00:00:00 → 00:00:03 [เพลง]
00:00:03 → 00:00:05 สวัสดีครับอยู่กับรายการ wellbeing
00:00:05 → 00:00:08 สุขภาพดีชีวิตดีสร้างได้กับผมอาจารย์เต้
00:00:08 → 00:00:10 รพีบุญเปลื้องคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัย
00:00:10 → 00:00:13 มหิดลครับไม่รู้ว่าคุณผู้ชมคุณผู้ฟังรู้
00:00:13 → 00:00:17 สึกเหมือนผมหรือเปล่านะฮะพออายุมากขึ้น
00:00:17 → 00:00:20 แล้วเนี่ยความจำมันก็เริ่มจะแย่ลงเมื่อ
00:00:20 → 00:00:24 วันก่อนหาว่านาฬิกาอยู่ที่ไหนหาอยู่นานน
00:00:24 → 00:00:26 แล้วก็พบว่าอ๋อมันอยู่ที่ข้อมือนี่แหละ
00:00:26 → 00:00:29 หรือคำบางคำที่เราอยากจะพูดแต่มันติดอยู่
00:00:29 → 00:00:32 ที่ปากนั่นแหละ 3 วันก็แล้วยังนึกไม่ออก
00:00:32 → 00:00:35 ว่าไอ้คำที่จะพูดเนี่ยมันคืออะไรอาการ
00:00:35 → 00:00:39 อย่างเนี้ยมันคืออาการแสดงถึงความเสื่อม
00:00:39 → 00:00:43 ของสมองหรือเปล่าหรือว่ามันเป็นแค่การหลง
00:00:43 → 00:00:46 ลืมเท่านั้นวันนี้ครับเราจะได้คุยกับคุณ
00:00:46 → 00:00:48 หมอเอ๋ครับผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์หญิง
00:00:48 → 00:00:51 ดรุณีวรณวรดลวิจิตรภาควิชาอายุรศาสตร์คณะ
00:00:51 → 00:00:54 แพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัย
00:00:54 → 00:00:56 มหิดลครับคุณหมอเอครับสวัสดีครับสวัสดี
00:00:56 → 00:00:58 ค่ะคุณหมอเอครับอาการที่ผมพูดเมื่อสัก
00:00:58 → 00:01:01 ครู่เนี้ยมันคือสมองเสื่อมหรรือเปล่าจริง
00:01:01 → 00:01:04 แล้วรู้จักคำว่าสมองเสื่อมก่อนเนาะเอ่อคำ
00:01:04 → 00:01:06 ว่าสมองเสื่อมก็คือฟังก์ชันหรือการทำงาน
00:01:06 → 00:01:09 ของสมองมันลดลงเพราะฉะนั้นเนี่ยคนทั่วไป
00:01:09 → 00:01:12 อ่ะจะชอบเอาความจำที่เราลืมอะไรเงี้ยแล้ว
00:01:12 → 00:01:14 ก็จะมาบอกว่านี่คือสมองเสื่อมจริงๆแล้ว
00:01:14 → 00:01:17 ความจำเป็นแค่พารทนึงหรือเป็นแค่ส่วนนึง
00:01:17 → 00:01:20 ของการทำงานของสมองนะคะสมองมีหน้าที่อื่น
00:01:20 → 00:01:23 อีกเยอะแยะเลยที่จะทำให้แบบเอ่อทำงานได้
00:01:23 → 00:01:25 เยอะแยะนะคะเพราะฉะนั้นเนี่ยคงจะไม่ได้
00:01:25 → 00:01:28 บอกว่ามันจะเป็นสมองเสื่อมกับการที่เราจำ
00:01:29 → 00:01:32 ของไม่ได้แต่มันมีหลๆอย่ารมกันนะคะข้อ
00:01:32 → 00:01:35 สังเกตคืออย่างงค่ะถ้าสมมติว่าของที่เรา
00:01:35 → 00:01:38 ลืมเป็นของที่มันไม่สำคัญเป็นของที่เรา
00:01:38 → 00:01:41 อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญในขณะนั้นเราไม่
00:01:41 → 00:01:44 ได้แบบโฟกัสณตรงนั้นอย่างเงี้ค่ะมันก็จะ
00:01:44 → 00:01:47 ทำให้เราลืมง่ายๆได้ยกตัวอย่างเช่น
00:01:47 → 00:01:49 อาจารย์อาจจะยุ่งกับอะไรสักอย่างนึงแล้ว
00:01:49 → 00:01:51 อาจารย์ก็ถอดแว่นวางเอาไว้หรือว่าอาจารย์
00:01:51 → 00:01:53 จะเอาแว่นขึ้นมาอยู่ข้างบนศีรษะแล้ว
00:01:53 → 00:01:56 อาจารย์ก็ทำปุ๊บพออาจารย์หยุดโฟกัสกับตรง
00:01:56 → 00:01:58 นั้นแล้วอาจารย์ก็เริ่มมาหาแว่นอาจารย์ก็
00:01:58 → 00:02:00 จำไม่ได้แว่นอาจารย์อยู่ตตรงไหนอ่าแต่
00:02:01 → 00:02:03 เพราะว่าอาจารย์ไม่ได้โฟกัสกับแว่นเป็น
00:02:03 → 00:02:05 สำคัญเพราะฉะนั้นเนี่ยมันหลุดโฟกัสไป
00:02:05 → 00:02:08 อาจารย์ก็จะลืมได้อย่างเงี้ยค่ะทีนี้เ่อ
00:02:08 → 00:02:11 อันเนี้ยเขาจะเรียกว่าเป็นเอ่อขี้ลืมมาก
00:02:11 → 00:02:14 กว่าอ่านะคะทีนี้จะมีอาจารย์ผู้ใหญ่ท่าน
00:02:14 → 00:02:16 นึงจะชอบบอกว่าถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เวลา
00:02:16 → 00:02:19 คนไข้ลืมพวกนี้นะแล้วมาถามเธอว่าฉันจะ
00:02:19 → 00:02:21 สมองเสื่อมหรรือยังฉันจะความจำเสื่อมหรือ
00:02:21 → 00:02:26 ยังเกือบจะร้อยทั้งร้อยยังปกติอยู่เพราะ
00:02:26 → 00:02:29 ว่าส่วนใหญ่คนที่จะบอกว่าเอ่อสมองเสื่อม
00:02:29 → 00:02:34 อ่ะนะสค่ที่อแต่จะเป็นคนดูแลยาตที่ใกล้
00:02:34 → 00:02:37 ชิดใช่จะแบบเอ๊ะสังเกตว่าอันนั้นอันนี้
00:02:37 → 00:02:39 อะไรอย่างเงี้ยค่ะอันนึงที่เจอบ่อยๆคือ
00:02:39 → 00:02:41 เรื่องของพฤติกรรมค่ะอาจารย์หลายคนเนี่ย
00:02:41 → 00:02:44 พฤติกรรมเปลี่ยนไปนะคะเขาเรียกว่าเป็น
00:02:44 → 00:02:47 ระบบเรื่องของพฤติกรรมถดถอยอ่าอารมณ์อาจ
00:02:47 → 00:02:50 จะไม่ค่อยนิ่งการนอนหรืออะไรอย่างเงี้ยจะ
00:02:50 → 00:02:52 ผิดปกติไปนะคะอันนี้ก็จะเป็นอันนึงที่เจอ
00:02:53 → 00:02:56 บ่อยนะคะเอ่อส่วนใหญ่เนี่ยมันจะค่อยๆเป็น
00:02:56 → 00:02:58 ค่อยๆไปจนบางทีเราสังเกตไม่ได้เรามาอีกที
00:02:58 → 00:03:01 นึงเอ๊ะเรารู้สึกว่ามันผิดปกติไปลักษณะ
00:03:01 → 00:03:04 นี้นะคะแล้วก็สมองเสื่อมเนี่ยก็มักจะเจอ
00:03:04 → 00:03:08 ในคนที่อายุมากอือันนี้อันนี้หมายถึงว่า
00:03:08 → 00:03:10 ทั่วๆไปเนาะเ่อก็จะเจอในคนที่อายุมากโดย
00:03:10 → 00:03:13 เฉลี่ยก็ 65 ปีขึ้นไปก็จะเริ่มเจอเยอะ
00:03:13 → 00:03:16 ขึ้นนะคะทีนี้มันคงต้องมาตรวจอ่ะค่ะเพราะ
00:03:16 → 00:03:18 ว่ามันจะเป็นฟังก์ชันหรือเป็นการทำงานโดย
00:03:18 → 00:03:20 รวมของสมองเราคงไม่ได้พูดถึงเรื่องของ
00:03:20 → 00:03:23 ความจำแค่อย่างเดียวนะคะทีนี้อาการสมอง
00:03:23 → 00:03:27 เสื่อมครับคุณหมอเอครับอมันเกิดขึ้นกับคน
00:03:27 → 00:03:29 ที่อายุสูงเท่านั้นหรือเปล่าหรือว่าคนที่
00:03:29 → 00:03:32 อายุนก็มีอาการสมองเสื่อมได้โเการทำงาน
00:03:32 → 00:03:34 ของสมองเหมือนที่บอกอ่ะค่ะว่าในอายุน้อย
00:03:34 → 00:03:36 เจอได้มั้ยเจอได้ค่ะแต่ส่วนใหญ่ต้องใช้คำ
00:03:36 → 00:03:38 นี้นะคะส่วนใหญ่มักจะมีเหตุอื่นๆเหตุ
00:03:38 → 00:03:41 ปัจจัยอื่นเวลาที่เราหาเราบอกว่าเอ๊ะมัน
00:03:41 → 00:03:43 เกิดขึ้นของมันเองหรือมันมีปัจจัยอื่น
00:03:43 → 00:03:45 แล้วทำให้มันเป็นอ่ายกตัวอย่างนะคะเรามี
00:03:45 → 00:03:48 เส้นเลือดไปเลี้ยงใช่มั้ยคะแล้วคนๆเนี้ย
00:03:48 → 00:03:51 เขามีเส้นเลือดอุดตันสัก 2 รอบอือเป็นสตก
00:03:51 → 00:03:53 สัก 2 รอบแน่นอนค่ะการทำงานของสมองไม่
00:03:54 → 00:03:56 เหมือนเดิมแน่นอนใช่่มั้ยคะอันที่ 2 ค่ะ
00:03:56 → 00:03:58 คนที่อาจจะเป็นเรื่องของสารเสพติดนะคะ
00:03:58 → 00:04:01 หรือสารพิบางอย่างใช่มั้ยคะกินเข้าไปแล้ว
00:04:01 → 00:04:05 แบบว่าเอ่อความคิดความจำหรือว่าพฤติกรรม
00:04:05 → 00:04:07 อาจจะเปลี่ยนไปนะคะอีกกลุ่มนึงก็จะเป็นยา
00:04:07 → 00:04:10 ลดความอ้วนบางตัวซึ่งได้เยอะเกินไปเพราะ
00:04:10 → 00:04:12 ว่าตัวนั้นเนี่ยมันจะเป็นอนุพันธ์ของยา
00:04:12 → 00:04:14 บ้าอ่าถ้าได้เป็นระยะเวลายาวนานไม่เหมาะ
00:04:14 → 00:04:18 สมนะคะก็อาจจะทำให้การทำงานของสมองในภาพ
00:04:18 → 00:04:22 รวมเนี่ยลดลงได้ลักษณะนี้นะคะแล้วก็อื่นๆ
00:04:22 → 00:04:24 อย่างเช่นอ่ะมีโรคอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้
00:04:24 → 00:04:27 มีผลกับสมองเนาะอ่าสมมุติเป็นเบาหวาน
00:04:27 → 00:04:29 อย่างงี้ใช่มั้ยคะเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว
00:04:29 → 00:04:32 ก็เส้นเลือดมันตีบมันก็อาจจะมีผลได้
00:04:32 → 00:04:35 เหมือนกันลักษณะเนี้ยค่ะความเครียดมันทำ
00:04:35 → 00:04:38 ให้เราสมองเสื่อมได้มเอ่อความเครียดมัน
00:04:38 → 00:04:40 เหมือนกับว่าเป็นการที่เราใช้งานความ
00:04:41 → 00:04:43 เครียดในที่นี้คะมันก็จะเชว่าอาจารย์
00:04:43 → 00:04:45 เครียดมากเวลาที่อาจารย์ทำงานในภาวะที่
00:04:45 → 00:04:47 มันมีความตึงเครียดเนี่ยคงต้องบอกว่า
00:04:47 → 00:04:49 ประสิทธิภาพของการทำงานอาจจะไม่ได้ดีมาก
00:04:50 → 00:04:51 นักอาจารย์มีความเครียดน้อยๆเนี่ยมัน
00:04:52 → 00:04:54 กระตุ้นอาจารย์นะอาจารย์จะ al ตลอดเวลา
00:04:54 → 00:04:56 อาจารย์นึกภาพออกมั้ยอาจารย์กำลังจะสอนละ
00:04:56 → 00:04:58 อาจารย์ยังทำสไลด์ไม่เสร็จเนี่ยอาจารย์
00:04:58 → 00:05:00 เครียดลอาจารย์เครียดแล้วตอนนี้ใช่มคะอ
00:05:00 → 00:05:01 แต่เป็นความเครียดที่อาจารย์จะนอนไม่หลับ
00:05:01 → 00:05:03 แล้วอาจารย์ก็จะแบบอือตอนนั้นเอาจารย์
00:05:03 → 00:05:06 ต้องแบบทำให้เสร็จใช่มคะแต่ถ้าสมมติมัน
00:05:06 → 00:05:08 เครียดมากๆๆๆเนี่ยตอนนั้นอาจารย์จะแบบรู้
00:05:08 → 00:05:11 สึกแบบมันเศร้ามากมันโหดหูมากอาจารย์จะทำ
00:05:11 → 00:05:13 อะไรไม่ได้อะไรอย่างเงี้ยค่ะเพราะฉะนั้น
00:05:13 → 00:05:15 เนี่ยจริงๆแล้วความเครียดนิดๆเนี่ยมันก็
00:05:15 → 00:05:18 จะเป็นตัวกระตุ้นแต่มากเกินไปก็จะไม่โอเค
00:05:18 → 00:05:20 นะคะทีนี้ถ้าอาจารย์อยู่ในความเครียดบ่อย
00:05:20 → 00:05:23 ๆนะคะมันก็เหมือนกับว่าอาจารย์มีเครื่อง
00:05:23 → 00:05:25 จักรสมองอาจารย์เป็นเครื่องจักรแล้ว
00:05:25 → 00:05:27 อาจารย์ใช้งานมันแบบโอเวอร์โหลดทำ OT ทุก
00:05:27 → 00:05:31 วันพังง่ายแน่นอนอนึกออกมคะถ้าอาจารย์ไม่
00:05:31 → 00:05:34 ใช้เลยมันก็จะฝืดมันก็จะมีปัญหาอยู่ดี
00:05:34 → 00:05:36 เพราะฉะนั้นจริงๆมันก็ควรจะต้องใช้เนาะ
00:05:36 → 00:05:38 แต่ว่าต้องมีช่วงเวลาให้เขาพักบ้างเพราะ
00:05:38 → 00:05:40 ฉะนั้นอาจารย์มีความเครียดได้ค่ะแต่
00:05:40 → 00:05:42 อาจารยไม่ควรจะเครียดตลอดเวลาเพราะว่า
00:05:42 → 00:05:44 เวลาที่อาจารย์มีความเครียดเยอะๆสิ่งที่
00:05:44 → 00:05:46 เกิดขึ้นตามมาคืออนุมูลอิสระอืการอักเสบ
00:05:46 → 00:05:49 เห็นมั้ยคะอันนี้ก็จะทำให้อาจารย์แย่ลง
00:05:49 → 00:05:51 ได้ออ๋อมันเชื่อมโยงกันหมดเลยนะครับถ้า
00:05:51 → 00:05:54 สุขภาพของหลอดเลือดดีถ้าเผื่อเรื่องของ
00:05:54 → 00:05:57 อนุมอิสระมันน้อยลงเรื่องของการอักเสบมัน
00:05:57 → 00:06:00 ควบคุมได้มันก็จะทำให้ให้การหล่อเลี้ของ
00:06:00 → 00:06:03 สมือนสภาพเหมือนเหมืนสภาพแวดล้อมที่เหมาะ
00:06:03 → 00:06:05 สมอย่างเงี้ยค่ะเพราะว่าสมองเรามันไม่มี
00:06:05 → 00:06:07 สร้างไมคแล้วอาจารย์ก็ต้องทำให้มันอยู่ใน
00:06:07 → 00:06:10 สภาวะที่มันเอออยู่ในสภาวะที่มันสามารถจะ
00:06:10 → 00:06:13 อยู่ของมันได้นานๆน่ะอืคุณหมอเอพูดคำว่า
00:06:13 → 00:06:15 ไม่มีการสร้างใหม่แล้วมันมันแปลว่าอะไร
00:06:15 → 00:06:17 ครับก็คือเราจะไม่มีการเพิ่มจำนวนของ
00:06:17 → 00:06:19 เซลล์ประสากันแล้วใช่มันไม่ได้เพิ่มแล้ว
00:06:19 → 00:06:21 ล่ะค่ะแต่ว่ามันก็คือเหมือนกับว่ามันจะมี
00:06:21 → 00:06:23 เค้าเรียกว่ามีพลิ City มีการปรับตัวต้อง
00:06:23 → 00:06:25 บอกอย่างงี้ก่อนนะคะเดี๋ยวคนจะบอกว่าอุ๊ย
00:06:25 → 00:06:27 ตายแล้วมันพังไม่เราค่ะมันมีการปรับตัว
00:06:27 → 00:06:30 สังเกตว่าคนไข้ที่เป็นสกก็ตามเนี่ยพอถึง
00:06:30 → 00:06:32 เวลานึงอ่ะค่ะร่างกายก็จะมีการปรับตัวที่
00:06:32 → 00:06:35 จะทำได้นะคะแต่ว่ามันเป็นการปรับตัวของ
00:06:35 → 00:06:38 เซลล์สมองออือก็คือเซลล์สมองที่เคยทำหน้า
00:06:38 → 00:06:41 ที่แบบนี้อยู่ๆเซลล์สมองเพื่อนเพื่อน
00:06:41 → 00:06:43 เซลล์สมองมันตายไปก็เลยไปทำหน้าที่แทนเ้า
00:06:43 → 00:06:45 อาจจะมีการปรับตัวให้ทำงานได้ดีขึ้นอะไร
00:06:45 → 00:06:47 อย่างเงี้ยค่ะหรือว่าตัวที่มันอาจจะตอน
00:06:47 → 00:06:50 แรกมันขาดเลือดไปอ่ะพอมันมีเลือดมาบาง
00:06:50 → 00:06:52 ส่วนมันก็จะดีขึ้นส่วนที่ตายมันก็จะยังมี
00:06:52 → 00:06:54 อยู่อะไรอย่างเงี้ยค่ะแต่เหมือนกับเราก็
00:06:54 → 00:06:56 คงมีรีเสิร์ฟอ่ะค่ะไม่ได้หมายความว่าแหม
00:06:56 → 00:06:58 มันขาดไปปุ๊บแล้วมันทำงานไม่ได้เลย 100%
00:06:58 → 00:07:00 อะไรอย่างเงี้ยคุณหมอเอ๋นะครับเป็นคุณหมอ
00:07:00 → 00:07:02 ที่เชี่ยวชาญเรื่องของโภชนาการเรื่องของ
00:07:02 → 00:07:05 อาหารเลยแหละทีนี้ผมก็เลยเอาจับเอา 2
00:07:05 → 00:07:08 เรื่องเนี่ยมาโยงกันว่ามันจะมีอาหาร
00:07:08 → 00:07:11 ประเภทไหนมยที่จะช่วยชะลอการเสื่อมของ
00:07:11 → 00:07:14 สมองซึ่งมันเป็นไปตามวัยนะครับโอเคอ่าเอา
00:07:14 → 00:07:17 ง่ายๆก่อนจริงๆสมองเราเนี่ยอันที่ 1 ก็
00:07:17 → 00:07:20 คือตัวสมองเองนะคะแล้วก็ความเสื่อมที่จะ
00:07:20 → 00:07:22 เกิดขึ้นเกิดจากอะไรสมมุติว่าเส้นเลือดไป
00:07:22 → 00:07:24 เลี้ยงสมองอาจารย์ลดลงออาจารย์ก็จะมี
00:07:24 → 00:07:26 ปัญหาเพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่มีผลกับเส้น
00:07:26 → 00:07:30 เลือดนะคะพวกของคอเลสเตอรอลพวกของวพวกของ
00:07:30 → 00:07:32 ไขมันจะนึกภาออกใช่มั้ยคะเพราะฉะนั้นพวก
00:07:32 → 00:07:34 นั้นก็จะต้องไปจัดการให้ดีอันที่ 2
00:07:34 → 00:07:37 process หรือกระบวนการที่อาจจะทำให้สมอง
00:07:37 → 00:07:40 เสื่อมเช่นอนุมูลอิสระออ่าเพราะฉะนั้น
00:07:40 → 00:07:42 เนี่ยพวกเนี้ยพวกอาหารหรือว่าอะไรก็ตาม
00:07:42 → 00:07:45 ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระก็มาละการอักเสบ
00:07:45 → 00:07:47 ที่เกิดขึ้นเพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่จะไป
00:07:47 → 00:07:51 ลดการอักเสบก็จะได้ละอาหารประเภทไหนที่จะ
00:07:51 → 00:07:53 ช่วยในการที่ทำให้สุขภาพของหลอดเลือดของ
00:07:53 → 00:07:56 เรามันดีอาหารประเภทไหนที่จะช่วยลดอนุมูล
00:07:56 → 00:08:00 อิสระอาหารประเภทไหนที่จะลดการอักเสบก็
00:08:00 → 00:08:02 อันที่ 1 นะคะในเรื่องของพวกของสารต้าน
00:08:02 → 00:08:04 อนุมูลอิสระเราจะได้ยินบ่อยมากเลยอย่าง
00:08:04 → 00:08:06 เช่นพวกของเอ่อสมุนไพรทั้งหลายที่เราจะ
00:08:06 → 00:08:09 ได้ยินกันพวกเนี้ยจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ
00:08:09 → 00:08:11 นะคะเป็นตัวหลักเ่อต้องบอกว่าเวลาที่เรา
00:08:11 → 00:08:14 จะไปเลือกแล้วหลายๆคนจะพูดเนี่ยคำถามคือ
00:08:14 → 00:08:16 สิ่งที่เกิดขึ้นคุณสมบัติของสารนั้นทำใน
00:08:16 → 00:08:20 หลอดทดลองทำในหนูหรือว่าทำในคนส่วนของ
00:08:20 → 00:08:22 อาหารก็จะเป็นพวกของผักผลไม้เป็นหลักแหละ
00:08:23 → 00:08:25 ที่จะทำให้มีพวกของสารต้านอนุมูลอิสระ
00:08:25 → 00:08:29 เยอะขึ้นใช่มั้ยคะช็อกโกแลตก็ได้เป็นอาาร
00:08:29 → 00:08:31 ใช่ช็อกโกแลตนะคะอาจารย์หาอาจารย์กิน Dark
00:08:31 → 00:08:33 ช็อกโกแลตนะคะอ้าวเหรอฮะอาจารย์กินเป็น
00:08:33 → 00:08:35 มิลคช็อกโกแลตหรือเป็นช็อกโกแลตหวาน
00:08:35 → 00:08:36 เรื่อยๆอาจารย์ก็อาจจะอ้วนขึ้นได้เพราะ
00:08:36 → 00:08:39 ฉนั้นช็อกโกแลตน่าจะดีกว่าใช่ค่ะก็จะเป็น
00:08:39 → 00:08:41 พวกผักผลไม้นะคะพวกนี้ก็จะมีสารต้าน
00:08:41 → 00:08:43 อนุมูลอิสระค่อนข้างเยอะนิดนึงนะคะเพราะ
00:08:44 → 00:08:46 ฉะนั้นเนี่ยเ่อถ้าสังเกตก็คือเวลาคนที่
00:08:46 → 00:08:48 กินผักผลไม้เยอะขึ้นใช่มั้ยคะโรคหัวใจก็
00:08:48 → 00:08:51 น้อยลงโรคหลอดเลือดสมองก็น้อยลงอะไรอย่าง
00:08:51 → 00:08:53 เงี้ยมันก็จะไปด้วยกันเวลาที่พูดถึงสาร
00:08:53 → 00:08:57 ต้านอนุมูลอิสระหลายๆคนคงจะนึกสงสัยในใจ
00:08:57 → 00:09:00 แล้วว่าอนุมูลอิอิสระมันไม่ดียังไงมันไป
00:09:00 → 00:09:02 ทำอะไรกับเซลล์เราเหรอโอเคค่ะพอเมื่อมี
00:09:02 → 00:09:04 อนุมูลอิสระขึ้นมาปุ๊บเนี่ยเขาก็จะต้อง
00:09:04 → 00:09:08 พยายามไปหาคู่อ่าถ้ามันไม่มีคู่ปุ๊บมันก็
00:09:08 → 00:09:10 จะไปทำร้ายชาวบ้านถูกมั้ยอาจารย์เพราะ
00:09:10 → 00:09:11 ฉะนั้นเนี่ยอาจารย์อย่าปล่อยให้มันโดด
00:09:11 → 00:09:14 เดี่ยวอาจารย์ต้องมีอะไรไปจัดการมันชีวิต
00:09:14 → 00:09:17 ของเราก็เช่นกันแล้วก็ทีเนี้ยก็คือสาร
00:09:17 → 00:09:20 ต้านอนุมูลอิสระก็คือมันจะไปจับแล้วทำให้
00:09:20 → 00:09:23 ตัวเนี้ยมันไม่ไปทำร้ายเซลล์ของเรานะคะมี
00:09:23 → 00:09:25 อยู่ช่วงนึงที่เขาจะบอกว่าเวลาอาจารย์จะ
00:09:25 → 00:09:27 กินผักผลไม้เนี่ยให้อาจารย์เลือก 5 สีวัน
00:09:27 → 00:09:29 นึงเพราะว่าในผักแต่ละชนิดอ่ะค่ะมันจะมี
00:09:29 → 00:09:32 สารไม่เหมือนกันเช่นสีเขียวก็จะมีชนิดนึง
00:09:32 → 00:09:36 อ่าสีแดงก็จะมีชนิดนึงสีขาวก็จะมีชนิดนึง
00:09:36 → 00:09:38 แล้วก็สีดำก็จะมีชนิดนึงอะไรอย่างเงี้ย
00:09:38 → 00:09:39 ค่ะเพราะฉะนั้นเนี่ยทุกๆอย่างเนี่ยพอ
00:09:39 → 00:09:41 อาจารย์กินปุ๊บอาจารย์ก็จะได้สารอนุมูล
00:09:41 → 00:09:43 อิสระในหลายๆจุดเราก็เลยบอกว่าให้พยายาม
00:09:44 → 00:09:45 กินหลายๆอันแอปเปิลจะเป็นอีกตัวนึงที่
00:09:45 → 00:09:48 อาจารย์จะได้ยินถ้าเป็นผักสีเขียวเข้มๆ
00:09:48 → 00:09:51 อ่าที่เป็นท็อปฮิตหน่อยก็จะเป็นพวกผักโขม
00:09:51 → 00:09:54 และอย่างงี้ก็แสดงว่าคนที่ชอบทานผักผลไม้
00:09:54 → 00:09:57 ก็จะได้ประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระที่
00:09:57 → 00:10:00 อยู่ในอาหารเหล่านี้แล้วแล้วคนที่อาจจะ
00:10:00 → 00:10:02 ไม่ค่อยได้ชอบผักสักเท่าไหร่ก็จะได้สาร
00:10:02 → 00:10:05 ต้านอนุมอิสระจากทางไหนบ้างมั้ครับก็ถ้า
00:10:05 → 00:10:07 เกิดย้อนกลับไปเนี่ยเราก็จะเคยได้ยินว่า
00:10:07 → 00:10:09 โอเคกินน้ำมันใช่มคะกินน้ำมันหรือว่ากิน
00:10:09 → 00:10:12 พวกของเนื้อสัตว์เนี่ยอาจจะไม่ดีอ่าจะมี
00:10:12 → 00:10:14 เรื่องของคอเลสเตอรอลกลับไปที่เดิมเลย
00:10:14 → 00:10:17 เส้นเลือดมันก็จะมีปัญหาถูกมั้ยคะอ่าถ้า
00:10:17 → 00:10:18 สมมุติว่าอาจารย์กินเนื้อสัตว์เยอะๆ
00:10:19 → 00:10:20 อาจารย์ก็อาจจะมีปัญหาได้เหมือนกันใช่
00:10:20 → 00:10:22 มั้ยคะเพราะฉะนั้นเนี่ยจริงๆแล้วพอมัน
00:10:22 → 00:10:24 กลับมาสูบที่เราเรียกว่าเป็นอาหารที่เป็น
00:10:24 → 00:10:26 Healthy หรืออะไรอย่างเงี้ยมันก็จะกลับ
00:10:26 → 00:10:28 มาที่จุดเดิมเลยเพราะว่าทุกอย่างมัน
00:10:28 → 00:10:29 เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดเกี่ยวข้องกันหมด
00:10:29 → 00:10:32 เลยใช่มั้ยคะในส่วนของไข่เองเนี่ยในไข่
00:10:32 → 00:10:34 แดงอ่ะค่ะมันก็จะมีสารตัวนึงที่ชื่อว่า
00:10:34 → 00:10:37 โคลีนนะคะอ่าแล้วโคลีนเนี่ยมันก็จะเป็น
00:10:37 → 00:10:40 ส่วนนึงที่จะไปเป็นเค้าเรียกว่าสารสื่อ
00:10:40 → 00:10:42 ประสาทมันก็ไม่ใช่เฉพาะในไข่แดงอ่ะเนาะ
00:10:42 → 00:10:44 มันก็จะมีในตับในอะไรอย่างเงี้ยก็มีอยู่
00:10:44 → 00:10:46 เยอะเหมือนกันนะคะเพราะฉะนั้นเราก็แค่กิน
00:10:46 → 00:10:49 อาหารให้มันครบถ้วนแล้วผู้ใหญ่เองบางที
00:10:49 → 00:10:51 เขาไม่ยอมกินเนื้อแล้วอ่ะค่ะเขาก็กินน้อย
00:10:51 → 00:10:53 แล้วไข่แดงก็ไม่กินเพราะกลัวคอเลสเตอรอล
00:10:53 → 00:10:55 นนนนี่นั่นก็เลยอาจจะบอกว่าอ่ากลุ่มนี้
00:10:55 → 00:10:57 กินก็อาจจะได้ประโยชน์แต่ว่าต้องดูในรูป
00:10:57 → 00:11:00 แบบของอาหารทั้งหมดโดยที่แพทเทิร์นคือ 1
00:11:00 → 00:11:03 ไขมันต้องต่ำอาหารที่เป็นไขมันอิ่มตัว
00:11:03 → 00:11:05 ต้องต่ำด้วยแล้วไม่เคยมีใครพูดว่ากิน
00:11:05 → 00:11:08 คอเลสเตอรอลได้ unlimit อืเพียงแต่ว่า
00:11:08 → 00:11:10 เมื่อก่อนที่ขีดไว้ที่ 300 ไม่ใช่ละแต่
00:11:10 → 00:11:12 ให้เอาอาหารที่มีคอเลสเตอรอลผสมลงไปใน
00:11:13 → 00:11:14 อาหารที่เรามองว่าเป็น Healthy Food อัน
00:11:14 → 00:11:18 นี้โอเคเพราะฉะนั้นคงไม่ผิดอันที่ 3 เวลา
00:11:18 → 00:11:20 ที่อาจารย์กินไข่เข้าไปอ่ะหรือว่า
00:11:20 → 00:11:23 คอเลสเตอรอลในอาหารน่ะแต่ละคนตอบสนองไม่
00:11:23 → 00:11:25 เหมือนกันเป็นกรรมพันธ์แล้วทีนี้เนี่ยอัน
00:11:25 → 00:11:28 นึงที่เจอร่วมกันก็คือ hdl หรือไขมที่ดี
00:11:28 → 00:11:31 มันสูงไงจริงๆก็ไม่ได้มีใครผิดไม่ได้มี
00:11:31 → 00:11:34 ใครถูกแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าการเอาอาหาร
00:11:34 → 00:11:37 ชนิดเดียวมาเป็นตัวตัดสินว่าอันนี้ดีหรือ
00:11:37 → 00:11:39 ไม่ดีแต่คงต้องดูแพทเทิร์นหรือว่าการกิน
00:11:39 → 00:11:42 ทั้งวันของเขาอ่ะค่ะอพ่อแม่มักจะสอนลูก
00:11:42 → 00:11:46 เสมอครับคุณหมอเอ๋ว่าอาหารเช้าเนี่ยมัน
00:11:46 → 00:11:49 เป็นอาหารที่มื้อที่สำคัญสำหรับคนที่เป็น
00:11:49 → 00:11:52 ผู้ใหญ่สำหรับคนที่สูงอายุแล้วอาหารเช้า
00:11:52 → 00:11:54 เนี่ยมันยังสำคัญอยู่ไหมแล้วมันจะทำให้
00:11:54 → 00:11:57 สมองปลอดโปร่งไปได้ทั้งวันจริงหรือเปล่า
00:11:57 → 00:11:59 ครับอย่างงี้ค่ะอาจารย์ต้องบอกว่าเวลาที่
00:11:59 → 00:12:00 อาจารย์อดนอนปั๊บเนี่ยเหมือนที่บอกร่าง
00:12:00 → 00:12:03 กายอาจารย์ใช้พลังงานไม่แคร์เลยว่าพลัง
00:12:03 → 00:12:05 งานอาจารย์มาจากอะไรถูกมั้ยคะเพราะฉะนั้น
00:12:05 → 00:12:06 เมื่ออาจารย์ไม่กินอาหารปั๊บอาจารย์ไม่มี
00:12:06 → 00:12:09 น้ำตาลเข้าไปเนาะอือสิ่งที่เกิดขึ้นคือ
00:12:09 → 00:12:12 ร่างกายเนี่ยจะมีการสลายไขมันอ่าหรือว่า
00:12:12 → 00:12:15 สลายสิ่งที่เป็นเ้าเรียกว่าพลังงานสะสม
00:12:15 → 00:12:17 เพื่อจะให้มีน้ำตาลออกมาสร้างเป็นพลังงาน
00:12:17 → 00:12:20 นะคะซึ่งทั่วไปอ่ะค่ะเ่อพลังงานสะสมอัน
00:12:20 → 00:12:22 แรกที่เขามาใช้เนี่ยมันจะอยู่ที่ตับมันจะ
00:12:22 → 00:12:24 อยู่ได้ประมาณสัก 7-8 ชั่วโมงซึ่งมัน
00:12:25 → 00:12:27 เพียงพอนะคะสำหรับการนอนหลับคืนนึงแต่ถ้า
00:12:27 → 00:12:29 เกิดจะยังไม่กินต่อจากนั้นอีกเนี่ยร่าง
00:12:29 → 00:12:32 กายอาจารย์จะเริ่มเอาไขมันมาใช้และอ่าพอ
00:12:32 → 00:12:34 อาจารเริ่มสลายไขมันมากขึ้นสิ่งที่เกิด
00:12:34 → 00:12:37 ขึ้นมันก็จะมีอ่าคล้ายๆกับเวลาที่อาจารย์
00:12:37 → 00:12:40 เผาผลาน้ำมันเผาผลาไม่สมบูรณ์อ่ะอ่ามันก็
00:12:40 → 00:12:42 จะมีสารตัวนึงที่เกิดขึ้นจากการสลายไขมัน
00:12:42 → 00:12:45 ที่เราเรียกว่าคีโตนอือนะคะทีนี้พอมันมี
00:12:45 → 00:12:47 คีโตนปั๊บเนี่ยสิ่งที่เกิดขึ้นมันจะทำให้
00:12:47 → 00:12:49 เรารู้สึกแบบเหมือนเบื่ออาหารรู้สึก
00:12:49 → 00:12:52 เหมือนคลื่นไส้หรืออะไรแบบเนี้ยค่ะที่ที่
00:12:52 → 00:12:55 ที่คนที่เขาจะแบบอดอาหารอยู่นานๆอันที่ 2
00:12:55 → 00:12:58 ก็คือว่าพอเวลาน้ำตาลมันเริ่มตกอ่ะค่ะ
00:12:58 → 00:13:00 หรือว่าว่าไม่มีน้ำตาลเข้าไปอ่ะความ
00:13:00 → 00:13:02 กระฉับกระเฉงหรืออะไรอย่างเงี้ยมันจะไม่
00:13:02 → 00:13:04 ค่อยดีมากนักอือเพราะฉะนั้นเนี่ยพอ
00:13:04 → 00:13:06 อาจารย์กินน้ำตาลเข้าไปอาจารย์รู้สึกสด
00:13:06 → 00:13:09 ชื่นจันรู้สึกโอเคถูกป่ะเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:13:09 → 00:13:12 เวลาที่เหมือนเราอดมาทั้งคืนอ่ะค่ะแล้วพอ
00:13:12 → 00:13:14 ตอนเช้าปุ๊บเนี่ยแล้วจันยังไม่ทานอีก
