00:00:00 → 00:00:03 This Is tha PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world vi The
00:00:05 → 00:00:08 Voice เมื่อเมื่อเกิดการตั้งสติตั้ง
00:00:08 → 00:00:10 สมาธิอยู่กับบางสิ่งปั๊บเราจะตัดไอ้
00:00:10 → 00:00:12 เรื่องที่มันกวนใจอื่นๆที่อยู่ข้างหลัง
00:00:12 → 00:00:15 เราอ่ะไว้ก่อนแต่เมื่อเราทำงานนี้เสร็จผม
00:00:15 → 00:00:17 ก็อาจจะแบบอ่ะหมดหน้าที่แล้วหมดบทบาทนี้
00:00:17 → 00:00:19 แล้วผมเดินออกไปผมอาจจะดึงเรื่องเก่า
00:00:19 → 00:00:21 วาร์ปกลับมาในหัวก็ได้ซึ่งทุกคนเป็นอย่าง
00:00:21 → 00:00:24 นั้นมันเลยทำให้ซึ่งหน้าบางทีเนี่ยในบท
00:00:24 → 00:00:26 บาทที่เราเห็นกันนะครับมันเลยไม่ได้เห็น
00:00:26 → 00:00:28 ร่องรอยหรือว่าเห็นแววตาที่แสดงถึงความอม
00:00:28 → 00:00:31 ทุกข์เพราะการอมทุกข์จะเกิดขึ้นเมื่อใน
00:00:31 → 00:00:33 หัวครับกำลังมีบางสิ่งที่กำลังทำให้เรา
00:00:33 → 00:00:36 รู้สึกเป็นทุกข์อยู่แล้วมันจะฉายออกมาเอง
00:00:36 → 00:00:37 ด้วยแววตานั่นหมายความว่าการอยู่กับตัว
00:00:37 → 00:00:40 เองโมเมนที่คนอยู่กับตัวเองไม่ได้กำลัง
00:00:40 → 00:00:42 โฟกัสกับอะไรนอกจากโฟกัสตัวเองตรงนี้แหละ
00:00:42 → 00:00:43 จะเห็นชัดที่
00:00:44 → 00:00:48 สุดฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:48 → 00:00:51 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพรค่ะ
00:00:52 → 00:00:54 This Is to
00:00:54 → 00:00:57 psc วันนี้ค่ะคุณผู้ฟังคะเราก็จะมาคุย
00:00:57 → 00:01:00 กันถึงเรื่องเรืหนึงที่น่าสนใจมากนะคะ
00:01:00 → 00:01:04 แล้วก็เชื่อว่าหลายคนที่เอ่อติดตามข้อมูล
00:01:04 → 00:01:06 ข่าวสารอยู่จะรู้ว่าเรื่องเนี้ยเป็น
00:01:06 → 00:01:08 เรื่องสำคัญอย่างหนึ่งแล้วนะคะกับความใน
00:01:08 → 00:01:11 ใจของเขาเราไม่รู้เลยแต่ในพาร์ทนี้เราอาจ
00:01:11 → 00:01:13 จะไม่ได้คุยกันเรื่องของความรักนะคะแต่
00:01:13 → 00:01:15 เป็นเรื่องของความรู้สึกที่อยู่ข้างในคุย
00:01:15 → 00:01:17 กับดรสุววุฒิวงษ์ทางสวัสดิ์นัก
00:01:17 → 00:01:19 จิตวิทยาการปรึกษาค่ะสวัสดีค่ะคุณเอิ้น
00:01:19 → 00:01:21 ค่ะสวัสดีครับคุณรีสวัสดีครับคุณผู้ฟัง
00:01:21 → 00:01:24 อ่าวันนี้ก็เป็นอีกพาร์ทนึงที่เรียกได้
00:01:24 → 00:01:27 ว่าคุยกันในเจาะลึกลงไปในความรู้สึกของ
00:01:27 → 00:01:32 ใครหลายๆคนเราอาจจะเห็นว่าบางคนเนี่ยเค้า
00:01:32 → 00:01:35 ยิ้มเหัวเราะได้แต่จริงๆแล้วในใจเเนี่ย
00:01:35 → 00:01:38 เราไม่เคยรู้เลยว่าเคมีอะไรอยู่ในใจอ่า
00:01:38 → 00:01:40 เราก็คิดว่าเร่าเริงมีความสุขอยู่ตลอด
00:01:40 → 00:01:43 เวลาดีจังเลยทำไมคนนี้มีความสุขทำไมคนนี้
00:01:43 → 00:01:47 ยิ้มง่ายจังคุยแล้วสนุกสนานแต่อีกพาร์ท
00:01:47 → 00:01:51 นึงอหลายคนเป็นแบบนั้นที่มีความรู้สึก
00:01:51 → 00:01:53 อยู่ข้างในแต่ไม่ได้แสดงความรู้สึกอีก
00:01:53 → 00:01:56 ด้านนึงออกมาอืใช่ครับมีมีหลายคนเนาะ
00:01:56 → 00:01:58 เพราะว่าจริงๆอย่างล่าสุดที่เราเห็นตาม
00:01:58 → 00:02:01 ข่าวเงี้ยครับอที่ว่ามีมีเอ่อพี่ผู้ชาย
00:02:01 → 00:02:04 ท่านนึงเนาะเราไม่ระบุครับพี่ผู้ชายท่าน
00:02:04 → 00:02:06 นึที่แบบก็ดูเฮ้ยเป็นคนสดใสร่าเริง
00:02:06 → 00:02:09 ยิ้มแย้มตลกโปกฮาคนอยู่ใกล้ๆก็รู้สึกได้
00:02:09 → 00:02:11 รับเอเนอร์จี้ทางบวกจากเาใช่เออแต่จู่ๆก็
00:02:11 → 00:02:13 ได้ยินข่าวว่าเขาตัดสินใจแบบจบชีวิตตัว
00:02:13 → 00:02:15 เองเงี้ยครับมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้าง
00:02:15 → 00:02:17 ช็อกช็อกคนเหมือนกันเนาะเพราะคนแทบจะไม่
00:02:17 → 00:02:18 คลาดคิดเลยว่าเฮ้ยคนที่เราเห็นว่า
00:02:18 → 00:02:21 ยิ้มแย้มแจ่มใสคนที่เราได้รับเอเนอร์จี
00:02:21 → 00:02:22 ทางบวกจากเขาทุกวันอย่างเงี้ยครับกลาย
00:02:22 → 00:02:25 เป็นว่าจะเป็นคนที่ตัดสินใจแบบนั้นก็ช็อก
00:02:25 → 00:02:27 กันไปอย่างเงี้ยฮะเออนั่นหมายความว่าตรง
00:02:27 → 00:02:29 นี้สะท้อนว่าตัวเราแทบจะไม่รู้เลยครับว่า
00:02:29 → 00:02:32 เบื้องหลังอ่ะเขามีสิ่งที่เขาเผชิญอยู่
00:02:32 → 00:02:34 อะไรบ้างอืนอกจากเผชิญอยู่ไม่พอเนาะใน
00:02:35 → 00:02:37 กระบวนการคิดของเขาเกิดอะไรขึ้นเพราะว่า
00:02:37 → 00:02:39 จริงๆปัญหาชีวิตนะครับทุกคนต้องเผชิญอยู่
00:02:39 → 00:02:41 แล้วเนาะเผชิญออกมาทีนี้แต่ละคนอาจจะ
00:02:42 → 00:02:44 เลือกแสดงออกเลือกที่จะเล่าหรือเลือกที่
00:02:44 → 00:02:47 จะแบบเก็บมันไว้ไม่บอกใครแต่ละคนเลือกไม่
00:02:47 → 00:02:49 เหมือนกันแต่ต่อให้เลือกเก็บมันไว้หรือ
00:02:49 → 00:02:51 เลือกแสดงออกแล้วแต่ครับโดยธรรมชาติแล้ว
00:02:51 → 00:02:53 คนเรามันจะมีความพยายามในการจะแก้ปัญหา
00:02:53 → 00:02:56 เนาะพยายามจะแก้ปัญหาว่าเฮ้ยจะทำยังไง
00:02:56 → 00:02:58 เพื่อให้เราสามารถอยู่ต่อได้บางคนอาจจะ
00:02:58 → 00:03:00 แบบคล้ายๆทำจิตใจเรียนชาไปเลยเพื่อให้
00:03:00 → 00:03:02 อยู่ต่อได้ก็มีอืหรือคนบางคนอาจจะพยายาม
00:03:02 → 00:03:05 เข้าหาเพื่อนหรือพยายามจะเข้าหาพระหรือหา
00:03:05 → 00:03:07 นักจิตวิทยาก็มีนะครับค่ะอย่างอย่างานผม
00:03:07 → 00:03:09 บางทีจะมีคนที่แบบรู้สึกว่าเรื่องของเขาค
00:03:09 → 00:03:13 อ่ะเล่าให้ใครฟังไม่ได้เลยแต่เขาก็ยังหา
00:03:13 → 00:03:15 หนทางที่จะจัดการเรื่องนี้อยู่ค่ะครับแต่
00:03:15 → 00:03:18 ทีเนี้ยมันก็เลยกลายเป็นว่าแทนที่คนเราจะ
00:03:18 → 00:03:21 แบบได้หาทางออกเนาะหรือหรือคล้ายๆสัจตยา
00:03:21 → 00:03:24 ในการจะแบบเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอดเนี่ยมัน
00:03:24 → 00:03:26 ถูกตัดไปกลายเป็นว่าไม่อยากอยู่แล้วอเรา
00:03:26 → 00:03:28 เลยไม่รู้เลยว่าเฮ้ยอะไรมันทำให้เขาคเสีย
00:03:28 → 00:03:30 ฟังก์ชันตรงนี้หรว่าทำให้เขาตัดสินใจว่า
00:03:31 → 00:03:33 พอแล้วดีกว่าในขณะที่จริงๆแล้วตัวเขอาจจะ
00:03:33 → 00:03:36 ยังมีหนทางนะแต่เราไม่สามารถคาดดาได้เลย
