00:00:00 → 00:00:03 การการเลือกกินอาหารที่ถูกวิธีครับในปี
00:00:03 → 00:00:07 2568 จะเป็นธีมหลักครับของกระทรวงสาสุข
00:00:07 → 00:00:10 ของกรมอนามัยด้วยครับก็คือกรมอนามัยเรา
00:00:10 → 00:00:13 ต้องการที่จะเอ่อให้คนไทยครับเอ่อใส่ใจดู
00:00:13 → 00:00:16 แลโภชนาการตัวเองใส่ใจในเรื่องของการออก
00:00:16 → 00:00:19 กำลังกายเพื่อที่จะให้ตัวเองสุขภาพแข็ง
00:00:19 → 00:00:22 แรงอย่างยืนยาวครับไม่ป่วยง่ายไม่ป่วย
00:00:22 → 00:00:25 ด้วยโรค ncd ครับหรือโรคเนื้อลังครับผม If
00:00:25 → 00:00:27 ก็ intermittent fasting ครับมันก็เป็น
00:00:27 → 00:00:30 วิธีการของการลดน้ำหนักอย่างนึงอ่ะนะครับ
00:00:30 → 00:00:33 แต่แต่ในบางรายถ้าหากเ่อไม่คำนวณ
00:00:33 → 00:00:35 คาร์โบไฮเดรตนะครับหรือนับขาบให้เป็น
00:00:35 → 00:00:38 เนี่ยแม้แต่เราทำ If บางครั้งช่วง 6-8
00:00:38 → 00:00:40 ช่มที่เราทานเนี่ยบางทีเราทานเยอะมากครับ
00:00:41 → 00:00:44 เยอะเกินไปดังนั้นกระทรวงสาสุขก็เน้นครับ
00:00:44 → 00:00:47 เรื่องของเอ่อให้คนไทยรู้รู้จักการนับขาบ
00:00:47 → 00:00:51 เป็นรู้จักอ่ามองอาหารครับที่เรากินในแต่
00:00:51 → 00:00:54 ละมื้อเอ่อแต่ละจานที่เราทานเข้าไปมันมี
00:00:54 → 00:00:56 คาร์โบไฮเดรตเป็นประมาณกี่ส่วนนะครับก็
00:00:56 → 00:01:00 วิธีการครับก็เอ่อลองเสิร์ช Google ครับ
00:01:00 → 00:01:03 พิมพ์คำว่ารมตพานับขาบก็ได้นะครับเราเรา
00:01:03 → 00:01:06 ก็จะมีเอ่อลิงก์ครับให้เราเอ่อใส่ครับ
00:01:06 → 00:01:09 อายุเราเท่าไหร่น้ำหนักตัวเท่าไหร่ครับ
00:01:09 → 00:01:13 พฤติกรรมสุขภาพเราเป็นคนออกกำลังกายบ้าง
00:01:13 → 00:01:16 มั้ยบางคนออกกำลังกาย 3-5 วันต่อสัปดาห์
00:01:16 → 00:01:18 บางคนไม่ออกเลยอย่างเงี้ยฮะคือการคำนวณ
00:01:18 → 00:01:21 ขาบที่อนุญาตให้เราที่จะทานขาบได้ก็จะมี
00:01:21 → 00:01:24 ความแตกต่างกันครับการนับขาบเป็นก็ต้อง
00:01:24 → 00:01:27 ค่อยๆฝึกนะครับก็ถ้าถ้าเทียบง่ายๆก็คือ
00:01:27 → 00:01:30 ถ้าหากเป็นข้าว 1 ทัพพีเราจะจะนับ 1 ขาบ
00:01:30 → 00:01:33 ะะแต่ถ้าเอ่อข้าวเหนียว 1 กะพีนี่ก็จะนับ
00:01:33 → 00:01:36 เป็น 2 ขาบนะครับซึ่งตรงเนี้เราเราจะต้อง
00:01:36 → 00:01:39 เอ่อค่อยๆฝึกครับแล้วเราก็จะมองออกครับ
00:01:39 → 00:01:42 อย่างกล้วยหอม 1 1 ลูกเนี่ยนับนับ 2 ขาบ
00:01:42 → 00:01:45 นะครับอย่างสมมุติเอ่อคุณหยกน้ำหนักตัว
00:01:45 → 00:01:48 เอ่ออันนี้ผมผมกะเล่นๆนะครับอันนี้ไม่ได้
00:01:48 → 00:01:51 ไม่ได้บอกว่าหนักเท่าไหร่นะฮะเดี๋ยวจะหา
00:01:51 → 00:01:53 ว่าเราบอกว่าหนักไปไม่ใช่นะครับอ่าสมมุติ
00:01:53 → 00:01:57 คุณหยกหนัก 50 กนะครับสมมุตินะครับแต่คุณ
00:01:57 → 00:02:00 หยกไม่ไม่ได้ออกกำลังกายเลยสมมตนะฮได้ออก
00:02:00 → 00:02:02 กำลังกายเลยในอาทิตย์นึงเนี่ยเวลามัน
00:02:02 → 00:02:06 คำนวณขาบต่อต่อวันมาให้เนี่ยเ่อจะเ้าจะ
00:02:06 → 00:02:10 คำนวณอยู่ประมาณสัก 5 -53 ขาบนะอ่าแบบ
00:02:10 → 00:02:12 นี้เนี่ยครับเราเราก็จะต้องเริ่มมองแล้ว
00:02:12 → 00:02:15 ครับว่าอ่า 5 ขาบที่คุณหยกจะทานได้เนี่ย
00:02:15 → 00:02:18 อ่าคุณหยกอาจจะเอ่อต้องแบ่งลครับข้ามื้อ
00:02:18 → 00:02:21 หนึอาจจะต้องเหลือ 1 ทัพพีแล้วฮะต่อมื้อ 3
00:02:21 → 00:02:23 3 มื้อก็จะเป็น 3 ทัพพีใช่มั้ยฮะแล้วก็
00:02:23 → 00:02:27 ต้องเลือกอาหารครับกับข้าวที่จะทานต้อง
00:02:27 → 00:02:30 ต้องพยายามดูว่าแป้งมันเยอะหรือเปล่านะนะ
00:02:30 → 00:02:33 ถ้าถ้าเราไปกินเอ่อแกงที่เป็นแกงฟักทอง
00:02:33 → 00:02:35 เงี้ยฮะมันอาจจะมีขาบเยอะเพราะว่าฟักทอง
00:02:35 → 00:02:38 เนี่ยจะมีความเป็นแป้งสูงนะครับตรงเนี้ย
00:02:38 → 00:02:40 ก็ต้องคำนวณข้าวเหนียวก็อาจจะต้องพยายาม
00:02:40 → 00:02:44 หลีกเลี่ยงนะครับขนมต่างๆก็อาจจะลำบากนิด
00:02:44 → 00:02:46 นึงที่จะกินนะครับอย่างเช่นกินเค้กกล้วย
00:02:46 → 00:02:48 หอมสักสักชิ้นนึงเนี่ยอาจจะได้ไปแล้วะ 2
00:02:48 → 00:02:51 ขาบอย่างเงี้ยฮหรือผลไม้บางชนิดอาจจะมี
00:02:51 → 00:02:54 เ่อคาร์โบไฮเดรตสูงครับอย่างกล้วยหอมที่
00:02:54 → 00:02:56 ที่นำเรียนไปทุเรียนอย่างเงี้ยพวกนี้มี
00:02:56 → 00:02:58 คาร์โบไฮเดรตสูงแล้วอาจจะต้องเลือกผลไม้
00:02:58 → 00:03:01 ที่มีคาร์บคาร์โบไฮเดรตต่ำๆหน่อยอาจจะ
00:03:01 → 00:03:04 เป็นฝรั่ง 1 ลูกก็นับ 1 ขาบอะไรเงี้ครับ
00:03:04 → 00:03:07 ซึ่งก็จะคำนวณนะครับผมผมก็จะสอน
00:03:07 → 00:03:10 เอ่อประชาชนครับอ่าอาหารที่ไม่มีขาบมันก็
00:03:10 → 00:03:13 มีให้เราเลือกครับเช่นผักใบต่างๆเนี่ยเรา
00:03:13 → 00:03:16 สามารถกินได้ไม่ไม่มีขาบเลยอไข่ต้มนะฮะ
00:03:16 → 00:03:19 อย่างเงี้ยฮะไก่ย่างนะฮะอ่าหมูสะเต๊ะอะไร
00:03:19 → 00:03:22 พวกนี้ก็ยังสามารถทานได้นะครับโดยที่ไม่
00:03:22 → 00:03:25 มีคาฟนะครับซึ่งตรงนี้ก็จะต้องเอ่อมีการ
00:03:25 → 00:03:28 กรมอนามัยก็จะมีการประชาสัมพันธ์นะออกไป
00:03:28 → 00:03:31 ว่าวิธีการที่ที่จะเอ่อเลือกกินอาหารตด
00:03:31 → 00:03:34 แทนต่างๆเเราจะเลือกอะไรครับอย่างพวกถั่ว
00:03:34 → 00:03:38 เปลือกแข็งครับที่เอ่อเป็นหนึ่งในอาหาร
00:03:38 → 00:03:40 ตระกูล Dash The นะที่เป็นเดี๋ยวเดี๋ยว
00:03:40 → 00:03:42 จะก็คงจะเล่าให้ฟังว่า das The คือ
00:03:42 → 00:03:45 โภชนาการแบบไหนที่มันจะไปช่วยให้คนไทยหาย
00:03:45 → 00:03:48 จากโลกความดันได้อันนี้ก็มีเป็นอีกเทคนิค
00:03:48 → 00:03:52 นึงครับผมอืค่ะครับอาจารย์คะแล้ววันนึง
00:03:52 → 00:03:55 ค่ะคนเราควรทานสักประมาณกี่คับในน้ำหนัก
00:03:55 → 00:03:57 ตัวของแต่ละคนพอไม่เท่ากันแล้วเนี่ยค่ะไว
00:03:57 → 00:04:01 เกี่ยวด้วยมั้ยคะว่าเอไวก็ใช่ครับไวก็มี
00:04:01 → 00:04:03 ส่วนครับเ่อมันเป็นเรื่องของการระบบเผ่า
00:04:03 → 00:04:06 ผ่านครับเ่อแต่แต่ตีง่ายๆครับถ้าคนๆนึง
00:04:06 → 00:04:09 เขาออกกำลังกายสม่ำเสมอครับสัปดาห์ละ 3-5
00:04:09 → 00:04:11 วันเนี่ยเขาอาจจะทานขาบต่อวันเพิ่มได้
00:04:11 → 00:04:14 กว่าคนที่ไม่ออกเลยอาจจะประมาณ 1.5 -2
00:04:14 → 00:04:17 ขาบครับเวลาเข้าโปรแกรมคำนวณออกมาแล้วอนะ
00:04:17 → 00:04:20 ครับตรงนี้ก็ส่งเสริมให้เราออกกำลังกาย
00:04:20 → 00:04:24 กันมากขึ้นเราจะได้เอ่อทานแป้งได้มากขึ้น
00:04:24 → 00:04:26 นิดนึงแต่แต่ก็ต้องควบคุมด้วยครับแต่ก็
00:04:26 → 00:04:29 ต้องควบคุมด้วยเพราะว่าเป้าหมายคือกระตบ
00:04:29 → 00:04:32 สาสุขอยากให้คนไทยควบคุมน้ำหนักตัวได้