00:13:14 → 00:13:16 เนี่ยมันก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด
00:13:16 → 00:13:18 อาจารย์ก็ยังไม่ขึ้นซะทีอย่างเงี้ยค่ะมัน
00:13:19 → 00:13:21 ก็เลยทำให้รู้สึกแบบว่ามันอึนๆไปทั้งวัน
00:13:22 → 00:13:24 อะไรประมาณนั้นนะคะแล้วอันนี้ก็คือชื่อ
00:13:24 → 00:13:26 ของอาหารเช้าที่อาจารย์เรียกว่า Breakfast
00:13:26 → 00:13:29 ใช่มั้ยคะก็คือเป็นการเบรกหรือเป็นการ
00:13:29 → 00:13:32 หยุด Fast ที่แปลว่าอดอาหารอาจารยอดมา
00:13:32 → 00:13:34 ทั้งคืนแล้วอาจารย์ก็มาเบรคตรงนี้นะคะก็
00:13:34 → 00:13:36 เลยเรียกว่าเป็น Breakfast ทีนี้ถามว่า
00:13:36 → 00:13:40 มันจำเป็นมก็ต้องบอกว่าในแง่ของสุขภาพที่
00:13:40 → 00:13:42 ดีใช่มยพอเวลาที่อาจารย์ไม่ต้องการจะเอา
00:13:42 → 00:13:44 พลังงานสำรองอาจารย์มาใช้จนหมดอาจารย์ก็
00:13:44 → 00:13:46 ต้องกินเข้าไปพอกินเสร็จปุ๊บมันก็จะไป
00:13:46 → 00:13:48 เก็บสะสมไว้อือเพื่อจะให้อาจารย์มีใช้
00:13:49 → 00:13:51 ตลอดทั้งวันอย่างเงี้ยค่ะแล้วถามว่ามีคน
00:13:51 → 00:13:53 ทำบอกว่าอาจารย์กิน 2 มื้อกิน 3 มื้อบอกอ
00:13:53 → 00:13:56 ถ้าอาจารย์กิน 2 มื้ออาจารย์จะมีความหิว
00:13:56 → 00:13:59 มากกว่าคนที่กิน 3 มื้อลักษณะนี้นะนะคะ
00:13:59 → 00:14:01 เพราะฉะนั้นเหมือนกับโดยทั่วไปเป็นเป็น
00:14:01 → 00:14:04 ลักษณะของการยอมรับในสังคมดีกว่าเนาะก็จะ
00:14:04 → 00:14:07 บอกว่าอาจารย์ก็จะกิน 3 มื้อหรืออาจจะมาก
00:14:07 → 00:14:10 กว่าอ่าแต่ถามว่าถามว่าถ้ามันเป็นอันอื่น
00:14:10 → 00:14:14 อีกล่ะอย่างเช่นพระใช่มั้ยคะถือศีล 8
00:14:14 → 00:14:16 อย่างเงี้ยท่านก็ฉันแค่ 2 มื้อเองอ่ะท่าน
00:14:16 → 00:14:20 ก็อยู่ได้ผอมสุขภาพดีอายุยืนหน้าตาก็ดู
00:14:20 → 00:14:22 แบบเอออายุน้อยกว่าวัยอะไรประมาณเนี้ย
00:14:22 → 00:14:25 เพราะฉะนั้นมันคงไม่ได้บอกว่ามันเป็นความ
00:14:25 → 00:14:35 ผิดที่กี่มื้ออันนี้แล้วแต่คนเนาะ
00:14:35 → 00:14:38 ที่มตอนนี้เราใช้พลังงานสำรองไปะพอเรา
00:14:38 → 00:14:41 เริ่มกินมื้อเช้าปั๊บมันเหมือนกับสตาร
00:14:41 → 00:14:43 เริ่มใหม่อันที่ 2 พอเราเริ่มกินปั๊บ
00:14:43 → 00:14:45 เนี่ยมันก็จะทำให้การเผ่าผ่าาเราเพิ่ม
00:14:45 → 00:14:47 ขึ้นถ้าเราไม่กินอ่ะค่ะการเผาผลาญมันจะ
00:14:47 → 00:14:50 ดรอปลงมันจะไม่ยอมใช้พลังงานเพราะว่ามัน
00:14:50 → 00:14:53 จะรู้สึกว่าไม่มีอะไรมาให้กินลักษณะเค่ะ
00:14:53 → 00:14:55 ฉนั้นคนก็เลยจะบอกว่าโอเคมื้อเช้าเป็น
00:14:55 → 00:14:57 มื้อที่สำคัญเพราะว่ามันจะเหมือนกระตุ้น
00:14:57 → 00:14:59 ให้ในแต่ละวันของอาจารยเนี่ยมัน Alert
00:14:59 → 00:15:02 เพิ่มขึ้นกับอันที่ 2 ก็คือฮอร์โมนทั้ง
00:15:02 → 00:15:04 หลายที่มันถูกสร้างขึ้นในตอนเช้านะคะไม่
00:15:05 → 00:15:07 ว่าจะเป็นคอร์ติซอลหรืออะไรก็ตามพวกเนี้ย
00:15:07 → 00:15:09 มันก็จะช่วยทำให้อาจารย์เนี่ย Alert ขึ้น
00:15:09 → 00:15:12 ลักษณะนี้เป็นต้นมีอยู่ช่วงนึงครับเขาก็
00:15:12 → 00:15:15 จะมีการโฆษณาเลยว่าแปะก๊วยเนี่ยมันช่วย
00:15:15 → 00:15:18 นี่ผมก็ไปกินมานะอาจารย์กินโอนี่แปะก๊วย
00:15:18 → 00:15:20 ไม่ใช่เลยเป็นแปะก๊วยแล้วมาเป็นเม็ดเลย
00:15:20 → 00:15:23 ครับคุณหมออ๋อสีเหลืองใช่มั้ยารอร่อยมา
00:15:23 → 00:15:25 ไม่ไม่ใช่เป็นเม็ดคือมันเป็นเม็ดวิตามิน
00:15:25 → 00:15:28 เนี่ยแหละเเบอกสกัดมาว่าเป็นสัเป็นแคปซูล
00:15:28 → 00:15:31 โอเคเป็นแคปซูลมาเลยผมกินเข้าไปแล้วทำไม
00:15:31 → 00:15:35 รู้สึกว่าเฮ้ยมันปวดหัวอ่ะมันเกิดอะไร
00:15:35 → 00:15:37 ขึ้นหรือว่ามีฤทธิ์อะไรกับไปเจ้าแปะก๊วย
00:15:37 → 00:15:38 หรอกเอาจารย์จ่ายตังค์ไปเยอะอาจารย์ก็เลย
00:15:39 → 00:15:42 ปวดหัวจริงๆแล้วเนี่ยค่ะก็จะมีคนพูดถึง
00:15:42 → 00:15:44 เรื่องของแปะก๊วยมันมีสารสกัดแปะก๊วยนะคะ
00:15:44 → 00:15:46 เราเราไม่ต้องไปรู้จักชื่อมันก็ได้แต่
00:15:46 → 00:15:49 ต้องบอกนิดนึงก่อนว่าสารสกัดเนี่ยมันเป็น
00:15:49 → 00:15:52 สารสกัดของใบแปกก๊วยนะคะไม่ใช่เม็ดอไม่
00:15:52 → 00:15:54 ใช่เม็ดเหรอฮะอ่าไม่ใช่ไม่ใช่เมล็ดสี
00:15:54 → 00:15:56 เหลืองๆที่อาจารย์กินโอนี่แกวยอันนั้นไม่
00:15:56 → 00:15:58 ใช่เลยหรือว่ากินเป็นบัวลอยน้ำขิงใส่เข้า
00:15:58 → 00:16:01 ไปอันนี้ไม่ใช่นะคะตัวที่เขาสกัดมาสกัด
00:16:01 → 00:16:04 จากใบค่ะอาจารย์ทีนี้มันก็มีงานวิจัยที่
00:16:04 → 00:16:06 ทำเขาจะมียาเป็นเม็ดที่อาจารย์ว่าครับ
00:16:06 → 00:16:09 เป็นเม็ดหลอกนะอันนึงเป็นเม็ดแป้งอันนึง
00:16:09 → 00:16:12 เป็นเป็นแปะกวยอ่าแล้วให้กินเริ่มจากคน
00:16:12 → 00:16:14 ที่อาจจะไม่มีปัญหาอะไรก่อนเลยอือแล้วก็
00:16:14 → 00:16:18 ให้กินไป 5 ปีแล้วดูว่าติดตามไปว่าคน
00:16:18 → 00:16:21 กลุ่มเนี้ยทั้ง 2 ทั้งทั้ง 2 อย่างเนี่ย
00:16:21 → 00:16:23 มันมีสมองเสื่อมมีภาวะสมองเสื่อมลดลงหรือ
00:16:23 → 00:16:25 เปล่าหรืออะไรอย่างเงี้ยสิ่งที่เกิดขึ้น
00:16:25 → 00:16:27 คือไม่แตกต่างกันไม่ว่าอาจารย์จะกินเม็ด
00:16:27 → 00:16:29 แป้งหรือว่าอาจารจะกินแกอ้าวที่สกัดอัน
00:16:29 → 00:16:32 ที่ 2 ก็มีควนทำอีกปรากฏว่ามันจะเริ่ม
00:16:32 → 00:16:34 เห็นชัดเจนแต่ตอนประมาณสักอายุ 70
00:16:34 → 00:16:37 อาจารย์กินไปประมาณสัก 5 ปี 10 ปีก่อน
00:16:37 → 00:16:38 หน้านั้นไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลยมันจะ
00:16:38 → 00:16:41 เริ่มเห็นแยกตอนหลังอ่าเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:16:41 → 00:16:44 ตรงนี้ก็เลยบอกว่าถามว่าแนะนำมยตอบว่าไม่
00:16:44 → 00:16:46 ได้ประโยชน์นะคะไม่ได้ประโยชน์สำหรับใน
00:16:46 → 00:16:49 ส่วนของสารสกัดใบแตะก๊วยเราพูดถึงอาหาร
00:16:49 → 00:16:52 ที่มันดีต่อความทรงจำของเราละต่อการทำงาน
00:16:52 → 00:16:55 ของสมองของเราละมันมีอาหารที่มันไม่ค่อย
00:16:55 → 00:16:58 ดีมยครับสำหรับความทรงจำของเรารวมทั้ง
00:16:58 → 00:17:01 พฤติกรรมต่างๆที่มันอาจจะทำลายสมองเราเ
00:17:01 → 00:17:03 มันคงไม่ใช่แค่สมองไงคะอาจารย์เมื่อกี้
00:17:03 → 00:17:04 เราคุยกันแล้วว่าอะไรที่มันดีแล้วเราก็
00:17:04 → 00:17:07 บอกมันเกิดจากอะไรอ่ะเส้นเลือดถ้าเส้น
00:17:07 → 00:17:08 เลือดไม่ดีอาจารย์ทำอะไรก็ได้ที่มันมี
00:17:08 → 00:17:11 เรื่องของคอเลสเตอรอลสูงความดันสูงเบา
00:17:11 → 00:17:13 หวานแล้วเส้นเลือดอาจารย์พังสมองอาจารย์
00:17:13 → 00:17:16 ก็จะได้รับเลือดน้อยลงในแง่ของการทำงาน
00:17:16 → 00:17:18 โดยรวมก็จะแย่ลงหรืออาจารย์มีโอกาสจะเกิด
00:17:18 → 00:17:20 สตกอย่างเงี้ยเกิดสักรอบ 2 รอบสมอง
00:17:20 → 00:17:22 อาจารย์ก็พังเหมือนกันเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:17:22 → 00:17:24 อาหารอะไรที่มีผลกับเส้นเลือดก็ไม่โอเค
00:17:25 → 00:17:27 ทั้งนั้นเพราะฉะนั้นอาหารที่มีไขมันสูง
00:17:27 → 00:17:30 แล้วเป็นไขมันคหรือไขมันอิ่มตัวง่ายๆคือ
00:17:30 → 00:17:32 ไขมันที่วางไว้แล้วเป็นไข่เป็นก้อนอันนี้
00:17:32 → 00:17:35 ต้องเลี่ยงละถูกมั้ยคะอันที่ 2 น้ำตาลที่
00:17:35 → 00:17:38 สูงมากๆอ่าทีนี้ทีนี้น้ำตาลจะมาตรงนี้ละ
00:17:38 → 00:17:41 น้ำหวานน้ำตาลของอาจารย์เนี่ยมันสูงมาก
00:17:41 → 00:17:43 เนี่ยมันก็อาจจะมีผลกับในคนไข้เบาหวาน
00:17:43 → 00:17:46 หรือน้ำตาลในเลือดที่สูงมากๆเนี่ยมันก็จะ
00:17:46 → 00:17:49 ทำให้เกิดเอ่อสารตัวนึงนะคะเเรียก AG สาร
00:17:49 → 00:17:51 ตัวนั้นเนี่ยไปทำให้เส้นเลือดจันเสื่อม
00:17:51 → 00:17:53 ได้โอเพราะฉะนั้นเนี่ยก็จะต้องลดลงใช่
00:17:53 → 00:17:56 มั้ยคะอ่าที่ก็จะเป็นเรื่องของความดันอ
00:17:56 → 00:17:59 ฉั้นก็ลดโซเดียมโซเดียมความดันจันสูงขึ้น
00:17:59 → 00:18:03 มันก็จะแย่แอลกอฮอล์หรือยาเสพติดก็จะเป็น
00:18:03 → 00:18:06 ตัวที่ทำลายเพราะฉะนั้นก็ไม่ควรทำบุหรี่
00:18:06 → 00:18:08 ก็ไม่ควรและเพราะเส้นเลือดมันพังอย่าง
00:18:08 → 00:18:11 เงี้ยค่ะก็จะเป็นตัวที่บอกว่าคงเป็นภาพ
00:18:11 → 00:18:13 รวมของสุขภาพมากกว่าที่จะบอกว่าเป็นโฟกัส
00:18:13 → 00:18:16 ของอาหารที่มันจะแยกกับสมองอย่าง
00:18:16 → 00:18:20 [เพลง]
00:18:20 → 00:18:23 เดียวเรารู้แล้วครับว่าพฤติกรรมหรือว่า
00:18:23 → 00:18:26 อาหารประเภทไหนที่ทำลายสมองเราอ่ะครับที
00:18:26 → 00:18:28 นี้มันมีเทคนิคอะไรมั้ยครับที่จะป้องกัน
00:18:29 → 00:18:31 หรือทำให้การเสื่อมของสมองเนี่ยมันช้าลง
00:18:31 → 00:18:34 จริงๆเนี่ยต้องบอกว่ามันก็เหมือนกับทั่วๆ
00:18:34 → 00:18:36 ไปเนาะก็จะเป็นเหมือน 3 ออที่เรารู้จัก
00:18:36 → 00:18:39 กันใช่มั้ยคะก็จะเป็นเรื่องของอาหารออก
00:18:39 → 00:18:41 กำลังกายแล้วก็เรื่องของอารมณ์เนาะก็จะ
00:18:41 → 00:18:43 เริ่มจากเรื่องของออกกำลังกายก่อนจริงๆ
00:18:43 → 00:18:45 เนี่ยมันมีทั้ง 2 ส่วนเลยออกกำลังกายใน
00:18:45 → 00:18:47 ส่วนที่เป็นร่างกายแล้วก็ออกกำลังกายสมอง
00:18:47 → 00:18:48 ด้วย
00:18:48 → 00:18:51 นะทีนี้เวลาออกกำลังกายสมองหรือบริหาร
00:18:51 → 00:18:55 สมองเนี่ยมันจะต้องฝึกการคิดวิเคราะห์การ
00:18:55 → 00:18:57 คิดที่มันเป็นเหมือนกับอ่าเค้าเรียกอะไร
00:18:57 → 00:19:01 อ่ะคะมันไม่ใช่แค่แบบว่าบอกให้ทำตามหรือ
00:19:01 → 00:19:02 อะไรอย่างเงี้ยแต่ว่ามันจะต้องแบบมีการ
00:19:02 → 00:19:05 คิดอีกเลเวลนึงอะไรอย่างเงี้ยต้องมีการ
00:19:05 → 00:19:07 ใช้ตรรกะอย่างงี้ใช่ๆค่ะอาจารย์เล่นเล่น
00:19:08 → 00:19:10 หมากฮอสหรืออาจารย์จะเล่นหมากรุกอย่าง
00:19:10 → 00:19:11 เงี้ยอาจารย์ต้องคิดแล้วล่ะว่าอาจารย์จะ
00:19:11 → 00:19:14 กันคนอื่นยังไงอะไรจะเดินอย่างไรในตาต่อ
00:19:14 → 00:19:16 ไปใช่ๆอย่างเงี้ยค่ะอ่าสมมุติถ้าบอกว่า
00:19:16 → 00:19:18 ที่เราพูดกันว่าเรื่องไพ่อย่างเงี้ยจะ
00:19:18 → 00:19:20 เป็นพวกไพ่นกกระจอกหรืออะไรที่อาจารย์จะ
00:19:20 → 00:19:22 ต้องแบบมานั่งคิดเยอะๆหรือว่าอาจารย์จะ
00:19:22 → 00:19:25 แบบเหมือนกับว่าอาจารย์จะมีงานอิกเป็น
00:19:25 → 00:19:27 ฮอบบี้เช่นแบบจะต้องมีความแบบฝึกคิดฝึก
00:19:27 → 00:19:30 วิะวาดรูปหรืออะไรก็ได้ที่ที่อาจารย์จะ
00:19:30 → 00:19:33 ได้ใช้แบบเอ่อฟังก์ชันของสมองเยอะขึ้นใช่
00:19:33 → 00:19:36 มั้ยคะอ่าทีนี้เนี่ยในแง่ของเรื่องของ
00:19:36 → 00:19:39 อารมณ์นอกเหนือจากการพักผ่อนนอหลับให้
00:19:39 → 00:19:41 เพียงพอนะคะโดยทั่วไปก็ 6-8 ชมงแต่ว่า
00:19:41 → 00:19:44 ต้องเป็นหลับสนิทนะคะแล้วก็มันจะช่วยทำ
00:19:44 → 00:19:46 ให้มีเวลาที่สมองหรือว่าร่างกายเราได้พัก
00:19:46 → 00:19:49 จริงๆนะคะแล้วก็สุดท้ายก็คือเรื่องของ
00:19:49 → 00:19:51 อาหารที่เราบอกกันนะคะหลักๆก็คือเป็น
00:19:51 → 00:19:55 อาหารหลัก 5 หมู่นะคะที่ครบถ้วนใช่มั้ยคะ
00:19:55 → 00:19:58 งั้นโดยทั่วไปอ่ะค่ะอาหารที่เราจะพูดว่า
00:19:58 → 00:20:00 มันจะช่วยเนี่ยมันก็จะดูในเรื่องของ
00:20:00 → 00:20:02 ปัจจัยเสี่ยงยกตัวอย่างเช่นทำให้เส้น
00:20:02 → 00:20:05 เลือดเราดีขึ้นใช่มั้ยคะอาจจะทำให้เรื่อง
00:20:05 → 00:20:07 ของอนุมูลอิสระมันลดลงหรือว่าจะมีสารต้าน
00:20:07 → 00:20:09 อนุมูลอิสระมากขึ้นอันถัดมาก็คืออาจจะ
00:20:09 → 00:20:12 ช่วยลดเรื่องของการอักเสบอาจจะมีอีกตัว
00:20:12 → 00:20:14 นึงที่คนพูดถึงก็คือน้ำมันปลาเพราะว่า
00:20:14 → 00:20:17 จริงๆแล้วมันเป็นไขมันซึ่งเป็นส่วนประกอบ
00:20:17 → 00:20:20 ของเซลล์นะคะเซลล์เซลล์เราทุกเซลล์เมันมี
00:20:20 → 00:20:23 ไขมันอยู่อ่าแล้วในสมองเนี่ยมันก็จะมี
00:20:23 → 00:20:25 เอ่อเค้าเรียก dha ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ
00:20:25 → 00:20:27 เซลล์ใช่มั้ยคะเพราะฉะนั้นเนี่ยเออมันก็
00:20:27 → 00:20:30 ควรจะต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมถ้าเรากิน
00:20:30 → 00:20:33 น้อยไปอาจจะทำให้เซลล์พวกเนี้ยเอ่อทนกับ
00:20:33 → 00:20:36 ภาวะที่มีความเครียดหรืออะไรไม่ค่อยได้
00:20:36 → 00:20:38 เพราะฉะนั้นเนี่ยอันนี้ก็จะเป็นสมดุลของ
00:20:38 → 00:20:40 เรื่องของอาหารที่เขาจะเลือกมาถ้าเรามอง
00:20:40 → 00:20:42 ในรูปแบบของอาหารก็มักจะเป็นอันนี้ครับ
00:20:43 → 00:20:46 คุณหมองเอพูดถึงน้ำมันปลามันอย่างเดียว
00:20:46 → 00:20:48 กับน้ำมันตับปลาแล้วก็หรือเปล่าครับเพราะ
00:20:48 → 00:20:50 ว่าตอนเด็กๆเนี่ยผมกินน้ำมันตับปลาเยอะ
00:20:50 → 00:20:52 มากเลยอ๋อโอเคค่ะแสดงว่าอาจารย์ตอนเด็กๆ
00:20:52 → 00:20:56 ตัวเล็กค่ะเเลยให้กินน้ำมันตับปลาเอ่อ
00:20:56 → 00:20:57 เวลาที่เป็นน้ำมันปลากับน้ำมันตับปลา
00:20:57 → 00:21:00 เนี่ยวิธีการทำต่างกันค่ะอาจารย์เวลาที่
00:21:00 → 00:21:02 เป็นน้ำมันตับปลาเนี่ยเขาจะเอาเครื่องใน
00:21:02 → 00:21:05 นะคะรวมทั้งสมองปลาเนี่ยมาทำเอ่อมาสกัด
00:21:05 → 00:21:07 ดีว่าใช้คำนี้ดีกนะค่ะในขณะที่ถ้าเป็นน้ำ
00:21:07 → 00:21:09 มันปลาเนี่ยเขาจะใช้ส่วนของเนื้อแล้วก็
00:21:10 → 00:21:12 หนังอือฮึแล้วก็มาสกัดเป็นน้ำมันออกมาที
00:21:13 → 00:21:15 นี้คุณสมบัติของสารที่อยู่ในนั้นเนี่ยถ้า
00:21:15 → 00:21:17 เป็นน้ำมันตับปลาเนี่ยส่วนใหญ่จะเป็น
00:21:17 → 00:21:19 ไวตามินดอกไวตามิน a นะคะจะมีน้ำมันปลา
00:21:20 → 00:21:22 ร่วมด้วยได้แต่ถ้าสมมุติว่าเป็นส่วนของ
00:21:22 → 00:21:25 น้ำมันปลาเนี่ยก็จะเป็นส่วนของเอ่อตัวน้ำ
00:21:25 → 00:21:27 มันที่ได้จากเนื้อปลาซึ่งอันนี้ก็เรียก
00:21:27 → 00:21:29 ว่าเป็นกรดไขมันเนาะหรือหรือถ้าเป็นภาษา
00:21:29 → 00:21:32 ที่เป็นตัวย่อๆที่เราได้ยินกันบ่อยๆเขาจะ
00:21:32 → 00:21:35 เขียนว่าเป็น dha กับ epa ลักษณะเนี้ยค่ะ
00:21:35 → 00:21:38 อ่า 2 ตัวนี้จะมีคุณสมบัติในแง่ของการลด
00:21:38 → 00:21:41 เรื่องของการอักเสบแล้วก็ dha เองก็จะ
00:21:41 → 00:21:44 เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ในสมอง
00:21:44 → 00:21:46 ด้วยอย่างเงี้ยค่ะเพราะฉะนั้นถ้าจะเลือก
00:21:46 → 00:21:49 ทานให้มันดีต่อระบบเลือดระบบหลอดเลือดของ
00:21:49 → 00:21:52 เราก็น่าจะเป็นน้ำมันปลาอ่าใช่ค่ะแล้วก็
00:21:52 → 00:21:54 เน้นในพวกที่มันเป็นผักผลไม้เพื่อเพิ่ม
00:21:54 → 00:21:56 พวกสารต้านอนุมูลอิสระลดเรื่องของ
00:21:56 → 00:21:58 แอลกอฮอล์หยุดสูบบุหรี่นะนะคะแล้วก็
00:21:58 → 00:22:01 เลี่ยงพวกที่เป็นสารเสพติดหรือว่าสารพิษ
00:22:01 → 00:22:03 ทั้งหลายก็จะช่วยทำให้เส้นเลือดเราแข็ง
00:22:03 → 00:22:06 แรงขึ้นค่ะฟังคุณหมอเอ๋แล้วนะครับวิธีใน
00:22:06 → 00:22:10 การที่จะบำรุงรักษาสมองของเรารวมทั้งชะลอ
00:22:10 → 00:22:12 การเสื่อมสมองของเราเนี่ยก็เป็นหลักการ
00:22:13 → 00:22:15 ที่ใช้ในการที่จะดูแลสุขภาพของเรานี่แหละ
00:22:15 → 00:22:18 เรื่องของอาหารถ้าเราสามารถที่จะควบคุม
00:22:18 → 00:22:22 อาหารได้ควบคุมค่าต่างๆที่เรามีทั้ง blood
00:22:22 → 00:22:25 pressure ทั้งแรงดันโลหิตเรื่องของไขมัน
00:22:25 → 00:22:28 ในหลอดเลือดมันก็จะเป็นตัวช่วยเลยละที่จะ
00:22:28 → 00:22:30 ทำให้หลอดเลือดของเราเนี่ยมันสะอาดแล้วก็
00:22:30 → 00:22:34 ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองได้ถ้าเราลดอนุมูล
00:22:34 → 00:22:37 อิสระลงได้ถ้าเราลดการอักเสบลงได้จากการ
00:22:38 → 00:22:40 เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์นั่น
00:22:40 → 00:22:43 แหละจะเป็นคีย์สำคัญในการที่จะบำรุงสมอง
00:22:43 → 00:22:45 ของเราเลยแหละวันนี้ต้องขอบคุณคุณหมอเอ๋
00:22:45 → 00:22:47 นะครับผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์หญิงดรุณี
00:22:47 → 00:22:50 วรณวโรดมวิจิตรพระวิชาอายุรศาสตร์คณะ
00:22:50 → 00:22:53 แพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัย
00:22:53 → 00:22:55 มหิดลครับที่มาพูดคุยกับเราคุณหมออี๋มี
00:22:55 → 00:22:58 ช่องทางที่จะได้พูดคุยกับคุณผู้ชมอยู่
00:22:58 → 00:23:00 ด้วยใช่มั้ยครับค่ะก็จะมีเป็น podcast นะ
00:23:00 → 00:23:02 คะอยู่ในมหิดล Channel podcast เนี่ยละ
00:23:02 → 00:23:05 ค่ะเราจะพูดคุยกันในเรื่องของรูปแบบอาหาร
00:23:05 → 00:23:08 นะคะที่ปลอดภัยกับสุขภาพค่ะชื่อว่ารายการ
00:23:08 → 00:23:11 Food Choice กินดีสุขภาพดีเลือกได้ค่ะ
00:23:11 → 00:23:14 สำหรับคุณผู้ฟังที่ชอบฟังเรื่องของอาหาร
00:23:14 → 00:23:16 ผมว่า Food Choice เนี่ยเป็นทางเลือกที่
00:23:16 → 00:23:20 ดีเลยแหละผมคิดว่าผมจะคอยติดตามทุกๆวัน
00:23:20 → 00:23:23 จันทร์เวลา 18:00 นเพื่อจะได้ทิปแล้วก็
00:23:23 → 00:23:26 ทริกในการที่จะเลือกหรือไม่เลือกทานอาหาร
00:23:26 → 00:23:29 อะไรก็ตามยโอกาสหวังว่าจะได้พบกับคุณหวอ
00:23:29 → 00:23:32 เอ๋อีกนะครับยินดี
00:23:32 → 00:23:35 ค่ะคุณผู้ชมครับไม่แน่ใจว่าคุณผู้ชมเป็น
00:23:35 → 00:23:37 เหมือนผมหรือเปล่าพออายุเริ่มมากขึ้น
00:23:37 → 00:23:41 เนี่ยไอ้สิ่งที่เคยจำได้เนี่อยู่ๆก็เกิด
00:23:41 → 00:23:44 จำไม่ได้ไอ้สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสัก
00:23:44 → 00:23:47 ครู่อยู่ๆก็นึกไม่ออกพอจะพูดคำไหนก็มัน
00:23:47 → 00:23:51 ติดอยู่ที่ปากหัวก็ไม่ไวเหมือนเดิมหลายๆ
00:23:51 → 00:23:54 คนอาจจะบอกว่าก็นั่นจะเป็นอาการนึงของคน
00:23:54 → 00:23:57 ที่เริ่มมีอายุมากขึ้นแต่จริงๆแล้วเนี่ย
00:23:57 → 00:23:58 มันไม่อาจจะจะไม่ใช่เรื่องของอายุอย่าง
00:23:58 → 00:24:01 เดียวเนาะมันอาจจะมีเรื่องของพฤติกรรม
00:24:01 → 00:24:03 อยู่ด้วยในวันนี้ครับเราจะมาดูว่า
00:24:03 → 00:24:07 พฤติกรรมแบบไหนที่มันจะมีผลกับสมองของเรา
00:24:07 → 00:24:09 ในหัวข้อที่เราจะมาคุยกันวันนี้คือ 9
00:24:09 → 00:24:12 พฤติกรรมทำร้ายสมองไม่รู้ตัววันนี้แขกรับ
00:24:12 → 00:24:14 เชิญที่มาพูดคุยกับเราครับก็คืออาจารย์
00:24:14 → 00:24:17 ป๊อบผู้ช่วยศาสตราจารย์ดรนักกิจกรรมบำบัด
00:24:17 → 00:24:20 สพลเข็มทองอาจารย์นักกิจกรรมบำบัดจิต
00:24:20 → 00:24:23 สังคมคณะกยภาพบำบัดมหาวิทยาลัยมหิดล
00:24:23 → 00:24:25 สวัสดีครับอาจารย์ป๊อบสวัสดีครับสดีสบาย
00:24:25 → 00:24:28 ดีครับอาจารย์สบายดีเนาอันดับแรกเลยเข้า
00:24:28 → 00:24:30 เรื่องเลยพฤติกรรมทำร้ายสมองเรากำลังพูด
00:24:31 → 00:24:33 ถึงพฤติกรรมแบบไหนที่มันจะทำร้ายสมองเรา
00:24:33 → 00:24:35 ได้มันจะเป็นพฤติกรรมแบบเอ่อเราไม่รู้ตัว
00:24:35 → 00:24:39 เนาะเราทำไปแล้วก็สมองมันก็เริ่มล้าเริ่ม
00:24:39 → 00:24:42 เหนื่อยเริ่มสะสมความตึงเครียดแล้วก็
00:24:42 → 00:24:44 เสื่อมก่อนไหวตามธรรมชาติเนี่ยนะอาจารย์
00:24:44 → 00:24:47 เต้คือสมองเราเนี่ยจะมีแบบเขเรียก
00:24:47 → 00:24:49 วุฒิภาวะเหมือนเป็นผู้ใหญ่เต็มที่อแต่พอ
00:24:50 → 00:24:51 เป็นผู้ใหญ่เต็มที่มันเริ่มเสื่อมเลยนะ
00:24:51 → 00:24:56 โอ้ 30 ปีอ๋อก็คือคล้ายๆกับเวลาที่เราโต
00:24:56 → 00:24:59 ขึ้นมาจากเด็กเด็กขึ้นมาเป็นวัยรุ่นช่วง
00:24:59 → 00:25:02 นี้เป็นช่วงขาขึ้นเนาชเป็นช่วงขาขึ้นพอ 20
00:25:02 → 00:25:05 กว่าๆ 30 ปุ 30 ปุ๊บปุ๊บอย่างงี้เลยปุ๊บ
00:25:05 → 00:25:07 เลยเหรอแล้วมันจะปุ๊บมากกว่านั้นอีกก็คือ
00:25:07 → 00:25:10 สมองเสื่อมก่อนวัยถ้าเรามีพฤติกรรมทำร้าย
00:25:10 → 00:25:14 สมองไม่รู้ตัวตอน 40 ตอน 40 40 จะเสื่อม
00:25:14 → 00:25:16 ก่อนวัยถ้าอย่างนั้นแสดงว่าตอนนี้เรา
00:25:16 → 00:25:19 กำลังพูดถึง 2 ปัจจัยเนาะปัจจัยนึงก็คือ
00:25:19 → 00:25:21 อยู่นอกเหนือการควบคุมของเราเพราะว่าอายุ
00:25:21 → 00:25:24 ของเราก็เจริญไปเรื่อยๆแต่ไอ้ส่วนที่มัน
00:25:24 → 00:25:26 ควบคุมได้ก็คือเรื่องของพฤติกรรมวันนี้
00:25:26 → 00:25:29 เราจะมาพูดคุยกันเรืพฤติกรรมและมี 9
00:25:29 → 00:25:32 [เพลง]
00:25:32 → 00:25:35 พฤติกรรมงั้นเรามาเริ่มจากพฤติกรรมแรกกัน
00:25:35 → 00:25:37 ก่อนพฤติกรรมแรกก็คือเราทานอาหารไม่ดีต่อ
00:25:37 → 00:25:39 สุขภาพโอ้โหสะดุ้ง
00:25:39 → 00:25:42 เลยอาหารไม่ดีต่อสุขภาพเนี่ยอาจารย์ป๊อบ
00:25:42 → 00:25:46 ขยายสักนิดนึงประเภทไหนก็คือทานแบบอัดลม
00:25:46 → 00:25:49 อืทานอะไรที่หวานๆอ๋อหวานๆน้ำตาแล้วก็ทาน
00:25:49 → 00:25:52 อะไรที่มันๆเข็มๆมาครบเลยอร่อยทนั้นเลย
00:25:52 → 00:25:55 ใช่เพราะว่าอะไรอาจารย์เต้สมองเี่นะเจะ
00:25:55 → 00:25:57 ตื่นตัวนะครับแล้วต้องการพลังงานเนี่ย
00:25:58 → 00:26:02 ตั้งแต่ 5:00 นจนถึง 99:00 นอือคราวนี้
00:26:02 → 00:26:06 อาหารที่เขาจะใช้เนี่ยก็คือมีน้ำตาลน้อยๆ
00:26:06 → 00:26:10 นะมีผักผลไม้เยอะๆเพราะว่ามันทำให้สมองมี
00:26:10 → 00:26:14 พลังงานตื่นตัวครับคราวนี้อาหารที่เราแบบ
00:26:14 → 00:26:17 เกี่ยวกับอาหารทอดอาหารมันเยอะๆเนี่ยมัน
00:26:17 → 00:26:19 จะยังไม่ใช้เมื่อสักครู่อาจารย์ป๊อบพูด
00:26:19 → 00:26:21 ถึงช่วงเช้าแสดงว่ามันเกี่ยวข้องกับ
00:26:21 → 00:26:23 เรื่องของเวลาเกี่ยวข้องกับเรื่องนาฬิกา
00:26:23 → 00:26:26 ยังไงครับใช่มันเป็นเรื่องของการตั้งเวลา
00:26:26 → 00:26:29 ในสมองที่เราเรียกว่านิกาชีวภาพอือคราว
00:26:29 → 00:26:32 นี้พอเราใช้งานของเา้าใช้พลังงานต่างๆ
00:26:32 → 00:26:35 ช่วง 7-9 นอนะครับหลัง 10:00 นเป็นต้นมา
00:26:35 → 00:26:38 เนี่ยสมองก็เริ่มแบบอยากจะพักบ้างอ่ะออเ
00:26:38 → 00:26:41 มีเวลาเวามีเวลาตื่นตัวมีเวลาพักใช่คราว
00:26:41 → 00:26:44 นี้พักของเขาก็อาจจะแบบได้ได้แบบทำอะไร
00:26:44 → 00:26:47 เบาๆเค้าก็ไม่ต้องการพลังงานจากน้ำตาลอือ
00:26:47 → 00:26:50 น้ำตาลถ้าเราทานเกินเนี่ยนะครับมันก็จะไป
00:26:50 → 00:26:54 สะสมสะสมโดยไม่ใช้งานอือพอไปสะสมในสมอง
00:26:54 → 00:26:57 เนี่ยเส้นประสาทมันเริ่มอักเสบเส้นเส้น
00:26:57 → 00:26:59 ประสาทในสมองอักเสบจะจะรู้ได้ยังไงเราจะ
00:26:59 → 00:27:03 เริ่มง่วงทั้งๆที่ไม่ควรง่วงไงอ่าเราจะ
00:27:03 → 00:27:06 เริ่มแบบจำอะไรไม่ค่อยได้ออเราจะเริ่มปวด
00:27:06 → 00:27:09 ล้าสายตาเราก็ต้องการโปรตีนเพื่อไปซ่อม
00:27:09 → 00:27:12 แซมส่วนที่สึกหรอจะได้มีพลังงานในช่วง
00:27:12 → 00:27:14 บ่ายนั่นก็แปลว่าตอนเช้าถ้าเผื่อจะทาน
00:27:15 → 00:27:18 ข้าวอือจะทานข้าวตอนไหนดีก่อน 10:00 น
00:27:18 → 00:27:21 มั้ยหรือยังไงครับใช่ช่วง 7-9 นเนี่ย
