00:00:00 → 00:00:02 ผักปรุงสุก 5 ชนิดครับ
00:00:02 → 00:00:07 ที่จะมีประโยชน์สุดๆ เมื่อเทียบกับไม่ปรุงสุกครับ
00:00:15 → 00:00:16 สวัสดีครับ ผมหมอท๊อปนะครับ
00:00:16 → 00:00:18 และนี่คือ DOCTOR TOP Channel
00:00:18 → 00:00:21 รายการสุขภาพที่ทั้งสนุกและมีสาระครับ
00:00:22 → 00:00:24 วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง ผัก
00:00:24 → 00:00:27 ผักปรุงสุก 5 ชนิดครับ
00:00:27 → 00:00:32 ที่จะมีประโยชน์สุดๆ เมื่อเทียบกับไม่ปรุงสุกครับ
00:00:32 → 00:00:34 ก่อนไปอย่าลืมกด Like กด Share
00:00:34 → 00:00:37 กด Subscribe และกดกระดิ่ง ขอบคุณครับ
00:00:37 → 00:00:40 สำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย
00:00:40 → 00:00:43 ผมขออนุญาตให้ข้ามไปที่ 3 นาทีสุดท้าย
00:00:43 → 00:00:45 ผมสรุปให้เรียบร้อยแล้วนะครับ
00:00:45 → 00:00:47 แล้วเมื่อท่านมีเวลาให้ย้อนกลับมาฟังใหม่
00:00:47 → 00:00:50 เพื่อลงรายละเอียด เวลาเราลงละเอียด
00:00:50 → 00:00:51 เราจะได้อะไรมากกว่าเดิมเยอะเลยครับ
00:00:51 → 00:00:54 สำหรับท่านที่พร้อมแล้ว เราไปพร้อมๆ กันเลยครับ
00:00:54 → 00:00:58 ก็ต้องบอกว่าโดยปกติแล้วผักสดๆ
00:00:58 → 00:01:04 มักจะมีวิตามินซี วิตามินบี ที่สูงกว่านักปรุงสุกอย่างชัดเจน
00:01:04 → 00:01:06 เพราะว่าวิตามินซีและวิตามินบี
00:01:06 → 00:01:09 มักจะโดนความร้อนทำลายได้โดยง่าย
00:01:09 → 00:01:14 ยิ่งใช้ความร้อนมากวิตามินซีและวิตามินบีก็จะยิ่งหายไปมาก
00:01:14 → 00:01:17 แล้วก็จริงแบบมักจะได้ยินบอกว่าให้ทานผักสดๆ สิ
00:01:17 → 00:01:19 จะได้วิตามินเยอะๆ ใช่ไหม อย่าไปปรุง
00:01:19 → 00:01:21 เพียงแต่ว่าการปรุงสุกบางอย่างเนี่ย
00:01:21 → 00:01:24 มันก็จะได้ผลดีกว่านะครับ เราลองไปดูกัน
00:01:24 → 00:01:27 ก็มาดูกันว่าผักอะไรบ้างนะครับ
00:01:27 → 00:01:30 ผักชนิดแรกก็คือมะเขือเทศนั่นเองครับ
00:01:30 → 00:01:33 มะเขือเทศ วิธีการทำเพื่อให้ได้ประโยชน์เนี่ย
00:01:33 → 00:01:37 มีหลากหลาย เช่น มะเขือเทศบด ซอสมะเขือเทศ
00:01:37 → 00:01:39 หรือกระทั่งการหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
00:01:39 → 00:01:41 เราทำแบบนี้เพื่ออะไร
00:01:41 → 00:01:45 หรือว่าเรานำไปผัด เรานำไปต้ม เพื่ออะไรครับ
00:01:46 → 00:01:51 ก็เพื่อทำให้เราดูดซึมสารที่ชื่อว่าไลโคปีนได้ง่ายๆ
00:01:51 → 00:01:56 เจ้าไลโคปีนเนี่ยเป็นสารที่จะเกาะอยู่ที่เส้นใยนะครับ
00:01:56 → 00:02:00 มันเกาะอยู่ที่ผนังเซลล์บริเวณเส้นใยของมะเขือเทศ
00:02:01 → 00:02:05 ซึ่งเส้นใยพวกนี้ร่างกายเราจะย่อยได้ลำบาก ดูดซึมได้ลำบาก
00:02:05 → 00:02:08 เพราะฉะนั้นถ้าเราทำให้เส้นใยพวกนี้มันอ่อนแรงลง
00:02:08 → 00:02:13 เช่น เราเป็นสับมัน ไปบดมัน ไปต้มมันอย่างนี้ครับ