00:04:32 → 00:04:34 อยากให้คนที่เอ่อป่วยเป็นเบาหวานเนี่ย
00:04:34 → 00:04:38 สามารถลดยาลดค่าใช้จ่ายจากยาของระบบสาสุข
00:04:38 → 00:04:40 ลงได้ครับอันนี้ก็จะเป็นรางวัลที่คนไข้
00:04:40 → 00:04:44 เค้าปรารถนาครับเคเไม่ได้ปรารถนาอ่าว่า
00:04:44 → 00:04:47 เดือนนี้น้ำตาลคุมดีครับรางวัลของคนไข้
00:04:47 → 00:04:51 คือเค้ารู้สึกว่าถ้าปีนี้ทั้งปีเาสามารถ
00:04:51 → 00:04:54 ลดยาจากเดิมวันละ 10 เม็ดได้เหลือวันละ 6
00:04:54 → 00:04:56 เม็ด 4 เม็ดหรือ 2 เม็ดหรือไม่ไม่ทานยา
00:04:56 → 00:05:00 เลยอันนี้คือรางวัลที่ที่คนไข้ทุกคนเาเขา
00:05:00 → 00:05:03 ไม่อยากไม่อยากที่จะกินยาอยู่แล้วครับเขา
00:05:03 → 00:05:05 กระทรวงสาสุขเลยเล็งเห็นว่าเราเราควรจะ
00:05:05 → 00:05:08 ต้องมอบสิ่งนี้ให้คนไข้ถ้าเขาทำได้เขาก็
00:05:08 → 00:05:11 จะได้รางวัลเหล่านี้ไปครับบางคนเนี่ยที่
00:05:11 → 00:05:14 ฟังอยู่นะอาจจะแบบงงเฮ้ยอะไรคือนับขาบอ่ะ
00:05:14 → 00:05:16 นับขาบคืออะไรอ่ะขาบในที่นี้อยากให้
00:05:16 → 00:05:19 อาจารย์ช่วยขยายความอธิบายความนนะว่าไอ้
00:05:19 → 00:05:22 ขาบตงเยมันคืออะไรและไอ้ 1 ขาบที่ว่า
00:05:22 → 00:05:24 เนี่ยมันคือปริมาณเท่าไหร่ยังไงเออเผื่อ
00:05:24 → 00:05:27 ว่าใครหลายๆคนอาจจะไม่มีองค์ความรู้ตรง
00:05:27 → 00:05:29 นี้ตั้งแต่ศาลตั้งต้นเลยว่ามันคืออะไร
00:05:29 → 00:05:32 ครับเข้าครับผมครับผมก็นำเรียนนี้ขาบคำ
00:05:32 → 00:05:35 ว่าขาบชื่อเต็มๆก็คือคาร์โบคาร์โบไฮเดรต
00:05:35 → 00:05:38 นะครับคาร์โบไฮเดรตอ่าเวลาเรานับขาบ 1
00:05:38 → 00:05:41 ส่วนก็คือมันมาจากคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม 15
00:05:41 → 00:05:44 กรัม 15 กรัมใช่ครับอย่างข้าวหนนทีอ่าน้ำ
00:05:44 → 00:05:48 หนักของข้าวเนี่ย 45 กรัมถึง 50 กรัมแต่
00:05:48 → 00:05:50 สัดส่วนของความเป็นคาร์โบไฮเดรตเนี่ยอยู่
00:05:50 → 00:05:54 ที่ 15 กรัมเวลาเราคำนวณออกมาเราก็เลยตี
00:05:54 → 00:05:57 ความว่าอันเนี้ยคือ 1 ขาบครับครับผมครับ
00:05:57 → 00:06:01 อ๋ออเเนี่ยคือนับขาบ
00:06:01 → 00:06:04 เท 15 กรัมใช่ครับอย่างเช่นอย่างเช่นอ่า
00:06:04 → 00:06:07 สมมติคุณดรมจะอยากจะกินเครื่องดื่มอันนึง
00:06:07 → 00:06:12 ะที่มีน้ำตาลประมาณสักเอ่อ 9 ช้อนชาสมมติ
00:06:12 → 00:06:16 9 ช้อนชาแล้วกัน 9 ช้อนชาก็ก็เ่อ 1 ช้อน
00:06:17 → 00:06:20 ชาเ่อ 15 กรัม 15 กรัมของคคาร์โบไฮเดรต
00:06:20 → 00:06:22 เนี่ยก็เท่ากับน้ำตาลอยู่ที่ประมาณสัก 3
00:06:22 → 00:06:27 ช้อนชาอฮะเราอาจจะกินนมกล่องนึงที่ที่มี
00:06:27 → 00:06:30 น้ำตาลอยู่ประมาณ 6 ช้อนชาสมมุตินะครับ
00:06:30 → 00:06:33 เท่ากับเราได้เราก็ได้ไป 2 ขาบแล้วอ่าฮะ
00:06:33 → 00:06:36 ฮะอันนี้อันนี้คือสิ่งที่มันมันปนมากับ
00:06:36 → 00:06:38 เครื่องดื่มซึ่งคนไทยอาจจะต้องใส่ใจนิด
00:06:38 → 00:06:41 นึงฮะดูข้างกล่องว่าน้ำตาลกี่กรัมนะครับ
00:06:41 → 00:06:47 ถ้าถ้าน้ำตาล 30 กรัมก็เอา 15 ไปเอา 30
00:06:47 → 00:06:49 ไปหา 15 เนี่ยเท่ากับว่าเราได้ 2 ขาบ
00:06:49 → 00:06:52 แล้วะแต่เพิ่มดื่มชนิดนั้นนะครับอืคือแต่
00:06:52 → 00:06:57 ละคนแต่ละวัยแต่ละช่วงเวลาเนี่ยไอ้การทาน
00:06:57 → 00:07:00 นับขาบนี่ก็คือก็ก็จะไม่ไม่เท่ากันใช่มย
00:07:00 → 00:07:04 ครับอาจารย์ครับในในแต่ละวัยจริงๆเราเรา
00:07:04 → 00:07:08 เราจะตีเท่าๆกันครับว่าแต่ละวัยจะได้กี่
00:07:08 → 00:07:10 ขาบไม่กี่ขาบเนี่ยก็ก็ขึ้นอยู่กับ
00:07:10 → 00:07:13 activity ของเขาขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว
00:07:13 → 00:07:16 ส่วนสูงของเขาครับผมก็เ่ออย่างอย่าสมมุติ
00:07:16 → 00:07:20 ว่าคนคนอายุเ่อ 20 ปีกับคนอายุ 40 ปี
00:07:20 → 00:07:24 เนี่ยเอ่อคำนวณออกมาแล้วขาบนี่ต่อวัน
00:07:24 → 00:07:26 เนี่ยถ้าต้องการจะลดน้ำหนักนะครับหรือควบ
00:07:26 → 00:07:30 คุมน้ำหนักนะครับเอ่อก็จะตีมาใกล้ๆกันหาก
00:07:30 → 00:07:33 หากทั้ง 2 คนมี activity ที่ใกล้เคียงนะ
00:07:33 → 00:07:36 ครับใกล้เคียงคือระบบการหอกผลาเนี่ยอาจจะ
00:07:36 → 00:07:42 มีอาจจะมีส่วนบ้างแต่ก็มันมันเเราเราไม่
00:07:42 → 00:07:45 อยากให้เอ่อไปจำยิบย่อยมากครับเราเราเรา
00:07:45 → 00:07:49 ก็จะตีคร่าวๆว่าเอ่อสมมุติคน 20 ปีหนัก 60
00:07:49 → 00:07:52 กลคำนวณมาแล้วอ่าอยากลดน้ำหนักครับอาจจะ
00:07:52 → 00:07:55 กินได้สัก 6 ขาบคน 40 ปีอยากล้นหนักก็อาจ
00:07:55 → 00:07:58 จะกินได้ประมาณแบบอาจจะ 5.5 -6 ขาบก็ตี
00:07:58 → 00:08:01 แล้วก็คนข้างใกล้เคียงมากครับข้างใกล้
00:08:01 → 00:08:04 เคียงก็ดังนั้นก็ขอแค่ว่าเราเราคำนวณ
00:08:04 → 00:08:06 ครั้งเดียวครับเราจะรู้ตัวเองพอรู้ตัวเอง
00:08:06 → 00:08:10 ปปีทั้งปีนี้หรือปีหน้าเราจะใช้เกณฑ์นี้
00:08:10 → 00:08:13 ครับแล้วเราก็ค่อยๆฝึกครับดูว่าตนี้
00:08:13 → 00:08:15 แอปพลิเคชันก็มีมากมายนะครับในการคำนวณ
00:08:15 → 00:08:17 ว่ามันมีคาร์โบไฮเดรตเท่าไหร่ครับตัวนี้
00:08:17 → 00:08:22 ก็จะช่วยได้เยอะครับอครับค่ะโหบางทีมันก็
00:08:22 → 00:08:26 เอเอ่อฟังดูเนี่ยมันอาจจะหลายคนอาจจะงงๆ
00:08:26 → 00:08:29 ไงเอออาจจะยังนึกไม่ออกว่าเอ๊ะมันต้องมัน
00:08:29 → 00:08:32 ต้องทำยังไงนับนับยังไงอะไรอย่าเงี้ยเออ
00:08:32 → 00:08:34 อาจจะยังงงไอ้คำว่าไเนี่ยมันยังพอเข้าใจ
00:08:34 → 00:08:37 ไงที่พี่หยกยกตัวอย่างตั้งแต่ตอนต้นนเพอ
00:08:37 → 00:08:39 นับขาวปั๊บอุ๊ยโอโหมันจะเป็นสับเซตย่อย
00:08:39 → 00:08:41 เข้าไปอีกมั้ยอะไรประมาณนี้ครับอาจารย์
00:08:41 → 00:08:43 ครับก็เลยต้องต้องขออนุญาตให้อาจารย์
00:08:43 → 00:08:46 อธิบายให้มันละเอียดอีกนิดนึงประมาณนี้
00:08:46 → 00:08:47 ครับอาจารย์ครับผมอาจารย์คะแล้วถ้าเราทำ
00:08:47 → 00:08:50 ไปนานๆเนี่ยค่ะมันจะเห็นผลยังไงคะกับการ
00:08:50 → 00:08:52 ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมถ้าเราปรับเปลี่ยน
00:08:52 → 00:08:53 พฤติกรรมการเลือกรับประทานอันนี้คือ
00:08:53 → 00:08:55 เหมือนเรากำลังให้ความคิดชุดความคิดกับ
00:08:56 → 00:08:58 คุณผู้ฟังคุณผู้ชมหรือทุกคนว่าเราต้องคิด
00:08:59 → 00:09:02 ก่อนที่เรารับประานถกคะอันนี้คือกบวนการช
00:09:02 → 00:09:05 ความคิดในการขบวนการขบวนการคิดคำนวณเครับ
00:09:05 → 00:09:08 มันมันคิดมาจากเดิมพื้นฐานเลยครับก็คือ
00:09:08 → 00:09:11 นักโภชนากรเนี่ยเขาจะบอกว่าเอเราควรกิน
00:09:11 → 00:09:14 คาร์โบไฮเดรตเนี่ยเป็น 40% ของแคลอรี่ที่