00:27:21 → 00:27:24 อาหารเช้าพวกคาร์โบไฮเดรตพวกข้าวซ้อมมือ
00:27:24 → 00:27:26 ยิ่งดีนะอาจารย์เพราะมีไฟเบอร์เยอะนะมี
00:27:26 → 00:27:30 ผักผลไม้ตามหน่อยนะมันก็จะทำให้แบบโอตื่น
00:27:30 → 00:27:32 ตัวมีพลังงานครับอครับแล้วหลังจากนั้นถ้า
00:27:32 → 00:27:35 เผื่อจะเติมให้กับสมองของเราก็อาจจะเป็น
00:27:35 → 00:27:37 อาหารในกลุ่มที่มีโปรตีนสูงหน่อยโปรตีน
00:27:37 → 00:27:40 สูงหน่อยใช่โปรตีนสูงก็อาจจะมาจากถั่ว
00:27:40 → 00:27:43 เหลืองถั่วต่างๆหรือว่าโปรตีนที่เป็นไม่
00:27:43 → 00:27:45 มีติดมันนะอาจารมันจะทำให้พลังงานตอนบ่าย
00:27:45 → 00:27:48 ดีขึ้นอือฮึอย่างงี้ถ้าเผื่อหลังจาก 10:00
00:27:48 → 00:27:51 นมาแล้วผมก็เติมโปรตีนของผมไปเรื่อยๆจน
00:27:51 → 00:27:53 กระทั่งถึงสักเที่ยงคนได้มั้ยควรจะควรจะ
00:27:53 → 00:27:57 ถึงแค่ 20:00 นทำไมไม่ยาวไปกว่านั้น่ะอ่า
00:27:57 → 00:27:59 เพราะว่าเพราะว่าตอน 20:00 นเนี่ยสมองเขา
00:27:59 → 00:28:02 บอกว่าฉันจะเริ่มมีเมลาโทนินหลังแล้วนะ
00:28:02 → 00:28:04 คราวนี้ถ้าเราไปทานเลยเยอะแยะเมลาโทนิน
00:28:04 → 00:28:06 ไม่หลั่งนอนไม่หลับเอานะอาจารย์เต้อ๋อ
00:28:06 → 00:28:09 เมลานินเป็นฮอร์โมนตัวนึงซึ่งสำคัญต่อการ
00:28:09 → 00:28:11 ที่จะทำให้เราง่วงแล้วก็พักผ่อนใช่มันจะ
00:28:11 → 00:28:14 เคิ่มๆชันขอนอนนะยาวๆ
00:28:14 → 00:28:16 [เพลง]
00:28:16 → 00:28:19 ครับพฤติกรรมที่ 2 เนี่ยคือไม่ขยับร่าง
00:28:19 → 00:28:23 กายเลย 30 นาทีครับเราเรียกว่าเนื่อยนิ่ง
00:28:23 → 00:28:25 ชอบคำว่าเนื่อยนิ่งมองภาพออกเลยว่าอยู่
00:28:25 → 00:28:28 เนื่อยๆนิ่งๆใช่มั้ยจริงๆแล้วหัวใจมัน
00:28:28 → 00:28:30 เหนื่อยมันเหนื่อยด้วยมันเหนื่อยเพราะว่า
00:28:30 → 00:28:34 อยู่นานๆมันไม่ได้ขยับักทีอ๋อปอดก็ไม่ได้
00:28:34 → 00:28:37 ออกซิเจนเลยอย่างเงี้ยครับมันก็เลยส่งผล
00:28:37 → 00:28:39 นะอาจารย์ระยะยาวถ้าเราเป็นอย่างเงี้ยไม่
00:28:39 → 00:28:43 ขยับร่างกายเลยหัวใจหลอดเลือดสมองเอยแย่
00:28:43 → 00:28:45 แล้วอย่างนี้เมื่อสักครู่อาจารย์ป๊อบพูด
00:28:45 → 00:28:47 ถึงคำว่า 30 นาทีแล้วแสดงว่าอาจจะต้อง
00:28:47 → 00:28:49 นั่งจับเวลาเลยหรือเปล่าว่า 30 นาทีที่
00:28:49 → 00:28:52 เรานั่งอยู่นิ่งๆเนี่ยอหลังจาก 30 นาที
00:28:52 → 00:28:54 แล้วเราควรจะไปทำอะไรอย่างอื่นอย่างเงี้
00:28:54 → 00:28:56 เหรอครับจริงๆก็คือเปลี่ยนท่าเปลี่ยนท่า
00:28:56 → 00:28:59 ลุกขึ้นยืนขยับร่างกายบิดขี้เกียจอะไร
00:28:59 → 00:29:02 อย่าเงี้ยสมองเขาก็ตื่นตัวะแล้วเขาจำได้
00:29:02 → 00:29:05 นะอเพราะว่ายิ่งเราทำเป็นประจำสมองเขาจำ
00:29:05 → 00:29:07 แม่นเลยไม่ต้องจับเวลาเลยอ๋ออย่างงี้ก็
00:29:07 → 00:29:10 คือ 30 นาทีแล้วก็เปลี่ยนอิริยาบถสัก 2
00:29:10 → 00:29:12 ชั่วโมงมั้ยหรือว่านานไปอย่างน้อย 3 นาที
00:29:12 → 00:29:16 เอาแค่ 3 นาทีพออย่างน้อย 3 นี้านคงเพ่ง
00:29:16 → 00:29:19 อะไเนหรือบางทีเราทำงานไปเดินไปบ้างก็ได้
00:29:19 → 00:29:22 อือฮึการการที่เราขยับตัวน้อยมันก็จะทำ
00:29:22 → 00:29:25 ให้เราใช้พลังงานน้อยน้อยเกินไปทั้งๆที่
00:29:26 → 00:29:28 เรามีพลังงานตอนเช้าๆ
00:29:28 → 00:29:31 [เพลง]
00:29:31 → 00:29:34 อืพฤติกรรมที่ 3 ที่ทำร้ายสมองของเราล่ะ
00:29:34 → 00:29:36 ครับอาจารย์ป๊อบคืออะไรพฤติกรรมที่ 3
00:29:36 → 00:29:39 เนี่ยเราเรียกว่านั่งคอมนานและใส่หูฟัง
00:29:39 → 00:29:43 นั่งคอมนานาใช้คอมพิวเตอร์อยู่นานแล้ว
00:29:43 → 00:29:45 ต้องใส่หูฟังใส่หูฟังในนี่เลยนะในหูเลยนะ
00:29:45 → 00:29:47 อ้าแล้วมันไม่ดียังไงใส่หูฟังมันก็จะได้
00:29:48 → 00:29:50 ได้ยินชัดๆอืจริงๆแล้วพอเราใส่หูฟังปุ๊บ
00:29:50 → 00:29:54 เนี่ยสมองเขชอบฟังเขาไม่ชอบมองดังนั้นมัน
00:29:54 → 00:29:58 จะทำให้หูของเราเนี่ยใช้งานหนักเกินไปออ
00:29:58 → 00:30:00 แลมันทำให้เครียดมากเลยอาจารย์เพราะว่า
00:30:00 → 00:30:03 ถ้าเราแบบลองดูนะอาจารย์พอใส่อะไรปุ๊บ
00:30:03 → 00:30:07 เนี่ยแลถ้าเราเป็นคนแบบหูไวอ่ะหรือหูหา
00:30:07 → 00:30:10 เรื่องอ่ะหูหาเรื่องก็คือใครนินทาดยว่า
00:30:10 → 00:30:13 นินทาเรื่องเราจิ๊บๆๆๆเราหูไปละหูกระดิก
00:30:13 → 00:30:17 ละแล้วทำให้ตาเตอมันแบบโหมันทำงานเยอะ
00:30:17 → 00:30:20 เกินไปอือฮึถ้าดังนั้นทางแก้หรือว่าวิธี
00:30:20 → 00:30:22 ในการที่จะลดพฤติกรรมนี้คือก็เอาหูฟังออก
00:30:22 → 00:30:26 ใช่ง่ายๆเพราะหูฟังออกเนี่ยตาเตอจะเบิก
00:30:26 → 00:30:30 กว้างตาจะแบบเป็นประกายมองอะไรก็คิดอืจำ
00:30:30 → 00:30:33 ได้แม่นนะอาจารย์แล้วถ้าเรานั่งประชุมกัน
00:30:33 → 00:30:36 แบบเนี้ยไม่ใส่หูฟังเราก็จะสบตายิ้มทัก
00:30:36 → 00:30:39 ทายแล้วก็ได้เดินไปด้วยกันด้วยอ๋อฟังดู
00:30:39 → 00:30:42 เหมือนกับว่าถ้าเราใส่หูฟังเราก็จะโฟกัส
00:30:42 → 00:30:44 กับเสียงเป็นหลักเลยถูกครับในขณะที่ถ้า
00:30:44 → 00:30:47 เราไม่ได้ใส่หูฟังเราต้องพยายามอ่านปากคน
00:30:47 → 00:30:49 ที่ต้องนั่งประชุมด้วยแล้วก็ได้สังเกต
00:30:49 → 00:30:51 อื่นๆด้วยนอกจากที่จะฟังอยู่ที่หูอย่าง
00:30:51 → 00:30:54 เดียวแล้วก็ใส่หูฟังมากๆก็จะหูหาเรื่อง
00:30:54 → 00:30:56 หงุดหงิ
00:30:56 → 00:30:59 ง่าย
00:30:59 → 00:31:01 อาจารย์ป๊อบครับตอนนี้เรามาถึงพฤติกรรม
00:31:01 → 00:31:04 ที่ 4 ที่ทำร้ายสมองนะครับอคืออะไรคือ
00:31:04 → 00:31:06 อย่างงี้ครับมันจะเป็นการดื่มเครื่องดื่ม
00:31:06 → 00:31:11 แอลกอฮอล์มีคาเฟอีนสูบบุหรี่เยอะๆอออืมัน
00:31:11 → 00:31:14 ทำร้ายสมองโดยตรงเลยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
00:31:14 → 00:31:17 เมันจะมีผลยังไงโดยตรงกับสมองเลยอมันจะไป
00:31:17 → 00:31:19 ที่ตัวสมองใช่มั้ยอาจารย์แล้วมันทำให้
00:31:19 → 00:31:23 สมองมึนมึนใช่สมองมึนก็คือแอลกอฮอล์เนี่ย
00:31:23 → 00:31:27 มันจะเข้าไปแทนของเหลวอื่นอื่นๆไปแย่งเลย
00:31:27 → 00:31:30 ไปแย่งอไปแย่งน้ำในสองเนเหมือนสมองเมา
00:31:30 → 00:31:33 เห้าอ่ะอารมณ์นั้นน่ะแต่มันจะเมาเร็วมาก
00:31:33 → 00:31:37 แล้วก็ตาเราเนี่ยจะพร่ามัวคราวนี้นึกถึง
00:31:38 → 00:31:42 พอตามันมัวตาพร่าก็จะเดินเซอือหูชั้นใน
00:31:42 → 00:31:45 เนี่ยที่หูหาเรื่องเนี่ยจะหาเรื่องมาก
00:31:45 → 00:31:48 ขึ้นไปกันใหญ่นะอาจารย์เนาะมันจะหงุดหงิด
00:31:48 → 00:31:52 โมโหก้าวร้าวไม่ได้ไม่ได้ที่ที่ผมเคยทราบ
00:31:52 → 00:31:56 มาก็คือแอลกอฮอลเองก็อาจจะทำให้เซลสมอง
00:31:56 → 00:31:59 มันตายด้วยเหมือนกันโออันนี้ใช่เลยถ้าเรา
00:31:59 → 00:32:02 ทานแอลกอฮอล์มากกว่าเกฑ์นะอาจารย์ก็คือ
00:32:02 → 00:32:06 มากกว่า 2 แก้วในเวลา 1 ช่วโมงอือฮึนั่น
00:32:06 → 00:32:10 จะทำให้เซลล์สมองเนี่ยตายซบุหรี่มันมี
00:32:10 → 00:32:13 อะไรอยู่ที่ที่อยู่ในควันบุหรี่เหรออืสา
00:32:13 → 00:32:17 นิโคตินเนี่ยครับมากนะอาจารย์มีผลต่อสมอง
00:32:17 → 00:32:20 มากกว่าแอลกอฮอล์เมื่อกี้นะโอ้ยโอ้โหนี่
00:32:20 → 00:32:22 เราค่อยๆได้ระดับไปเลยนะเนี่ยใช่ๆนิโคติน
00:32:22 → 00:32:25 ที่อยู่ในบุหรี่ควันบุหรี่ใชใช่เพราะมัน
00:32:25 → 00:32:28 ไปพร้อมกับคาร์บอนไดออกไซด์อ่าครับมันไป
00:32:28 → 00:32:31 จับจับสามารถจับออกซิเจนไม่ให้ทำงานเป็น
00:32:32 → 00:32:34 ออกซิเจนจะทำงานคล้ายๆคาร์บอนไดออกไซด์อ
00:32:34 → 00:32:37 อือแล้วก็เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นใน
00:32:37 → 00:32:42 ร่างกายออกซิเจนก็ลดลงสมองสามารถขาดเลือด
00:32:42 → 00:32:45 แล้วก็อัมพาตได้นะอจาร
00:32:45 → 00:32:48 โอคือแค่สมองขาดเลือดหรือว่าเลือดไปหล่อ
00:32:48 → 00:32:51 เลี้ยงสมองน้อยลงเนี่ยมันก็ทำให้เราเรา
00:32:51 → 00:32:54 เราคิดอะไรไม่ค่อยดีแล้วอันนี้อาจจะทำให้
00:32:54 → 00:32:57 เซลล์สมองตายเลยและที่สำคัญคนรอบข้างข้าง
00:32:57 → 00:33:00 เนี่ยตายก่อนได้นะด้วยด้วควันควันบุหรี่
00:33:00 → 00:33:04 มือ 2 บุรี่อืบุหรี่เนี่ยพอนึกออกอือ
00:33:04 → 00:33:07 แอลกอฮอล์ก็อาจจะพอนึกออกแเฟอีนเนี่ยที่
00:33:07 → 00:33:10 มันอยู่ในชาในกาแฟใช่มั้ยครับมันมันไปทำ
00:33:10 → 00:33:12 อะไรกับสมองใช่ใช่ยังจำได้อยู่มั้ย
00:33:12 → 00:33:16 อาจารย์เต้อถ้าเกิดเราใส่กาแฟใส่น้ำตาล
00:33:16 → 00:33:21 ด้วยนะน้ำตาลน่ะทำให้สมองเราอักเสบไงโอเค
00:33:21 → 00:33:23 อืครับพออย่างงี้มันไม่อักเสบอย่างเดียว
00:33:23 → 00:33:26 เนาะคาเฟอีนเนี่ยมันจะไปกระตุ้นที่กล้าม
00:33:26 → 00:33:29 เนื้ออือมากกว่าสมองดังนั้นออกซิเจนเนี่ย
00:33:29 → 00:33:32 ต้องไปเพิ่มพลังในกล้ามเนื้อออกซิเจนก็ไป
00:33:32 → 00:33:36 เลี้ยงสมองลดลงอสมองก็จะล้าตามมาเหนื่อย
00:33:36 → 00:33:40 หมดแรงอยากนอนอือถ้าเป็นสูบบุหรี่เนี่ยงด
00:33:40 → 00:33:42 ได้ก็จะดีแอลกอฮอล์เนี่ยงดได้ก็จะดีแต่
00:33:42 → 00:33:45 หลายๆคนบอกว่ากาแฟเนี่ยขอสักแก้วได้มั้ย 2
00:33:45 → 00:33:47 แก้วได้มั้ยตอนเช้าไม่งั้นมันไม่ตื่นอ่ะอ
00:33:47 → 00:33:50 เขาก็กำหนดไว้ทั่วโลกกำหนดเลยนะอาจารย์
00:33:50 → 00:33:53 ว่าตั้งแต่เช้าตื่นมาถ้าเป็นกาแฟที่มีน้ำ
00:33:53 → 00:33:56 ตาลน้อยๆเนาหรือไม่ใส่เลยหรือไม่ใส่เลยนะ
00:33:56 → 00:33:59 ก็กินได้วันละ 2 แก้วอือและมีข้อจำกัด
00:33:59 → 00:34:02 ด้วยวันละ 2 แก้วก็คือตื่นเช้ามาจนถึง
00:34:02 → 00:34:05 15:00 นเพราะว่าหลัง 15:00 นเนี่ยเขา
00:34:05 → 00:34:09 ต้องการอากาศออกซิเจนเยอะๆต้องการน้ำบ้าง
00:34:09 → 00:34:13 นะอาจารย์สมองต้องการน้ำต้องการวิตามิน
00:34:13 → 00:34:16 เกลือแรจากน้ำผลไม้จากนมถั่วเหลืองอะไร
00:34:16 → 00:34:18 พวกเก็จะดีกว่า
00:34:18 → 00:34:20 [เพลง]
00:34:20 → 00:34:25 อมาถึงพฤติกรรมที่ 5 ทำร้ายสมองครับคือก็
00:34:25 → 00:34:28 คือพฤติกรรมที่เราแแปงฟันแต่ไม่ใช่ไหมขัด
00:34:28 → 00:34:31 ฟันเลยอยังไงแปรงฟันก็แปรงอยู่ทุกเช้า
00:34:31 → 00:34:34 เย็นก่อนนอนต้องใช้ไหมขัดฟันด้วยใช่เพราะ
00:34:34 → 00:34:36 ว่าไหมขัดฟันเนี่ยเป็นเครื่องมือที่ช่วย
00:34:36 → 00:34:41 กำจัดแบคทีเรียได้ดีมากนะครับได้ได้ลึกซึ
00:34:41 → 00:34:44 ลึกซึ้งถึงตัวเหงือกรากแลฟันด้วยนะครับ
00:34:44 → 00:34:48 แล้วถ้าเรามีแบคทีเรียน้อยลงสมองก็จะไม่
00:34:48 → 00:34:52 มีเชื้อโรคไม่ติดเชื้ออแล้วก็เส้นประสาท
00:34:52 → 00:34:54 จะไม่อักเสบด้วยอาจารย์โอ้โหผมก็นึกว่า
00:34:54 → 00:35:00 แค่ในการใช้ไมขัดฟันเนี่ยอักสุภาพในช่ป
00:35:00 → 00:35:03 ของเราในการที่จะลดครบแบคทีเรียลงไม่ได้
00:35:03 → 00:35:06 นึกว่ามันจะไปมีผลกับสองด้วยใช่สุขภาพ
00:35:06 → 00:35:09 สมองจะดีขึ้นเพราะว่าลดการอักเสบในช่อง
00:35:09 → 00:35:12 ปากและโพรงสมองครับ
00:35:12 → 00:35:14 [เพลง]
00:35:14 → 00:35:17 ครับพฤติกรรม 6-9 เนี่ยเป็นเกี่ยวกับจิต
00:35:17 → 00:35:22 ใจนะอาจารย์มีผลมากดูจิตใจไม่เป็นร่างกาย
00:35:22 → 00:35:25 ตนนี้มาเป็นจิจิตใจอันแรกก็คือเรามีความ
00:35:25 → 00:35:28 คิดลบคิดบเนี่ยอาจารย์มันคือเหมือนกับว่า
00:35:28 → 00:35:33 เราอาจจะคิดแบบเข้าข้างตัวเองบิดเบียนบิด
00:35:33 → 00:35:35 เบียนจากความเป็นจริงอ๋อบิดเบี้ยวไปจาก
00:35:35 → 00:35:38 ความเป็นจริงบบเราเรบิดเบือนได้เลยแล้วก็
00:35:38 → 00:35:43 มักจะมีบุคภาพแบบชอบตำหนิอุยชอบสั่งการอ
00:35:43 → 00:35:47 และชอบเก็บมาคิดน้อยใจนี่แบบพอพูดไปเนี่ย
00:35:47 → 00:35:49 ผมกำลังติ๊กๆๆไปด้วยนะแต่ผมผมไม่ค่อยว่า
00:35:49 → 00:35:52 คนอื่นนะแต่ผมมักจะตำหนิตัวเองอ่ะอันนี้
00:35:52 → 00:35:54 เป็นพวกคิดลบด้วยมั้ยถ้าตำหนิตัวเองว่า
00:35:54 → 00:35:57 ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเราทำมันมัก
00:35:57 → 00:35:59 จะอย่างงี้มันมักจะมาคิดได้ตอนหลังแต่มัน
00:35:59 → 00:36:02 ทำไปแล้วไงก็เลยมาตำหนิตัวเองตอนหลังออ
00:36:02 → 00:36:03 นั่นก็เป็นคิดลบอยู่ด้วยเหมือนกันก็ด้วย
00:36:03 → 00:36:06 เหมือนกันแล้วพวกคิดนู่นคิดนี่กลางคืนก็
00:36:06 → 00:36:10 มานอนไม่หลักไงอาจารย์โออบางทีพอคิดแล้ว
00:36:10 → 00:36:14 เนี่ยอืแล้วคิดไปถึงในสิ่งที่อาจจะเคยทำ
00:36:14 → 00:36:16 แล้วในอดีตเราอาจจะเกิดอาการรู้สึกว่า
00:36:16 → 00:36:19 เฮ้ยไม่น่าทำเลยเราคิดในทางที่ไม่ดีเสมอ
00:36:19 → 00:36:22 ใช่คิดไปข้างหน้าล่วงหน้าอีกคราวนี้สมอง
00:36:22 → 00:36:25 เนี่ยเขาเไม่ชอบคิดกังวลไปนานเพราะว่ามัน
00:36:25 → 00:36:28 ลืมแล้วเต้องการนอนหลักพักผ่อนโดยที่แบบ
00:36:28 → 00:36:31 คิดน้อยๆคิดเรื่องบวกๆดีๆอย่างเงี้ย
00:36:31 → 00:36:35 อาจารย์ถ้าเราสามารถที่จะลดการคิดลบนั้น
00:36:35 → 00:36:39 ลงได้สมองเราก็จะเข้าสู่โหมดในการพักผ่อน
00:36:39 → 00:36:41 ได้ง่ายขึ้นพักผ่อนได้เต็มที่ก็จะทำให้
00:36:41 → 00:36:45 นอนได้ง่ายขึ้นและบางทีฝันดีด้วยออผมอยาก
00:36:45 → 00:36:47 ที่จะฝันดีแต่ก่อนที่จะฝันดีต้องนอนให้
00:36:47 → 00:36:49 ได้ก่อนเนาอันดับแรก
00:36:49 → 00:36:51 [เพลง]
00:36:51 → 00:36:55 ใช่พฤติกรรมที่ 7 นี่คือในเวลาที่จำกัด
00:36:55 → 00:36:58 แล้วก็เราทำงานหลายอย่างพร้อมกันจนเกินไป
00:36:58 → 00:37:01 โอ๊ยคนเดี๋ยวนี้เต้อง multitasking มอคน
00:37:01 → 00:37:04 รุ่นใหม่ใช่มยใช่อืแต่จริงๆแล้วพอทำมากๆ
00:37:04 → 00:37:07 ก็ทำไม่ได้ดีไงตัวสมองเราเนี่ยอาจารย์เต้
00:37:07 → 00:37:10 เราวัดได้ 20 ตำแหน่งนั่นหมายถึงว่าเรา
00:37:10 → 00:37:13 สามารถจริงๆนะถ้าเราทำจริงๆเราทำได้ 20
00:37:13 → 00:37:16 อย่างพร้อมกันโอโหผมไม่สามารถถูกมั้ยไม่
00:37:16 → 00:37:19 มีใครสามารถเพราะว่าสมองมันเหนื่อยสมอง
00:37:19 → 00:37:24 มันล้าเแล้วที่เราแนะนำก็คือทำแค่เป็น 2
00:37:24 → 00:37:27 อย่างก็เต็มที่ละ 2 อย่างก็เป็นเต็ม
00:37:27 → 00:37:30 ใช่เคยได้ยินมาจากบางที่บางที่เขาบอกว่า
00:37:30 → 00:37:33 จริงๆมันไม่ใช่ multitasking หรอกมันเป็น
00:37:33 → 00:37:36 Switch tasking ก็คือทำ 2 อย่างอยู่
00:37:36 → 00:37:39 ข้างหน้าเนี่ยแต่เราเราเราให้ความสนใจกับ
00:37:39 → 00:37:42 สิ่งเนี้ยเอ 2 นาทีแล้วก็กลับมาสิ่งนี้
00:37:42 → 00:37:44 อีก 2 นาทีแล้วก็กลับมาสิ่งนี้ 2 นาทีเรา
00:37:44 → 00:37:47 ไม่สามารถจะทำทุกอย่างไปพร้อมกันได้มัน
00:37:47 → 00:37:50 ยิ่งทำให้งานเสร็จช้าลงไปอีกใช่ใชมถ้า
00:37:50 → 00:37:52 เป็นไปได้ก็โฟกัสทีละสิ่งก็จะดีที่สุดถูก
00:37:52 → 00:37:54 มแล้วการโฟกัสทีละสิ่งอาจจะทำได้เร็วกว่า
00:37:55 → 00:37:56 เดิมด้วยใช่แล้ว
00:37:56 → 00:38:00 [เพลง]
00:38:00 → 00:38:03 มาที่พฤติกรรมที่ 8 ที่ทำร้ายสมองครับอื
00:38:03 → 00:38:07 จะเป็นความตึงเครียดมากๆของคนที่เก็บตัว
00:38:07 → 00:38:11 ไม่เข้าสังคมแนเต้เป็นมั้ยผมเป็นคนที่ชอบ
00:38:11 → 00:38:14 อยู่คนเดียวใช้เวลาคุณภาพกับตัวเองคน
00:38:14 → 00:38:17 เดียวมันก็จะมี extrovert กับอวตนะถ้าผม
00:38:17 → 00:38:20 จะจัดตัวเองเข้าไปผมจะเป็นอเวร์ที่ที่
00:38:20 → 00:38:23 ชาร์จพลังว่าเพิ่มพลังชีวิตด้วยการอยู่คน
00:38:23 → 00:38:25 เดียวถ้าไปอยู่กับคนเยอะๆพลังผมหมดมันก็
00:38:26 → 00:38:29 จะแบ่งออเวร์อีกเพราะว่าอเวร์แบบฉันไม่
00:38:29 → 00:38:32 เอาสังคมเลยอือแต่อินเวิร์ตของอาจารย์เต้
00:38:32 → 00:38:35 คือขอให้เราแบบตั้งหลักนิดนึงสงบสติ
00:38:35 → 00:38:38 อารมณ์นิดนึงแล้วก็ไปเผชิญกับสังคมไงอ่า
00:38:38 → 00:38:41 โอเคใช่ๆผมจะอยู่ประเภทเงี้ยใช่มั้ยก็เก็
00:38:41 → 00:38:44 มีจำกัดเวลาไว้นะอาจารย์เต้ว่าอินเวิร์ต
00:38:44 → 00:38:48 ขอแบบอยู่คนเดียวซัก 20 นาทีอืบางคนทำถึง
00:38:48 → 00:38:51 นะอาจารย์อือๆแต่ความว่า 20 นาทีเนี่ยมัน
00:38:51 → 00:38:55 จะหมกมุ่นคุ่นคิดแต่เรื่องความคิดลบไง
00:38:55 → 00:38:57 เหมือนที่เราคุยกันเมื่อกี้
00:38:57 → 00:39:00 อ๋ออาจารย์ป๊อบบอกว่าถ้าเผื่อใครจะชาร์จ
00:39:00 → 00:39:03 พลังด้วยการอยู่คนเดียวในช่วง 20 นาทีแรก
00:39:03 → 00:39:06 มันอาจจะเป็นช่วงการชาร์จพลังแต่หลังจาก
00:39:06 → 00:39:09 20 นาทีไปแล้วความคิดลบมันอาจจะเริ่มก่อ
00:39:09 → 00:39:12 ตัวแล้วมันอาจจะเริ่มเข้ามาจู่โจมเข้ามา
00:39:12 → 00:39:16 แทรกแซงความคิดของเรานำไปสู่ความเครียดนำ
00:39:16 → 00:39:18 ไปสู่การล้าของสมองแล้วอาจจะนำไปสู่การ
00:39:18 → 00:39:20 เสื่อมของสมองใช่มใช่สมองเสื่อมก่อนวก็
00:39:20 → 00:39:24 คือเรามักจะคิดว่าน้อยใจอะไรเรามักจะคิด
00:39:24 → 00:39:26 ว่าเราไปตำหนิเคเราเพิ่งจะมาคิดได้จะทำไป
00:39:26 → 00:39:29 แล้วอะไรเงี้ยมันจะวนไปวนมาอืเพราะฉะนั้น
00:39:29 → 00:39:32 ถ้าจะชาร์จพลังด้วยกันอยู่คนเดียวก็อย่า
00:39:32 → 00:39:35 ชาร์จเกิน 20 นาทีเนาะหลังจาก 20 นาทีไป
00:39:35 → 00:39:37 แล้วอาจจะไปลองทำอย่างอื่นเข้าสังคมไปทำ
00:39:37 → 00:39:40 เปลี่ยนเปลี่ยนอิริยาบถก็ได้เนาะนะครับ
00:39:40 → 00:39:42 แล้วก็ไปทำอย่างอื่นเพื่อจะป้องกันไม่ให้
00:39:42 → 00:39:44 ความคิดลบน้มันเข้ามาใช่
00:39:44 → 00:39:46 [เพลง]
00:39:46 → 00:39:50 ครับอาจารย์ป๊อบครับเรามาถึงพฤติกรรมที่ 9
00:39:50 → 00:39:52 ที่ทำร้ายสมองของเราล่ะครับมันคือเสียบ
00:39:52 → 00:39:54 ติดความเครียดครับอาจารย์เดี๋ยวมันแปลว่า
00:39:54 → 00:39:57 อะไรเสียบติดความเครียดอาจารย์นึกถึงความ
00:39:57 → 00:39:59 เครียดเนี่ยนะมันจะมีความเครียดที่แบ่ง
00:40:00 → 00:40:04 เป็นบวกและลบแต่เราทำมากเกินไปเนาเช่นเรา
00:40:04 → 00:40:08 ออกกำลังกายหนักจนเกินไปจนไม่หลับไม่นอน
00:40:08 → 00:40:10 อือย่างเงี้ยก็คือถ้าเราตั้งเวลานอนไว้
00:40:10 → 00:40:14 ซึ่งจริงๆเไม่ควรนอนเกิน 23 นหมายถึงเวลา
00:40:14 → 00:40:16 ที่เข้านอนที่ดีใช่เป็นเวลาที่ดีเพราะว่า
00:40:16 → 00:40:20 มันจะมีโกรทฮอร์โมนมาซ่อมแซมเอาโปรตีนมา
00:40:20 → 00:40:22 ซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอนะอาจารย์เนาะบางอิน
00:40:22 → 00:40:24 เราออกกำลังกายจนร่างกายเราปวดเมื่อย
00:40:24 → 00:40:28 เนี่ยอือๆเช้ามาก็ยังปวดเมื่อยอย่างเงี้ย
00:40:28 → 00:40:31 เสพติดทำทุกวันทุกวันการออกกำลังกายนี่ก็
00:40:31 → 00:40:33 อาจจะเป็นตัวอย่างของความเครียดแบบบวกแบบ
00:40:33 → 00:40:36 บวกใช่มั้ยว่าจริงๆแล้วการเสพติดที่ว่า
00:40:36 → 00:40:38 เนี่เราอาจจะรู้สึกว่าเราอยากกระชุ่ม
00:40:38 → 00:40:41 กระชวยทำมันทุกวันทำมันทุกวันจากการออก
00:40:41 → 00:40:44 กำลังกายแต่พอเราออกกำลังกายร่างกายของ
00:40:44 → 00:40:46 เราก็ Alert พอมัน Alert มันก็เลยนอนไม่
00:40:46 → 00:40:49 ได้มันนอนไม่ได้มันก็เลยทำให้เที่ยงขึ้น
00:40:49 → 00:40:51 ก่อแล้ว 1 ก็แล้วก็ยังไม่หลับเพราะร่าง
00:40:51 → 00:40:53 กายยัง Alert อยู่อใช่แล้วก็มันยังมาสงผล
00:40:53 → 00:40:56 ตอนเช้าเพราะว่ามันปวดเมื่อยมันไม่สบาย
00:40:56 → 00:40:59 กายสบายใจอือนี่ตอนนี้ผมกำลังนึกถึงว่า
00:40:59 → 00:41:01 ความเครียดที่มันเกิดจาก Dead ไม่ว่างาน
00:41:02 → 00:41:04 ไหนก็ตามเราก็จะรอถึง Dead แล้วเราก็บอก
00:41:04 → 00:41:07 ว่าเออนี่แหละช่วง Dead มันเครียดเนาะมัน
00:41:07 → 00:41:09 ก็จะคิดงานออกอันนี้ถือว่าเป็นการเสพติด
00:41:09 → 00:41:12 มั้ยเป็นการเสพติดแต่เราเรียกแรงกว่านั้น
00:41:12 → 00:41:16 ว่าเน Dead โอ้โห Deadline ทำให้สมองตาย
00:41:16 → 00:41:20 ก็คือขนาดนั้นแหลใช่ใช่เพราะว่ามันก็
00:41:20 → 00:41:23 คล้ายๆกับเราต้องทำหลายอย่างจะต้องนอน
00:41:23 → 00:41:26 ด้วยจะต้องทำให้เสร็จด้วยและก็เกิดความค
00:41:26 → 00:41:29 เดลบและคิดลบแนแล้วก็นำไปสู่การนอนน้อย
00:41:29 → 00:41:32 โอ้โหมันจะไม่นอนมันจะไม่นอนเราเรียกว่า
00:41:32 → 00:41:34 ไม่นอนหรือว่านอนไม่เต็มอิ่มงานไม่เสร็จ
00:41:34 → 00:41:37 กังวลแล้วมันก็จะแบบเผลอๆนะอาจารย์ฝัน
00:41:37 → 00:41:39 ปริ๊งแว๊บอะไรบางอย่างก็ลุกขึ้นมาเขียน
00:41:39 → 00:41:42 ไอเดียดีๆด้วยหือหรอเคยมั้ยอาจารย์เป็น
00:41:42 → 00:41:46 มั้ยมันมันไม่เสร็จไงแต่มันง่วงและก็นอน
00:41:47 → 00:41:49 นอนก็ไม่หลับหรอกแต่บังเอินไปปิ๊งแว้ไป
00:41:49 → 00:41:52 คิดตอนนอนมันนอนหลับไม่สนิทอครับณตอนนั้น
00:41:52 → 00:41:54 อาจารย์จะทำไงครับลุกขึ้นมาเขียนไว้เลย
00:41:54 → 00:41:57 เดี๋ยวลืมเป็นบางคนที่เขียนได้เออเพราะ
00:41:57 → 00:41:59 เขาก็ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาแต่ถ้าอาจารย์
00:41:59 → 00:42:02 ตื่นขึ้นมาได้ความคิดปิ๊งแวบมากเลยเออและ
00:42:02 → 00:42:05 เผลอๆได้ไอเดียดีๆด้วยออืแต่เราควรจะทำ
00:42:05 → 00:42:09 ตอนกลางวันงีบนอนสัก 15 นาทีถึง 1 ชมง
00:42:09 → 00:42:13 หลังเที่ยงได้อ๋อก็คือการการการนอนกลาง
00:42:13 → 00:42:17 วันอาจจะช่วยได้ใช่มั้แต่ทางที่ดีตอนกลาง
00:42:17 → 00:42:21 คืนเข้านอนก่อน 23:00 นใช่ถ้าเป็นไปได้
00:42:21 → 00:42:24 แล้วก็นอนให้ได้สัก 6-7 ช่ม 8 ช่มเพื่อจะ
00:42:24 → 00:42:27 สมองของเราจะได้แจ่มสเต็มที่สดชื่นครับ
00:42:27 → 00:42:30 แล้วก็ถ้าเป็นไปได้อาจจะมี Power naap
00:42:30 → 00:42:32 เค้าเรียก Power n ใช่มใช่มั้ยครับที่จะ
00:42:32 → 00:42:35 นอนนอนกลางวันสักช่วงนึง 15 นาที 15 นาที
00:42:35 → 00:42:38 ใช่ถ้าถ้ามันยาวเกินไปจะเป็นยได้ไม่เกิน
00:42:38 → 00:42:40 ชั่วโมงไม่เกินชั่วโมงถ้าสักชั่วโมงครึ่ง
00:42:40 → 00:42:44 ถ้าชั่วโมงครึ่งมันคือจะหลับมันไม่หลับหล
00:42:44 → 00:42:46 แล้วเจ้านายของเราคงไม่แฮปปี้เท่าไหร่
00:42:46 → 00:42:49 เค้าคงปลูกไม่
00:42:49 → 00:42:52 [เพลง]
00:42:52 → 00:42:55 ขึ้นตอนนี้เราไล่เรียงมาเรียบร้อยแล้วว่า
00:42:55 → 00:42:58 9 พฤติกรรมทำร้ายสมองแบบไม่รู้ตัวเนี่ย
00:42:58 → 00:43:02 มันมีอะไรบ้างถ้าจะพอสรุปได้มั้ยครับว่า
00:43:02 → 00:43:06 แล้วจะทำอย่างไรที่จะเลิกหรือว่าหยุดทำ
00:43:06 → 00:43:08 ร้ายสมองของเราักทีอันแรกอาหารต้องมี
00:43:08 → 00:43:12 ประโยชน์อใช่อันที่ 2 ก็คือออกกำลังกายนะ
00:43:12 → 00:43:16 อืึให้พอดีครับให้พอดีด้วยให้พอดีอันสุด
00:43:16 → 00:43:20 ท้ายเราเรียกว่าใจจะต้องแบบมีสมาธิอือ่า
00:43:20 → 00:43:23 มีความนิ่งสงบบ้างทำอะไรก็ได้ให้เรารู้
00:43:23 → 00:43:27 สึกคิดน้อยๆอ๋ออืคล้ายกับว่าเราดูแลทั้ง
00:43:27 → 00:43:30 เรื่องของกายของเราดูแลทั้งเรื่องของใจ
