15:28 ถูกถูกตามกล่าวหาไปเกิดอะไรขึ้นไปไม่ตั้ง
00:15:28 → 00:15:31 ใจเรียนมั้ยครูก็จะรายงานมาใช่มั้ครับลูก
00:15:31 → 00:15:33 เหมอในห้องเรียนบ่อยไม่ค่อยตั้งเราก็จะ
00:15:33 → 00:15:34 มองว่าลูกเราทำไม่ดี
00:15:34 → 00:15:35 >> อื
00:15:35 → 00:15:39 >> ส่วนใหญ่นะส่วนใหญ่จะปรับจะงานเข้าแล้ว
00:15:39 → 00:15:42 โดนโดนโดนอะไรนะโดนครูรายงานมาเนี่ยมัน
00:15:42 → 00:15:44 เหมือนโดนมันไม่โดนแค่บอกให้รู้ว่ามีอะไร
00:15:44 → 00:15:46 บางอย่างต้องดูแลนะโอเคเป็นยังไงบ้างลูก
00:15:46 → 00:15:50 ช่วงนี้มีความสุขมั้ยังไงมั้ยสรุปก็คือ
00:15:50 → 00:15:54 การการเปิดพื้นที่ที่รับฟังให้เข้าใจก็จะ
00:15:54 → 00:15:57 ทำให้detทคปัญหาได้ง่ายขึ้นจากเรื่องเล็ก
00:15:57 → 00:16:00 ๆไม่แน่ใจก็สังเกต
00:16:00 → 00:16:02 สอบถามพูดคุยกัน
00:16:02 → 00:16:06 >> ครับนำไปสู่อีกกลุ่มนึงขยับขึ้นมาหน่อยก็
00:16:06 → 00:16:10 คือกลุ่ม High School ม.ปลายอ่ะอันนี้
00:16:10 → 00:16:13 คืออีกโจทย์นึงที่ผมรู้สึกว่าถ้ากระทรวง
00:16:13 → 00:16:16 การศึกษา
00:16:16 → 00:16:19 ไม่ได้ฟังหัวข้อนี้จากอาจารย์นะครับถ้า
00:16:19 → 00:16:22 ระบบผู้ปกครองไม่ฟังหัวข้อนี้ผมมองว่า
00:16:22 → 00:16:26 อนาคตอาจจะสร้างปัญหาให้เด็กรุ่นหลังๆมาก
00:16:26 → 00:16:29 ขึ้นนั่นก็คือ emotional intelligence
00:16:30 → 00:16:33 หรือสมัยก่อนเราเรียกคำว่า EQ ผมไม่รู้
00:16:33 → 00:16:35 ภาษาไทยเรียกว่าอะไร Emotional
00:16:35 → 00:16:35 Intelligence
00:16:35 → 00:16:36 >> ความฉลาดทางอารมณ์
00:16:36 → 00:16:39 >> ความฉลาดทางอารมณ์คือเดี๋ยวผมตั้งคำถาม
00:16:39 → 00:16:43 ก่อนไหนเรากลับไปดูการเรียนการสอนของลูก
00:16:43 → 00:16:47 เราซิว่ามีคาบไหนหรือมีช่วงไหนที่เราหรือ
00:16:47 → 00:16:51 ตัวเราเองได้นั่งคุยแลกเปลี่ยนมุมมอง
00:16:51 → 00:16:57 เกี่ยวกับความรู้สึกกลัวความสุข
00:16:57 → 00:17:01 ความเครียดความเกลียดความอิจฉาความให้
00:17:01 → 00:17:06 อภัยนะฮะมีอีกหลายเลยฮะเอ่อความเสียดาย
00:17:06 → 00:17:10 ความพรากจากมันมีหลายๆอารมณ์ที่เราได้คุย
00:17:10 → 00:17:14 และแตกแยกที่มาที่ไปกลับกลายเป็นว่าจริงๆ
00:17:14 → 00:17:18 แล้วปัจจุบันเราอยู่ในพื้นที่ของขาวและดำ
00:17:18 → 00:17:21 ความสุขคือดีความทุกข์คือชั่วซึ่งหารู้
00:17:21 → 00:17:25 ไม่ความสุขคือทุกข์ความชั่วก็ได้นะความ
00:17:25 → 00:17:28 ทุกข์เป็นเรื่องที่ดีก็ได้มันต้องเปิดคุย
00:17:28 → 00:17:32 แต่ปัญหาคือไหนล่ะเวทีไหนล่ะการศึกษาทาง
00:17:32 → 00:17:33 ด้านนี้
00:17:33 → 00:17:35 >> เรื่องเรื่องอqเรื่องความฉลาดจำนวนเราก็
00:17:35 → 00:17:38 พูดกันมานานทุกคนก็บอกว่ามันสำคัญสำคัญ
00:17:38 → 00:17:40 แต่สุดท้ายมันก็แพ้เรื่องของความสำเร็จ
00:17:40 → 00:17:43 ทางด้านการศึกษาที่เป็นวิชาชีพสเตมเอ่อ
00:17:43 → 00:17:46 ที่เป็น system education science
00:17:46 → 00:17:50 technology engineer อะไรพวกเยครับก็
00:17:50 → 00:17:54 วิชาที่ทำมาหากินก็ครอบงำไปหมดเด็กรุ่น
00:17:54 → 00:17:56 ใหม่ก็ไม่ใช่ไม่ใช่รุ่นเด็กทุกรุ่นนะครับ
00:17:56 → 00:17:58 วิชาที่เป็นวิชาอะไรที่เป็นวิชาชีวิตก็
00:17:58 → 00:18:00 ไม่ค่อยสนใจที่มันไม่ออกข้อสอบเกรดมันไม่
00:18:00 → 00:18:01 สูง
00:18:01 → 00:18:01 >> อื
00:18:01 → 00:18:03 >> มันไม่ใช่เป็นตัวกำหนดเกรดนะอย่างชีวะ
00:18:03 → 00:18:06 เคมีฟิสิกส์มันเกรด 3 หน่วยกิจ
00:18:06 → 00:18:09 วิชานี้สำคัญออกไปสอบทำมาหากินด้วยเนี่ย
00:18:09 → 00:18:11 ทุกคนก็จะสนใจเรื่องการทำมาหากินแต่ขณะ
00:18:11 → 00:18:13 เดียวกันลืมไปว่าเวลาที่เราเวลาที่ชีวิต
00:18:13 → 00:18:17 เรามีปัญหาคณิตศาสตร์ไม่ได้ช่วยเราอ่ะแต่
00:18:17 → 00:18:20 ตัวที่ช่วยเราคือความมั่นคงข้างในซึ่งมัน
00:18:20 → 00:18:24 ถูกคาดหวังนะครับแต่วิธีการที่จะเอาเข้า
00:18:24 → 00:18:28 สู่ในบทเรียนเนี่ยหาไม่ค่อยได้เวลาเข้าไป
00:18:28 → 00:18:30 ในโรงเรียนก็ถามว่าเรียนไปทำไมศีลธรรม
00:18:30 → 00:18:32 เรียนไปทำไมสังคมศาสตร์ภูมิศาสตร์
00:18:32 → 00:18:34 ประวัติศาสตร์เรียนไปนาออกไปหมดแล้วหลัก
00:18:34 → 00:18:36 สูตรภาษาไทยอ่ะหลักสูตรไทยประทัย
00:18:36 → 00:18:39 ประวัติศาสตร์ก็เอาออกไม่ค่อยมีไม่ให้
00:18:39 → 00:18:42 ความสำคัญเงี้ยก็เพราะว่าให้คุณค่ากับ
00:18:42 → 00:18:43 ความสำเร็จ
00:18:43 → 00:18:46 >> อยากให้ประเทศก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
00:18:46 → 00:18:46 >> อื
00:18:46 → 00:18:48 >> แต่จริงๆมันจะก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมัน
00:18:48 → 00:18:49 ผ่านคนน่ะ
00:18:49 → 00:18:49 >> อื
00:18:49 → 00:18:51 >> ผ่านมนุษย์นะครับไม่ใช่มันไม่ใช่เราไม่
00:18:51 → 00:18:53 ใช่หุ่นยนต์น่ะเนาเป็นมนุษย์น่ะอ
00:18:53 → 00:18:55 >> แล้วเราก็รู้ว่าปัญหาของมนุษย์
00:18:55 → 00:18:57 >> แม้จะเก่งเทคโนโลยีแต่ไปทะเลาะกันทีมงาน
00:18:58 → 00:19:00 ไม่ฟังใครทุกคนก็เห็นความสำคัญในเรื่อง
00:19:00 → 00:19:05 ของการรู้รับรู้อารมณ์ตัวเองอ่าพอจะฝึก
00:19:05 → 00:19:10 EQ ก็เอาเป็นเรื่องของศาสนาของพระของวัด
00:19:10 → 00:19:10 >> อื
00:19:10 → 00:19:12 >> อะไรอย่างเงี้ยหรือว่าต้องเป็นกิจกรรมนอก
00:19:12 → 00:19:14 หลักสูตร
00:19:14 → 00:19:16 เท่านั้นติดการนอกหลักสูตรก็ปีมีครั้ง 2
00:19:16 → 00:19:20 ครั้งแต่ระหว่างในคลาสเราไม่เคยได้ใช
00:19:20 → 00:19:24 โอกาสของการพูดคุยถึงความเห็นที่แตกต่าง
00:19:24 → 00:19:25 ได้ยินแล้วรู้สึกยังไงบางคนอาจจะพูดอะไร
00:19:25 → 00:19:28 แรงขึ้นมาเพื่อนฟังคำพูดเยรู้สึกยังไง
00:19:28 → 00:19:32 มั้ยผมตกใจผมกลัวผมถ้าถ้าผมอยู่ผมอาจจะ
00:19:32 → 00:19:34 ไม่อยากนั่งใกล้เค้าแล้วอะไรเงี้ยคือมัน
00:19:34 → 00:19:37 เก็บตกมันมันอยู่ที่ความใส่ใจครับเ่อผมก็
00:19:37 → 00:19:39 อาจจะไม่เห็นด้วยกับการที่จะดีไซน์และมี
00:19:39 → 00:19:40 วิชานี้เฉพาะ
00:19:41 → 00:19:41 >> อื
00:19:41 → 00:19:44 >> วิชา EQ เฉพาะแต่คลาสอย่างอื่นไม่ได้สนใจ
00:19:44 → 00:19:47 เลยมันก็จะกลายเป็น EQ เฉพาะให้หน่วยกิจ
00:19:47 → 00:19:49 เท่าไหร่วัดยังไงอ้าตั้งคำถามละ
00:19:49 → 00:19:52 >> วัดไม่ได้อะไรไม่ได้อเอาออกอีกอ่ะ
00:19:52 → 00:19:53 >> อื
00:19:53 → 00:19:54 >> คือเราติดเรื่อง measurement ติดเรื่อง
00:19:55 → 00:19:57 ของการ objectivity ติดเรื่อง outcome
00:19:57 → 00:19:59 based education คือจะเอาแต่ outcome
00:19:59 → 00:20:00 แต่เรื่องเ outcome มัน
00:20:00 → 00:20:01 >> เอาแต่ผลลัพธ์
00:20:01 → 00:20:04 >> เออ outcome ต้องเต้องมีพฤติกรรมนั่งนิ่ง
00:20:04 → 00:20:04 เหรอ
00:20:04 → 00:20:05 >> อื
00:20:05 → 00:20:09 >> นะถ้าเค้าอีqีเค้าคืออะไรนะไม่ยุกยิก
00:20:09 → 00:20:09 >> อื
00:20:09 → 00:20:12 >> อ่าไม่พูดหยาบคายมันโอ้โหมันเก็บได้จริง
00:20:12 → 00:20:13 หรือเปล่าครับมันมันต้องมีอะไรบางอย่าง
00:20:13 → 00:20:14 ที่
00:20:14 → 00:20:17 >> มันมีคุณค่ามันมีความสำคัญเมื่อเห็นแผน
00:20:17 → 00:20:20 การดำเนินการเพื่อเด็กให้เด็กๆเรียนรู้
00:20:20 → 00:20:23 แบบนี้น่าจะเพียงพอแต่พอวัดไม่ได้ก็เลย
00:20:23 → 00:20:24 ไม่ทำ
00:20:24 → 00:20:24 >> อื
00:20:24 → 00:20:27 >> มันก็จะทำเฉพาะวิชาที่วัดได้นั้นผมว่า
00:20:27 → 00:20:29 เรื่องเรื่อง subjectivity เรื่องอะไรที่
00:20:29 → 00:20:32 เป็นไม่ได้เป็นอะไรที่วัดจับต้องได้ก็
00:20:32 → 00:20:34 อย่าตัดออกนะอ
00:20:34 → 00:20:36 >> อย่าบอกว่าเป็นเรื่องวัดไม่ได้ก็ไม่เอา
00:20:36 → 00:20:37 วัดไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับแต่ว่ามันมีความ
00:20:38 → 00:20:39 สำคัญ
00:20:39 → 00:20:42 EQ ก็เลยจะเป็นทุกคนให้ให้ความสำคัญหมด
00:20:42 → 00:20:45 นะครับแต่พอเข้าไปในวางอยู่ในแผนหลักสูตร
00:20:45 → 00:20:49 ปุ๊บวิชานี้ก็สำคัญวิชานี้ก็สำคัญงั้นเอา
00:20:49 → 00:20:50 วิชานี้ก่อนแล้วกัน
00:20:50 → 00:20:50 >> อื
00:20:51 → 00:20:53 >> พ่อแม่คุองวิชานี้สอบเป็นท้านมั้ยวิชานี้
00:20:53 → 00:20:54 มาหากินมั้ย
00:20:54 → 00:20:57 >> วิชานี้ไม่เกี่ยวกับทำมาหากินเอาง่ายๆ
00:20:57 → 00:21:00 อย่างผมอยู่ศูนย์จิตตปัญญาศึกษาเนี่ยขนาด
00:21:00 → 00:21:01 มีหลักสูตรปริญญาโท
00:21:01 → 00:21:03 >> เยังตั้งคำถามแล้วจบแล้วไปทำอะไรทำอะไร
00:21:03 → 00:21:05 กินอ
00:21:05 → 00:21:07 >> เราไม่ได้เป็นวิชาที่ไปตอบความเป็น
00:21:07 → 00:21:11 profession ว่าเรียนไปเพื่ออะไรอ่าท่าน
00:21:11 → 00:21:14 ท่านอธิการท่านที่แล้วบอกว่าจิตปัญญา
00:21:14 → 00:21:15 ศึกษาหรือการเรียนรู้เรื่อง EQ ด้านใน
00:21:15 → 00:21:17 เนี่ยมันเหมือนเกลืออ
00:21:17 → 00:21:20 >> เกลือมันต้องอยู่ในทุกเมนูคุณจะอยู่ในทุก
00:21:20 → 00:21:23 อาชีพทุกคนจะทำอาชีพอะไรทำอาหารอะไรต้อง
00:21:23 → 00:21:24 มีเกลือมีความเค็มอยู่
00:21:24 → 00:21:25 >> อื
00:21:25 → 00:21:29 >> แต่เราไม่ได้มีวิชาเกลือใช่มั้ยครับแต่ละ
00:21:29 → 00:21:32 วิชาก็ไม่ควรจะทิ้งเกลือแต่ละวิชาก็ไม่
00:21:32 → 00:21:34 ควรทิ้งโอโอกาสที่จะเชื่อมโยงว่าวิชานี้
00:21:34 → 00:21:37 เวลาเข้าไปอยู่ในสังคมมันจะต้องเจออะไร
00:21:37 → 00:21:41 บ้างที่เป็นมนุษย์อะไรเงี้ยแต่เรากันออก
00:21:41 → 00:21:44 กันอะไรครับเรากันแม้กระทั่งตัวนักเรียน
00:21:44 → 00:21:45 กับผู้สอนออกจากวิชา
00:21:45 → 00:21:47 >> อย่างสมมุติอย่างเราเรียนแพทย์
00:21:47 → 00:21:51 >> น้อยมากนะครับที่จะเอาตัวเราเข้าไปอยู่ใน
00:21:51 → 00:21:53 รอบวงที่ดูแลคนไข้
00:21:53 → 00:21:54 >> ครับ
00:21:54 → 00:21:56 >> มีแต่เรื่องแลคมีแต่ผล
00:21:56 → 00:21:58 >> และไอ้ความสุขหวั่นไหวในตัวเราความกังวล
00:21:58 → 00:22:00 ในตัวเรา
00:22:00 → 00:22:04 >> ข้างในไม่ได้คุยบางทีเรารับเคสหนักเราไม่
00:22:04 → 00:22:07 กล้าเราไม่อยากไปเจอเพราะเรากังวลว่าเค้า
00:22:07 → 00:22:09 จะถามเราจะตอบไม่ได้เรารู้สึกมันหดหู่
00:22:09 → 00:22:11 อะไรเงี้ยความรู้สึกที่เราหดหู่ที่เห็นคน
00:22:11 → 00:22:14 ไข้ระยะสุดท้ายไม่มีใครคุยกับเรานะ
00:22:14 → 00:22:14 >> อื
00:22:15 → 00:22:16 >> นักศึกษาแพทย์บางคนก็ไปเฉาอยู่คนเดียว
00:22:16 → 00:22:20 สงสารคนไข้คนไข้บางคนเสียชีวิตไปก็ไม่ได้
00:22:20 → 00:22:22 ถามว่าเราเจ้าของไข้ดูเ้ามานานเรารู้สึก
00:22:22 → 00:22:25 ยังไงเนี่ยครับแล้วเจะสอน
00:22:25 → 00:22:27 >> สอนโฮลิสิกส์สอนอะไรก็แยกออกมาเป็นวิชา
00:22:27 → 00:22:28 อีกครับ
00:22:28 → 00:22:30 >> แต่ในชีวิตมันไม่ได้บูรณาการ
00:22:30 → 00:22:34 >> เพราะว่าแต่ละคนไม่ได้ใช้ชีวิตเรื่อง
00:22:34 → 00:22:35 >> ครับ
00:22:35 → 00:22:37 >> ความไวคราที่อยู่กับปัจจุบันการที่จะเห็น
00:22:37 → 00:22:40 เท่าทันงั้นมันก็เลยจดสุดท้ายกระแสที่
00:22:40 → 00:22:42 กำลังจะมาตอบโจทย์ก็คือการมี self
00:22:42 → 00:22:44 awareness การฝึก mindfulness จะเป็นการ
00:22:44 → 00:22:47 เมนรักษาไว้ซึ่งธรรมชาติของความเป็น
00:22:47 → 00:22:49 มนุษย์ที่มีความอ่อนโยนมี empathy เนี่ย
00:22:49 → 00:22:53 มันต้องอาศัยที่มันเกิดขึ้นสดๆไม่ใช่วิชา
00:22:53 → 00:22:55 ว่าด้วยเรื่องความเห็นขึ้นใจผู้ป่วย
00:22:55 → 00:22:56 >> อื
00:22:56 → 00:22:58 >> มันก็จะกลายเป็นวิชาแห้งแล้งอีกนักเรียน
00:22:58 → 00:22:59 ก็เบื่ออีก
00:22:59 → 00:22:59 >> อื
00:22:59 → 00:23:01 >> สอนทฤษฎีก็เบื่อเหมือนสอนวิชาศีลธรรมใน
00:23:01 → 00:23:02 เด็กเด็กวิทยอะไรเงี้ย
00:23:02 → 00:23:04 >> ครับจริงครับ
00:23:04 → 00:23:08 >> มันมันก็เบื่อเพราะว่ามันเออ่าข้อสอนก็
00:23:08 → 00:23:09 นิดเดียว
00:23:09 → 00:23:09 >> ครับ
00:23:09 → 00:23:12 >> ฮะนึกออกมั้ยฮะ
00:23:12 → 00:23:15 >> อาจารย์พยายามผลักดันเรื่องนี้มานาน
00:23:15 → 00:23:17 >> ผมก็ไม่ไม่ได้ผมไม่ได้อยู่ศึกษาที่จะผลัก
00:23:17 → 00:23:19 ดันนะว่าเอ่อเวลาสมมุติว่าเราบอกว่า
00:23:19 → 00:23:21 เรื่องเนี้ยเท่าที่ประสบการณ์เนี่ยจะไป
00:23:21 → 00:23:25 ได้ดีเมื่อเมื่อมื่อเมื่อเจ้าบ้านสนใจ
00:23:25 → 00:23:25 >> อื
00:23:25 → 00:23:27 >> เหมือนภัตคานี่สนใจจะใส่เกลือมั้ย
00:23:27 → 00:23:28 >> อื
00:23:28 → 00:23:30 >> ให้ผู้หญิงผมเอาเกลือไปขายไม่ไม่ค่อยซื้อ
00:23:30 → 00:23:33 เท่าไหร่เพราะว่าเพราะว่าอย่างอื่นยังมา
00:23:33 → 00:23:33 แรงอยู่
00:23:33 → 00:23:34 >> อือ
00:23:34 → 00:23:38 >> อ่าคณิตศาสตร์ศิลปะ excellence
00:23:38 → 00:23:40 เป็นดาราเป็นอะไรยังมาแรงอยู่นั้นไอ้
00:23:40 → 00:23:43 เรื่องนี้เนี่ยมันมันมันต้องคนเห็นความ
00:23:43 → 00:23:46 สำคัญผลักดันจะเหนื่อยมากแล้วก็ต้องต่อ
00:23:46 → 00:23:50 สู้กับระบบที่แข็งตัวระบบการศึกษาระบบการ
00:23:50 → 00:23:51 วัดอ
00:23:51 → 00:23:53 >> ที่มันแข็งตัวมากั้นสิ่งที่เราทำได้คือ
00:23:53 → 00:23:57 เราพยายามจะบูรณาการทำให้ทำให้ครูและ
00:23:57 → 00:23:58 อาจารย์มีความสุข
00:23:58 → 00:23:59 >> อื
00:23:59 → 00:24:01 >> ในระบบที่แข็งตัวแบบตอนนี้เค้าทุกข์กัน