00:09:14 → 00:09:18 เราควรได้รับต่อวันนะแต่แต่จากการที่คิด
00:09:18 → 00:09:21 สูตรนขาบตัวเนี้ที่เรามาตอพานับขาบเนี่ย
00:09:21 → 00:09:25 นะครับท่านรัฐมนตรีพานับขาเนี่ยเราคิดคบ
00:09:25 → 00:09:28 เพียแค่ 20% ของ Total แี่ต่อวันดังนั้น
00:09:28 → 00:09:32 ถ้าทุกคนนะครับทำได้โดยการเ่ารับประทาน
00:09:32 → 00:09:34 คาร์โบไฮเดรตเพียงแค่ 20% ของแคลอรี่ที่
00:09:35 → 00:09:38 เราได้ต่อวันเนี่ยเอ่อภายใน 1 สัปดาห์ก็
00:09:38 → 00:09:41 จะเห็นผลเลยครับว่าน้ำหนักเราเนี่ยจะลดลง
00:09:41 → 00:09:45 ไปเอ่อ 1-2 กลอืสามารถลดลงได้ฮะถ้าเราทำ
00:09:45 → 00:09:48 ได้อย่างสมมุติคุณคุณหยกครับโดยปกติคุณ
00:09:48 → 00:09:50 หยกอาจจะรับประทานอาหารวันนึงอาจจะ 10
00:09:50 → 00:09:54 ขาบสนะครับรวมข้าวรวมของว่างต่างๆเนี่ย
00:09:54 → 00:09:56 เอ่อคุณอาจจะน้ำหนักอยู่ประมาณนี้ฮะแต่พอ
00:09:56 → 00:09:58 เราายุมากขึ้นเรื่อยๆเนี่ยเรากิน 10 ขาบ
00:09:59 → 00:10:01 เท่าเเนี่ยฮะแต่บางครั้งน้ำหนักเราค่อยๆ
00:10:01 → 00:10:06 ขยับขึ้นขยับขึ้นอนะครับเอ่อแสดงว่าพอเรา
00:10:06 → 00:10:08 ายุมากขึ้นระบบเผาผานเรามันอาจจะแย่ลงอ
00:10:08 → 00:10:11 ทั้งๆที่เรากินขาบเท่าเดิมแต่ทำไมเราถึง
00:10:11 → 00:10:15 ค่อยๆอ้วนขึ้นอ้วนขึ้นนะครับเราเลยคิดมุม
00:10:15 → 00:10:18 ใหม่คือว่าเราตัดคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง
00:10:18 → 00:10:21 กว่าเดิมจาก 40% ของแคลอรี่ที่เราควรได้
00:10:21 → 00:10:23 เหลือ 20% ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ท่านมประ
00:10:23 → 00:10:27 ตอบสทงสาสุขชวนให้คนไทยทำอ่าหากเราตัด
00:10:27 → 00:10:30 คาร์โบไฮเดรตตรงนี้ได้เนี่ยพลังงานต่างๆ
00:10:30 → 00:10:34 ที่มันเข้ามาเนี่ยเอ่อมันก็จะลดลงลดพลัง
00:10:34 → 00:10:37 งานจากแป้งและน้ำตาลครับลดลงทำให้เอ่อคน
00:10:37 → 00:10:40 ที่เป็นเบาหวานคนที่อยากจะลดน้ำหนักน้ำ
00:10:40 → 00:10:43 หนักก็จะค่อยๆลดลงครับอันนี้คือวิธีการ
00:10:43 → 00:10:46 ว่าที่มาว่าทำไมเราถึงต้องมานับขาด้วยสุก
00:10:46 → 00:10:49 แบบนี้เพราะว่าถากทำได้เนี่ยน้ำหนักทุกคน
00:10:49 → 00:10:52 จะลดลงหมดเลยครับอาจารย์คะทีนี้ทุกคนก็จะ
00:10:52 → 00:10:54 สงสัยอย่าง If เนี่ยคือเราไม่ทานถูกมั้ย
00:10:54 → 00:10:56 คะเราอ่ะไม่ทานแล้วถ้าเกิดอย่างเงี้ยค่ะ
00:10:56 → 00:10:59 นับขาบเราไปพ่วงกับ If ได้มั้ยได้เหมือน
00:10:59 → 00:11:02 กันครับอย่างสมมติอย่างสมมุติคุณคุณจกนับ
00:11:02 → 00:11:05 นับขาบว่าเ่อคำนวณมาแล้วที่ผมคำนวณให้คือ
00:11:05 → 00:11:08 5 ขาบต่อวันใช่มช่วงที่คณหยกกิน 6 ช่ม
00:11:08 → 00:11:11 เนี่ยคณหยกก็คำนวณเลยครับว่า 6 ชมงเนี้ย
00:11:11 → 00:11:14 จะกินไม่เกิน 5 ขาบหรือ 5 ขาบต่อวันเท่า
00:11:14 → 00:11:17 นั้นอืออ่าแบบนี้ก็จะลดลงเร็วครับแต่ถ้า
00:11:17 → 00:11:19 เราไม่ได้มีกฎเกณฑ์การนับขาดนะครับเราเรา
00:11:19 → 00:11:22 บอกว่าเราทำไแต่ช่วงที่เราทาน 6-8
00:11:22 → 00:11:25 ชั่วโมงที่เราทานเนี่ยโหเรากินไป 8-10
00:11:25 → 00:11:29 ขาบอือแบบนี้ผมก็เจอฮะคนไข้ก็จะมาบอกว่า
00:11:29 → 00:11:31 เอ่อน้ำหนักไม่ลดครับน้ำำหนักไม่ลดค่ะคุณ
00:11:32 → 00:11:35 หมอทั้งๆที่ทำไแล้วเราก็จะมานั่งซักไซต
00:11:35 → 00:11:37 กันว่าคุณทานอะไรบ้างในช่วงที่กินก็ปรากฏ
00:11:37 → 00:11:41 ว่าโอกินวันนึงเป็น 10 ขาบเลยครับกินแค่ 8
00:11:41 → 00:11:43 ชั่วโมงที่เากินเนี่ยนะฮะอืต่อให้เขาหยุด
00:11:43 → 00:11:46 ไป 16 ชมงเขาก็จะยังลดยากอยู่ดีดังนั้น
00:11:46 → 00:11:49 การควบคุมคาร์โบไฮเดรตเนี่ยอันนี้เป็น
00:11:49 → 00:11:52 กุญแจสำคัญที่จะทำให้เอ่อคนไทยเนี่ย
00:11:52 → 00:11:55 เอ่อหายป่วยจากหลายโรคเลยครับการที่เรา
00:11:55 → 00:11:58 ลด้หนักได้ไม่ว่าจะข้อเข่าเสื่อมโรคความ
00:11:58 → 00:12:02 ดันโรคเบาหวานโรคกดไหลย้อนโรคนอนกลนอะไร
00:12:02 → 00:12:06 ต่างๆอันนี้ก็จะหายไปได้หมดนะครับทำสัก
00:12:06 → 00:12:07 กี่เดือนนะคะอาจารย์มันถึงจะเห็นผลเป็น
00:12:07 → 00:12:10 รูปธรรมว่าอ่ะน้ำหนักเราจะลงแต่อย่างไ
00:12:10 → 00:12:12 เนี่ยเราก็ลักษณะเราก็จะรู้ๆกันว่าถ้าเรา
00:12:13 → 00:12:16 อดไปซักอ่าหรือว่าเรางดการใช้แบบการทาน
00:12:16 → 00:12:19 เยอะของเราไปมันก็จะค่อยๆบางคนก็เห็นผล
00:12:19 → 00:12:21 เดือเดือนนึงก็เริ่มเห็นอย่างนับขาบเนี่ย
00:12:21 → 00:12:24 ค่ะมันเห็นได้แบบชัดเจนเลยแบบสักประมาณ
00:12:25 → 00:12:27 เท่าไหร่ในสำหรับคนที่แบบเป็นเบาหวานความ
00:12:27 → 00:12:29 ดันนะคะอันนี้แบบไม่ได้แค่หวังผลเรื่อง
00:12:29 → 00:12:31 ของการลดน้ำหนักทั่วไปเลยอยากรู้ว่าคนพวก
00:12:31 → 00:12:33 นั้นเจริงๆใน 1 ใน 1-2 สัปดาห์แรกก็เริ่ม
00:12:33 → 00:12:36 เห็นผลแล้วครับท่านจะรู้สึกว่ากางเกงท่าน
00:12:36 → 00:12:41 ใส่ตัวเก่าได้ติดตะขอได้ง่ายขึ้นนะครับใน
00:12:41 → 00:12:44 ในคนไข้เบาหวานที่เราเอามาทำเ่อเรื่องของ
00:12:44 → 00:12:47 การนับขับเป็นหรือว่าคลินิกเบาหวานหายได้
00:12:47 → 00:12:51 เนี่ยเอ่อภายใน 12 สัปดาห์เองนะครับคนไข้
00:12:51 → 00:12:54 หลายคนน้ำหนักลดไปประมาณ 10% เนี่ยก็ลดยา
00:12:54 → 00:12:56 ได้เกินครึ่งหรือบางคนก็หยุดยาไปเลยนะ
00:12:56 → 00:13:00 ครับอือันนี้ทำได้จริงๆครับอครับผมจริงๆ
00:13:00 → 00:13:04 เดิมทีเรื่องของการนับขาบเนี่ยมันผมเคย
00:13:04 → 00:13:08 เคยอ่านเจอคือมันมันใช้กับพวกคนที่ป่วย
00:13:08 → 00:13:11 เรื่องของเบาหวานความดันอะไรอย่าเงี้ยคือ
00:13:11 → 00:13:15 คนปกติคนทั่วไปเนี่ยณปัจจุบันนี้เราก็ควร
00:13:15 → 00:13:19 ที่จะนำวิธีการนับขาบเนี่ยมาใช้ในการวาง
00:13:19 → 00:13:21 แผนการรับประทานอาหารในแต่ละวันด้วย
00:13:21 → 00:13:24 จำเป็นมากเลยใช่มั้ยอาจารย์ครับเอ่อมี
00:13:24 → 00:13:28 ความจำเป็นครับในคนที่เอ่อเราเราเรามอง
00:13:28 → 00:13:32 ย้อนกลับไปเ่อในช่วง 5 ปีย้อนหลังหากเรา
00:13:32 → 00:13:34 คิดว่าตัวเราเองน้ำหนักค่อยๆขยับขึ้น
00:13:34 → 00:13:37 เนี่ยแสดงว่าเรามีปัญหาความไม่สมดุลนะ
00:13:37 → 00:13:39 ครับของเรื่องของการกินแป้งและน้ำตาลเข้า
00:13:39 → 00:13:42 มาแล้วก็เราไม่สามารถที่จะเผาผลนพลังงาน
00:13:42 → 00:13:46 ตรงนั้นออกไปได้หมดอเอ่อากเราย้อนไป 5 ปี
00:13:46 → 00:13:48 เรารู้สึกว่าน้ำหนักตัวเองเราค่อยๆขยับ
00:13:48 → 00:13:50 ขึ้นปีละกล 2 กลเรื่อยๆเนี่ยนี่เราต้อง