00:43:30 → 00:43:33 ของเราใช่มั้ก็คล้ายๆกับ 9 พฤติกรรมที่
00:43:34 → 00:43:37 ว่าที่แบ่งเป็นหมวดกายแล้วก็หมวดใจดูแล
00:43:37 → 00:43:40 เรื่องอาหารให้ดีออกกำลังกายให้เหมาะสม
00:43:40 → 00:43:43 แล้วก็ดูแลเรื่องของจิตใจเรื่องของอารมณ์
00:43:43 → 00:43:46 แล้วอาจารย์ป๊อบจะมีวิธีที่จะช่วยในการ
00:43:46 → 00:43:49 ที่จะดูแลจิตใจของเราอย่างไรในการที่จะทำ
00:43:49 → 00:43:51 ให้อารมณ์ของเราเนี่ยมันไม่เป็นทางที่มัน
00:43:51 → 00:43:54 วิตกกังวลจนเกินไปหรือว่าไม่ให้เครียดจน
00:43:54 → 00:43:57 เกินไปวิธีครับผมชวนอาจารย์เต้ทำเราเรียก
00:43:58 → 00:44:02 ว่าการหายใจแบบ 4 * 4 4 * 4 นี่เป็น
00:44:02 → 00:44:06 การหายใจแบบนักวิ่ง 4x 4 4 * 400 เรา
00:44:06 → 00:44:08 นั่งเฉยๆนี่แหละครับดูนะอาจารย์เราก็จะ
00:44:08 → 00:44:10 เริ่มเอานิ้วชี้เราเนี่ยชี้ไปตรงนี้เฉชี้
00:44:11 → 00:44:13 ทแยงไปคราวนี้เราก็หายใจเข้านะอาจารย์หาย
00:44:13 → 00:44:18 ใจเข้า 1 2 3 4 ต้องขึ้นด้วยนะอาจารย์
00:44:18 → 00:44:20 ต้องขึ้นด้วยนะอาจารย์เหมือนว่าเราวาดรูป
00:44:20 → 00:44:22 สี่เหลี่ยมนะแล้วค้างไว้อาจารย์ค้างไว้
00:44:23 → 00:44:25 ที่ค้างไว้ที่ตัวเลขไหนครับค้างไว้ที่ตรง
00:44:25 → 00:44:29 จุดนี้แล้วก็ขื่อนนิ้วไปทางขวานับหายใจ 1
00:44:29 → 00:44:32 2 3 4 เอาออกนะอาจารย์เอาออกนะหายใจ
00:44:32 → 00:44:38 ออกทางจมูก 1 2 3 4 โอเคเอาล่ะเข้าอีก
00:44:38 → 00:44:45 ทีครับครับ 1 2 3 4 ค้างไว้ 1 2 3 4
00:44:45 → 00:44:53 ออกครับ 1 2 3 4 เข้าอีกที 1 2 3 4
00:44:53 → 00:45:00 ค้างไว้ 1 2 3 4 ออกครับ 1 2 3 4
00:45:00 → 00:45:04 ฟังดูมันก็เหมือนกับว่าเรากำลังจดจ่อไป
00:45:04 → 00:45:07 ที่การนับแล้วก็เป็นการดูลมหายใจไปด้วยใน
00:45:07 → 00:45:09 ตัวอันนี้ผมเข้าใจถูกป่ะเพิ่มออกซิเจนใน
00:45:09 → 00:45:12 สมองเป็นการเพิ่มออกซิเจนในสมองไปในตัว
00:45:12 → 00:45:16 ด้วยรวมถึงเราดึงความคิดของเรามาอยู่ที่
00:45:16 → 00:45:19 การนับแล้วก็การหายใจของเราใช่และออก
00:45:19 → 00:45:22 กำลังกายโดยตั้งใจด้วยจมครับอ๋อก็คือเรา
00:45:22 → 00:45:25 เคลื่อนไหวไปด้วยใช่ต้องทำ 4 รอบให้ได้
00:45:25 → 00:45:27 สี่เหลี่ยมเนี่ย 4 วงเอ้ย 4 รอบอ๋อโอ๊มัน
00:45:28 → 00:45:30 มีมันมีหลายเลข 4 อยู่ในนี้เนาะลหายใจ
00:45:30 → 00:45:33 เข้า 4 เข้า 4 ค้างไว้ 4 แต่เคลื่อนมือไป
00:45:33 → 00:45:37 ด้วยนะครับตรงนี้ท้าทายนิดนึงแล้วก็ออก 4
00:45:37 → 00:45:41 ออก 4 แล้วก็ไปให้ได้อีก 4 รอบครับครับ
00:45:41 → 00:45:46 อ๋อเป็นสี่เหลี่ยมนับ 4 โอเคเข้าใจ้าใจจ
00:45:46 → 00:45:49 ง่ายๆ 4 * 4 เป็นวิธีในการที่จะฝึก
00:45:49 → 00:45:51 เรื่องของการหายใจเพื่อที่จะเพิ่ม
00:45:51 → 00:45:54 ออกซิเจนให้กับสมองเพื่อที่จะดึงความคิด
00:45:54 → 00:45:56 ของเรามาอยู่กับการการนับมาอยู่กับ
00:45:56 → 00:45:59 ปัจจุบันรวมถึงเป็นการที่จะออกกำลังกาย
00:45:59 → 00:46:03 ด้วยที่สำคัญก็คือลดความวิตกกังวลอืในการ
00:46:03 → 00:46:07 ทำพฤติกรรมที่สมองทำไม่รู้ตัวเป็นวิธีที่
00:46:07 → 00:46:09 ง่ายเนาะง่ายมากครับถ้าเผื่อยังไม่สามารถ
00:46:09 → 00:46:12 จะปรับอะไรได้เลยในชีวิตที่มันทำร้ายเรา
00:46:12 → 00:46:15 มา 9 อย่างเนี่ยอาจจะเริ่มจากสิ่งนี้ก่อน
00:46:15 → 00:46:17 เริ่มเลยครับโอเคในช่วงสุดท้ายนะครับผม
00:46:17 → 00:46:20 อยากที่จะชนให้อาจารย์ป๊อบเนี่ยได้บอก
00:46:20 → 00:46:22 เล่าคุณผู้ชมคุณผู้ฟังให้เห็นถึงความ
00:46:22 → 00:46:25 สำคัญของการดูแลสุขภาพสมองของเราครับผม
00:46:26 → 00:46:29 แนะนำว่าจงหยุดทำร้ายสมองเพราะสมองนั้น
00:46:29 → 00:46:32 อายุมันสั้นนะครับครับเห็นเห็นว่าสมอง
00:46:32 → 00:46:35 เนี่ยมันเติบโตเต็มที่ 30 ปีเนี่ยนะครับ
00:46:35 → 00:46:40 แต่จริงๆแล้วเราจะต้องค่อยๆหยุดพฤติกรรม
00:46:40 → 00:46:43 ที่เราไม่รู้ตัวนะครับทั้ง 9 พฤติกรรมและ
00:46:43 → 00:46:48 เราก็ต้องมีสติกับมันใช้สมองอย่างคิดบวก
00:46:48 → 00:46:51 พอคิดบวกสมองจะยืดหยุ่นแล้วทุกปัญหาจะมี
00:46:51 → 00:46:53 ทางออกครับทุกๆครั้งที่อาจารย์ป๊อบมาคุย
00:46:53 → 00:46:56 กับเรานะครับผมคิดว่าสนุกไม่ใช่สนุกสนุก
00:46:56 → 00:46:58 แค่ผมแต่ว่าสนุกไปถึงคุณผู้ชมด้วยวันนี้
00:46:58 → 00:47:00 ผมขอขอบคุณอาจารย์ป๊อบอย่างมากนะครับที่
00:47:00 → 00:47:02 มาพูดคุยกับเราอาจารย์ป๊อบผู้ช่วย
00:47:02 → 00:47:04 ศาสตราจารย์ดรนักกิจกรรมบำบัดศุภลักษ์
00:47:04 → 00:47:07 เข็มทองอาจารย์นักกิจกรรมบำบัติจิตสังคม
00:47:07 → 00:47:09 คณะกายภาพบำบัติมหาวิทยาลัยมดอยครับ
00:47:09 → 00:47:12 ขอบคุณมากครับโอกาสมามาคุยกันอีกนะยินดี
00:47:12 → 00:47:15 ครับผมคุณผู้ชมครับแล้วกลับมาพบกับ wellbe
00:47:15 → 00:47:18 สุขภาพดีชีวิตดีสร้างได้ได้ทางทุกช่องทาง
00:47:19 → 00:47:21 ของมหิดล Channel ในคราวหน้าเราจะมาพูด
00:47:21 → 00:47:24 คุยกันเรื่องอะไรนั้นต้องติดตามนะครับใน
00:47:24 → 00:47:26 วันนี้ผมอาจารย์เต้บเปลื้องและอาจารย์
00:47:26 → 00:47:31 ป๊อบสวัสดีครับผมสวัสดี
00:47:31 → 00:47:34 ครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังครับประเทศไทยติด
00:47:34 → 00:47:37 อันดับโลกอีกแล้วครับแต่อันดับโลกคราวนี้
00:47:37 → 00:47:39 เราคงจะไม่น่าจะดีใจสักเท่าไหร่เพราะว่า
00:47:39 → 00:47:43 เราติดอันดับโลก 1 ใน 5 ของประเทศที่มีคน
00:47:43 → 00:47:46 เป็นโรคไตมากที่สุดคุณผู้ชมก็คงจะนึกออก
00:47:46 → 00:47:49 ว่าอาหารที่อร่อยนะมักจะไม่ค่อยดีต่อ
00:47:49 → 00:47:52 สุขภาพเท่าไหร่แต่ก็อยากจะยังนึกไม่ออกนะ
00:47:52 → 00:47:54 ฮะว่าอาหารหรือพฤติกรรมการกินเนี่ยมันจะ
00:47:54 → 00:47:57 นำไปสู่โรคไตได้อย่างไรวันนี้หัวข้อที่
00:47:57 → 00:48:00 เราจะมาพูดคุยกันก็คืออาหารบำรุงไตกิน
00:48:00 → 00:48:05 อย่างไรให้ไตไม่พังกับคุณ x ดรวนพรทองโฉม
00:48:05 → 00:48:08 นักวิชาการโภชนาการงานสร้างเสริมสุขภาพ
00:48:08 → 00:48:11 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
00:48:11 → 00:48:14 มหาวิทยาลัยมหิดลในหัวข้อสำคัญครับอาหาร
00:48:14 → 00:48:17 บำรุงไตกินอย่างไรให้ไตไม่พังครับคุณเอก
00:48:17 → 00:48:20 ครับสวัสดีครับสวัสดีค่ะเรื่องของโรคไต
00:48:20 → 00:48:23 ครับอะไรที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด
00:48:23 → 00:48:27 โรคไตอประเทไทเนี่ยทำไมถึงได้ติด 1 ใน 5
00:48:27 → 00:48:30 อืก่อนที่จะไปถึงสาเหตุอาจจะต้องมาบอกว่า
00:48:30 → 00:48:32 ติดอันดับโลกใช่มั้ยคะต้องมาดูก่อนว่าณ
00:48:32 → 00:48:35 ปัจจุบันเนี่ยคนไทยเนี่ยเป็นโรคไตมากน้อย
00:48:35 → 00:48:38 แค่ไหนนะคะถ้าในปัจจุบันเนี่ยเมื่อเทียบ
00:48:38 → 00:48:41 กับประชากรแล้วเนี่ยมีร้อยละ 17.6 ที่
00:48:41 → 00:48:44 เป็นโรคไตซึ่งถ้าตีเป็นตัวเลขเนี่ย
00:48:44 → 00:48:47 ประชากร 8 ล้านคนที่เป็นโรคไตนะคะแล้วก็
00:48:47 → 00:48:50 เข้าสู่ระยะไตสุดท้ายเนี่ยถึง 2,000 คน
00:48:50 → 00:48:53 เลยมีผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีเนี่ย
00:48:53 → 00:48:56 อย่างน้อยเนี่ย 7,800 คนคต่อปีซึ่งแสดง
00:48:56 → 00:48:59 ว่าโหมันเยอะมากนะคะแน่นอนเลยว่าในเรื่อง
00:48:59 → 00:49:02 ของพฤติกรรมของเราเนี่ยพฤติกรรมที่มันเรา
00:49:02 → 00:49:04 จะต้องผูกติดทุกวันคือพฤติกรรมการกิน
00:49:04 → 00:49:06 เนี่ยของเราเนี่ยมันผูกติดกับรสชาติที่
00:49:06 → 00:49:09 มันแน่นอนว่ารสชาติอร่อยก็มักจะผูกติดกับ
00:49:09 → 00:49:12 ความเค็มนะคะความเค็มก็อาจจะเป็นปัจจัย
00:49:12 → 00:49:15 นึงนะคะที่อ่าเป็นทำให้ไตเราเสื่อมเร็ว
00:49:15 → 00:49:18 ขึ้นนะคะโรคไตหรือว่าอาการเสื่อมของไต
00:49:18 → 00:49:20 เนี่ยครับมันจะมีผลยังไงต่อสุขภาพของเรา
00:49:20 → 00:49:23 อืค่ะจริงๆไตของเราเนี่ยต้องบอกว่ามันจะ
00:49:23 → 00:49:25 มีผลอย่างไรก็ต้องรู้ก่อนว่าไตของเรามี
00:49:26 → 00:49:28 หน้าที่อะไรบ้างนะคะหน้าที่ไตของเราเนี่ย
00:49:28 → 00:49:31 แบ่งเป็นหน้าที่ 3 หน้าที่หลักๆเลยอันแรก
00:49:31 → 00:49:34 เลยคือจะกำจัดของเสียแล้วก็ในเรื่องของ
00:49:34 → 00:49:36 ควบคุมในเรื่องสมดุลน้ำนะคะหน้าที่ที่ 2
00:49:36 → 00:49:40 ก็คือรักษาสมดุลพวกเกลือแร่ต่างๆสมดุลกรด
00:49:40 → 00:49:42 ด่างต่างๆในร่างกายและหน้าที่ที่ 3 ก็
00:49:42 → 00:49:45 เป็นหน้าที่ที่สำคัญมากเลยไตของเราเนี่ย
00:49:45 → 00:49:47 จะมีหน้าที่ในการสร้างสารที่ช่วยในการควบ
00:49:47 → 00:49:51 คุมส่วนต่างๆที่สำคัญคืออันแรกเลยสารพวก
00:49:51 → 00:49:53 ฮอร์โมนเลนินนะคะที่ควบคุมในเรื่องของ
00:49:53 → 00:49:56 ความดันนะคะจะเห็นว่าในคนที่เป็นโรคไตก็
00:49:56 → 00:49:59 จะความดันโลหิตสูงนะคะอันที่ 2 คืออ่า
00:49:59 → 00:50:00 ฮอร์โมน
00:50:00 → 00:50:04 อิพิที่กระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือด
00:50:04 → 00:50:06 แดงดังนั้นคนเป็นโรคไตก็อาจจะมีภาวโลหิต
00:50:06 → 00:50:08 จางได้นะคะหรือไตเสื่อมก็เริ่มมีภาวะ
00:50:08 → 00:50:12 โลหิตจางได้อันที่ 3 คือไตทำหน้าที่
00:50:12 → 00:50:14 เปลี่ยนวิตามินดีให้อยู่ในรูป Active ร์ม
00:50:14 → 00:50:17 ทำให้ช่วยในการรักษาสมดุนพวกแคลเซียมอ่า
00:50:17 → 00:50:20 ฟอสฟอรัสที่เกี่ยวข้องกับเ่อมวลกระดูกได้
00:50:20 → 00:50:23 ดังนั้นเนี่ยเมื่อไตเสื่อมเนี่ยสิ่งที่จะ
00:50:23 → 00:50:25 สังเกตได้เลยจากหน้าที่ 3 หน้าที่ที่หลัก
00:50:25 → 00:50:28 ๆคือเขาจะมีอาการบวมเกิดขึ้นนะคะไม่ว่าจะ
00:50:28 → 00:50:32 บวมตามเอ่อขาก็ได้นะคะหรือเปลือกปาก็ได้
00:50:32 → 00:50:35 ที่เราสังเกตชาๆคือบวมที่ขาหรือตามตัวนะ
00:50:35 → 00:50:37 คะอันที่ 2 เความดันความดันเขาก็จะสูง
00:50:37 → 00:50:40 ขึ้นนะคะอาจจะพบภาวะความเอ่อในเรื่องของ
00:50:40 → 00:50:43 โลหิตจางได้นะคะกระดูกมวลกระดูกเนี่ยก็จะ
00:50:43 → 00:50:46 เ่าน้อยลงนะคะเพราะว่าในเรื่องของบทบาท
00:50:46 → 00:50:49 หน้าที่ของตัวไตเนี่ยทำงานได้แย่ลงรวมถึง
00:50:49 → 00:50:51 ของเสียเนี่ยถ้าเจาะเลือดก็พบว่าของเสีย
00:50:51 → 00:50:53 ที่มันอาจจะข้างอยู่ในเลือดที่สูงกว่า
00:50:53 → 00:50:57 ปกติไม่ว่าจะเป็นค่าบี้ Un เตินหรือว่า
00:50:57 → 00:51:00 พวกยูริคแอซิดต่างๆหรือแร่ธาตุต่างๆที่
00:51:00 → 00:51:03 อาจจะสูงขึ้นได้ค่ะโอ้โหพอพูดถึงโรคไตผม
00:51:03 → 00:51:05 ก็มักจะได้ยินบ่อยๆว่าเฮ้ยอย่ากินเค็มดิ
00:51:05 → 00:51:08 กินเค็มแล้วมันจะทำให้เป็นโรคไตอย่างงี้
00:51:08 → 00:51:11 แสดงว่ากินเค็มทำให้เป็นโรคไตเลยหรือ
00:51:11 → 00:51:14 เปล่ากิ่นเค็มก็เป็นส่วนหนึ่งนะคะก็อาจจะ
00:51:14 → 00:51:16 เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มีไตเสื่อมเร็วขึ้น
00:51:16 → 00:51:19 นะคะแต่อาจจะมีประเด็นอื่นๆนะคะที่เป็น
00:51:19 → 00:51:21 องค์ประกอบของอาหารที่ทำให้เราไตเรา
00:51:21 → 00:51:23 เสื่อมเร็วขึ้นอย่างเช่นเราอาจจะเป็นเบา
00:51:23 → 00:51:26 หวานก็จะเร่งทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นหรือ
00:51:26 → 00:51:29 ว่าคนที่กินเ่ออาหารมากเกินไปภาวะอ้วนนะ
00:51:29 → 00:51:32 คะไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรตไขมันนะคะพวก
00:51:32 → 00:51:34 นี้ก็ทำให้เป็นเร่งไตเสื่อมเร็วขึ้นแต่
00:51:34 → 00:51:37 ถ้าจะมาโฟกัสที่ประเด็นว่ากินเค็มทำให้ไต
00:51:37 → 00:51:40 เสื่อมเร็วขึ้นมยก็ใช่นะคะเพราะว่าอะไร
00:51:40 → 00:51:43 เพราะว่าการกินเค็มเนี่ยก็จะมีเค็มเนี่ย
00:51:43 → 00:51:46 จะผูกติดคำว่าโซเดียมเหมือนกันนะคะและธาุ
00:51:46 → 00:51:49 โซเดียมเนี่ยเขามีบทบาทในการรักษาสมดุล
00:51:49 → 00:51:51 น้ำภายในหลอดเลือดระบบหมุนเวียนของเรานะ
00:51:51 → 00:51:54 คะดังนั้นเนี่ยเมื่อเรากินเค็มเข้าไปไตทำ
00:51:54 → 00:51:57 หน้าที่รักษะสมดุลพวกโซเดียมและน้ำทำให้
00:51:57 → 00:52:00 ไตทำงานหนักมากขึ้นดังนั้นถ้าเกิดไตมัน
00:52:00 → 00:52:04 กำจัดได้ไม่หมดเนี่ยทำให้มีของเหลวข้างไป
00:52:04 → 00:52:06 ในร่างกายมากก็เกิดความดันโลหิตสูงก็จะ
00:52:06 → 00:52:09 เร่งทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นดังนั้นมัน
00:52:09 → 00:52:11 เหมือนเป็นวงจรที่วนกันไปวนกันมาสุดท้าย
00:52:11 → 00:52:14 ก็ไตเสื่อมจากการกินเค็มแต่ก็จะไม่ใช่
00:52:14 → 00:52:16 ประเด็นเดียวที่ทำให้ไตเสื่อมถ้างั้นเรา
00:52:16 → 00:52:19 ลองโฟกัสที่เรื่องของของความเค็มหรือว่า
00:52:19 → 00:52:22 โซเดียมกันก่อนโซเดียมที่แนะนำในแต่ละวัน
00:52:22 → 00:52:25 นี่ประมาณสักเท่าไหร่นะครับค่ะถ้าโซเดียม
00:52:25 → 00:52:28 ที่เราแนะนำในแต่ละวันเนี่ยถ้าเป็นตัวเลข
00:52:28 → 00:52:30 ที่ตามคำแนะนำเลยเพื่อสุขภาพคือไม่ควร
00:52:30 → 00:52:32 เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวันนะคะคำว่า
00:52:32 → 00:52:35 มิลลิกรัมต่อวันเนาะมันก็ตีไม่ออกนะว่า
00:52:35 → 00:52:38 แต่ละอาหารแต่ละอย่างเนี่ยมันมีมากน้อย
00:52:38 → 00:52:41 แค่ไหนนะคะอาจจะต้องบอกเลยว่าอาหารที่
00:52:41 → 00:52:43 เป็นแหล่งโซเดียมเยอะๆมันอยู่ในกลุ่มไหน
00:52:43 → 00:52:46 ก่อนนะคะอันแรกเลยในกลุ่มพวกอาหารแปรรูป
00:52:46 → 00:52:50 ต่างๆอาหารกึ่งสำเร็จรูปอาหารหมักดองนะคะ
00:52:50 → 00:52:52 อาหารแปรรูปถ้าให้นึกง่ายๆคือพวกเนื้อ
00:52:52 → 00:52:55 สัตว์แปรรูปต่างๆนะคะอย่างเช่นอ่าไส้กรอ
00:52:55 → 00:52:58 หมูยอนะคะโดยปกติเนื้อสัตว์ 30 กรัมเนี่ย
00:52:58 → 00:53:00 จะมีปริมาณโซเดียมแค่ประมาณ 30 มิลกรัม
00:53:00 → 00:53:03 เองแต่พอเราไปแปรรูปปุ๊บเนี่ยน้ำหนักที่
00:53:03 → 00:53:05 เท่ากันมีปริมาณโซเดียมเพิ่มขึ้นถึง 10
00:53:06 → 00:53:08 เท่าเป็น 300 มิลกรัมรวมถึงในกลุ่ม
00:53:08 → 00:53:11 เครื่องปรุงต่างๆนะคะเครื่องปรุงไม่ว่าจะ
00:53:11 → 00:53:15 เป็นซอสเอ่อซอสปรุงรสน้ำปลาผงชูรสนะคะ
00:53:15 → 00:53:18 หรือผงปรุงรสต่างๆรวมถึงพวกเครื่องจิ้ม
00:53:18 → 00:53:21 ต่างๆที่เราอาจจะนึกไม่ถึงอย่างเช่นพวก
00:53:21 → 00:53:24 น้ำจิ้มไก่ซอสมะเขือเทศน้ำจิ้มซุกกี้น้ำ
00:53:24 → 00:53:27 จิ้มอ้าอ่าใช่แล้วก็น้ำปลาร้าที่เป็น
00:53:27 → 00:53:29 เครื่องปรุงรสต่างๆพวกกลุ่มเก็จะเป็น
00:53:29 → 00:53:31 กลุ่มที่เป็นแหล่งโซเดียมที่เราก็รู้แต่
00:53:31 → 00:53:33 มันผูกติดกับความอร่อยเนาะเพราะฉะนั้นเรา
00:53:33 → 00:53:36 รู้เนี่ยเราอาจจะต้องมีเ่อความระมัดระวัง
00:53:36 → 00:53:39 ในการกินนะคะรวมถึงโซเดียมที่อาจจะรสชาติ
00:53:39 → 00:53:42 ไม่เค็มแโซเดียมพวกเจะอยู่ในพวกโซเดียม
00:53:42 → 00:53:45 ไบคาร์บอเนตที่เป็นอ่าผงฟูอืดังนั้นเนี่ย
00:53:45 → 00:53:49 พวกสาลับเเาพวกเค้กพวกขนมปังอะไรที่มัน
00:53:49 → 00:53:51 ขึ้นฟูเนี่ยพวกนี้ต้องระมัดระวังด้วย
00:53:52 → 00:53:53 เพราะว่าเราจะไม่ได้รับสัมผัสของความเค็ม
00:53:54 → 00:53:57 แต่มันมีโซเดียมในนั้นอครวมถึงพวกอ่า
00:53:57 → 00:54:00 อาหารที่บรรจุกล่องพวกอย่างน้ำผลไม้หรือ
00:54:00 → 00:54:02 ว่าอาหารกระป๋องพวกนี้จะมีโซเดียมกลุ่ม
00:54:02 → 00:54:05 ที่มันใช้ในการเเรียกว่าเป็น preservative
00:54:05 → 00:54:07 ยื่นในยุคการเก็บรักษาอาหารซึ่งตรงนี้
00:54:07 → 00:54:10 เนี่ยก็จะเป็นแหล่งโซเดียมที่ถ้ารู้ไว้
00:54:10 → 00:54:12 ว่ามันอยู่ในไหนเนี่ยมันจะทำให้เรามีการ
00:54:12 → 00:54:15 หลีกเลี่ยงได้ดีนะคะโดยหลักการง่ายๆเมื่อ
00:54:15 → 00:54:18 เรามีโควต้า 2,000 มิลลิกรัมต่อวันเราก็
00:54:18 → 00:54:20 หารด้วยมื้อหลักของเรา 3 มื้อใช่มั้ยคะ
00:54:20 → 00:54:22 เพราะฉะนั้นเนี่ยมันก็จะตบมือแล้วประมาณ
00:54:22 → 00:54:25 600 มิลกรัมนิดๆนะคะซึตรงนี้เนี่ย 600
00:54:25 → 00:54:27 มิลกรัมเนี่ยถ้าเราตีเป็นเรื่องของ
00:54:27 → 00:54:30 เครื่องปรุงเนี่ยต่อ 1 มื้อเนี่ยควรจะ
00:54:30 → 00:54:33 เท่าไหร่นะคะต่อ 1 มื้อเนี่ยถ้าพวกน้ำปลา
00:54:33 → 00:54:36 ซอสปุ้งรสต่างๆ 1 ช้อนชาประมาณ 400 มกร
00:54:36 → 00:54:38 หรือว่าเราอาจจะใช้ 1 ช้อนชาแล้วบวกกับ
00:54:38 → 00:54:41 พวกเครื่องจิ้มต่างๆพวกซอสคะหรือว่าน้ำ
00:54:41 → 00:54:44 จิ้มไก่น้ำจิ้มบ๊วยต่างๆ 1 ช้อนโต๊ะเนี่ย
00:54:44 → 00:54:47 จะมีปริมาณโซเดียมประมาณ 200 มิลกรัมก็
00:54:47 → 00:54:50 อาจจะเป็นการปรุงรสด้วยอ่าเครื่องปรุงรส
00:54:50 → 00:54:53 พวกน้ำปลาหรือซอสประมาณ 1 ช้อนชาแล้วก็
00:54:53 → 00:54:55 เผื่อไว้สำหรับเครื่องจิ้มต่างต่างๆในมือ
00:54:56 → 00:54:58 นั้นสัก 1 ช้อนโต๊ะได้นะคะซึ่งตรงนี้
00:54:58 → 00:55:00 เนี่ยก็พอบวกกันแล้วเนี่ยก็จะได้ประมาณ
00:55:00 → 00:55:03 600 มิลกรัมก็จะเป็นตัวเลขง่ายๆดังนั้น
00:55:03 → 00:55:05 เนี่ยเราจะมีวิธีการอย่างไรทำให้เรารับ
00:55:05 → 00:55:08 ประทานโซเดียมให้อยู่ในขอบเขตที่เราบอกนะ
00:55:08 → 00:55:12 คะอันแรกเลยต้องเอาพฤติกรรมว่าต้องชิม
00:55:12 → 00:55:15 ก่อนปรุงเนาะไม่ใช่ปรุงก่อนชิมนะคะคือถ้า
00:55:15 → 00:55:18 เราปรุงก่อนชิมเนี่ยบางทีเนี่ยอาหารณ
00:55:18 → 00:55:20 ปัจจุบันเขาทำมาแบบปรุงรสชาติที่มันอร่อย
00:55:20 → 00:55:22 อยู่แล้วชิมก่อนเเราจะได้รู้ความพอดีเรา
00:55:23 → 00:55:25 จะได้ไม่เติมเพิ่มนะคะอันที่ที่ 2 ก็คือ
00:55:25 → 00:55:27 ในเรื่องของการอ่านฉลากโภชนาการเนาะแล้ว
00:55:27 → 00:55:30 ปัจจุบันเนี่ยของที่เขาบรรจุขายมักจะมี
00:55:30 → 00:55:33 ฉลากโภชนาการช่วยเราอยู่แล้วนะคะใน 1
00:55:33 → 00:55:35 หน่วยบริโภคเนี่ยถ้าเกิดเราจะควบคุม
00:55:35 → 00:55:37 ปริมาณโซเดียมเนี่ยก็คือไม่ควรมีปริมาณ
00:55:37 → 00:55:39 โซเดียมต่อ 1 หน่วยบริโภคเกิน 140
00:55:39 → 00:55:41 มิลกรัมอือซึ่งตรงนี้จะช่วยทำให้เราเลือก
00:55:41 → 00:55:44 ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีโซเดียมมากเกินไปนะคะ
00:55:44 → 00:55:46 แล้วก็ในเรื่องของโซเดียมมักจะอยู่ในพวก
00:55:46 → 00:55:49 น้ำซุปน้ำผัดเราอาจจะมีเทคนิคนึงในการกิน
00:55:49 → 00:55:52 อาหารที่มันจะมีน้ำเยอะๆเนี่ยอาจจะใช้พวก
00:55:52 → 00:55:55 ตะเกียบพวกซ่อมเข้ามาช่วยแทนการใช้ช้อนก็
00:55:55 → 00:55:57 จะช่วยลดปริมาณโซเดียมได้นะคะแล้วก็ถ้า
00:55:57 → 00:55:59 มื้อไหนเรามีการเลือกอาหารที่เป็นแหล่ง
00:55:59 → 00:56:01 โซเดียมสูงอย่างเช่นมื้อนี้เรากินบะหมิก
00:56:01 → 00:56:03 กึ่งสำเร็จรูปแล้วเนี่ยเรารู้อยู่แล้วว่า
00:56:03 → 00:56:05 บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเนี่ยมันจะมีโซเดียม
00:56:05 → 00:56:08 ประมาณ 1,500 มิลิกรัมซึ่งเกือบจะเอา
00:56:08 → 00:56:10 โคต้าทั้งวันเราไปแล้วแต่ว่ามื้ออื่นๆเรา
00:56:10 → 00:56:13 ก็ยังต้องกินอาหารที่มันพอมีรสชาติบ้าง
00:56:13 → 00:56:14 แต่ให้หลีกเลี่ยงอาหารที่มันต้องมี
00:56:14 → 00:56:17 เครื่องจิ้มหรือมีอะไรที่มันเป็นแปรรูปนะ
00:56:17 → 00:56:19 คะซึ่งตรงนี้ก็เป็นการรักสาวสมดุลอาหาร
00:56:19 → 00:56:22 ทั้งวันไม่ให้โซเดียมมากเกินไปค่ะอือที
00:56:22 → 00:56:24 นี้นอกจากโซเดียมหรือว่าอาหารที่มีรสเค็ม
00:56:24 → 00:56:27 แล้วมีอะไรที่อาจจะเป็นสาเหตุที่นำไปสู่
00:56:27 → 00:56:29 อาการไตเสื่อมหรือว่าโรคไตได้อีกมยครับ
00:56:29 → 00:56:33 ค่ะอีกประเด็นหนึงที่เป็นร้อยละ 40% เลย
00:56:33 → 00:56:36 ของการเป็นโรคไตหรือไตเสื่อมเนี่ยเกิดจาก
00:56:36 → 00:56:39 การเป็นเบาหวานนะคะอครับการเป็นเบาหวาน
00:56:39 → 00:56:41 เนี่ยจะทำให้ไตเราเสื่อมเร็วขึ้นอย่างไร
00:56:41 → 00:56:43 นะคะเพราะว่าการเป็นบาหวานนั้นแสดงว่า
00:56:43 → 00:56:45 ร่างกายเนี่ยเรามีน้ำตาลในเลือดสูงซึ่ง
00:56:45 → 00:56:47 น้ำตาลในเลือดสูงเนี่ยมันจะทำลายหลอด
00:56:47 → 00:56:49 เลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายรวม
00:56:50 → 00:56:52 ถึงหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตด้วยซึ่งตรงนี้
00:56:52 → 00:56:55 เนี่ยไตทำงานได้แย่ลงรวมถึงการเป็นเบา
00:56:55 → 00:56:59 หวานเนี่ยเขาจะมีภาวะที่ทำให้เ่อทำลาย
00:56:59 → 00:57:02 เส้นปสาทซึ่งเส้นปสาทในส่วนที่อาจจะ
00:57:02 → 00:57:05 เลี้ยงกระเพาะปัสสาวะเนี่ยถูกทำลายไปทำ
00:57:05 → 00:57:08 ให้การปัสสาวะของเขาเนี่ยปัสสาวะได้ไม่
00:57:08 → 00:57:11 สุดกระเพาะปัสสาวะเนี่ยเ่อมีน้ำปัสสาวะ
00:57:11 → 00:57:14 ค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะมากซึ่งตรงนี้ทำ
00:57:14 → 00:57:16 ให้การเกิดการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ
00:57:16 → 00:57:19 และกรวยไตซึ่งก็จะนำมาซึ่งปัญหาในเรื่อง
00:57:19 → 00:57:23 ของอ่าไตเสื่อมได้แล้วก็อีกประการนึงอาจ
00:57:23 → 00:57:26 จะเคยได้ยินว่าอ้วนกบถมไตเพราะว่าเวลาเรา
00:57:26 → 00:57:29 มีน้ำหนักที่เกินเนี่ยมันจะไปกดในเรื่อง
00:57:29 → 00:57:32 ของหลอดเลือดที่ไปเลียงไตทำให้ในเรื่อง
00:57:32 → 00:57:35 ของความดันโลหิตก็จะสูงขึ้นมีโปรตีนรั่ว
00:57:35 → 00:57:38 ได้ซึ่งตรรงนี้ก็ทำให้เกิดไตเสื่อมได้ดัง
00:57:38 → 00:57:41 นั้นเนี่ยการกินอาหารที่พลังงานมากเกินไป
00:57:41 → 00:57:44 ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดไตเสื่อม
00:57:44 → 00:57:46 ได้งั้นก็มาเข้าเรื่องของเราเลยก็คือ
00:57:46 → 00:57:50 อาหารบำรุงไตแล้วเราจะเลือกกินยังไงให้
00:57:50 → 00:57:52 ให้ไตของเราเนี่ยไม่พังซึ่งแบบแผนอาหาร
00:57:52 → 00:57:55 ที่มีการพูดถึงว่าจะช่วยชะลอไตเสื่อมได้
00:57:55 → 00:57:57 ก็คือแบบแผ่นที่เราอาจจะเคยได้ยินคือ das
00:57:57 → 00:58:01 Diet อ่า das Diet คือแบบแผนอาหารเพื่อ
00:58:01 → 00:58:04 ลดความดันโลหิตนะคะเพราะว่าความดาโลหิต
00:58:04 → 00:58:06 สูงเป็นปัจจัยนึงเป็นปัจจัยสำคัญเลยแหละ 2
00:58:06 → 00:58:09 สาเหตุหลักๆทำให้ไตเสื่อมนะคะหรือว่า
00:58:09 → 00:58:12 meditan Diet ที่เราพูดถึงบ่อยๆที่เ
00:58:12 → 00:58:14 ช่วยดูแลทั้งหัวใจหรือเป็นอาหารสุขภาพ
00:58:14 → 00:58:17 ต่างๆซึ่งแบบแผนเนี่ยถ้าเรามาถอดว่ามันมี
00:58:17 → 00:58:19 รายละเอียดอย่างไรบ้าง das di กับเ่อ
00:58:19 → 00:58:22 meditan Diet มันมีจุดร่วมกันคือเขาจะ