00:03:36 → 00:03:38 ว่าในหัวของเขาคอ่ะครับเรู้สึกยังไงหรือ
00:03:38 → 00:03:41 เขาคิดยังไงอยู่หรือเขาเผชิญอะไรมาเขาถึง
00:03:41 → 00:03:44 รู้สึกว่าหลังจากนี้ต่อให้สู้ต่อก็ไม่แบบ
00:03:44 → 00:03:46 ไม่อยากไม่อยากสู้หรือแบบไม่ได้เป็น
00:03:46 → 00:03:48 ประโยชน์แล้วอะไรอย่าเงี้ยฮะอ่ามันอาจจะ
00:03:48 → 00:03:50 เดินต่อไปไม่ไหวด้วยด้วยความรู้สึกที่มัน
00:03:50 → 00:03:52 อยู่เพียงข้างในใช่ๆอาจจะเป็นภาพนี้ด้วย
00:03:53 → 00:03:55 หรือเปล่าคะคุณเอิ้นคุณผู้ฟังว่าในเรื่อง
00:03:55 → 00:03:59 ของการที่เราเนี่ยพยายามที่จะสร้างเสียง
00:03:59 → 00:04:01 สร้างรรอยยิ้มนะคะโดยเฉพาะอย่างบางอาชีพ
00:04:01 → 00:04:03 เนี่ยเนาะอย่างแบบนักแสดงตลกอย่างเงี้ย
00:04:03 → 00:04:05 ใช่มั้ยคะเขาก็จะสร้างแต่รอยยิ้มแต่ว่า
00:04:06 → 00:04:08 เขาจะไม่แสดงในมุมของความอ่อนแอหรือว่า
00:04:08 → 00:04:10 สิ่งที่มันเกิดปัญหาออกมาเลยเพราะรู้สึก
00:04:10 → 00:04:13 ว่าเออคนที่เขาอยากให้คนที่ได้เห็นเขา
00:04:14 → 00:04:16 เนี่ยได้ยิ้มได้หัวเราะมีความสุขไงอ่าใช่
00:04:16 → 00:04:18 ครับทีนี้ต้องต้องแยกเป็น 2 อย่างเนาว่า
00:04:18 → 00:04:21 เค้าเเกรงใจคนอื่นหรือเปล่าอันนี้คือข้อ
00:04:21 → 00:04:23 แรกก่อนนะเกรงใจเพราะเรื่องที่เป็นทุกข์
00:04:23 → 00:04:25 เรื่องอะไรพวกเนี้ยครับเวลามีใครรับอะไร
00:04:25 → 00:04:28 ไปเนี่ยมันก็จะหม่นหมองไปด้วยอ่าตัวเไม่
00:04:28 → 00:04:30 อยากให้ใครต้องมารับรับรู้เพราะเครู้สึก
00:04:30 → 00:04:32 เกร่งใจนั่นคือแบบแรกอือกับแบบที่ 2 ครับ
00:04:32 → 00:04:34 ตะกี้เราพูดคุยเรื่องอาชีพเนาะเราอาจจะ
00:04:34 → 00:04:37 เกรงว่าการแสดงออกว่าเราไม่ได้สดใสอย่าง
00:04:37 → 00:04:40 ที่ภาพที่เห็นอาจจะกระทบการงานค่ะสมมุติ
00:04:40 → 00:04:43 ถ้าอาชีพนักแสดงตลกอาชีพที่ต้องใช้ความสด
00:04:43 → 00:04:45 ใสอาชีพอะไรก็ตามพิธีกรที่มันต้องมี
00:04:45 → 00:04:47 เรื่องของภาพลักษณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเงี้
00:04:47 → 00:04:50 ครับทีเนี้ยเราเราไม่สามารถจะรู้ชัดเจน
00:04:50 → 00:04:53 เนาะว่าว่าคนๆนั้นเนี่ยที่เขาเลือกจะไม่
00:04:53 → 00:04:56 แสดงออกเพราะเขาเกรงใจหรือเปล่าอืหรืออัน
00:04:56 → 00:04:59 ที่ 2 คือตัวเขากลัวกระทบหน้าที่การงานเ
00:04:59 → 00:05:01 ค่ะค่ะหรืออีกอย่างนึงอันที่ 3 ผมคิดมา
00:05:01 → 00:05:03 เร็วๆตะกี้คือไม่ได้เชื่อมั่นว่าคนอื่นจะ
00:05:03 → 00:05:07 ช่วยเขาได้โอยข้อสุดท้ายนี้มันก็หนักนะ
00:05:07 → 00:05:09 เออผมว่ามันมีอย่างนั้นจริงๆนะครับที่ที่
00:05:09 → 00:05:11 รู้สึกว่าปัญหาเนี้ยสุดท้ายถามคนอื่นก็จะ
00:05:11 → 00:05:14 ได้ความเห็นมากมายค่ะแต่แต่คนที่ต้องตัด
00:05:14 → 00:05:17 สินใจคือเขาเองเพราะงั้นเอาจจะไม่ได้คิด
00:05:17 → 00:05:19 ว่าบอกคนอื่นแล้วจะเป็นประโยชน์อะไรอย่าง
00:05:19 → 00:05:21 เงี้ยครับมันเป็นไปได้หลายอย่างเนาะอืม
00:05:21 → 00:05:24 เราลืมไปหรือเปล่าว่าเราก็คือมนุษย์อ่ะ
00:05:25 → 00:05:28 คือคนที่คนที่มีความรู้สึกได้ใช่มั้ยคะ
00:05:28 → 00:05:31 เศร้าดีใจเอะไรก็ว่าไปก็ตามความรู้สึกแต่
00:05:31 → 00:05:34 ส่วนใหญ่เนี่ยที่เห็นหลายๆคนเนี่ยมักจะ
00:05:34 → 00:05:38 เก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้แล้วคิดว่าฉัน
00:05:38 → 00:05:41 ไหวฉันทำได้หรืออย่างที่คุณเอิ้นบอกเมื่อ
00:05:41 → 00:05:43 กี้ค่ะคุณผู้ฟังว่าบางทีเราไม่เชื่อมั่น
00:05:43 → 00:05:46 ว่าจะมีใครช่วยเราได้โดยเฉพาะเรื่องของ
00:05:46 → 00:05:48 ความรู้สึกแล้วก็เป็นปัญหาของตัวเองแล้ว
00:05:48 → 00:05:52 ก็กังวลอีกเหมือนกันอันนี้ก็จากเคสใกล้ๆ
00:05:52 → 00:05:55 ตัวนะคะที่มจะบอกว่าบางทีเราก็ไม่ได้อยาก
00:05:55 → 00:05:59 ให้ใครเป็นทุกข์ไปกับเราอืก็เลยแบกมันไว้
00:05:59 → 00:06:02 ครับครับอือมันก็อาจจะมีผลที่มันมันมี
00:06:02 → 00:06:06 ความระยะเวลาในการสะสมอ่ะใช่ครับเนิ่นนาน
00:06:06 → 00:06:07 แล้วมันก็จะเริ่มค่อยๆกล่อมให้เรารู้สึก
00:06:07 → 00:06:09 ว่าชีวิตไม่น่าอยู่อันนี้อันนี้คือสิ่ง
00:06:09 → 00:06:11 ที่น่ากลัวเพราะว่าโดยปกติอ่ะครับ
00:06:11 → 00:06:15 ธรรมชาติคนเราเนาะเอ่อจะมักจะโฟกัสในสิ่ง
00:06:15 → 00:06:17 ที่ยังไม่เรียบร้อยค่ะหรือสิ่งที่ยังขาด
00:06:18 → 00:06:21 โฟกัสสิ่งที่ยังไม่เรียบร้อยใช่เช่นเๆ
00:06:21 → 00:06:22 เหมือนคล้ายๆเรารู้สึกว่าอ่ะอย่างเช่น
00:06:23 → 00:06:24 อาศัยโซเชียล Media ปึ๊บเห็นคนอื่นมีนู่น
00:06:25 → 00:06:28 มีนี่เฮ้ยเรายังไม่มีอ๋อเป็นไงครับเราจะ
00:06:28 → 00:06:30 เริ่มหมกมุ่นฟุ้งซ่านแล้วกับสิ่งที่คน
00:06:30 → 00:06:31 อื่นเขาคมีแล้วก็เกิดการเปรียบเทียบค่ะ
00:06:31 → 00:06:34 เออแต่บางทีเราอาจจะไม่ได้หันมาดูว่าจริง
00:06:34 → 00:06:36 ๆทุกวันนี้ถ้าฉันไม่ไถ Facebook เนาะถ้า
00:06:36 → 00:06:38 ฉันไม่โดนสิ่งกระตุ้นพวกนี้ฉันก็อยู่ดีมี
00:06:38 → 00:06:41 สุขนะฉันก็มีบ้านอยู่ก็มีข้าวกินแล้วฉัน
00:06:41 → 00:06:44 ก็ชอบที่จะอยู่ในห้องตัวเองอะไรเงี้ยครับ
00:06:44 → 00:06:46 แต่พอเริ่มเห็นชีวิตชาวบ้านป๊บเอาละเริ่ม
00:06:46 → 00:06:49 รู้สึกแบบชีวิตไม่ดีขึ้นมาเฉยๆอะไเงี้ยฮะ
00:06:49 → 00:06:51 เพราะงั้นบางทีมันจะมีพวกนี้เหมือนกันที่
00:06:51 → 00:06:55 คล้ายๆเราเราถูกเรียกว่าอ่าเฟรมภาพอ่ะ
00:06:55 → 00:06:57 หรือตีกรอบตีกรอบให้รู้สึกว่าชีวิตไม่น่า
00:06:57 → 00:07:00 อยู่ทีเนี้ยตะกี้มันมีประเด็นนึงที่พี่รี
00:07:00 → 00:07:03 พูดน่าสนใจเนาะตรงที่ว่าเหมือนกับบางคน
00:07:03 → 00:07:05 อาจจะเคยชินกับการที่ต้องเก็บเรื่องนี้
00:07:05 → 00:07:08 ไว้บางทีผมผมพยายามมองทั้งภาพเงี้ยครับ
00:07:08 → 00:07:10 ทั้งทั้งภาพเส้นทางชีวิตของแต่ละคนเนาะ
00:07:10 → 00:07:13 บางทีเราไม่ได้เติบโตมากับการถูกเค้า
00:07:13 → 00:07:15 เรียกว่าอนุญาตให้พูดความรู้สึกอะไรทั้ง