00:13:50 → 00:13:53 หันกลับมามองแล้วครับว่าเราควรจะมานับขาบ
00:13:53 → 00:13:55 ได้แล้วครับเพื่อที่จะทำให้น้ำหนักเรา
00:13:55 → 00:13:58 กลับไปยังเ่าจุดเดิมเหมือนตอนที่เรายัง
00:13:58 → 00:14:02 หนุ่มๆสาวๆอยู่อืตรงนั้นจะเป็นกลไกที่ดี
00:14:02 → 00:14:05 ที่จะทำให้เราไม่ป่วยเมื่อเราอายุ 40 50
00:14:05 → 00:14:09 ปีขึ้นไปอ่ะครับครับอือย่างงี้อย่างงี้
00:14:09 → 00:14:12 นี่เองแต่ว่าถ้าฟังที่อาจารย์บอกนะคือ
00:14:12 → 00:14:14 สมมุติถ้ามันเพิ่มขึ้นปีละล 2 กลดูดูฟัง
00:14:14 → 00:14:17 ดูเหมือนไม่เยอะนะครับอาจารย์ครับอืใช่
00:14:17 → 00:14:19 ครับฟังดูเหมือนไม่เยอะแต่ผ่านไป 10 ปีก็
00:14:19 → 00:14:22 อ้าว 10 กเฉยๆเลยอ้าวเปลี่ยนไปคนละคนเลย
00:14:22 → 00:14:24 ทีนี้ในปีนึงอ่ะค่ะอาจารย์น้ำหนักที่เรา
00:14:24 → 00:14:26 ควรขึ้นน่ะค่ะมันควรขึ้นสักกี่กโลอ่ะคะ
00:14:26 → 00:14:29 หรือว่ามันควรคงที่หรือใน 5 ปีกี่ปเราควร
00:14:29 → 00:14:31 ขึ้นสักกี่โลมันมีเกณฑ์เฉลี่ยเป็นมาตรฐาน
00:14:31 → 00:14:34 มั้ยคะเอ่อจริงๆมันมันไม่มีเกณฑ์เฉลี่ย
00:14:34 → 00:14:36 ครับเพียงแต่ว่าเราเราจะดูเรื่องของ BMI
00:14:36 → 00:14:40 เป็นหลักครับถ้าถ้า BMI เราค่อยๆขยับขึ้น
00:14:40 → 00:14:44 แล้วมันเริ่มไปอยู่ในจุดที่น้ำหนักเกินจ
00:14:44 → 00:14:46 มันเริ่มจากท้วมก่อนนะแล้วก็ไปอยู่ที่จุด
00:14:46 → 00:14:49 อ้วนแล้วเนี่ยอันนี้เราโรคเราจะเริ่มเข้า
00:14:49 → 00:14:52 มาจริงๆอ่าในในหลักของแพทย์ชะลอวัยเนี่ย
00:14:52 → 00:14:55 เขาจะบอกไว้ว่าเอ่อจริงๆแล้วคนเราเมื่อ
00:14:55 → 00:15:00 ยิ่งแก่ขึ้นควรจะน้ำหนักลดลงออหนักลลง
00:15:00 → 00:15:03 ด้วยซ้ำไปเพราะว่าทุกๆ 10 ปีฮะกระดูกเรา
00:15:03 → 00:15:08 จะเริ่มย่อย่อย่อตัวลงทุกๆ 10 ปีในในคน
00:15:08 → 00:15:11 ที่วัย 40 ปีอัพนะครับทุก 10 ปีคุณจะ
00:15:11 → 00:15:14 เตี้ยลงเซ็นนึงนะออเตี้ยงั้นตัวคนเราจะ
00:15:14 → 00:15:18 เล็กลงคุณหยกลองลองลองเ่อลองนึกภาพก็ได้
00:15:18 → 00:15:21 ครับคนลองไปวัดมาแล้วค่ะอาจารย์ลงจริงลง
00:15:21 → 00:15:25 จริงในในคนที่อายุสักอายุยืนถึง 80-90 ปี
00:15:25 → 00:15:28 อ่ะคุณหยกลองลองหลับตาจินตนาการครับมีใคร
00:15:28 → 00:15:31 ตัวอ้วนๆสมบูรณ์สมบูรณ์มั้ยฮะส่วนใหญ่
00:15:31 → 00:15:33 ส่วนใหญ่ก็หอมๆมทั้งนั้นนะฮะหอมๆเล็กๆ
00:15:33 → 00:15:36 ทั้งนั้นฮะถึงจะอายุยืนยาวดังนั้นดังนั้น
00:15:36 → 00:15:38 ในหลักในศาสตรของแพทย์ชะลอวัยเขาจะบอกว่า
00:15:38 → 00:15:42 เอ่อเอ่อ long life Small but long
00:15:42 → 00:15:47 life ก็คือยิ่งกินน้อยยิ่งทานน้อยยิ่ง
00:15:47 → 00:15:53 ตัวผอมลงท่านจะอายุยืนยาวมากขึ้นครับผมออ
00:15:53 → 00:15:55 เป็นอย่างงี้คือในในความเป็นจริงยิ่งอายุ
00:15:56 → 00:16:00 เยอะขึ้นตัวเล็กลงคันน้อยจะต้องทานน้อยลง
00:16:00 → 00:16:03 น้อยลงตัวก็ต้องก็ต้องเล็กลงลงสมส่วนใช่ม
00:16:03 → 00:16:06 ตามๆหลักแพทยสาสตร์ชะลอวอ๋ออาจารย์คะแต่
00:16:06 → 00:16:09 ทีเนี้ยค่ะบางคนบอกว่าก็น้ำหนักตัวผอมลง
00:16:09 → 00:16:12 บางคนผอมได้เบาหวานแต่อันนี้คือผอมเองไม่
00:16:12 → 00:16:16 ได้ไม่ได้เป็นโรคถูกมั้ยคะเอ่อขอขออีก
00:16:16 → 00:16:18 ครั้งครับเมื่อกี้สอจารย์คือคือการชะลอวย
00:16:18 → 00:16:21 เนี่ยค่ะอย่างที่อาจารย์บอกคนเราอายุมาก
00:16:21 → 00:16:24 ขึ้นทานน้อยลงแล้วก็น้ำหนักก็ค่อยๆลดลง
00:16:24 → 00:16:26 ตัวก็เล็กลงแต่สำหรับคนเป็นเบาหวานอ่ะค่ะ
00:16:26 → 00:16:29 อันนี้คือมันไม่ใช่เป็นคนเป็นเบาหวานใช่ม
00:16:29 → 00:16:30 คะเพราะคุณเป็นบาหวานส่วนใหญ่พอรู้ตัว
00:16:30 → 00:16:34 ปุ๊บว่าเป็นผอมทันทีอ๋อครับอันอันนั้นอ่า
00:16:34 → 00:16:37 อันนั้นเผอมจากการป่วยเนื่องจากคนเป็นเบา
00:16:37 → 00:16:40 หวานเนี่ยเ่อที่น้ำหนักเขาลดลงมันมันเกิด
00:16:40 → 00:16:42 จากที่ว่าเลือดเขามันอิ่มไปด้วยน้ำตาลไป
00:16:42 → 00:16:45 ซะหมดเลยอ่ะพออิ่มไปด้วยน้ำตาลเ่อร่างกาย
00:16:45 → 00:16:48 มันเกิดการออสโมซิสต่างๆคือมันขับปัสสาวะ
00:16:48 → 00:16:51 ออกจากร่างกายเ่อมันดูดน้ำออกจากกล้าม
00:16:51 → 00:16:55 เนื้อที่จะไปเอ่อไปเพื่อที่จะเอาน้ำไป
00:16:55 → 00:16:58 เลี้ยงหลอดเลือดไม่ให้เลือดมันมีความเข้ม
00:16:58 → 00:17:01 ข้นมากคนพวกนี้จะน้ำหนักลดลงฮกล้ามเนื้อ
00:17:01 → 00:17:04 ก็จะฝ่อลงฉี่ก็จะบ่อยขึ้นอันนั้นคือเขา
00:17:04 → 00:17:07 เรียกว่าเผอมเพราะเพราะความเป็นโรคอืแต่
00:17:07 → 00:17:09 เมื่อไหร่ที่คนเป็นเบาหวานเนี่ยน้ำตาล
00:17:09 → 00:17:12 กลับมาคุมได้ครับระบบน้ำเขามันก็จะเข้าไป
00:17:12 → 00:17:14 เลี้ยงกล้ามเนื้อเลี้ยงส่วนของเซลล์ต่างๆ
00:17:14 → 00:17:17 ในร่างกายเน้ำหนักเก็จะเริ่มกลับขึ้นมาอื
00:17:17 → 00:17:20 น้ำตาลเขาก็ดีมันอาจจะดีได้ด้วยยาหอาจจะ
00:17:20 → 00:17:23 ดีด้วยการปรับพฤติกรรมนะครับอ่าแต่เป้า
00:17:23 → 00:17:26 หมายที่เราอยากเห็นคือน้ำตาลท่านก็ดีด้วย
00:17:26 → 00:17:30 น้ำหนักท่านก็ลดลงด้วยทก็สามารถหยุดได้
00:17:30 → 00:17:33 อันนี้คืออ่าเราถือว่าทางสาสุขเราเรา
00:17:33 → 00:17:38 ประสบความสำเร็จครับอืค่ะอืเอ่ออาจารย์
00:17:38 → 00:17:41 ครับบางคนมีปัญหาเรื่องพวก ldl
00:17:41 → 00:17:45 คอเลสเตอรอลที่มันไม่ดีเนี่ยเอ่อไอ้การ
00:17:45 → 00:17:49 นับขาบเนี่ยมันจะช่วยทำให้พวกเอ่อ ldl
00:17:49 → 00:17:52 เนี่ยมันลดลงได้ด้วยมครับอาจารย์ครับอ่า
00:17:52 → 00:17:56 จริงๆจริงๆมันก็ไม่ได้เอ่อลดลงโดยทางตรง
00:17:56 → 00:17:58 ครับส่วนใหญ่ ldl เนี่ยอ่าส่วนใหญ่เวลา
00:17:58 → 00:18:01 เราเราบอกคนไข้ว่าเลี่ยงขาบเนี่ยเอ่อขาบ
00:18:01 → 00:18:04 มันจะอยู่ในพวกขนมเบเกอรี่ต่างๆเนี่ยแน่
00:18:04 → 00:18:06 นอนครับในเบเกอรี่ต่างๆมันจะมี ldl ปน
00:18:06 → 00:18:09 เข้ามาด้วยมันจะมีไขมันมันจะมีน้ำมัน
00:18:09 → 00:18:12 ปาล์มที่เขเอามาทำขนมทำแขกนะฮะตรงนี้มัน
00:18:12 → 00:18:16 ก็ลดโดยทางอ้อมแต่ถามว่าเอ่อคนๆนึงหากรถ
00:18:16 → 00:18:19 ขาดแล้วเควบคุมขาดดีแล้วแต่ ldl เขายัง
00:18:19 → 00:18:21 สูงอย่างเช่นอย่างเช่นในบางรายที่เขาทาน
00:18:21 → 00:18:24 คีโตฮเราเราคงเคยได้ยินกันนะช่วงปี 2 ปี
00:18:24 → 00:18:27 ก่อนมันก็บูมมากเ่อเรื่องการคีโตก็คือไม่
00:18:27 → 00:18:31 กินแป้งแล้วตาเลยเอ่อแต่กินไขมันได้ไม่
00:18:31 → 00:18:34 ยั้งอะไรเงี้ยพวกนี้ก็จะมี ldl ที่ที่สูง
00:18:34 → 00:18:37 ขึ้นคอเลสเตอรอลในเลือดก็สูงขึ้นดังนั้น