00:58:22 → 00:58:26 เน้นอะไรที่มีเป็นพืชผักยอาหารเยอะๆนะคะ
00:58:26 → 00:58:29 ดังนั้นในกลุ่มของข้าวแป้งนะคะเขาคก็จะ
00:58:29 → 00:58:33 เน้นที่มันมียอาหารเยอะๆหน่อยนะคะแล้วก็
00:58:33 → 00:58:36 อ่าพืชผักต่างๆเนี่ยก็เน้นว่าให้กินได้
00:58:36 → 00:58:39 ทุกมื้อนะคะผักเนี่ยถ้าตามคำแนะนำเนี่ย
00:58:39 → 00:58:42 ต่อ 1 มื้อให้ได้สัก 2 ทับพีนะคะเพื่อให้
00:58:42 → 00:58:44 ได้รับพวกแยอาหารที่เพียงพอส่วนกลุ่ม
00:58:44 → 00:58:47 โปรตีนล่ะเขาก็จะเน้นว่าควรจะเป็นโปรตีน
00:58:47 → 00:58:51 ที่ไม่ติดหนังติดมันเป็นโปรตีนที่อ่ามีไข
00:58:51 → 00:58:54 มันอิ่มตัวน้อยอย่างเช่นพวกปลาต่างๆหรือ
00:58:54 → 00:58:57 อาหารอาหารทะเลนะคะโปรตีนจากพืชเนี่ยส่วน
00:58:57 → 00:58:59 ใหญ่ที่ที่แนะนำก็จะเป็นโปรตีนจากถั่ว
00:58:59 → 00:59:02 เหลืองเพราะว่าจะมีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบ
00:59:02 → 00:59:04 ถ้วนคล้ายๆใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์นะคะ
00:59:04 → 00:59:07 ซึ่งตรงนี้เนี่ยเราก็จะมีคำแนะนำเพิ่ม
00:59:07 → 00:59:09 เติมนิดนึงว่าจะมีรายละเอียดของข้อมูลการ
00:59:09 → 00:59:11 ศึกษาวิจัยว่าถ้าเราเลือกโปรตีนจากพืช
00:59:11 → 00:59:13 เนี่ยเมื่อเปรียบเทียบกลุ่มที่กินโปรตีน
00:59:13 → 00:59:15 จากพืชน้อยกับกลุ่มที่กินโปรตีนจากากพืช
00:59:15 → 00:59:18 มากเนี่ยกลุ่มที่กินโปรตีนจากพืชมากอย่าง
00:59:18 → 00:59:20 เช่นพวกต้องหู้ต่างๆเนี่ยจะมีความเสื่อม
00:59:20 → 00:59:24 ของไตน้อยกว่านะคะหรือว่าอาจะเป็นพวก
00:59:24 → 00:59:26 เดี๋ยวนี้มี Plant Bas Meat ค่อนข้าง
00:59:26 → 00:59:28 เยอะนะคะแต่ว่า Plant Bas Meat อาจต้อง
00:59:28 → 00:59:30 ระมัดระวังว่าต้องเลือกที่มันมีโซเดียม
00:59:30 → 00:59:32 ไม่เยอะเพราะว่า Plant Bas Meat หรือ
00:59:32 → 00:59:35 ว่าเนื้อจากพืชเนี่ยมักจะมีข้อจำกัดใน
00:59:35 → 00:59:37 เรื่องปริมาณโซเดียมอาจจะสูงต้องเลือกให้
00:59:37 → 00:59:40 มันมีปริมาณโซเดียมไม่สูงด้วยค่ะพอพูดถึง
00:59:40 → 00:59:43 แหล่งโปรตีนอีกชนิดนึงที่ผมนึกออกก็คือจะ
00:59:43 → 00:59:47 เป็นนมนมนี่ยังแนะนำได้มั้ยครับอค่ะ
00:59:47 → 00:59:49 สำหรับนมเนี่ยก็เป็นอีกตัวนึงที่เป็นแบบ
00:59:49 → 00:59:51 แผ่นอาหารของ das Diet เหมือนกันเพราะ
00:59:51 → 00:59:53 ว่าการได้รับแคลเซียมที่เพียงพอก็จะช่วย
00:59:53 → 00:59:56 ควบคุมในเร่เรื่องของความดันเราได้แต่นม
00:59:56 → 00:59:59 ที่ได้รับการเอ่อมีข้อมูลการศึกษาวิจัย
00:59:59 → 01:00:02 ว่ามีผลในการช่วยชะลอตายเนี่ยคือเป็นนม
01:00:02 → 01:00:05 ที่เป็นนมที่พร่องมันเนยหรือเป็น 0%
01:00:05 → 01:00:07 เพราะว่ามันจะช่วยกำจัดในพวกไขมันอิ่มตัว
01:00:07 → 01:00:09 ได้นะคะดังนั้นเนี่ยตัวนมเป็นแหล่ง
01:00:09 → 01:00:11 แคลเซียมที่ดีแต่แนะนำให้เป็นนมจืดและ
01:00:12 → 01:00:14 เป็นนร่องมันเนยหรือขาดมันเนยก็จะดีต่อ
01:00:14 → 01:00:17 สุขภาพของไตเราด้วยค่ะรวมถึงในกลุ่มของไข
01:00:17 → 01:00:19 มันก็แนะนำให้เลือกไขมันที่ดีนะคะอาจจะ
01:00:19 → 01:00:22 เป็นน้ำมันรำค่าน้ำมันมะกอกนะคะหรือว่าไข
01:00:22 → 01:00:25 มันจากปลาพวกโอเมก้า 3 ว่าจะปลาแซลมอนปลา
01:00:25 → 01:00:28 ทูน่านะคะหรือว่าพอพูดแบบนี้มันดูไกลตัว
01:00:28 → 01:00:32 มากอาจจะเป็นปลาไทยๆปลาจาระเม็ดปลากระพง
01:00:32 → 01:00:35 นะคะปลาทูก็ได้นะคะซึ่งตรงนี้ก็จะช่วยทำ
01:00:35 → 01:00:37 ให้ชะลอตายเสื่อมได้และอีกประการหนึใน
01:00:37 → 01:00:40 เรื่องของการดื่มน้ำนะคะเพราะการดื่มน้ำ
01:00:40 → 01:00:42 เนี่ยเป็นประเด็นที่สำคัญเลยนะคะเพราะว่า
01:00:43 → 01:00:45 การที่ขาดน้ำเนี่ยไตก็จะยิ่งทำงานหนักมาก
01:00:45 → 01:00:48 ขึ้นเพราะไตจะต้องมีการขับไถยของเสียผ่าน
01:00:48 → 01:00:50 การขับปัสสาวะต่างๆดังนั้นเนี่ยน้ำเนี่ย
01:00:50 → 01:00:53 ต้องกินให้เพียงพอนะคะถ้าเราขาดน้ำเนี่ย
01:00:53 → 01:00:55 ตายเนี่ยยิ่งแย่ดังนั้นเนี่ยความเพียงพอ
01:00:55 → 01:00:58 ของการกินน้ำเนี่ยถือว่าสำคัญเราจะคำนวณ
01:00:58 → 01:01:01 ได้ยังไงว่าเราควรจะกินน้ำเท่าไหร่นะคะ
01:01:01 → 01:01:05 หลักการง่ายๆเลยเราเอาอ่า 30-40 มลเนี่ย
01:01:06 → 01:01:08 คูณน้ำหนักตัวของเรานะคะอย่างเช่นเราเอา
01:01:08 → 01:01:11 40 ก็ได้นะคะเราน้ำหนักตัว 50 กกเราคูณ
01:01:11 → 01:01:15 40 ปุ๊บมันก็จะได้ 2,000 ML หรือประมาณ
01:01:15 → 01:01:18 2 ลิตรเอออันนี้ก็ถือถือเป็นคำแนะนำที่เ
01:01:18 → 01:01:21 บอกว่าควรกินน้ำใน 1 วันประมาณ 6-8 แก้ว
01:01:21 → 01:01:24 ต่อวันมันก็มีที่มาที่ไปจากตรงนี้อ๋อถ้า
01:01:24 → 01:01:27 งั้นผมตัวใหญ่หน่อยผมก็ 8 แก้วหรือว่า 2
01:01:27 → 01:01:29 ลิตรอาจจะไม่พอใช่ก็ต้องเพิ่มตามน้ำหนัก
01:01:29 → 01:01:32 ตัวแต่อาจจะต้องมีข้อควรระวังนิดนึงว่า
01:01:32 → 01:01:34 ถ้าผู้ชมบางคนเนี่ยไปฟังแล้วตัวเองดัน
01:01:34 → 01:01:37 เป็นโรคไตหรือว่าโรคหัวใจที่มีต้องมี
01:01:37 → 01:01:40 จำกัดเรื่องน้ำเนี่ยก็อาจจะต้องดูให้มีพอ
01:01:40 → 01:01:42 ดีกับโรคที่เป็นอยู่ด้วยค่ะข้อมูลหรือว่า
01:01:43 → 01:01:45 ชนิดของอาหารที่ที่คุณเอแนะนำเรื่องไม่
01:01:45 → 01:01:47 ว่าจะเป็น Dash หรือว่า mediterranean
01:01:47 → 01:01:49 Diet นี่ก็คือสูตรอาหารหรือว่าเป็นแนว
01:01:49 → 01:01:52 ทางการรับประทานอาหารที่ทุกคนใช้ได้ใช่
01:01:52 → 01:01:55 ค่ะไม่ใช่แค่เอ่อคนที่ใกล้จะไตเสื่อมแต่
01:01:55 → 01:01:58 ว่าจริงๆทุกคนหรือวัยเราๆจริงๆก็ควรจะรับ
01:01:58 → 01:02:01 ประทานเพราะว่าแบบแผนที่พูดไปเนี่ยมันไม่
01:02:01 → 01:02:03 ใช่แค่เรื่องไตอย่างเดียวมันดูองค์รวมของ
01:02:04 → 01:02:07 ทุกอวยวะของร่างกายเลยนะคะอครับแล้วถ้า
01:02:07 → 01:02:10 สมมุติว่ามีอาการเริ่มมีอาการไตเสื่อมละ
01:02:10 → 01:02:13 Dash Diet หรือว่า meditan Diet เนี่ย
01:02:13 → 01:02:16 มันยังช่วยได้มยหรือต้องมีการระวังอะไร
01:02:16 → 01:02:21 เพิ่มเติมมอืค่ะแน่นอนเลยว่าเวลาเรามีภวะ
01:02:21 → 01:02:23 ไตเสื่อมแล้วเนี่ยมันก็ต้องมีการปรับใน
01:02:23 → 01:02:27 เรื่องของปริมาณอาหารแล้วก็ชนิดอาหารบ้าง
01:02:27 → 01:02:29 นะคะไายเนี่ยมันจะมีความเสื่อมมีหลายระยะ
01:02:29 → 01:02:32 5 ระยะเนาะระดับที่ 3 การกร้องของตายเรา
01:02:32 → 01:02:35 อยู่ที่ประมาณไม่ถึง 50% แล้วเนี่ยอาจจะ
01:02:35 → 01:02:38 ต้องมีการปรับลดในตัวของโปรตีนนะคะโปรตีน
01:02:38 → 01:02:41 ที่เราแนะนำว่าอ่าควรจะกินเยอะๆเนาะอาจจะ
01:02:41 → 01:02:44 ต้องเหลือมื้อละประมาณ 3 ช้อนกินข้าวนะคะ
01:02:44 → 01:02:47 เพื่อให้ปริมาณโปรตีนเนี่ยไม่มากเกินไปจน
01:02:47 → 01:02:49 ตตเนี่ยจะต้องมีการขับของเสียจากการย่อย
01:02:49 → 01:02:52 โปรตีนมากเกินรวมถึง่าธาตุพวกโพแทสเซียม
01:02:52 → 01:02:55 ที่เราจะเจอในพวกผักผลมไม้นะคะเมื่อไต
01:02:55 → 01:02:57 เริ่มเสื่อมแล้วเนี่ยก็มักจะมีระดับ
01:02:57 → 01:03:01 โพแทสเซียมที่สูงนะคะดังนั้นเนี่ยกลุ่ม
01:03:01 → 01:03:04 ผักผลไม้ที่มีสีส้มสีเหลืองสีแดงหรือ
01:03:04 → 01:03:07 เขียวเข้มเนี่ยก็อาจจะต้องระมัดระวังรวม
01:03:07 → 01:03:09 ถึงผลไม้บางชนิดชนิดที่โพแทสเซียมเยอะ
01:03:09 → 01:03:12 เกินไปพวกแก้มังกรแล้วก็มะพร้าวนะคะที่มี
01:03:12 → 01:03:14 โพแทสเซียมสูงเนี่ยก็อาจจะต้องมีการลด
01:03:14 → 01:03:17 ปริมาณการกินลงนะคะแต่ก็ยังกินได้แต่ต้อง
01:03:17 → 01:03:19 ให้รู้ว่ามันเป็นแหล่งโพแทสเซียมอันที่ 3
01:03:19 → 01:03:22 คือฟอสฟอรัสนะคะฟอสฟอรัสเนี่ยก็จะเป็นแร่
01:03:22 → 01:03:25 ธาตุตัวนึงที่เวลาตเรามีความบกพร่องหรือ
01:03:25 → 01:03:28 การกรองแย่ลงเนี่ยฟอสฟอรัสเนี่ยก็จะสูง
01:03:28 → 01:03:30 ซึ่งฟอสฟอรัสที่อาจจะต้องระมัดระวังคือ
01:03:30 → 01:03:33 ฟอสฟอรัสที่เกิดจากการสังเคราะห์คืออยู่
01:03:33 → 01:03:37 ในแหล่งไหนก็คือในพวกอ่าน้ำอารมณ์สีดำนะ
01:03:37 → 01:03:41 คะอแล้วก็สารที่ใช้สำหรับแช่แข็งอาหาร
01:03:41 → 01:03:44 ต่างๆดังงั้นพวกอาหารแช่แข็งแล้วก็น้ำ
01:03:44 → 01:03:46 อารมณ์สีดำเนี่ยก็ควรจะหลีกเลี่ยงในกลุ่ม
01:03:46 → 01:03:49 ที่มีอ่าไตเริ่มเสื่อมในระดับที่ต้องมี
01:03:49 → 01:03:52 การปรับอาหารแล้วค่ะครับผมเคยได้ยิน
01:03:52 → 01:03:57 เรื่องของการห้ามกินโปรตีนที่อยู่ในไข่
01:03:57 → 01:04:00 เพราะมันอาจจะไปเพิ่มปริมาณโโปรตีนในสาร
01:04:00 → 01:04:03 อาหารจนมากเกินไปแล้วอาจจะมีผลต่อเรื่อง
01:04:03 → 01:04:05 ของไตที่มันเสื่อมอยู่อันนี้อันนี้จริง
01:04:05 → 01:04:07 มั้ยอ่ะอเวลาเราไปโรงพยาบาลเนาะเวลาคน
01:04:07 → 01:04:10 เป็นโรคไตคุณหมอมาจะบอกว่าให้กินแต่ไข่
01:04:10 → 01:04:13 ขาวนะคะแต่จริงๆแล้วในภาวะที่ไตเราปกติ
01:04:13 → 01:04:16 เนี่ยเราสามารถกินทั้งไข่ขาวไข่แดงได้นะ
01:04:16 → 01:04:19 คะแต่ในเวะระยะที่มันเริ่มไตเสื่อมเนาะ
01:04:19 → 01:04:22 ตัวฟอสฟอรัสในไข่แดงเนี่ยมันค่อนข้างสูง
01:04:22 → 01:04:25 นะคะหมอก็เลยเลี่ยงว่ากินไข่ได้เดี๋ยอาจ
01:04:25 → 01:04:28 จะเลี่ยงไข่แดงแต่จริงๆแล้วเราสามารถจะ
01:04:28 → 01:04:30 ปรับในเรื่องปริมาณการกินไข่ได้เราก็กิน
01:04:31 → 01:04:33 ทั้งไข่ขาวไข่แดงได้ไม่ว่าจะเป็นโรคไตเรา
01:04:33 → 01:04:36 ก็ตามนะคะแต่เนื่องจากคุณหมอเนี่ยอาจจะ
01:04:36 → 01:04:39 เป็นคำแนะนำที่แบบให้ง่ายในทางปฏิบัติแต่
01:04:39 → 01:04:41 จริงๆแล้วถ้าไปเจอนักกำหนดอาหารเนี่ยเขา
01:04:41 → 01:04:44 สามารถจะให้คนไข้ที่เป็นโรคไตกินไข่ได้
01:04:44 → 01:04:46 ทั้งฟองเพียงแต่ว่าอยู่ในปริมาณที่เหมาะ
01:04:46 → 01:04:48 สมแต่ในกรณีที่เราเนี่ยต้องการกินอาหาร
01:04:48 → 01:04:51 เพื่อดูแลสุขภาพไตเรายังปกติเนี่ยไข่แดง
01:04:51 → 01:04:53 เรากินได้นะคะไม่ได้มีปัญหาอะไรถ้าเผื่อ
01:04:53 → 01:04:56 เราอยากที่ที่จะควบคุมไม่ให้โซเดียมมาก
01:04:56 → 01:04:58 เกินไปก็มันตอนนี้มันก็มีผลิตภัณฑ์ตั้ง
01:04:58 → 01:05:01 เยอะแยะที่เป็นเกลือในรูปแบบอื่นใช่มั้ย
01:05:01 → 01:05:03 ครับเราเราสามารถที่จะเลือกเกลือเหล่า
01:05:03 → 01:05:07 นั้นได้ไหมอืค่ะสำหรับในเรื่องของพอเรา
01:05:07 → 01:05:10 พูดว่าเฮ้ยโซเดียมมันน่ากังวลเนาะมันก็จะ
01:05:10 → 01:05:12 มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นอ่าเค้าเรียกว่า
01:05:12 → 01:05:16 เครื่องปรุงแต่งรถที่ใช้เ่อสารอาหารอื่นๆ
01:05:16 → 01:05:18 เข้ามาแทนคือโปแทสเซียมคลอไรด์ตัว
01:05:18 → 01:05:20 โพแทสเซียมเนี่ยเป็นตัวแรทธาที่มี
01:05:20 → 01:05:22 ประโยชน์ในการช่วยลดความดันโลหิตเราได้
01:05:22 → 01:05:24 ดังนั้นเนี่ยถ้าจะเลือกผลิตผพันธ์กลุ่ม
01:05:24 → 01:05:26 ที่เป็นโพเทสเซียมเนี่ยเราสามารถใช้ได้ใน
01:05:26 → 01:05:30 กรณีที่เขาไม่ได้มีปัญหาโรคไตนะคะอาจจะมี
01:05:30 → 01:05:33 แค่ความานที่ต้องจำกัดโซเดียมแต่ถ้าเกิด
01:05:33 → 01:05:35 มีปัญหาโรคไตแล้วเนี่ยต้องระมัดระวังใน
01:05:35 → 01:05:38 การใช้นะคะซึ่งถามว่ามันอันตรายมั้ยการ
01:05:38 → 01:05:41 ใช้โพแทสเซียมทดแทนในกลุ่มผู้ป่วยโรคตาย
01:05:41 → 01:05:43 ก็อาจจะไม่ได้อันตรายมากนักถ้าเกิดเราใช้
01:05:43 → 01:05:45 ในปริมาณที่ไม่มากเกินไปแต่จะดีกว่าไม้
01:05:45 → 01:05:47 ถ้าเราเลือกผลิตอันที่มันเหมาะสมตั้งแต่
01:05:47 → 01:05:50 แรกเลยว่ามันไม่ได้เป็นใช้โพแทสเซียมทด
01:05:50 → 01:05:52 แทนซึ่งคนเป็นโรคไตก็ต้องระมัดระวัง
01:05:52 → 01:05:55 โพแทสเซียมด้วยเหมือนกันไม่ใช่โอย่างเดีย
01:05:55 → 01:05:58 ซึ่งปัจจุบันเนี่ยผลิตภัณฑ์ที่เอ่อเป็นลด
01:05:58 → 01:06:01 โซเดียมลงแล้วไม่ได้ใช้พวกโเซียมเข้ามาทด
01:06:01 → 01:06:05 แทนเนี่ยมีขายมากมายเลยนะคะแล้วก็มีรส
01:06:05 → 01:06:08 ชาติที่อร่อยด้วยนะคะซึ่งตรงนี้เราสามารถ
01:06:08 → 01:06:11 อ่านฉลากได้เวลาเราจะซื้ออะไรเนี่ยที่ดี
01:06:11 → 01:06:14 ต่อสุขภาพอ่านฉลากนิดนึงนะคะไม่ใช่แค่ว่า
01:06:14 → 01:06:17 อ๋อลดโซเดียมแต่ว่ามันมีโปแทสเซียมทดแทน
01:06:17 → 01:06:19 นะคะเพราะฉะนั้นเนี่ยแนะนำว่าพยายามปรับ
01:06:19 → 01:06:23 รสในเรื่องรสชาตินะคะกินรสชาติที่เป็น
01:06:23 → 01:06:25 ธรรมชาติแล้วกลับไปกินอะไรที่มันเป็นสิ่ง
01:06:25 → 01:06:28 ที่เป็นธรรมชาติผ่านการแปรรูปน้อยโซเดียม
01:06:28 → 01:06:30 ก็จะได้ในปริมาณที่เหมาะสมในช่วงสุดท้าย
01:06:30 → 01:06:33 เยผมก็จะชวนคุณ x ให้ได้ฝากถึงคุณผู้ชม
01:06:33 → 01:06:35 คุณผู้ฟังเรื่องของการดูแลสุขภาพโดยทั่ว
01:06:35 → 01:06:39 ไปโดยใช้หลักการทางด้านโภชนาการครับออื
01:06:39 → 01:06:42 ค่ะั้นในเรื่องของการดูแลสุขภาพถ้าพูดถึง
01:06:42 → 01:06:45 ของเรื่องไตเนาะอันดับแรกเลยในเรื่องของ
01:06:45 → 01:06:47 อาหารการกินแนะนำให้กินอาหารที่ดีต่อ
01:06:47 → 01:06:50 สุขภาพนะคะอย่างที่บอกไปเลยนะคะดีต่อ
01:06:50 → 01:06:53 สุขภาพคือมีอะไรบ้างนะคะในปริมาณที่สมดุล
01:06:53 → 01:06:55 ไม่มากเกินไปไปนะคะรวมถึงดื่มน้ำให้เพียง
01:06:55 → 01:06:58 พอนะคะแล้วก็ในเรื่องของการดูแลน้ำหนัก
01:06:58 → 01:07:01 ตัวนะคะอย่างที่บอกไปว่าอ้วนกรมระทมไตได้
01:07:01 → 01:07:04 เพราะฉะนั้นน้ำหนักตัวเนี่ยหมั่นดูแลให้
01:07:04 → 01:07:06 อย่าให้มันเพิ่มมากไปกว่าเดิมนะคะหรือว่า
01:07:06 → 01:07:08 ถ้าใครมีน้ำหนักตัวที่มากแล้วเนี่ยพยายาม
01:07:08 → 01:07:11 ลดระดับน้ำหนักตัวลงมาสัก 5-10 per มัน
01:07:11 → 01:07:14 ก็จะเห็นผลดีต่อสุขภาพนะคะแล้วเรื่องการ
01:07:14 → 01:07:16 ออกกำลังกายก็สำคัญเนาะเพราะการออกกำลัง
01:07:17 → 01:07:19 กายเนี่ยมันจะทำให้ระบบต่างๆของร่างกายทำ
01:07:19 → 01:07:21 งานได้ดีรวมถึงดูแลในเรื่องของน้ำหนักเรา
01:07:21 → 01:07:24 ได้ด้วยนะคะแล้วก็ในเรื่องของการนอนหลพัก
01:07:24 → 01:07:26 ผ่อนนะคะอันนี้ยังไม่ได้พูดถึงเลยจริงๆ
01:07:26 → 01:07:28 การนอนหลับพักผ่อนถือว่าเป็นประเด็นที่
01:07:28 → 01:07:30 สำคัญเพราะว่าในเรื่องของความเครียดนะคะ
01:07:30 → 01:07:33 การพักผ่อนไม่เพียงพอมีผลทำให้ความดัน
01:07:33 → 01:07:35 โลหิตของเราเพิ่มสูงขึ้นได้ซึ่งความดัน
01:07:35 → 01:07:38 ที่สูงจะก็จะทำลายไตของเราได้ด้วยนะคะรวม
01:07:38 → 01:07:42 ถึงในเรื่องของการปัสสาวะไม่กลั้นปัสสาวะ
01:07:42 → 01:07:44 นานๆนะคะเพราะไม่งั้นเนี่ยกระเพาะปัสสาวะ
01:07:44 → 01:07:46 เนี่ยเกิดการอักเสบปัสสาวะข้างในระบบ
01:07:46 → 01:07:49 กระเพาะปัสสาวะมากทำให้กรวยตตอักเสบติด
01:07:49 → 01:07:51 เชื้อได้ง่ายแล้วก็หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่
01:07:51 → 01:07:54 ทำล้ายสุขภาพอะไรบ้างการสูบบุหรี่นะนะคะ
01:07:54 → 01:07:56 การดื่มแอลกอฮอล์ต้องหลีกเลี่ยงตรงนี้มัน
01:07:56 → 01:07:59 มีส่วนทำลายไตได้และอันสุดท้ายในเรื่อง
01:07:59 → 01:08:02 ของการกินยานะคะเพราะว่าไตับถ่ายพวกสิ่ง
01:08:02 → 01:08:05 ที่เป็นสารพิษยาถ้ามันกินในปริมาณที่มาก
01:08:05 → 01:08:07 เกินหรือกินยาที่ซ้ำซ้อนเนี่ยตายก็จะถูก
01:08:07 → 01:08:10 ทำลายได้เพราะฉะนั้นเนี่ยการดูแลสุขภาพไต
01:08:10 → 01:08:12 เนี่ยนอกจากอาหารแล้วเนี่ยก็จะมีองค์
01:08:12 → 01:08:14 ประกอบอื่นๆอย่างที่บอกไปซึ่งถ้าทำได้
01:08:14 → 01:08:17 ทั้งหมดที่บอกไปเนี่ยหรือทำได้สัก 50%
01:08:17 → 01:08:21 เนี่ยไตเราเนี่ยก็จะมีอายุที่ยืนยาวมาก
01:08:21 → 01:08:23 ขึ้นนะคะไม่เสื่อมก่อนวัยอันควรค่ะครับ
01:08:23 → 01:08:26 ถ้าทำตามที่คุณเอแนะนำเนี่ยมันคงจะไม่ได้
01:08:26 → 01:08:29 ช่วยดูแลเรื่องแค่ไตแล้วมันจะดูแลสุขภาพ
01:08:29 → 01:08:32 องค์รวมไปด้วยแน่ๆเลยโอกาสหน้าคงจะได้คุย
01:08:32 → 01:08:35 กับคุณเอใหม่ในเรื่องของการใช้หลักการทาง
01:08:35 → 01:08:38 โภชนาการในการดูแลสุขภาพในด้านอื่นๆของ
01:08:38 → 01:08:40 ร่างกายอีด้วยนะดีเลยค่ะวันนี้ต้องขอ
01:08:41 → 01:08:44 ขอบคุณคุณ x ดรวนพรทองโฉมนักวิชาการ
01:08:44 → 01:08:47 โภชนาการงานสร้างเสริมสุขภาพคณะ
01:08:47 → 01:08:50 แพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัย
01:08:50 → 01:08:53 มหิดลครับโอกาสหน้าเราคงจะได้มาพูดคุยกัน
01:08:53 → 01:08:55 อีกผมว่าคุยกับคุณ x ทีรแล้วคุณผู้ชมได้
01:08:55 → 01:08:58 ประโยชน์แล้วผมก็ได้ประโยชน์ด้วยนะครับ
01:08:58 → 01:09:02 ขอบคุณครับค่ะขอบคุณค่ะคุณผู้ชมครับคุณ
01:09:02 → 01:09:04 ผู้ฟังครับแล้วกลับมาพบกับรายการ World
01:09:04 → 01:09:07 be สุขภาพดีชีวิตดีสร้างได้ได้ใหม่กัน
01:09:07 → 01:09:10 อีกครั้งหนึงทางช่องทางต่างๆของมหิดน
01:09:10 → 01:09:13 Channel จนกว่าจะพบกันใหม่นะครับรักษา
01:09:13 → 01:09:16 สุขภาพสวัสดี
01:09:16 → 01:09:19 ครับสวัสดีครับผมอาจารย์เต้รพีบุญเปลื้อง
01:09:19 → 01:09:21 คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดลกับ
01:09:21 → 01:09:25 wellbeing สุขภาพดีชีวิตดีสร้างได้ครับ
01:09:25 → 01:09:28 คุณผู้ฟังครับลองจินตนาการนะครับว่าตอน
01:09:28 → 01:09:31 เนี้ยเป็นวันเงินเดือนออกน่าแปลกนะว่า
01:09:31 → 01:09:33 ทำไมถึงเรียกว่าเป็นเงินเดือนออกนะเพราะ
01:09:33 → 01:09:36 ว่าพอมันออกจากบัญชีเราไปหมดเลยถูกมั้ย
01:09:36 → 01:09:39 ทั้งเรื่องที่จะต้องฆ่าผ่อนโน่นนี่นั่น
01:09:39 → 01:09:43 และที่สำคัญหลายๆคนก็จะต้องมีปาร์ตี้และ
01:09:43 → 01:09:45 ส่วนใหญ่ก่อนจะไปปาร์ตี้ก็จะต้องติด
01:09:45 → 01:09:48 แฮชแทกกันหน่อยแล้วล่ะว่าบุฟเฟ่ตจะ
01:09:48 → 01:09:51 เยียวยาทุกสิ่งเวลาไปกินบุฟเฟ่ต์เนี่ย
01:09:51 → 01:09:54 อะไรก็ตามที่เราอยากกินอะไรก็ตามที่มัน
01:09:54 → 01:09:58 อร่อยเนี่ยมันมักจะไม่มีลิมิตเนาะแล้วก็
01:09:58 → 01:10:00 มักจะลืมตัวไปด้วยว่าอะไรก็ตามที่มัน
01:10:00 → 01:10:03 อร่อยเนี่ยมันก็มักจะไม่ค่อยดีกับสุขภาพ
01:10:03 → 01:10:06 สักเท่าไหร่หรอกวันนี้ครับเราจะได้พูดคุย
01:10:06 → 01:10:08 กับคุณหมอเอ๋ครับผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์
01:10:08 → 01:10:10 หญิงจรุณีวรณวัดมวิจิตภาควิชาอายุรศาสตร์
01:10:10 → 01:10:13 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
01:10:13 → 01:10:15 มหาวิทยาลัยมหิดลครับคุณหมอเอสวัสดีครับ
01:10:15 → 01:10:17 สวัสดีค่ะสวัสดีค่ะวันนี้ครับที่ชวนคุณ
01:10:17 → 01:10:20 หมอเอมากเลยเพราะว่าอาหารเนี่ยมันเป็น
01:10:20 → 01:10:23 สิ่งที่เราต้องกินอยู่ทุกวันมันมีออะไร
01:10:23 → 01:10:26 บ้างมที่มันอาจจะเกี่ยวข้องกับโรคภัยโดย
01:10:26 → 01:10:29 เฉพาะเรื่องของโรคมะเร็งครับในวันนี้เรา
01:10:29 → 01:10:31 จะมาดูว่าอาหารประเภทไหนที่จะทำให้เรา
01:10:31 → 01:10:34 เสี่ยงกับโรคมะเร็งมากขึ้นและมันมีวิธี
01:10:34 → 01:10:37 ปฏิบัติที่จะเลี่ยงมะเร็งได้อย่างไรคุณ
01:10:37 → 01:10:39 หมอเครับค่ะบุฟเฟ่ต์ครับเวลาที่ไป
01:10:40 → 01:10:42 บุฟเฟ่ต์นะครับคุณหมอเอ๋ผมก็จะมุ่งไปที่
01:10:42 → 01:10:45 นี่เลยครับอาหารประเภทที่เป็นแบบเนื้อ
01:10:45 → 01:10:49 สัตว์อะไรก็ตามที่แพงแพงอะไรก็ตามที่แบบ
01:10:49 → 01:10:51 หากินไม่ได้เผมก็จะมุ่งไปตรงนั้นก่อนเลย
01:10:51 → 01:10:54 มันดีมยครับโอเคมันอยู่อยู่ที่ว่าอย่าง
01:10:54 → 01:10:55 งี้ค่ะอาจารย์สมมุติว่าเวลาที่อาจารย์จะ
01:10:55 → 01:10:58 จ่ายเงินบุฟเฟ่ต์เนี่ยอย่างแรกเลยที่คนจะ
01:10:58 → 01:11:00 รู้สึกคือต้องกินให้คุ้มใช่แล้วครับอคนจะ
01:11:00 → 01:11:02 รู้สึกก่อนว่าต้องกินให้คุ้มเพราะฉะนั้น
01:11:02 → 01:11:06 คนจะรู้สึกว่าอะไรที่แพงก็จะต้องกินกับ
01:11:06 → 01:11:09 อันที่ 2 คนจะรู้สึกว่าต้องกินเยอะๆถึงจะ
01:11:09 → 01:11:12 ดีทีนี้คำถามก็คือว่าโอกาสที่เราจะกิน
01:11:12 → 01:11:14 เยอะอ่ะมันมีแน่ๆสำหรับบุฟเฟ่ต์นะคะทีนี้
01:11:15 → 01:11:16 ถามว่ามันผิดมมมันคงไม่ได้ผิดที่บุฟเฟ่ต
01:11:16 → 01:11:18 เนาะเพราะบุฟเฟ่ต์ไม่ได้เดินเข้าปากเรา
01:11:18 → 01:11:20 เราเป็นคนไปหยิบบุฟเฟต์มาใส่ปากเราเพราะ
01:11:20 → 01:11:22 ฉะนั้นมันก็ต้องผิดที่ไม่ไอ้ที่มือเราก็
01:11:22 → 01:11:24 ต้องเป็นที่ปากเรา
01:11:24 → 01:11:26 เป็นที่ใจเราด้วยนะครับอาจารยโอเคค่ะถาม
01:11:26 → 01:11:28 ว่าโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เกิดมะเร็งมันมี
01:11:28 → 01:11:31 ได้ 2 ส่วนค่ะอันแรกคืออาหารที่อาจารย์
01:11:31 → 01:11:33 เลือกทานกับอันที่ 2 คืออาจารย์กินมาก
01:11:33 → 01:11:36 แล้วทำให้อาจารย์อ้วนขึ้นอ่าหลายคนก็จะ
01:11:36 → 01:11:38 บอกว่าโอ๊ยเวลาเป็นมะเร็งคือน้ำหนักลดลง
01:11:38 → 01:11:41 ผอมลงแล้วก็จะทำให้กังวลว่าจะเป็นมะเร็ง
01:11:41 → 01:11:43 แต่ต้องบอกงงี้ค่ะว่าคนอ้วนเองเนี่ยเพิ่ม
01:11:43 → 01:11:46 ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็ง
01:11:46 → 01:11:48 ที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนยกตัวอย่างเนาะ
01:11:48 → 01:11:50 ผู้หญิงเนี่ยอันที่มันเกี่ยวข้องกับ
01:11:50 → 01:11:52 ฮอร์โมนก็จะเป็นมะเร็งของระบบสืบพันธุ์
01:11:52 → 01:11:56 อ้าออะไรบ้างเต้านมค่ะนะคะอันที่ 2 ก็คือ
01:11:56 → 01:11:58 รังไข่อ่ามะเร็งมดลูกหรือว่าเขาเรียกว่า
01:11:58 → 01:12:01 เยื่อบุพงมดลูกนะคะอันเนี้ยจะเจอบ่อยแล้ว
01:12:01 → 01:12:03 ก็จะสัมพันธ์กับคนอ้วนหมายความว่าถ้าคน
01:12:03 → 01:12:06 อ้วนเนี่ยก็จะเสี่ยงกับมะเร็งพวกเนี้ยมาก
01:12:06 → 01:12:08 กว่าคนผอมนะคะในผู้ชายก็จะเป็นกลุ่มของ
01:12:09 → 01:12:11 มะเร็งต่ำลูกหมากหรือว่ามะเร็งลำไส้อะไร
01:12:11 → 01:12:13 อย่างงี้เป็นต้นอันนี้คือมาจากอ้วนเนาะ
01:12:13 → 01:12:15 ถ้าอ้วนแล้วเพิ่มความเสี่ยงเพราะฉะนั้น
01:12:15 → 01:12:17 ถ้าบุฟเฟ่ต์กินเยอะแล้วอ้วนโอเคไปเพิ่ม
01:12:17 → 01:12:20 ความเสี่ยงอันนี้เป็นทางอ้อมอาจารย์ครับ
01:12:20 → 01:12:22 อันที่ 2 ก็จะเป็นลักษณะของตัวอาหารเอง
01:12:22 → 01:12:25 อ่าอาหารที่เรามองว่าอาจจะเสี่ยงในเรื่อง
01:12:25 → 01:12:27 ของการที่จะทำให้เกิดเรื่องของมะเร็งเรา
01:12:27 → 01:12:29 ได้ยินบ่อยอาจารย์ได้ยินอะไรมาบ้างที่
01:12:29 → 01:12:31 อาจารย์รู้สึกว่ามันเสี่ยงอ้ามันก็ต้อง
01:12:31 → 01:12:35 ปิ้งๆย่างๆไหม้ๆเกรียมๆครับออันที่ 1 ก็