00:02:13 → 00:02:17 พวกเส้นใยพวกนี้ก็จะอ่อนแอลง
00:02:17 → 00:02:22 เราก็สามารถย่อยได้ แล้วเราก็จะสามารถดูดซึมสารนี้ได้มากขึ้น
00:02:22 → 00:02:27 ซึ่งไอ้ตัวสารไลโคปีนมันเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์อย่างนึงเลย
00:02:27 → 00:02:33 ซึ่งมันจะทำให้แบบร่างกายเราได้รับประโยชน์มากๆ เลย
00:02:33 → 00:02:37 มะเขือเทศที่โดนความร้อน หรือผ่านการบด
00:02:37 → 00:02:40 หรือผ่านการหั่น หรือทำเป็นน้ำมะเขือเทศนะครับ
00:02:40 → 00:02:48 จะได้ไลโคปีน สารตัวนี้มากกว่าเดิม 5 ถึง 20 เท่าครับ
00:02:48 → 00:02:49 โอ้โห เยอะมากๆ นะครับ
00:02:49 → 00:02:52 เพราะฉะนั้นแล้วเนี่ยมะเขือเทศนะครับ
00:02:52 → 00:02:56 ไม่ได้บอกว่ามะเขือเทศสดไม่ดี มะเขือเทศสดก็ดี
00:02:56 → 00:02:59 ก็จะมีพวกวิตามินบี วิตามินซีอะไรอย่างเงี้ยสอดแทรกอยู่
00:02:59 → 00:03:04 ซึ่งผมแนะนำให้กินทั้งมะเขือเทศสดและมะเขือเทศที่ปรุงสุก
00:03:04 → 00:03:07 แต่ท่านบอกว่าอย่าไปกินซับซ้อนเลย
00:03:07 → 00:03:11 ผมแนะนำให้กินมะเขือเทศหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ครับ
00:03:11 → 00:03:14 เช่น พวกมะเขือเทศที่นำมาทำซอสซัลซ่าอะไรอย่างนี้
00:03:14 → 00:03:16 ผมว่ามันก็อร่อยดีนะ ก็ลองทานกันดูได้นะครับ
00:03:16 → 00:03:20 ก็ถือว่าเป็นอาหารว่างที่มีประโยชน์มากเลย
00:03:20 → 00:03:23 ซัลซ่าซอสแล้วก็ไปจิ้มกับมันฝรั่งแผ่น
00:03:23 → 00:03:25 ที่แบบเป็นอบไม่ใช่ทอดเนี่ย
00:03:25 → 00:03:27 ก็ถือเป็นอาหารลดน้ำหนักได้ดีอย่างหนึ่ง
00:03:27 → 00:03:31 ทั้งยังทำให้หน้าใส ตามองเห็นชัดเจน ผิวสวยเปล่งปลั่ง
00:03:31 → 00:03:33 เหมือนลูกมะเขือเทศครับ
00:03:33 → 00:03:35 และนี่ก็คืออาหารชนิดแรกหรือผักชนิดแรก
00:03:35 → 00:03:40 ที่ปรุงสุกแล้วก็ได้ผลประโยชน์หรือว่าประโยชน์ที่ดีสุดๆ ครับ
00:03:41 → 00:03:45 มาดูครับ ผักชนิดที่ 2 ที่ปรุงสุกแล้วมันเจ๋งกว่าเดิมครับ
00:03:45 → 00:03:48 นั่นก็คือแครอทนั่นเองครับ
00:03:48 → 00:03:51 แครอทมีสารเบต้าแคโรทีนเยอะมากๆ
00:03:51 → 00:03:56 ซึ่งสารเบต้าแคโรทีนมันก็เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง
00:03:56 → 00:04:00 ทำให้ท่านหน้าใส หน้าเด็ก เยาว์วัย
00:04:00 → 00:04:03 ลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งโน่นนี่เยอะแยะนะครับ
00:04:03 → 00:04:05 แต่เมื่อสารเบต้าแคโรทีนเนี่ย
00:04:05 → 00:04:10 เมื่อนำไปผ่านความร้อนจะทำให้ดูดซึมได้ดีมากขึ้นครับ
00:04:10 → 00:04:12 จะทำให้ดูดซึมสารตัวนี้ได้ดีมากขึ้น
00:04:12 → 00:04:16 เมื่อเรานำแครอทไปผ่านความร้อนนะครับ
00:04:16 → 00:04:18 การผ่านความร้อนเนี่ยบอกเลยว่า
00:04:19 → 00:04:24 ทำให้ตัวแครอทให้สารเบต้าแคโรทีนมากขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า
