00:00:00 → 00:00:03 This Is tha PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:04 world vi The
00:00:05 → 00:00:08 Voice เจ้าแคปไซซินเนี่ยจริงๆแล้วเนี่ย
00:00:08 → 00:00:12 เป็นสารที่อยู่ตรงไส้พริกตัวแคปไซซิน
00:00:12 → 00:00:15 เนี้ยจริงๆแล้วเนี่ยต้องบอกก่อนว่าความ
00:00:15 → 00:00:18 เผ็ดเนี่ยมันไม่ใช่รสชาติรสชาติที่เราได้
00:00:18 → 00:00:21 รับเนี่ยจริงๆแล้วเนี่ยมันมีอยู่ทั้งหมด
00:00:21 → 00:00:26 เนี่ย 4 รสก็คือหวานขมเปรี้ยวเค็มจริงๆ
00:00:26 → 00:00:28 แล้วเนี่ยความเผ็ดเนี่ยมันคือความเจ็บปวด
00:00:28 → 00:00:30 นะอ่ามันเป็นเพี
00:00:30 → 00:00:33 ที่ไวต่อสารแคปไซซินซึ่งเรามีอยู่ในป่า
00:00:34 → 00:00:36 ของเรานี่แหละแล้วเวลาเรากินสารแคปไซซิน
00:00:36 → 00:00:39 เนี่ยมันก็จะไปจับกับตัวรับลดความเจ็บปวด
00:00:39 → 00:00:42 ความเพนความเจ็บความปวดความร้อนเราจริงๆ
00:00:42 → 00:00:44 แล้วเวลาเราได้รับความเผ็ดเนี่ยเราจะรู้
00:00:44 → 00:00:47 สึกแบบแสบ
00:00:47 → 00:00:51 ร้อนฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทย
00:00:51 → 00:00:57 ฟังรายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงพรค่ะ
00:00:57 → 00:01:01 PS ค่ะคุณผู้ฟังวันนี้เรามาติดตามกันถึง
00:01:01 → 00:01:05 เรื่องของความเผ็ดนะคะทำไมเราถึงกินเผ็ด
00:01:05 → 00:01:08 ได้ไม่เท่ากันเอออันนี้ก็เป็นข้อสงสัยนะ
00:01:08 → 00:01:10 อย่างเพื่อนเวลาไปกินข้าวด้วยกันเนี่ยเ
00:01:10 → 00:01:12 กินเผ็ดได้เรากินเผ็ดไม่ได้บางอย่างเรา
00:01:12 → 00:01:15 บอกว่าเผ็ดมากนะคะเขาก็บอกไม่เห็นเผ็ดเลย
00:01:15 → 00:01:18 เออทำไมเป็นอย่างงั้นนะคะเดี๋ยวคุยกับผู้
00:01:18 → 00:01:21 ช่วยศาสตราจารย์ดรเอกราชบำรุงพืชจาก
00:01:21 → 00:01:23 วิทยาลัยการแพทย์บูรณการมหาวิทยาลัย
00:01:23 → 00:01:26 ธุรกิจบัณฑิตค่ะสวัสดีค่ะอาจารย์ค่ะครับ
00:01:26 → 00:01:29 สวัสดีครับผมอืมาให้กินเผ็ดค่ะมาให้กิน
00:01:29 → 00:01:31 เผ็ด
00:01:31 → 00:01:33 ทำไมแบบว่ากินเผ็ดได้ไม่เท่ากันเพราะว่า
00:01:34 → 00:01:36 เนี่ยประสบปัญหากับกาลเวลาไปกินด้วยกัน
00:01:36 → 00:01:39 เงี้ยค่ะบางอย่างก็อย่างส้มตำก็ต้องมาหา
00:01:39 → 00:01:43 จุดกึ่งกลางว่าเออเขากินแล้วไม่เสียรส
00:01:43 → 00:01:45 ชาติเขากินเผ็ดได้แล้วเดี๋ยวจะหาว่าจืด
00:01:45 → 00:01:47 เกินไปแล้วเราก็กินเผ็ดมากไปกว่านี้ไม่
00:01:47 → 00:01:52 ได้ได้แค่นี้นะคะมันเป็นเพราะปัจจัยอะไร
00:01:52 → 00:01:55 อืมันเป็นเกี่ยวกับเรื่องของสารแคปไซซิน