01:12:35 → 01:12:37 คือเป็นลักษณะของอาหารที่อาจารย์บอกว่า
01:12:37 → 01:12:40 เอาไปปิ้งย่างแล้วมันเกิดเป็นลักษณะเป็น
01:12:40 → 01:12:43 เค้าเรียกอะไรอ่ะเ่าสีดำๆเกรียมๆใช่มั้ย
01:12:43 → 01:12:45 คะมันไหม้อ่ามันไหม้เนาะอันนี้มันก็จะมี
01:12:45 → 01:12:48 สารเคมีบางอย่างถามว่าเกิดจากอะไรสมมุติ
01:12:48 → 01:12:50 อาหารของอาจารย์เนื้อสระอาจารย์มีน้ำมัน
01:12:50 → 01:12:52 ครับพออาจารย์ไปปิ้งปุ๊บน้ำมันมันหยดลงไป
01:12:52 → 01:12:55 อ่าแล้วมันก็จะไปโดนไฟข้างล่างแล้วมันก็
01:12:55 → 01:12:56 จะเป็นเขม่าเป็นควันขึ้นมาแล้วมาเกาะที่
01:12:56 → 01:12:59 เนื้อสัตว์ซึ่งมันหอมมากใช่อันนั้นแหละก็
01:12:59 → 01:13:01 จะเป็นตัวนึงที่มันจะมีสารเคมีบางอย่าง
01:13:01 → 01:13:04 ที่เขาเรียกว่าไปเป็นสารก่อมะเร็งอืถ้า
01:13:04 → 01:13:07 อาจารย์กินตรงนั้นเยอะก็ไปเร่งให้มันเร็ว
01:13:07 → 01:13:10 ขึ้นลักษณะนี้อันที่ 2 สมมุติอาจารย์บอก
01:13:10 → 01:13:12 ว่าอาจารย์ตัดทิ้งแล้วกันไม่กินะอันนั้น
01:13:12 → 01:13:14 อาจารย์กินแต่เนื้อเยอะๆเลยการกินเนื้อ
01:13:14 → 01:13:16 แดงปริมาณมากอาจารย์ก็จะได้สารบางอย่าง
01:13:17 → 01:13:19 เพิ่มขึ้นเหมือนกันนะคะมันอยู่ที่ว่า
01:13:19 → 01:13:21 เนื้อที่อาจารย์กินเป็นแบบไหน 1 เนื้อแดง
01:13:21 → 01:13:23 ปกติเลยกับอันที่ 2 เป็นลักษณะของเนื้อ
01:13:23 → 01:13:26 แปรรูปเนื้อแปรรูปเช่นเอิ่มเอาไปหมักใช่
01:13:26 → 01:13:30 มั้ยคะหรือว่ารมควันอ่าจะเป็นพวกของโส
01:13:30 → 01:13:33 เช่นแหนมไส้กรอกหรืออะไรพวกเนี้ยค่ะพวก
01:13:33 → 01:13:35 เนี้ยจะเป็นพวกเนื้อแปรรูปซึ่งเวลาที่เขา
01:13:35 → 01:13:37 แปรรูปมันจะมีสารเคมีบางอย่างที่เกิดขึ้น
01:13:37 → 01:13:40 หรือใส่ลงไปเพื่อจะทำให้อาหารมันมีอายุ
01:13:40 → 01:13:43 ยาวนานขึ้นออถนอมอายุอาหารใช่ค่ะเพราะ
01:13:43 → 01:13:45 ฉะนั้นตรงนี้เนี่ยมันก็จะมีอยู่ 2 ส่วน
01:13:45 → 01:13:47 อันแรกคือในกรณีที่อาจารย์ปิ้งย่างแล้วก็
01:13:47 → 01:13:51 มีลักษณะของตัวเ่อสีดำๆใช่มั้ยคะที่เป็น
01:13:51 → 01:13:54 ที่เป็นเอ่อจากที่เนื้อมันไหม้เนาะอันที่
01:13:54 → 01:13:56 2 ก็เป็นปริมาณของเนื้อสัตว์ที่เป็น
01:13:56 → 01:13:58 เนื้อแดงที่อาจารย์กินเยอะเกินไปอันที่ 3
01:13:58 → 01:14:00 อาจารย์อาจจะเลือกเนื้อที่มันไม่ต้องปิ้ง
01:14:00 → 01:14:02 ย่างไหม้ก็ได้แต่ว่ามันเป็นลักษณะของ
01:14:02 → 01:14:04 เนื้อสัตว์แปรรูปเยอะเกินไปอาจารย์ก็
01:14:04 → 01:14:07 เพิ่มความเสี่ยงอเวลาที่หมอเอพูดถึงเนื้อ
01:14:07 → 01:14:10 แดงเครับหลายๆคนอาจจะนึกไม่ออกว่าอะไร
01:14:10 → 01:14:12 บ้างที่มันคือเนื้อแดงออ่าเวลาที่เราอ่าน
01:14:12 → 01:14:15 ในหนังสืออ่านในนิตยสารหรืออินเทอร์เน็ต
01:14:15 → 01:14:16 ก็ตามเขาจะใช้คำว่าเนื้อแดงเนาะในภาษา
01:14:16 → 01:14:19 อังกฤษเาก็จะเขียนคำว่า Red Meat กับไ me
01:14:19 → 01:14:21 อ่าตรงตัวเลยค่ะยกตัวอย่างนะอาจารย์ก็จะ
01:14:21 → 01:14:24 เป็นพวกปลาพวกไก่เงี้แล้วจะบเป็นไท Meat
01:14:24 → 01:14:27 อืออ่าพวกหอยอาจารย์มันก็จะเป็นไท Meat
01:14:27 → 01:14:29 ซึ่งพวกเไขมันมันจะต่ำกับอันกลุ่มที่เป็น
01:14:29 → 01:14:32 อันนี้ก็จะเป็นพวกของ Red Meat นะคะเช่น
01:14:32 → 01:14:34 เอ่อเนื้อวัวเนื้อหมูเนื้อแกะใช่มั้ยคะ
01:14:34 → 01:14:36 พวกนี้ก็จะถือว่าเป็น Red Meat อย่าง
01:14:36 → 01:14:39 เงี้ยค่ะเ่าโดยทั่วไปถามว่ากินได้มยกิน
01:14:39 → 01:14:41 ได้นะคะแต่ปริมาณพอสมควรไม่ใช่แบบว่ากิน
01:14:41 → 01:14:44 ทีนึงเยอะๆเป็นกิโลกๆหรือว่าแบบจะกินไป
01:14:45 → 01:14:48 แบบอะไรนะเข้าแข่งขันอะไรแบบเนี้ยอือ
01:14:48 → 01:14:51 อาหารมันมีส่วนในการที่จะทำให้เกิดมะเร็ง
01:14:51 → 01:14:53 ได้ใช่มั้ยครับโดยเฉพาะอย่างที่ที่คุณหมอ
01:14:53 → 01:14:56 เอ๋กพูดถึงว่าอาหารอะไรบ้างที่จะนำไปสู่
01:14:56 → 01:14:59 การเป็นสารก่อมะเร็งหรือมีสารก่อมะเร็งใน
01:14:59 → 01:15:01 ปริมาณที่เยอะแล้วมะเร็งอะไรบ้างครับที่
01:15:01 → 01:15:04 จะเป็นผลจากการที่เรากินอาหารประเภทนี้
01:15:04 → 01:15:06 เข้าไปต้องบอกนิดนึงก่อนว่าเวลาที่เราพูด
01:15:06 → 01:15:08 เนี่ยเราใช้คำว่าเสี่ยงเราพูดคำว่าเสี่ยง
01:15:08 → 01:15:10 ทุกครั้งเลยเพราะฉะนั้นคำว่าเสี่ยงในที่
01:15:10 → 01:15:13 นี้มันอาจจะไม่ได้พูดว่ามันเป็นสาเหตุโดย
01:15:13 → 01:15:15 ตรงเช่นกินแล้วมันต้องเป็นอันนี้กนเนาะ
01:15:15 → 01:15:17 แต่เสี่ยงในที่นี่หมายความว่าเราเราเราหา
01:15:17 → 01:15:19 ความสัมพันธ์แบบเอ้ยถ้าอย่างเงี้ยมัน
01:15:19 → 01:15:22 เพิ่มโอกาสอะไรอย่างเงี้ยค่ะลักษณะนั้น
01:15:22 → 01:15:25 เนาะทีนี้ถามว่าเป็นอะไรสัมพันธ์เยอะๆเลย
01:15:25 → 01:15:27 มันก็จะต้องเกี่ยวข้องกับพวกมะเร็งที่
01:15:27 → 01:15:29 เป็นทางเดินอาหารอาจารย์อือก็จะเป็นลำไส้
01:15:29 → 01:15:32 เนาะที่เราจะได้ยินบ่อยๆใช่มั้ยคะกระเพาะ
01:15:32 → 01:15:34 ลำไส้หลอดอาหารอะไรอย่างเงี้ยซึ่งจะ
01:15:34 → 01:15:37 เกี่ยวข้องกับพวกนี้นะคะอ่าถามว่ามีเยอะ
01:15:37 → 01:15:39 ไมก็บ้านเราก็เยอะเหมือนกันที่จะเป็น
01:15:39 → 01:15:42 มะเร็งกลุ่มนี้ค่ะคุณหมอเอกครับถ้าเนื้อ
01:15:42 → 01:15:45 แดงมันเป็นตัวที่ทำให้เราเสี่ยงกับมะเร็ง
01:15:45 → 01:15:49 มากขึ้นแล้วผักใยเส้นใยต่างๆในผักมันจะ
01:15:49 → 01:15:52 ช่วยลดอาการเสี่ยงจากมะเร็งเนี่ยถ้างั้น
01:15:52 → 01:15:54 เราก็เปลี่ยนไปเลยเลยกินมังสวิรัสแทนเลย
01:15:54 → 01:15:57 ได้มั้ยฮะอาจารย์อาจจะได้ยินชัดๆที่สุด
01:15:57 → 01:15:59 เลยก็คือคนไข้ที่เป็นมะเร็งลำไส้หรือ
01:15:59 → 01:16:01 มะเร็งเต้านมหลายคนเนี่ยพอเป็นมะเร็ง
01:16:01 → 01:16:04 เสร็จปุ๊บก็จะไม่กินเนื้อเลยอันนี้เราเจอ
01:16:04 → 01:16:05 บ่อยมากนะคะแล้วหลายคนก็เปลี่ยนมาเป็น
01:16:05 → 01:16:08 มังสวิรัสนะคะแต่ถามว่าอันนี้จะลดความ
01:16:08 → 01:16:10 เสี่ยงมั้ยเหมือนที่อาจารย์บอกเลยอันที่ 1
01:16:10 → 01:16:12 อาจารย์ลดพวกเนื้อแดงอันที่ 2 อาจารย์ได้
01:16:12 → 01:16:15 เพิ่มผักผลไม้ได้เพิ่มไฟเบอร์นะคะอันที่ 3
01:16:15 → 01:16:18 เนี่ยพวก process Food เนี่ยมันจะลดลง
01:16:18 → 01:16:19 ทันทีเลยเพราะว่าถ้าอาจารย์กินแต่ผัก
01:16:19 → 01:16:21 เนี่ยอาจารย์ไม่รู้ว่าอาจารย์จะไป ess
01:16:21 → 01:16:24 อะไรมันอ่ะอาจารย์นึกออกใช่มเพราะฉะนั้น
01:16:24 → 01:16:27 เนี่ยโดยแงของอาหารเนี่ยยังไงมันก็ลดความ
01:16:27 → 01:16:30 เสี่ยงอยู่แล้วอ่ะข้อมูลที่มีก็คือเมีการ
01:16:30 → 01:16:33 ติดตามคนที่กินอาหารพวกเนะคะแยกเป็น 3
01:16:33 → 01:16:35 กลุ่มกลุ่มกินเนื้อกลุ่มกินปลากลุ่มกิน
01:16:35 → 01:16:38 มังสวิรัตปรากฏว่ากลุ่มกินเนื้อความ
01:16:38 → 01:16:41 เสี่ยงในการเกิดมะเร็งอเยอะที่สุดออ่าปลา
01:16:41 → 01:16:44 กับมังสวิรัตอ่ะก็จะลดลงมาลักษณะนี้เพราะ
01:16:44 → 01:16:46 ฉะนั้นจริงๆถามว่าถ้าเวลามีคนมาถามว่า
01:16:46 → 01:16:49 จำเป็นมยต้องไปกินมังสวิรัตแล้วมังสวิรัต
01:16:49 → 01:16:51 บอกว่าถ้าอยากกินไม่ได้ว่าอะไรแต่สิ่งที่
01:16:51 → 01:16:53 อาจารย์ต้องรู้คือเวลาที่อาจารย์กินมังสา
01:16:53 → 01:16:55 วิรัสอาจารย์เพิ่มความเสี่ยงของการขาด
01:16:55 → 01:16:58 วิตามินบางตัวอืเช่นถ้ามังสาวิรัสเข้มข้น
01:16:58 → 01:17:01 หรือเจอาจารย์จะขาดวิตามิน B12 ซึ่งปกติ
01:17:01 → 01:17:04 พบในไหนอ่ะครับ B1 อยู่ในเนื้อสัตว์ค่ะ
01:17:04 → 01:17:05 อ๋อเนื้อสัตว์เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าอาจารย์
01:17:05 → 01:17:08 สกแบบเข้มข้นเป็นเจเนี่ยอาจารย์อาจจะต้อง
01:17:08 → 01:17:11 มาได้รับเสริมและอ่าแต่ถ้าสมมุติอาจารย์
01:17:11 → 01:17:14 บอกว่าโอเคงั้นกินแค่เป็นมังสวิรัตก็พอ
01:17:14 → 01:17:15 หรือชาวบ้านตอนนี้อาจจะบอกว่าถ้าเจอใน
01:17:15 → 01:17:18 อินเทอร์เน็ตจะเจอคำว่า Plant Bas อ๋อ PL
01:17:18 → 01:17:20 Plant Bas di อาจารย์ได้ยินอ่า Plant
01:17:20 → 01:17:22 Base Diet ใช่มั้ยคะ Plant Bas Diet
01:17:22 → 01:17:24 ก็คือเหมือนความว่าอาหารส่วนใหญ่เนี่ยจะ
01:17:24 → 01:17:27 มาจากพืชอือฮึแต่ Plant เบสยังอนุญาตให้
01:17:27 → 01:17:29 อาจารย์กินจากสัตว์ได้บ้างเช่นบางคนบอก
01:17:29 → 01:17:31 ว่ากินสัตว์เล็กอาทิตย์ละวันอย่างเงี้ยก็
01:17:31 → 01:17:34 ยังเป็นแนเบสอืออย่างเงี้ยค่ะหรือบางคน
01:17:34 → 01:17:37 บอกว่ากินไข่ได้บางคนบอกกินนมได้ก็ยังไม่
01:17:37 → 01:17:39 ได้เป็นแบบว่าเอ่อมังสาวีรัสเอ้ยขอโทษที
01:17:39 → 01:17:42 ไม่ได้เป็นเจซะ 100% ถ้าเป็นกลุ่มที่เป็น
01:17:42 → 01:17:44 Plant เสแล้วเลือกกินได้อย่างเงี้ยค่ะ
01:17:44 → 01:17:46 พวกนี้ก็จะไม่ขาด B12 อันที่ 2 ที่อาจจะ
01:17:46 → 01:17:49 ทำให้กินได้แล้วแบบปริมาณน้อยหน่อยก็คือ
01:17:49 → 01:17:51 ่าเหล็กเพราะว่า่าเหล็กเนี่ยมีทั้งจากใน
01:17:52 → 01:17:54 พืชแล้วก็จากในสัตว์อแต่ว่าที่อยู่ในพืช
01:17:54 → 01:17:57 เนี่ยเวลาเราดูดซึมเนี่ยมันจะมีตัวขัด
01:17:57 → 01:18:00 ขวางเพราะฉะนั้นมันจะดูดซึมได้ไม่ 100%
01:18:00 → 01:18:01 เนาะเพราะฉะนั้นเนี่ยมันต้องกินปริมาณ
01:18:01 → 01:18:04 เยอะจริงๆมันถึงจะเพียงพอก็อาจจะทำให้มี
01:18:04 → 01:18:06 โอกาสเสี่ยงหรือว่ากันขาดได้อย่างเงี้ย
01:18:06 → 01:18:08 ค่ะดังนั้นเนี่ยถามว่าถ้าเวลาคนบอกว่า
01:18:09 → 01:18:12 เอ๊ะถ้าถ้าจะไม่กินแบบเป็นเนื้อแล้วจะมา
01:18:12 → 01:18:14 กินเป็นบังสาวิรัตเลยได้มยต่อว่าได้แต่
01:18:14 → 01:18:16 ว่าต้องต้องคอยดูนิดนึงว่าจะมีความเสี่ยง
01:18:16 → 01:18:19 ที่จะขาดวิตามินอะไรพวกนี้หรือเปล่านะคะ
01:18:19 → 01:18:21 อันที่ 2 คือถ้าเกิดว่าจะเลือกกินแค่
01:18:21 → 01:18:24 Plant เบสแล้วก็เลือกอาหารให้เหมาะสมอัน
01:18:24 → 01:18:27 นี้โอเคเลยอือค่ะแอลกอฮอล์ร่ะครับ
01:18:27 → 01:18:29 แอลกอฮอล์ก็ได้เหมือนกันทีนี้หลักการของ
01:18:29 → 01:18:31 การทำให้เกิดเรื่องของมะเร็งตับกับ
01:18:31 → 01:18:34 แอลกอฮอล์กับคนอ้วนเนี่ยมาคล้ายๆกันนะคะ
01:18:34 → 01:18:37 หลักการก็คือมันจะทำให้เซลล์ตับเนี่ยอัน
01:18:37 → 01:18:39 แรกเเขาเรียกว่าเป็น fy วอรคือมันอ้วน
01:18:39 → 01:18:42 ขึ้นอ่าพอมันอ้วนขึ้นแล้วหลังจากนั้นก็จะ
01:18:42 → 01:18:45 มีการอักเสบนะคะการอักเสบพออักเสบเสร็จ
01:18:45 → 01:18:48 ปุ๊บมันก็จะมีการซ่อมแซมอาจารย์นึกภาพว่า
01:18:48 → 01:18:51 อาจารย์เป็นแผลแล้วมันหายแต่อาจารย์กรีด
01:18:51 → 01:18:53 ซ้ำมันเรื่อยๆอ่ะมันก็จะกลายเป็นเป็นแผ
01:18:53 → 01:18:55 เป็นอืพอมันเป็นแผเป็นอันนี้ก็คือตับ
01:18:55 → 01:18:58 อาจารย์เปลี่ยนละเ้าเรียกว่าเป็นตับแข็ง
01:18:58 → 01:19:01 อือพอเป็นตับแข็งปุ๊บเนี่ยเซลล์บางอย่าง
01:19:01 → 01:19:03 หรือหน้าตาบางอย่างมันจะทำงานผิดปกติแล้ว
01:19:03 → 01:19:05 อันนี้มันก็จะเปลี่ยนไปเป็นมะเร็งได้คน
01:19:05 → 01:19:07 ที่กินแอลกอฮอล์นะคะเราก็จะทำให้เกิด
01:19:07 → 01:19:10 process แบบนี้ก็คือ 1 เนี่ยยพอกินเยอะๆ
01:19:10 → 01:19:12 ปุ๊บเนี่ยเซลล์ตับมันก็จะอ้วนขึ้นแล้วมัน
01:19:12 → 01:19:14 ก็จะมีการอักเสบเปลี่ยนไปเป็นตับแข็งแล้ว
01:19:14 → 01:19:17 ก็เป็นมะเร็งในขณะที่คนอ้วนตอนเนี้ยมัน
01:19:17 → 01:19:20 ให้ process เดียวกันกับแอลกอฮอลเลยอือฮึ
01:19:20 → 01:19:21 หน้าตาแบบเดียวกันเลยเพราะฉะนั้นตอนนี้
01:19:21 → 01:19:24 อ้วนก็ไม่ได้เนาะกินแอลกอฮอล์ก็ไม่ได้
01:19:24 → 01:19:26 แอลกอฮอล์เขาอาจจะบอกว่าอย่างงี้ค่ะถ้า
01:19:26 → 01:19:28 สมมุติอาจารย์ยังไม่ได้เป็นมะเร็งนะคะ
01:19:28 → 01:19:30 อาจารย์ไม่ได้มีปัญหาเรื่องโรคตับอ่า
01:19:30 → 01:19:32 อาจารย์จะกินได้ไหมบอกว่าพอได้นะคะแต่ว่า
01:19:32 → 01:19:34 อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมอีกและอยู่ที่เท่า
01:19:34 → 01:19:37 ไหร่ผู้ชายเนี่ยประมาณไม่เกิน 2 ริงต่อ
01:19:37 → 01:19:40 วันผู้หญิงไม่เกิน 1 ดริงต่อวันถ้าจะนึก
01:19:40 → 01:19:42 ไม่ออกแก้วช็อตหรือว่าบางคนก็บอกว่าชง
01:19:42 → 01:19:46 กาแฟช็อตนึงนะคะนั่นคือ 30 ซีซีสำหรับพวก
01:19:46 → 01:19:48 เหล้าที่เป็น40ดีกรีอันนี้คือแค่ดริงก์
01:19:48 → 01:19:50 นึงอือฮึแต่ถ้าสมมุติว่าอาจารย์กินเบียร์
01:19:50 → 01:19:53 เบียร์ประมาณ 5% ก็คือ 100 ซีซีอาจารย์จะ
01:19:53 → 01:19:56 ได้ 5 กรัมอาจารย์ได้ประมาณแถวๆ 200 300
01:19:56 → 01:19:59 เพราะฉะนั้นกระป๋องนึงอ่ะพอและกระป๋องนึง
01:19:59 → 01:20:02 ก็ประมาณดริงนึงอย่างงี้ค่ะไวนอาจารย์ก็
01:20:02 → 01:20:03 จะลดลงมาหน่อยนึงเพราะไวนมันก็แล้วแต่
01:20:03 → 01:20:05 เนาะเอ่อดีกรีหรือว่าเปอร์เซ็นต์
01:20:05 → 01:20:08 แอลกอฮอล์ของไวนมันแี่อ่ะค่ะตั้งแต่ 10
01:20:08 → 01:20:11 กว่ายัน 20 เลยอือฮึมะเร็งเหล่านี้ครับเา
01:20:11 → 01:20:13 ชอบกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าเพราะว่าบาง
01:20:13 → 01:20:17 ครั้งเนี่ยผมไปได้ได้ยินคนพูดมาบอกว่านี่
01:20:17 → 01:20:20 นะถ้าเป็นมะเร็งนะต้องงดอาหารแบบนี้เพราะ
01:20:20 → 01:20:24 อาหารกลุ่มเนี้ยมันจะไปฟีดหรือไปป้อนให้
01:20:24 → 01:20:26 เซลล์มะเร็งมันโตอในกรณีของคนที่เป็น
01:20:26 → 01:20:28 มะเร็งอ่ะค่ะเซลล์มะเร็งมันเหมือนเป็นกาว
01:20:28 → 01:20:30 ฝากค่ะอเพราะฉะนั้นเซลล์มะเร็งเคอาศัย
01:20:30 → 01:20:34 อาหารจากตัวเราแต่ว่าเาเก่งมากเลยคือต่อ
01:20:34 → 01:20:36 ให้เราไม่กินอาหารเนี่ยเซลล์มารินก็จะได้
01:20:36 → 01:20:38 อาหารอันนี้ก่อนสมมุติใครบอกว่าจะอดอาหาร
01:20:38 → 01:20:41 ให้เซลล์มะเร็งมันตายอาจารย์อาจจะตายก่อน
01:20:41 → 01:20:44 ที่เซลล์มะเร็งมันจะตายเพราะว่าเค้าอ่ะ
01:20:44 → 01:20:47 ได้อาหารจากตัวเราอ่ะมาก่อนนะคะอันที่ 2
01:20:47 → 01:20:49 คือเวลาที่เขาใช้อ่ะเขาชอบเหมือนที่
01:20:49 → 01:20:51 เหมือนที่คนจะชอบพูดเนาะว่ามีแนวโน้มว่า
01:20:51 → 01:20:53 ส่วนที่มันเป็นน้ำน้ำตาลมันกินง่ายแล้ว
01:20:53 → 01:20:56 มันก็จะได้เยอะคนก็จะพยายามเลี่ยงน้ำตาล
01:20:56 → 01:20:59 นะคะทีนี้ถามว่าจำเป็นมยที่จะต้องเลี่ยง
01:20:59 → 01:21:01 น้ำตาลทีนี้ต้องบอกว่าถ้าสมมุติอาจารย์
01:21:01 → 01:21:03 มองในแง่ว่าอาจารย์กินน้ำตาลเอ่อเป็นพวก
01:21:03 → 01:21:06 น้ำหวานนะคะน้ำตาลที่แบบกินปุ๊บแล้วมัน
01:21:06 → 01:21:08 เป็นพลังงานเลยทันทีพวกนี้อาจารย์ก็จะ
01:21:08 → 01:21:10 เสียงเรื่องอ้วนนะคะเพราะฉะนั้นอาจารย์จะ
01:21:10 → 01:21:12 ไปลดพวกนั้นก็ไม่มีปัญหาถามว่า
01:21:12 → 01:21:14 คาร์โบไฮเดรตหรือกลุ่มน้ำตาลยังจำเป็น
01:21:14 → 01:21:17 มั้ยยังจำเป็นอาจารย์ก็ทานได้ก็เลี่ยง
01:21:17 → 01:21:19 ส่วนที่มันเป็นน้ำตาลที่มันจะแบบกินปุ๊บ
01:21:19 → 01:21:21 ดูซึมปั๊บที่เป็นน้ำหวานกินให้เป็นพวกที่
01:21:21 → 01:21:24 มันเป็นคาร์บรตที่มีไฟเบอร์เพราะเรารู้
01:21:24 → 01:21:26 อยู่แล้วว่าไฟเบอร์เนี่ยตัวไฟเบอร์นะคะ
01:21:26 → 01:21:28 เวลามันลงไปในลำไส้ปั๊บเนี่ยมันจะไปเป็น
01:21:28 → 01:21:31 อาหารให้เซลล์ที่อยู่ที่ลำไส้ทำให้
01:21:31 → 01:21:33 แบคทีเรียในลำไส้เนี่ยเจริญเติบโตได้ดี
01:21:33 → 01:21:36 แล้วสร้างเาเรียกว่าเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดี
01:21:36 → 01:21:38 ในลำไส้แล้วช่วยป้องกันมะเร็งเพราะฉะนั้น
01:21:38 → 01:21:40 เนี่ยคาร์โบไฮเดรตไม่ได้แย่ซะทีเดียว
01:21:40 → 01:21:43 อาจารย์ยังสามารถจะกินคาร์โบไฮเดรตที่ดี
01:21:43 → 01:21:46 ได้น้ำตาลแต่ว่ามีไฟเบอร์ซึ่งจะช่วยทำให้
01:21:46 → 01:21:48 เซลล์เ่อลำไส้อาจารทำงานได้ดีขึ้นและป้อง
01:21:48 → 01:21:50 กันมะเร็งด้วยเราได้ยินตลอดเลยกินผัก
01:21:50 → 01:21:54 ผลไม้ป้องกันมะเร็งลำไส้ใชใช่อืก็ด้วยการ
01:21:54 → 01:21:56 ทำงานของเจ้าแบคทีเรียเหล่านี้ใช่ค่ะ
01:21:56 → 01:21:59 แบคทีเรียแล้วก็พวกของเอ่อไฟเบอร์ที่เข้า
01:21:59 → 01:22:01 ไปเขาก็จะไปเป็นอาหารแบคทีเรียในลำไส้เอง
01:22:01 → 01:22:04 เนี่ยมันจะมีทั้งตัวที่ดีและไม่ดีทีนี้พอ
01:22:04 → 01:22:06 มันเข้าไปปุ๊บเนี่ยมันจะสร้างสิ่งแวดล้อม
01:22:06 → 01:22:09 ให้ตัวที่ดีเนี่ยอยู่ได้อ่าแล้วก็อาจจะ
01:22:09 → 01:22:12 ไม่เหมาะกับตัวที่ไม่ดีค่ะเราได้
01:22:12 → 01:22:15 แบคทีเรียตัวดีจากที่ไหนครับโอเคมันมี
01:22:15 → 01:22:17 อยู่แล้วค่ะจริงๆเนี่ยคำถามคือเราอ่ะเป็น
01:22:17 → 01:22:20 ปรสิทของมันหรือเปล่ายังไม่รู้เลยเอ๊หรือ
01:22:20 → 01:22:22 ใครเป็นปรสิทธิ์ของใครใช่เพราะว่าถ้า
01:22:22 → 01:22:24 อาจารย์นับจำนวนเซลล์อ่ะค่ะนับจำนวนเซลล์
01:22:24 → 01:22:26 ในร่างกายเรากับนับจำนวนเซลล์ของ
01:22:26 → 01:22:28 แบคทีเรียเซลล์ของแบคทีเรียมีมากกว่าเรา
01:22:28 → 01:22:30 เพราะฉะนั้นเลยไม่แน่ใจว่าใครเป็นปรสิท
01:22:30 → 01:22:33 ของใครแต่ถ้าตัวเนี่ยเตัวเล็กกว่าเราอ่า
01:22:33 → 01:22:35 ทีนี้ถามว่ามันมาจากไหนจริงๆในแต่ละคนน่ะ
01:22:35 → 01:22:38 ค่ะมันมีอยู่แล้วมันมีหลายชนิดนะคะมีความ
01:22:38 → 01:22:40 หลากหลายมีความหลากหลายเหมือนเหมือนในป่า
01:22:40 → 01:22:42 แล้วมีสัตว์ป่าหลายอย่างนะคะเรามีหน้าที่
01:22:42 → 01:22:45 แค่ทำให้มันสมดุลอือเมื่อเราใช้ชีวิตเรา
01:22:45 → 01:22:48 กินยาปฏิชีวนะเรากินอาหารไม่เหมาะสมความ
01:22:48 → 01:22:51 สมดุลตรงนี้มันเสียไปพอมันเสียไปปุ๊บมัน
01:22:51 → 01:22:53 ก็จะทำให้มีความผิดผิดปกติบางอย่างเกิด
01:22:53 → 01:22:56 ขึ้นเช่นบางคนก็มีลำไส้ปลาปรวนบ้างล่ะมี
01:22:56 → 01:22:58 โน่นมีนี่อะไรอย่างเงี้ยจริงๆแล้วก็กลับ
01:22:58 → 01:23:01 ไปสู่ภาวะปกติอ่ะค่ะกินอาหารครบ 5 หมู่
01:23:01 → 01:23:03 กินเป็น Balance died คือกินทุกอย่าง
01:23:03 → 01:23:07 เนาะกินผักผลไม้เยอะขึ้นไม่กินยาปฏิชิมา
01:23:07 → 01:23:09 เป็นประจำอย่างเงี้ยค่ะก็จะช่วยได้ส่วน
01:23:09 → 01:23:12 ที่เหลือที่บอกว่าโอเคจะไปกินพวกของเอ่อ
01:23:12 → 01:23:15 โยเกิร์ตอันนี้ก็ได้เหมือนกันนะคะเพราะ
01:23:15 → 01:23:17 ว่าแต่ถามว่ามันเยอะพอหรือเปล่ามันก็อาจ
01:23:17 → 01:23:20 จะไม่พอหรอกแต่ว่ามันก็ถือว่าไปช่วยเสริม
01:23:20 → 01:23:22 ส่วนที่ดีอะไรอย่างนี้ค่ะ
01:23:22 → 01:23:28 [เพลง]
01:23:28 → 01:23:30 ตอนนี้เราพูดถึงอาหารเป็นหลักเลยนะครับ
01:23:30 → 01:23:33 ค่ะมันมีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เราเสี่ยง
01:23:33 → 01:23:35 กับมะเร็งบ้างอ่ะครับนอกจากอาหารแล้วอ่ะ
01:23:36 → 01:23:38 โอเคก็มันมีตั้งแต่ว่าเป็นปัจจัยภายในและ
01:23:38 → 01:23:40 ปัจจัยภายนอกเวลาที่เรามองใช่มั้ยคะ
01:23:40 → 01:23:42 ปัจจัยภายในก็คือตัวเราเองแหละตั้งแต่
01:23:42 → 01:23:46 กรมพรอ่าอ่าง่ายๆเลยเ่า Angelina โี่
01:23:46 → 01:23:48 อาจารย์อาจจะเคยได้ยินสักเมื่อหลายปีก่อน
01:23:48 → 01:23:50 ที่บอกว่าเขาออกมาประกาศว่าตัวเองเนี่ยมี
01:23:50 → 01:23:54 กรรมพันธ์ผิดปกติที่อให้เองมเร็งเต้านม
01:23:54 → 01:23:57 แล้วก็เข้าไปสู่การรักษาคือการผ่าตัดเอา
01:23:57 → 01:24:00 เต้านมออกแล้วก็ใส่เเรียกซิลิโคนเข้าไป
01:24:00 → 01:24:03 ใหม่อือเพื่อจะไม่ให้เขาเป็นมะเร็งอ้าว
01:24:03 → 01:24:06 อ้าก็คือมันเป็นมะเร็งเต้านมเขเอาเต้านม
01:24:06 → 01:24:08 ออกไปแล้วเขาก็จะได้ไม่ต้องเป็นมะเร็งโ
01:24:08 → 01:24:10 ครับโอเคั้ยคะแต่ถามว่าในทางการแพทย์เรา
01:24:10 → 01:24:13 ทำมเราเราไม่ได้แนะนำนะคะต่อให้เราเจอเรา
01:24:13 → 01:24:15 ตรวจแล้วเราเจอว่าเป็นมะเร็งตัวเนี้ยหรือ
01:24:15 → 01:24:18 ว่ามียีนตัวนี้ผิดปกติอ่ะเราก็ยังบอกว่า
01:24:18 → 01:24:20 ให้เขาอ่ะเหมือนกับเอ่อทำแมมโมแกรมแล้วก็
01:24:21 → 01:24:23 ติดตามตัวเองเป็นระยะระยะแค่จะยกตัวอย่าง
01:24:23 → 01:24:25 ให้ดูว่ามันมีปัจจัยภายในก็คือกรรมพันธ์
01:24:25 → 01:24:28 ที่ผิดปกตินะคะไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเม็ด
01:24:28 → 01:24:31 เลือดบางอย่างอ่าที่เราเคยได้ยินว่ามันมี
01:24:31 → 01:24:33 ความผิดปกติของยีนของกรมพรแล้วเปลี่ยนไป
01:24:33 → 01:24:36 เป็นมะเร็งนะคะเรื่องของเต้านมหรือว่ามัน
01:24:36 → 01:24:39 จะมีอีกอันนึงก็คือคนที่เป็นมะเร็งลำไส้
01:24:39 → 01:24:42 อือซึ่งอันเนี้ยเขาจะมีลักษณะที่จะเป็น
01:24:42 → 01:24:45 คล้ายๆติ่งเนื้อที่ลำไส้ปริมาณมากนะคะ
01:24:45 → 01:24:47 ตั้งแต่เด็กอ่าพอเวลาผ่านไปปุ๊บติ่งเนื้อ
01:24:47 → 01:24:50 พวกนี้มันกลายพันแล้วมันจะกลายเป็นมะเร็ง
01:24:50 → 01:24:52 อย่างนี้ก็ได้เหมือนกันฉะนั้นตอนนี้ก็จะ
01:24:52 → 01:24:54 มีคคนพูดอยู่เยอะเหมือนกันว่าการตรวจยีน
01:24:54 → 01:24:56 พวกนี้ดูว่าจะเป็นความเสี่ยงของมะเร็ง
01:24:56 → 01:24:57 หรือเปล่าใช่มั้ยคะอันนี้เรามองเป็น
01:24:57 → 01:25:00 ปัจจัยภายในนะคะถ้าเราไม่ได้ตรวจพวกนี้
01:25:00 → 01:25:02 เราก็อาจจะดูในประวัติครอบครัวของเราเช่น
01:25:02 → 01:25:06 โอ้โหทุกเเรชเลยมีมะเร็งกันทุกวทุกคนอะไร
01:25:06 → 01:25:09 เงี้ยอาจก็จะน่าสนใจนิดนึงนะคะอันที่เจอ
01:25:09 → 01:25:12 บ่อยๆแล้วก็ที่เขาพูดกันเนาะก็จะเป็นเต้า
01:25:12 → 01:25:15 นมกับลำไส้มะเร็งลำไส้ใหญ่ยกตัวอย่างนะคะ
01:25:15 → 01:25:18 คนในครอบครัวเเรียกสายตรงสายตรงคืออะไร
01:25:18 → 01:25:21 ข้างๆเราก็คือพี่น้องอบนล่างคือพ่อแม่กับ
01:25:21 → 01:25:24 ลูกเรานั่นคือสายตรงสายตรงตรงนี้ก่อนนะ
01:25:24 → 01:25:26 ถ้าสายตรงเช่นพ่อแม่หรือพี่น้องเราเป็นมี
01:25:26 → 01:25:29 ใครคนใดคนนึงเป็นมะเร็งในช่วงอายุน้อย
01:25:29 → 01:25:32 อันเนี้ยเราจะตัดสินใจว่าโอควรจะไปเช็ค
01:25:32 → 01:25:34 ค่ะแล้วก็เวลาที่เราจะเช็คเนี่ยสมมุติถ้า
01:25:34 → 01:25:36 คนที่เป็นอายุสัก 40 เนาะเราก็จะมาเช็ค
01:25:36 → 01:25:39 ตอน 10 ปีก่อนที่เขาจะเป็นอันที่ 2 เป็น
01:25:39 → 01:25:42 ปัจจัยภายนอกปัจจัยภายนอกก็อาหารอันนึง
01:25:42 → 01:25:45 ที่เมื่อกี้อาจารย์พูดไว้ใช่มยคะฮะมันก็
01:25:45 → 01:25:48 ต้องดูอ่ะค่ะว่ามันจะเป็นมะเร็งอะไรที่
01:25:48 → 01:25:50 ไหนเนาะส่วนใหญ่ก็ทางเดินอาหารแล้วก็ที่
01:25:50 → 01:25:52 บอกว่าเมื่อกี้เรื่องอ้วนเนาะก็จะไป