00:24:01 → 00:24:01 มากเลย
00:24:01 → 00:24:01 >> อือ
00:24:01 → 00:24:03 >> แต่พอเค้าก็เริ่มเข้าใจชีวิตเ้าเริ่มกลับ
00:24:03 → 00:24:06 มาอยู่กับชีวิตอยู่กับนักเรียนมากขึ้นมัน
00:24:06 → 00:24:08 อยากไปมันอยากไปอยากไปโรงเรียนอยากไปสอน
00:24:08 → 00:24:11 อยากเห็นแววตาของเด็กอันนี้ต่างหากเห็น
00:24:11 → 00:24:13 รางวัลที่เกิดขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์กับ
00:24:13 → 00:24:14 นักเรียน
00:24:14 → 00:24:15 >> อื
00:24:15 → 00:24:17 >> วางความหงุดหงิดวางความกลัวความกังวลของ
00:24:17 → 00:24:22 ตัวเองได้มากขึ้นอยู่กับคลาสอยู่กับชีวิต
00:24:22 → 00:24:24 คนข้างหน้ามากขึ้นเหมือนกับเราอยู่กับคน
00:24:24 → 00:24:26 ไข้จริงๆได้มากขึ้นเราไม่ได้อยู่ด้วยความ
00:24:26 → 00:24:28 กังวลว่ากลัวจะถูกทำโทษเนี่ย
00:24:28 → 00:24:31 >> ทำด้วยคุณค่ามากขึ้นที่ผ่านมามันทำด้วย
00:24:31 → 00:24:35 ความกลัวกลัวกลัวถูกว่ากลัวคุ้มครองว่า
00:24:35 → 00:24:38 กลัวถูกป้องร้องกลัวอะไรเงี้ยมันเป็นความ
00:24:38 → 00:24:39 กลัวไปหมดทุกอย่าง
00:24:39 → 00:24:41 >> อืงั้นเมื่อไหร่ที่มีความกลัวทุกคนจะทำ
00:24:41 → 00:24:44 เพื่อความปลอดภัยไม่ได้ทำเพื่อคุณค่าที
00:24:44 → 00:24:47 นี้ระบบประเมินอย่างครูบาอาจารย์ก็ระบบ
00:24:47 → 00:24:50 ประเมินมันมีมันมีหลายหลายมิติใช่มั้ถ้า
00:24:50 → 00:24:53 เราให้คุณค่าของของอะไรที่เป็นไม่ค่อยมี
00:24:53 → 00:24:56 ชีวิตเท่าไหร่อ่ะอ่าต้องทำผลงานต้องมี
00:24:56 → 00:24:58 นั่นนั่นนี่ใช่มั้ครับการเรียนการสอนเรา
00:24:58 → 00:25:00 ก็ต้องเอาทำเบสก็ต้องเป็น objectivity
00:25:00 → 00:25:02 อีกอ่ะการเรียนการสอนก็วัดกันช่วงปลายๆ
00:25:02 → 00:25:06 แต่ว่าเราไม่ได้เอาผลจากการประเมินที่นาง
00:25:06 → 00:25:11 สามามองคุยกันเพื่อเพื่อให้เห็นคุณค่า
00:25:11 → 00:25:13 เห็นความมีความมีอะไรนะความมีชีวิตชีวา
00:25:13 → 00:25:18 ความเป็นมนุษย์งั้นถ้าสรุปก็คือ
00:25:18 → 00:25:20 เราเรา
00:25:20 → 00:25:22 ต้องลดพื้นเรานะเราต้องลดพื้นที่ของการ
00:25:22 → 00:25:25 ให้คือคือถ้าเราถ้าเราสื่อสารแล้วเราให้
00:25:25 → 00:25:27 ความสำคัญให้น้ำหนักเรื่องหนึ่งเรื่องใด
00:25:27 → 00:25:31 คนก็จะเฮโรไปทางนั้นจนกระทั่งมีคนบอกว่า
00:25:31 → 00:25:33 สมัยผมดูแลเรื่องช่วยช่วยอาจารย์เดูแล
00:25:33 → 00:25:36 เรื่องแพทย์สัตว์ศึกษามีคนบอกว่าอยากให้
00:25:36 → 00:25:39 เค้าเรียนอะไรให้สอบอันนั้นผมก็ต้องจริง
00:25:39 → 00:25:43 ใช่เหรอใช้การสอบเป็นตัวไดฟเหรอ
00:25:43 → 00:25:43 >> อื
00:25:43 → 00:25:46 >> ใช่เหรอ
00:25:46 → 00:25:48 ใช่มั้คุณก็ออกสอบ
00:25:48 → 00:25:50 แล้วมันจะว่าสอบอย่างเดียวเนี่ยมันไม่ใช่
00:25:50 → 00:25:52 ผมว่ามันไม่ใช่มันไม่ใช่วิธีการที่ถูก
00:25:52 → 00:25:54 ต้องซะอย่างเดียวมันต้องมีอย่างอื่นด้วย
00:25:54 → 00:25:57 ว่าใช้คุณค่าใช้การใช้ชีวิตที่คุยกัน
00:25:57 → 00:26:00 >> ไม่งั้นทุกคนก็จะกังวลเรื่องการสอบวิชา
00:26:00 → 00:26:03 นี้สอบมั้ยคะแนนเท่าไหร่
00:26:03 → 00:26:04 >> อืใช่
00:26:04 → 00:26:05 >> คะแนนนิดเดียวผม
00:26:05 → 00:26:06 >> จำได้อาจารย์สมัยนั้น
00:26:06 → 00:26:09 >> ต้องถามก่อนเลยว่าวิชานี้เก็บ
00:26:09 → 00:26:11 >> เก็บคะแนนเท่าไหร่ทุกคนถามหาวิธีการเก็บ
00:26:11 → 00:26:14 คะแนนวิชานี้คะแนนไม่เท่าไหร่ไม่คุ้ม
00:26:14 → 00:26:14 >> ครับ
00:26:14 → 00:26:17 >> ไม่คุ้มกว่าการลงทุนไปลงทุนวิชานู้นเกษตร
00:26:17 → 00:26:17 เยอะกว่า
00:26:17 → 00:26:18 >> ครับ
00:26:18 → 00:26:19 >> ชัดเจนกว่า
00:26:19 → 00:26:20 >> ครับ
00:26:20 → 00:26:22 >> เนี่ยกลายเป็น
00:26:22 → 00:26:23 >> กลายเป็นของวางแผนน่ะ
00:26:23 → 00:26:24 >> ครับ
00:26:24 → 00:26:26 >> มันไม่ได้เห็นคุณค่าทีนี้จะเอาแต่คุณค่า
00:26:26 → 00:26:30 คนก็ไม่สนใหญ่คือสรุปเป็นองคาปยพใหญ่ของอ
00:26:30 → 00:26:31 >> ค่านิยมในสังคมอ่ะครับมันไม่ใช่เรื่อง
00:26:31 → 00:26:34 เดียวหรอกแล้วก็ไม่อยากจะไปโทษใคร
00:26:34 → 00:26:37 >> แต่มันเริ่มมันก็เริ่มมี AI มาใช่มั้ย
00:26:37 → 00:26:40 ครับมีคนที่เขาพูดบอกว่า AI มาแล้วเนี่ย
00:26:40 → 00:26:42 ภาระในเรื่องการลงการเรียนเรื่องสมองมัน
00:26:42 → 00:26:45 จะน้อยลงเยอะแต่เนี้ยพื้นที่ว่างได้เวลา
00:26:45 → 00:26:47 แล้วแหละที่มนุษย์จะต้องมาอยู่กับเรื่อง
00:26:47 → 00:26:49 >> รู้เนื้อรู้ตัวเรื่องชีวิตที่แท้จริง
00:26:49 → 00:26:50 >> อื
00:26:50 → 00:26:51 >> ยกระดับขึ้นไปอีก
00:26:51 → 00:26:54 >> ครับสำหรับผู้ปกครองอาจารย์ในเมื่อหลัก
00:26:54 → 00:26:59 สูตรมันไปต่อไม่ได้หลักสูตรดูแล้วคนจะลง
00:26:59 → 00:27:02 ทุนเรื่อง emotional intelligence น้อย
00:27:02 → 00:27:06 ลงหรือไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ผู้ปกครองควร
00:27:06 → 00:27:07 ปรับตัวยังไงก่อน
00:27:07 → 00:27:10 >> ผู้ปกครองคุณปรับตัวก็คือก็คืออารมณ์เสีย
00:27:10 → 00:27:11 กับลูกให้น้อยลง
00:27:11 → 00:27:12 >> อื
00:27:12 → 00:27:14 >> อารมณ์เสียคือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นสงบๆ
00:27:14 → 00:27:17 แล้วคุยกันดีๆได้ถ้ายังไม่พร้อมจะคุยกัน
00:27:17 → 00:27:18 ดีๆอย่าเพิ่งคุย
00:27:18 → 00:27:19 >> อื
00:27:19 → 00:27:21 >> ถ้าพูดพูดดีๆด้วยไม่ได้พูดด้วยไม่ใช้
00:27:21 → 00:27:23 อารมณ์ยังไม่ได้อย่าเพิ่งพูด
00:27:23 → 00:27:23 >> อื
00:27:23 → 00:27:26 >> อันเนี้ยสัมมาวาจาเนี่ยคืองดเว้นสิ่งวาจา
00:27:26 → 00:27:29 ที่ไม่ควรวาจาที่เต็มไปด้วยความโกรธความ
00:27:29 → 00:27:32 ไม่พอใจอย่าเพิ่งพูดเพราะฉะนั้นผมว่า
00:27:32 → 00:27:35 ปฏิสัมพันธ์ภายในบ้านให้ให้รู้สึกว่าบ้าน
00:27:35 → 00:27:37 เป็นที่ที่ปลอดภัยอบอุ่นและอยากกลับบ้าน
00:27:37 → 00:27:37 >> ครับ
00:27:37 → 00:27:40 >> ถ้ามีปัญหาอยากกลับบ้านแต่ถ้าเกิดว่า
00:27:40 → 00:27:42 บรรยากาศในบ้านถ้ามีปัญหา
00:27:42 → 00:27:45 แต่เหล็ดเตะๆนอกบ้านก่อนรอจนมืดจนค่ำถึง
00:27:45 → 00:27:46 กลับอันนี้จะไม่ค่อยดีแล้ว
00:27:46 → 00:27:49 >> อือวิธีการทำยังไงครับเวลาลูกกลับบ้านมา
00:27:49 → 00:27:51 เหนื่อยๆอย่าเพิ่งไปซักไซส์ไล่เรียงอะไร
00:27:51 → 00:27:53 มากหาข้าวหาปลาอะไรให้กินครับ
00:27:53 → 00:27:55 >> แล้วก็ดูลูกยังไม่พร้อมจะคุยก็โอเคไม่
00:27:55 → 00:27:57 พร้อมจะเคยอาบน้ำหนท้าแน่นอนนะลูกนะไม่
00:27:57 → 00:27:59 ต้องยิ่งวัยรุ่นนะไม่เไม่ชอบไปเซ้าซี้
00:27:59 → 00:28:01 อะไรมากก็ไม่เป็นไรเชื่อมั่น
00:28:01 → 00:28:04 >> งั้นความเชื่อมั่นว่าลูกเราจะดูแลตัวเอง
00:28:04 → 00:28:08 เป็นต้นสำคัญผมเจอจากประสบการณ์เนี่ยความ
00:28:08 → 00:28:11 ที่พ่อแม่ไม่เชื่อมั่นในตัวลูกก็จะทำให้
00:28:11 → 00:28:12 สงสัย
00:28:12 → 00:28:15 เคลือบแคงสงสัยแล้วก็ตั้งคำถามตอกย้ำ
00:28:15 → 00:28:16 >> อื
00:28:16 → 00:28:19 >> ในหคอยกำกับดูแลก็เป็นการส่งเมเจส่ง
00:28:19 → 00:28:22 สัญญาณว่าเพ่อแม่เไม่เชื่อเราเราคงไม่ดี
00:28:22 → 00:28:23 พอมั้ง
00:28:23 → 00:28:23 >> อื
00:28:23 → 00:28:26 >> แต่ถ้าเกิดว่าพ่อแม่เชื่อมั่นเค้าก็จะ
00:28:26 → 00:28:28 เชื่อมั่นในตัวเเองเพราะมันหล่อหลอมท่าที
00:28:28 → 00:28:31 ของคนที่อยู่รอบข้างผิดพลาดอะไรยอมกรุณา
00:28:31 → 00:28:35 ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นคำพูดที่บอก
00:28:35 → 00:28:37 ว่าอย่าให้รู้นะว่าไปทำอย่างงู้นอย่างงี้
00:28:37 → 00:28:41 อย่าให้รู้นะว่าไปมีเฟิงมีแฟนน่ะ
00:28:41 → 00:28:44 >> เ้าไม่ให้รู้หรอกเมีเไม่ให้รู้คนอื่นเรู้
00:28:44 → 00:28:46 หมดยกเว้นพ่อแม่นะเพราะฉะนั้นอะไรที่มัน
00:28:46 → 00:28:48 สั่งไม่ได้อย่าไปสั่งอย่าไปคาดคั้น
00:28:48 → 00:28:51 >> ถ้าถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะแต่ถ้าจะมีหนู
00:28:51 → 00:28:53 ดูแลเค้าได้ก็ดูแลนะถ้ามีปัญหาบอก
00:28:53 → 00:28:54 >> อือื
00:28:54 → 00:28:56 >> มีปัญหามีปัญหากลับมาบอกเวลามีปัญหากลับ
00:28:56 → 00:29:00 มาเจะไม่มีการเห็นบอกแล้วไม่มีการซ้ำเติม
00:29:00 → 00:29:00 >> ครับ
00:29:00 → 00:29:04 >> ไม่ซ้ำเติมไม่กระแทกกระแทกแหนกดันคือคุย
00:29:04 → 00:29:08 กันได้ซึ่งจะทำแบบนี้ได้อ่ะต้องเข้าใจนี่
00:29:08 → 00:29:11 ไม่ใช่เทคนิคนี่เป็นเรื่องของชีวิตยังทำ
00:29:11 → 00:29:13 ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับใครบางคนขี้โหมทำ
00:29:13 → 00:29:15 ไม่ได้ให้รู้ว่าโอเคเราจะค่อยๆฝึกไป
00:29:15 → 00:29:15 >> ครับ
00:29:15 → 00:29:18 >> ไม่ใช่ทุกคนจะอารมณ์ดีกันได้ตลอดเวลา
00:29:18 → 00:29:18 >> ครับ
00:29:18 → 00:29:20 >> มันก็เป็นชีวิตจริงมันเป็นแบบนั้นหาคนถูก
00:29:20 → 00:29:24 ใจจะให้พ่อแม่ถูกใจเราตลอดเวลาก็ไม่ได้จะ
00:29:24 → 00:29:26 ให้เราคุมอารมณ์ตลอดเวลาแม้แต่เรารู้ว่า
00:29:26 → 00:29:28 นี้เป็นสิ่งที่ไม่ควร
00:29:28 → 00:29:31 >> เราขอโทษขอโพย say sorry ได้เราเราแก้
00:29:32 → 00:29:36 สถานการณ์ได้แต่ด้วยระยะยาวมันสื่อแล้ว
00:29:36 → 00:29:38 ว่าเราเชื่อมั่นสื่อว่ายังไงพ่อแม่ก็รัก
00:29:38 → 00:29:39 เรา
00:29:39 → 00:29:41 >> ครับ
00:29:41 → 00:29:44 ก็จำอีกทีสิ่งที่สรุปที่อาจารย์จะพยายาม
00:29:44 → 00:29:49 จะนำเสนอหรือว่าเตือนเราทุกคน
00:29:49 → 00:29:53 ม.ปลายหรือเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเนี่ยการให้
00:29:53 → 00:29:57 ความสำคัญกับความรู้สึกเป็นอะไรที่ is a
00:29:57 → 00:30:02 must เป็นอะไรที่ต้องทำต้องทำนะครับ
00:30:02 → 00:30:04 >> เรื่องความรู้สึกต่างๆนะที่เราคุยกันไป
00:30:04 → 00:30:07 ความกลัวความสุขอะไรควรจะหาเวลานั่งคุย
00:30:07 → 00:30:10 กันแลกเปลี่ยนในรูปแบบของยังไงก็ได้แต่ละ
00:30:10 → 00:30:14 บ้านนะครับแล้วก็พยายามเปิดอกเปิดใจรับ
00:30:14 → 00:30:15 ฟังในทุกมุมมอง
00:30:15 → 00:30:18 >> มีเติมคุณหมอนิดนึงว่าเวลามีความรู้สึก
00:30:18 → 00:30:19 เยาวเหตุผลไปโต้
00:30:19 → 00:30:22 ทำไมต้องรู้สึกอย่างงั้นด้วยล่ะทำไมไม่
00:30:22 → 00:30:25 คิดในแง่บวกทำไมไม่คิดในแง่นึงไปคิดแบบ
00:30:25 → 00:30:27 นั้นทำไมอะไรเงี้ยอย่าเลยนะครับฟังให้
00:30:27 → 00:30:30 เข้าใจในมุมของเค้าเค้าเศร้าเกังวลไม่
00:30:30 → 00:30:31 เห็นจะน่าจะต้องกังวลเลย
00:30:31 → 00:30:32 >> ครับ
00:30:32 → 00:30:34 >> เดี๋ยวมันก็ผ่านไปอะไรเนี่ยคำพูดเชิงสั่ง
00:30:34 → 00:30:37 สอนอบรมพวกเนี้ยโดยเฉพาะวัยรุ่นเนี่ยให้
00:30:37 → 00:30:41 น้อยฟังให้เข้าใจในมุมของเค้างั้นเราจะ
00:30:41 → 00:30:45 ด่วนตัดสินแล้วเราก็พูดด้วยทีไรรู้สึกว่า
00:30:45 → 00:30:48 >> โง่ตลอดเลยคือถูกโต้ตลอดเวลาเลยประเด็น
00:30:48 → 00:30:51 ของเรามันไร้สาระมากเลย
00:30:51 → 00:30:52 >> ครับ
00:30:52 → 00:30:54 >> นั้นต่อไปก็จะไม่พูดงั้นทำยังไงให้
00:30:54 → 00:30:58 ประเด็นของเราเพราะไม่เห็นความสำคัญแม้
00:30:58 → 00:31:00 เชิงเนื้อหามันก็ไม่ได้มีอะไรแต่ในเชิง
00:31:00 → 00:31:02 ความรู้สึกเขายต้องการคนฟัง
00:31:03 → 00:31:05 >> อืตั้งแต่สมัยผมเชื่อว่าตั้งสมัยอาจารย์
00:31:05 → 00:31:08 เด็กๆเดี๋ผมจะไล่ตาม generation ไปนะตั้ง
00:31:08 → 00:31:12 แต่สมัยอาจารย์เด็กๆเลยเนี่ยสื่อมันน้อย
00:31:12 → 00:31:16 นะครับอาจารย์ก็จะมีเวลากับมนุษย์มากขึ้น
00:31:16 → 00:31:19 ค่อยๆนะฮะต่อมาก็เริ่มมีทีวีเข้ามา
00:31:19 → 00:31:20 >> อื
00:31:20 → 00:31:22 >> งั้นมนุษย์กับมนุษย์มันก็จะหายไประดับ
00:31:22 → 00:31:25 หนึ่งจากเดิมทีเราเจอกัน 10 คนก็จะหลุดไป
00:31:25 → 00:31:30 2 ก็คือไปติดทีวีนะครับก็จะเหลือ 8 พอ
00:31:30 → 00:31:33 ยุคผ่านไปอีกก็เริ่มมีมือการสื่อสารทาง
00:31:33 → 00:31:37 โทรศัพท์มนุษย์กับมนุษย์ส่วนหนึ่งก็จะ
00:31:37 → 00:31:40 เริ่มหายไปอีกก็จะเหลือประมาณ 5 นะฮะ
00:31:40 → 00:31:42 Human Interaction มนุษย์มนๆเจอกันพอ
00:31:42 → 00:31:45 ยุคผ่านไปอีกเริ่มมีอินเทอร์เน็ตเริ่มมี
00:31:45 → 00:31:48 อะไรเราก็จะโดนดึงไปอีกมนุษย์กับมนุษย์ก็
00:31:48 → 00:31:50 มาเจอกันน้อยลงอีกก็จะเหลือประมาณ 4
00:31:50 → 00:31:54 อย่างเงี้ยสมมุติฟังดีๆนะฮะต่อมาเริ่มมี
00:31:54 → 00:31:56 สมาร์ทโฟนเริ่มมีอะไรทั้งหลายมนุษย์กับ
00:31:56 → 00:32:00 มนุษย์เจอกันน้อยลงอีกคุยกันน้อยลงอีกก็
00:32:00 → 00:32:03 เลยเหลือ 2 ละไอ้ที่เหลือ 2 ส่วนใหญ่ก็จะ
00:32:03 → 00:32:05 มาเจอกันเพราะ weekend บ้างหรือทุกข์สุข
00:32:05 → 00:32:06 ยังปรับกันบ้าง
00:32:06 → 00:32:07 >> อ
00:32:07 → 00:32:12 >> แต่ที่ผมมองตอนเนี้ยยุค AI เนี่ย
00:32:12 → 00:32:16 ผมมองอาจจะมองในแง่รบนะฮะมันแทบจะไม่ค่อย
00:32:16 → 00:32:19 เหลือเหตุผลที่มนุษย์จะมาเจอกันละเราจะ
00:32:19 → 00:32:21 อยู่ยุคที่ต่างคนต่างอยู่มากขึ้นอ่ะ
00:32:21 → 00:32:24 เดี๋ยวผมยกตัวอย่างสำหรับคนที่ฟังนะฮะอ่ะ
00:32:24 → 00:32:27 ยกตัวอย่างทำไมผมถึงบอกว่า AI มันสุดยอด
00:32:27 → 00:32:32 มันมันดีมากๆแล้วมันทำให้มนุษย์ไม่มีเหตุ
00:32:32 → 00:32:35 ผลที่จะคุยกันอ่ะยกตัวอย่างผมมีปัญหาอะไร