00:04:24 → 00:04:28 ใช้คำว่าเราดูดซึมได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่ามากกว่า
00:04:28 → 00:04:31 และอันที่ 2 น้ำแครอทเนี่ย
00:04:31 → 00:04:37 ก็จะทำให้สารเบต้าแคโรทีนสูงขึ้นมากกว่าเดิมถึง 4 เท่า
00:04:37 → 00:04:41 เมื่อเรานำแครอทไปทำเป็นน้ำแครอทครับ
00:04:41 → 00:04:43 เพราะถ้าเรากินได้ถูกต้อง
00:04:43 → 00:04:45 สารเบต้าแคโรทีนที่เราอยากได้จากแครอทเนี่ย
00:04:45 → 00:04:48 ก็จะเพิ่มมากกว่าเดิม 2 ถึง 4 เท่าเลยครับ
00:04:48 → 00:04:51 ทั้งๆ ที่เรากินปริมาณแครอทเท่าเดิมนั่นเองครับ
00:04:52 → 00:04:56 มาต่อกันที่ผักชนิดที่ 3 ที่ปรุงสุกแล้วได้ประโยชน์สุดๆ
00:04:56 → 00:05:02 ก็คือในกลุ่มบร็อคโคลี่หรือว่าผักในตระกูลกะหล่ำ
00:05:02 → 00:05:04 กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำพวกนี้นะครับ
00:05:04 → 00:05:08 คือผักกลุ่มนี้นะครับ เขาจะมีสารต้านไทรอยด์ฮอร์โมนอยู่
00:05:08 → 00:05:13 ซึ่งเป็นสารต้านไทรอยด์ฮอร์โมนมันจะอยู่ในผักพวกนี้ถ้ามันดิบ
00:05:13 → 00:05:16 แต่ถ้ามันสุกสารพวกนี้มันจะลดลง มันจะหายไป
00:05:16 → 00:05:18 ถามว่าแล้วมีสารต้านไทรอยด์แล้วยังไง
00:05:19 → 00:05:21 คือสำหรับคนปกติผมบอกเลยว่าไม่มีปัญหา
00:05:21 → 00:05:22 ท่านกินไปเลยครับ
00:05:22 → 00:05:25 ท่านทานบร็อคโคลี่ดิบ ท่านทานกะหล่ำปลีดิบ
00:05:25 → 00:05:27 ท่านทานดอกกะหล่ำดิบ ทานได้ไม่มีปัญหา
00:05:27 → 00:05:32 ล้างให้สะอาดแล้วกันไม่งั้นเดี๋ยวมันจะมีพวกสารเคมีตกค้าง
00:05:32 → 00:05:36 แต่ถ้าผู้ป่วยที่มีภาวะไฮโปไทรอยด์นะครับ
00:05:36 → 00:05:39 หรือมีภาวะไทรอยด์ต่ำเนี่ย
00:05:39 → 00:05:43 ยิ่งจะทำให้ตัวสารไทรอยด์ในร่างกายเรา
00:05:43 → 00:05:46 ฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายเราต่ำลงไปอีกนะครับ
00:05:46 → 00:05:49 ก็จะทำให้อาการเป็นหนักเป็นมากขึ้น
00:05:49 → 00:05:55 เพราะฉะนั้นแล้วการนำบร็อคโคลี่ นำกะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ
00:05:55 → 00:06:01 ไปปรุงสุกหรือผ่านความร้อน สารพวกนี้ก็จะหายไปจะลดน้อยลง
00:06:01 → 00:06:08 ก็ทำให้ภาวะความเสี่ยงในการมีภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำลดลงไปด้วย
00:06:08 → 00:06:13 เพราะฉะนั้นเนี่ยสำคัญมากๆ สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะไฮโปไทรอยด์
00:06:13 → 00:06:16 หรือว่าภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำนั่นเองนะครับ
00:06:16 → 00:06:19 อันนี้ก็ขอเน้นย้ำสำหรับผู้ป่วย
00:06:19 → 00:06:21 สำหรับคนธรรมดาสามารถทานได้
00:06:21 → 00:06:23 เพราะผมก็ทานครับ แต่อย่าลืมล้างให้สะอาด
00:06:23 → 00:06:26 เพราะว่ายาฆ่าแมลงเอย อย่างอื่นเอย