00:01:55 → 00:01:58 มั้ยหรือยังไงเออ่าถูกต้องเลยครับคุณรี
00:01:58 → 00:02:00 อย่างที่คุณรีว่าอ่าแสดงว่าเรารู้จัก
00:02:00 → 00:02:03 เรื่องของแคปไซซินค่ะใช่่มั้ยครับเจ้า
00:02:03 → 00:02:07 แคปไซซินเนี่ยจริงๆแล้วเนี่ยเอ่อมันเป็น
00:02:07 → 00:02:13 ตัวสารที่อยู่ตรงไส้พริกอ่าอ่าหรือเมล็ด
00:02:13 → 00:02:18 พริกที่อยู่ตรงกลางเลยอ่าคือตัวแคปไซซิน
00:02:18 → 00:02:21 เนี้ยนะครับจริงๆแล้วเนี่ยต้องบอกก่อนว่า
00:02:21 → 00:02:25 ความเผ็ดเนี่ยมันไม่ใช่รสชาติรสชาติของคน
00:02:25 → 00:02:28 ที่เราได้รับเนี่ยจริงๆแล้วเนี่ยมันมันมี
00:02:28 → 00:02:32 อยู่ทั้งหมดเนี่ยเนี่ย 4 รสนะก็คือสมัย
00:02:32 → 00:02:36 อาจารย์เรียนนะจำได้เลยอาจารย์เขาจะสอนนะ
00:02:36 → 00:02:42 ชีเอ่อวิชาชีววิทยานี่ก็คือปลายหวานโคนขม
00:02:42 → 00:02:48 อออมเปรี้ยวเลี้ยวเค็มั้นแล้วหวานขม
00:02:48 → 00:02:51 เปรี้ยวเค็มนี่คือรสที่มีต่อมรับรสอยู่
00:02:51 → 00:02:53 ที่ลิ้นปลายหวานคือรสหวานอยู่ตรงปลายลิ้น
00:02:53 → 00:02:57 นะครับเราเราแตกปึ๊บแบบแบบหวานหวานเลยอ่า
00:02:57 → 00:03:00 โคนขมก็คือโคนลิ้นข้างในเนี่ยของเราเนี่ย
00:03:00 → 00:03:03 รับรชาขนขมอ่าใช่บางทีเราเอาแตะปลายลิ้น
00:03:03 → 00:03:06 อ่ะขมยังไม่ค่อยรู้สึกนะอือ่าเราแบบเอ๊ะ
00:03:06 → 00:03:09 ทำไมแบบลองเอามะระแตะเอทำไมแบบเคี้ยวปึ๊บ
00:03:09 → 00:03:11 เมื่อไหร่อ่าเคี้ยวเมื่อไหร่ปุ๊บเฮ้ยตรง
00:03:11 → 00:03:16 ตรงโคลิ้นเนี่ยขมนะข้างๆเนี่ยอ่าฮะก็คือ
00:03:16 → 00:03:21 เปรี้ยวแล้วอส่วนโค้งตรงลิ้นเนี่ยอ่าก็
00:03:21 → 00:03:25 คือจะเค็มโอ้โหแต่เวลาเข้าปากเราอ่ะมันก็
00:03:25 → 00:03:28 กระจายไปหมดแหละเพราะน้ำลายมันพาไปมันก็
00:03:28 → 00:03:32 กระจายกระจายไปยันต่อมรับรสทั้งหลายแหลก
00:03:32 → 00:03:34 เออเพิ่งเข้าใจพออาจารย์บอกปุ๊บเวลาที่
00:03:34 → 00:03:37 เรารู้สึกว่าเปรี้ยวหรือรู้สึกแบบเขา
00:03:37 → 00:03:40 กำลังทำยำอยู่อ่ะน้ำลายมันส่อข้างๆนี่เอง
00:03:40 → 00:03:43 เพราะว่ารสเปรี้ยวนี่เองข้างลิ้นใช่มั้ย
00:03:43 → 00:03:46 คะ 2 ข้างใช่ๆครับผมเา้าถึงบอกเอ้ยปลาย
00:03:46 → 00:03:49 หวานโคนขมอมเปรี้ยวเลี้ยวเค็มคืออย่างที่
00:03:49 → 00:03:52 บอกเลยว่ามันมีต่อมรับรสทั้ง 4 แล้วเวลา
00:03:52 → 00:03:54 เรากินเข้าไปส่วนใหญ่ก็กินบ๊วยกินอะไรก็
00:03:54 → 00:03:57 โอ้ยหวานๆเปรี้ยวๆเค็มๆรู้หมดอ้าวไม่มี
00:03:57 → 00:04:00 ต่อมรับเผ็ดแล้วเผ็ดได้ไงคะเผ็ดได้เพราะ
00:04:00 → 00:04:05 ว่าร่างกายของเราเนี่ยมันจะมีตัวรับความ