00:32:35 → 00:32:40 บางอย่างผมพิมพ์เข้าไปว่าผมรู้สึกอย่างี้
00:32:40 → 00:32:43 หรือผมอยากจะทำงานอย่างี้ผมมีโปรเจคอย่าง
00:32:43 → 00:32:46 นี้ผมคุยกับมันคุณเชื่อมั้ฮะ AI เค้าคุย
00:32:46 → 00:32:50 คุยกับคุณเนี่ยดีกว่าพ่อแม่คุณดีกว่า
00:32:50 → 00:32:51 ภรรยา
00:32:51 → 00:32:54 >> ดีกว่าเพื่อนซี้คุณอีกแล้วเ้าเป็นที่
00:32:54 → 00:32:57 ปรึกษาแบบละเอียดวิเคราะห์ให้คุณจนจาก
00:32:57 → 00:33:00 เดิมทีผมอ่ะจะชอบโทรหาคนนี้เพื่อสอบถาม
00:33:00 → 00:33:03 เฮ้ยโทษทีนะเอ๊ะรู้สึกไงวะกับเรื่องนี้
00:33:03 → 00:33:07 ที่เราอยากทำเอ้ยเครียดว่ะขอคุยหน่อยเอ้ย
00:33:07 → 00:33:10 คิดถึงว่ะไม่ละเดี๋ยวนี้เราคุยกับ AI จน
00:33:10 → 00:33:12 เรารู้สึกว่า AI มันทำให้เราหายเครียดไป
00:33:12 → 00:33:15 ได้เกือบ 80- 90% ผมก็เลยรู้สึกว่าอุ้ย
00:33:15 → 00:33:19 เรามาอยู่ในยุคที่แบบมันดีมากนะแต่มันทำ
00:33:19 → 00:33:22 ให้การที่ gap ที่เราจะไปคุยกับมนุษย์น่ะ
00:33:22 → 00:33:26 มันแทบจะน้อยลงะกับผมเองนะตัวอย่างเลยคือ
00:33:26 → 00:33:28 เดิมทีผมต้องการปรึกษาเพื่อนในเรื่องก้อน
00:33:28 → 00:33:31 ใหญ่เดี๋ยวนี้ผมเหลือปรึกษากับเพื่อน
00:33:31 → 00:33:34 เนี่ยไม่ถึง 10 นาทีสมัยก่อนถ้าเรื่อง
00:33:34 → 00:33:36 นั้นคุยกัน 2-3 ชั่วโมงเดี๋ยวนี้ 10 นาที
00:33:36 → 00:33:38 ก็เสร็จเพราะอะไรรู้มั้เพราะที่เหลือแชท
00:33:38 → 00:33:41 GPT ทำให้เราเคลียร์เรียบร้อยแล้ว
00:33:41 → 00:33:43 อาจารย์ครับเรากำลังเข้าสู่ยุคที่มนุษย์
00:33:43 → 00:33:44 กับมนุษย์
00:33:44 → 00:33:44 >> ใช่
00:33:44 → 00:33:46 >> จะไม่เหลือเหตุผลที่มา
00:33:46 → 00:33:48 >> อันเนี้ก็เป็นช่วงของการ transition
00:33:48 → 00:33:51 period เป็นช่วงการปรับเป็นช่วงของการ
00:33:51 → 00:33:53 เปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เพราะว่า
00:33:53 → 00:33:55 >> พื้นฐานณขนาดเนี้ยเรายังอยู่กันด้วยของ
00:33:56 → 00:33:59 ความมีมนุษย์มีอีโก้มีตัวตนมีตัวมีตน
00:34:00 → 00:34:02 ต้องการการรับฟังต้องการอะไรต่างๆเนี่ย
00:34:02 → 00:34:07 แต่ตอนนี้เอ่อเวลามันผ่านไปมันพบว่า
00:34:07 → 00:34:09 ความจำเป็นที่ต้องอาศัยไอ้
00:34:09 → 00:34:10 >> อื
00:34:10 → 00:34:13 >> กายนี้ใจนี้ไอ้ร่างกายเนี่ยความจำเป็น
00:34:13 → 00:34:15 ต้องอาศัยมันเเหลือแค่มือกับหัวละอ่านนิด
00:34:16 → 00:34:18 หน่อยสามารถมีผู้ช่วยได้แทบจะไม่ต้องไม่
00:34:18 → 00:34:19 ต้องอาศัยมันแล้วเนี่ย
00:34:19 → 00:34:20 >> อือ
00:34:20 → 00:34:22 >> แต่เราชินกับการต้องอยู่กับมันมานานเนี่ย
00:34:22 → 00:34:24 แต่วิถีชีวิตมันถ้าจะไม่ต้องอาศัยเนี่ย
00:34:24 → 00:34:27 มันจะเริ่มมันถึงเริ่มมีคนพูดถึงเรื่อง
00:34:27 → 00:34:29 ของมันเป็นยุคระดับของการยกระดับจิตจิต
00:34:29 → 00:34:32 สำนึกแล้วอ่ะพ้นตัวตนเนี่ยเป็นช่วงการ
00:34:33 → 00:34:36 วิวัฒนาการที่มนุษย์จะเริ่มพัฒนาต่อไปการ
00:34:36 → 00:34:39 เป็นพ้นจากตัวตนพ้นจากความคิดอยู่เหนือ
00:34:39 → 00:34:43 ความคิดใช้ความคิดที่ผ่านมาถูกความคิดใช้
00:34:43 → 00:34:46 อันเนี้ถ้าเราดูอ่าอ่าครับนักคิดที่ที่
00:34:46 → 00:34:49 มองเปลี่ยนกระแสชักนำทิศทางของโลกจะเริ่ม
00:34:49 → 00:34:53 เห็นว่าการที่เรามาฝึกสังเกตฝึกเรียนรู้
00:34:53 → 00:34:55 ให้เกิดการตระหนักรู้เท่าทันตัวเองเป็น
00:34:55 → 00:34:58 ผู้สังเกตสังเกตโลกใบนี้เนี่ยใบแรกเลยตัว
00:34:58 → 00:35:01 เรานะครับสังเกตโลกแล้วเราก็เริ่มเรา
00:35:01 → 00:35:04 ปฏิสัมพันธ์กันเองน้อยลงเราเริ่มมาเรียน
00:35:04 → 00:35:06 รู้ที่จะปฏิสัมพันธ์กับตัวเองเรา
00:35:06 → 00:35:09 ปฏิสัมพันธ์กับตัวเองมีมนุษย์อยู่ 1 คน
00:35:09 → 00:35:12 แน่นอนที่อยู่กับเราไม่มีทางหนีไปไหนเลย
00:35:13 → 00:35:15 ขณะที่เราพิมพ์ AI ปรึกษา AI เนี่ยมันก็
00:35:15 → 00:35:17 มีไอ้คำไอ้เราเนี่ยแหละที่ยังใช้สที่ยัง
00:35:17 → 00:35:22 มีสมองมีมือมีความคิดความอ่านการที่มี
00:35:22 → 00:35:25 ความสามารถในการ observe เราจะรู้ว่ามัน
00:35:25 → 00:35:29 มีกายมีใจอีก 1 อันแล้วก็มีเราแต่พอยกตัว
00:35:29 → 00:35:31 อย่างคนที่เเขียนหนังสือเรื่อง The Power
00:35:32 → 00:35:32 of No
00:35:32 → 00:35:33 >> อื
00:35:33 → 00:35:37 >> ใช่มั้ยครับไอ้กัเนี่ยเค้าเขียนมาใน
00:35:37 → 00:35:39 Introduction ว่าเค้าเซึมเศร้าแล้วเค้า
00:35:39 → 00:35:42 ก็ถึงจุดสุดท้ายของชีวิตเนี่ยเค้าเกือบจะ
00:35:42 → 00:35:46 ปิดชีพตัวเองเนี่ยเค้าเรำพึงกับตัวเองว่า
00:35:46 → 00:35:48 I can't stay with myself anymore.
00:35:48 → 00:35:52 แล้วเก็ทะดุ้ง I can't stay with
00:35:52 → 00:35:57 myself I and myself คนละอันกัน I I
00:35:57 → 00:35:59 อยู่ไหน myself อยู่ไหนเฮ้ยมันคนละอันกัน
00:35:59 → 00:36:02 นี่เราไม่ได้อันเดียวกันนี่ M จะทรมาน
00:36:02 → 00:36:05 myself จะมี emotion ก็
00:36:05 → 00:36:09 Let เลอยู่ตรงนั้นเอ้ยมันมันหลุดอ่ะหลุด
00:36:09 → 00:36:11 ออกจากความเป็นอันเดียวแล้วจะจมดิ่งมัน
00:36:11 → 00:36:13 หลุดมันเห็นไอ้นั่นไอ้นั่นดิ่งไอ้นั่น
00:36:13 → 00:36:15 อยู่ตรงนั้นมันก็เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเ
00:36:16 → 00:36:17 จะทำให้มี consciousness มี higher
00:36:17 → 00:36:20 conscious เนี่ยเป็นผู้สังเกตอันนี้เป็น
00:36:20 → 00:36:23 ปรากฏการณ์ที่ทำให้รู้ว่ามนุษย์เรายังมี
00:36:23 → 00:36:26 ศักยิภาพอีกเลเวลนึงหลังจาก AI มาแล้ว
00:36:26 → 00:36:28 เนี่ยศักิภาพที่มนุษย์จะต้องเปลี่ยนแปลง
00:36:28 → 00:36:32 กันโดยเลวก็คือว่าวางตัวตน
00:36:32 → 00:36:35 จริงๆแล้วก็จะมีอีกแล้วเราก็อยู่กันอีก
00:36:35 → 00:36:38 เลเวลนึงอยู่กันอีกระดับนึง
00:36:38 → 00:36:40 AI มันมาบอกแล้วว่า
00:36:41 → 00:36:44 ตอนเนี้ยไม่จำเป็นไปความหวงแหนในตัวตน
00:36:44 → 00:36:46 นุ่มมากมายเลยไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่หรอก
00:36:46 → 00:36:48 ไม่ได้ไม่ได้ต้องอะไรหรอกเพียงแต่ว่า
00:36:48 → 00:36:52 เรียนรู้ที่จะเท่าทันปรากฏการณ์
00:36:52 → 00:36:55 อ่าเรียกว่าชีววิทยา DNA เจนติกตรงเนี้ย
00:36:55 → 00:36:58 นะมันทำงานของมันไปนะแต่ตอนนี้เรากำลัง
00:36:58 → 00:37:03 คิดว่าเราเราสามารถจะแทนแทน DNA แทนสมอง
00:37:03 → 00:37:04 เราด้วย
00:37:04 → 00:37:05 >> อ
00:37:05 → 00:37:07 >> ด้วย AI ใช่มั้ยครับแล้วต่อไปแขนขาเราจะ
00:37:07 → 00:37:10 อาจจะแทนด้วยแขนกลเงี้ยแล้วมันแทนอะไรได้
00:37:10 → 00:37:12 หมดแล้วจะเหลืออะไรครับก็เหลือสภาวะของ
00:37:12 → 00:37:14 being ของความเป็นไป
00:37:14 → 00:37:16 >> consciousness
00:37:16 → 00:37:19 awareness เนี่ยที่บอกถ้าสมัยประวัติทาง
00:37:19 → 00:37:22 พุทธศาสนาบอกว่ายุคซีอานน่ะทุกคนจะเท่า
00:37:22 → 00:37:24 กันหมดทุกคนจะเชื่อมโยงถึงกันอะไรเงี้ย
00:37:24 → 00:37:27 มันก็จะคล้ายๆแบบนั้นนะมันมันแต่ว่าโอเค
00:37:27 → 00:37:29 มันอาจจะไกลเกินไปเนาะเอาในแง่ของการ
00:37:29 → 00:37:32 ปฏิบัติก็คือว่าเราก็ใช้ AI AI คุยกับ
00:37:32 → 00:37:35 เราได้แต่ให้เรารู้นะว่าที่เราคุยกันแบบ
00:37:35 → 00:37:38 นั้นมันสะท้อนอะไรสะท้อนว่าปลอดภัยจริงๆ
00:37:38 → 00:37:43 เลยอ่ะเพราะความปลอดภัยที่ทำให้เป็นคำตอบ
00:37:43 → 00:37:45 ถ้ามนุษย์เราคุยกันตอนเนี้เรายังต้องคุย
00:37:45 → 00:37:47 กันอยู่บ้างเนี่ยขอคุยกันด้วยความรู้สึก
00:37:47 → 00:37:50 ปลอดภัยให้มากขึ้น
00:37:50 → 00:37:52 AI จะได้ไม่ไม่พาเราไปเร็วนัก
00:37:52 → 00:37:53 >> อื
00:37:53 → 00:37:56 >> นะลูกจะได้ไม่ต้องลูกหรือนักเรียนผู้ใต้
00:37:56 → 00:37:58 เข้าใจจะได้ไปหนีไปพึ่ง AI
00:37:58 → 00:38:00 >> ก็ยังพอมีหัวหน้ามีลูกน้องมีพ่อแม่ผู้ปก
00:38:00 → 00:38:01 ครอง
00:38:01 → 00:38:05 >> ที่ฟังได้ลองทำตัวคล้ายๆ AI ลองเข้าไปลอง
00:38:05 → 00:38:07 ตั้งโจทย์ใน AI ก็ได้เวลาเราพูดแบบนี้มัน
00:38:07 → 00:38:08 จะตอบว่ายังไง
00:38:08 → 00:38:10 >> อีกหน่อยเวลาลูกมาคุยกับเราเราพยายามตอบ
00:38:10 → 00:38:12 แบบ AI ไม่ใช่ตอบแบบเอาใจนะมันตอบด้วยท่า
00:38:12 → 00:38:15 ทีของไม่ด้อยฆ่าใครเลยคุยแล้วไม่รู้สึก
00:38:15 → 00:38:16 เสียเซลอ่ะ
00:38:16 → 00:38:17 >> อื
00:38:17 → 00:38:18 >> คุยแล้วมันพาให้เราสงบ
00:38:18 → 00:38:19 >> อือ
00:38:19 → 00:38:21 >> มันพาให้เราตั้งมั่นถามอะไรก็ได้แล้วแต่
00:38:21 → 00:38:23 ละคำถามน่ะ
00:38:23 → 00:38:27 >> เค้าเจะค้อยตามในเชิงแบบเป็นคำถามที่น่า
00:38:27 → 00:38:30 สนใจเป็นความถามถามที่ท้าทายเป็นธรรมดา
00:38:30 → 00:38:32 ที่เราที่เราจะรู้สึกแย่
00:38:32 → 00:38:32 >> อื
00:38:32 → 00:38:35 >> เป็นธรรมดานะที่บางครั้งเราจะรู้สึกท้อ
00:38:35 → 00:38:36 เราจะรู้สักแต่ถ้าเราคุยกับพ่อแม่ผู้ปก
00:38:36 → 00:38:39 ครองเราอะไรกันอย่าท้ออย่าท้อนะไม่ต้อง
00:38:39 → 00:38:40 ท้อสู้ๆอะไรเงี้ย
00:38:40 → 00:38:41 >> อือๆ
00:38:41 → 00:38:44 >> มันข้ามขั้นของการยอมรับความเป็นธรรมดา
00:38:44 → 00:38:46 เออบางทีเหนื่อยก็พักนะลูกนะ
00:38:46 → 00:38:46 >> อื
00:38:46 → 00:38:49 >> เนี่ยผมเคยเจอคนที่เค้าเค้าจะเรียนจะจบ
00:38:49 → 00:38:51 ปิญญาเอกแล้วเค้าเหนื่อยเค้าอยากพักอ่ะ
00:38:51 → 00:38:52 เค้าแค่บ่นๆหนูอยากพักหนูไม่อยากเรียน
00:38:52 → 00:38:55 แล้วแม่ก็ไม่ได้ใกล้จะจบมนุษใกล้ถ้าแม่
00:38:55 → 00:38:58 บอกว่าเหนกพักก่อนลูกไม่เป็นไร
00:38:58 → 00:39:01 สบายใจเพราะงั้นท่าทีของการของความเป็น
00:39:01 → 00:39:05 มนุษย์มันยังอยู่แต่ AI มันก็มาแทรกอ่ะ
00:39:05 → 00:39:05 >> อื
00:39:05 → 00:39:09 >> ถ้าไม่ถ้าเราถ้าเราศึกษาจาก AI นะศึกษา
00:39:09 → 00:39:11 จากไอที่เราออกแบบทำไม AI ถึงว่าคุยกัน
00:39:11 → 00:39:13 แล้วเป็นเพื่อนได้เออวิธีการพูดคุยอันนี้
00:39:13 → 00:39:15 ผมก็แนะนำอย่างพุได้บรรยายให้อาจารย์ที่
00:39:15 → 00:39:18 ปรึกษานักศึกษาเค้าก็ปรึกษาว่าเจอนัก
00:39:18 → 00:39:19 ศึกษาอย่างงี้ทำไงี้เราก็เจอกันได้ไม่
00:39:19 → 00:39:21 บ่อยเหมือนอาจารย์อาจารย์ปรึกษา AI ได้
00:39:21 → 00:39:22 เลย
00:39:22 → 00:39:23 >> อื
00:39:23 → 00:39:25 >> ก๊อปี้คำพูดอะไรบางอย่างของเค้าได้ที่
00:39:25 → 00:39:27 เวลาเรานึกไม่ออกว่าจะตอบยังไง
00:39:27 → 00:39:27 >> ครับ
00:39:28 → 00:39:29 >> เแนะนำได้ดีมาก
00:39:29 → 00:39:32 >> อาจารย์เป็นห่วงมั้ยเป็นห่วงมั้ยอาจารย์
00:39:32 → 00:39:35 รู้สึกว่าขอใช้คำว่าภาษาอังกฤษ humanity
00:39:35 → 00:39:37 มนุษยธรรมมันจะลดลงไปเรื่อยๆ
00:39:37 → 00:39:42 >> เอ่อมันมันต้องยอมรับอ่ะครับเพราะว่าห่วง
00:39:42 → 00:39:44 ไปกังวลไปต่อต้านก็ไม่ได้เหมือนสมัยที่
00:39:44 → 00:39:47 บอกว่าเอ่อออกมาใหม่ๆต่อไปคนมันใช้
00:39:47 → 00:39:49 คอมพิวเตอร์มันไม่พิมพ์ดิ่นไม่เป็นมันพูด
00:39:49 → 00:39:50 ที่เราบ่นกันน่ะอ
00:39:50 → 00:39:52 >> ใช่มั้ถ้าเราบ่นกันแบบนี้อีกหน่อยเราก็
00:39:52 → 00:39:55 บอกเราก็บ่นออกมาเรื่อยนะเราก็บ่นออกมา
00:39:55 → 00:39:56 เรื่อยๆอ่ะ
00:39:56 → 00:39:56 >> อื
00:39:56 → 00:39:58 >> แต่สุดท้ายเราก็หนีมันไม่พ้นนะครับมันก็
00:39:58 → 00:40:00 เป็นพัฒนาการของมนุษย์นะครับเพราะฉะนั้น
00:40:00 → 00:40:02 ป่วยการที่จะบอกว่าอีกหน่อยมันก็ไอ้นี่
00:40:02 → 00:40:05 มันเข้ามามันทำลายล้างไม่รู้อ่ะครับ
00:40:05 → 00:40:09 เหมือนกับสมัยโบราณเราเริ่มต้นจากเกวียน
00:40:09 → 00:40:12 ใช่มั้ยครับเรามีรถจากไอน้ำก็อาจจะมีคน
00:40:12 → 00:40:14 ต่อต้านนะมันเร็วเดี๋มันก็เผาเาผาเดี๋ไป
00:40:14 → 00:40:17 ชนชาวบ้านเลยอ่ะก็จากไอ้น้ำก็มีไฟฟ้า
00:40:17 → 00:40:19 >> มีไฟฟ้าใหม่ๆก็มีดูด
00:40:19 → 00:40:22 >> มีโรงไฟฟ้าระบ่งระเบิดเห็นมั้ไม่เห็นดี
00:40:22 → 00:40:24 เลยสู้ตะเกียงยังไม่ได้เแต่สุดท้ายหนีไม่
00:40:25 → 00:40:28 พ้นนะครับว่ามีฤีกเพราะนั้นวางใจอย่าไป
00:40:28 → 00:40:30 อย่าไปผมว่าเมื่อก่อนจะมีความเฮ้ยมันจะมา
00:40:30 → 00:40:34 ิวิวิเคราะห์เป็นตุเป็นตะก็ฟังเพลินน่ะอ
00:40:34 → 00:40:35 >> ฟังดูแล้วหน้าเป็นหน้าเป็นห่วงนู่นนี่
00:40:35 → 00:40:37 นั่นสุดท้ายก็ต้องไปกับมันละครับ
00:40:37 → 00:40:40 >> มันเป็นพัฒนาการหนีไม่พ้นเพราะฉะนั้นว่า
00:40:40 → 00:40:42 เอ่อ
00:40:42 → 00:40:44 เป็นห่วงจนกลุ้มใจนี่อาจจะเป็นห่วงแว๊บๆ
00:40:44 → 00:40:47 แต่ว่าสุดท้ายวางใจอยู่กับมันไปเดี๋ยวมี
00:40:47 → 00:40:51 คำตอบศักยภาพของมนุษย์ก็จะหาคำตอบ
00:40:51 → 00:40:52 >> มันอาจจะถึงวิกฤตส่วนนึงแล้วเดี๋ยวมันก็
00:40:53 → 00:40:55 จะมีคนคิดมันก็จะมีการ
00:40:55 → 00:40:57 >> การฟื้นขึ้นมาแล้วว่ามีเช่นอาจจะมีงาน
00:40:57 → 00:40:59 วิจัยมีคนที่ต่างคน่าตัวตายมากขึ้นคนอะไร
00:40:59 → 00:41:03 ต่างๆมากขึ้นน่ะเดี๋ยวก็มีทางแก้ไขแต่มโน
00:41:03 → 00:41:05 ไปล่วงหน้าแล้วต่อต้านแล้วไม่ใช้
00:41:05 → 00:41:05 >> อือ
00:41:06 → 00:41:08 >> ไม่ให้นักเรียนใช้ไม่นู่นไม่นี่อะไรเงี้ย
00:41:08 → 00:41:12 ก็ลำบากใช่มั้ยครับหรือหรือตอนเนี้ยพอเรา
00:41:12 → 00:41:14 ให้ AI มันช่วยงานวิจวิจัยช่วยเขียน