00:06:26 → 00:06:29 เยอะแยะไปหมดก็ต้องระมัดระวังตัวด้วย
00:06:29 → 00:06:34 มาดูกันที่ผักชนิดที่ 4 ที่ปรุงสุกแล้วปลอดภัยและได้ประโยชน์
00:06:34 → 00:06:36 นั่นก็คือผักโขมนั่นเองครับ
00:06:36 → 00:06:41 ผักโขมนี่มีสารออกซาเลตสูงมากเลย โดยเฉพาะผักโขมที่ดิบ
00:06:41 → 00:06:47 แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มันปรุงสุกตัวออกซาเลตก็จะลดลงอย่างชัดเจน
00:06:47 → 00:06:49 ตัวออกซาเลตที่สูงมีผลเสียอย่างไร
00:06:49 → 00:06:54 ออกซาเลตที่สูงจะทำให้การดูดซึมแคลเซียมของเราลดต่ำลง
00:06:54 → 00:06:59 จะทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กของเราลดต่ำลงนะครับ
00:06:59 → 00:07:03 ดูดซึมแคลเซียมลดต่ำลงเกิดอะไรขึ้น กระดูกพรุน กระดูกหัก
00:07:03 → 00:07:04 เดินไปชนอะไรนิดนึงกระดูกหัก
00:07:04 → 00:07:07 ยิ่งเราอายุเยอะๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
00:07:07 → 00:07:11 ร่างกายเราก็ยิ่งต้องการแคลเซียมเพื่อเสริมสร้างกระดูก
00:07:11 → 00:07:15 ตามอายุขึ้นไป แต่อันนี้มันเป็นการขัดขวางนะครับ
00:07:15 → 00:07:19 ยิ่งแย่เลย เพราะฉะนั้นแนะนำให้ปรุงสุกดีกว่านะครับ
00:07:19 → 00:07:22 ส่วนธาตุเหล็ก ถ้าท่านขาดธาตุเหล็กโดนสารตัวนี้
00:07:22 → 00:07:25 ไปยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กจะเกิดอะไรขึ้น
00:07:25 → 00:07:28 ก็จะเกิดภาวะโลหิตจางเนื่องจากการขาดธาตุเหล็ก
00:07:28 → 00:07:30 โลหิตจางเนี่ยทำให้เกิดได้หลายอย่างนะครับ
00:07:30 → 00:07:34 ถ้าจางมากๆ เนี่ยหน้ามืด เวียนหัว เป็นลม
00:07:34 → 00:07:37 จากเดินได้ 100 เมตร อาจจะได้ 50 เมตร
00:07:37 → 00:07:39 จากเดินขึ้นบันไดได้ 2 ชั้น อาจจะเดินเหลือชั้นเดียว
00:07:39 → 00:07:43 อันตรายมากๆ สำหรับภาวะโรคโลหิตจางครับ
00:07:43 → 00:07:47 มาต่อกันที่อาหารหรือว่าผักชนิดที่ 5 ครับ
00:07:48 → 00:07:54 ผักชนิดที่ 5 ที่แนะนำให้ปรุงสุกก็คือถั่วฝักยาวนั่นเองครับ
00:07:54 → 00:07:59 สำหรับถั่วฝักยาวแล้วเป็นผักที่คนไทยทานกันเยอะมาก
00:07:59 → 00:08:01 ผมก็ชอบทานนะครับ
00:08:01 → 00:08:04 ซึ่งก็จะมีทั้งทานแบบสุกแล้วก็ทานแบบดิบ
00:08:04 → 00:08:08 ก็คือแบบครึ่งๆ เลย สุกก็ทานกันเยอะ ดิบก็ทานกันเยอะ
00:08:08 → 00:08:13 คือถามว่าโดยตัวมันไม่ได้อันตรายร้ายแรงอะไรมากมายนะครับ
00:08:13 → 00:08:18 ตัวถั่วฝักยาวเนี่ยเป็นพืชผักที่มีใยอาหารสูงมากๆ สุดยอด
00:08:18 → 00:08:21 ลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างยอดเยี่ยมนะครับ
00:08:21 → 00:08:24 ทั้งยังมีแคลเซียมเสริมสร้างกระดูก มีฟอสฟอรัส
00:08:24 → 00:08:27 มีวิตามินซีเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย
00:08:27 → 00:08:30 มีโปรตีนด้วยนะ เป็นผักที่มีโปรตีน