01:25:52 → 01:25:54 เกี่ยวข้องกับเรื่องของตัวเอ่อมะเร็งที่
01:25:54 → 01:25:57 เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนอืค่ะนอกจากอาหาร
01:25:57 → 01:26:00 ปิ้งย่างหรือว่าสารพวกที่จะยืดอายุของ
01:26:00 → 01:26:02 อาหารแล้วเนี่ยมันมีอะไรอีกมั้ยครับที่
01:26:02 → 01:26:04 อาจจะเป็นตัวที่ทำให้เราเสี่ยงกับมะเร็ง
01:26:04 → 01:26:07 มากขึ้นโอเคอ่าถ้าบ้านเราก่อนเนาะพยาทบาง
01:26:07 → 01:26:09 ตัวที่ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตรงบริเวณ
01:26:09 → 01:26:12 ของท่อน้ำดีและทำให้มีความเสี่ยงของ
01:26:12 → 01:26:14 มะเร็งท่อน้ำดีเพิ่มขึ้นอันนี้เนาะอันที่
01:26:15 → 01:26:17 2 เนี่ยก็ก็จะได้ยินข่าวบ่อยที่บอกว่า
01:26:17 → 01:26:20 ทางเอ่ออีสานใช่มั้ยคะกินอาหารบางประเภท
01:26:20 → 01:26:23 เงี้ยที่สุกๆดิบๆอันที่ 2 ก็จะเป็นกลุ่ม
01:26:23 → 01:26:25 ของมะเร็งตับที่เราจะได้ยินอันนี้ชัดเจน
01:26:25 → 01:26:29 เลยก็คือเชื้อราที่ชื่ออลท็อกซินนะคะมัน
01:26:29 → 01:26:32 จะเป็นสารพิษที่สร้างขึ้นมาจากเชื้อรา
01:26:32 → 01:26:34 เชื้อรานี้อยู่ในไหนอยู่ในกลุ่มของถั่ว
01:26:34 → 01:26:37 ลิสงหรือในถั่วทั้งหลายนะคะทีนี้เนี่ยใน
01:26:37 → 01:26:39 อาหารหลายๆอย่างที่เรากินเนี่ยเราจะเห็น
01:26:39 → 01:26:42 ว่ามันจะมีถั่วลิสงป่นที่ผสมอยู่ถ้า
01:26:42 → 01:26:44 อาจารย์สามารถที่จะคั่วถั่วลิสงแล้ว
01:26:44 → 01:26:46 อาจารย์บดเองเป็นถั่วลิสงที่อาจารย์กิน
01:26:46 → 01:26:49 ใหม่ๆไม่มีปัญหาค่ะแต่ถ้าอาจารย์วางค้าง
01:26:49 → 01:26:51 เอาไว้หรืออาจารย์ไปซื้อมาแล้วอาจารย์ไม่
01:26:51 → 01:26:53 มั่นใจเ่อเ่อมันอาจจะมีเชื้อราอยู่แล้วเ
01:26:53 → 01:26:56 ป่นมาปุ๊บอาจารย์มองไม่เห็นอ่าแล้ว
01:26:56 → 01:26:58 อาจารย์ก็รับประทานเข้าไปสิ่งที่เกิดขึ้น
01:26:58 → 01:27:00 ก็คืออาจารย์จะได้สารพิษที่เราเรียกว่าอล
01:27:00 → 01:27:04 ทอกซินซึ่งมาจากถั่วนั้นแล้วถ้าอาจารย์
01:27:04 → 01:27:06 ได้รับในปริมาณที่เยอะๆนะคะติดต่อกันเป็น
01:27:06 → 01:27:09 ระยะเวลายาวนานมันก็อาจจะทำให้เกิดการ
01:27:09 → 01:27:12 อักเสบขึ้นที่ตับนะคะแล้วก็นำไปสู่เรื่อง
01:27:12 → 01:27:15 ของตัวมะเร็งตับได้ในที่สุดอย่างเงี้ยค่ะ
01:27:15 → 01:27:16 อ
01:27:16 → 01:27:20 [เพลง]
01:27:20 → 01:27:25 ครับคุณหมอครับเราอยากที่จะได้เคล็ดลับ
01:27:25 → 01:27:28 ครับในการที่จะ stay away from cancer
01:27:28 → 01:27:30 หรือว่าห่างไกลจากมะเร็งเนี่ยคุณหมออ๋มี
01:27:30 → 01:27:32 เคล็ดลับที่จะมาแนะพวกเราบ้างมั้ครับเอ่า
01:27:32 → 01:27:34 จริงๆต้องบอกว่ามันเป็นวิธีการปฏิบัติตัว
01:27:34 → 01:27:37 เพื่อสุขภาพดีมันไม่ใช่แค่มะเร็งเนาะมัน
01:27:37 → 01:27:39 มันหมายถึงว่าโรคอื่นๆด้วยอันแรกเลยไม่
01:27:39 → 01:27:42 อ้วนออกกำลังกายสม่ำเสมอเห็นมั้ยคะอ่า
01:27:42 → 01:27:45 สุขภาพดีรูปร่างดีใช่มั้ยคะอ่าถามว่ายัง
01:27:45 → 01:27:48 ไงดีถ้าอ้วนอยู่ให้ลดน้ำหนักนะคะอย่าง
01:27:48 → 01:27:52 น้อยเนาะขอ 5% นะคะไม่ใช่ 5% ในปีนึงเรา
01:27:52 → 01:27:54 เราเซตกันที่ 5-6 เดือนก่อนอ 6 เดือนแรก
01:27:54 → 01:27:57 เงี้ยควรจะลดได้ 5% และนะคะถ้ากลับมาเป็น
01:27:57 → 01:27:59 น้ำหนักปกติได้อันนี้คือดีที่สุดนะคะแต่
01:27:59 → 01:28:02 ถ้าไม่ได้ต้องลดลงนะคะเวลาที่ลดก็คือคุม
01:28:02 → 01:28:05 อาหารออกกำลังกายออกกำลังกายเนี่ยตัวเลข
01:28:05 → 01:28:08 ที่เหมาะสมเอาแค่สุขภาพดีนะคะก็คือมาก
01:28:08 → 01:28:11 กว่า 150 นาทีต่อสัปดาห์และจะต้องหยุดออก
01:28:11 → 01:28:14 กำลังกายไม่เกิน 2 วันอืเพราะฉะนั้นเนี่ย
01:28:14 → 01:28:17 มันคือออกเกือบทุกวันน่ะน้อยสุดในอาทิตย์
01:28:17 → 01:28:19 นึงอ่ะคือ 3 วันครับนะคะแล้วก็ทำได้มาก
01:28:20 → 01:28:22 กว่านั้นเวลาที่คุณหมอเอ๋พูดว่าน้ำหนัก
01:28:22 → 01:28:25 ปกติเนี่ยครับคำว่าปกติของแต่ละคนนี่อาจ
01:28:25 → 01:28:27 จะไม่เท่ากันโอเคอ่าจริงๆแล้วถ้าเกิดเรา
01:28:27 → 01:28:29 เอาอันนี้ต้องบอกว่าข้อมูลมาจากฝรั่งเนาะ
01:28:29 → 01:28:31 เก็จะพูดว่าไม่อ้วนไม่อ้วนของฝรั่งก็คือ
01:28:31 → 01:28:34 เอา BMI ที่ต่ำกว่า 25 BMI ครับค่ะหรือ
01:28:34 → 01:28:38 ว่าดัชนีมวลก่า 25 นะคะก็วิธีคิดก็คือเอา
01:28:38 → 01:28:40 น้ำหนักเป็นตัวตั้งที่เป็นกิโลหารด้วย
01:28:40 → 01:28:43 ส่วนสูงที่เป็นเมตร 2 ครั้งยกตัวอย่าง
01:28:43 → 01:28:48 เช่นอ่าสูงอน้ำหนัก 45 กสูง 155 อย่าง
01:28:48 → 01:28:50 เงี้ยค่ะก็เอา 45 ตั้งแล้วก็หารด้วย 1
01:28:50 → 01:28:54 1.55 2 ครั้งก็จะออกมาเป็น BMI อย่าง
01:28:54 → 01:28:57 เงี้ยค่ะแล้วก็ตัวเลขที่ที่เหมาะสมคือจะ
01:28:57 → 01:29:00 ประมาณตั้งแต่ 18.5 จนถึงประมาณ 25 แต่
01:29:00 → 01:29:03 ถ้าเป็นคนเอเชียค่ะเอ่อเราจะตัดที่ประมาณ
01:29:03 → 01:29:06 23 นะคะเพราะฉะนั้น 23-25 ก็ยังไม่ได้
01:29:06 → 01:29:10 น่าเกลียดมากโอเคครับนี่คือน้ำหนักที่บอก
01:29:10 → 01:29:12 ว่าน้ำหนักปกติคอยู่ในช่วงใชคือไม่อ้วน
01:29:12 → 01:29:16 ไม่ผอมเกินไปอ่านะคะแล้วก็เวลาที่น้ำหนัก
01:29:16 → 01:29:18 ลดลงอาจจะต้องระวังนิดนึงเวลาที่เราลดน้ำ
01:29:18 → 01:29:21 หนักแล้วเราตั้งใจนี่เราไม่กลัวอพวกที่
01:29:21 → 01:29:23 ไม่ได้ตั้งใจแล้วน้ำหนักลดเร็วๆอันนี้
01:29:23 → 01:29:25 ต้องระวังว่าเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งใน
01:29:25 → 01:29:27 ช่วงภายใน 3 เดือนถ้าน้ำหนักลดลงเกิน 5%
01:29:27 → 01:29:30 อันนี้น่าสนใจแล้วค่ะนะคะถ้าลดลง 5% ใน 1
01:29:30 → 01:29:33 เดือนอันนี้ถือว่าแบบชัดเจนมากๆนะคะโดย
01:29:33 → 01:29:36 ทั่วไปก็ 5% ใน 3 เดือนค่ะอาจารย์แล้วเรา
01:29:36 → 01:29:38 ก็มาดูอาหารเนาะเราเอาอันที่มันควรกิน
01:29:38 → 01:29:40 ก่อนก็คืออาจารย์กินให้ครบ 5 หมู่อาจารย์
01:29:40 → 01:29:44 กินผักผลไม้เยอะขึ้นใช่มยคะกินเป็นธัญพืช
01:29:44 → 01:29:45 ที่ไม่ขัดสีเพื่อที่อาจารย์จะได้มี
01:29:45 → 01:29:48 ไฟเบอร์ถ้าสมมุติอาจารย์จะกินเป็นน้ำหวาน
01:29:48 → 01:29:50 อาจารย์ก็กินเป็นผลไม้แทนซะอาจารย์จะได้
01:29:50 → 01:29:52 มีไฟเบอร์ด้วยแล้วที่สำคคืออย่างงี้ค่ะ
01:29:52 → 01:29:55 ถ้าอาจารย์กินเป็นน้ำหวานมันจะขาดความ
01:29:55 → 01:29:58 อิ่มถ้าอาจารย์กินเป็นผลไม้อาจารย์จะมี
01:29:58 → 01:30:00 เวลาเคี้ยวอาจารย์จะยังมีไฟเบอร์กินไป
01:30:00 → 01:30:03 แล้วอาจารย์ก็จะอิ่มส่วนที่จะจำกัดแล้ว
01:30:03 → 01:30:05 เนาะอันนี้คือของที่ให้กินใช่มยคะดื่มน้ำ
01:30:05 → 01:30:08 เปล่าได้เลยนะคะอันที่ 2 ก็จะเป็นส่วนที่
01:30:08 → 01:30:10 จำกัดเมื่อกี้เราพูดไปะก็จะให้เลี่ยงพวก
01:30:10 → 01:30:12 ที่มันเป็นน้ำหวานน้ำหวานเองอาจจะไม่ได้
01:30:12 → 01:30:14 เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งนะคะแต่มันทำให้
01:30:14 → 01:30:16 อ้วนแล้วก็ไปเพิ่มความเสี่ยงอีกทีนึงนะคะ
01:30:16 → 01:30:19 พวกของฟาสฟู้ดอาจารย์จะต้องลดลงมานิดนึง
01:30:19 → 01:30:22 ละใช่มยไขมันเมื่อกี้อาจารย์ไขมันเยอะ
01:30:22 → 01:30:24 เกินไปของปิ้งย่างที่อาจารย์อาจจะมีพวก
01:30:24 → 01:30:27 ของสารกร่อมะเร็งอย่างเงี้ยค่ะเนื้อแดง
01:30:27 → 01:30:30 ใช่มั้ยคะอาหารแปรรูปอย่างเงี้ยค่ะก็จะลด
01:30:30 → 01:30:32 ลงเนื้อแดงไม่ได้ห้ามไม่ต้องถึงขนาด
01:30:32 → 01:30:34 เลี่ยงใช่ใช่ๆเนื้อแดงหรือว่าอาหารแปรรูป
01:30:34 → 01:30:36 อาจารย์แค่ลดปริมาณลงอย่าเยอะเกินไปเยอะ
01:30:36 → 01:30:39 เกินไปในที่นี้เท่าไหร่โดยทั่วไปเราจะแนะ
01:30:39 → 01:30:41 นำว่าถ้ามันเป็นเนื้อเนื้อแดงอ่ะค่ะสัก
01:30:41 → 01:30:43 ประมาณเท่าฝ่ามือเราอย่างเงี้ยค่ะอาทิตย์
01:30:43 → 01:30:45 นึงประมาณสัก 3 ครั้งฝ่ามือผมก็จะใหญ่
01:30:45 → 01:30:47 หน่อยอาจารย์นึกถึงกล่องไพ่อ่าถ้ามันเป็น
01:30:47 → 01:30:50 กล่องไพ่กว้างคูณยาวคูณหนาประมาณนั้นนะคะ
01:30:50 → 01:30:52 อาจารย์ก็จะรีเลี่ยงเนื้อแดงนิดนึงถามว่า
01:30:53 → 01:30:54 เนื้อสัตว์โปรตีนกินได้มั้ยกินได้ค่ะ
01:30:54 → 01:30:57 โปรตีนจากพืชก็ได้หรือจะเป็นเนื้อสีขาว
01:30:57 → 01:30:59 เป็นซีฟู้ดเป็นอะไรอย่างงี้เป็นปลานี้ได้
01:30:59 → 01:31:02 แทนนะคะอันถัดมาก็คืออาจารเลี่ยงพวกเนื้อ
01:31:03 → 01:31:06 แดงเนื้อแปรรูปใช่มั้ยคะอาหารปิ้งย่างไปะ
01:31:06 → 01:31:09 พวกของไขมันสูงๆนะคะเพราะว่ามันอาจจะมี
01:31:09 → 01:31:11 พวกของไขมันทรานสหรืออะไรก็แล้วแต่ว่ากัน
01:31:11 → 01:31:14 ไปทีนี้สุดท้ายก็คือถามว่าัพพูดทุกครั้ง
01:31:14 → 01:31:16 เลยค่ะ sup ก็คือในกรณีที่เราเลือกกิน
01:31:16 → 01:31:20 อาหารปกติไม่พอเรามีข้อจำกัดใดๆก็ตามแต่
01:31:20 → 01:31:23 ถ้าไม่มีก็ไม่ไม่ได้มีแนะนำนะคะแนะนำใน
01:31:23 → 01:31:25 ที่นี้หมายความว่าจะมีัพอะไรมยที่ป้องกัน
01:31:25 → 01:31:28 มะเร็งตอบว่าไม่มีนะคะอันที่ 2 ถามว่าแนะ
01:31:28 → 01:31:31 นำมยเฉพาะกลุ่มค่ะที่สามารถหรือว่าควรจะ
01:31:32 → 01:31:35 กินนะคะถามว่าถ้าใครมีอยู่แล้ววิธีง่ายๆ
01:31:35 → 01:31:37 เลยถ้าสมมุติเป็นกลุ่มวิตามินนะคะอาจารย์
01:31:37 → 01:31:39 จะแยกเป็น 2 กลุ่มคือวิตามินละลายน้ำกับ
01:31:39 → 01:31:42 วิตามินละลายไขมันอือวิตามินละลายไขมันมี
01:31:42 → 01:31:45 โอกาสสะสมได้อือวิตามินละลายน้ำโดยทั่วไป
01:31:45 → 01:31:47 เราก็จะทิ้งไปอาจารย์กินเยอะฉี่อาจารย์ก็
01:31:47 → 01:31:48 จะแพง
01:31:48 → 01:31:52 ขึ้นก็คือมันไม่ดูดซึมก็ไปมันทิ้งอ่า
01:31:52 → 01:31:54 เพราะฉะนั้นเนี่ยโดยทั่วไปก็คืออาจารย์ก็
01:31:54 → 01:31:58 จะบอกว่าให้ลดหรือว่าพยายามที่จะไม่ไม่
01:31:58 → 01:32:00 กินวิตามินละลายไขมันที่ปริมาณเยอะเบต้า
01:32:01 → 01:32:02 คีนก็จะอยู่ในกลุ่มของไวตามิน A อย่าง
01:32:02 → 01:32:05 เงี้ยค่ะนะคะแต่ว่าวิตามินในละลายไขมัน
01:32:05 → 01:32:07 เนี่ยมันจะมีตัวนึงก็คือวิตามินดีที่เรา
01:32:07 → 01:32:10 จะไม่พออาจารย์ก็อาจจะต้องเสริมอาจจะได้
01:32:10 → 01:32:12 จากธรรมชาติเช่นจไปตากแดดหรืออาจารย์จะ
01:32:13 → 01:32:15 เลือกของกินอะไรอย่างเงี้ยวันนี้ครับเรา
01:32:15 → 01:32:17 ได้ทริปจากคุณหมอเอไปหลายอย่างเลยโดย
01:32:18 → 01:32:20 เฉพาะเรื่องของการเลือกกินอาหารและการ
01:32:20 → 01:32:23 ปฏิบัติตัวเพื่อจะห่างไกลจากโรคภัยต่างๆ
01:32:23 → 01:32:26 หลายๆคนอาจจะอยากฟังเรื่องราวของอาหารจาก
01:32:26 → 01:32:29 คุณหมอเอ๋มากขึ้นเนี่ยมีวิธีจะติดตามคุณ
01:32:29 → 01:32:32 หมอเอ๋ได้ยังไงครับค่ะก็จะมี podcast นะ
01:32:32 → 01:32:33 คะที่อยู่ในมหิดล Channel podcast
01:32:34 → 01:32:36 เหมือนกันนะคะชื่อว่ารายการ Food Choice
01:32:36 → 01:32:39 กินดีสุขภาพดีเลือกได้นะคะซึ่งอันนี้รูป
01:32:39 → 01:32:41 แบบรายการจะเป็นเรื่องของการพูดคุยใน
01:32:41 → 01:32:44 เรื่องของรูปแบบอาหารที่ปลอดภัยกับสุขภาพ
01:32:44 → 01:32:46 นะคะก็อย่าลืมฝากติดตามด้วยนะคะวันนี้
01:32:46 → 01:32:48 ต้องขอบคุณคุณหมอเอ๋นะครับผู้ช่วย
01:32:48 → 01:32:51 ศาสตราจารย์แพทย์หญิงจรุนีววัดมวิจิตรที่
01:32:51 → 01:32:53 มารร่วมรายการกับเราครับในโอกาสหน้าหวัง
01:32:53 → 01:32:55 ว่าจะได้พูดคุยกับคุณหมอเอ๋อีกนะครับยิน
01:32:55 → 01:32:58 ดี
01:32:58 → 01:33:01 ค่ะสวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังครับผม
01:33:01 → 01:33:03 อาจารย์เต้จากคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัย
01:33:03 → 01:33:05 มหิดลครับคุณผู้ฟังครับหนึ่งในคำค้นยอด
01:33:05 → 01:33:08 ฮิตตลอดกาลในอินเทอร์เน็ตเลยนะครับก็คือ
01:33:08 → 01:33:11 คำว่าเสื่อมสมรรถภาพทางเพศครับมันเป็น
01:33:11 → 01:33:13 ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกเลยก็ว่าได้แต่
01:33:13 → 01:33:16 หลายๆคนก็คงจะยังไม่กล้าที่จะไปปรึกษาผู้
01:33:16 → 01:33:20 รู้ไม่กล้าแม้แต่จะไปถามกับคุณหมอนะครับ
01:33:20 → 01:33:23 วันนี้ครับเราจะเอาเรื่องนี้มาพูดคุยกัน
01:33:23 → 01:33:25 เลยไม่ต้องไปหาข้อมูลกันในอินเทอร์เน็ตก็
01:33:25 → 01:33:28 ะถ้ามันเกิดกับคุณผู้ฟังคุณผู้ชมแล้วเรา
01:33:28 → 01:33:32 จะรับมือกับมันอย่างไรแล้ว 4 วิธีง่ายๆใน
01:33:32 → 01:33:35 การที่จะรับมือกับอาการสื่อมสมรรถภาพทาง
01:33:35 → 01:33:37 เพศครับวันนี้เป็นเกียรติเหลือเกินนะครับ
01:33:37 → 01:33:40 ที่เราได้รองศาสตราจารย์นายแพทย์อนุพันธ์
01:33:40 → 01:33:43 ตันติวงศ์สัญแพทย์ด้านระบบทางเดินปัสสาวะ
01:33:43 → 01:33:46 สาขาวิชาสัญศาสตร์ยูโรวิทยาภาควิชา
01:33:46 → 01:33:49 สัญศาสตร์คณะแพทยศาสตร์สิริราชพยาบาล
01:33:49 → 01:33:51 มหาวิทยาลัยมหิดลมาอยู่กับเราครับท่าน
01:33:51 → 01:33:52 อาจารย์อาจารย์หมออนุพันธ์เนี่ยถือว่า
01:33:52 → 01:33:55 เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้เลยทางราย
01:33:55 → 01:33:57 การของเราก็เลยเชิญคุณหมอมาเพื่อที่จะพูด
01:33:57 → 01:34:00 คุยเรื่องนี้เลยครับเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
01:34:00 → 01:34:02 ครับคุณหมอครับแต่ก่อนที่จะไปพูดถึงคำว่า
01:34:02 → 01:34:06 เสื่อมสมรรถภาพทางเพศเราลองย้อนกลับไปดู
01:34:06 → 01:34:09 ซะนิดนึงว่าไอ้การแข็งตัวของอวยวะเพศชาย
01:34:09 → 01:34:11 นะครับมันมีขั้นตอนยังไงครับอาจารย์ก่อน
01:34:11 → 01:34:14 ที่จะไปดูว่ามันเสื่อมยังไงดูขั้นตอน
01:34:14 → 01:34:16 เบื้องต้นของมันหลักการสักนิดนึงครับ
01:34:16 → 01:34:18 อาจารย์ครับในเรื่องของการแข็งตัวของ
01:34:18 → 01:34:20 อวัยวะเพศชายเนี่ยครับเราก็คงให้ความ
01:34:20 → 01:34:23 สำคัญกับตอนที่จะมีเพศสัมพันธ์ใช่มั้ย
01:34:23 → 01:34:26 ครับเพราะฉะนั้นเอ่อเราก็อาจจะต้องรู้ว่า
01:34:26 → 01:34:28 กระบวนการของการมีเพศสัมพันธ์เนี่ยมันจะ
01:34:28 → 01:34:31 มีเป็นขั้นตอนอยู่เหมือนกันอ๋อมีขั้นตอน
01:34:31 → 01:34:33 ด้วยแรอครับอาจารย์ฮะๆครับอย่างขั้นแรก
01:34:33 → 01:34:35 เนี่ยเอ่อมันก็เหมือนกับการเตรียมความ
01:34:35 → 01:34:38 พร้อมอ่ะครับอ่าพูดคุยกันก่อนอะไรกันก่อน
01:34:38 → 01:34:41 อย่างงั้นใช่มั้ยครับเพราะว่าถ้าไปผลี
01:34:41 → 01:34:43 ผลามทำไปโดยที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมด้วย
01:34:43 → 01:34:47 กันเนี่ยมันก็อาจจะเกิดปัญหาอุปสรรคได้นะ
01:34:47 → 01:34:50 ครับอพอมาขั้นตอนที่ 2 เนี่ยก็เรียกว่า
01:34:50 → 01:34:53 ต้องมีการเล้าลมกันนะแล้วลมก็คือการ
01:34:53 → 01:34:56 สัมผัสด้วยความรักในจุดต่างๆที่ทำให้เกิด
01:34:56 → 01:34:59 ความสุขซึ่งกันและกันนะครับและถึงไปถึง
01:34:59 → 01:35:02 ขั้นตอนที่ 3 ครับอันนั้นก็คือการที่จะมี
01:35:02 → 01:35:06 การร่วมเพศนะครับอ่าถ้าฝ่ายชายก็คือการ
01:35:06 → 01:35:08 ที่ไว้ว่าเพศนั้นมีการแข็งตัวพอที่จะสอด
01:35:08 → 01:35:11 ใส่เข้าไปในช่องคลอดของผู้หญิงได้ซึ่ง
01:35:11 → 01:35:14 หลายคนก็มักจะให้ความสำคัญกับเฉพาะขั้น
01:35:14 → 01:35:16 ตอนนี้เป็นหลักกระโดดไปเลยจากขั้นตอนศูไป
01:35:16 → 01:35:20 ขั้นตอน 3 เลยอาจารย์ใจรเพราะฉะนั้นมันก็
01:35:20 → 01:35:23 เหลือนเหมือนกับไม่พร้อมใจร้อนตกม้าตาย
01:35:23 → 01:35:27 เออนะครับเพราะฉะนั้นพอ 3 แล้วไม่พอนะ
01:35:27 → 01:35:30 ครับพอ 3 แล้วควรจะต้องมี 4 4 คือยังไง
01:35:30 → 01:35:32 ครับอาจารย์ 4 นี่มันเหมือนกับเป็นการพูด
01:35:33 → 01:35:38 คุยอให้กำลังใจให้ความสุขด้วยการพูดสิ่ง
01:35:38 → 01:35:41 ดีๆที่เกิดขึ้นจากการที่เรามีเพศสัมพันธ์
01:35:41 → 01:35:46 ตรงนั้นหรือแม้แต่มันไม่สำเร็จก็ควรจะมี
01:35:46 → 01:35:48 การพูดคุยให้กำลังใจกันผมเชื่อว่าหลายๆคน
01:35:48 → 01:35:50 เครับกระโดดไปที่ขั้นตอนที่ 3 มครับ
01:35:50 → 01:35:53 อาจารย์จริงจริงจริๆอันเนี้ยผมผมถึงอยาก
01:35:53 → 01:35:56 จะได้มาพูดคุยครับในการที่มันจะแข็งตัว
01:35:56 → 01:35:58 ได้เนี่ยครับอาจารย์อวัยวะเพศชายจะแข็ง
01:35:58 → 01:36:01 ตัวได้เนี่ยมันมีกลไกอะไรอย่างไรครับ
01:36:01 → 01:36:04 อาจารย์ออ่าๆคือเอ่อวัเเพศของเราเนี่ย
01:36:04 → 01:36:08 ต้องลึกภาพเอาหน่อยเนาะนะครับมันเอ่อเป็น
01:36:08 → 01:36:13 ลำใช่มั้ยครับเอ่อเป็นถ้าด้านล่างมันเป็น
01:36:13 → 01:36:16 เป็นท่อสำหรับปัสสาวะนะแต่ด้านบนนั้นน่ะ
01:36:16 → 01:36:20 มันมีแกน 2 อันเหมือนฟองน้ำนะครับแข็งๆ
01:36:20 → 01:36:23 ซึ่งปกติเนี่ยมันจะไม่แข็งหรอกแต่มันเป็น
01:36:23 → 01:36:28 ฟองน้ำที่เลือดจะเข้าไปไปเติมในส่วนนั้น
01:36:28 → 01:36:30 ถ้ามันไปเติมเข้าเต็มที่มันก็จะทำให้ส่วน
01:36:30 → 01:36:33 นั้นมันแข็งตัวขึ้นนะครับการที่เลือดจะ
01:36:33 → 01:36:35 เข้าไปเติมได้เนี่ยก็ต้องมีการขยายตัวของ
01:36:36 → 01:36:39 หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงในส่วนนั้นนะครับ
01:36:39 → 01:36:43 เวลาเรามีความรู้สึกต้องการทางเพศหรือถูก
01:36:43 → 01:36:45 กระตุ้นทางเพศเนี่ยมันเป็นกระตุ้นกลไกใน
01:36:45 → 01:36:49 ร่างกายนะครับก็ทำให้เกิดการขยายตัวของ
01:36:49 → 01:36:51 หลอดเลือดตรงนั้นเพราะฉะนั้นเมื่อไหรแต่
01:36:51 → 01:36:54 ยังมีการกระตุ้นการเร้าเนี่ยการแข็งตัวก็
01:36:54 → 01:36:57 ยังดำเนินต่อไปนะครับจนกระทั่งอเคถ้า
01:36:57 → 01:37:01 เผื่อเกิดมีการหลั่งตอนเนี้ยมันมีกลไกที่
01:37:01 → 01:37:04 ทำให้หยุดการการขยายตัวของหลอดเลือดก็จะ
01:37:04 → 01:37:07 กลับมาเขี่ยวเหมือนเดิมอเหมือนเดิมอัน
01:37:07 → 01:37:10 นั้นเพราะฉะนั้นถ้าเผื่อมีอะไรก็ตามที่ทำ
01:37:10 → 01:37:13 ให้การขยายตัวของหลอดเลือดตรงนั้นไม่ดี
01:37:13 → 01:37:15 ครับการแข็งตัวก็เกิดไม่ได้เกิดไม่ได้
01:37:15 → 01:37:17 หรือเกิดได้น้อยใช่มั้ยเกิดได้น้อยเพราะ
01:37:17 → 01:37:20 ฉะนั้นก็โรคของหลอดเลือดโรคของระบบประสาท
01:37:20 → 01:37:24 ที่ที่จะมาควบคุมตรงนี้ก็จะมีผลถ้าเราพูด
01:37:24 → 01:37:27 ถึงว่าไอ้เจ้าการแข็งตัวเนี่ยครับมันเกิด
01:37:27 → 01:37:31 จากปัจจัยหลายๆอย่างอแล้วถ้ามันไม่สามารถ
01:37:32 → 01:37:34 ที่จะแข็งตัวได้เนี่ยเราเรียกได้เลยมั้ย
01:37:34 → 01:37:36 ครับว่าคนๆเนี้ยเขาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
01:37:36 → 01:37:39 แล้ว่ะครับอืมคือถ้าไปพูดคำว่าเสื่อม
01:37:39 → 01:37:42 เนี่ยนะน่าตกใจน่าตกใจและน่าอายครับ
01:37:42 → 01:37:44 อาจารย์ผมผมยังถ้าเผื่อมันเกิดขึ้นกับผม
01:37:44 → 01:37:46 เนี่ยผมคงไม่รู้ว่าจะไปปรึกษาใครครับ
01:37:46 → 01:37:48 อาจารย์ครับเพราะฉะนั้นบางคนก็จะบอกเอ้า
01:37:48 → 01:37:53 ขอหย่อนๆแล้วกันหย่อนสทางเพศแล้วก็บางที
01:37:53 → 01:37:56 คนไขก็เดี๋ยวนี้จะใช้คำว่า Ed นะครับ
01:37:56 → 01:38:00 เพราะว่าคำ Ed มาจากภาษาอังกฤษนะครับอค
01:38:00 → 01:38:03 ฟังชัน ect dis funtion อ่าครับก็คือ
01:38:03 → 01:38:07 หน้าที่ในการแข็งอคเนี่ยมันเสียไปอนะครับ
01:38:07 → 01:38:10 เพราะฉะนั้นคำนี้ก็เลยกลายเป็นคำที่คนจะ
01:38:10 → 01:38:13 รู้จักมักคุ้นขึ้นบางทีก็จะมาหาหมอบอกผม
01:38:13 → 01:38:16 เป็น Ed ครับมันก็จะสะดวกปากมากกว่าที่จะ
01:38:16 → 01:38:19 บอกคุณหมอครับผมหย่อนสมรรถภาพทางเพศครับ
01:38:19 → 01:38:24 ใช่มั้ใช่ครับถ้าจะพูดถึงคำนิยามของ Ed
01:38:24 → 01:38:27 นะครับอาจารย์ครับอมันมีคำนิยามให้พอที่
01:38:27 → 01:38:29 จะเข้าใจได้ง่ายมั้ยครับว่ามันจะต้องเกิด
01:38:29 → 01:38:32 กันบ่อยขนาดไหนหรือมันเกิดครั้งเดียวก็
01:38:32 → 01:38:36 ถือว่าเป็น ed แล้วอืเป็นห่วงใช่มั้เป็น
01:38:36 → 01:38:38 ห่วงครับเริ่มเป็นห่วงตัวเองครับพักเดียว
01:38:38 → 01:38:41 อย่าเพิ่งกังวลอ๋อเหรอครับครับคือคือว่า
01:38:41 → 01:38:45 ไอ้นิยามของมันเนี่ยมันก็มันก็บอกด้วย
01:38:45 → 01:38:49 ด้วยลักษณะของไอ้คำตรงนั้นอยู่แล้วนะครับ
01:38:49 → 01:38:52 เอ่อเพราะฉะนั้นเนี่ยคนผู้เอ่อคนนั้นเอง
01:38:52 → 01:38:55 เนี่ยจะรู้ตัวเองหรือแม้คู่นอนของเขาก็จะ
01:38:55 → 01:38:58 รู้เลยว่าอ่าๆอันนี้มันมีปัญหาเรื่องของ
01:38:58 → 01:39:01 การแขงตัวนะครับแต่มันมีระดับของการแข็ง
01:39:01 → 01:39:05 ตัวนะเช่นถ้าถ้าเป็นน้อยๆมันมันแข็งได้
01:39:05 → 01:39:08 แต่มันแข็งได้ไม่นานมันก็อ่อนแต่ถ้าเป็น
01:39:08 → 01:39:11 Ed เนี่ยแข็งได้ไม่นานแล้วก็อ่อนโดยที่
01:39:11 → 01:39:15 ไม่ทันหลังอนะครับถ้าแย่ขึ้นไปอีกนิดนึง
01:39:15 → 01:39:19 ก็คือโหแข็งแต่กว่าจะสอดใส่ไปได้นี่มัน
01:39:19 → 01:39:23 ยากเหลือเกินอือครับแล้วถ้าแย่มากๆก็คือ
01:39:23 → 01:39:26 แข็งไม่พอเลยสอดใส่ไม่ได้เลยนะครับเพราะ
01:39:26 → 01:39:29 ฉะนั้นมันก็มีระดับของมันคือต้องให้เข้า
01:39:29 → 01:39:32 ใจก่อนว่าโดยธรรมชาติของคนเราเนี่ยมันไม่
01:39:32 → 01:39:34 ใช่จะต้องดี 100% ทุกครั้งไปอ่ะเออ
01:39:34 → 01:39:36 อันเนี้ยต้องอย่าเข้าใจผิดอันนี้เป็น
01:39:36 → 01:39:39 กำลังใจให้ผมเองด้วยก็อ่าแน่นอนขอเป็น
01:39:39 → 01:39:42 กำลังใจให้กับทุกคนนะครับคือคือมันไม่
01:39:42 → 01:39:44 จำเป็นว่าต้องดีทุกครั้งเอ่อบางครั้งที่
01:39:44 → 01:39:47 เราเหนื่อยๆมาเนาเราไม่ได้พักผ่อนมันก็
01:39:48 → 01:39:51 ไม่ค่อยจะสู้ออ่าบางคนกินเหล้ามามากิน
01:39:51 → 01:39:54 เลี้ยงมาแหมนึกว่าจะฉลองกันซะหน่อยมันเมา
01:39:54 → 01:39:57 เกินไปมันก็ไม่สู้ขึ้นมาเหมือนกันนะครับ
01:39:57 → 01:40:00 เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อเกิดเป็นแค่ครั้ง 2
01:40:00 → 01:40:03 ครั้งเนี่ยผมคิดว่ามันเป็นธรรมชาติอแล้ว
01:40:03 → 01:40:06 ก็ไม่ต้องไปตกใจมันมีโอกาสกลับคืนมาได้
01:40:06 → 01:40:09 ครับแต่ถ้าเมื่อไหร่มันค่อยๆเป็นทีละน้อย
01:40:09 → 01:40:11 แล้วเป็นมากขึ้นเป็นอยู่นานบางคนบอกต้อง
01:40:11 → 01:40:14 เป็นหลายๆเดือนหน่อยนะติดต่อกันอันเนี้ย
01:40:14 → 01:40:17 เออถึงน่าจะมีปัญหาจริงๆครับครับถ้าเป็น
01:40:17 → 01:40:20 ครั้ง 2 ครั้งยังไม่ต้องกังวลมากนะครับ
01:40:20 → 01:40:23 ใชมฮะผมไม่อยากให้กังวลอย่ากังวลเลยใช่
01:40:23 → 01:40:27 มั้ยครับแต่จริงๆเนี่ยมันกลับมีคนกังวลอื
01:40:27 → 01:40:30 มีคนกังวลเยอะและไอ้ความกังวลนั่นแหละมัน
01:40:30 → 01:40:33 คือสาเหตุของ Ed ที่เกิดจากเรื่องจิตใจอ