00:41:14 → 00:41:17 เปเปอร์ก็เริ่มจะไปจับละใช้อะไรเขียนไม่
00:41:18 → 00:41:21 ได้ถ้าเป็นแบบนี้ทำไมเมื่อก่อนไม่
00:41:21 → 00:41:25 >> ทำไมไม่ก่อนไม่ยังบังคับทำไมไม่ดำรงศึกษา
00:41:25 → 00:41:26 ไว้ต้องพิมพ์ดีด
00:41:26 → 00:41:27 >> อื
00:41:27 → 00:41:28 >> ไม่ให้ไม่ให้ใช้ปริเตอร์ห้าม
00:41:29 → 00:41:29 >> ครับ
00:41:29 → 00:41:32 >> มันต้องยอมรับความจริงว่ามันเป็นไปปฏิเสธ
00:41:32 → 00:41:32 มันทำไม
00:41:32 → 00:41:35 >> อาจารย์บอกยอมรับไม่ต้องปฏิเสธไอ้ที่พูด
00:41:35 → 00:41:38 กันว่าโอ้เดี๋ยวมันจะถึงยุคที่คนเกิดหุ่น
00:41:38 → 00:41:40 ยนต์เกิดเยอะ
00:41:40 → 00:41:42 >> แทบจะไม่เหลืออะไรแล้วทุกอย่างมนุษย์ก็
00:41:42 → 00:41:43 ไม่ต้องมีเราก็ไม่อยู่แล้ว
00:41:43 → 00:41:44 >> เราก็ไม่อยู่แล้ว
00:41:45 → 00:41:47 >> ยุคนั้นเค้าก็อยู่กันไปเดี๋ถึงเวลามันก็
00:41:47 → 00:41:49 ต้องมีคนหาโจทย์จะไปเครียดมันทำไม
00:41:49 → 00:41:53 >> ใช่ก็ดูเอ่อดูหนังหุ่นยนต์เสร็จแล้วก็มี
00:41:53 → 00:41:54 หุ่นยนต์ตัวเองอยู่ 1 คนน่ะ
00:41:54 → 00:41:55 >> ครับ
00:41:55 → 00:41:57 >> ที่มีความเป็นมนุษย์ที่มาดูแลอะไรเงี้ย
00:41:57 → 00:41:59 มันคือมันสะท้อนว่าสิ่งที่เราทุกข์สิ่ง
00:41:59 → 00:42:01 ที่เรากังวล
00:42:01 → 00:42:04 ตั้งคำถามแล้วถามว่าทำอะไรได้เมื่อทำอะไร
00:42:05 → 00:42:06 ไม่ได้ก็ไม่ใช่ยอมตนเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็
00:42:06 → 00:42:07 วางใจ
00:42:07 → 00:42:08 >> อื
00:42:08 → 00:42:10 >> วางใจอยู่กับมันด้วยความสงบไม่ใช่ด้วย
00:42:10 → 00:42:12 ความหงุดหงิดคุ้ยแคะ
00:42:12 → 00:42:12 >> แซะและ
00:42:12 → 00:42:14 >> ครับ
00:42:14 → 00:42:18 >> ตั้งคำถามตั้งคำถามท้าทายคำถามให้เกิด
00:42:18 → 00:42:20 ความปั่นป่วนไปเรื่อยๆจนถ้ายิงเราเป็นผู้
00:42:20 → 00:42:22 มีอิทธิพลเราจะตั้งคำถามพ่อแม่บางคนก็หลง
00:42:22 → 00:42:25 เชื่อห้ามลูกใช้เอให้ลูกใช้นู่นนี่ห้าม
00:42:25 → 00:42:26 ไม่ได้ครับ
00:42:26 → 00:42:27 >> อื
00:42:27 → 00:42:29 >> งั้นใหม่ๆนักวิชาการก็จะพูดเยอะ AI มันจะ
00:42:30 → 00:42:32 มานู่นมานี่ไม่หรอกครับมนุษย์เราก็ไปได้
00:42:32 → 00:42:35 มันเป็นก็เหมือนเราเจอไฟฟ้าฮ้านเราเจอกล
00:42:35 → 00:42:39 จากไอน้ำครับมันก็มันก็ปฏิวัติอ่ะใหม่ๆก็
00:42:39 → 00:42:42 จะมีคนต่อต้านคนไม่เข้าใจแต่ศักยภาพของ
00:42:42 → 00:42:45 มนุษย์สามารถที่จะปรับตัวเองได้พูดอย่าง
00:42:45 → 00:42:48 นี้เพื่อจะบอกว่ายังไงมันก็มาถึงจะมาถึง
00:42:48 → 00:42:49 แบบ
00:42:49 → 00:42:50 >> เร็ว
00:42:50 → 00:42:53 >> จะจะตั้งค่าจะไม่เอาจะผวาแล้วไม่ผวากระแส
00:42:53 → 00:42:54 น้ำกำลังมา
00:42:54 → 00:42:54 >> ครับ
00:42:54 → 00:42:57 >> เข้าใจแล้วก็อยู่กับอยู่กับมันอย่างชาญ
00:42:57 → 00:42:59 ฉลาดอยู่กับมันด้วยความเข้าใจไม่อยู่ด้วย
00:42:59 → 00:43:00 มันด้วยความบ่น
00:43:00 → 00:43:01 >> อื
00:43:01 → 00:43:04 >> อะไรวะทำไมเดี๋ยวนี้สมมุติเราวิจารณ์
00:43:04 → 00:43:06 วิจัยมันไม่ต้องคิดเองแล้วมันให้ AI คิด
00:43:06 → 00:43:08 ก็มันมี AI แล้วคิดแล้วจะไปคิดทำไม
00:43:08 → 00:43:09 >> อื
00:43:09 → 00:43:12 >> อ่าไปห้ามทำไมห้ามกับอันเดี๋ก็เดี๋ก็มี AI
00:43:12 → 00:43:14 จับ AI เห็นมั้ตอนนี้ก็เริ่มมีแล้ว
00:43:14 → 00:43:17 >> AI ที่จับว่าอันนี้ AI เขียนหรือคนเขียน
00:43:17 → 00:43:17 >> ครับ
00:43:17 → 00:43:20 >> อก็มีคนบอกมันจับไม่ได้มันจับผิดเราเขียน
00:43:20 → 00:43:23 เองมันบอกว่า AI เขียนอ้าว
00:43:23 → 00:43:24 >> ครับ
00:43:24 → 00:43:25 >> วุ่นกันไปใหญ่
00:43:25 → 00:43:28 >> ครับอาจารย์บอกแนะนำว่าอยู่กับมันแต่ฉลาด
00:43:28 → 00:43:29 รู้อยู่
00:43:29 → 00:43:30 >> ฉลาดอยู่
00:43:30 → 00:43:31 >> เป็นทางออกที่ดี
00:43:31 → 00:43:33 >> จำเป็นต้องอยู่เพราะว่าทำอะไรไม่ได้ครับ
00:43:33 → 00:43:36 อย่างตอนเนี้ยฝนตกน้ำท่วมโควิดมาอย่าง
00:43:36 → 00:43:39 เงี้ยต้องอยู่อ่ะโวยวายไปก็ยังต้องอยู่
00:43:39 → 00:43:41 เหมือนตอนที่เราเราเห็นว่าวิกฤตติดโควิด
00:43:41 → 00:43:43 อ่ะมันทำให้รู้เลยแล้วไม่ได้เราไม่ได้
00:43:43 → 00:43:45 เตรียมความพร้อมสำหรับวิกฤต
00:43:45 → 00:43:47 พอเราไม่เตรียมความพร้อมเราก็มีความโกรธ
00:43:47 → 00:43:48 มีความคับข้อง
00:43:48 → 00:43:48 >> ครับ
00:43:48 → 00:43:51 >> เราก็ต้องหาคนอธิบายหาคนรับผิดชอบ
00:43:51 → 00:43:51 >> ครับ
00:43:51 → 00:43:53 >> แต่เขาก็รับผิดชอบอะไรให้ไม่ได้เราก็ต้อง
00:43:53 → 00:43:55 อยู่ของเราเพราะฉะนั้นการรับผิดชอบตัวเอง
00:43:55 → 00:43:56 เป็นสำคัญ
00:43:56 → 00:43:59 >> ทักษะที่ที่ควรควรจะมีคือควรมีความสามารถ
00:43:59 → 00:44:02 ในกลับมารับผิดชอบอารมณ์และความรู้สึกของ
00:44:02 → 00:44:04 ตัวเอง 100%
00:44:04 → 00:44:04 >> ครับ
00:44:04 → 00:44:07 >> ไม่ใช่ให้ใครมารับผิดชอบเมื่อเราถูกดุถูก
00:44:07 → 00:44:09 ด่าถูกว่าถูกอะไรมาก็แล้วแต่แล้วเรากำลัง
00:44:09 → 00:44:12 เสียใจเรากำลังมีความรู้สึกปั่นป่วนเรา
00:44:12 → 00:44:15 ต้องรับความปั่นป่วนด้วยตัวเราเอง
00:44:15 → 00:44:15 >> ครับ
00:44:15 → 00:44:18 >> เพราะคนที่เด่าแล้วเหลับไปแล้วครับ
00:44:18 → 00:44:21 >> ใช่มั้นี่ต่ออีกนิดนึงก็คือเทคโนโลยีมัน
00:44:21 → 00:44:24 มามันทำให้มันจะอีกแง่มุมนึงก็อยู่ยาก
00:44:24 → 00:44:27 >> อยู่ยากก็คือข้อมูลมาถึงมือไงมาถึงเตียง
00:44:27 → 00:44:30 นอนเลยกำลังจะนอนแล้วเนี่ยเปิดไปดู Line
00:44:30 → 00:44:33 ไปดู IG เป็นไงฮะเพื่อนปาร์ตี้กันแล้วไม่
00:44:34 → 00:44:37 ชวนเราอ่ะคิดมั้ยน้อยใจละ
00:44:37 → 00:44:38 >> อื
00:44:38 → 00:44:40 >> เอ๊ะถามมันตอนเย็นคืนนี้มีเลี้ยงมั้บอก
00:44:40 → 00:44:44 ไม่มีเอาล่ะแปลละแปลว่าเค้าเห็นเราเป็น
00:44:44 → 00:44:47 ยังไงเค้านู่นเค้านี่อนอนไม่หลับอะไรมั้
00:44:47 → 00:44:50 ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่รู้ไง
00:44:50 → 00:44:53 อันเนี้ยมันรู้ไปหมดทุกอย่างแล้วรู้ไปถึง
00:44:53 → 00:44:55 ห้องนอนเพื่อนด้วยรู้ไปถึงบ้านเพื่อนด้วย
00:44:55 → 00:44:58 อะไรเงี้ยเพราะสื่อสารนั้น information
00:44:58 → 00:45:02 overload ก็เป็นอันนึงที่แต่แต่เคงชิง
00:45:02 → 00:45:05 กันไว้บ้างนี้คนก็ไอ้เฟกไอปล่อยๆมันไป
00:45:05 → 00:45:08 บ้างว่าอย่าอย่าไปต้องดูปฏิกิริยาว่าเรา
00:45:08 → 00:45:10 เห็นแล้ว
00:45:10 → 00:45:12 คลื่นที่เราคิดต่อนะตัวอันตราย
00:45:12 → 00:45:13 >> ครับ
00:45:13 → 00:45:16 >> ไอ้ภาพมันไม่เท่าไหร่หรอกต้องเท่าทัน
00:45:16 → 00:45:18 อารมณ์ความคิดตัวเองปัจจุบันเนี่ยอาจารย์
00:45:18 → 00:45:22 ที่ผมสังเกต
00:45:22 → 00:45:25 culture ของข้อมูลเดี๋ยวผมค่อยๆขยายความ
00:45:25 → 00:45:29 ให้เราเห็นนะว่าเรากำลังอยู่ในยุคของข้อ
00:45:29 → 00:45:33 มูลซ้อนข้อมูลอ่ะเอาใหม่เดี๋ผมค่อยๆขยาย
00:45:33 → 00:45:34 ความมู
00:45:34 → 00:45:37 >> หมายถึงว่าเราเปิดข่าว
00:45:37 → 00:45:38 ปัจจุบัน
00:45:38 → 00:45:42 เอาข้อมูลจาก Facebook จากโซเชียล
00:45:42 → 00:45:46 มาคุ้ยข่าวกันเป็นชั่วโมงคนนี้พูดอย่างี้
00:45:46 → 00:45:48 ปัจจุบันเป็นอย่างนี้เรื่อยๆข่าวจริงแทบ
00:45:48 → 00:45:51 จะไม่มีกลายเป็นข่าวว่าคนนู้นพูดอย่างี้
00:45:51 → 00:45:55 ตบตีกันมานั่งโต๊ะคุยกันคนนู้นพูดอย่างี้
00:45:55 → 00:45:58 คนนี้พูดอย่างงี้ทรัมป์พูดอย่างงี้นายกคน
00:45:58 → 00:46:01 นี้โพสต์อย่างงี้กลายเป็นข่าววันปัจจุบัน
00:46:01 → 00:46:05 ในสังคมที่เปิดน่ะก็คือเราไปเอาข่าวใน
00:46:05 → 00:46:07 โซเชียลมารายงานข่าวอีกรอบแล้วก็มาขยับ
00:46:07 → 00:46:10 ขยายความข่าว
00:46:10 → 00:46:14 อะไรก็ไม่รู้นักข่าวลงพื้นที่ข่าวน้อยลง
00:46:14 → 00:46:17 แต่กอปเพนอินเทอร์เน็ตแล้วเอามาคุยกัน
00:46:17 → 00:46:20 เป็นชั่วโมงเป็นสาระได้แล้วคนก็แห่เข้าไป
00:46:20 → 00:46:23 คุยกันผมก็ไม่เข้าใจว่าบางทีเเอาเวลาจาก
00:46:23 → 00:46:26 ไหนไปนั่งคุยขนาดนั้นนะอ่ะไม่เป็นไรครับ
00:46:26 → 00:46:29 ผมจะถามอาจารย์เรื่องนี้ก่อนว่าอันที่ 2
00:46:29 → 00:46:31 คือ
00:46:31 → 00:46:34 คนไปอ่านมา
00:46:34 → 00:46:39 แล้วเอามาโพสต์
00:46:39 → 00:46:43 แล้วสร้างกระแสตัวเองเป็นนักรู้นัก
00:46:43 → 00:46:45 วิชาการ
00:46:45 → 00:46:47 จริงๆตัวเองไม่ไม่ได้ลงสนามแต่ก็อ่านมา
00:46:47 → 00:46:50 อ่านมาอ่านอ่านๆอ
00:46:50 → 00:46:55 >> แต่เนื่องจากเรานำเสนอด้วยดีกว่าก็มัน
00:46:55 → 00:46:57 เป็นยุคของ story teller ใครพูดเรื่อง
00:46:57 → 00:47:00 ราวได้ดีคนนั้นก็จะได้ได้อ
00:47:00 → 00:47:02 >> ได้ได้เครดิตไป
00:47:02 → 00:47:06 >> กลายเป็นว่าเราอยู่ในยุคที่จริงๆแล้ว
00:47:06 → 00:47:07 เนี่ย
00:47:07 → 00:47:12 ข้อมูลกับภูมิปัญญาเนี่ยมันแทบจะคนแทบจะ
00:47:12 → 00:47:17 มองไม่เป็นคนแทบจะมองยากละว่าเค้าเสพข้อ
00:47:17 → 00:47:20 มูลหรือเค้าเสพภูมิปัญญาอันนี้ผมไม่รู้
00:47:20 → 00:47:22 มันมันลึกหรือมันมันผมพูดให้มันดูซับซ้อน
00:47:22 → 00:47:23 พอจะเห็นเพประเด็น
00:47:23 → 00:47:26 >> อาจารย์พอจะแตกให้สังคมเห็นได้มั้ยว่า
00:47:26 → 00:47:29 เอ้าจริงๆเราก็กำลังอยู่ใน
00:47:29 → 00:47:33 >> ยุคที่การใช้ข้อมูลมันอาจจะออกนอกลูกนอก
00:47:33 → 00:47:38 ทางเราทำให้เราหลงกลืน
00:47:38 → 00:47:39 ตัวตน
00:47:39 → 00:47:41 >> ว่าเราต้องวิเคราะห์ยังไงครับ
00:47:41 → 00:47:44 >> คือคือถ้าเราเสพชั่วคราวแต่นี้มีคนที่เรา
00:47:44 → 00:47:45 เรียกว่าinfluenซerใช่มั้ย
00:47:45 → 00:47:46 >> อือ
00:47:46 → 00:47:48 >> เราอยากเป็นinfluenซอร์เราก็พยายามต้อง
00:47:48 → 00:47:51 สร้างอีวentสร้าง content จะเอา content
00:47:51 → 00:47:54 จากคนอื่นเข้ามาต่อขยายมาเล่าซ้ำก็ได้
00:47:54 → 00:47:56 เปิดหัวเปิดเปิด
00:47:56 → 00:48:00 ข้อความคุณทราบหรือไม่อะไรเงี้ยนะคุณไม่
00:48:00 → 00:48:02 ทันข่าวนี้คุณตกขบวนแน่อะไรเงี้ย
00:48:02 → 00:48:02 >> อ
00:48:02 → 00:48:05 >> เราก็มีความอ่าเฟีย missing out ใช่มั้ย
00:48:05 → 00:48:08 กลัวว่าจะตกขบวนก็ฟังเพื่อจะได้ไปเล่าต่อ
00:48:08 → 00:48:10 มันก็เป็นปรากฏการณ์ที่เราก็เห็นกันอยู่
00:48:10 → 00:48:14 แล้วก็เป็นทั่วโลกนะครับอ่ามันก็เป็นมัน
00:48:14 → 00:48:17 เป็นของมันแบบเนี้ยอ่าเอ่อมันเป็นของมัน
00:48:17 → 00:48:19 มันเป็นพัฒนาการแต่ส่วนแต่ละคนที่จะดูแล
00:48:19 → 00:48:23 ก็ต้องดูคือคนที่สนใจดูแลตัวเองเก็สนใจ
00:48:23 → 00:48:25 ระมัดระวังเนาะคนที่ไม่ไม่ดูแล้วก็ว่า
00:48:25 → 00:48:27 แล้วก็ไม่ได้หรอกเพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้
00:48:27 → 00:48:30 เราเราเป็นเครื่องชี้วัดอันนึงก็คือว่า
00:48:30 → 00:48:33 เราคอยหมกมุ่นอยู่กับมันหรือเปล่าเราคอย
00:48:33 → 00:48:37 หมกมุ่นหุ่นคอยตามคอยแล้วมันมันคอนซูม
00:48:37 → 00:48:39 เวลามันทำให้เราขุ่นป่ะมันทำให้ผมว่ามัน
00:48:39 → 00:48:42 อยู่ที่สภาวะจิตใจว่าถ้าเราจะเสพมันก็
00:48:42 → 00:48:44 ผ่านๆไปเอาพอเอามันสนุกแต่ว่าถ้ามันเริ่ม
00:48:44 → 00:48:49 อินเริ่ม identify เข้าไปเยอะคุณไม่พอใจ
00:48:49 → 00:48:51 เริ่มอยากผสมโรงโกรธความโกรธความเกลียด
00:48:51 → 00:48:53 อะไรพวกเนี้ยมันไม่ดีอ่ะครับมันไม่เป็น
00:48:54 → 00:48:56 สุขภาวะเพราะเวลาเราโกรธเราเกลียดเราไม่
00:48:56 → 00:48:58 พอใจมันฮอร์โมน
00:48:58 → 00:48:59 >> อื
00:48:59 → 00:49:00 >> ความเครียดอะไรมันหลั่งอยู่ในตัวเราอ่ะ
00:49:00 → 00:49:02 มันไม่ได้คนอื่นแล้วเราก็พ่นชวนให้คนอื่น
00:49:02 → 00:49:03 เขาโกรธเกลียดไปด้วย
00:49:03 → 00:49:04 >> อื
00:49:04 → 00:49:08 >> ชวนสิ่งที่สำคัญก็คือก็ไม่ได้ถ้าถ้าจะให้
00:49:08 → 00:49:10 compleพeteคือเมื่อเมื่อไปแบบนั้นน่ะบอก
00:49:10 → 00:49:11 Solution ด้วย
00:49:11 → 00:49:12 >> อื
00:49:12 → 00:49:14 >> บอกให้รู้ว่าได้ยินได้ฟังแบบเนี้ยอาจจะมี
00:49:14 → 00:49:17 ความโกรธความไม่พอใจนู่นนู่่นนี่นั่นแต่
00:49:17 → 00:49:18 ยังไงชีวิตเราก็ต้องไปต่อนะให้ทุกคนให้
00:49:18 → 00:49:21 กลับมาสงบสมกันบางทีมันก็ต้องแผ่เมตตาบาง
00:49:21 → 00:49:23 ทีมันก็ต้องก็ต้องปล่อยมันไปฟังแล้วก็
00:49:23 → 00:49:26 ปล่อยมันไปบ้างนะอย่าไปจริงจังกับข่าวที่
00:49:26 → 00:49:28 ผมเสนอมากนัก
00:49:28 → 00:49:30 >> เพราะท่านจะเครียดคือมันต้องมีอะไรที่
00:49:30 → 00:49:30 >> อือ
00:49:30 → 00:49:35 >> ที่ให้ปิดท้ายถ้าถ้าเป็นข่าวเนเป็นเป็น
00:49:35 → 00:49:37 มืออาชีพเนี่ยมันควรจะให้อะไรกับผู้ฟัง
00:49:37 → 00:49:38 นอกจากแค่
00:49:38 → 00:49:38 >> อ
00:49:38 → 00:49:41 >> แค่เตอร์taนบันเทิงโอเคนบันเทิงมันก็ไม่
00:49:41 → 00:49:43 เป็นไรใช่มั้ยแต่อะไรที่มันก่อให้เกิด
00:49:43 → 00:49:47 ความตกใจความโกรธความเกลียดความอะไรต่างๆ
00:49:47 → 00:49:49 บอกเจตนาเเพื่อให้ข้อมูลทีนี้ถ้าให้ข้อ
00:49:49 → 00:49:52 มูลบางคนอาจจะรู้สึกไม่พอใจไม่อย่างงู้น
00:49:52 → 00:49:54 อย่างงี้เนี่ยอันนี้ก็ห้ามไม่ได้นะแต่