00:08:30 → 00:08:33 และยังมีธาตุเหล็กอีกต่างหาก ป้องกันโลหิตจางได้สุดยอดมากๆ
00:08:33 → 00:08:35 สำหรับผักชนิดนี้แนะนำให้ทานนะครับ
00:08:35 → 00:08:37 แต่ประเด็นก็คือถั่วฝักยาว
00:08:37 → 00:08:41 โดยเฉพาะถั่วฝักยาวที่อวบ สวย อ้วนดูดีเนี่ย
00:08:41 → 00:08:46 ที่เราทานกันอยู่เนี่ยมักจะมียาฆ่าแมลงเยอะมาก
00:08:46 → 00:08:48 จากการเก็บข้อมูลอะไรต่างๆ มาแล้ว
00:08:48 → 00:08:50 ถั่วฝักยาวมียาฆ่าแมลงเยอะมากนะครับ
00:08:50 → 00:08:54 ถ้าล้างไม่สะอาด หรือว่าถ้าเก็บได้ไม่ดี หรือไม่ปรุงสุก
00:08:54 → 00:08:57 สารพิษตกค้างค่อนข้างเยอะนะครับ
00:08:57 → 00:09:00 ก็จะทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน
00:09:00 → 00:09:01 เกิดจากพิษของยาฆ่าแมลง
00:09:01 → 00:09:05 อันนี้ก็แนะนำว่าจะทาน ทานดิบได้ไหม? ทานได้
00:09:05 → 00:09:07 แต่อยากให้ล้างให้สะอาดนะครับ
00:09:07 → 00:09:12 หรือถ้าเกิดสมมุติว่าเราไปทานถั่วฝักยาวดิบตามร้านค้าต่างๆ
00:09:12 → 00:09:13 ซึ่งบางทีเขาก็จะมีให้ทานใช่ไหม
00:09:13 → 00:09:17 พวกถั่วฝักยาวดิบคู่กับน้ำพริกบ้าง
00:09:17 → 00:09:20 ถั่วฝักยาวดิบคู่กับขนมจีนบ้างอะไรแบบนี้
00:09:20 → 00:09:25 ก็ให้เลือกร้านที่สะอาด ดูปลอดภัย เราไปทานบ่อยนะครับ
00:09:25 → 00:09:27 ก็จะได้ปลอดภัยจากกลุ่มพวกนี้
00:09:27 → 00:09:29 แล้วยังไม่พอครับ
00:09:29 → 00:09:33 ไอ้ถั่วฝักยาวดิบ ถ้าเรากินดิบๆ เข้าไป
00:09:33 → 00:09:35 เวลาร่างกายเราย่อยแบคทีเรียชนิดดีเนี่ย
00:09:35 → 00:09:40 มันก็จะไปย่อยพวกเปลือกถั่วฝักยาว เม็ดถั่วฝักยาว
00:09:40 → 00:09:44 ซึ่งกระบวนการการย่อยนี้จะเกิดสารหลายตัวครับ
00:09:44 → 00:09:50 เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน หรือว่าซัลเฟอร์ไดออกไซด์
00:09:50 → 00:09:53 สารกลุ่มพวกนี้จะทำให้ท่านท้องอืดมากกว่าเดิม
00:09:53 → 00:09:56 เมื่อท่านท้องอืดมากกว่าเดิม มันก็อึดอัดน่ารำคาญนะครับ
00:09:56 → 00:09:58 ถ้ามันเป็นแค่นั้นก็ไม่เป็นไร
00:09:58 → 00:10:00 แต่ถ้าท่านเป็นกรดไหลย้อนอยู่อันนี้งานเข้าครับ
00:10:00 → 00:10:02 เพราะว่าเมื่อไหร่ก็ทำเท่านั้นเป็นกรดไหลย้อน
00:10:02 → 00:10:06 แล้วมีภาวะท้องอืดท้องเฟ้อ อาการกรดไหลย้อนก็จะเป็นมากขึ้น
00:10:06 → 00:10:08 เพราะฉะนั้นในผู้ป่วยกรดไหลย้อน
00:10:08 → 00:10:11 ก็อาจจะให้เพลาๆ เรื่องของถั่วฝักยาวดิบไว้สักนิดนึงนะครับ
00:10:11 → 00:10:15 ถ้าใครเป็นกรดไหลย้อนทานถั่วฝักยาวแล้วมีอาการมากขึ้น
00:10:15 → 00:10:17 ก็แนะนำให้ทานแบบสุกก็จะดีกว่าครับ
00:10:17 → 00:10:22 และนี่ก็คือ 5 ชนิดที่ปรุงสุกแล้วมีประโยชน์สุดครับผม
00:10:22 → 00:10:25 โอเคครับ วันนี้ผมขออนุญาตสรุปครับ
00:10:25 → 00:10:30 ผัก 5 ชนิดที่ปรุงสุกแล้วมีประโยชน์สุดๆ ครับ