00:18:37 → 00:18:41 เอ่อถ้าเราจะมุ่งเป้าว่าเราจะลด ldl
00:18:41 → 00:18:44 เนี่ยเราต้องไปมองฮะในอาหารที่เรากิน
00:18:44 → 00:18:47 เนี่ยเราต้องรู้ก่อนเราบริโภคอ่าน้ำมัน
00:18:47 → 00:18:49 น้ำมันหรือแม้แต่น้ำมันพืชที่เราใช้
00:18:49 → 00:18:51 ประกอบอาหารนะมองง่ายๆมันมีหลายแบบมากน้ำ
00:18:51 → 00:18:55 มันปาล์มเนี่ยมีไขมันอิ่มตัวเ่าสูงไขมัน
00:18:55 → 00:18:57 อิ่มตัวแน่นอนเมื่อเข้าสู่ระบบร่างกายมัน
00:18:57 → 00:19:00 จะเปลี่ยนไปเป็น L L ldl ก็คือไขมันเลว
00:19:00 → 00:19:02 ไขมันเลวที่จะไปก่อทำให้เราเกิดโรคหลอด
00:19:03 → 00:19:05 เลือดหัวใจตีบหลอดเลือดสมองตีบต่างๆดัง
00:19:05 → 00:19:07 นั้นเราเราจะต้องไปเรียนรู้ว่าน้ำมันพืช
00:19:07 → 00:19:10 ชนิดไหนมันดีกับร่างกายน้ำมันปลามีแขมัน
00:19:10 → 00:19:14 หนิมตัวเอ่อสูงน้ำมันถั่วเหลืองลดลงน้ำ
00:19:14 → 00:19:17 มันลำข้าวน้ำมันดอกทาวันแขมันอีกตัวก็จะ
00:19:17 → 00:19:19 ต่ำลงแต่ถ้าเป็นน้ำมันคาโนล่าอ่าเป็น
00:19:19 → 00:19:22 คาโนล่านี่ไม่ทราบว่าคุณหยกกับคุณดีมเคย
00:19:22 → 00:19:24 เคยได้ยินมั้ยครับเคยได้ยินแต่ว่าอาจจะ
00:19:24 → 00:19:28 ยังไม่ได้รู้จักมักคุ้นมันมากครับอาจารย์
00:19:28 → 00:19:29 อจาร
00:19:29 → 00:19:31 อธิบายนิดนึงว่ามันมันมันเป็นยังไงครับ
00:19:31 → 00:19:33 อาจารย์ครับก็น้ำมันคาโนล่ามันเป็นน้ำมัน
00:19:33 → 00:19:35 ที่ใช้ประกอบอาหารซึ่งมันมีไข่มันดิมตัว
00:19:35 → 00:19:38 ต่ำครับเอ่อ 1 ช้อนชาของน้ำมันคาโนล่ามี
00:19:38 → 00:19:41 ไขมันดิ่มตัวอยู่ประมาณ 1 กรัมอแต่ถ้าหาก
00:19:41 → 00:19:43 1 ช้อนชาของน้ำมันปลามีไขมันิ่มตัวอยู่ 6
00:19:43 → 00:19:47 กรัมเห็นว่ามันต่างกัน 6 เท่าครับอ่าวัน
00:19:47 → 00:19:50 นึงสมมุติว่าเราใช้น้ำมันปาล์มในการทอด
00:19:50 → 00:19:53 ไข่เจียวแล้วกันนะสมมติทอดไข่เจียวคุณ
00:19:53 → 00:19:55 ดรีมใช้น้ำมันประมาณกี่ช้อนชาครับโอโห
00:19:55 → 00:19:58 ยิ่งเยอะยิ่งกรอบยิ่งอร่อยครับอาจารย์ไม่
00:19:58 → 00:19:59 ได้คำ
00:19:59 → 00:20:02 บุ๊บๆๆอย่างเดียวเลยครับอาจารย์ครับครับ
00:20:02 → 00:20:04 ก็ก็สมมุติอย่างงี้แล้วกันนะฮะคุณคุณดรม
00:20:04 → 00:20:07 แคลลี่วันนึงคุณดรมเ่อต้องการแคลอรี่
00:20:07 → 00:20:09 ประมาณ 2,500 แคลอรี่ต่อวันครับแต่ทางโ
00:20:09 → 00:20:12 โภชนศาสตร์เนี่ยเบอกว่าเอ่อท่านจะกินไข
00:20:12 → 00:20:16 มันดินตัวได้แค่ 10% 10% ผมผมก็ตีเลยว่า
00:20:16 → 00:20:19 เอ่อคุณบีมอาจจะกินได้อยู่ประมาณ 20 กรัม
00:20:19 → 00:20:24 ของไขมัน 1 ตัวครับเอ่อถ้าน้ำมันปาล์ม 1
00:20:24 → 00:20:28 ช้อนชามี 6 กรัมเราทอดไข่เราใช้น้ำมันกี่
00:20:28 → 00:20:30 ช้อนชา
00:20:30 → 00:20:32 ยากเลยคนไข้บางคนบอกผมไม่ใช่ช้อนชากอ่ะ
00:20:32 → 00:20:37 คุณหมอเป็นตะหลิวเลยเออใช่ค่ะๆตลิ
00:20:37 → 00:20:40 งั้นหลิวเนี่ยมันจะมันถ้าถ้าเราทอดไข่
00:20:40 → 00:20:43 แล้วเราไม่ได้บีบน้ำมันออกจากไข่ก่อนที่
00:20:43 → 00:20:46 เราจะบริโภค่ะฮะท่านจะได้ไขมันอิ่มตัวจาก
00:20:46 → 00:20:48 น้ำมันปาล์มไปเต็มๆอ่ะครับบางทีไข่ไข
00:20:48 → 00:20:50 เจียวฟองนึงเราได้ไขมันอิ่มตัวไปแล้ว
00:20:50 → 00:20:54 ประมาณ 20-30 กรัมแล้วอ่ะครับอืค่ะอันอัน
00:20:54 → 00:20:57 นี้ก็ถือว่าเกินที่ร่างกายมันจะกำจัดออก
00:20:57 → 00:20:59 ได้แล้วมันก็จะไปสะสมอยู่ตามหลอดเลือดเรา
00:20:59 → 00:21:02 ถูกมั้ยฮะอันนี้อันนี้คือเป็นเหตุผลครับ
00:21:02 → 00:21:06 ที่ว่าคนไข้คนไทยหลายล้านคนนะฮะหยุดยารด
00:21:06 → 00:21:09 ไขมันไม่ได้เลยครับใชจำเป็นต้องกินยารดไข
00:21:09 → 00:21:13 มันไปตลอดหมอโรคหัวใจก็จะบอกว่าทานไปเถอะ
00:21:13 → 00:21:16 คิดซะว่ายารดไขมันมันเป็นอาหารเสริมก็
00:21:16 → 00:21:19 แล้วกันเออช่วยลด ldl ในเลือดนะอันนี้อัน
00:21:19 → 00:21:22 นี้คือเหตุผลที่เราถึงต้องไปไปละเอียดนิด
00:21:22 → 00:21:25 นึงในการเลือกบริโภคน้ำมันในการประกอบ
00:21:25 → 00:21:27 อาหารที่บ้านถ้าถ้าเราประกอบอาหารเองเรา
00:21:27 → 00:21:30 จะเลือกได้อถ้าเลือกได้เราเลือกคาโนล่าดี
00:21:30 → 00:21:32 กว่าเลือกน้ำมันลำข้าวน้ำมันดอกพานตวันก็
00:21:32 → 00:21:35 น่าจะดีกว่านะครับแต่ถ้าเราเลือกไม่ได้
00:21:35 → 00:21:37 เราต้องไปซื้ออาหารข้างนอกกินเนี่ยอันนี้
00:21:37 → 00:21:41 เราเราก็เลือกที่จะลดลงแทนนะครับอาจารย์
00:21:41 → 00:21:43 ค่ะแล้วเนี่ยค่ะเนี่ยเนี่ยช่วงปีที่ผ่าน
00:21:43 → 00:21:46 มาไม่รู้อันนี้ดรีมจะเคยดมหยกว่าดรีมก็
00:21:46 → 00:21:48 น่าจะเห็นเหมือนกับหยกเคยเห็นก็คือว่าเขา
00:21:48 → 00:21:52 จะมีการแชร์ว่าใช้น้ำมันหมูก็ดีแล้วก็เออ
00:21:52 → 00:21:55 คือมันจะมีสารพัดองค์ความรู้ที่มันอยู่บน
00:21:55 → 00:21:57 ลายของเรานะค่ะตอนเช้านอกจากสวัสดีวัน
00:21:57 → 00:22:00 จันทร์วันอังคบว่าอันเป็นเรื่องดีเพ
00:22:00 → 00:22:03 อาจารยบอกว่าน้ำมันน่าดีอ่าน้ำมันลำข้าว
00:22:03 → 00:22:05 ดีอะไรอย่าเงี้ค่ะแล้วน้ำมันหมูล่ะคะ
00:22:05 → 00:22:08 อาจารย์อ่าน้ำมันหมูนี่ปริมาณความเป็นไข
00:22:08 → 00:22:11 มันดิมตัวในนั้นเนี่ยจะอ่าเรียกว่าเทียบ
00:22:11 → 00:22:13 เท่ากับน้ำมันปาลหรืออาจจะสูงกว่าเล็ก
00:22:13 → 00:22:17 น้อยด้วย้ำไปนะครับแต่เ่อน้ำมันหมูแน่นอน
00:22:17 → 00:22:21 มันเป็นไข่มันอิมตัวที่ที่ที่อ่าโมเลกุล
00:22:21 → 00:22:24 มันเยอะดังนั้นคนโบราณเนี่ยน้ำมันหมูเขา
00:22:24 → 00:22:26 ใช้เนี่ยเวลาเขาเอาไปทอดซ้ำน้ำมันหมูมัน
00:22:26 → 00:22:30 ไม่เกิดโพล่าโพล่าก็คือสกอกมะเร็งออนะฮะ
00:22:30 → 00:22:33 แต่มันก่อโรคหลอเลือดหัวใจกับหลอเลือด
00:22:33 → 00:22:37 สมองค่อนข้างชัดเจนมากๆนะครับแต่ในกลุ่ม
00:22:37 → 00:22:40 ของน้ำมันพืชที่เริ่มมีการประยุกต์ขึ้นมา
00:22:40 → 00:22:43 ในยุคหลังๆเนี่ยแน่นอนครับมันมีไขมันไม่
00:22:43 → 00:22:46 อิ่มตัวผสมกับไขมันอิ่มตัวมีทั้งอิ่มและ
00:22:46 → 00:22:48 ไม่อิ่มตัวดังนั้นการเอาไปทอดซ้ำอย่างพวก
00:22:48 → 00:22:52 เจะกรอมะเร็งอืดังนั้นการทอดซ้ำของน้ำมัน
00:22:52 → 00:22:55 พืชที่ที่ในยุคใหม่ๆเนี่ยเราเราไม่ควรจะ
00:22:55 → 00:22:58 เอาไปทอดซ้ำเพราะว่าถ้าหากเราทอดซ้ำครั้ง
00:22:58 → 00:23:00 ที่ 2 ครั้งที่ 3 เนี่ยสารก่อร็งมันมาก
00:23:00 → 00:23:03 ขึ้นสิ่งนี้ก็จะเป็นเอ่อตัวอันตรายเหมือน
00:23:03 → 00:23:07 กันชุดนึงนะครับก็กินน้ำมันหมูอาจจะไม่
00:23:07 → 00:23:11 ได้เป็นมะเร็งแต่โรคหัวใจมาเร็วกว่าเรา