00:49:54 → 00:49:56 อย่าไปจริงจังอย่าไปถืออะไรของมันมาก
00:49:56 → 00:49:58 เดี๋ยวพรุ่งนี้เข้าข่าวใหม่ก็มาข้อมูล
00:49:58 → 00:50:01 ใหม่เป็นอีกเป็นหนังอีกม้วนนึงเห็นมั้ย
00:50:01 → 00:50:03 เพราะฉะนั้นทักษะที่สำคัญคือการเห็นแบบ
00:50:03 → 00:50:06 แผนวันนี้คนนี้พูดเราเชื่อเราอินเลยเรา
00:50:06 → 00:50:09 ด่าแหลกเลยพออีกวันนึงอ้าข้อมูลพลิก
00:50:09 → 00:50:09 >> อื
00:50:09 → 00:50:12 >> เราเห็นมั้ยเมื่อวานเนี้ยเราเม้นเรา
00:50:12 → 00:50:12 >> อื
00:50:12 → 00:50:15 >> เราผสมลงปล่อยไปแล้วอ่ะต้องไปตามรบอ่ะ
00:50:15 → 00:50:16 >> อื
00:50:16 → 00:50:17 >> เพราะจริงๆข้อมูลไม่ใช่เพราะฉะนั้นก็เออ
00:50:17 → 00:50:19 มันอาจจะชวนให้เราต้องเฮ้ยเราต้อง
00:50:19 → 00:50:21 slโลว์ดาวนนิดนึงมั้ยเราต้องทนนิดนึงว่า
00:50:21 → 00:50:23 เรากลัวจะกลัวจะไม่เป็นเบอร์ที่ 1
00:50:23 → 00:50:23 >> อ
00:50:23 → 00:50:26 >> กลัวจะไม่เป็นหน้าแรกเนี่ยอาจจะต้องรอนิด
00:50:26 → 00:50:26 นึงนะ
00:50:26 → 00:50:26 >> อ
00:50:27 → 00:50:30 >> พอออกไปแล้วหน้าแตกทีนี้หน้าแตกก็ลบนี้ลบ
00:50:30 → 00:50:32 ไม่ทันเนี่ยเคุณเแคปtureไว้อะไรเงี้ย
00:50:32 → 00:50:32 >> อืออื
00:50:32 → 00:50:34 >> มันก็มีปรากฏการณ์ที่เราก็น่าจะมาเรียน
00:50:34 → 00:50:37 รู้ที่SLดาวลงบ้างเพราะว่ามันไวด้วยข้อ
00:50:37 → 00:50:42 มูล Mental immมที่เป็นอิมมูนต่อ Content
00:50:42 → 00:50:46 เชื่อเร็วถูกแล้วไม่ได้เชื่อเชื่อว่าใคร
00:50:46 → 00:50:49 เป็นคนพูดนะเนื้อหาทีไม่เท่าไหร่ถ้าคนนี้
00:50:49 → 00:50:50 พูดเชื่อหมด
00:50:50 → 00:50:51 >> อื
00:50:51 → 00:50:53 >> ถ้าอีกฝ่ายนึงพูดยังไงก็ไม่เชื่อพูด
00:50:53 → 00:50:53 เรื่องเดียวกัน
00:50:53 → 00:50:54 >> อือ
00:50:54 → 00:50:57 >> นะก็เราก็รู้เรื่องของ AI เราไปจ้องอะไร
00:50:57 → 00:50:59 บ่อยๆมันก็ฟีดมาให้เราดูบ่อยๆ
00:50:59 → 00:51:00 >> อครับ
00:51:00 → 00:51:03 >> เราจ้องหน้าไหนเราใส่ใจเวลาหน้าไหนมันก็
00:51:03 → 00:51:06 ฟีดให้เราดูเราต้องเข้าใจตรงนี้ว่าเออ
00:51:06 → 00:51:08 เห็นบ่อยๆก็จริง
00:51:08 → 00:51:09 >> อื
00:51:09 → 00:51:09 >> เห็นมั้เชื่อ
00:51:10 → 00:51:10 >> ครับ
00:51:10 → 00:51:13 >> เนื้อหามันไม่จริงหรอกเนื้อหามันไม่ได้
00:51:13 → 00:51:15 จริงมันตัวโดยตัวมันเองไอ้ที่ content
00:51:15 → 00:51:18 ที่อยู่ในในอินเทอร์เน็ตในโซเชียลมีเดีย
00:51:18 → 00:51:22 นะมันไม่ได้เป็นความจริงสำเร็จรูป
00:51:22 → 00:51:22 >> ครับ
00:51:22 → 00:51:24 >> มันเป็นความจริงเมื่อเชื่อ
00:51:24 → 00:51:24 >> ครับ
00:51:24 → 00:51:28 >> เชื่อเมื่อไหร่ก็จริงอาจจะจริงเชื่อคราว
00:51:28 → 00:51:31 จริงของฝ่ายนึงก็อย่างนึงจริงของอีกฝ่าย
00:51:31 → 00:51:35 ฝ่ายนึงก็อย่างคนละจริงแล้วมาเถียงกัน
00:51:35 → 00:51:36 >> อื
00:51:36 → 00:51:38 >> เอามายึดถือกันแต่ถ้าเกิดลองฟังให้ที่ว่า
00:51:38 → 00:51:40 ที่คุณว่าจริงของคุณนี่คุณไปฟังอะไรมา
00:51:40 → 00:51:43 จริงของคุณคุณไปฟังมารู้ว่าความจริงไม่
00:51:43 → 00:51:45 ใช่ไม่ใช่ที่สุดสิ่งที่เราบอกว่าจริงขนาด
00:51:45 → 00:51:47 เนี้ยแค่
00:51:47 → 00:51:48 >> อื
00:51:48 → 00:51:52 >> แค่อยู่กับฝ่ายไหนมองมองแบบไหนเชื่อฉัน
00:51:52 → 00:51:54 เชื่อมาแบบนี้ตลอดฉันก็ไม่ตั้งคำถามคุณ
00:51:54 → 00:51:56 ไม่เคยเชื่อเลยคุณก็ตั้งคำถามได้เยอะแยะ
00:51:56 → 00:51:57 >> อือ
00:51:57 → 00:51:59 >> คุณก็บอกไม่จริงแต่ฉันเชื่อคนนี้มาตลอด
00:51:59 → 00:52:00 ฉันก็ว่าจริง
00:52:00 → 00:52:02 >> อือื
00:52:02 → 00:52:03 >> มันไม่ใช่ความจริงแท้
00:52:03 → 00:52:03 >> ครับ
00:52:03 → 00:52:06 >> มันปรุงมันมโนมันยึดถือบอกอุปทานการเข้า
00:52:06 → 00:52:09 ไปยึดแล้วไม่ไม่เผื่อไว้ไม่เผื่อปล่อยไว้
00:52:09 → 00:52:10 บ้างอ่ะ
00:52:10 → 00:52:11 >> อื
00:52:11 → 00:52:14 >> เอ้ชัดเอ๊ะทำไมคนว่าแบบนี้อีกคนนึงแบบนี้
00:52:14 → 00:52:17 เอ๊ะหรือว่ามันไม่ใช่เอ๊ะอะเอ๊ะหรือไม่
00:52:17 → 00:52:18 น่าจะใช่มั้ย
00:52:18 → 00:52:18 >> ครับ
00:52:18 → 00:52:20 >> อันเนี้ยปัญญาที่บอกวิสัมมันเกิดคือมัน
00:52:20 → 00:52:24 เห็นแพทเทิร์นว่าคนนี้พูดปุ๊บเราไม่เรา
00:52:24 → 00:52:27 ไม่มีข้อโต้แย้งเลยทันทีเออเอาหอมบอกแต่
00:52:27 → 00:52:29 ทำไมคนมันด่าจังเฮ้ยมุมเเราไปฟังแบบมุม
00:52:30 → 00:52:30 เค้า
00:52:30 → 00:52:33 คนที่เราเชื่อมั่นสัตธรรมมุมเ้าเป็นยังไง
00:52:33 → 00:52:36 มันถึงจะเริ่มตื่นขึ้นมาแล้วก็เริ่มเกิด
00:52:36 → 00:52:40 ปัญญาแยกแยะได้มันไม่ใช่สำคัญว่าใครเป็น
00:52:40 → 00:52:43 คนพูดอย่างเดียวสพันธ์เนื้อหาที่เพูดมัน
00:52:43 → 00:52:44 make sense
00:52:44 → 00:52:44 >> ครับ
00:52:44 → 00:52:47 >> มันมันมีสาระมันมันอยู่คล่องกับลอยมัน
00:52:48 → 00:52:50 consistency มั้ยมันสม่ำเสมอ
00:52:50 → 00:52:52 >> มันตอนนั้นพูดอย่างตอนนี้พูดอย่าง
00:52:52 → 00:52:54 >> พออีกฝ่ายนึงทำพูดอีกอย่างนึง
00:52:54 → 00:52:55 >> ครับ
00:52:55 → 00:52:57 >> พอไอ้ฝ่ายตัวเองมาไม่พูด
00:52:57 → 00:52:58 >> ครับ
00:52:58 → 00:53:00 >> เออวันนั้นเราก็ไม่เอาไม่เอาคำพูดนั้นมา
00:53:00 → 00:53:03 ขยายความแล้วโอพูดดีมากพูดดีไอ้นี้มันพูด
00:53:03 → 00:53:03 ไปเรื่อย
00:53:03 → 00:53:04 >> อือ
00:53:04 → 00:53:06 >> พูดเอาพูดเอาดีใส่ตัวอ่าโอเคมันก็เป็น
00:53:06 → 00:53:09 เป็นสิ่งที่เราเห็นแล้วก็เป็นเรื่องๆบาง
00:53:09 → 00:53:11 เรื่องคนบางคนเราไม่ชอบแต่เค้าพูดดีนะใน
00:53:11 → 00:53:13 บางช็อต
00:53:13 → 00:53:17 ประเด็นเนี้ยดีไม่ใช่คนนี้ดีนะ
00:53:17 → 00:53:20 ใครดีไม่ดีเราไม่รู้หรอกแต่ประเด็นนี้พูด
00:53:20 → 00:53:23 แบบเนี้ยมีประโยชน์พูดแบบนี้ไม่มี
00:53:23 → 00:53:24 ประโยชน์คำพูดแบบนี้
00:53:24 → 00:53:25 >> ครับ
00:53:25 → 00:53:27 >> ผมก็ไม่ใช่ไม่ค่อยสนับสนุนให้ไปจงเขียดจง
00:53:27 → 00:53:30 ชังด้อยค่าความเป็นคนของของใครเนี่ย
00:53:30 → 00:53:30 >> ครับ
00:53:30 → 00:53:32 >> แม้ว่าจะดีหรือไม่ดีในแง่ของพฤติกรรมการ
00:53:32 → 00:53:35 กระทำมันเป็นปัญหาต้องพฤติกรรมการกระทำ
00:53:35 → 00:53:38 >> จับประเด็นอาจารย์พยายามจะสรุปให้เราเห็น
00:53:38 → 00:53:42 ว่าเวลาเราเสพข่าวเราต้องจับแพทเทิร์น
00:53:42 → 00:53:45 เนี่ยฮะที่อาจารย์พูดมาสรุปได้เห็นภาพเลย
00:53:45 → 00:53:49 มีภูมิปัญญาที่จะรู้แพทเทิร์นในการนำเสนอ
00:53:49 → 00:53:52 ข่าวที่จะกระชากอารมณ์เราแล้วทำให้เรา
00:53:52 → 00:53:57 ด่วนสรุปแพทเทิร์นนั้นคือคำพูด
00:53:57 → 00:54:01 influencer เวทีทีวิธีการพูดวิธีการใส่
00:54:01 → 00:54:04 อารมณ์และการไม่มีข้อสรุป
00:54:05 → 00:54:08 แล้ววันต่อไปข่าวเปลี่ยนคนนั้นก็เปลี่ยน
00:54:08 → 00:54:11 ตามโดยที่ไม่ได้กลับมาแก้คำพูดเก่าที่เขา
00:54:11 → 00:54:14 เคยพูด
00:54:14 → 00:54:16 เขาจะพูดยังไงไม่สำคัญอาจารย์บอกว่ากลับ
00:54:16 → 00:54:20 มาดูที่เราว่าเราได้เบรคมยเราได้
00:54:20 → 00:54:23 >> เราได้ฟังเขาแล้วอินไปกับเขาจนหมดแล้ว
00:54:23 → 00:54:27 หรือยังหรือเราแค่ฟังแล้วดูแล้วค่อยไปไต่
00:54:27 → 00:54:30 ตองด้วยตัวเองอันนี้สำคัญครับเพราะมันทำ
00:54:30 → 00:54:33 ให้สังคมเกิดการแตกแยกแล้วที่เราเห็นกัน
00:54:33 → 00:54:36 อยู่เรื่อยๆอ่ะครับผมว่ามันไม่ได้ Hethy
00:54:36 → 00:54:39 มันไม่ได้เป็นการพิมพ์ที่แบบเกิดประโยชน์
00:54:39 → 00:54:41 เพราะผู้นำ
00:54:41 → 00:54:44 >> ขอใช้คำว่า influencer ก็ได้ผู้นำที่มี
00:54:44 → 00:54:49 ที่มีอำนาจในการ persuade หรือชักจูง
00:54:49 → 00:54:50 >> ชักชักจูงอื
00:54:50 → 00:54:54 >> ประชาชนเนี่ยตัวเองก็ไม่รู้ด้วยเหตุอะไร
00:54:54 → 00:54:58 ไม่ได้เป็นกลางเวลานำเสนออะไรบางก็จะมีคำ
00:54:58 → 00:55:01 พูดที่สื่อให้เห็นเลยว่าอารมณ์เค้าไปทาง
00:55:01 → 00:55:04 นี้เรียบร้อยละคล้อยให้เราเชื่อไปทางนี้
00:55:04 → 00:55:05 เรียบร้อยเรียบร้อย
00:55:05 → 00:55:05 >> อื
00:55:05 → 00:55:10 >> โดยที่ข้อมูลมาจากไหนก็มาจากอินเทอร์เน็ต
00:55:10 → 00:55:15 ที่มาแปะอีกทีใส่อารมณ์นะผมว่ามันก็
00:55:15 → 00:55:17 แค่อยากจะ
00:55:17 → 00:55:20 >> บางทีข้อมูลเค้าก็เป็นความจริงแต่ถามว่า
00:55:20 → 00:55:21 พูดไปเพื่อ
00:55:21 → 00:55:22 >> ครับ
00:55:22 → 00:55:25 >> ณขณะนี้อดีตอาจจะมีปัญหามีข้อมูลจริงก็
00:55:25 → 00:55:28 คือเป็นคนเคยทำอย่างงู้นอย่างงี้มาแต่ถึง
00:55:28 → 00:55:31 ตอนนี้จะไปขุดเอามาเพื่อต้องบอกก่อนพูด
00:55:31 → 00:55:32 >> ซึ่งไม่เกี่ยวกับวันนี้
00:55:32 → 00:55:34 >> อ่าพูดเพื่อให้มองเค้ายังไงเพื่อเพื่อ
00:55:34 → 00:55:35 อะไร
00:55:35 → 00:55:35 >> ครับ
00:55:35 → 00:55:38 >> เพื่อให้เพื่อให้เห็นทั้ง 2 ด้านเพื่อให้
00:55:38 → 00:55:43 ไม่กระโจนไปไลฟหรือไปอุดมการณ์ยกย่องจน
00:55:43 → 00:55:45 ไม่ลืมหูลืมตาจะได้ฟังอะไรอย่างี้ก็ได้
00:55:45 → 00:55:47 บอกว่าอันนี้เพื่อไม่ได้เพื่อจะมาโต้
00:55:48 → 00:55:50 เถียงไม่ได้เพื่อจะมาบอกว่าสิ่งคนที่คุณ
00:55:50 → 00:55:52 ชอบนั้นเ้าเลวอย่างงู้นเลวอย่างงี้ไม่ใช่
00:55:52 → 00:55:56 เ้ามีคนมีทั้งมีดีและไม่ดีบางโมเมนต์บาง
00:55:56 → 00:55:57 จังหวะตอนที่เค้าไม่ได้ทำไอ้นั่นไม่ได้ทำ
00:55:57 → 00:56:00 ไอ้นี่มันอาจจะมีเหตุผลความจำเป็นอาจจะมี
00:56:00 → 00:56:01 เบื้องหลัง
00:56:01 → 00:56:02 >> อื
00:56:02 → 00:56:05 >> อะไรก็ไม่รู้ล่ะอ่ายังยังอะไรยังไม่เด็ด
00:56:05 → 00:56:08 ขาดยังต้องยังต้องตามน้ำไปก่อน
00:56:08 → 00:56:08 >> อื
00:56:08 → 00:56:12 >> ยังทำอะไรมากไม่ได้อะไรเงี้ยนะถนอมตัวใน
00:56:12 → 00:56:14 บางจังหวะเราก็ต้องถนอมตัวบางจังหวะต้อง
00:56:14 → 00:56:17 ระมัดระวังเพราะฉะนั้นการที่เราจะเอาข้อ
00:56:17 → 00:56:20 มูลอดีตแล้วมาตัดสินปัจจุบันก็ลำบาก
00:56:20 → 00:56:20 >> อื
00:56:20 → 00:56:23 >> เพราะงั้นก็ดีที่สุดก็คืออะไรที่สร้าง
00:56:23 → 00:56:25 ความขุ่นในใจเรา
00:56:25 → 00:56:25 >> อื
00:56:25 → 00:56:26 >> ดูดูดูแลให้ดีนะฮะ
00:56:27 → 00:56:28 >> เออกลับมาที่ตัวเอง
00:56:28 → 00:56:30 >> เออกลับมานอนหลับกลับมาไม่ใช่กลับมาโมโห
00:56:31 → 00:56:31 โทโสง
00:56:31 → 00:56:32 >> ครับ
00:56:32 → 00:56:34 >> ครับคอยจับจ้อง
00:56:34 → 00:56:34 >> ครับ
00:56:34 → 00:56:36 >> คอยจับผิดเวลาคอยจับผิดก็เจอหมดใช่มั้ย
00:56:37 → 00:56:37 ครับ
00:56:37 → 00:56:39 >> เวลาเราเห็นใครไม่ดีเราจอยจับผิด่ะมันเจอ
00:56:39 → 00:56:42 หมดแหละเวลาเห็นใครไม่ดีเราไปคุ้ยfoบ
00:56:42 → 00:56:45 prรintก็ใช้คีย์เวิร์ดแบบนี้ก็เจอ
00:56:45 → 00:56:46 >> ครับ
00:56:46 → 00:56:48 >> ใช้คีย์เวิร์ดอีกอย่างนึงก็เจออีกแบบนึง
00:56:48 → 00:56:50 >> ใช่มั้ครับข้อดีๆก็ไปเจอใน
00:56:50 → 00:56:53 >> ในในเว็บเพจในเว็บไซต์ในข้อมูลของฐานของ
00:56:53 → 00:56:55 อีกฝ่ายนึงอ่าใช้ข้อมูลอีกแบบนึงก็ไปเจอ
00:56:55 → 00:56:57 อีกแบบนึง
00:56:57 → 00:56:59 ได้ให้ทำไงอ่ะครับแล้วลองตรวจสอบทั้ง 2
00:56:59 → 00:57:02 ด้านมันก็ทำให้เราโอเคเราต้องเลือกด้วย
00:57:02 → 00:57:03 ตัวเราเองละ
00:57:03 → 00:57:07 >> ทุกคนก็เริ่มรู้สึกกลับมามีอะไรนะมีอำนาจ
00:57:07 → 00:57:10 ในตัวเองมีมีความ empower ตัวเองในการที่
00:57:10 → 00:57:12 จะเลือกตอนนี้เราเราไม่ได้ empow ตัวเอง
00:57:12 → 00:57:13 นะเราถูก
00:57:13 → 00:57:14 >> ถูก empow
00:57:14 → 00:57:16 >> เออถูกเราถูกpowerา
00:57:16 → 00:57:18 >> powerาที่มาจากยอดไลฟ์สูงครับ
00:57:18 → 00:57:21 >> ออกหน้าออกจอบ่อยคนเชิญไปสัมภาษณ์เยอะ
00:57:21 → 00:57:23 >> มีอำนาจทันทีเลยเนาะ
00:57:23 → 00:57:24 >> อืจริงครับ
00:57:24 → 00:57:26 >> เป็นมีพาเวอร์โดยที่เขาไม่ไม่ได้แสดง
00:57:26 → 00:57:28 พาเวอร์อะไรแต่ซ้ำๆฟังอะไรเราก็จะเชื่อ
00:57:28 → 00:57:29 เ้าโดยที่บางที
00:57:29 → 00:57:31 >> โดยไม่ได้ไต่ตรอง
00:57:31 → 00:57:31 >> ครับ
00:57:31 → 00:57:34 >> เนี่ยครับงั้นอำนาจที่มันเป็นปรากฏการณ์
00:57:34 → 00:57:37 ที่มันไม่ได้เกิดจากการใช้คำสั่งแล้วมัน
00:57:37 → 00:57:40 เป็นมัน influence มันมันมีอิทธิพลเหนือ
00:57:40 → 00:57:41 >> ครับ
00:57:41 → 00:57:44 >> มันมาจากหลายแบบ
00:57:44 → 00:57:48 >> ครับนำไปสู่หัวข้อต่อไปอาจารย์
00:57:48 → 00:57:53 อาจารย์ครับยุคที่คนไม่ได้มองมนุษย์ที่ผล
00:57:53 → 00:57:58 งานไม่ได้มองด้วยเจตนาและการกระทำแต่มอง
00:57:58 → 00:58:00 ด้วยภาพลักษณ์
00:58:01 → 00:58:02 ไม่ได้เป็นอย่างนี้ทั้งหมดนะฮะแต่ผมกำลัง
00:58:02 → 00:58:06 มองว่าเทรนด์จากร้านกาแฟตัวอย่างง่ายๆจะ
00:58:06 → 00:58:09 เปิดร้านกาแฟเนี่ยกาแฟอร่อยเก็บไว้ก่อน
00:58:09 → 00:58:13 ร้านต้องดูดีร้านต้องน่านั่งต้องโฟโตenนิ
00:58:13 → 00:58:16 อันนี้แค่แค่ตัวอย่างง่ายๆนะฮะอาจารย์
00:58:16 → 00:58:19 ครับมันทุกวงการเลยแม้กระทั่งวงการเด็ก
00:58:19 → 00:58:22 โรงเรียนการศึกษาครูเองก็ต้องถูกกดดัน
00:58:22 → 00:58:24 เพราะเด็กตกไม่ได้
00:58:24 → 00:58:24 >> อื