00:10:30 → 00:10:34 สำหรับชนิดแรกก็คือมะเขือเทศนั่นเองครับ
00:10:34 → 00:10:40 มะเขือเทศเนี่ยมีสารที่ชื่อว่าไลโคปีนสูงมากๆ
00:10:40 → 00:10:47 และไอ้ไลโคปีนเนี่ยมันเกาะอยู่ที่เส้นใยผนังเซลล์
00:10:47 → 00:10:49 ของตัวมะเขือเทศ
00:10:49 → 00:10:52 และไอ้เส้นใยเนี่ยมันย่อยยากเหลือเกินนะครับ
00:10:52 → 00:10:55 มันย่อยยาก ร่างกายเราย่อยอาจจะย่อยไม่ได้แค่บางส่วน
00:10:55 → 00:10:57 แล้วก็ดูดซึมไลโคปีนได้บางส่วน
00:10:57 → 00:11:01 และไลโคปีนเป็นสารที่เราค่อนข้างจะต้องการจากมะเขือเทศ
00:11:01 → 00:11:03 มันเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง
00:11:03 → 00:11:07 ทำให้ผิวพรรณเราดี เราผุดผ่อง ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง
00:11:07 → 00:11:10 ต้านมะเร็งนู่นนี่นั่นเยอะแยะนะครับ
00:11:10 → 00:11:12 เพราะฉะนั้นเราอยากได้สารตัวนี้เยอะใช่ไหมครับ
00:11:12 → 00:11:15 เราจะต้องมีวิธีเอามันมาครับ
00:11:15 → 00:11:19 มีวิธีหลากหลายเลยจะทำเป็นมะเขือเทศบดก็ได้
00:11:19 → 00:11:22 จะทำเป็นซอสมะเขือเทศก็ได้ หรือจะทำการหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก็ได้
00:11:22 → 00:11:24 หรือจะผ่านความร้อนก็ได้
00:11:24 → 00:11:28 กระบวนการทุกอย่างนี้จะทำให้เส้นใหญ่พวกนี้อ่อนแรงลง
00:11:28 → 00:11:29 ทำให้เราดูดซึมได้ง่ายขึ้น
00:11:29 → 00:11:32 เมื่อดูดซึมพวกเส้นใหญ่นี้ได้ขึ้นง่ายขึ้น
00:11:32 → 00:11:35 ก็ทำให้ดูดซึมไลโคปีนได้ง่ายขึ้น
00:11:35 → 00:11:37 ก็คือสารที่เราต้องการนั่นเองนะครับ
00:11:37 → 00:11:40 มะเขือเทศที่ผ่านความร้อนนะครับ
00:11:40 → 00:11:43 หรือบดแล้ว หรือว่าเป็นน้ำมะเขือเทศเนี่ย
00:11:43 → 00:11:48 เราจะได้ไลโคปีนมากกว่าเดิม 5 ถึง 20 เท่าครับ
00:11:48 → 00:11:53 โอ้โห สุดยอดจริงๆ สำหรับมะเขือเทศก็แนะนำนะครับ
00:11:53 → 00:11:57 มาดูอาหารชนิดที่ 2 ที่ปรุงสุกแล้วได้ประโยชน์สุดๆ
00:11:57 → 00:12:00 ผักชนิดที่ 2 นี้ก็คือแครอทนั่นเองครับ
00:12:00 → 00:12:04 ตัวแครอทให้มีเบต้าแคโรทีนสูงมากๆ เลยครับ
00:12:04 → 00:12:08 และเมื่อไหร่ก็ตามที่นำแครอทไปผ่านความร้อนเนี่ย
00:12:08 → 00:12:13 เบต้าแคโรทีนสามารถดูดซึมเข้ามาในร่างกายได้ง่ายขึ้น
00:12:14 → 00:12:16 เมื่อไหร่ก็ตามที่นำแครอทไปผ่านความร้อน
00:12:16 → 00:12:21 ก็จะให้เบต้าแคโรทีนมากขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า
00:12:21 → 00:12:25 แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่นำแครอทไปทำเป็นน้ำแครอทนะครับ
00:12:25 → 00:12:29 ก็จะให้สารเบต้าแคโรทีนมากกว่าเดิมถึง 4 เท่าด้วยกัน
00:12:29 → 00:12:33 แต่น้ำแครอทเนี่ยพยายามอย่าใส่น้ำตาลมากนะครับ
00:12:33 → 00:12:36 ถ้าใช้น้ำตาลมากแล้วเนี่ยมันก็จะมีผลเสียเหมือนกัน