00:23:11 → 00:23:14 เราคงไม่อยากไปทั้ง 2 โลกถูกมั้ยฮะใช่ๆๆ
00:23:14 → 00:23:17 ครับใช่ครับเราดังนั้นเราเราคงต้องเลือก
00:23:17 → 00:23:19 ทานให้น้อยที่สุดครับทานให้น้อยที่สุด
00:23:19 → 00:23:22 แล้วก็คำนวณสิ่งที่เหมาะสมกับอ่าน้ำหนัก
00:23:22 → 00:23:25 ตัวเราครับผมคือเมื่อกี้คุณหมอยกตัวอย่าง
00:23:25 → 00:23:27 เรื่องของน้ำมันทั้งหลายทั้งแหล่นะคือถ้า
00:23:27 → 00:23:30 คนทำเองเนี่ยยิ่งถ้าเป็นคนไทยส่วนใหญ่
00:23:30 → 00:23:35 เนี่ยเอ่อไอ้น้ำมันลำข้าวกาโนร่า
00:23:35 → 00:23:39 เอ่อมันอะไรนะขอไอคาน่าคาโนคาโนผมจำว่า
00:23:39 → 00:23:42 ค่ามันเป็นไอ้ที่กินอาหารสสคุณอยากกินใช่
00:23:42 → 00:23:45 มั้ยใช่คาโนล่าคือมันค่อนข้างมีราคาแพง
00:23:45 → 00:23:48 อ่ะอาจารย์ครับมันมันพอจะมีอย่างอื่นที่
00:23:48 → 00:23:51 พอจะทดแทนได้มยหรือว่าเพิ่มเงินอีกนิด
00:23:51 → 00:23:55 เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าดีอาจารย์ครับครับก็
00:23:55 → 00:23:58 น้ำมันเ่อคาโนล่าจะแพงกว่าน้ำมันตาประมาณ
00:23:58 → 00:24:02 เกือบ 2 เท่าตัวนะครับเ่อถ้าถ้าลดลงมา
00:24:02 → 00:24:04 หน่อยนึงก็จะเป็นน้ำมันลำข้าวกับน้ำมัน
00:24:04 → 00:24:08 ดอกธาวันนะที่นักโภชนากรเขาจะจะแนะนำให้
00:24:08 → 00:24:11 ใช้ครับราคาก็จะแพงกว่าน้ำมันปานิดหน่อย
00:24:11 → 00:24:14 ครับไม่ไม่ไม่มากครับอาจจะขวดละแค่ 5 บาท
00:24:14 → 00:24:17 ถึง 10 บาทครับอืประมาณนี้ก็ๆก็มันมีทาง
00:24:17 → 00:24:21 เลือกอื่นพอจะทแทงกันได้อยู่ทงเลือครับออ
00:24:21 → 00:24:23 เออคาโนล่ากับน้ำมันมะกอกครับอาจารย์ครับ
00:24:23 → 00:24:26 คือถ้าเทียบกันในการทำอาหารเนี่ยคุณค่า
00:24:26 → 00:24:29 ทางสานอาหารหรือว่าสิ่งที่มันจะได้รับ
00:24:29 → 00:24:33 กลับมาอันไหนมันมันดูคุ้มค่ากับการลงทุน
00:24:33 → 00:24:34 มากกว่ากันนะครับสมมุติถ้าคุณอยากจะ
00:24:34 → 00:24:37 เปลี่ยนพฤติกรรมฮะอาจารย์ครับจริงๆแล้ว
00:24:37 → 00:24:39 น้ำมันมะกอกดีกว่าคาโนล่าตรงที่น้ำมัน
00:24:39 → 00:24:42 มะกอกเนี่ยเขาสามารถเพิ่ม hdl ในเลือดได้
00:24:42 → 00:24:45 คือไขมันดีในเลือดนะฮะแต่ข้อเสียของน้ำ
00:24:45 → 00:24:47 มันมะกอกคือจุดเดือดต่ำครับเราเราไม่
00:24:47 → 00:24:50 สามารถไปเอาน้ำมันมะกอกไปผัดหรือไปทอดได้
00:24:50 → 00:24:52 เว้นแต่ว่ามันเป็นน้ำมันมะกอกที่เาผสม
00:24:52 → 00:24:55 คาโนล่าไว้ในนั้นแล้วอย่างเงี้ยก็จุด
00:24:55 → 00:24:58 เดือดก็จะสูงขึ้นนะครับแต่แต่ในฝั่ง
00:24:58 → 00:25:00 เมดิเตอเรเนียนเนี่ยเคเทานน้ำมันมะกอกเขา
00:25:00 → 00:25:03 จะราดกับผักอกินเหมือนสลัดนะฮะอันนี้ก็
00:25:04 → 00:25:06 คือน้ำมันมะกอกก็คือราดสดๆเลยฮะไม่ไม่ไม่
00:25:07 → 00:25:09 ผ่านการไม่ผ่านความร้อนแต่ถ้าความร้อนที่
00:25:09 → 00:25:11 มันเกิน 70-80 องศาไปแล้วน้ำมันมะกอกมัน
00:25:11 → 00:25:14 จะไหม้ครับพอมันไหม้เนี่ยมันก็จะกลิ่นมัน
00:25:14 → 00:25:17 ก็จะเปลี่ยนมันก็จะทานไม่ได้นะฮดังนั้น
00:25:17 → 00:25:20 ดังนั้นถ้าจะเอ่อกินน้ำมันมะเกาอกก็ต้อง
00:25:20 → 00:25:24 กินเพียวๆโดยที่ไม่ไม่ผ่านการปลูกอันนั้น
00:25:24 → 00:25:28 ก็จะดี hdl ก็จะดี ldl ก็จะลดได้ด้วยนะ
00:25:28 → 00:25:31 อันนี้มีประโยชน์กว่าน้ำมันโนล่าครับอืก็
00:25:31 → 00:25:35 คือถ้าจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอะไรสักอย่าง
00:25:35 → 00:25:38 เพื่อสุขภาพการเริ่มตั้งแต่เรื่องของเอ่อ
00:25:38 → 00:25:40 วัตถุดิบที่ใช้ในการทำอาหารอ่ะเนาะปรุง
00:25:41 → 00:25:43 อาหารนะคะก็มันมีต้นทุนสักนิดนึงแต่ว่า
00:25:43 → 00:25:47 สุขภาพมันมันจะมันจะดีขึ้นอย่างชัดเจน
00:25:47 → 00:25:49 เหมือนกันนะว่าใช่ค่ะแต่ถ้าสมตคนอยากจะ
00:25:49 → 00:25:53 แบบเลิกเด็ดขาดก็เลี่ยงกันทานอาหารทอดอ่า
00:25:53 → 00:25:56 ไปทานอาหารแบบปรุงแบบอื่นอาจจะเป็นต้ม
00:25:56 → 00:26:00 นึ่งใช่ชอบพยายามเน้นอาหารที่อย่าแปรรูป
00:26:00 → 00:26:02 มากครับเมื่อไหร่ที่มันแปรรูปมากครับ
00:26:02 → 00:26:05 อย่างเช่นอย่างเช่นถ้าเราจะกินหมูนึ่ง
00:26:05 → 00:26:08 มะนาวกับจะไปกินเอ่อไส้กรอกอีสานอย่าง
00:26:08 → 00:26:10 เงี้ยครับไส้กรอกอีสานมันแปรรูปเยอะใช่
00:26:10 → 00:26:13 มั้ยฮะแล้วมันก็จะมีสารต่างๆที่มันจะเจือ
00:26:13 → 00:26:16 ปนเข้ามามันก็จะทำให้เราได้สารพิษสารเคมี
00:26:16 → 00:26:20 ต่างๆไม่ว่าจะเป็นเอ่อชูรสเ่าหรือสารกัน
00:26:20 → 00:26:23 บูดกันอะไรที่มันปนอยู่ในนั้นก็ก็จะทำให้
00:26:23 → 00:26:28 สุขภาพเราค่อยๆเสื่อมไปในในแบบระยะยาวได้
00:26:28 → 00:26:31 เหมือนกันครับดังนั้นการอที่จะในปี 68
00:26:31 → 00:26:34 ถ้าเราจะเปลี่ยนตัวเองให้เรารู้สึกว่าเรา
00:26:34 → 00:26:37 จะชะลอไวไม่อยากให้เราแก่ลงไม่อยากให้เรา
00:26:37 → 00:26:39 ป่วยเป็นมะเร็งง่ายเราก็พยายามเลี่ยง
00:26:39 → 00:26:41 อาหารที่แปรรูกไปกินอาหารที่ผ่านผ่าน
00:26:41 → 00:26:45 process น้อยๆฮผักสดผลไม้สดนะครับอ่า
00:26:45 → 00:26:48 อาหารที่ลดเกลือนะครับลดเกลือลดโซเดียม
00:26:48 → 00:26:51 ต่างๆพวกนี้ก็จะทำให้เราเ่อเจ็บป่วยน้อย
00:26:52 → 00:26:54 ลงครับผมอาจารย์คะพอดีเมื่อตอนก่อนที่จะ
00:26:54 → 00:26:57 เข้ารายการหนูเปิดดูอันนี้มันมีแช Diet
00:26:57 → 00:27:00 หนูเลยอยากรู้ว่าไอ้ Dash Diet เนี่ยค่ะ
00:27:00 → 00:27:01 มันมันมันมีศัพท์ใหม่อีกนะเดี๋ยวนี้
00:27:02 → 00:27:04 เดี๋ยวนี้มันมีศัพท์ใหม่คือทุกปีทุกปี
00:27:04 → 00:27:06 เรื่องศัพท์สุขภาพเนี่ยค่ะมันจะมาตท้ายๆ
00:27:06 → 00:27:08 ปีแล้วมันก็จะค่อยขึ้นมาแบบใหม่ให้เรา
00:27:08 → 00:27:12 สงสัยแล้วเรียกว่าจำกันไม่หวาดไม่ไหวใช่
00:27:12 → 00:27:14 ใช่จริงๆค่ะอาจารย์แล้วบางคนบางครั้งบาง
00:27:14 → 00:27:17 คนก็รู้เยอะกว่าแบบโอ้โหรู้รู้กันละเอียด
00:27:17 → 00:27:19 เหลือเกินรู้จนตกใจอะไรเงี้ยคะอาจารย์มัน
00:27:19 → 00:27:23 มันมันคืออะไรคะไอ้แชก็ das นี่ก็มันมัน
00:27:23 → 00:27:26 มาจากภาษาอังกฤษที่เ่อมาจากคำว่าตัว D
00:27:26 → 00:27:31 ตัว a นะตัว S สิงคโปร์ S ฮ่องกงฮะ D มัน
00:27:31 → 00:27:35 มันมันชื่อเต็มๆว่า dietary นะฮะ Approach
00:27:36 → 00:27:38 to Stop hypertension โอ้โหเขาเรียก
00:27:38 → 00:27:44 ว่าการโภชณาบำบัดด้วยเ่อด้วยพืชผักครับใน
00:27:44 → 00:27:47 การที่จะไปกำจัดความดันในหลอดเลือดเราใน
00:27:47 → 00:27:52 ร่างกายเราก็คอซก็คือเอ่อพืชผักสดนะพืช