00:58:24 → 00:58:28 >> ภาพลักษณ์โรงเรียนต้องมาก่อนครูจะสอนมาก
00:58:28 → 00:58:32 น้อยแค่ไหนหลังบ้านไม่รู้แต่ภาพลักษณ์
00:58:32 → 00:58:38 ครับเราจะปลุกกระแสให้คนดูคุณค่าคนมาก
00:58:38 → 00:58:40 กว่าดูที่ภาพลักษณ์เค้ายังไงครับอาจารย์
00:58:40 → 00:58:43 >> โอเราก็พูดกันมานานเนาะแต่เราก็ติดเรื่อง
00:58:43 → 00:58:44 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
00:58:44 → 00:58:45 >> อือ
00:58:45 → 00:58:49 >> แต่สัมผัสทางใจเราไม่ค่อยมีไงไปแล้วใจมัน
00:58:49 → 00:58:52 สงบใจมันเข้าไปแล้วมันมันมีอะไรบางอย่าง
00:58:52 → 00:58:54 รู้สึกมันเย็นสบายมันสงบเรากลับไปให้เรา
00:58:55 → 00:58:57 ไปชื่นชมอะไรบางอย่างบางคนเข้าไปร้านก็
00:58:57 → 00:58:59 อยู่ที่คุณภาพของของใจเราอ่ะครับว่าเรา
00:58:59 → 00:59:02 ให้ถ้าเราให้คุณค่ากับแสงสีเปิดเพลงเราก็
00:59:02 → 00:59:04 จะโฟกัสอ่ะไม่เห็นทาสีไม่เห็นตัวนู้นไม่
00:59:04 → 00:59:07 เห็นมีแต่แต่ถ้าเกิดคนมีคุณภาพของใจดี
00:59:07 → 00:59:10 เฮ้ยเฮ้ยดูบาริต้าเ้าดูเ้าสงบ
00:59:10 → 00:59:11 >> บอกไม่ถูก
00:59:11 → 00:59:12 >> อื
00:59:12 → 00:59:16 >> เบอกไม่ถูกเออเ้าจัดเอ้ยเค้าจัด
00:59:16 → 00:59:19 โลเคชัเค้าดูไม่หรูไม่อะไรมากแต่รู้สึก
00:59:19 → 00:59:23 ทำไมมันให้คุณภาพของจิตใจเนี่ยมันรับรู้
00:59:23 → 00:59:24 สิ่งที่มัน
00:59:24 → 00:59:26 >> ไม่ได้เป็นฟิสิกส์เป็นนามเป็นรูปธรรมนะ
00:59:26 → 00:59:26 ครับ
00:59:26 → 00:59:27 >> อ
00:59:27 → 00:59:29 >> เพราะฉะนั้นคุณภาพของใจมันถึงมายุคที่เรา
00:59:29 → 00:59:31 ต้องมาพัฒนาคุณภาพของจิตใจอ่ะ
00:59:31 → 00:59:33 >> ที่จะรับรู้
00:59:33 → 00:59:36 >> ที่มันไม่ใช่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเฉยๆ
00:59:36 → 00:59:38 มันไม่รู้มันมันอะไรไม่รู้แต่มันบอกไม่
00:59:38 → 00:59:41 ถูกอ่ะซึ่งทุกคนมีเซ้นอันนี้นะ
00:59:41 → 00:59:43 >> เฮ้ยมาทำไมที่นี่แล้วมันสบายใจมาที่นี่
00:59:43 → 00:59:45 รู้สึกเฮ้ยเรารู้สึกเค้าเป็นมิตรกับเรา
00:59:45 → 00:59:45 จังเลย
00:59:45 → 00:59:46 >> อื
00:59:46 → 00:59:48 >> ตั้งแต่เข้าที่จนรถมาตั้งแต่ไม่รู้สิมัน
00:59:48 → 00:59:49 มีอะไรบางอย่าง
00:59:49 → 00:59:50 >> ครับ
00:59:50 → 00:59:52 >> อันเนี้ยครับมันจะเป็นเรื่องของผมว่าไยุค
00:59:52 → 00:59:55 ตัดไปอ่ะมันจะเป็นยุคที่ให้คุณค่าเรื่อง
00:59:55 → 00:59:58 จิตวิญญาณเรื่องคุณค่าความหมายบางอย่าง
00:59:58 → 01:00:01 ไม่อยากจะไปเรื่องเ่งเอนเerร์ยีพลังพลัง
01:00:01 → 01:00:04 งานจะเป็นสายมูนะแต่ว่า
01:00:04 → 01:00:06 >> เรื่องนี้มันมีคุณมันมีมันมีปรากฏการณ์
01:00:06 → 01:00:07 แบบนี้อยู่จริง
01:00:07 → 01:00:09 >> อย่างบางสถานที่เราบอกไม่ถูกว่าทำไมเราไป
01:00:09 → 01:00:11 แล้วแล้วรู้สึกเรารู้สึกประทับใจ
01:00:11 → 01:00:11 >> อ
01:00:11 → 01:00:13 >> ให้เราอธิบายเราอธิบายไม่ถูก
01:00:13 → 01:00:13 >> อือ
01:00:14 → 01:00:17 >> เพราะโครงสร้างแล้วเพราะอะไรไม่รู้เป็น
01:00:17 → 01:00:18 มวลรวมบางอย่าง
01:00:18 → 01:00:18 >> อื
01:00:18 → 01:00:21 >> ซึ่งอันเนี้ยเราก็มีหลายที่เรา
01:00:21 → 01:00:23 เราเราประทับใจ
01:00:23 → 01:00:25 >> แต่ละคนก็ประทับใจไม่เหมือนกันด้วยนะ
01:00:25 → 01:00:26 >> ครับ
01:00:26 → 01:00:28 >> มันก็ให้มุมมองให้คุณค่าไม่เหมือนกัน
01:00:28 → 01:00:31 เพราะฉะนั้นผมว่าเราคงปฏิเสธเราคงห้ามเ
01:00:31 → 01:00:33 ไม่ได้หรอกครับว่าเขาจะตกแต่งเพียงแต่ว่า
01:00:33 → 01:00:35 ถ้าเขาต้องลงทุนเยอะเป็นหนี้เป็นสินมา
01:00:35 → 01:00:37 เพื่อตั้งหน้าร้านให้สวยงามแล้วดึงดูดคน
01:00:37 → 01:00:38 ด้วย
01:00:38 → 01:00:39 >> ด้วยเปลือก
01:00:39 → 01:00:40 >> อื
01:00:40 → 01:00:42 >> เจะอยู่ไม่นานเจะไม่มีเงินใช้หนี้
01:00:42 → 01:00:42 >> ครับ
01:00:42 → 01:00:43 >> ธุรกิจเขาจะเจ๊ง
01:00:43 → 01:00:44 >> ครับ
01:00:44 → 01:00:46 >> แล้วพอจะเจ๊งก็เจ๊งไม่ได้ก็ต้อง
01:00:46 → 01:00:47 >> ครับ
01:00:47 → 01:00:48 >> ก็ต้องเติมไอ้นู่นไอ้นี่ใช่มั้ยครับ
01:00:48 → 01:00:51 เหมือนถ้าสมมุติเราวงการแพทย์เนี่ยถ้าถ้า
01:00:51 → 01:00:55 แพทย์จบใหม่เนี่ยแล้วอยากจะรวยเร็วๆเนี่ย
01:00:55 → 01:00:57 เปิดคลินิกแล้วคนไม่ค่อยเข้าทำไงครับก็
01:00:57 → 01:01:00 ต้องโปรโมทโปรโมทก็ต้องโฆษณาโฆษณาก็ห้าม
01:01:00 → 01:01:03 โฆษณาใช่มั้ยก็ต้องหาวิธีออกก็ออกสื่อออก
01:01:03 → 01:01:07 สื่อก็แฝงๆไปใช่มั้ทำให้ดูดีดูเก่งดูเท่
01:01:07 → 01:01:10 อะไรเงี้ยแต่ข้างในตัวเองไม่ได้หรือไม่
01:01:10 → 01:01:12 ได้มีความพร้อมที่จะดูแลมันก็เสี่ยงอ่ะ
01:01:12 → 01:01:15 อาจจะดูดีรวยเออคนก็มาแล้วแต่สุดท้ายก็
01:01:15 → 01:01:15 เสี่ยง
01:01:15 → 01:01:16 >> ครับ
01:01:16 → 01:01:18 >> เสี่ยงที่จะมีปัญหาสร้างมีคอมพลิเคชมี
01:01:18 → 01:01:20 อะไรต่างๆอย่างผมผมยกตัวอย่างผมเองตอนที่
01:01:21 → 01:01:24 ผมจบจบมาเนี่ยตอนผมเคยเปิดคลินิกนะ
01:01:24 → 01:01:25 >> อื
01:01:25 → 01:01:28 >> แต่ตอนที่เปิดคลินิกเนี่ยไม่ต้องคำนวณ
01:01:28 → 01:01:29 >> อื
01:01:29 → 01:01:32 >> ว่าจะได้วันไข้กี่คนเพราะว่าถ้าผ่อนตึก
01:01:32 → 01:01:33 คือเงินเดือน
01:01:33 → 01:01:33 >> ครับ
01:01:33 → 01:01:37 >> จะไม่เอารายได้จากการเปิดคลินิกมาผ่อน
01:01:37 → 01:01:38 >> ครับ
01:01:38 → 01:01:42 >> ถ้าไม่แน่ใจงั้นถ้าเปิดคลินิกเปิดเซง์
01:01:42 → 01:01:46 ร้านแล้วจะต้องอาศัยรายได้จากการตรวจคน
01:01:46 → 01:01:50 ไข้เอามาจ่ายความเสี่ยงจะมาว่าก็ต้องหาคน
01:01:50 → 01:01:50 ไข้
01:01:51 → 01:01:53 >> ถ้าคนไข้น้อยต้องโปรโมท
01:01:53 → 01:01:57 >> ต้องหาทางให้ยาให้นู่นให้นี่จ่ายจ่ายนู่น
01:01:57 → 01:01:58 จ่ายนี่เพื่อ income
01:01:58 → 01:01:59 >> ครับ
01:01:59 → 01:02:02 >> เนี่ยถึงบอกว่าบางครั้งเราก็ผูกมั่นตัว
01:02:02 → 01:02:03 เราเอง
01:02:03 → 01:02:03 >> ครับ
01:02:03 → 01:02:05 >> นั้นก็ต้องสร้างภาพสร้างอะไรต่างๆแล้วมัน
01:02:05 → 01:02:08 ก็เนี่ยครับสูญเสียคุณค่า
01:02:08 → 01:02:11 >> ครับงั้นผมบอกว่าอย่างกถ้าใครเป็นหมอน้อง
01:02:11 → 01:02:13 ๆจบใหม่เนี่ยอย่ารีบร้อนพอรีบร้อนแล้วมัน
01:02:13 → 01:02:15 จะเหนื่อยครับแล้วมันเติดกับดักเข้าไป
01:02:15 → 01:02:16 ธุรกิจแล้วน่ะ
01:02:16 → 01:02:16 >> ครับ
01:02:16 → 01:02:19 >> ไอที่เจอบ่อยก็คือนายทุนก็เปิดร้านไว้ให้
01:02:19 → 01:02:22 ตัวเองก็เข้าไปทำนานๆทุนเไม่รับผิดชอบ
01:02:22 → 01:02:23 หรอกให้เราเอาเราไปเสี่ยง
01:02:23 → 01:02:28 >> ครับเหตุผลที่ผมประเด็นนี้ก็คือ
01:02:28 → 01:02:30 ขอบคุณครับอาจารย์ที่อาจารย์สรุปใช้คำนึง
01:02:30 → 01:02:34 ก็คือวิเคราะห์คุณค่าทางจิตใจอันนี้ผมคิด
01:02:34 → 01:02:38 ว่าเราไปใช้ในฐานะผู้บริโภคและผู้ให้
01:02:38 → 01:02:42 บริการถ้าทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มรีเซตสมดุลใหม่
01:02:42 → 01:02:46 ในสังคมแรงกดดันจะมันจะไม่เกิดหนึ่งใน
01:02:46 → 01:02:49 ปัญหาที่ไทยเรามีหนี้สินเยอะเยอะหรือนี้
01:02:49 → 01:02:52 เสียงนอกระบบก็เพราะเราอยู่ในแรงกดดัน
01:02:52 → 01:02:55 เนี่ยครับแรงกดดันที่ต้องสร้างภาพเหนือ
01:02:55 → 01:02:58 กว่าสร้างคุณค่าแบนเนมอะไรอย่างเงี้ยเออ
01:02:58 → 01:02:59 ใช่ครับ
01:02:59 → 01:03:04 >> มันก็เลยทำให้ตึกใหญ่ตึกสวยไปหมดอะไรเลย
01:03:04 → 01:03:08 ก็บริการเลิศไปหมดแต่คุณค่าในตัวมนุษย์
01:03:08 → 01:03:11 น้อยลงและไปกดดัน
01:03:11 → 01:03:11 >> อื
01:03:11 → 01:03:13 >> เพราะอะไรฮะเพราะผู้บริโภคก็ดีมานอย่าง
01:03:13 → 01:03:17 นั้นผู้บริโภคก็อาจจะลืมมองในคุณค่าในคน
01:03:17 → 01:03:21 ที่ให้บริการแต่ไปให้น้ำหนักกับภาพตึก
01:03:21 → 01:03:24 เสียงแบรนด์มากกว่างั้นมัน 2 ฝ่ายผมว่านะ
01:03:24 → 01:03:27 มันก็จะกดดันทั้งคู่แต่ถ้าเราย้อนยุคกลับ
01:03:27 → 01:03:30 ไปได้สมัยโบราณเนี่ยอันนี้ไม่ได้พูด
01:03:30 → 01:03:32 เรื่องความเสี่ยงการบริหารความเสี่ยงหรือ
01:03:32 → 01:03:35 อะไรนะเอาแค่ความสัมพันธ์ความเชื่อถือกัน
01:03:35 → 01:03:39 เนี่ยผมว่าแพทย์กับคนไข้หรือผู้ให้บริการ
01:03:39 → 01:03:41 กับผู้รับบริการมันศักดิ์สิทธิ์กว่านะใน
01:03:41 → 01:03:42 ยุคโบราณอาจารย์ศักสิทกว่าโบราณนี่
01:03:43 → 01:03:45 ศักดิสิทธิ์กว่าเยอะเพราะว่าคนที่เป็น
01:03:45 → 01:03:49 เป็นแพทย์มักจะมาพื้นฐานจากครูจาก
01:03:50 → 01:03:50 >> ครับ
01:03:50 → 01:03:51 >> บัดหลวงจากพระ
01:03:51 → 01:03:51 >> ครับ
01:03:51 → 01:03:53 >> ก็จะได้มีความรู้ก็เริ่มรักษาจะเริ่ม
01:03:54 → 01:03:56 รักษาด้วยใช้ความเชื่อทางศาสนาต่อไปจะ
01:03:56 → 01:03:59 เริ่มมีสมุนไพรมีพิธีกรรมสวดเสริก็แล้ว
01:03:59 → 01:04:01 แต่พัฒนาการมาเรื่อยๆจนกระทั่งกลายเป็น
01:04:01 → 01:04:04 อาจารย์กลายเป็นครูกลายเป็นหมอเนี่ยมัน
01:04:04 → 01:04:06 อยู่ในตระกูลเดียวกันเนาซินแสเนี่ย
01:04:06 → 01:04:07 >> มาตระกูลเดียวกัน
01:04:07 → 01:04:09 >> แต่หลังๆมันเป็นอาชีพอ่ะ
01:04:09 → 01:04:09 >> อื
01:04:09 → 01:04:12 >> นะเป็นอาชีพแล้วก็ลูกค้าเนี่ยได้ระบบ
01:04:12 → 01:04:14 ธุรกิจที่เราเราเรียกกันใช่มั้ยครับมันก็
01:04:14 → 01:04:18 กลายเป็นลูกค้าอ่าโรงเรียนมหาวิทยาลัยก็
01:04:18 → 01:04:20 มองนักศึกษาเป็นลูกค้าภาษาที่เอามาพัฒนา
01:04:20 → 01:04:23 คุณภาพอ่ะภาษาที่เราใช้มันก็มันก็จะมันก็
01:04:23 → 01:04:25 เอาทางธุรกิจมาครับ
01:04:25 → 01:04:27 >> มันก็หนีเลยหนีไม่พ้นครับโมเดลธุรกิจก็
01:04:27 → 01:04:31 เข้ามาในกิจการการศึกษากิจการทุกอย่าง
01:04:31 → 01:04:34 กิจการโรงพยาบาลเราปฏิเสธไม่ได้หรอกเรา
01:04:34 → 01:04:38 วางใจว่าเราจะทำไงให้มันพอดีพอเหมาะพอสม
01:04:38 → 01:04:40 เราจะไม่เผลอไปให้คุณค่าบางอย่างจน
01:04:40 → 01:04:41 กระทั่งมันเสียอ
01:04:41 → 01:04:43 >> คุณค่าระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์คุณค่า
01:04:43 → 01:04:45 ของมนุษย์กับมนุษย์
01:04:45 → 01:04:48 >> เราเราสัมผัสได้เราจะมีพื้นที่ไม่งั้นเรา
01:04:48 → 01:04:50 จะอยู่กับทุกอย่างเป็นจักกลเป็นเมคนิคหมด
01:04:50 → 01:04:53 เลยเนาะทุกอย่างต้องประเมินต้องเป็นตัว
01:04:53 → 01:04:55 เลขต้องนู่นนี่แล้วไอ้คุณค่าที่เราคุยกัน
01:04:55 → 01:04:58 นี่เราวัดกันยังไงอ่ะเราสัมผัสได้เราจะ
01:04:58 → 01:05:00 สื่อสารยังไงเราจะมีพื้นที่ที่จะที่จะรับ
01:05:00 → 01:05:01 รู้มั้ย
01:05:01 → 01:05:04 >> พื้นที่จะรับรู้มิติที่จับต้องไม่ได้อ่ะ
01:05:04 → 01:05:07 >> ไม่ให้พื้นที่นะต้องแปลงมาเป็นตัวเลขแล้ว
01:05:07 → 01:05:09 บางทีบางอย่างมันแปลงไม่ได้ยอมทัพว่ามัน
01:05:09 → 01:05:13 บางอย่างมันจับต้องให้เป็นให้เป็นรูปธรรม
01:05:13 → 01:05:14 แบบนั้นไม่ได้
01:05:14 → 01:05:14 >> ครับ
01:05:14 → 01:05:16 >> และการจับต้องไม่ได้การไม่มี evidence
01:05:16 → 01:05:18 ไม่ใช่เป็น evidence of lack of
01:05:18 → 01:05:20 evidence ครับ
01:05:20 → 01:05:21 >> ไม่มี evidence ไม่ได้แปลว่า
01:05:21 → 01:05:22 >> สุดยอด
01:05:22 → 01:05:24 >> เป็นตัวเป็นหลักฐานที่บอกว่าไม่มี
01:05:24 → 01:05:25 >> ครับ
01:05:25 → 01:05:26 >> มันรับไม่ได้
01:05:26 → 01:05:28 >> ไม่มีเออไม่มีหลักฐานไม่ได้เป็นหลักฐาน
01:05:28 → 01:05:29 ที่บอกว่าไม่มี
01:05:29 → 01:05:30 >> ครับ
01:05:30 → 01:05:32 >> หรือมีหลักฐานก็ไม่ใช่เป็นหลักฐานบอกที่
01:05:32 → 01:05:33 บอกว่ามี
01:05:33 → 01:05:37 >> ขอบคุณครับอาจารย์ก็เห็นภาพก็พยายามหันมา
01:05:37 → 01:05:42 ให้ความสำคัญกับความรู้สึกเราจิตมันถึงจะ
01:05:42 → 01:05:45 เห็นค่าคนอื่นถ้าเราเห็นค่าในตัวเองนะเรา
01:05:45 → 01:05:46 เข้าใจความรู้สึกเราอย่างที่อาจารย์บอก
01:05:46 → 01:05:49 มันวัดไม่ได้มันวัดไม่ได้ไม่ได้หมายนึง
01:05:49 → 01:05:51 มันไม่มีหลักฐานนะแต่ของบางอย่างมันถูก
01:05:51 → 01:05:54 ดีไซน์มาเพื่อวัดไม่ได้มัน individual
01:05:54 → 01:05:56 แต่ถ้าเราเริ่มให้ความสำคัญว่าคุยกับ
01:05:56 → 01:05:59 มนุษย์ตรงข้ามเนี่ยมันเกิดคุณค่าอย่างไร
01:05:59 → 01:06:02 กระแสนั้นน่ะกระแสคุณค่ามนุษย์มันจะอยู่
01:06:02 → 01:06:06 เหนือกว่ากระแสคุณค่าของแบรนingหรือภาพ
01:06:06 → 01:06:09 พรรคผมอ่ะเพิ่งมาเริ่มเรียนรู้ก็คือ 5 ปี
01:06:09 → 01:06:12 พวกเนี้ยฮะอาจารย์ผมเสียดายนะว่าผมไม่เคย
01:06:12 → 01:06:16 รู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลยผมมีแต่ทำทำๆๆๆ
01:06:16 → 01:06:17 เราเป็นแพทย์นะเราก็ถูกเรียนให้สอนให้จำ
01:06:17 → 01:06:21 ให้สอนให้โอ้เวทำๆๆๆ
01:06:21 → 01:06:23 >> แต่พอเราถึงจุดนึงของชีวิตเราเพิ่งมารู้
01:06:23 → 01:06:27 ว่าโอสิ่งสำคัญที่สุดมันคือข้างใน
01:06:27 → 01:06:30 ผมก็เลยพยายามให้ลูกผมเริ่มจากข้างในก่อน
01:06:30 → 01:06:30 >> ครับ
01:06:30 → 01:06:33 >> ก็เลยก็เลยเนี่ยก็เลยมีโอกาสที่ดีมากเลย
01:06:33 → 01:06:35 ที่ได้เชิญอาจารย์มาแล้วก็อยากจะรณรงค์ใน
01:06:35 → 01:06:39 สังคมว่าเออแบบคุยเรื่องความรู้สึกทุกอัน