00:07:15 → 00:07:18 หมดอ่ะค่ะอืเราไม่ได้ทำให้เรื่องลบๆหรือ
00:07:18 → 00:07:20 เรื่องความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาที่พูด
00:07:20 → 00:07:22 คุยกันได้มันกลายเป็นว่าทุกคนต้องใช้
00:07:22 → 00:07:25 ชีวิตตามหน้าที่หรือบางทีรอบข้างอาจจะ
00:07:25 → 00:07:27 พยายามบอกว่าต้องสู้สิเราจะไปนั่งอมทุกข์
00:07:27 → 00:07:31 ทำไมเราต้องยิ้มแย้มจใสหรือหรือแบบอะไรนะ
00:07:31 → 00:07:34 บางคนก็จะแบบฉันเคยผ่านมามากกว่านี้อีก
00:07:34 → 00:07:37 เราเคยได้ยินเนาะใช่ๆๆมันเลยกลายเป็นว่า
00:07:37 → 00:07:38 เจ้าของเรื่องที่มีความทุกข์ก็เลยรู้สึก
00:07:38 → 00:07:41 ว่าเฮ้ยเขาไม่ได้รับพื้นที่ในการจะพูดคุย
00:07:41 → 00:07:43 เขาก็เลยเลือกที่จะเก็บไว้ก็มีแล้วมันทำ
00:07:43 → 00:07:45 ให้คนไม่ชินนะครับไม่ชินกับการแลกเปลี่ยน
00:07:45 → 00:07:47 เรื่องความทุกข์ค่ะอ่าทีเนี้ยถ้าถ้ามัน
00:07:47 → 00:07:50 ประกอบกับเรื่องอาชีพเข้ามาอีกอาชีพที่ดู
00:07:50 → 00:07:53 สว่างสดใสอ่ะครับภาพมันจะมีคสคำคอนสคือ
00:07:53 → 00:07:55 ความแตกต่างค่อนข้างสูงระหว่างคนอมทุกข์
00:07:55 → 00:07:58 กับคนที่สว่างสดใสในหน้าที่การงานออ่าพอ
00:07:58 → 00:08:00 มันแตกต่างกันมากปั๊บมันจะเริ่มมีความแบบ
00:08:00 → 00:08:03 เอ๊ะถ้าฉันต้องต้องพูดเรื่องปัญหาชีวิต
00:08:03 → 00:08:05 เรื่องความทุกข์มันจะดูขัดแย้งกับภาพ
00:08:05 → 00:08:08 ลักษณ์ที่สังคมรับรู้เราเนาะค่ะอาจจะขัด
00:08:08 → 00:08:10 แย้งกับภาพลักษณ์ขององค์กรก็ได้ที่อยาก
00:08:10 → 00:08:13 ให้เราแบบดูสดใสหรือเกี่ยวกับหน้าที่
00:08:13 → 00:08:15 อาชีพของเราเฮ้ยถ้าเกิดคนรับรู้ว่าเรามี
00:08:15 → 00:08:17 ความมืดมนไม่เหมือนภาพที่เห็นเอ๊ะแล้วสุด
00:08:17 → 00:08:20 ท้ายเขาจะยังคงเชื่อมั่นที่จะให้เราอยู่
00:08:20 → 00:08:22 ในตำแหน่งที่ต้องสร้างความสดใสมั้ยอืบาง
00:08:22 → 00:08:24 ทีมันมีหลายอย่างที่ต้องคิดเหมือนกันเนาะ
00:08:24 → 00:08:27 เลยทำให้รู้สึกว่าการพูดเรื่องความทุกข์
00:08:27 → 00:08:29 การเปิดเผยเรื่องที่เรากำลังจะอุปสรรค
00:08:29 → 00:08:31 อะไรอย่าเงี้ยครับมันกลายเป็นเรื่องที่
00:08:31 → 00:08:33 เหมือนกับต้องเก็บเอาไว้อ่ะเพราะต้องต้อง
00:08:33 → 00:08:35 พยายามสร้างภาพหรือว่าต้องพยายามสร้างการ
00:08:35 → 00:08:38 รับรู้ว่าเข้มแข็งอยู่ออืนอกจากคำว่าเข้ม
00:08:38 → 00:08:40 แข็งที่ตัวเองต้องเก็บไว้เนี่ยมันโดยหมด
00:08:40 → 00:08:43 ทั้งมวลรวมเนี่ยนะคะไม่ว่าจะเป็นปัจจัย
00:08:43 → 00:08:45 ภายนอกหรือปัจจัยภายในแต่การเลี้ยงดู
00:08:45 → 00:08:48 นิสัยหรือว่าอาจจะมีอะไรอย่างต่างๆข้าง
00:08:48 → 00:08:51 นอกเนี่ยมันมีคำว่าอดทนน่ะอดทนใช่คำว่าอด
00:08:51 → 00:08:54 ทนน่ะอยู่อย่างเงี้ยอยู่ตลอดเวลาเลยอดทน
00:08:54 → 00:08:56 อดทนเดี๋ยวมันก็ผ่านไปอดทนกลายเป็นว่าคำ
00:08:56 → 00:08:59 ว่าอดทนเนี่ยมันก็กลายเป็นคำว่าทนทนไป
00:08:59 → 00:09:02 เรื่อยๆพอทนไปเรื่อยๆเราก็เลยกลายฝืฝืนทน
00:09:02 → 00:09:05 แล้วตอนนี้ไม่ใช่ทนธรรมดาเออแล้วเราก็จะ
00:09:05 → 00:09:07 ไม่รู้ตัวเองเลยว่ามันหรือว่าเรากลายเป็น
00:09:07 → 00:09:11 ความแบบออมันก็เป็นปกติอ่ะอืจนสะสมแบบ
00:09:11 → 00:09:15 ครับไม่รู้ตัวใช่ๆครับมีหลายคนไม่รู้ตัว
00:09:15 → 00:09:18 แล้วมีหลายคนเป็นความรู้สึกแบบนี้มีๆครับ
00:09:18 → 00:09:21 คือคือต้องเล่าให้ฟังผมจะมีนึกนึกถึงเคส
00:09:21 → 00:09:23 นึงเสมอผมจำไม่ได้ว่าเคสไหนนะแต่ผมจะนึก
00:09:23 → 00:09:27 ถึงบรรยากาศตรงนั้นได้ผมคุยกับเา้าว่าฟัง
00:09:27 → 00:09:29 ดูเหมือนกับคุณไม่ค่อยมีเวลาได้คุยกับตัว
00:09:29 → 00:09:32 เองเนาะเออทำไมทำไมเราถึงพูดคำว่าไม่ค่อย
00:09:32 → 00:09:35 ได้คุยกับตัวเองเพราะว่าเค้าเมาเล่า
00:09:35 → 00:09:37 เรื่องปัญหาชีวิตของเขาคที่รู้สึกว่า
00:09:37 → 00:09:39 เหมือนเขาหลงทางว่าแบบคำว่าหลงทางคือมา
00:09:39 → 00:09:42 อยู่ตรงนี้แต่ไม่มีความสุขอะไรเงี้ยฮะใน
00:09:42 → 00:09:44 หน้าที่การงานในเรื่องชีวิตครอบครัวใน
00:09:44 → 00:09:46 ตำแหน่งในอะไรที่เขาอยู่ในครอบครัวก็ตาม
00:09:46 → 00:09:49 เงี้ยครับเครู้สึกว่าอไม่มีความสุขแต่
00:09:49 → 00:09:52 เค้าไม่ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองว่าทำไมไม่มี
00:09:52 → 00:09:54 ความสุขทั้งที่ก่อนหน้าอาจจะรู้สึกว่า
00:09:54 → 00:09:57 อยากจะมาอยู่ตรงจุดนี้แล้วคิดว่าน่าจะดี
00:09:57 → 00:10:00 อย่างงั้นรือเป่าเอ่ออาจจะประมาณมันั้งเ
00:10:00 → 00:10:02 ที่แบบคิดว่าอยู่ตรงนี้น่าจะดีอือๆกับคน
00:10:02 → 00:10:05 ที่ใช้ชีวิตแบบไถๆมาแล้วก็มาอยู่ตรงนี้
00:10:05 → 00:10:07 ได้ยังไงเออไถๆแล้วมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง
00:10:07 → 00:10:09 วะอะไรเงี้ยฮะเพราะว่าพ่อแม่บอกให้ทำอัน
00:10:09 → 00:10:12 นี้อเอ่อพอมีเมียมีลูกก็รู้สึกว่าก็ต้อง
00:10:12 → 00:10:15 ทำต่อหัวหน้างานบอกให้ทำต่ออย่างเงี้ย
00:10:15 → 00:10:17 ครับมันกลายเป็นว่าชีวิตมันไถมาข้างหน้า
00:10:17 → 00:10:19 ค่ะโดยที่แบบเหมือนเหมือนทำตามคำสั่งอ่ะ
00:10:19 → 00:10:22 อือเหมือนทำตามหน้าที่อะไรเงี้ยฮะจนจน
00:10:22 → 00:10:23 กลายเป็นว่ามันอยู่จุดนี้แล้วแบบไม่มี
00:10:23 → 00:10:26 ความสุขหาาหาคำอธิบายไม่ค่อยเจอว่าทำไม
00:10:26 → 00:10:28 ไม่มีความสุขแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะต้องไป
00:10:28 → 00:10:32 ไหนถ้าเกิดจะทำให้มีความสุขโอ้โหเออผมก็
00:10:32 → 00:10:35 เลยแบบเฮ้ยปกติคนเรานี่มันจะไม่รับรู้ได้
00:10:35 → 00:10:37 เลยได้ขนาดนั้นเลยหรอว่าแบบมันมาตรงนี้
00:10:37 → 00:10:39 ได้ยังไงอะไรเงี้ยฮะก็เลยถามเ้าว่าแบบ
00:10:39 → 00:10:42 เอ้ยทำไมคุณถึงดูไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่า
00:10:42 → 00:10:45 ไหร่อือเค้าก็เล่าให้ฟังว่าชีวิตเ้าอ่ะ
00:10:45 → 00:10:47 เหมือนต้องมีสิ่งที่ต้องให้ทำต่อเรื่อยๆ