00:27:52 → 00:27:55 ผักสดเราควรกินพืชผักสดวันละประมาณ 4-6 ฝ
00:27:55 → 00:27:57 มือออโห 4-6 ฝมือเยอะเลยนะคะอาจารย์
00:27:57 → 00:27:59 เหมือนครึ่งกลเหรเยอะฮะต้องต้องต้องเยอะ
00:28:00 → 00:28:01 ครับเพราะว่าพวกไฟเบอร์พวกนี้เวลาเราทาน
00:28:01 → 00:28:04 เข้าไปมันจะไปดูดไปเกาะเอาพวกโซเดียม
00:28:04 → 00:28:06 เนี่ยออกมาทางระบบเอ่อลำไส้ครับออกทาง
00:28:06 → 00:28:11 อุจจาระของเรานะครับอ่าพืชผักสดแล้วก็รถ
00:28:11 → 00:28:13 เกลือคำว่ารถเกลือเนี่ยเราเราต้องรู้ว่า
00:28:13 → 00:28:17 เกลือวันนึงเราเรากินได้เท่าไหร่อ่า Who
00:28:17 → 00:28:19 ครับองค์การอนามัยเขาบอกว่ากินได้วันละ
00:28:19 → 00:28:22 2,000 มิลลิกรัมครับแต่ปปัจจุบันนะการ
00:28:22 → 00:28:25 สำรวจเ่าของกรมอนามัยเราสำรวจคนไทยกิน
00:28:25 → 00:28:28 เกลืออยู่ประมาณ 3,600 มิลิกรัมโหเกือบ 2
00:28:28 → 00:28:33 เท่าเกือก 2 เท่าแต่แต่ถามว่าเราเราลดจาก
00:28:33 → 00:28:35 เดิมมยลดนะครับเมื่อเมื่อสัก 10 ปีก่อนคน
00:28:35 → 00:28:38 ไทยกินเกลือประมาณ 4,000 มิลลิกรัมหนักเข
00:28:38 → 00:28:42 ไปอีก 4,500 มิลกรัมนะครับก็ถามแล้วถาม
00:28:42 → 00:28:44 ว่าเกลืออยู่ในไหนมากที่สุดก็ถ้าจำง่ายๆ
00:28:44 → 00:28:48 ก็มักจะอยู่ในน้ำซุปน้ำแกงนะครับเอ่อแกง
00:28:48 → 00:28:50 จืดก๋วยเตี๋ยวเมนูน้ำทั้งหลายที่เรากิน
00:28:50 → 00:28:54 เนี่ยแหละครับแล้วก็หลักที่เด็ดๆเลยก็คือ
00:28:54 → 00:28:58 อยู่ในส้มตำครับออส้มตำส้มตำ 1 จานนี่
00:28:58 → 00:29:00 โซเดียมนี่มีอยู่ประมาณ 5,000 มิลกรัม
00:29:00 → 00:29:04 ขึ้นไปผมกินส้มตำไทอาจารย์ผมไม่ได้กินส้ม
00:29:04 → 00:29:06 ตำปลาร้ามตำต้องต้องอยากกินน้ำนะฮต้องกิน
00:29:06 → 00:29:09 เส้นถ้ากินน้ำเยอะก็จะได้โซเดียมเยอะคุณ
00:29:09 → 00:29:12 หมิ่นปลาร้าเป็นจำเลยอ่ะคุณหมิ่นปลา้าใช่
00:29:12 → 00:29:14 คือปลาร้าเราก็รู้อยู่แล้วไงว่ามันค่อน
00:29:14 → 00:29:18 ข้างจะมีความเค็มพอสมควรแล้วคือถ้าถ้าคือ
00:29:18 → 00:29:21 ถ้าเทียบกันอาจารย์ครับส้มตำไทยส้มตำปลา
00:29:21 → 00:29:24 ร้าอะไรเงี้ยเรื่องของโซเดียมเนี่ยมันมี
00:29:24 → 00:29:26 ปริมาณใกล้เคียงหรือว่ามันมีความห่างกัน
00:29:26 → 00:29:29 อยู่เยอะฮห่างห่างพอสมควรครับถ้าถ้าใส่่
00:29:29 → 00:29:32 ปลาร้าเข้าไปสัก 1 กระบวยเนี่ยก็อาจจะได้
00:29:32 → 00:29:34 โซเดียมเพิ่มไปอีกเป็นเป็น 2,000
00:29:34 → 00:29:37 มิลลิกรัมนะฮออได้ได้ไปอีกเยอะจาก 5,000
00:29:37 → 00:29:40 อีก 2,000 เป็น 7,000 อาจะกลายเป็น 7,000
00:29:40 → 00:29:44 7,500 ก็ก็ต้องผมผมเคยไปยืนดูแม่ค้าต่ำ
00:29:44 → 00:29:48 อยู่ครับก็นั่งคำนวณจดดูน้ำปลาเใส่ไปกี่
00:29:48 → 00:29:50 ช้อนโต๊ะอะไรอย่าเงี้ยใส่ชูรสไปเท่าไหร่
00:29:50 → 00:29:53 ก็บวกๆแล้วก็อก็ไม่ต่ำกว่า 5,000 มิลกรัม
00:29:53 → 00:29:57 ทุกล้านนะครับก็อันนี้ก็ต้องระวัง 5,000
00:29:57 → 00:29:59 ที่อาจารย์ว่านี่คือคือปกติส้มตำมาตรฐาน
00:29:59 → 00:30:01 ปกติตำไทยปกติเหรอครับปกติแต่ถ้าเพิ่มปลา
00:30:02 → 00:30:04 ร้าอีก 2,000 บาไงก็เป็น 7,000 อาจารย์
00:30:04 → 00:30:07 แต่ปกติถ้าส้มตำอ่ะมันใส่เครื่องไม่ยั้ง
00:30:07 → 00:30:10 อ่ะมันถ้าใส่น้อยมันไม่อร่อยเาใช่ครับถ้า
00:30:10 → 00:30:13 ใส่น้อยก็ก็ไม่อร่อยครับเราเราเคยชวนอ่อ
00:30:14 → 00:30:16 นักโภชนากรเมาทำเวิร์คชอปกันอยู่ว่าเอ่อ
00:30:16 → 00:30:20 ส้มตำให้มันเหลือสักเอ่อ 2,000 มิลิกรัม
00:30:20 → 00:30:23 มันอร่อยมั้เราลองชิมมันก็รู้สึกแปลกๆ
00:30:23 → 00:30:26 หน่อยอ่ะครับรู้สึกแปลกๆหน่อยแต่ก็แต่ก็
00:30:26 → 00:30:28 ดีกับสุขภาพครับค่ะออาจารย์แต่ว่าพอ
00:30:29 → 00:30:31 อาจารย์บอกว่าแช di เนี่ยต้องกินพืชผัก
00:30:31 → 00:30:33 เป็นหลักแล้วทุกคนก็คงคิดว่าส้มตำละ 1 ใน
00:30:33 → 00:30:35 นั้นทั้งรอดเพราะมันเป็นผักสดมันไม่ได้มี
00:30:36 → 00:30:39 การปรุงอ่ะอันนี้ไม่ได้ละมะเขือเทถฝยาวมะ
00:30:39 → 00:30:42 มะละกอเนาะจริงก็คือมะละกอแต่จริงๆมะละกอ
00:30:43 → 00:30:45 ก็มีความเป็นแป้งในตัวมะละกออยู่เหมือน
00:30:45 → 00:30:48 กันนะครับจริงๆก็เอ่อเราเราก็พอประมาณ
00:30:48 → 00:30:51 ครับก็อาจจะกินสักประมาณ 1 ฝ่ามือ 1 ฝ่า
00:30:51 → 00:30:55 มือก็จะได้เท่ากับแป้ง 1 ส่วนมะละกอดิบนะ
00:30:55 → 00:30:59 ครับมือก็เท่ากับแป้ง 1 ส่วนแล้วก็เ่อกิน
00:30:59 → 00:31:02 เส้นมันครับอย่าเอาน้ำไปราดข้าวราดอะไร
00:31:02 → 00:31:05 อย่างเงี้ยครับก็ก็เรียกว่าพอได้ครับพอ
00:31:05 → 00:31:07 ได้แต่ก็ต้องระวังนิดนึงครับผมอาจารย์คะ
00:31:07 → 00:31:10 แดชไดเอตที่อาจารย์บอกว่ากินผักผลไม้
00:31:10 → 00:31:13 อย่างน้อย 4-5 ฝ่ามือถ้าสมมุติถ้าเรากิน
00:31:13 → 00:31:16 มะม่วงก็ลูกนึงก็จะฝ่ามือนึงแล้วอย่าง
00:31:16 → 00:31:18 เงี้ยค่ะกล้วยอีกก็จะฝมือนึงแล้วอนี้ใช่
00:31:18 → 00:31:20 ครับอันนี้อันนี้ต้องต้องมองย้อนกลับไป
00:31:20 → 00:31:23 ว่าหากเราคำนวณขาบแล้วคาร์โบไฮเดรตของเรา
00:31:23 → 00:31:25 แล้วเรากินวันนึงได้ไม่เกิน 5-6 ส่วน
00:31:25 → 00:31:27 เนี่ยผลไม้เราก็ต้องเลือกนิดนึงอาจจะเป็น
00:31:27 → 00:31:30 ฝรั่งอาจจะเป็นแอปเปิลครับนะอาจจะเป็น
00:31:30 → 00:31:32 ชมพู่อย่างเงี้ยฮะพวกนี้คาร์โบไฮเดรตจะ
00:31:32 → 00:31:34 ค่อนข้างต่ำครับหรืออาจจะเป็นแตงโมสัก
00:31:34 → 00:31:37 ประมาณแตงโม 6-7 ชิ้นเนี่ยก็นับเป็น 1
00:31:37 → 00:31:40 ขาบครับเราก็อาจจะกินแตงโมสัก 3-4 ชิ้นก็
00:31:40 → 00:31:43 ได้ครับผสมมกันไปนะในทางแพทย์ชะลอวัยเรา
00:31:44 → 00:31:47 มองว่าการที่ท่านกินผักผลไม้หลากหลายสี
00:31:47 → 00:31:50 สันฮะมันจะทำให้ท่านแก่ชาครับอ๋อทำให้
00:31:50 → 00:31:55 ท่านดูหนุ่มสาวตลอดตลอดอหนุ่มสาวตลอดกา
00:31:55 → 00:31:58 แล้วกันใช้คับนี้แล้วกันอผลไม้ที่คุณหยก
00:31:58 → 00:32:01 ยกตัวอย่างมานี่แป้งหนักๆทั้งนั้นเลยนะ
00:32:01 → 00:32:03 ครับใช่เพราะว่าทุกอย่างคะมันเป็นมันเป็น
00:32:03 → 00:32:05 ใช่ถ้าเรานึกถึงว่ากล้วยอย่างเงี้ยกล้วย
00:32:05 → 00:32:07 ก็ฝ่ามือพอดีตามที่อาจารย์บอกอาจารย์บอก
00:32:07 → 00:32:10 4-5 ฝ่ามือก็เลยแบบว่าเอ๊ะแล้ว 4-5 ฝ่า
00:32:10 → 00:32:12 มือมันจะเป็นยังไงดีนะคุณไม่ยกตัวอย่าง
00:32:12 → 00:32:16 ทุเรียนทุเรียนมันคือ 2 กมมาคุอะไรเงี้ย
00:32:16 → 00:32:18 โอโหบันเทิงเลยทีเดียวทีนี้ก็คือเราต้อง
00:32:18 → 00:32:22 ดูน้ำตาลที่เราปริมาณขาบนั่นแหละของของ