01:06:39 → 01:06:42 ตั้งโต๊ะคุยกันอาจจะไม่ต้องตั้งโต๊ะ
01:06:42 → 01:06:44 literally นะแต่หมายถึงว่าต้องมีเวลาคุย
01:06:44 → 01:06:47 เรื่องความรู้สึกเพราะเด็กรุ่นใหม่เนี่ย
01:06:47 → 01:06:50 มันต้องใช้ความรู้สึกละในยุคปัจจุบันที่
01:06:50 → 01:06:50 ผมอ่านนะ
01:06:51 → 01:06:51 >> ใช่
01:06:51 → 01:06:54 >> เพราะว่าผมเห็นรุ่นรุ่นเนี่ยรุ่นรุ่น
01:06:54 → 01:06:57 เจนก่อนเราเนี่ยมันความทุกข์เ้าเยอะปัญหา
01:06:57 → 01:07:00 อารมณ์เยอะแค่ขนาดตึกถล่มเนี่ยทั้งๆที่
01:07:00 → 01:07:03 ตัวเองไม่ได้เกี่ยวเลยนะผมมีคนไข้มาอื
01:07:03 → 01:07:05 ร้องไห้มา
01:07:05 → 01:07:07 >> คือมันอเฟคถึงทั้งๆที่มันเป็นไกลตัวเค้า
01:07:07 → 01:07:10 นะแสดงไม่ได้บอกว่าเค้าอ่อนโยนนะแต่ว่าผม
01:07:10 → 01:07:12 ว่า structure อะไรบางอย่างมันต้องมีอะไร
01:07:12 → 01:07:13 ที่พลาดอื
01:07:13 → 01:07:16 >> ในการอัingเ้าในการที่เขาโตมา
01:07:16 → 01:07:20 >> ใช่มันความความภูมิคุ้มกันในการที่จะวาง
01:07:20 → 01:07:22 ใจเข้าใจแล้วก็
01:07:22 → 01:07:24 >> ปล่อยไอ้เหมือนกับความทุกข์
01:07:24 → 01:07:25 >> ครับ
01:07:25 → 01:07:27 >> มันเหมือนเชื้อโรคเนาะมันเหมือนมันเหมือน
01:07:27 → 01:07:28 มันเหมือนไวรัสมันมาแต่ว่าเราไม่อินเฟก
01:07:28 → 01:07:29 อ่ะ
01:07:29 → 01:07:29 >> ครับ
01:07:29 → 01:07:33 >> เราเห็นภาพข่าวเราอาจจะไหวสงสารเ้านิด
01:07:33 → 01:07:36 หน่อยนะดูช้าๆแต่เรารู้แล้วเฮ้ยวางใจเฮ้ย
01:07:36 → 01:07:38 เราทำอะไรไม่ได้เราจะระวังเราจะป่วยไปอีก
01:07:38 → 01:07:39 คนนึง
01:07:39 → 01:07:41 >> อะไรเงี้ยมันเริ่มกลับมาเ care กลับมาดู
01:07:41 → 01:07:44 แลได้ตัวเองกลับมาดูแลตัวเองได้ดีคือจาก
01:07:44 → 01:07:47 การที่เราตระหนักเราเท่าทันนี้ถามว่า
01:07:47 → 01:07:50 เรื่องเรื่องอารมณ์และความรู้สึก
01:07:50 → 01:07:53 ภาษาจริงๆไอ้เนี่ยอารมณ์และความรู้สึกมัน
01:07:53 → 01:07:55 เป็นสิ่งที่
01:07:55 → 01:07:56 exist นะ
01:07:56 → 01:07:57 >> ครับ
01:07:57 → 01:07:59 >> มัน exist อยู่ดำรงอยู่จริงแต่ไอ้ความคิด
01:07:59 → 01:08:02 เนี่ยมันเป็นมโนเป็นความคิดมันไม่ได้มี
01:08:02 → 01:08:04 อยู่จริงมันเป็นความมันถามว่าจริงเนี่ย
01:08:04 → 01:08:07 คือความรู้สึกรู้สึกอย่างนั้นจริงๆอย่า
01:08:07 → 01:08:09 เพิ่งพอสมเหตุสมผลอย่าเพิ่งมาตั้งถามรู้
01:08:09 → 01:08:10 สึกอย่างงั้นได้ยังไง
01:08:10 → 01:08:11 >> ครับ
01:08:11 → 01:08:13 >> ทำไมแค่นี้ต้องเสียใจด้วย
01:08:13 → 01:08:13 >> อื
01:08:13 → 01:08:15 >> ต้องมีแค่นี้มั้ย
01:08:15 → 01:08:15 >> ครับ
01:08:15 → 01:08:17 >> ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องโมโหโมโหไปแล้วไม่
01:08:17 → 01:08:20 เป็นไรเพราะฉะนั้นการพูดคุยความรู้สึก
01:08:20 → 01:08:23 >> น้อยใจหนูน้อยใจใช่มั้ยหนูหนูกำลังน้อยใจ
01:08:23 → 01:08:26 ที่พ่อไม่ซื้อไอ้นี้ให้ใช่มั้ยโอเคหนู
01:08:26 → 01:08:30 น้อยใจไม่ใช่ว่าอะไรกันแค่นี้ต้องน้อยใจ
01:08:30 → 01:08:33 มันไม่ใช่แค่มันไม่ได้เหตุผลอะไรอ่ะก็
01:08:33 → 01:08:36 น้อยใจอยู่พ่อแม่เข้าใจมั้ยเหมือนเราพาพา
01:08:36 → 01:08:39 ลูกไปห้างแล้วลูกวิ่งร้องไห้ดิ้นลงไปดิ้น
01:08:40 → 01:08:42 เอาของเล่นน่ะเเจอมั้คือ
01:08:43 → 01:08:43 >> ครับอาจารย์
01:08:43 → 01:08:45 >> อยากจะพาไปห้างก็กลัวว่าจะไปดิไปร้อง
01:08:45 → 01:08:48 งอแงวของเล่นน่ะมันก็เป็นแบบเนี้ยถ้าเกิด
01:08:48 → 01:08:52 ถ้าเกิดเรารู้ว่าเค้าอยากได้ของเล่นแต่
01:08:52 → 01:08:54 ว่าตอนเราออกไปเราบอกว่าไปแล้วห้ามร้อง
01:08:54 → 01:08:56 เอาของเล่นนะเค้าเค้าตกลงมั้ย
01:08:56 → 01:08:57 >> อื
01:08:57 → 01:09:00 >> เค้าก็จะยอมตกลงใช่มั้แต่พอไปปุ๊บอ่ะ
01:09:00 → 01:09:00 >> เอาล่ะ
01:09:00 → 01:09:01 >> อื
01:09:01 → 01:09:03 >> แต่ถ้าเกิดถ้าเราเข้าใจความรู้สึกก่อนจะ
01:09:04 → 01:09:07 มาหนูอยากมาหนูเลยยอมสัญญาว่าจะไม่ร้อง
01:09:07 → 01:09:08 เอาของเล่น
01:09:08 → 01:09:08 >> ครับอาจารย์
01:09:08 → 01:09:09 >> ใช่ป่า
01:09:09 → 01:09:12 >> ลูกบอกว่าใช่แต่พอมาแล้วพอหนูเห็นมันอด
01:09:12 → 01:09:13 ไม่ได้ใช่มั้ย
01:09:13 → 01:09:14 >> อื
01:09:14 → 01:09:17 >> เข้าใจตอนที่เราไม่ได้นึกตอนที่เราไม่เจอ
01:09:17 → 01:09:18 เราก็นึกว่าเราทำได้
01:09:18 → 01:09:18 >> ครับ
01:09:18 → 01:09:21 >> แต่พอเราเจอมันเห็นแล้วมันก็อดไม่ได้หนู
01:09:21 → 01:09:24 ก็เลยอยากได้หนูก็เลยร้องไห้ใช่มั้เนี่ย
01:09:24 → 01:09:25 แค่เนี้ยเต้องการแค่เนี้ยต้องการความเข้า
01:09:25 → 01:09:28 ใจไอ้ที่ยังดิ้นไม่เลิกเพราะรู้สึกมันยัง
01:09:28 → 01:09:32 ไม่เข้าใจเรายังไม่เก็ตพ่อแม่ยังไม่เก็ต
01:09:32 → 01:09:34 ว่าฉันอยากได้ขนาดไหนก็แม่รู้หนูอยากได้
01:09:35 → 01:09:38 พ่อรู้หนูอยากได้แต่ที่บ้านเรามีเยอะละ
01:09:38 → 01:09:40 >> เดี๋เราไปทำไปกินไอติมกันดีกว่า
01:09:40 → 01:09:40 >> ครับ
01:09:40 → 01:09:43 >> ชิคิดเปลี่ยนได้
01:09:43 → 01:09:46 ก่อนจะจบขออนุญาตถามอาจารย์ดูแลความสุข
01:09:46 → 01:09:48 ความสงบ
01:09:48 → 01:09:50 ยังไงครับ
01:09:50 → 01:09:53 ของตัวเองอาจารย์อาจารย์ยังดูฟิตมากเลยนะ
01:09:53 → 01:09:56 ฮะผมผมดูอาจารย์เนี่ยกล้ามเนื้อใบหน้าผิว
01:09:56 → 01:09:58 อาจารย์นี้ยังดูอาจารย์ยังดูหนุ่มกว่า
01:09:58 → 01:10:01 อายุมากเลยอันนี้ขอแงบอกผมอาจจะดูแก่กว่า
01:10:01 → 01:10:04 อาจารย์ครับจริงๆผมตะกี้เรานั่งคุยกัน
01:10:04 → 01:10:07 ห้องนั้นเนี่ยผมสังเกตอาจารย์ตั้งแต่ผิว
01:10:07 → 01:10:10 หนังกล้ามเนื้อการหลังตรงการเดินขึ้น
01:10:10 → 01:10:13 บันไดของอาจารย์อาจารย์
01:10:13 → 01:10:16 แววตาอาจารย์เหมือนเดิมที่ผมเจออาจารย์
01:10:16 → 01:10:18 >> 20 ปีที่แล้วอาจารย์
01:10:18 → 01:10:19 >> อาจารย์ดูแลยังไงครับ
01:10:19 → 01:10:22 >> ก็ผมออกกำลังกายประจำด้วยด้วด้วยส่วน
01:10:22 → 01:10:25 หนึ่งก็คือเราเรา
01:10:25 → 01:10:27 ต้องดูแลตัวเองเพราะเราครอบครัวเราไม่มี
01:10:27 → 01:10:29 ลูกใช่มั้นั้นเราต้องดูแลตัวเองเป็นภาระ
01:10:29 → 01:10:34 คนอื่นไม่ได้งั้นการดูแลตัวเองด้วยด้วย
01:10:34 → 01:10:37 สุขภาพและขณะที่ผมออกกำลังกายผมก็ดูแลจิต
01:10:37 → 01:10:39 ใจไปด้วยคือเราก็เจริญสติรู้เนื้อรู้ตัว
01:10:39 → 01:10:42 ว่าเราก็วิ่งสิ่งไปหรือหายใจไปแล้วก็อยู่
01:10:42 → 01:10:45 กับความรู้สึกอยู่กับความรับรู้เราก็จะ
01:10:45 → 01:10:48 ไม่อยู่กับค content เนื้อหาความคิดเยอะ
01:10:48 → 01:10:50 เรียกว่าอยู่กับปัจจุบันเรียกว่ามีสติก็
01:10:50 → 01:10:50 ได้
01:10:50 → 01:10:51 >> ทำยังไง
01:10:51 → 01:10:53 >> เราวิ่งไปก็รุมวิ่งแล้วเราก็เห็นแล้วก็
01:10:53 → 01:10:57 วางใจว่านี่กายวิ่งนี่ร่างกายวิ่ง
01:10:57 → 01:10:59 ไม่ได้รู้สึกว่าเราวิ่งอันเนี้ยเราก็เทน
01:10:59 → 01:11:02 ท่าทีแบบนี้ท่าทีเห็นกายโดยความมันเป็น
01:11:02 → 01:11:04 ร่างกายที่วิ่งไปเห็นลมหายใจโดยความเป็น
01:11:04 → 01:11:08 ปรากฏการณ์อันนี้เป็นเป็นการฝึกที่จะไม่
01:11:08 → 01:11:11 เข้าไปidentifาย
01:11:11 → 01:11:15 ร่างกายหวงแหนเราเป็นเราก็มีความสามารถใน
01:11:15 → 01:11:18 การเป็นผู้สังเกตสังเกตร่างกายสังเกตความ
01:11:18 → 01:11:21 คิดสังเกตความกลัวความกังวลพอเราสังเกต
01:11:21 → 01:11:23 แล้วเราเห็นชัด
01:11:23 → 01:11:26 ไอ้ความกังวลก็มาแต่เราก็ปล่อยผ่านเพราะ
01:11:26 → 01:11:29 เรารู้จักมันแล้วแต่ถ้าเราไม่ได้ฝึกฝนมา
01:11:29 → 01:11:31 ความกังวลมาเราไม่ทันความกังวลก็พาให้เรา
01:11:31 → 01:11:32 ปรุงต่อ
01:11:32 → 01:11:34 >> เราก็จะเสียเวลาไปปรุงตายแล้วทำยังไงดี
01:11:34 → 01:11:37 นู่นนี่นั่นอันนี้เราก็พวกนี้เราน้อยลง
01:11:37 → 01:11:40 เยอะเลยแค่ความกลัวความกังวลความคิดลบ
01:11:40 → 01:11:43 โผล่มาเราอ๋อโอเคปล่อยผ่านเพราะฉะนั้น
01:11:43 → 01:11:46 สิ่งที่เป็นสิ่งที่ไม่เป็นขยะเป็นสิ่งที่
01:11:46 → 01:11:49 ไม่เกิดประโยชน์อะไรมันผ่านไป
01:11:49 → 01:11:50 >> อาจารย์ฝึกนานครับ
01:11:50 → 01:11:53 >> โอมันก็อยู่ในวิถีชีวิตเมันก็มันก็ค่อย
01:11:53 → 01:11:55 เป็นค่อยไปอ่ะมันก็าพวกนี้มันก็ take
01:11:55 → 01:11:59 time แหละแต่เพียงแต่ว่าเราฝึกเราดูแล
01:11:59 → 01:12:00 แบบนี้แบบไม่เป็นภาระ
01:12:00 → 01:12:00 >> อือ
01:12:00 → 01:12:03 >> เราไม่ได้มีภาระต้องตื่นมาฝึกอ
01:12:03 → 01:12:03 >> เออครับ
01:12:03 → 01:12:06 >> โอ้โหไม่อยากฝึกนั่งสมาธิโอ้โหไม่อยาก
01:12:06 → 01:12:08 นั่งเลยอะไรเงี้ยเราเราไม่ได้รู้สึกแบบ
01:12:08 → 01:12:10 นั้นเนี่ยเพราะเราเห็นคุณถ้าเราก็เริ่ม
01:12:10 → 01:12:13 ต้นเอ่อเข้าใจว่าการฝึกฝนที่ถูกต้องมัน
01:12:13 → 01:12:16 ไม่ได้มันไม่ได้มันไม่ได้ต้องลงมือลงทุน
01:12:16 → 01:12:18 ทำอะไรอ่ะมันไม่ได้ต้องตื่นแต่เช้านอนดึก
01:12:18 → 01:12:22 อะไรเงี้ยมันเพียงแค่ชำเรืองมองดูรับรู้
01:12:22 → 01:12:25 รู้อยู่ถึงความปรากฏขึ้นของกายของใจเรา
01:12:25 → 01:12:27 ถ้าเข้าใจถูกต้องมันจะไม่มีภาระมันกลับ
01:12:28 → 01:12:30 วางภาระภาระที่เกิดจากความกลัวภาระที่
01:12:30 → 01:12:34 เกิดจากความกังวลความอิจฉาน้อยใจความขุ่น
01:12:34 → 01:12:37 เนี่ยภาระจากความขุ่นที่มาครอบงำชีวิตเรา
01:12:37 → 01:12:38 มันสั้นลงอ่ะ
01:12:38 → 01:12:40 เของเดิมไม่ขุ่นนะอย่างตอนเราคุยกันอยู่
01:12:40 → 01:12:43 ตอนเนี้ยใจเราใสนะผู้ฟังที่อยู่ทางบ้าน
01:12:43 → 01:12:46 ตอนเนี้ยจิตใจผ่องใสหมดไม่มีใครมีปัญหา
01:12:46 → 01:12:48 เลยตอนนี้
01:12:48 → 01:12:50 >> นึกออกมั้ยทุกคนมีความเป็นพุทธธาตุทุกคน
01:12:50 → 01:12:52 มีกอสมีพระเจ้าอยู่ในตัว
01:12:52 → 01:12:52 >> ครับ
01:12:52 → 01:12:55 >> เหมือนกันหมด
01:12:55 → 01:12:58 อยู่ตรงนั้นเลยแต่ไอ้ที่ที่ดูมัวๆมีมัว
01:12:58 → 01:13:02 หมองมีมัวๆเข้ามาเนี่ยเป็นแค่เมฆที่จมา
01:13:02 → 01:13:04 เปรียบเสมือนเปรียบเสมือนท้องฟ้าก็ยังใส
01:13:04 → 01:13:07 อยู่เหมือนเดิมแต่มีเมฆลอยมาเป็นคราวเรา
01:13:07 → 01:13:09 อยู่ตำแหน่งของท้องท้องฟ้าที่ผมพูดนะว่า
01:13:09 → 01:13:11 เราอยู่ในตำแหน่งของกันเราเป็นท้องฟ้าที่
01:13:11 → 01:13:14 พร้อมที่จะมีความพร้อมที่จะมีเมฆขาวเมฆดำ
01:13:14 → 01:13:17 พายุก็คือพร้อมที่จะมีความอิจฉาน้อยใจ
01:13:17 → 01:13:20 เกิดขึ้นแต่ท้องฟ้าไม่ถล่ม
01:13:20 → 01:13:20 >> อื
01:13:20 → 01:13:23 >> แต่นี้เราไม่รู้เราก็จะกลายเป็นเมฆเราก็
01:13:24 → 01:13:26 กลายเป็นนู่นเป็นนี่เอ้ยแต่เราอยู่เหนือ
01:13:26 → 01:13:28 เพราะฉะนั้นเราก็อยู่กับความวุ่นวายปั่น
01:13:28 → 01:13:32 ป่วนความทุกข์ต่างๆด้วยความเข้าใจในฐานะ
01:13:32 → 01:13:35 จิตจิตใจที่กว้างขวางอยู่ได้มันเป็นไปได้
01:13:35 → 01:13:37 เดี๋ยวได้ดั่งใจเดี๋เดี๋ยวฝนตกเดี๋เดี๋ยว
01:13:37 → 01:13:38 แดดออก
01:13:38 → 01:13:38 >> อื
01:13:38 → 01:13:42 >> ไม่ไม่มีอยากได้นู่นได้นี่เราก็รู้ว่าอ่า
01:13:42 → 01:13:46 ความสงบก็คือท้องฟ้าที่ว่างแล้วรู้ได้ไง
01:13:46 → 01:13:49 มันว่างก็ตอนก็เคยเห็นตอนมันไม่ว่าง
01:13:49 → 01:13:50 >> อื
01:13:50 → 01:13:52 >> เพราะนั้นมันก็อิงอาศัยอ่ะครับไม่รู้จัก
01:13:52 → 01:13:54 มืดไม่ไม่มันถ้ามันไม่มีมืดสว่างมันก็ไม่
01:13:54 → 01:13:55 มีความหมาย
01:13:55 → 01:13:56 >> อื
01:13:56 → 01:13:58 >> แต่มันไม่มีมืดถ้าไม่มีความมืดเลยพระ
01:13:58 → 01:14:01 อาทิตย์นี่จะมีคุณค่ามั้ย
01:14:01 → 01:14:04 >> แสดงว่าอาจารย์อาจารย์ให้ความสำคัญกับมืด
01:14:04 → 01:14:06 ไม่น้อยไปกว่าความสว่าง
01:14:06 → 01:14:08 >> เป็นเรื่องเป็นเป็นเป็นปรากฏการณ์เนี่ย
01:14:08 → 01:14:10 >> เราไม่ได้รังเกียจแต่ว่าชีวิตเราวิถี
01:14:11 → 01:14:13 ชีวิตทั่วๆไปเนี่ยเราจะพากันไปหาความ
01:14:13 → 01:14:14 สว่างไง
01:14:14 → 01:14:15 >> ครับ
01:14:15 → 01:14:17 >> ไปหาสิ่งที่สบายสิ่งที่ใช่สิ่งที่ทำให้
01:14:18 → 01:14:18 ราบรื่น
01:14:18 → 01:14:19 >> ครับ
01:14:19 → 01:14:22 >> อ่าไม่ผิดหวังไม่เสียใจตั้งนานตาเรียน
01:14:22 → 01:14:24 หนังสือหางานทำมั่นคงอะไรอย่างเงี้ยแต่
01:14:24 → 01:14:26 ขณะที่เราตั้งตาตั้งตาแบบนั้นเราก็เจอ
01:14:26 → 01:14:28 ความผิดหวังเจอเจ็บไข้ได้ป่วยเจอพัดพาก
01:14:28 → 01:14:32 เจออุบัติเหตุความสามารถในการอยู่กับสิ่ง
01:14:32 → 01:14:35 ที่ไม่พึงประสงค์อ่ะมันไม่พัฒนาขึ้นเท่า
01:14:35 → 01:14:35 ไหร่นะ
01:14:35 → 01:14:36 >> อื
01:14:36 → 01:14:38 >> แต่ความสามารถในการหนีสิ่งไม่พึงประสงค์
01:14:38 → 01:14:39 อ่ะพัฒนา
01:14:39 → 01:14:40 >> โอ้โหโอ
01:14:40 → 01:14:43 >> ยิ่งมีตังค์ทำไงครับหนีหารถดีๆหาบ้านดีๆ
01:14:43 → 01:14:47 ไม่ให้เกิดอุบาเทของที่มันมีsaซฟตี้
01:14:47 → 01:14:51 >> ใช่มั้ยตรวจร่างกายสม่ำเสมอเจอเลโลกอะไร
01:14:51 → 01:14:53 จะได้ดูแลกันรวดเร็วเนี่ยเราทำทุกอย่าง
01:14:53 → 01:14:54 แล้วมันหนีพ้นมั้ย
01:14:54 → 01:14:55 >> อื
01:14:55 → 01:14:57 >> วันดีคดีๆก็แจ็คพอต
01:14:57 → 01:14:57 >> อื