00:10:47 → 00:10:49 เลยอ่ะพอเสร็จอันนี้เสร็จปั๊บแทบจะไม่มี
00:10:49 → 00:10:52 จุดเวลาหยุดพักเลยค่ะมันก็จะมีสิ่งที่พ่อ
00:10:52 → 00:10:55 แม่อยากให้ทำต่ออ๋อสิ่งที่หัวหน้างานได้
00:10:55 → 00:10:58 ทำต่อแล้วการการหยุดคิดการหยุดคุยกับตัว
00:10:58 → 00:11:02 เองจะทำให้ทำสิ่งพวกนั้นไม่ทันอืยิ่งถ้า
00:11:02 → 00:11:04 เกิดเป็นสายงานที่ทำเกี่ยวกับโฆษณาเกี่ยว
00:11:04 → 00:11:06 กับเอเจนซี่เกี่ยวกับการตลาดอะไรที่มัน
00:11:06 → 00:11:08 ผันกันเร็วมากดิจิตอลอะไรอย่าเงี้ยฮะมัน
00:11:08 → 00:11:11 กลายเป็นว่าการหยุดแม้แต่แบบช่วงเวลาแค่
00:11:11 → 00:11:13 อาจจะ 1 วันอาจจะทำให้แบบเสียงานหรือว่า
00:11:13 → 00:11:16 เสียลูกค้าหรือเกิดผลเสียหายก็ได้โอมัน
00:11:16 → 00:11:18 เลยกลายเป็นว่าตัวเาก็ต้องเลือกที่จะไม่
00:11:18 → 00:11:21 คิดและทำสิ่งที่ต้องทำให้มันเสร็จซะแต่
00:11:21 → 00:11:24 มันไม่มีจุดจบอ่ะครับไปเรื่อยๆเเลยบอกผม
00:11:24 → 00:11:26 ว่าจริงๆแล้ววันเนี้ยที่นั่งนัดคุยกันน่ะ
00:11:26 → 00:11:29 อืเป็นครั้งแรกในรอบแบบหลายๆเดือนที่
00:11:29 → 00:11:31 เพิ่งหยุดคุยกับตัวเองอ๋อคือแบบโอ้โห
00:11:31 → 00:11:34 ชีวิตคนเรามันแบบตึงตึงขนาดที่แบบไม่มี
00:11:34 → 00:11:36 ช่วงเวลาพักคุยกับตัวเองอะไเงี้ยฮะแสดง
00:11:36 → 00:11:38 ว่ามันต้องขั้นสุดแล้วอ่ะไม่งั้นไม่หา
00:11:38 → 00:11:40 เวลาให้กับตัวเองแต่ยังดีเหมือนเขยังรู้
00:11:40 → 00:11:45 นะว่าเค้ายังมีความรู้สึกว่าเฮ้ยมันต้อง
00:11:45 → 00:11:48 ถึงเวลาต้องคุยละใช่ๆครับวันนั้นเค้าก็ลา
00:11:48 → 00:11:50 งานมาเลยเออดีๆๆซึ่งมันมีงานเเคมีงานต้อง
00:11:50 → 00:11:53 ทำ 7 วันนะครับเออวันนั้นเค้าก็แบบลางาน
00:11:53 → 00:11:55 แบบไม่ไหวแล้วไม่งั้นมากกว่านี้คือเา้า
00:11:55 → 00:11:57 เริ่มมีความคิดแบบว่าพอเห็นรถเห็นรถยนต์
00:11:57 → 00:12:00 วิ่งผ่านแล้วแบบเดินไปให้ชนชนดีหรือหรือ
00:12:00 → 00:12:02 อาจจะลักษณะว่าถ้ารถมันพุ่งมาชนเราก็คงดี
00:12:02 → 00:12:05 เนาะจะได้ไม่ต้องไม่ต้องคิดอะไรโอคือไม่
00:12:05 → 00:12:07 ใช่ตั้งใจจะฆ่าตัวตายนะแต่หมาถึงว่าเ
00:12:07 → 00:12:09 เริ่มมีความคิดว่าเหนื่อยจังเลยชีวิตน่ะ
00:12:09 → 00:12:11 ถ้าเกิดมีอะไรสักอย่างจู่ๆเครื่องบินบิน
00:12:11 → 00:12:14 ตกใส่จบเลยเออจะได้จบเออเ้าเริ่มเริ่ม
00:12:14 → 00:12:17 กลัวความคิดตรงนี้ของตัวเองเก็เลยมาคุยดี
00:12:17 → 00:12:20 กว่าเออเฮ้ยมันก็อันตรายเหมือนกันนะกับ
00:12:20 → 00:12:23 การที่แบบว่าอยากจะหาอะไรก็ได้ที่มันทำ
00:12:23 → 00:12:25 ให้มันจบอ่ะแต่มันกลเป็นไม่ได้แค่เรื่อง
00:12:25 → 00:12:27 จบนะมันจบชีวิตเราไปเลยอใช่ใช่พวกนี้คือ
00:12:28 → 00:12:30 สัญญาณทั้งนั้นเลยครับโอ้โหอันนี้มันนำไป
00:12:30 → 00:12:33 สู่การเป็นซึมเศร้าได้ป่ะแน่นอนครับแน่
00:12:33 → 00:12:36 นอนเลยใช่มอืบางคนเป็นซึมเศร้าแบบไม่รู้
00:12:36 → 00:12:38 ตัวใช่ครับเเรื้อรังอะไรเงี้ยยังใช้ชีวิต
00:12:39 → 00:12:42 ปกติได้คือในพารทของคำว่าซึมเศร้าเนี่ยคำ
00:12:42 → 00:12:45 เนี้ยมันถูกใช้เยอะมากเนาะคุณเอิ้นเนาะ
00:12:45 → 00:12:47 หลายคนก็จะคิดว่าอันเนี้ยคือฉันเป็นซึม
00:12:47 → 00:12:49 เศร้าเอ้ยอันนี้ฉันเป็นซึมเศร้าหรืออะไร
00:12:49 → 00:12:51 เงี้ยแต่เป็นจริงหรือเปล่าเนี่ยมันต้องมี
00:12:51 → 00:12:55 กระบวนการในการไปพูดคุยใช่มั้ยคะไปทำการ
00:12:55 → 00:12:58 เอ่อกับจิตแพทย์โดยตรงอาจจะเป็นจิตแพทย์
00:12:58 → 00:13:00 จิตวิยาการปรึกษาก็ได้เพราะว่ามันต้องมี
00:13:00 → 00:13:02 เกณฑ์ในการแยกหักว่าสิ่งนี้เป็นโรคมั้ย
00:13:02 → 00:13:05 หรือยังไม่ใช่โรคหรือเป็นแค่ภาวะหรือเป็น
00:13:05 → 00:13:08 แค่ภาวะซึ่งภาวะก็เข้มได้เหมือนกันนะเข้ม
00:13:08 → 00:13:10 เข้มแบบโลกเลยก็มีครับแต่แค่ว่าจุดจุด
00:13:10 → 00:13:12 กำเนิดของซึมเศร้าเนี่ยครับต้องแยกให้ดี
00:13:12 → 00:13:15 ว่ามาจากร่างกายหรือมาจากจิตใจอืถ้าถ้ามา
00:13:15 → 00:13:17 ทางร่างกายเนี่ยอันนี้บอกคุณผู้ฟังไว้
00:13:17 → 00:13:20 เนาะมันจะอารมณ์เหมือนคล้ายๆเราไม่สามารถ
00:13:20 → 00:13:22 จับตัวเรื่องได้เท่าไหร่ว่าแบบเอ้ยมันมี
00:13:22 → 00:13:24 เรื่องอะไรเกิดขึ้นมันอาจจะไม่มีเรื่อง
00:13:24 → 00:13:26 เลยก็ได้นะแต่จู่ๆเป็นภาวะอารมณ์ที่แบบ
00:13:26 → 00:13:29 ทำไมมันเศร้าชีวิตไม่น่าอยู่จังเลยอือื
00:13:29 → 00:13:31 คุณผู้หญิงลองนึกภาพง่ายๆเอาแบบที่ใกล้
00:13:31 → 00:13:33 ตัวที่สุดเลยครับช่วงประจำเดือนึงมาผมชอบ
00:13:33 → 00:13:35 ย้ำคำนี้บ่อยเลยเออเพราะว่าเรื่องนี้จะ
00:13:35 → 00:13:36 เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนแล้วะฮอร์โมนเกี่ยว
00:13:37 → 00:13:39 ข้องกับร่างกายค่ะเมื่อฮอร์โมนแข็งแรง
00:13:39 → 00:13:41 ร่างกายแข็งแรงที่จะครอบงำจิตใจเราเงี้ย
00:13:41 → 00:13:44 ครับจิตใจมันสู้ไม่ไหวอือมันก็จะกลายเป็น
00:13:44 → 00:13:46 ว่าเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
00:13:46 → 00:13:48 เพราะฮอร์โมนมันสั่งให้เรารู้สึกแบบนี้
00:13:48 → 00:13:51 ค่ะอ่าแล้วมันก็จะสู้ยากถูกมั้ยครับอย่าง
00:13:51 → 00:13:53 เช่นผู้หญิงประจำเดือนมาพอมาปั๊บหายเลยดี
00:13:53 → 00:13:55 ขึ้นอันเนี้ยมันเป็นทรงคล้ายๆเหมือนคนที่
00:13:55 → 00:13:57 แบบถูกครอบง้ำด้วยร่างกายเพราะงั้นคนที่
00:13:57 → 00:13:59 เป็นโรคเิมเศร้าอฮะครับก็จะมีภาวะอย่าง
00:14:00 → 00:14:02 เงี้ยที่รู้สึกว่ามันคุมอารมณ์ไม่ได้มัน
00:14:02 → 00:14:05 รู้สึกดิ่งรู้สึกแย่มากๆมีความคิดลบๆมี
00:14:05 → 00:14:08 ความแบบอยากทำร้ายเเวงโผล่ขึ้นมาลอยๆอื
00:14:08 → 00:14:11 หรือหรือแม้กระทั่งเป็นเหตุการณ์เล็กๆที่
00:14:11 → 00:14:13 อาจจะดูไม่น่าจะเป็นเรื่องเศร้ามากค่ะแต่
00:14:13 → 00:14:15 ทำไมพอพอเกิดเรื่องนี้ขึ้นปั๊บแล้วมัน
00:14:15 → 00:14:19 กระทบหนักเหลือเกินระยะเวลายาวอะไรอย่า