00:32:22 → 00:32:24 ผลไม้ด้วยใช่มั้ยคะอาจารย์ในการที่เราจะ
00:32:24 → 00:32:27 เลือกรับประทานถ้าเราจะเลือกอ่าทิศทางนี้
00:32:27 → 00:32:29 แดช
00:32:29 → 00:32:32 เราก็อาจจะไปเป็นผักที่ไม่นับขาบก็ได้
00:32:32 → 00:32:35 ครับอย่างพวกกลุ่มผักใบพวก R R โอ๊คกรีน
00:32:35 → 00:32:39 โอ๊คต่างๆพวกเอ่อแตงกวาอะไรพวกเยก็จะเป็น
00:32:39 → 00:32:41 ผักที่ไม่นับขาดท่าสามารถกินได้ไม่จำกัด
00:32:41 → 00:32:42 ครับตัวนี้
00:32:42 → 00:32:47 ออกินแตงไปแตงกวาไปแตงกวาถือว่าอาจารยแตง
00:32:47 → 00:32:50 กวาถ้าเกิดคนเป็นเก๊าก็ทานไม่ได้อีกนะคะ
00:32:50 → 00:32:53 ก็ก็อาจจะมีพิวรีนกินเข้าไปอาจจะมีพิวรีน
00:32:53 → 00:32:56 แต่ก็แต่ก็ไม่ไม่ไม่มีผลมากเท่ากับพวกเ่อ
00:32:56 → 00:33:00 ตระกูลเบียร์พฮครับวเกาครับโอเครู้เรื่อง
00:33:00 → 00:33:03 ครับผมโอเคเอ่ออาจารย์ครับช่วงหลังเนี่ย
00:33:03 → 00:33:09 มันมีการพูดถึงเรื่องของแป้งกับน้ำตาล
00:33:09 → 00:33:12 เนี่ยเปรียบเทียบกันเขบอกว่าการควบคุมถ้า
00:33:13 → 00:33:16 ให้ดีกับร่างกายของเราเนี่ยการลดน้ำตาล
00:33:16 → 00:33:20 เนี่ยมันดีกว่าการที่จะต้องไปคิดเยอะคิด
00:33:20 → 00:33:22 มากกับการควบคุมแป้งอันนี้อันนี้ไม่ทราบ
00:33:22 → 00:33:24 ว่ามันจริงเท็จขนาดไหนครับอาจารย์ครับใน
00:33:24 → 00:33:27 เรื่องของการชะลอวัยเนี่ยฮะอาจารย์ครับก็
00:33:27 → 00:33:30 ก็ก็จริงๆการลดแป้งกับน้ำตาลคือต่อให้
00:33:30 → 00:33:33 เป็นแป้งนะครับไม่เราลิ้นเราไม่ได้รับรับ
00:33:33 → 00:33:35 ลดว่ามันหวานเนี่ยเอย่างไรก็ตามมันเข้า
00:33:35 → 00:33:38 สู่ระบบย่อยในร่างกายเรามันมันย่อยสลายไป
00:33:38 → 00:33:41 เป็นกลูโคสเหมือนกันดังนั้นท่านจะลดหวาน
00:33:41 → 00:33:44 จากสิ่งที่ลิ้นท่านรับรู้หรือเอ่อท่านจะ
00:33:44 → 00:33:48 ลดแป้งอันนี้ไม่ไม่ต่างกันนะครับไม่ต่าง
00:33:48 → 00:33:51 กันเพียงแต่ว่าเอ่อความหวานที่ลิ้นเรารับ
00:33:51 → 00:33:53 รู้ได้เนี่ยเราจะเลี่ยงเราจะรู้ว่ามัน
00:33:53 → 00:33:56 หวานแต่บางครั้งเราเราเราลืมไปฮว่าเอ่อ
00:33:56 → 00:33:58 อาหารบางอย่างเนี่ยมันลิ้นเราไม่ได้รับรส
00:33:58 → 00:34:00 ว่าหวานนะอย่างเช่นนมนมจืด 1 กล่องอย่าง
00:34:00 → 00:34:03 เงี้ยนมจืด 1 กล่อง 200 ซีซลิ้นเราไม่ได้
00:34:03 → 00:34:06 รับรู้ว่าหวานนะแต่มันอ่าดีตสุขภาพแนน
00:34:06 → 00:34:08 แล้วพนเข้าไปในร่างกายมันก็ย่อยเป็น
00:34:08 → 00:34:11 กลูโคสและแลคโตสต่างๆมันก็กลายมาเป็นน้ำ
00:34:11 → 00:34:14 ตาลที่อยู่ในกระเพาะเราแต่ลิ้นเราไม่รับ
00:34:14 → 00:34:17 รู้ต่านั้นเองออดังนั้นการจะลดแป้งและน้ำ
00:34:17 → 00:34:20 ตาลเนี่ยเอ่อควรลดพร้อมๆกันทั้ง 2 อย่าง
00:34:20 → 00:34:23 หากากท่านลดแต่สิ่งที่รับรดว่าหวานแต่ไอ้
00:34:23 → 00:34:26 สิ่งที่ลิ้นเรารับรดว่าไม่หวานเนี่ยท่าน
00:34:26 → 00:34:29 กินข้าววันนึงไป 10 ทับทีกินข้าวเหวทุก
00:34:29 → 00:34:32 วันท่านก็อ้วนเหมือนเดิมครับ
00:34:32 → 00:34:35 อ๋อทีนี้ถ้าเทียบกันเมื่อกี้มีมีการยกตัว
00:34:35 → 00:34:37 อย่างนะอาจารย์ยกตัวอย่างแล้วถ้าเทียบกับ
00:34:37 → 00:34:40 การควบคุมนะเค็มกับหวานเนี่ยอาจารย์ให้
00:34:41 → 00:34:44 น้ำหนักสิ่งไหนมากกว่ากันครับเพราะว่าดู 2
00:34:44 → 00:34:46 รสชาตินี้เนี่ยคนไทยชื่นชอบแล้วก็โปรด
00:34:46 → 00:34:48 ปรานกันเหลือเกินครับอาจารย์ครับครับก็
00:34:49 → 00:34:51 อันนี้ต้องต้องขึ้นอยู่ว่าเอ่อคนคนที่
00:34:51 → 00:34:54 อยู่ต่อหน้าเราเนี่ยเขาปัญหาเขาคืออะไร
00:34:54 → 00:34:57 ถ้าปัญหาเขามันมาจากอ่าเขาเป็นเบาหวานเ
00:34:57 → 00:35:00 อ้วนเนี่ยผมจะให้ให้ควบคุมคาร์โบไฮเดรต
00:35:00 → 00:35:03 ก่อนอ่าตัดเรื่องแป้งก่อนนะครับแต่ถ้า
00:35:03 → 00:35:06 เค้ามีปัญหาเรื่องความดันสูงคุมไม่ได้
00:35:06 → 00:35:09 หรือไตเริ่มเสื่อมไตเริ่มเสื่อมเข้าสู่
00:35:09 → 00:35:12 ระยะ 3 แล้วเนี่ยเอ่ออันเนี้ยต้องต้องคุม
00:35:12 → 00:35:16 เค็มคุมโซเดียมเลยครับอือ๋อขึ้นอยู่แต่
00:35:16 → 00:35:18 ถ้ามีปัญหาทั้ง 2 อย่างเลยก็ต้องต้องคุม
00:35:18 → 00:35:22 ทั้ง 2 อย่างครับแน่นอนก็วกกลับไปที่แด
00:35:22 → 00:35:27 เหมือนเดิมอครับอ๋อจะอเออปีหน้าเราก็คงจะ
00:35:27 → 00:35:30 ได้เห็นแคมเปญของทางกรมอนามัยเรื่องของ
00:35:30 → 00:35:34 การนับขาบที่มันเข้มข้นมากยิ่งขึ้นเนาะ
00:35:34 → 00:35:37 เออเพราะว่า ncd เนี่ยคุณหมอบอกว่าเป็น
00:35:37 → 00:35:40 ล้านอ่ะเป็นล้านๆ้าคนเลยเนี่ยนะฮะเออเยอะ
00:35:40 → 00:35:43 ช่วงท้ายแล้วครับคุณหมอครับอยากให้เอ่อ
00:35:43 → 00:35:46 ฝากทิ้งท้ายเรื่องของการดูแลสุขภาพรับปี
00:35:46 → 00:35:49 ใหม่กันหน่อยแล้วกันครับคุณมอครับครับ
00:35:49 → 00:35:50 ครับก็
00:35:50 → 00:35:55 เอ่อสำหรับในปี 2568 นะครับก็อยากให้คน
00:35:55 → 00:35:58 ไทยทุกคนครับตำหนักครับถึงตัวเลขทาง
00:35:58 → 00:36:01 สุขภาพของตนเองครับเอ่อท่านควรจะต้องเข้า
00:36:01 → 00:36:05 ใจครับว่าความดันเราควรอยู่ที่ไม่เกิน
00:36:05 → 00:36:08 1280 ต้องเข้าใจว่าน้ำตาลในเลือดเราควร
00:36:08 → 00:36:11 จะอยู่ที่ไม่เกิน 100 นะครับเ่อต้องรู้
00:36:11 → 00:36:14 ค่าไขมันตัวเองนะครับแล้วก็ช่างน้ำหนัก
00:36:14 → 00:36:17 บ่อยๆครับวัดรอบเอวช่างน้ำหนักตัวเองบ่อย
00:36:17 → 00:36:20 ๆเราเริ่มขึ้นเริ่มขยับขึ้นหรือยังก็รีบ
00:36:20 → 00:36:23 ปรับเปลี่ยนนะครับต้องรู้ว่าไตเราอยู่
00:36:23 → 00:36:25 ระยะไหนฮะซึ่งซึ่งพวกนี้เป็นโรคเรื้อรัง
00:36:25 → 00:36:28 ที่เราเจอบ่อยจริงๆฮะเอ่อกระทรวงสาสุขก็
00:36:28 → 00:36:31 พยายามที่จะเ่อยิบยื่นตรงเนี้ยให้ให้คน
00:36:31 → 00:36:34 ไทยได้ได้รับรู้ได้รับรู้ปีนี้อ่าอย่างปี
00:36:34 → 00:36:36 67 ที่ผ่านมาเราเริ่มนับขาบเป็นเดี๋ยวปี
00:36:36 → 00:36:39 68 เราอาจจะต้องไปนับโซเดียมกันนะฮะอาจ
00:36:39 → 00:36:42 จะมี launch โปรเจคคนไทยนับโซเดียมได้อีก
00:36:42 → 00:36:45 ขึ้นมาก็เราต้องตามให้ทันฮะเพื่อที่เราจะ
00:36:45 → 00:36:49 ได้ไม่ตกเทรนสุขภาพนะครับอืก็ก็เชียร์ให้
00:36:49 → 00:36:52 คนไทยเอ่อติดตามข่าวสารครับของกระทรวง
00:36:52 → 00:36:55 สาสุขและกรมอนามัยครับว่าเราจะมีโปรเจคดี
00:36:56 → 00:36:58 ๆให้ทุกท่านได้รับทราบแล้วก็แน่นอนฮะบ้าน
00:36:58 → 00:37:02 ปายสุดท้ายเราเราหวังว่าให้คนไทยไม่ป่วย
00:37:02 → 00:37:05 สุขภาพแข็งแรงแล้วก็ไม่เป็นภาระกับคนที่
00:37:05 → 00:37:08 อยู่รอบข้างครับผม