01:40:33 → 01:40:36 อ๋อแสดงว่าสาเหตุของ Ed เนี่ยมันมาจากจิต
01:40:36 → 01:40:39 ใจได้ด้วยเหมือนกันเหรอครับโอ้แน่นอนเลย
01:40:39 → 01:40:41 ถ้าจะแบ่งสาเหตุมันก็จะแบ่งเป็น 2 เรื่อง
01:40:41 → 01:40:45 ใหญ่ๆครับคือทางกายกับทางใจนะครับทางกาย
01:40:45 → 01:40:47 เนี่ยก็คืออย่างที่เมื่อกี้บอกว่าคนไกมัน
01:40:47 → 01:40:49 ต้องมีเรื่องเรื่องของหลอดเลือดใช่มั้ยฮะ
01:40:49 → 01:40:52 หลอดเลือดมีการขยายหลายตัวเพราะฉะนั้นโรค
01:40:52 → 01:40:56 เรื้อรังหลายๆอย่างเช่นเบาหวานเรื่องความ
01:40:56 → 01:41:00 ดันโลหิตสูงไขมันสูงนะครับโรคหัวใจโรค
01:41:00 → 01:41:03 อ้วนพวกเนี้ยแล้วก็ตามอายุด้วยอเพราะ
01:41:03 → 01:41:06 ฉะนั้นไอ้พวกเเป็นปัจจัยเสี่ยงทางกายที่
01:41:06 → 01:41:09 จะทำให้เกิดปัญหาอีดีขึ้นอนะครับครับส่วน
01:41:09 → 01:41:12 ทางใจก็อยากรู้มั้ยมีอะไรบ้างอยากรู้เลย
01:41:12 → 01:41:15 ครับอาจารย์เพราะผมเป็นคนขี้กังวนครับอ่า
01:41:15 → 01:41:19 นั่นแหละก็ต้องทำใจสบายๆนะครับเท่าที่ผม
01:41:19 → 01:41:23 รวบรวมจากคนให้นะครับครับเอ่ออันแรกน่าจะ
01:41:23 → 01:41:26 เป็นความไม่พร้อมซึ่งมันเป็นจุดเริ่มต้น
01:41:26 → 01:41:30 ที่เมื่อกี้บอก่ะบางทีอเมานะครับเพลียไม่
01:41:30 → 01:41:34 ได้หลับได้นอนมันก็ไม่มีเรี่ยวมีแรงเออนะ
01:41:34 → 01:41:37 ครับไม่พร้อมนี่บางทีไม่ใช่ตัวเรานะฮะ
01:41:37 → 01:41:39 ฝ่ายหญิงเค้าไม่พร้อมเไม่เล่นด้วยอย่าง
01:41:39 → 01:41:43 เงี้ยเราก็หงอยไปนะครับมันก็เลยไม่สู้ใช่
01:41:43 → 01:41:46 มั้ยเพราะฉะนั้นก็ต้องดูให้ดีถ้าเผื่อว่า
01:41:46 → 01:41:49 เราจะทำอะไรให้มันมีความสุขจริงๆก็ต้องมี
01:41:49 → 01:41:53 ความพร้อมแต่แต่ถ้าถ้าผมจะถามผมก็มักจะ
01:41:53 → 01:41:56 ถามว่าอ้าแล้วตอนเช้าๆมันมีการแข่งมั้ย
01:41:56 → 01:41:59 เออคือถ้าเราสังเกตได้ว่าเอ๊ะเช้าๆก็แข็ง
01:41:59 → 01:42:03 ตัวดีิอนะครับอันนี้แหละแสดงว่ากลไกการทำ
01:42:03 → 01:42:06 งานการขยายของหล่อดเลือดต่างๆมันยังทำงาน
01:42:06 → 01:42:10 ได้ดีอยู่อือันเนี้ยไม่ต้องไปกังวลมัน
01:42:10 → 01:42:13 เป็นเรื่องของจิตใจที่ทำให้การแข็งตัวมัน
01:42:13 → 01:42:16 แย่ลงเมื่อไหร่กังวลนะครับระบบประสาท
01:42:16 → 01:42:18 อัตโนมัติของเราเนี่ยมันจะไปทำให้หลอด
01:42:18 → 01:42:21 เลือดมันกดตัวอ้าวที่เพราะฉนั้นแทนที่มัน
01:42:21 → 01:42:25 จะขยายมันจะแข็งมันก็เหี่ยวมันก็เหี่ยว
01:42:25 → 01:42:27 นอกจากอาการไม่แข็งแล้วเนี่ยครับคุณหมอ
01:42:27 → 01:42:31 ครับมันมีอาการผิดปกติอื่นๆได้อีกมั้ย
01:42:31 → 01:42:34 ครับคือจริงๆถ้าจะมองเรื่องสุขภาพทางเพศ
01:42:34 → 01:42:37 จะมี 3 เรื่องครับที่มักจะเจอกับพวกผู้
01:42:37 → 01:42:41 ชายนะครับแล้วบางทีมันก็จะสับสนซับซ้อน
01:42:41 → 01:42:44 กันนะครับที่ว่าเป็น Ed เนี่ยเราพบบ่อย
01:42:44 → 01:42:48 ที่สุดะได้ทุกอายุคือไม่แข็งตัวนะครับอัน
01:42:48 → 01:42:51 ที่ 2 ที่มันก็จะเจอได้แต่นเจอนะอายุที่
01:42:51 → 01:42:53 มากขึ้นเรื่อยๆครับเพราะมันเกี่ยวกับ
01:42:53 → 01:42:56 เรื่องของฮอร์โมนเพศชายอืคือถ้าฮอร์โมน
01:42:56 → 01:42:59 เพศชายในอายุมากขึ้นมันจะค่อยๆลดลงนะครับ
01:42:59 → 01:43:02 เพราะฉะนั้นความรู้สึกต้องการทางเพศนะ
01:43:03 → 01:43:05 ครับที่เหมือนแม้จะมีผู้หญิงสวยๆอยู่ข้าง
01:43:05 → 01:43:09 ๆก็ไม่มีการรู้สึกต้องการไม่แข็งขึ้นมา
01:43:09 → 01:43:13 อันนี้เป็นเรื่องของความรู้สึกต้องการมัน
01:43:13 → 01:43:16 ที่มันลดลงลดลงไปอืนะครับครับก็ก็จะเจอ
01:43:16 → 01:43:19 ได้อือฮึส่วนอันที่ 3 นั้นเราเรียกว่าการ
01:43:19 → 01:43:22 หลั่งเร็วครับเนี่ยก็หลายคนก็อาจจะเข้าใจ
01:43:22 → 01:43:26 ผิดนึกว่าเออมันต้องโอครึ่งชั่วโมงนะเขไป
01:43:26 → 01:43:29 ดูหนังมากอย่างเงี้ยนะครับอออันนั้นอัน
01:43:29 → 01:43:32 นั้นทำให้เราเข้าใจผิดออครับเพราะเศึกษา
01:43:32 → 01:43:34 มาแล้วโดยปกติมันก็จะอยู่ประมาณสัก 7
01:43:34 → 01:43:37 นาทีบวกลบอ๋อ 7 นาทีบวกลบนะครับเออแล้ว
01:43:37 → 01:43:40 ส่วนใหญ่คนที่เป็นเป็นปัญหาก็มักจะอาจจะ
01:43:40 → 01:43:43 น้อยกว่า 2 นาทีนะครับหรือบางทีก็อาจยัง
01:43:43 → 01:43:45 ไม่ทันสอดใส่เลยก็หลังแล้วอย่างเงี้ยนะ
01:43:46 → 01:43:48 ครับอครับเพราะฉะนั้นก็เป็นอีกอันนึงซึ่ง
01:43:48 → 01:43:51 อาจจะเจอในในวัยรุ่นมากกว่าเพราะว่ายัง
01:43:51 → 01:43:54 ขาดประสบการณ์ในการจะควบคุมอครับซึ่ง
01:43:54 → 01:43:56 สาเหตุของการหลั่งเร็วนี่น่าจะเกิดจาก
01:43:56 → 01:43:59 อะไรครับส่วนหนึ่งมาจากจิตใจแต่การหลั่ง
01:43:59 → 01:44:02 เร็วเนี่ยเอ่อก็จะมีเทคนิคอะไรต่างๆที่
01:44:02 → 01:44:05 อาจจะเคยเห็นเคยอ่านกันมากับอีกอันนึงทาง
01:44:05 → 01:44:08 การแพทย์เราก็มียาบางตัวนะครับที่อาจจะไป
01:44:08 → 01:44:11 ช่วยเออช่วยชะลอการหลั่งเร็วได้ชครับแล้ว
01:44:11 → 01:44:13 เรื่องการหลั่งเร็วกับ Ed เนี่ยบางทีมัน
01:44:14 → 01:44:17 สัมพันธ์กันอ้าวเหรอครับเออเพราะว่าพอพอ
01:44:17 → 01:44:22 สมมุติว่าคนไหนเนี่ยนะครับที่ที่มีอีเนอะ
01:44:22 → 01:44:25 เช่นพอพอรู้ว่าสอดใส่ไม่นานมันก็จะอ่อน
01:44:25 → 01:44:28 ตัวะก็คงจะต้องรีบทำให้มันเสร็จเร่งสปีด
01:44:28 → 01:44:31 เร่งสปีดอ้าวกลายเป็นหลั่งเร็วหรือคน
01:44:31 → 01:44:34 เริ่มต้นด้วยหลั่งเร็วก่อนแล้วพอหลั่ง
01:44:34 → 01:44:37 เร็วมากๆก็มันกังวลของจะหลังมันก็เลยต่อ
01:44:37 → 01:44:41 มามันเลยไม่แข่งออกซะเลยเป็นดีไปอันนี้
01:44:41 → 01:44:44 มันเกี่ยวข้องกันได้เออผมไม่เคยนึกเลยนะ
01:44:44 → 01:44:48 ผมเคยได้ยินหลายๆคนนะฮะที่บอกว่าการที่
01:44:48 → 01:44:50 สำเร็จความใคร่หรือว่าช่วยตัวเองอยู่
01:44:50 → 01:44:54 เรื่อยๆเนี่ยมันอาจจะนำไปสู่เรื่องปัญหา
01:44:54 → 01:44:57 ของสุขภาพทางเพศได้มันจริงมั้ยครับคุณหมอ
01:44:57 → 01:44:59 ครับผมคิดว่าไม่จริงอ๋อเหรอครับแต่แต่มัน
01:44:59 → 01:45:04 ก็จะมีคนไข้บางคนนะครับที่ที่เค้ามีมีการ
01:45:04 → 01:45:08 ช่วยตัวเองบ่อยๆครับเอ่อมันก็อาจจะเหมือน
01:45:08 → 01:45:11 กับว่ามันชินก็ก็เลยทำให้ไอ้ตอนจะมีเพศ
01:45:11 → 01:45:15 สัมพันธ์จริงๆอาจจะคือการกระตุ้นอาจจะไม่
01:45:15 → 01:45:17 เหมือนกับตอนที่ช่วยตัวเองนะเพราะช่วยตัว
01:45:17 → 01:45:19 เองมันมีทั้งดูหนังดูอะไรทำหลายๆอย่างก็
01:45:19 → 01:45:23 ได้อือนะครับเพราะฉะนั้นแต่โดยโดยในหลัก
01:45:23 → 01:45:25 การทฤษฎีแล้วเนี่ยมันไม่น่ามาเกี่ยวข้อง
01:45:25 → 01:45:29 กันอนะครับอครับความผิดปกติทั้ง 3 อย่าง
01:45:29 → 01:45:31 นะครับไม่ว่าจะเป็นความต้องการอเพศที่ลด
01:45:31 → 01:45:34 ลงการไม่แข็งตัวของอวัยวเพศหรือการหลั่ง
01:45:34 → 01:45:37 เร็วนะครับมันต้องเกิดขึ้นอยู่ยาวนานสัก
01:45:37 → 01:45:40 เท่าไหร่ถึงจะเอ๊คงจะต้องหาคำปรึกษาแล้ว
01:45:41 → 01:45:45 ครับเออเท่าที่ผมสังเกตนะครับถ้าถ้าเมื่อ
01:45:45 → 01:45:48 ไหร่เนี่ยมันแบบจักตดีดีอยู่แล้วปุ๊บปั๊บ
01:45:48 → 01:45:51 เป็นเนี่ยนะครับผมผมคิดว่ามันเป็นเรื่อง
01:45:51 → 01:45:55 ทางด้านจิตใจความไม่พร้อมในครั้งนั้นก็ทำ
01:45:55 → 01:45:58 ให้เกิดปัญหานะครับไอ้ตรงเนี้ยถ้าเราเข้า
01:45:58 → 01:46:00 ใจเนี่ยเราก็อาจจะไม่จำเป็นต้องไปศึกษา
01:46:00 → 01:46:04 แพทย์ก็ได้อนะครับนั้นพอเข้าใจเราทำใจเรา
01:46:04 → 01:46:08 ปรับตัวอะไรของเราใหม่อ่ะมันก็โอเคนะครับ
01:46:08 → 01:46:12 แต่ถ้าเมื่อไหร่มันมันเป็นแล้วเราเรารู้
01:46:12 → 01:46:14 ว่าเรามีความเสี่ยงทางด้านร่างกายอ่ะเช่น
01:46:14 → 01:46:17 อายุเรามากขึ้นแล้วเรามีโรคเรื้อรังหลายๆ
01:46:17 → 01:46:19 อย่างเนี่ยแล้วโดยมากมันจะค่อยๆเป็นค่อยๆ
01:46:20 → 01:46:22 ไปเป็นมากขึ้นอย่างเนี้ยครับผมคิดว่า
01:46:22 → 01:46:25 อันเนี้ยควรควรปรึกษา
01:46:25 → 01:46:29 [เพลง]
01:46:29 → 01:46:32 แพทย์คุณหมอครับถ้าในที่สุดแล้วถูก
01:46:32 → 01:46:36 วินิจฉัยว่ามีอาการ Ed ครับอวิธีในการที่
01:46:36 → 01:46:39 จะรักษาเนี่ยมันมีวิธีการไหนบ้างครับมัน
01:46:39 → 01:46:41 ก็คือขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ว่ากายหรือใจ
01:46:42 → 01:46:44 หรือทั้ง 2 อย่างนะแล้วก็ขึ้นอยู่กับความ
01:46:44 → 01:46:47 รุนแรงด้วยเป็นมากเป็นน้อยแค่ไหนนะครับ
01:46:47 → 01:46:50 ถ้าเรียงลำดับกันไปเนี่ยครับเอ่อส่วนใหญ่
01:46:50 → 01:46:54 เนี่ยเราเรามักจะใช้เรื่องของการกินยายา
01:46:54 → 01:46:57 แต่จริงๆการกินยาเนี่ยมันเป็นเป็น
01:46:57 → 01:47:00 วิวัฒนาการที่มาหลังสุดเลยอ้าวนะรฮะผมก็
01:47:00 → 01:47:03 นึกว่ายาเนี่ยมาก่อนเลยเออไม่ใช่พอมีการ
01:47:03 → 01:47:07 กินยาซึ่งมันง่ายเนี่ยนะมันเลยทำให้ไอ้
01:47:07 → 01:47:10 เรื่องของ Ed เนี่ยมีคนสนใจมากขึ้นถ้า
01:47:10 → 01:47:13 เข้ามาหาหมอรักษามากขึ้นเพราะมันน่าจะ
01:47:13 → 01:47:15 ง่ายมันจะง่ายเพราะว่าวิธีที่ยากกว่าซึ่ง
01:47:15 → 01:47:17 ซึ่งเกิดมาก่อนเนี่ยก็อาจจะเป็นเรื่องของ
01:47:17 → 01:47:20 การฉีดยาฉีดฉดฉีดไปที่ไหนครับผมเริ่ม
01:47:20 → 01:47:25 เสียวครับตรงอวัยวเภศโอ้โหคนลุกเลย
01:47:25 → 01:47:28 ครับเออพอมันเป็นยาเม็ดนี่มันง่ายกว่ากัน
01:47:28 → 01:47:31 เยอะมันง่ายกว่ากันเยอะแต่กลไกมันคืออัน
01:47:31 → 01:47:34 เดียวกันคือไปทำให้มีการขยายตัวของหลอด
01:47:34 → 01:47:37 เลือดตรงบริเวณอวัยวะเพศอีกอันนึงที่จะทำ
01:47:37 → 01:47:40 ให้เอ่อเลือดมันเข้าไปอยู่ตรงนั้นได้
01:47:40 → 01:47:42 เนี่ยครับเขาเรียกว่าใช้ปั๊มหรือกระบอก
01:47:42 → 01:47:46 สุญญากาศงเคยเห็นในโฆษณาตามแมกาซีนอ๋เคย
01:47:46 → 01:47:48 เห็นอ้าผมก็นึกว่าเ้าเอาไว้เพิ่มขนาด
01:47:48 → 01:47:51 อย่างเดียวเออคือคือคือผมไม่ได้แนะนำถึง
01:47:52 → 01:47:54 กับเพิ่มขนาดนะไปใช้คำว่าเหมือนกับเป็น
01:47:54 → 01:47:58 การไป Exercise ทำให้มีมีเลือดมันไหล
01:47:58 → 01:48:00 เวียนเข้าไปไงอ๋อครับเพราะว่าเวลาเราสวม
01:48:00 → 01:48:03 กระบอกแล้วเนี่ยนะครับแล้วเราปั๊มเอาให้
01:48:03 → 01:48:05 เกิดสูญากาศเนี่ยมันก็จะต้องทำให้เลือด
01:48:05 → 01:48:08 วิ่งเข้ามาในวัยวเพศมากขึ้นใช่มั้ยมันก็
01:48:09 → 01:48:12 จะเกิดการพองการขยายตัวการแข็งอแต่ถ้า
01:48:12 → 01:48:14 เผื่อเราเอากระบอกออกปั๊บเนี่ยมันก็
01:48:14 → 01:48:16 เหี่ยวเลยมันก็เหี่ยวสิครับทำไงล่ะครับ
01:48:16 → 01:48:19 อ่าก็ต้องมีหนังสติ๊กหนังยางขึ้นมาอีกอัน
01:48:19 → 01:48:23 นึงออฮะรูดเข้าไปรัดที่โคนอวัยวเพศเพื่อ
01:48:23 → 01:48:25 จะให้เลือดมันกันไม่ให้เลือดเออที่มัน
01:48:26 → 01:48:29 เข้ามาแล้วเนี่ยไหลออกไปแล้วเราก็รัดไป
01:48:29 → 01:48:32 เรื่อยแหละจนกว่าเสร็จกิจน่ะถึงตัดมันออก
01:48:32 → 01:48:35 เออบางคนเพลินนะตัดตัดยางใช่มั้ยฮะตัดยาง
01:48:35 → 01:48:38 ไม่ใช่ตัดแล้วแต่บางคนถ้าเพลินนะครับเกิด
01:48:38 → 01:48:41 รัดนานเป็นชั่วโมงเนี่ยนะอ้อมันทำให้มีผล
01:48:42 → 01:48:44 นะหมายถึงเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศไม่เพียง
01:48:44 → 01:48:46 พออย่างเงี้แอครับใชผมเคยผมเคยอ่านอีก
01:48:46 → 01:48:49 แล้วครับคุณหมอครับว่าบางที่เขาใช้วิธี
01:48:49 → 01:48:53 การฝังแกนเข้าไปอผ่าตัดเพื่อจะฝังแกนเข้า
01:48:53 → 01:48:56 ไปมันมันมันมันมีจริงเหรอครับมีแล้วก็ทำ
01:48:57 → 01:48:59 มานานและอาจจะเป็นเรียกว่าเอ่อไม้สุดท้าย
01:48:59 → 01:49:03 แหละที่จะช่วยตรงนั้นเดี๋ยวเเราจะพบว่า
01:49:03 → 01:49:05 เจอคนไข้ที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมากขึ้น
01:49:05 → 01:49:08 เพราะเรามีการตรวจเช็คใช่มั้ยครับแล้วพอ
01:49:08 → 01:49:11 เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะแรกๆเนี่ยซึ
01:49:11 → 01:49:13 ยังอยู่ภายในต่อมลูกหมากเนี่ยถ้าเราไปตัด
01:49:13 → 01:49:16 เอาต่อมลูกหมากออกมันก็จะมีโอกาสหายขาด
01:49:16 → 01:49:19 ได้อืแต่บางครั้งเนี่ยตรงต่อมลูกหมากนั้น
01:49:19 → 01:49:23 มันมีเส้นประสาทที่มาเลี้ยงอวัยวเพศครับ
01:49:23 → 01:49:27 ผ่านติดมาข้างๆมันอาจจะโดนทำลายอครับถ้า
01:49:27 → 01:49:30 โดนทำลายไปทั้ง 2 ทั้ง 2 ด้านเนี่ยคนนั้น
01:49:30 → 01:49:35 ก็มีอีแบบสมบูรณ์นะครับคือยาก็อาจจะช่วย
01:49:35 → 01:49:38 ไม่ได้เลยอยากกินนะฮะเพราะฉะนั้นถ้าวิธี
01:49:38 → 01:49:42 การแก้ถาวรก็คือเราต้องเอาแกนอวัยวะเทศ
01:49:42 → 01:49:46 เพศเทียมเนี่ยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศ
01:49:46 → 01:49:48 อย่างงี้มันก็แข็งอยู่ตลอดเวลาสิครับอ้า
01:49:48 → 01:49:51 มีหลายแบบให้เลือกมีหลายแบบอถ้าเงินน้อย
01:49:52 → 01:49:55 หน่อยก็ก็แบบแข็งแบบพอพับได้อ๋อแข็งแบบ
01:49:55 → 01:49:58 พับได้เออแต่ถ้าเผื่อแบบมีเงินมากหน่อย
01:49:58 → 01:49:59 เนี่ย
01:49:59 → 01:50:03 เอ่อมันจะแข็งได้ต่อเมื่อมันมีน้ำเข้าไป
01:50:03 → 01:50:06 ในแกนอันนั้นนะครับน้ำมันมาจากไหนน้ำมัน
01:50:06 → 01:50:10 ก็มาจากไอ้ถุงที่เราเก็บน้ำไว้นะครับแล้ว
01:50:10 → 01:50:13 ก็มีตัวปั๊มถ้าเราต้องการให้มันแข็งเราก็
01:50:13 → 01:50:16 บีบปั๊มๆๆัมๆน้ำในถุงเก็บมันก็เข้าไปอยู่
01:50:16 → 01:50:20 ในแกนนั้นก็แข็งขึ้นมาแกออ่าแล้วพอเราไม่
01:50:20 → 01:50:23 เสร็จกิจแล้วครับเราก็ปั๊มๆๆออกกลับมา
01:50:23 → 01:50:26 อยู่ในในถุงเก็บออดีเลยอย่างงี้ก็สามารถ
01:50:26 → 01:50:29 เลือกระดับความแข็งได้ตามความต้องการอ่า
01:50:29 → 01:50:32 ทั้งทั้งนานก็ความตามความต้องการได้เพราะ
01:50:32 → 01:50:34 ว่าเมื่อไหร่เรายังไม่ได้ปั๊มออกมันก็ยัง
01:50:34 → 01:50:37 แข็งอยู่อย่างนั้นยาพวกนี้มันมีผลข้าง
01:50:37 → 01:50:41 เคียงหลายอย่างมครับมันมีแต่ถือว่าน้อยนะ
01:50:41 → 01:50:44 ครับเพราะว่าถ้ากลไกของมันเนี่ยคือการ
01:50:44 → 01:50:47 ขยายตัวของหลอดเลือดครับแต่เขาก็พยายามจะ
01:50:47 → 01:50:51 ออกแบบให้มันขยายเฉพาะตรงเอวัยวเพศอืแต่
01:50:51 → 01:50:54 บางครั้งมันก็ไปขยายเส้นเลือดทางอื่นอาจ
01:50:54 → 01:50:58 จะรู้สึกตัวมันร้อนๆวูบวาบอาจจะรู้สึกว่า
01:50:58 → 01:51:00 มึนๆหัวคัดจมูกอะไรอย่างเงี้ยเพราะหลอด
01:51:00 → 01:51:02 เลือดที่อื่นมันก็ขยายไปด้วยเลือที่อื่น
01:51:02 → 01:51:06 อาจจะขยายด้วยอืแต่ถือว่ามีน้อยครับแต่ขอ
01:51:06 → 01:51:10 เตือนนิดนึงมันมีข้อห้ามของการกินยานะ
01:51:10 → 01:51:13 ครับเพราะว่าคนที่เป็นโรคหัวใจซึ่งเหมือน
01:51:13 → 01:51:16 ก็ความเสี่ยงอยู่แล้วนะแล้วก็กินยาหัวใจ
01:51:16 → 01:51:18 บางอย่างซึ่งบางทีมันไปเสริมฤทธิ์กับตัว
01:51:18 → 01:51:22 นี้อครับอาจจะทำให้ความดันตกอาจจะทำให้
01:51:22 → 01:51:26 หัวใจวายไปได้ก็ต้องระวังห้ามกินยายาแบบ
01:51:26 → 01:51:28 นี้ควรซื้อมากินเองมยครับ
01:51:28 → 01:51:34 เอ่อจริงๆอผมคิดว่าถ้าดีเนี่ยควรควรจะไป
01:51:34 → 01:51:37 คุยกับหมอก่อนนะครับเพื่อจะได้รู้ว่าจริง
01:51:37 → 01:51:40 ๆแล้วสาเหตุมันเป็นยังไงกันแน่แล้วอะไร
01:51:40 → 01:51:43 เป็นตัวเสี่ยงที่ซ่อนอยู่หรือเปล่านะครับ
01:51:43 → 01:51:46 ถ้าเราไปซื้อกินเองเราอาจจะละเลไอ้ความ
01:51:46 → 01:51:48 เสี่ยงที่มันซ่อนอยู่ตรงนั้นโรคต่างๆที่
01:51:49 → 01:51:52 ซ่อนอยู่ที่อยู่เราก็เสียโอกาสครับกับอีก
01:51:52 → 01:51:56 อันนึงก็คือว่าคนที่มีสาเหตุทางจิตใจอ่ะ
01:51:56 → 01:51:58 ครับอย่างที่เมื่อกี้บอกแล้วว่าจริงๆถ้า
01:51:58 → 01:52:01 เราเข้าใจเรามีการปรับตรงนั้นเนี่ยครับ
01:52:01 → 01:52:04 มันมันไม่จำเป็นต้องใช้ยาเลยก็ได้ครับ
01:52:04 → 01:52:07 หรือว่าการใช้ยาอาจจะใช้เพียงแค่ระยะสั้น
01:52:07 → 01:52:10 ๆครับเพราะพอยามันไปช่วยเสริมเนี่ยมันก็
01:52:10 → 01:52:13 ทำให้ไม่ล้มเหลวในครั้งนั้นเกิดความมั่น
01:52:13 → 01:52:16 ใจเกิดความมั่นใจนะครับพอมั่นใจไปสักพัก
01:52:16 → 01:52:21 นึงโอเคก็จุดยาได้ทำเองได้เอแต่ถ้าเผื่อ
01:52:21 → 01:52:24 เราไม่ได้ไปหาหมอเราก็ไปหลงโอ้ต้องกินยา
01:52:24 → 01:52:27 ต้องกินยามันก็เลยกลายเป็นกินยาเกินความ
01:52:27 → 01:52:28 จำเป็น
01:52:28 → 01:52:33 [เพลง]
01:52:33 → 01:52:37 อือคุณหมอครับเรามีวิธีในการรับมือกับ
01:52:37 → 01:52:40 อาการ Ed นี้อย่างไรอ่ะครับผมอยากจะให้
01:52:40 → 01:52:43 เตรียมรับมือเตรียมรับมือเออโดยที่ยังไม่
01:52:43 → 01:52:47 ต้องมี Ed อันแรกที่ผมแนะนำก็คือเราต้อง
01:52:47 → 01:52:51 ต้องเรียนรู้เรื่องของสุขภาพบเพศชาย
01:52:51 → 01:52:54 เรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ซึ่งมันก็เป็น
01:52:54 → 01:52:57 หน้าเป็นที่น่าเสียดายนะว่าพวกเราไม่ค่อย
01:52:57 → 01:53:01 ได้ได้เรียนรู้ในระบบอ่ะนะครับแล้วเราก็
01:53:01 → 01:53:04 ไปเรียนรู้ตามสื่อต่างๆถูกเปไม่รู้ว่าถูก
01:53:04 → 01:53:07 ต้องหรือเปล่านะครับแต่ถ้าเผื่อแล้วเรา
01:53:07 → 01:53:11 ศึกษาเรียนรู้แล้วก็เราก็ต้องเรียนรู้กับ
01:53:11 → 01:53:14 ชีวิตจริงของเราด้วยนะครับกับคู่ของเรา
01:53:14 → 01:53:17 ด้วยอถ้าเผื่อเราเรียนรู้ตรงนั้นก็เป็น
01:53:17 → 01:53:21 การป้องกันได้ะนะครับอันที่ 2 ผมคิดว่า
01:53:21 → 01:53:25 เป็นเรื่องของการป้องกันความเสี่ยงก่อน
01:53:25 → 01:53:28 ที่มันจะเป็นอือเช่นความเสี่ยงทางกายเรา
01:53:28 → 01:53:32 ก็ไปตรวจเช็คสุขภาพเพออายุเกิน 40 ไปแล้ว
01:53:32 → 01:53:35 เนี่ยเราจะพบว่าสาเหตุทางกายมีมากขึ้นนะ
01:53:35 → 01:53:38 ครับอ่ากไปตัวเช็คเบาหวานความดันอะไร
01:53:38 → 01:53:41 อย่างเงี้ยนะโรคอ้วนอย่าให้มีครับถ้าออก
01:53:41 → 01:53:45 กำลังกายสม่ำเสมอมันก็จะป้องกันไอ้โรคพวก
01:53:45 → 01:53:47 นี้อยู่ด้วยรวมทั้งลดความเสี่ยงลงใช่มั้
01:53:47 → 01:53:50 ลดความเสี่ยงดีๆลงแต่ในข้อข้อที่ 2 เนี่ย
01:53:50 → 01:53:53 ถ้าเราจะป้องกันความเสี่ยงทางจิตใจเนี่ย
01:53:53 → 01:53:57 อืก็คือควรจะดูว่ามันมีความพร้อมหรือยัง
01:53:57 → 01:54:00 ในการที่เรามีเพศสัมพันธ์ครั้งนั้นนะครับ
01:54:00 → 01:54:04 ครับถ้าเกิดมันเกิดมีไปแล้วเราก็ลองทบทวน
01:54:04 → 01:54:07 ดูอ้ามันเป็นธรรมดาน่ะที่มันเกิดขึ้น
01:54:07 → 01:54:10 เพราะเราไม่พร้อมจะไปกังวลกับมันเกินไปนะ
01:54:10 → 01:54:14 ครับอันนั้นก็จะช่วยได้ครับครับแล้วพอมา
01:54:14 → 01:54:17 อีกข้อหนึ่งข้อที่ 3 เนี่ยผมคิดว่าเป็น
01:54:17 → 01:54:20 เรื่องของการยอมรับและความเข้าใจใจอือนะ
01:54:20 → 01:54:23 ครับยอมรับก็คืออ้าพอมันเป็นอ่ะโอเคก็
01:54:23 → 01:54:27 อย่าไปไปไปเก็บอยู่คนเดียวอือฮึบางทีแฟน
01:54:28 → 01:54:30 ก็ไม่บอกทั้งๆที่แฟนเขาก็รู้นะเลยกลาย
01:54:30 → 01:54:32 เป็นเรื่องเป็นราวอย่างที่ที่เมื่อกี้พูด
01:54:32 → 01:54:35 กันนะครับแต่ความเข้าใจที่สำคัญอีกอันนึง
01:54:35 → 01:54:39 คือความเข้าใจระหว่างคู่ของเราอ๋ออืคือ
01:54:39 → 01:54:42 ถ้าเมื่อไหร่เนี่ยคู่ของเราเข้าใจเออมัน
01:54:42 → 01:54:45 เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้เกเพราะ
01:54:45 → 01:54:47 อย่างนี้นะเรามีวิธีช่วยกันอย่างงนี้นะ
01:54:47 → 01:54:51 อือเพราะคู่เนี่ยเป็นตัวช่วยที่สำคัญและ
01:54:51 → 01:54:55 สุดท้ายที่ผมคิดว่าเป็นกุญแจของความสุข
01:54:55 → 01:54:59 ทางเพศครับก็คือไอ้ขั้นตอนของการให้ความ
01:54:59 → 01:55:03 สุขกันและกันโดยการสัมผัสอืการสัมผัสครับ
01:55:03 → 01:55:06 เพราะการสัมผัสนี่คุณอยู่ที่ไหนก็สัมผัส
01:55:07 → 01:55:10 กันได้ใช่มั้ได้ทุกเวลาอือเหนื่อยแค่ไหนอ
01:55:10 → 01:55:13 สัมผัสกันหน่อยก็ยังเป็นเป็นความสุขที่
01:55:13 → 01:55:16 ให้แก่การเป็นความรักเป็นสัมพันธภาพที่ดี
01:55:16 → 01:55:19 ต่อกันไปเรื่อยๆแล้วตรงนั้นละเป็นการป้อง
01:55:19 → 01:55:24 กันแล้วก็เป็นการการรักษาปัญหาเรื่อง
01:55:24 → 01:55:27 เสื่อมสมรรถภาพทางเพศเพราะว่าถ้าเผื่อเรา
01:55:27 → 01:55:30 มองว่าพอเรามีความเสื่อมทำให้ทำให้ความ
01:55:30 → 01:55:33 สุขทางเพศเราหายไปอือแต่ถ้าเผื่อเรามี
01:55:33 → 01:55:37 ความสุขทางเพศโดยวิธีอื่นโดยสัมผัสได้ถึง
01:55:37 → 01:55:39 แม้จะเสื่อมยังไงเราก็เราก็ยังมีความสุข
01:55:39 → 01:55:42 ได้แล้วยังรักกันอยู่แล้วก็ยังรักกันอยู่
01:55:42 → 01:55:45 แลอาจจะรักกันมากขึ้นด้วยออื้อหือดีจัง
01:55:45 → 01:55:48 เลยครับคุณหมอครับดีจังเลยดีใจจังเลยที่
01:55:48 → 01:55:50 ได้คุยกับคุณหมอวันนี้ครับครับในวันนี้
01:55:50 → 01:55:54 ครับเราได้รู้ว่ากลไกในการที่จะป้องกัน
01:55:54 → 01:55:58 หรือทำให้ไม่เกิดการไม่แข็งตัวทั้งปัจจัย
01:55:58 → 01:56:01 เรื่องกายปัจจัยเรื่องใจอือในวันนี้ต้อง
01:56:01 → 01:56:03 ขอบคุณอาจารย์อย่างมากเลยครับที่มาพูดคุย
01:56:03 → 01:56:06 กันในเรื่องที่หลายๆคนไม่กล้าที่จะปรึกษา
01:56:06 → 01:56:09 แม้แต่เพื่อนหรือคู่นอนของตัวเองวันนี้มา
01:56:09 → 01:56:12 ฟังจากคุณหมอเลยในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยว
01:56:12 → 01:56:14 ชาญนะครับวันนี้ต้องขอขอบพระคุณรอง
01:56:14 → 01:56:16 ศาสตราจารย์นายแพทย์อนุพันธ์ตันติวงศ์
01:56:16 → 01:56:18 ครับท่านเป็นสัญแพทย์ด้านระบบทานเดิน
01:56:18 → 01:56:22 ปัสสาวะสาขาวิชาสัญศาสตร์ยูโรวิทยาภาค
01:56:22 → 01:56:24 วิชาสัญศาสตร์คณะแพทยยาศาสตร์เสิราช
01:56:24 → 01:56:27 พยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดลครับวันนี้สนุกมาก
01:56:27 → 01:56:29 ครับได้คุยกับคุณครับพบกับ wellbeing
01:56:29 → 01:56:33 สุขภาพดีชีวิตดีสร้างได้ทุกวันจันทร์เวลา
01:56:33 → 01:56:37 18:00 นที่มหิดน Channel podcast ผ่าน
01:56:37 → 01:56:40 ช่องทาง Facebook มหิดน Channel YouTube
01:56:40 → 01:56:43 มหิดน Channel Apple podcast spotify
01:56:43 → 01:56:47 anor blockit ดำเนินรายการโดยอาจารย์
01:56:47 → 01:56:49 เต้รพีบุญเปลื้อง
01:56:49 → 01:56:54 [เพลง]
01:56:54 → 01:56:59 wellbe สุขภาพดีชีวิตดีสร้าง
01:56:59 → 01:57:06 [เพลง]
01:57:06 → 01:57:09 ได้ความรู้ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้
01:57:09 → 01:57:14 มหาวิทยาลัยมหิดลปัญญาของแผ่น
01:57:14 → 01:57:18 [เพลง]
01:57:18 → 01:57:21 ดิน
01:57:21 → 01:57:24 y