00:14:19 → 00:14:21 เงี้ยครับไอ้ตรงเนี้ยอาจจะเป็นไปได้ว่า
00:14:21 → 00:14:23 เกี่ยวข้องกับร่างกายคืออะไรที่มันมันมี
00:14:23 → 00:14:25 ความผิดปกติไปจากเดิมใช่ครับให้สังเกตตัว
00:14:25 → 00:14:27 เองใช่แล้วใช้ชีวิตยากด้วยความเป็นโรคจะ
00:14:27 → 00:14:30 มีเกณฑ์ข้อหนที่บอกว่าใช้รู้สึกใช้ชีวิต
00:14:30 → 00:14:32 ตามปกติไม่ได้ค่ะแต่ถ้าเกิดเป็นเรื่องของ
00:14:32 → 00:14:34 จิตใจอ่ะครับถ้าเราสังเกตดีๆมันจะมีเหตุ
00:14:34 → 00:14:38 การณ์มีตัวละครมีสถานการณ์ตัวเรื่องบาง
00:14:38 → 00:14:40 อย่างที่เกิดขึ้นมาและมีเรื่องของการให้
00:14:40 → 00:14:42 น้ำหนักให้ความสำคัญมีการตีความสถานการณ์
00:14:42 → 00:14:45 นี่คือสิ่งปกติของคนทั่วไปอ่ะที่รู้สึก
00:14:45 → 00:14:47 ว่าเฮ้ยเรื่องนี้มันมีน้ำหนักกับเรามันมี
00:14:47 → 00:14:49 ความหมายกับเราเราถึงให้ความสำคัญค่ะและ
00:14:50 → 00:14:51 เมื่อเรื่องสำคัญนี้ไม่เป็นอย่างที่มัน
00:14:51 → 00:14:53 ควรจะเป็นเราเลยรู้สึกผิดหวังแล้วก็ทุกข์
00:14:53 → 00:14:56 เงี้ยครับคไอ้ตรงเนี้ยมันจะมีจุดของคำที่
00:14:56 → 00:15:00 ผมมักจะชอบใช้คำว่าตรอมใจอืไอ้คำว่าตรอม
00:15:00 → 00:15:02 ใจเนี่ยมันดูเป็นคำที่เรารู้สึกว่ามัน
00:15:02 → 00:15:05 เป็นภาษาธรรมดาๆาที่เราอาจจะได้ยินตาม
00:15:05 → 00:15:08 ละครตามอะไรก็ตามหรือว่าตามข่าวที่แบบมี
00:15:08 → 00:15:11 คนเจอแบบผิดหวังอ่ะลูกเสียชีวิตบ้านถูกไฟ
00:15:11 → 00:15:15 ไหม้ตอมใจโดนโกงเงินตอมใจโดนโกงเงินนี่
00:15:15 → 00:15:17 ไม่ได้เกี่ยวกับแบบความเป็นร่างกายครับ
00:15:17 → 00:15:19 โดนโกงเงินมันคือมันคือจิตใจล้วนๆเลย
00:15:19 → 00:15:22 กระทบแบบแบบฉันถูกหลอกฉันเก็บเงินมาทั้ง
00:15:22 → 00:15:24 ชีวิตกระแล้วบ้านปลายฉันเจอสิ่งนี้อย่าง
00:15:24 → 00:15:26 เงี้ยครับไอ้ตรงเนี้ยมันคือเหตุการณ์ตัว
00:15:26 → 00:15:28 เรื่องมีตัวละครเกี่ยวข้องแล้วทำให้รู้
00:15:28 → 00:15:31 สึกผิดหวังมากๆไอ้ตรงเนี้ยครับมันจะไม่
00:15:31 → 00:15:34 ใช่เป็นตัวโรคซึมเศร้าโดยตรงที่เป็นร่าง
00:15:34 → 00:15:36 กายแต่มันคือภาวะซึมเศร้าจากการตรอมใจ
00:15:36 → 00:15:39 เพราะงั้น 2 เรื่องเนี้ยจะแก้ปัญหาคนละ
00:15:39 → 00:15:41 ทางกันอถ้าเป็นเรื่องร่างกายเนี่ยคือเอา
00:15:41 → 00:15:43 ยาเข้าไปเลยครับเพราะว่ามันไม่มีอะไรที่
00:15:43 → 00:15:46 จะคุยคุยได้แล้วอต้องเอายาเข้าไปแทรกแซง
00:15:46 → 00:15:48 แต่ถ้าเป็นเรื่องทางจิตใจสุดท้ายมันต้อง
00:15:48 → 00:15:51 กลับมาจัดการที่ใจเราปรับวิธีคิดเราปรับ
00:15:51 → 00:15:53 วิธีมองสถานการณ์เราหรือถ้าเราทำให้
00:15:53 → 00:15:55 เรื่องนี้มันดูมีความหวังได้มากขึ้นว่า
00:15:55 → 00:15:57 อ๋อสุดท้ายเรื่องนี้มันมีความหวังที่จะ
00:15:57 → 00:16:00 แก้ไขได้ได้ยังไงสุดท้ายคนเราก็จะกลับมา
00:16:00 → 00:16:02 รู้สึกว่าเรียกว่าใช้ชีวิตต่อได้เพราะ
00:16:02 → 00:16:05 เห็นทางออกอ่ะครับอค่ะโอ้โหถ้าอย่างเงี้ย
00:16:05 → 00:16:09 คือเราคงไปประเมินอะไรเองไม่ได้ล่ะแต่ว่า
00:16:09 → 00:16:11 ถ้าอย่างเงี้ยเราเจอเราก็จะประเมินไม่ได้
00:16:11 → 00:16:13 อีกเค้าเรียกอะไรอ่ะเหมือนกับเป็นการมอง
00:16:13 → 00:16:16 ด้วยตาของเราอ่ะอย่างสมมุติเอ่อพี่มอง
00:16:16 → 00:16:19 เอิ้นอย่างเงี้ยครับก็เห็นเอิ้นปกติแต่
00:16:19 → 00:16:21 จริงๆเอิ้นอาจจะมีอะไรอาจจะอมทุกข์อยู่ก็
00:16:21 → 00:16:24 ได้ผมอาจจะเป็นนักจิตที่ซ่อนความบอบช้ำ
00:16:24 → 00:16:26 ไว้ทำไมต้องเล่นเสียงขอยกตัวอย่างใหม่ได้
00:16:27 → 00:16:30 มั้ยคะคุณผู้ฟังคุณเอิ้นมองมองมองสุรีพร
00:16:30 → 00:16:33 อย่างเงี้ยเห็นอย่างเงี้ยคุยกันปกติครับ
00:16:33 → 00:16:36 แต่ในใจอาจจะทุกข์อยู่ก็ได้อ่าใช่ซึ่ง
00:16:36 → 00:16:38 ซึ่งบางคนไม่ได้มีการแสดงออกซึ่งทั้งสี
00:16:39 → 00:16:43 หน้าและท่าทางหรือหรือแววตาที่มีแววของ
00:16:43 → 00:16:46 ความทุกข์อยู่ในใจอย่างเงี้ยเราจะดูยังไง
00:16:46 → 00:16:49 อ่ะคือตอนนี้มันกลายเป็นว่าเฮ้ยเราคนใกล้
00:16:49 → 00:16:51 ตัวเราอ่ะเราต้องกลายเป็นแบบสังเกตกัน
00:16:51 → 00:16:54 มั้ยอ่าว่าจริงๆแล้วอ่ะเขามีอะไรหรือเรา
00:16:54 → 00:16:56 จะต้องเดินไปถามเธอะๆมีอะไรหรือเปล่าขนาด
00:16:56 → 00:16:59 นั้นมั้ยอืเอ่อมันเป็นอย่างอย่างี้ครับ
00:16:59 → 00:17:01 เวลาเวลาคนเราใช้ชีวิตเนาะมันจะมีเรียก
00:17:01 → 00:17:04 ว่าการสวมบทบาทค่ะสวมบทบาทตามหน้างานตาม
00:17:04 → 00:17:06 สถานการณ์อย่างที่เรานั่งคุยกันอย่าง
00:17:06 → 00:17:09 เงี้ยครับผมมาในฐานะวิทยากรถูกมั้ยครับผม
00:17:09 → 00:17:11 ไม่ได้มาในฐานะเอิ้นที่กำลังเป็นทุกข์ผม
00:17:11 → 00:17:14 กำลังเข้ามาในาวิทยากรเพราะฉะนั้นเออพอพอ
00:17:14 → 00:17:16 มันมีบทบาทให้เราต้องทำอ่ะครับเราก็จะสวม
00:17:16 → 00:17:18 บทบาทนั้นแล้ววางสิ่งที่เราอมทุกข์เอาไว้
00:17:19 → 00:17:21 ก่อนออือย่างอย่างพี่รีจัดรายการเงี้ย
00:17:21 → 00:17:24 ครับพี่รีก็โฟกัสอยู่กับว่าเอ๊ะฉันจะพูด
00:17:24 → 00:17:25 อะไรฉันจะดำเนินรายการยังไงเพื่อให้มัน
00:17:26 → 00:17:28 ราบรื่นแล้วคนฟังเข้าใจหือต้องจับประเดผม
00:17:28 → 00:17:30 ด้วยเพราะฉะนั้นเมื่อเมื่อเกิดการตั้ง
00:17:30 → 00:17:33 ตั้งสติตั้งสมาธิอยู่กับบางสิ่งปั๊บเราจะ
00:17:33 → 00:17:36 ตัดไอ้เรื่องที่มันกวนใจอื่นๆที่อยู่ข้าง
00:17:36 → 00:17:39 หลังเราอ่ะไว้ก่อนอืแต่แต่เมื่อเราทำงาน
00:17:39 → 00:17:43 นี้เสร็จสมมุติเราแบบคัดจบเออผมก็อาจจะ
00:17:43 → 00:17:45 แบบอ่ะหมดหน้าที่ะหมดบทบาทนี้แล้วผมเดิน
00:17:45 → 00:17:47 ออกไปผมอาจจะดึงเรื่องเก่าวาร์ปกลับมาใน
00:17:47 → 00:17:50 หัวก็ได้ค่ะซึ่งซึทุกคนเป็นอย่างนั้นมัน
00:17:50 → 00:17:52 เลยทำให้ซึ่งหน้าบางทีเนี่ยในบทบาทที่เรา
00:17:52 → 00:17:55 เห็นกันนะครับมันเลยไม่ได้เห็นร่องรอย
00:17:55 → 00:17:57 หรือว่าเห็นแววตาที่แสดงถึงความอมทุกข์
00:17:57 → 00:18:00 เพราะเพราะการอมทุกข์จะเกิดขึ้นเมื่อใน