00:12:36 → 00:12:38 ก็ควรจะเป็นน้ำแครอทที่สดนะครับ
00:12:38 → 00:12:41 ก็จะได้เบต้าแคโรทีนซึ่งเบต้าแคโรทีนเนี้ย
00:12:41 → 00:12:44 ก็จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวนึง
00:12:44 → 00:12:46 ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากๆ ครับ
00:12:47 → 00:12:49 คราวนี้มาดูผักชนิดที่ 3 ครับ
00:12:49 → 00:12:51 ผักชนิดที่ 3 ที่ปรุงสุกแล้วได้ประโยชน์
00:12:51 → 00:12:55 นั่นก็คือกลุ่มบร็อคโคลี่หรือกะหล่ำปลีหรือดอกกะหล่ำ
00:12:55 → 00:12:58 คือบร็อคโคลี่กะหล่ำปลีหรือดอกกะหล่ำ
00:12:58 → 00:13:01 ผักกลุ่มนี้มีสารต้านไทรอยด์อยู่
00:13:01 → 00:13:04 ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามถ้าท่านมีภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ
00:13:04 → 00:13:08 หรือเป็นโรคที่เรียกว่าภาวะไฮโปไทรอยด์
00:13:09 → 00:13:11 การที่เรากินผักพวกนี้แบบดิบๆ เข้าไปเนี่ย
00:13:11 → 00:13:14 ก็จะยิ่งทำให้ไทรอยด์ฮอร์โมนในร่างกายเรายิ่งต่ำลง
00:13:14 → 00:13:19 ก็เกิดภาวะไฮโปไทรอยด์มากขึ้นนะครับ
00:13:19 → 00:13:22 ก็ทำให้อาการแย่ลง แต่สำหรับคนที่
00:13:22 → 00:13:26 ปกติไม่ได้เป็นโรคไทรอยด์ต่ำเนี่ยก็สามารถทานได้ตามสะดวก
00:13:26 → 00:13:29 ซึ่งผมก็ทานนะครับ แต่อย่างไรก็ดีนะครับ
00:13:29 → 00:13:30 ผักดิบก็ควรจะล้างให้สะอาด
00:13:30 → 00:13:33 เพราะว่ามันจะมีความปนเปื้อนหรือความสกปรก
00:13:33 → 00:13:36 จากพวกยาฆ่าแมลงหรือว่าพวกเชื้อโรคได้ค่อนข้างมาก
00:13:36 → 00:13:39 เพราะฉะนั้นเน้นความสะอาดเป็นหลักนะครับ
00:13:39 → 00:13:43 ต่อมาครับผักชนิดที่ 4 ที่แนะนำให้ปรุงสุก
00:13:43 → 00:13:46 ก็คือผักโขมนั่นเองครับ
00:13:46 → 00:13:50 ผักโขมเนี่ยมีสารออกซาเลตที่สูงนะครับ
00:13:50 → 00:13:56 ซึ่งตัวออกซาเลตที่สูงมีผลทำให้ดูดซึมแคลเซียมได้ลดลงมากเลย
00:13:56 → 00:13:59 แล้วก็ดูดซึมเหล็กได้ลดลงมากๆ
00:13:59 → 00:14:01 การดูดซึมแคลเซียมได้ลดลงมาก
00:14:01 → 00:14:04 ก็จะทำให้เราเกิดภาวะกระดูกพรุนนั่นเองครับ
00:14:04 → 00:14:08 เพราะฉะนั้นแล้วก็ต้องระมัดระวังในการกินผักโขมแบบดิบ
00:14:08 → 00:14:12 ยิ่งท่านเริ่มอายุเยอะๆ เรายิ่งเก็บแคลเซียมในร่างกายได้น้อย
00:14:12 → 00:14:14 มันสูญเสียไปทุกวัน
00:14:14 → 00:14:18 เพราะฉะนั้นเรายิ่งไปขัดขวางการดูดซึมอีกก็ยิ่งไปกันใหญ่
00:14:18 → 00:14:22 ส่วนธาตุเหล็ก ถ้าเราโดนขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กเนี่ย
00:14:22 → 00:14:26 ก็จะเกิดภาวะที่เรียกว่าโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กครับ
00:14:26 → 00:14:29 ซึ่งจะทำให้เราอ่อนเพลีย เวียนหัวง่าย ไม่มีแรง
00:14:29 → 00:14:32 บางทีเนี่ยปกติเดินขึ้นบันไดได้ 3-4 ชั้น