01:14:57 → 01:15:00 >> ไม่ได้เตรียมความพร้อมเพราะฉะนั้นความ
01:15:00 → 01:15:03 พร้อมชีวิตมันมีด้านอีกด้านนึงคือด้าน
01:15:03 → 01:15:06 เสื่อมด้านความไม่แน่นอนมันเกิดขึ้นความ
01:15:06 → 01:15:08 ผิดหวังเสียใจมันมัน
01:15:08 → 01:15:12 ธรรมชาติน่ะแต่พอเราแต่เราลำเอียงไปในทาง
01:15:12 → 01:15:16 ลำเอียงไปในทางโอเคไงครับเวลาไม่โอเคนี่
01:15:16 → 01:15:19 เราเราเยอะมั้ยเวลาไม่โอเคเยอะ
01:15:19 → 01:15:19 >> เยอะครับ
01:15:20 → 01:15:21 >> เวลาโอเคนี่ไม่ค่อยเยอะ
01:15:21 → 01:15:21 >> ครับ
01:15:21 → 01:15:24 >> เวลามันใช่มันได้สมหวังไม่ค่อยเยอะแต่พอ
01:15:24 → 01:15:28 ไม่ได้ไม่สมหวังเนี่ยเยอะลูกคะแนนไม่ได้
01:15:28 → 01:15:30 ตามที่สมหวังนี่เยอะมากเลยถามถามแล้วถาม
01:15:30 → 01:15:34 อีกว่าทำไมอันนั้นเราลองใจกว้างๆเท่ากัน
01:15:34 → 01:15:37 สมหวังไม่สมหวังมันคือชีวิตน่ะเราก็จะ
01:15:37 → 01:15:40 เป็นคนที่มีชีวิตชีวามากขึ้นไม่ใช่เอาแต่
01:15:40 → 01:15:41 ได้
01:15:41 → 01:15:42 >> อ
01:15:42 → 01:15:44 >> ไม่ได้ไม่เอาไม่ได้ก็โอเคมันไม่ได้แล้ว
01:15:44 → 01:15:44 อ่ะ
01:15:45 → 01:15:45 >> ครับ
01:15:45 → 01:15:46 >> มันไม่สมปรารถนาอะไร
01:15:46 → 01:15:51 >> ครับก่อนจบรายการอาจารย์อยากฝากอะไรกับ
01:15:51 → 01:15:54 ประชาชนรากหญ้า 1 อย่างถ้าอาจารย์อยากฝาก
01:15:54 → 01:15:56 จากใจ
01:15:56 → 01:15:59 >> ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญทุกคนต้องต้องรับรู้
01:15:59 → 01:16:03 ว่าไม่มีใครมารับผิดชอบความทุกข์ความสุข
01:16:03 → 01:16:03 >> อื
01:16:03 → 01:16:05 >> ที่เกิดขึ้นกับเราได้
01:16:05 → 01:16:07 แต่ทุกข์สุขก็เรื่องอะไรก็แล้วแต่เราเท่า
01:16:07 → 01:16:10 นั้นน่ะที่จะต้องดูแลแล้วเรามีศักยภาพที่
01:16:10 → 01:16:11 จะดูแล
01:16:11 → 01:16:11 >> ครับ
01:16:11 → 01:16:14 >> เหลือเฟือไม่ได้ขึ้นอยู่กับยากดีมีจนเรา
01:16:14 → 01:16:16 เห็นตัวอย่างคนที่ลำบากคนที่นอนอยู่กับ
01:16:16 → 01:16:18 เตียงแล้วไม่ไม่ทุกข์มากแจ่มใสก็มีเยอะ
01:16:18 → 01:16:22 แยะคนที่ระยะสุดท้ายแต่เขาพร้อมจะไป
01:16:22 → 01:16:22 >> ครับ
01:16:22 → 01:16:26 >> เยอะแยะมากแล้วเห็นคนระยะสุดท้ายที่
01:16:26 → 01:16:27 เหมือนกับไม่ยอมอยู่ระยะสุดท้ายอ่ะ
01:16:28 → 01:16:28 >> ครับ
01:16:28 → 01:16:31 >> จะหนีกลับไปอยู่จะจะจะพยายามจะปฏิเสธเยอะ
01:16:31 → 01:16:34 แยะนั้นเรารู้เลยว่าสถานการณ์การเดียวกัน
01:16:34 → 01:16:39 มีสภาวะจิตใจของคนแตกต่างหลากหลายตั้งแต่
01:16:39 → 01:16:43 บวกตั้งแต่แจ่มใสเบิกบานจนกระทั่งจะอยู่
01:16:43 → 01:16:45 ไม่ได้แล้วแสดงว่ามันไม่ได้อยู่กับตัว
01:16:45 → 01:16:48 สถานการณ์มันอยู่ที่ข้างในคนๆนั้นเตรียม
01:16:48 → 01:16:51 อะไรมาเพราะนั้นอันนี้มันก็อาจจะพูดมาเรา
01:16:51 → 01:16:52 ก็เคยได้ยินกันมาแล้วทั้งนั้นนะครับยังไง
01:16:52 → 01:16:55 ต้องดูแลตัวเองแต่ไม่เริ่มไงไม่เริ่มที่
01:16:55 → 01:16:57 ตั้งใจว่าเฮ้ยกลับมาสังเกตอารมณ์ความคิด
01:16:57 → 01:16:59 ตัวเองบ้างนะหันมาอยู่เฉยๆนั่งนิ่งๆอยู่
01:16:59 → 01:17:02 เบื่อๆเหงาๆเซ็งๆบ้างไม่ต้องหาอะไรกินไม่
01:17:03 → 01:17:04 ต้องหาอะไรทำ
01:17:04 → 01:17:04 >> ครับ
01:17:04 → 01:17:06 >> เพราะงั้นถ้าต้องหาอะไรทำก็อ่าอ้วนใช่
01:17:06 → 01:17:08 มั้ยแล้วหาอะไรทำก็หยิบโทรศัพท์ก็
01:17:08 → 01:17:09 ช้อปปิ้ง
01:17:09 → 01:17:10 >> ครับ
01:17:10 → 01:17:15 >> เสียตังค์อีกก็ถ้าถามว่าอาจอยู่เฉยๆความ
01:17:15 → 01:17:19 เบื่อก็เป็นแค่สิ่งที่จอห์มาความความไม่
01:17:19 → 01:17:23 โอเคเป็นปรากฏการณ์หนึ่งคือฝนตกฟ้าร้อง
01:17:23 → 01:17:24 >> มันเป็นธรรมชาติ
01:17:24 → 01:17:26 >> ไม่ใช่เป็นความโชคร้ายโชคไม่ดีอะไรของเรา
01:17:26 → 01:17:30 เป็นธรรมชาติวางใจแบบนี้มันก็เรียกว่า
01:17:30 → 01:17:35 ภูมิคุ้มกันเราดีความความโอเคกับความไม่
01:17:35 → 01:17:36 โอเค
01:17:36 → 01:17:36 >> ครับ
01:17:36 → 01:17:38 >> เราก็มีแต่จากโอเคนึกออกมั้ยครับแต่บางคน
01:17:38 → 01:17:42 ก็บอกอุ๊ยอาจารย์มันยากนะมันโอเคมันยัง
01:17:42 → 01:17:44 โอเคไม่ได้ก็โอเคที่ยังทำไม่ได้
01:17:44 → 01:17:45 >> อื
01:17:45 → 01:17:47 >> โอเคที่ยังยังโอเคกับความไม่โอเคยังทำไม่
01:17:47 → 01:17:49 ได้ใช่มั้ยก็โอเคก่อน
01:17:49 → 01:17:49 >> ครับ
01:17:49 → 01:17:51 >> และสุดท้ายก็คือว่าเราทุกคนต้องกลับมา
01:17:51 → 01:17:55 เห็นคุณค่าของตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข
01:17:55 → 01:17:57 accept unconditional self acceptant
01:17:57 → 01:17:59 การยอมรับตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไขไม่
01:17:59 → 01:18:01 ต้องขึ้นอยู่กับต้องเรียนเก่งต้องมีราย
01:18:01 → 01:18:03 ได้นู่นแค่เป็นมนุษย์มีลมหายใจอยู่
01:18:03 → 01:18:04 >> ครับ
01:18:04 → 01:18:07 >> มีคุณค่าเพียงพอเราดูคนไข้ที่ไม่รู้ตัว
01:18:07 → 01:18:11 เรายังเรายังเคารพดูแลเเลยยังยังทนุถนอมเ
01:18:11 → 01:18:13 เลยแสดงว่าคุณค่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ
01:18:13 → 01:18:18 อะไรละ just เป็นมนุษย์มีคุณค่าจบที่
01:18:18 → 01:18:22 เหลือต้องทำมาหากินต้องใช้ชีวิตก็ทำไปตาม
01:18:22 → 01:18:26 บทบาทหน้าที่ตามเหตุตามความความความ
01:18:26 → 01:18:29 จำเป็นไม่ใช่ทำเพื่อที่จะพิสูจน์คุณค่าใน
01:18:29 → 01:18:35 ตัวเองนะเรา to leave to improve ใช่ม
01:18:35 → 01:18:38 เพื่อ improve ไม่ใช่เพื่อ prove ไม่ใช่
01:18:38 → 01:18:40 เพื่อพิสูจน์ที่ผ่านมาเราหมดเหนื่อยไปกับ
01:18:40 → 01:18:43 การต้องพิสูจน์ให้ใครเขาเห็นครับ
01:18:43 → 01:18:45 >> ใครเขาเห็นนู่นนี่นั่นใครเขาดูดีอะไรงี้
01:18:45 → 01:18:47 เพราะเราดูดีในตัวเองเรารู้สึกดีกับตัว
01:18:47 → 01:18:49 เองไม่ได้เราต้องอาศัย accessory
01:18:49 → 01:18:50 >> อื
01:18:50 → 01:18:53 >> ใส่เครื่องประดับเยอะเพื่อมาค้ำยันอันนี้
01:18:53 → 01:18:56 แสดงว่าเรายอมรับตัวเองอย่างไม่มีเงื่อน
01:18:56 → 01:18:57 ไขยังไม่ได้
01:18:57 → 01:18:58 >> อื
01:18:58 → 01:19:00 >> เราจะยอมรับตัวเองได้ก็ต่อเมื่อไลฟ์ยอด
01:19:00 → 01:19:04 แชร์ยอด F คนยังมาเสือฮกมาตอบสนองเราอยู่
01:19:04 → 01:19:07 อันเนี้ยเอาใจเราไปฝากไว้กับแฟนคลับเนี่ย
01:19:07 → 01:19:08 >> อือ
01:19:08 → 01:19:11 >> ลำบากละเพราะฉะนั้นเราไม่เอาใจไปฝากกับ
01:19:11 → 01:19:13 แฟนคลับแต่ใจเราฝากไว้กับเนื้อกับตัวของ
01:19:13 → 01:19:14 เราเอง
01:19:14 → 01:19:18 >> ครับแล้วอาจารย์อยากฝากอะไรกับผู้บริหาร
01:19:18 → 01:19:19 เบื้องบน
01:19:19 → 01:19:22 >> เป็นที่รู้กันอยู่อ่ะครับเราเรา
01:19:22 → 01:19:27 ต้องเข้าใจความเป็นมนุษย์เราก็บางที
01:19:27 → 01:19:30 เอ่อนักการเมืองก็ติดอยู่
01:19:30 → 01:19:33 ระบบการเมืองการปกครองแบบไอชีวิตธรรมดา
01:19:33 → 01:19:35 นี่ไม่ค่อยได้คุยกันเนาเราบางทีเราก็ติด
01:19:35 → 01:19:38 กับติดอยู่กับเงื่อนไขติดเกี่ยวกับทฤษฎี
01:19:38 → 01:19:43 ติดความกับสิ่งที่เป็นอะไรอ่ะความสวยหรู
01:19:43 → 01:19:45 ดูงามเราก็เลยไม่ค่อยได้ดูเบสิคพื้นฐาน
01:19:45 → 01:19:48 เนั้นผมคิดว่านักการเมืองต้องเข้าใจ
01:19:48 → 01:19:49 มนุษย์
01:19:49 → 01:19:50 >> อื
01:19:50 → 01:19:51 >> เข้าใจจริงๆ
01:19:51 → 01:19:52 >> ครับ
01:19:52 → 01:19:55 >> เข้าใจจริงๆไม่ใช่เอาทฤษฎีมาใส่ต้องเข้า
01:19:55 → 01:19:57 ใจจริงๆไม่ใช่เอาทฤษฎีที่มาต้องอย่างงู้น
01:19:57 → 01:20:00 อย่างงี้ต้องต้องมีความสามารถในการสัมผัส
01:20:00 → 01:20:00 >> อ
01:20:00 → 01:20:03 >> ถ้าไม่เคยสัมผัสโตมากับครอบครัวที่ร่ำที่
01:20:03 → 01:20:05 รวยก็ต้องมีเวลาไปสัมผัสจริงๆ
01:20:05 → 01:20:06 >> อื
01:20:06 → 01:20:10 >> มีเวลาพูดคุยมีเวลามีเวลาไปกินไปนอนกับคน
01:20:10 → 01:20:14 ที่เ้ายากจนจริงๆแล้วก็ฟังเค้า
01:20:14 → 01:20:16 >> ฟังเค้าเป็นยังไงถามไม่เข้าใจว่าที่มาที่
01:20:16 → 01:20:18 ไปอยากเห็นอะไรไม่ใช่ไปฉากฉวยไม่ใช่ไป
01:20:18 → 01:20:20 สร้างภาพที่ว่าถ้าเราไม่เข้าใจมนุษย์จริง
01:20:20 → 01:20:23 ๆอ่ะมันมันบริหารปกครองคนอื่นลำบาก
01:20:23 → 01:20:24 >> อื
01:20:24 → 01:20:27 >> มันจะพากันเพราะว่า
01:20:27 → 01:20:28 ทุกคนมีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน
01:20:28 → 01:20:29 >> ครับ
01:20:29 → 01:20:33 >> ถ้าไม่เข้าใจมนุษย์มันก็จะมันก็จะไปตาม
01:20:33 → 01:20:36 เนี้ยที่ผ่านมันก็ผลประโยชน์มันมาก่อนน่ะ
01:20:36 → 01:20:37 >> ครับ
01:20:37 → 01:20:40 >> ใช่มั้มันมันแต่แต่พอเข้าใจมันได้เหวเห็น
01:20:40 → 01:20:43 ใจมันได้ซึ้งถึงความยากลำบากของคนบางที
01:20:43 → 01:20:46 มันเปลี่ยนไม้เส้นนี่มันไม่ถึงไง
01:20:46 → 01:20:50 ไปเจอคนไปเจอคนยากคนจนคนลำบากไม่ใช่อยาก
01:20:50 → 01:20:53 จะไปเข้าใจเขาอ่ะ
01:20:53 → 01:20:57 อย่าไปแสดงว่าฉันสนใจจริงๆไม่ได้สนใจจริง
01:20:57 → 01:20:58 >> ครับ
01:20:58 → 01:21:02 >> สุดท้ายก็ยกระดับจิตสำนึก
01:21:02 → 01:21:04 >> ครับขอบคุณมากครับ
01:21:04 → 01:21:05 >> ได้เมื่อไหร่ไม่รู้
01:21:05 → 01:21:06 >> ครับขอบคุณมากครับอาจารย์เป็นเกียรติ
01:21:06 → 01:21:08 อย่างยิ่งครับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
01:21:08 → 01:21:11 >> ครับก็ขอบคุณมากที่ให้เกียรติมาร่วมร่วม
01:21:11 → 01:21:14 ช่องนะหมอชวนคุยเนก็ยินดีมากครับอาจารย์
01:21:14 → 01:21:17 ขอบพระคุณมากที่อาจารย์สละเวลาวันหยุดมา
01:21:17 → 01:21:18 ด้วยครับ
01:21:18 → 01:21:19 >> ยินดีครับ
01:21:19 → 01:21:20 >> ก็
01:21:20 → 01:21:23 ผมหมอวินัยนะครับวันนี้ผมรู้สึกถือว่า
01:21:23 → 01:21:26 เป็นบุญของผมกับรายการผมเล็กนะฮะที่
01:21:26 → 01:21:29 อาจารย์ได้สละเวลาอันมีค่าของอาจารย์นะ
01:21:29 → 01:21:35 ครับมาที่พcสนะครับซึ่งสำหรับลูกศิษย์จะ
01:21:35 → 01:21:38 มีอะไรมากกว่าที่ครูที่เขาเคยเรียนครูที่
01:21:38 → 01:21:42 เขาเคยสัมผัสและเป็นครูที่เคยเปลี่ยนความ
01:21:42 → 01:21:45 คิดเค้าเนี่ยมานั่งคุยกับเค้าบนเวทีนะ
01:21:45 → 01:21:48 ครับจากเดิมเราเป็นคนนั่งเก้าอี้มอง
01:21:48 → 01:21:52 อาจารย์วันนี้อาจารย์นั่งกับเราส่งไม้ให้
01:21:52 → 01:21:56 เราเพื่อหวังว่าเราอาจจะเป็นคนที่ส่งหมาย
01:21:56 → 01:21:58 ให้กับคนรุ่นหลังนะครับ
01:21:58 → 01:22:02 >> ก็ผมว่าอันนี้ก็เป็นบุญของผมนะครับแล้วก็
01:22:02 → 01:22:06 ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ฟัง
01:22:06 → 01:22:11 ผมก็ไม่รู้จะตอบแทนอาจารย์ยังไงนะครับไม่
01:22:11 → 01:22:14 >> คือคำว่าตอบแทนมันคงไม่มีนะครับสิ่งนึงก็
01:22:14 → 01:22:17 แค่อยากจะเราทุกคนอาจจะขอบคุณอาจารย์ด้วย
01:22:17 → 01:22:20 ใจจริงนะครับแล้วก็หวังว่าอาจารย์คงจะ
01:22:20 → 01:22:24 อยู่กับมีแฟนคลับบอกว่าให้มาบ่อยๆ
01:22:24 → 01:22:27 >> ผมว่าอาจารย์คงจะอยู่พัฒนาสังคมนะฮะผลัก
01:22:27 → 01:22:28 ดัน
01:22:28 → 01:22:30 >> Emotional Intelligence หรืออาจารย์ใช้
01:22:30 → 01:22:32 คำว่าอะไรนะ Emotional intelligence
01:22:32 → 01:22:34 อาจารย์ใช้คำว่าอะไรนะ
01:22:34 → 01:22:36 >> มันจริงภาษาไทยเป็นความฉลาดทางอารมณ์แต่
01:22:36 → 01:22:39 ว่าแต่ว่าจริงๆเ่อผมสิ่งที่ผมพูดเนี่ยมัน
01:22:39 → 01:22:42 เป็นสิ่งที่เหนือไปกว่านั้นคือความฉลาด
01:22:42 → 01:22:44 มันจะเกิดขึ้นได้จากการที่มีความสามารถใน
01:22:45 → 01:22:47 การเท่าทันเป็นผู้สังเกต Self
01:22:47 → 01:22:49 observation Self awareness การ
01:22:49 → 01:22:51 ตระหนักรู้เท่าทันตัวเองความสามารถในการ
01:22:51 → 01:22:53 สังเกตตัวเอง
01:22:53 → 01:22:56 >> จริงๆนะไม่ใช่ทางความคิดใช่ก็คือช่วยผลัก
01:22:56 → 01:23:00 ดันการรู้ตนเองรู้ตัวตนให้มากที่สุดนะ
01:23:01 → 01:23:02 ครับ
01:23:02 → 01:23:06 >> ก็หวังว่าคลิปนี้คงจะเกิดประโยชน์
01:23:06 → 01:23:11 คงจะจุดประกายให้เกิดความอยากรู้อาจารย์
01:23:11 → 01:23:14 คงไม่ได้ให้คำตอบทุกอย่างอาจารย์แค่
01:23:14 → 01:23:17 >> ผลักดันเพียงแค่ฆ่าคำสุดท้ายที่อาจารย์
01:23:18 → 01:23:21 บอกว่าความสุขและความทุกข์มันเป็นหน้าที่
01:23:21 → 01:23:24 ของคุณคุณต้องหาให้เจอว่าคุณจะแก้แก้
01:23:24 → 01:23:28 โจทย์ยังไงนะครับงั้นถ้าเรารู้ตัวตนมาก
01:23:28 → 01:23:31 ขึ้นโอกาสที่เราจะมีความสุขและหาสมดุลใน
01:23:32 → 01:23:36 ชีวิตจะมากขึ้นครับแขกรับเชิญคนต่อไปจะ
01:23:36 → 01:23:41 เป็นใครรอติดตามผมหมอวินัยกับปัญหาบ้าน
01:23:41 → 01:23:45 เมืองในภาษาบ้านบนเวทีหมอชวนคุยกับแขกรับ
01:23:45 → 01:23:48 เชิญที่มีความรู้ประสบการณ์มากมายนะครับ
01:23:48 → 01:23:53 มาแบ่งปันเพื่อพัฒนาบ้านเมืองเพราะการ
01:23:53 → 01:23:55 พัฒนาบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของเราทุกคน
01:23:55 → 01:23:56 >> ทุกคน
01:23:56 → 01:24:00 >> ไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
01:24:00 → 01:24:01 >> ขอให้โชคดีครับสวัสดีครับ
01:24:01 → 01:24:07 >> สวัสดีครับสวัสดีครับ
01:24:07 → 01:24:21 [เพลง]