00:18:00 → 00:18:02 หัวครับกำลังมีบางสิ่งที่กำลังทำให้เรา
00:18:02 → 00:18:05 รู้สึกเป็นทุกข์อยู่แล้วมันจะฉายออกมาเอง
00:18:05 → 00:18:06 ด้วยแววตานั่นหมายความว่าการอยู่กับตัว
00:18:06 → 00:18:09 เองโมเมนที่คนอยู่กับตัวเองไม่ได้กำลัง
00:18:09 → 00:18:11 โฟกัสกับอะไรนอกจากโฟกัสตัวเองตรงนี้แหละ
00:18:11 → 00:18:13 จะเห็นชัดที่สุดถูกมั้ยครับทีนี้มันเลย
00:18:13 → 00:18:16 เหมือนที่พี่รีบอกครับว่าการที่เราเห็น
00:18:16 → 00:18:18 เชื่องหน้าเราเห็นหน้าเขาแต่เราไม่รู้ใจ
00:18:18 → 00:18:21 เขาทีเยครับไอ้การรับฟังจะเป็นพาร์ทนึง
00:18:21 → 00:18:23 ที่ช่วยได้แต่ก่อนจะรับฟังมันก็ต้องมี
00:18:23 → 00:18:26 เรื่องของการตั้งคำถามเพราะเพราะการตั้ง
00:18:26 → 00:18:29 คำถามมักจะดึงให้คนที่ถูกตั้งคำถามเนี่ย
00:18:29 → 00:18:32 ไปอยู่ในจุดๆนึงที่ที่เค้าเรียกว่าเถูก
00:18:32 → 00:18:34 ดึงไปสู่คำตอบอ่ะค่ะเมื่อเราตั้งคำถาม
00:18:34 → 00:18:37 ปั๊บเขาจะมีคำตอบอยู่ในใจทันทีอเช่นช่วง
00:18:37 → 00:18:40 นี้เป็นยังไงปึ๊บพอคำถามช่วงนี้เป็นยังไง
00:18:40 → 00:18:41 ปึ๊บเขาจะเริ่มกลับมาอยู่กับตัวเองว่า
00:18:41 → 00:18:44 ช่วงนี้ฉันเป็นยังไงแล้วแล้วไอ้พวกข้อมูล
00:18:44 → 00:18:46 ที่มันอยู่กับตัวครับมันจะไหลออกมาเข้า
00:18:46 → 00:18:48 สู่ตัวเองโดยธรรมชาติค่ะทีนี้พอไหลเข้ามา
00:18:48 → 00:18:51 สู่ตัวเองปั๊บแววตาจะเริ่มเปลี่ยนอืเรา
00:18:51 → 00:18:53 เคยเห็นอย่างนี้มั้ยครับว่าเอออย่างเช่น
00:18:53 → 00:18:56 อ่ะพี่รีช่วงนี้เป็นไงครับงานเป็นไงบ้าง
00:18:56 → 00:18:58 แล้วก็สีหน้าออกทันทีถอนหายใจต้องมีความ
00:18:58 → 00:19:01 ถอนให้ใจไม่พอเนาะจะมีความเงิบแบบนิ่งๆ
00:19:01 → 00:19:04 แบบเหมือนฮึบแล้วก็แววตาเริ่มออกว่าแบบ
00:19:04 → 00:19:06 ช่วงนี้มันเป็นยังไงคืออย่าเงี้ยมันจะ
00:19:06 → 00:19:08 เป็นพาร์ทที่เออมันก็ชัดเจนได้เหมือนกัน
00:19:08 → 00:19:11 นะคุณเอิ้นคุณผู้ฟังว่าถ้าเรามีความสุข
00:19:11 → 00:19:16 อ่ะเราก็จะแบบหุยช่วงตอบเร็วมากทีใช่ตาสด
00:19:16 → 00:19:20 เงี้อ่าถ้าทางออกเลยแต่ถ้าพอเป็นคนคิดช้า
00:19:20 → 00:19:23 คิดช้าดูตอบช้าเออช่วงนี้เป็นไงบ้างถ้า
00:19:23 → 00:19:26 มันมีปัญหาอยู่กับคนๆนั้นอยู่เนี่ยเอออัง
00:19:26 → 00:19:28 อย่างตัวเองนะคะก็จะรู้สึกแบบว่า
00:19:28 → 00:19:31 ืถอนหายใจจแล้วมีเสียงฮือย่างงี้ออกมา
00:19:31 → 00:19:35 แล้วก็เงียบไปแป๊บนึงแล้วก็ค่อยว่าวต่อ
00:19:35 → 00:19:39 เออที่เราทักกันทุกเช้าตอนรายการนี่แหละ
00:19:39 → 00:19:42 พี่รีเป็นไงบ้างครับอเอาละตอบช้ารู้เลย
00:19:42 → 00:19:44 ทุกวันเลยทุกครั้งที่เจอกันแต่ก็ก็นั่น
00:19:45 → 00:19:47 แหละมันก็เป็นสิ่งที่เนี่ยอย่างอย่าอย่าง
00:19:47 → 00:19:52 ของตัวเองเนี่ยก็จะใช้วิธีการว่าเออก็ได้
00:19:52 → 00:19:55 เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเออพามตอบใจตัวเองซะ
00:19:55 → 00:19:59 ก่อนนี่แหละซักก็สะสมเนี่ยจากวิธีเหล่า
00:19:59 → 00:20:01 นี้ที่เราจะรู้สึกว่าเฮ้ยเราไหวหรืออะไร
00:20:01 → 00:20:04 อย่าเงี้ยถ้าไม่มีใครมาถามเนี่ยคุณเอิ้น
00:20:04 → 00:20:07 เราก็จะไม่ได้พูดอะไรใช่ครับอืเนี่ยหลายๆ
00:20:07 → 00:20:09 คนเป็นแบบนี้เพไม่มีคนมาถามไงใช่ครับเพรา
00:20:09 → 00:20:12 ั้นต้องมันต้องมีคนเค้อประตูเรียกโอ้โหที
00:20:12 → 00:20:14 นี้ทีนี้ความห่วงใยอ่ะครับมันก็ต้องดู
00:20:14 → 00:20:17 ความพอดีเนาะผมผมมองว่าแต่ละคนนะครับมี
00:20:17 → 00:20:19 สิทธิ์ที่จะเอ่อมีพื้นที่ส่วนตัวในการ
00:20:19 → 00:20:21 เก็บเรื่องของตัวเองอันนี้เรื่องนี้เป็น
00:20:21 → 00:20:23 สิทธิ์เนาะคแต่แน่นอนครับในการเก็บเก็บ
00:20:23 → 00:20:25 สิทธิ์ตรงนั้นไว้มันก็อาจจะมีเป็นดาบ
00:20:25 → 00:20:27 สังคมแหละบางทีอาจจะรู้สึกปลอดภัยที่ไม่
00:20:27 → 00:20:29 ต้องพูดแต่บางคนเก็บไว้มันก็กลายเป็นขยะ
00:20:29 → 00:20:32 สะสมที่มันก็ยิ่งกัดกินเราจริงถูกมั้ยฮะ
00:20:32 → 00:20:34 ทีเในฐานะคนรอบตัวหรือความเป็นเพื่อนฝูง
00:20:34 → 00:20:36 อะไรเงี้ยครับเราอาจจะมีความปรารถนาดีใน
00:20:36 → 00:20:39 การถามไถ่ได้เหมือนที่ผมบอกเนาะการตั้งคำ
00:20:39 → 00:20:42 ถามจะช่วยเป็นการเหมือนเคาะประตูเรียกเขา
00:20:42 → 00:20:45 อ่ะว่าเฮ้ยตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างการการ
00:20:45 → 00:20:47 ตระหนักรู้หรือการมีสติบางอย่างเขาจะกลับ
00:20:47 → 00:20:49 ไปที่ตัวเองตรงนั้นน่ะจะเริ่มเป็นจุดที่
00:20:49 → 00:20:52 เราพอสังเกตได้ทีนี้ถ้าเราพอสังเกตได้
00:20:52 → 00:20:54 สิ่งที่ผมจะต้องบอกทุกคนคือว่าต่อให้เรา
00:20:54 → 00:20:56 สังเกตเห็นแต่เราต้องอย่าลืมให้เกียรติ
00:20:56 → 00:20:59 เจ้าของเรื่องนะค่ะว่าว่าเพร้อมหรือเข
00:20:59 → 00:21:01 สะดวกแค่ไหนเพราะบางทีพอเรายิ่งถามเยอะ
00:21:01 → 00:21:02 ยิ่งอะไรเงี้ยครับมันกลายเป็นว่าเยิ่งปิด
00:21:03 → 00:21:06 ตัวเองแล้วเยิ่งหนีจากเราก็มีอือ่าแต่แต่
00:21:06 → 00:21:08 ถ้าเราถามแล้วแบบเฮ้ยเหมือนเราพอสังเกต
00:21:08 → 00:21:10 ได้เราอาจจะแบบคล้ายๆแค่เสนอตัวออกตัว
00:21:10 → 00:21:12 ก่อนว่าแบบเฮ้ยเหมือนเหมือนรู้สึกได้ว่า
00:21:12 → 00:21:15 มีเรื่องไม่สบายใจเออมีอะไรแบบแชร์กันได้
00:21:15 → 00:21:18 บอกนะอะไรเงี้ยครับแล้วก็บางทีฝั่งเราอ
00:21:18 → 00:21:21 ครับอาจจะแบบเอ่อไม่ต้องแสดงตัวว่าเราแบบ
00:21:21 → 00:21:23 สดใสขนาดนั้นเราอาจจะบอกว่าเฮ้ยบางทีเรา
00:21:23 → 00:21:26 เราเองก็มีพาร์ทอะไรที่มันแบบไม่ได้ไม่
00:21:26 → 00:21:28 ได้สุขตลอดหรอกอะไรเงี้ยบางทีก็มีอะไรก็
00:21:28 → 00:21:30 ก็ต้องค่อยๆดูค่อยๆแลกเปลี่ยนได้อย่าง
00:21:30 → 00:21:32 เงี้ยครับค่ะให้รู้สึกว่าแบบคนเรามันมี
00:21:32 → 00:21:34 ความทุกข์ได้เหมือนๆกันแหละอ๋ออ่าอย่าง
00:21:34 → 00:21:36 เงี้ยครับแต่แต่เราจะพยายามไม่โชว์เหนือ
00:21:36 → 00:21:39 นะว่าเราทุกข์กว่าเคพอได้โชว์เหือทุกข์