00:14:32 → 00:14:35 ถ้าขาดธาตุเหล็กจนเป็นโรคโลหิตจางเดินชั้นเดียวยังไม่ไหวเลย
00:14:35 → 00:14:38 เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังตัวนะครับ
00:14:38 → 00:14:41 มาต่อกันที่ผักชนิดที่ 5 ที่แนะนำให้ปรุงสุก
00:14:41 → 00:14:44 ก็คือถั่วฝักยาวนั่นเองครับ
00:14:44 → 00:14:50 ตัวถั่วฝักยาวจริงๆ แล้วในตัวมันไม่ได้มีโทษอะไรมากมาย
00:14:50 → 00:14:54 ซึ่งคนไทยเนี่ยก็กินทั้งสุกและก็กินทั้งดิบนะครับ
00:14:54 → 00:14:57 ประโยชน์ของมันเพียบเลย ใยอาหารที่สูงสุดๆ
00:14:57 → 00:15:01 มีสารแคลเซียม มีทั้งโปรตีน มีทั้งวิตามินซี
00:15:01 → 00:15:04 คือยอดเยี่ยมมากๆ กินสุกก็ได้ กินดิบก็ดี
00:15:04 → 00:15:06 เพียงแต่มันมีปัญหาอย่างนึงครับว่า
00:15:06 → 00:15:10 ถั่วฝักยาวที่ดูค่อนข้างสวยงาม ที่ตัวอวบอ้วนเนี่ย
00:15:10 → 00:15:12 มักจะมียาฆ่าแมลงเยอะมากเลยครับ
00:15:12 → 00:15:14 จากการเก็บข้อมูลต่างๆ หลายๆ อย่าง
00:15:14 → 00:15:18 เพราะฉะนั้นแล้วแนะนำให้ล้างถั่วฝักยาวอย่างสะอาด
00:15:18 → 00:15:20 ก่อนที่จะทานดิบนะครับผม
00:15:20 → 00:15:23 และถ้าท่านทานถั่วฝักยาวดิบที่ร้านค้าข้างนอก
00:15:23 → 00:15:26 ซึ่งส่วนใหญ่เนี่ยก็มักจะมีให้ทานนะครับ
00:15:26 → 00:15:30 เช่น ถ้าไปร้านอาหารบางร้านก็จะมีถั่วฝักยาวมีน้ำพริกให้
00:15:30 → 00:15:35 บางร้านก็จะมีถั่วฝักยาวแล้วก็มีขนมจีนอะไรอย่างนี้แถมให้
00:15:35 → 00:15:40 ก็ให้เลือกร้านที่เราไปทานบ่อย ไม่ค่อยมีปัญหา แล้วก็สะอาด
00:15:40 → 00:15:41 อันนี้ก็แนะนำ
00:15:42 → 00:15:43 ยังไม่พอครับ
00:15:43 → 00:15:45 ถั่วฝักยาวดิบเนี่ยเมื่อเข้ากระบวนการการย่อย
00:15:45 → 00:15:48 โดยแบคทีเรียในร่างกายแล้วเนี่ยนะครับ
00:15:48 → 00:15:51 เมื่อย่อยตรงเปลือก ย่อยตรงเม็ดของมัน
00:15:51 → 00:15:54 ก็จะเกิดแก๊สขึ้นนะครับ ซึ่งแก๊สต่างๆ
00:15:54 → 00:15:58 เช่น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สมีเทนอะไรต่างๆ
00:15:58 → 00:16:00 มันเกิดขึ้นทำให้ท้องเราอืด
00:16:00 → 00:16:02 ก็จะทำให้เกิดอาการท้องอืดได้บ่อยๆ
00:16:02 → 00:16:04 พวกที่ทานแล้วท้องอืดบ่อยๆ
00:16:04 → 00:16:07 ก็แนะนำให้ทานแบบสุกมากกว่าทานแบบดิบนะครับ
00:16:07 → 00:16:10 โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อนแล้วมีอาการท้องอืด
00:16:10 → 00:16:13 จะทำให้กรดไหลย้อนของท่านเป็นมากขึ้นครับ
00:16:13 → 00:16:15 และนี่ก็คือ 5 ชนิดครับ
00:16:15 → 00:16:18 ที่แนะนำให้ปรุงสุกแล้วได้ประโยชน์สูงสุดๆ ครับ
00:16:18 → 00:16:21 ก็ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงทุกๆ คนครับ
00:16:21 → 00:16:22 ก่อนไปอย่าลืมกด Like กด Share
00:16:22 → 00:16:25 กด Subscribe และกดกระดิ่ง สวัสดีครับ