00:21:39 → 00:21:41 กว่าเคปั๊บมันจะกลายเป็นการขิงเป็นการบัฟ
00:21:41 → 00:21:43 กันแล้วตกลงไม่รู้ใครปรึกษาใครลทีนี้ใช่
00:21:43 → 00:21:46 แล้วเราอาจจะแย่งซีนเคเองฉันขอเล่าหน่อย
00:21:46 → 00:21:49 เ้ยอันเนี้ยเป็นเรื่องที่แบบว่าหลายคน
00:21:49 → 00:21:51 เป็นแบบนี้อืพอเราฟังเรื่องเ้าแล้วเรารู้
00:21:51 → 00:21:53 สึกว่าเรื่องเราใหญ่กว่าเราก็เลยจะบอกว่า
00:21:53 → 00:21:56 โหยของเธอมันนิดเดียวของเราเนี่ยอย่างงี้
00:21:56 → 00:21:59 อะไรอย่างเงี้ยใช่มั้ยคเดี๋ยวนี้จะใช้
00:21:59 → 00:22:01 วิธีแบบนี้ค่ะอาจจะคุยกับคุณเอิ้เยอะไป
00:22:01 → 00:22:05 หน่อยเยอะไปหน่อยเยอะไปหน่อยใช้แนวทางใช้
00:22:05 → 00:22:08 แนวทางในการเป็นที่ในการที่ใครจะมาคุย
00:22:08 → 00:22:12 หรือปรึกษาหรืออะไรอย่างเงี้ยเราจะไม่ไม่
00:22:12 → 00:22:16 รีบแบบตัดสินหรือว่าในเรื่องของการที่จะ
00:22:16 → 00:22:19 คุยกับเขาเนี่ยแล้วจะแบบสอนเจะไม่ไม่เป็น
00:22:19 → 00:22:22 ฟินั้นใช่ครับเมื่อก่อนอาจจะเป็นเพราะว่า
00:22:22 → 00:22:24 เรายังไม่รู้หลักและวิธีการเนี่ยอย่างที่
00:22:24 → 00:22:26 คุยกับคุณเอิ้นที่ฟังคุณเอิ้นบ่อยๆเนี่ยง
00:22:26 → 00:22:29 เราก็จะรู้ว่าเออการรับฟังเป็นสิ่งที่ดี
00:22:29 → 00:22:32 ที่สุดครับจะมีเราจะพูดเป็นหรือพูดไม่
00:22:32 → 00:22:34 เป็นหรือจะปลอบใจได้หรือไม่ได้ช่างมัน
00:22:34 → 00:22:37 เหอะอืฟังอย่างเดียวก่อนแล้วค่อยพอท้าย
00:22:37 → 00:22:40 ที่สุดแล้วเขาได้ระบายออกมาเราค่อยคุยกับ
00:22:40 → 00:22:43 เขาว่าเาต้องการคำแนะนำมหรือถ้าเขาแค่
00:22:43 → 00:22:46 ต้องการแค่การระบายเฉยๆเพราะในบางครั้ง
00:22:46 → 00:22:49 เนี่ยมันเผลอที่เราจะไปสอนเาโดยเราไม่รู้
00:22:49 → 00:22:51 ตัวแล้วยกตัวอย่างตัวเราอ่ะถึงแม้เราจะ
00:22:51 → 00:22:53 ผ่านเหตุการณ์สมมุติเหตุการณ์เดียวกันก็
00:22:53 → 00:22:56 จริงอ่ะแต่บางทีมันมันมีอะไรที่มันเป็น
00:22:56 → 00:22:59 บางอย่างที่ไม่เหมือนกันกันในบางจุดบาง
00:22:59 → 00:23:01 มุมก็เป็นไปได้เพราะฉนั้นก็เลยจะใช้วิธี
00:23:01 → 00:23:06 แบบนี้ว่าอ่ะมีอะไรว่ามาพร้อมฟังอ่ะฟัง
00:23:06 → 00:23:08 เสร็จปึ๊บอันนี้คือเล่าอย่างเดียวหรือ
00:23:08 → 00:23:11 อยากจะได้คำแนะนำด้วยใช่ๆๆก็อย่างงี้นะ
00:23:11 → 00:23:14 ใช่เพราะบางทีเราเค้าเรียกอะไนะเอ่อผมว่า
00:23:14 → 00:23:16 ในเคาเจอร์บ้านเราอ่ะครับจังหวเคาเจอร์
00:23:16 → 00:23:19 บ้านเราผมก็พูดไม่ถูกงี้แล้วกันเราอาจจะ
00:23:19 → 00:23:21 เติบโตมากับความเคยชินว่าเมื่อเห็นโจทย์
00:23:21 → 00:23:24 ปัญหาต้องมีวิธีทางออกให้เก็เเห็นเราเป็น
00:23:24 → 00:23:28 ที่ปรึกษาเราต้องมีคือบางเรืาคิดไปเองของ
00:23:28 → 00:23:32 เราก็ได้นะว่าฉันจะต้องมีคำตอบให้เธออะไร
00:23:32 → 00:23:34 เงี้ยฮะใช่ก็คิดเองมาตลอดอย่างงั้นไงว่า
00:23:34 → 00:23:36 ใช่ครับซึ่งซึ่งเราตีความไปว่าการให้คำ
00:23:36 → 00:23:39 ตอบคือทางออกที่ดีที่สุดซึ่งเราก็คิดว่า
00:23:39 → 00:23:41 คำตอบเราดีที่สุดด้วยซึ่งซึ่งจริงๆต้อง
00:23:41 → 00:23:43 บอกว่าการให้ทางออกก็เป็นเรื่องดีครับแต่
00:23:43 → 00:23:46 มันอาจจะไม่พอดีกับจังหวะนั้นอืเรื่อง
00:23:46 → 00:23:48 เรื่องที่ว่าดีที่สุดกับพอดีที่สุดเลย
00:23:48 → 00:23:50 เป็นคนละสิงกันเพราะฉะนั้นการฟังอ่ะครับ
00:23:50 → 00:23:53 จะเป็นการประเมินสถานการณ์ว่าอะไรพอดีที่
00:23:53 → 00:23:56 สุดกับเคและการตั้งคำถามว่าเาอยากได้อะไร
00:23:56 → 00:23:58 ก็จะเป็นการวัดตัวตัดให้เคเลยเหมือนตัด
00:23:58 → 00:24:00 เสื้อครับว่าเอยากได้ทรงไหนพอดีตัวมั้ย
00:24:00 → 00:24:03 อือเพราะงั้นเรื่องเยมันเลยเอาเอาใจตัว
00:24:03 → 00:24:04 เองมาเป็นตัวตั้งว่าฉันอยากแก้ปัญหาให้
00:24:05 → 00:24:08 เธอจังอ่ามันมันไม่ได้เพราะว่าเมื่อเรา
00:24:08 → 00:24:10 ตั้งจิตว่าอยากแก้ปัญหาให้เธอจังตัวเราจะ
00:24:10 → 00:24:12 สำคัญที่สุดนะครับค่ะตัวเราที่อยากสมหวัง
00:24:12 → 00:24:15 อ่ะสำคัญที่สุดอเพราะงั้นการการฟังเค้า
00:24:15 → 00:24:17 หรือการตั้งคำถามเว่าเอยากได้อะไรจากเรา
00:24:17 → 00:24:20 ตรงนี้มันเลยสำคัญมากถ้ามันสามารถแทรก
00:24:20 → 00:24:22 เข้าไปได้ก่อนที่เราคิดจะทำอะไรบางอย่าง
00:24:22 → 00:24:25 อย่างเงี้ยครับมันจะช่วยทำให้การจัดสัน
00:24:25 → 00:24:26 หรือว่าการช่วยเหลือให้พอดีมันจะเกิดขึ้น
00:24:26 → 00:24:29 ได้ง่ายกว่าค่ะซึ่งอันนี้มันต้องอาศัยการ
00:24:29 → 00:24:31 ฝึกฝนนะคะเพราะว่าก็เผลอตลอดเหมือนกันเออ
00:24:31 → 00:24:33 บางทีต้องต้องสร้างนิสัยใหม่แรกๆพวกเรา
00:24:33 → 00:24:35 เป็นอย่างนี้หมดนะครับแนะนำรีบบอกรีบอยาก
00:24:35 → 00:24:37 แก้ก็อยากช่วยอ่ะเห็นมันไม่แก้ซะทีเราก็
00:24:37 → 00:24:40 หงุดหงิดพายามไปงัดเคอะไรอย่าเงี้ยฮะก็ก็
00:24:40 → 00:24:42 พอพอพอเวลาที่เราเห็นใครที่แบบว่าสดใส
00:24:42 → 00:24:44 แล้วอย่างอย่าอย่างเพื่อนเนี่ยสดใสร่า
00:24:44 → 00:24:47 เริงใช่มั้ยคะแล้วก็เอ้ยมาเล่าให้ฟังแต่
00:24:47 → 00:24:49 ว่าเอ้ยไม่เป็นไรฉันฉันไหวฉันได้ฉันนู่น
00:24:49 → 00:24:53 นี่นั่นแต่เรารู้แล้วแหละว่าเขาอ่ะตัดบท
00:24:53 → 00:24:55 ตัดบทอะไรอย่างเงี้ยเพราะฉะนั้นอันเนี้ย
00:24:55 → 00:24:58 เราจะเราพอจะแนะนำหรือว่าเราเราจะทำอะไร
00:24:58 → 00:25:00 ได้บ้างมั้ยอ่ะสั้นๆตรงนี้เออถ้าเค้าไม่
00:25:00 → 00:25:03 สะดวกใจเราอาจจะไม่ต้องทำท่าทีว่าเราจับ
00:25:03 → 00:25:07 ไตเค้าได้ก็ได้เราแค่อยู่แบบสังเกตอะไร
00:25:07 → 00:25:09 เงี้ยครับแต่ถ้าช่วงไหนเก็หมดๆเราอาจจะ
00:25:09 → 00:25:11 บอกก็ได้ว่าไม่รู้หรอกแกพูดจริงหรือไม่
00:25:11 → 00:25:12 จริงแต่ฉันสัมผัสได้เอาเป็นว่าฉันเป็น
00:25:12 → 00:25:15 ห่วงแล้วกันมีอะไรก็บอกอะไรเงี้ยฮะอ่าใช่
00:25:15 → 00:25:17 ไม่งั้นพอไปจับไต่เ้าบ่อยๆเาจะรู้สึกว่า
00:25:17 → 00:25:20 ถูกจับสังเกตอยู่เจะแบบยิงหลบเราอย่า
00:25:20 → 00:25:22 เงี้ยฮเออๆเพราะฉะนั้นบางทีคนยิ้มคน
00:25:22 → 00:25:25 หัวเราะได้ก็อาจจะมีอะไรอยู่ในใจเพียงแต่
00:25:25 → 00:25:29 ว่าเราอาจจะไม่ได้ถามเป็นแบบตงตงกันแบบ
00:25:29 → 00:25:31 ว่าเอ้ยเธอทุกข์หรือเปล่าหรืออะไรเงี้ย
00:25:31 → 00:25:34 แต่อาจจะว่าเอ้ยเป็นไงบ้างช่วงนี้เอออะไร
00:25:34 → 00:25:38 เงี้ยคำง่ายๆใช่ๆที่บางทีเราอาจจะไขกุญแจ
00:25:38 → 00:25:42 ในใจเขาอะไรบางอย่างออกมาก็ได้ใช่ครับบาง
00:25:42 → 00:25:44 คนอาจจะเฝ้ารอมาตลอดเพื่อนใครักคนถามก็
00:25:44 → 00:25:49 ได้เเศร้าจังเลยอ่ะอืเพราะฉะนั้นก็พยายาม
00:25:49 → 00:25:52 ให้ให้ถ้าเกิดว่าเราเศร้านะคะอันนี้คือ
00:25:52 → 00:25:56 สิ่งที่อยากจะบอกว่าถ้าเราเศร้าก็เศร้าไป
00:25:56 → 00:25:58 ถ้าเราดีใจยิ้มมีมีความสุขเราก็ตามนั้น
00:25:58 → 00:26:00 ตามความรู้สึกเลยให้ซื่อสัต์กับความรู้
00:26:01 → 00:26:03 สึกตัวเองอใช่ครับเศร้าก็เศร้าอยากร้อง
00:26:03 → 00:26:06 ไห้ก็ร้องไม่ต้องเก็บอือๆเพราะยิ่งเก็บ
00:26:06 → 00:26:08 มันจะยิ่งทำให้เราแย่อ่าใช่ครับนะคะเรา
00:26:08 → 00:26:10 ไม่รู้หรอกว่าเราอาจจะไม่ได้เจอใครสักคน
00:26:10 → 00:26:12 ที่มาเคาะประตูแล้วขอมาขอคุยกับเราก็ได้
00:26:12 → 00:26:15 นะเพราะฉะนั้นตัวเราอ่ะสำคัญที่สุดครับนะ
00:26:15 → 00:26:18 คะอ่ะหมดเวลาแล้วแป๊บเดียวขอบคุณคุณเอิ้น
00:26:18 → 00:26:21 ค่ะสวัสดีค่ะหมดเวลาแล้วค่ะคุณผู้ฟังพบ
00:26:21 → 00:26:23 กันใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอนะคะวัน
00:26:23 → 00:26:26 นี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ This Is Toy PBS
00:26:27 → 00:26:29 podcast เหตุผลอะไรที่ทำให้อัตราการเกิด
00:26:29 → 00:26:31 ของไทยลดลงและไทยอยู่อันดับที่เท่าไหร่
00:26:31 → 00:26:35 ของโลกรองศาสตราจารย์ดรมนสิการกาญจนจิตรา
00:26:35 → 00:26:38 สถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัย
00:26:38 → 00:26:42 มหิดลมาเล่าให้ฟังครับสมัยนี้เรารู้อยู่
00:26:42 → 00:26:45 แล้วว่าคนเนี่ยมีลูกกันน้อยลงจากเมื่อ
00:26:45 → 00:26:48 ก่อนนี้แบบครอบครัวนึงพ่อแม่มีลูกเนี่ยก็
00:26:48 → 00:26:51 อาจจะมีกัน 10 คนอย่างนี้ขึ้นไปซึ่งเราก็
00:26:51 → 00:26:54 จะพบเห็นบ่อยๆซึ่งปัจจุบันนี้เนี่ยการ
00:26:54 → 00:26:57 เกิดมันลดลงเยอะมากซึ่งตอนนี้โดยเฉลี่ย
00:26:57 → 00:27:00 เนี่ยผู้หญิงทุกคนที่อยู่ในวัยเจริญพันธ
00:27:00 → 00:27:03 เลยเนี่ยเฉลี่ยแล้วจะมีลูกอยู่แค่ 1 คน
00:27:03 → 00:27:06 ซึ่งเราก็เห็นว่าการเกิดเนี่ยมันลดลงจริง
00:27:06 → 00:27:10 ๆมันเป็นแนวโน้มที่เราเห็นทั่วโลกอะนะคะ
00:27:10 → 00:27:13 ว่าแนวโน้มการเกิดของทุกประเทศเนี่ยค่อน
00:27:13 → 00:27:16 ข้างที่จะลดลงแต่สิ่งนึงที่เหมือนเป็น
00:27:16 → 00:27:19 ประเด็นที่ทำให้ประเทศไทยน่าเป็นห่วงมาก
00:27:19 → 00:27:22 กว่าประเทศอื่นๆเนี่ยประเด็นแรกเลยก็คือ
00:27:22 → 00:27:25 ว่าเราลดลงค่อนข้างที่จะเร็วมากอัตราการ
00:27:25 → 00:27:29 ลดลงของการเกิดเนี่ยมันเร็วกว่าประเทศ
00:27:29 → 00:27:32 อื่นๆน่าจะเป็นประมาณอันดับ 2 ของโลกซึ่ง
00:27:32 → 00:27:35 อันดับ 1 เนี่ยเราก็ค่อนข้างจะได้ยิน
00:27:35 → 00:27:37 เรื่องเ้าเยอะอยู่เนาะญี่ปุ่นซึ่งตอนนี้
00:27:37 → 00:27:41 เขาก็เป็นสังคมสูงอายุเราก็พอเห็นบทเรียน
00:27:41 → 00:27:44 จากเาอยู่ว่าแบบเออพอมันเป็นสังคมผู้สูง
00:27:44 → 00:27:47 อายุมันตามมาด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจสังคม
00:27:47 → 00:27:50 ยังไงบ้างนะคะแต่ของเขาเนี่ยเขาเป็น
00:27:50 → 00:27:52 ประเทศที่ค่อนข้างมีเงินมากกว่าเราเนาะ
00:27:52 → 00:27:55 ของเรานี่ถ้าในในบรรดาประเทศที่กำลัง
00:27:55 → 00:27:57 พัฒนาเนี่ยเชื่อว่าเราน่าจะเป็นเป็น
00:27:57 → 00:28:01 ประเทศที่การเกิดเนี่ยลดลงน่าจะเร็วที่
00:28:01 → 00:28:05 สุดเลยนะคะปัญหามันคืออะไรจริงๆตัวเองนะ
00:28:05 → 00:28:08 มองก็คือปัญหาเนี่ยมันก็มีปัญหาอยู่เอ่อ
00:28:08 → 00:28:11 หลายระดับในระดับที่คนมักจะพูดถึงเนี่ยก็
00:28:11 → 00:28:15 คือในระดับแมคโครว่าแบบเอ้ยสังคมเศรษฐกิจ
00:28:15 → 00:28:18 มันจะเป็นยังไงถ้าเกิดสมมุติว่าประชากร
00:28:18 → 00:28:21 อยู่ดีๆเราลดลงอย่างรวดเร็วจำนวนผู้สูง
00:28:21 → 00:28:23 อายุเนี่ยยังไงมันก็จะเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น
00:28:23 → 00:28:26 เพราะว่าแบบในรุ่นที่ผ่านๆมาเนี่ยเกิด
00:28:26 → 00:28:30 เยอะเนาะสุขภาพคนไทยก็แข็งแรงขึ้นคนก็
00:28:30 → 00:28:33 อยู่กันยืนยาวมากขึ้นเพราะฉะนั้นเราก็จะ
00:28:33 → 00:28:36 มีผู้สูงอายุที่มากขึ้นแต่พอคนเกิดน้อยคน
00:28:36 → 00:28:39 ที่จะมาเป็นวัยแรงงานเป็นอะไรอย่าเงี้ย
00:28:39 → 00:28:42 มันก็จะจำนวนน้อยลงทีนี้ในเรื่องของ
00:28:42 → 00:28:45 เศรษฐกิจการคลังเนี่ยเราก็จะแบบอ่าเจอ
00:28:45 → 00:28:49 ความไม่สมดุลกันระหว่างคนที่จะแบบเอ่อ
00:28:49 → 00:28:53 ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเนาะแล้วก็แบบอถ้า
00:28:53 → 00:28:57 เกิดสมมุติว่าในรัฐจะต้องเอ่อให้
00:28:57 → 00:29:01 สวัสดิการต่างๆแบบเรื่องการดูแลพยาบาล
00:29:01 → 00:29:04 อะไรต่างๆกับประชาชนเนี่ยอันนี้มันก็จะ
00:29:04 → 00:29:07 เกิดเกิดปัญหาอันนั้นก็จะเป็นประเด็นที่
00:29:07 → 00:29:11 คนจะพูดถึงเป็นหลักว่าพอเข้าสังคมสูงอายุ
00:29:11 → 00:29:15 เนี่ยมันก็จะมีเอ่อข้อท้าทายเหล่านี้ที่
00:29:15 → 00:29:17 ตาม
00:29:17 → 00:29:22 มา This Is Toy PBS
00:29:22 → 00:29:25 podcast ติดตามรายการทางเว็บไซต์และ
00:29:25 → 00:29:29 แอปพลิเคชันของไย P podcast spotify
00:29:29 → 00:29:31 soundcloud Google podcast Apple
00:29:31 → 00:29:35 podcast และ YouTube Channel Thai PBS
00:29:35 → 00:29:38 podcast typ PBS podcast View the
00:29:38 → 00:29:40 world via The
00:29:40 → 00:29:50 [เพลง]
00:29:50 → 00:29:53 Voice