00:04:06 → 00:04:08 เจ็บปวดจริงๆแล้วเนี่ยความเผ็ดเมันคือ
00:04:08 → 00:04:12 ความเจ็บปวดนะอ่ามันเป็นเพรตที่ไวต่อสาร
00:04:12 → 00:04:17 แคปไซซินซึ่งเรามีอยู่ที่ในในในป่าของเรา
00:04:17 → 00:04:20 นี่แหละนะช่องป่าของเรานี่แหละแล้วเวลา
00:04:20 → 00:04:23 เรากินสารแคปไซซินเนี่ยยมันก็จะไปจับกับ
00:04:23 → 00:04:26 ตัวรับลดความเจ็บปวดความเพนความเจ็บความ
00:04:26 → 00:04:29 ปวดความร้อนเราจริงๆแล้วเวลาเราได้รับ
00:04:29 → 00:04:33 ความเผ็ดเนี่ยเราจะรู้สึกแบบแสบร้อนใช่ๆ
00:04:33 → 00:04:36 นึกออกมยครับเรารู้สึกอหูยแสบร้อนมากเลย
00:04:36 → 00:04:38 แบบเพราะมันกระตุ้นระบบประสาทที่ทำให้เรา
00:04:38 → 00:04:42 รู้สึกแบบแสบนะรู้สึกร้อนนะมันก็เลยเป็น
00:04:42 → 00:04:45 ความเผ็ดจริงๆแล้วมันคือความเจ็บปวดนะแต่
00:04:45 → 00:04:49 แค่ว่าไม่รวดร้าวนะมันไม่ได้อยู่มันไม่
00:04:49 → 00:04:51 ได้อยู่ที่ใจมันอยู่ที่ปากพี่ิใช่ซึ่ง
00:04:51 → 00:04:55 ต่อมรับรดความรู้สึกเจ็บปวดเนี้ยแต่ละคน
00:04:55 → 00:04:59 มีความรู้สึกมีมีไอ้ต่อมรับรถเนี้ยได้
00:04:59 → 00:05:00 ต่างกัน
00:05:00 → 00:05:03 ออ่าต่อมรับความรู้สึกนะต้องพูดอย่างนี้
00:05:03 → 00:05:07 ความรู้สึกเจ็บปวดออรมีรีเซตต่างกัน
00:05:07 → 00:05:11 ฉะนั้นแล้วเนี่ยแต่ละคนก็จะกินเผ็ดและเทร
00:05:11 → 00:05:14 โชว์ความทนนะครับได้ต่างกันค่ะอืถ้ารับ
00:05:14 → 00:05:17 ได้มากหน่อยอาจารย์ชอบกินเผ็ดเนี่ยทนได้
00:05:17 → 00:05:23 คือ 1 คำนะเราจะกินเอ่อไส้กอกข้าวค่ะมัก
00:05:23 → 00:05:28 จะมีพริกใช่มั้ยครับพริกอ่าแหนมมีพริก
00:05:28 → 00:05:34 ข้าวขาหมูอ่ามีพริกดูสิอาหารที่อตี้มันๆ
00:05:34 → 00:05:36 เห็นมั้ไส้กรอกข้าวเนี่ยไส้กรอกข้าวหมัก
00:05:36 → 00:05:39 ดองไปย่างสารกรอบมะเร็งพลิกหมดเลยเพราะ
00:05:39 → 00:05:42 มันช่วยในการเผาผาญและต้านมะเร็งไงอ่า
00:05:42 → 00:05:45 ฉะนั้นแล้วขอให้กินแก้กันไงครับแล้วแล้ว
00:05:45 → 00:05:48 อาจารย์ก็จะฟาด 1 คำ 1 เม็ด 1 เม็ด 1
00:05:48 → 00:05:51 เม็ดแล้วเวลากินกินอาหารเนี่ยจะชอบกินมาก
00:05:52 → 00:05:54 เลยพริกน้ำปลาหรือน้ำปลาพริกนี่เพิ่งคุย
00:05:54 → 00:05:56 กับเพื่อนเมื่อวานเองนะตกลงแล้วมันมา
00:05:56 → 00:05:58 เรียกยังไงกันแน่นะปัญหาโรคแตกว่าเป็น
00:05:58 → 00:06:03 พริกน้ำปลาหรือน้ำปาพริกแต่ไม่รู้ล่ะแต่ิ
00:06:03 → 00:06:07 เวลากินอาจารย์ก็จะโกยเลยนะขวาดเลยพริก
00:06:07 → 00:06:10 อืมอพริกเนี่ยกวาดขึ้นมาเลยน้ำปลานี่
00:06:10 → 00:06:14 สเด็ดๆนะอ่าแล้วก็เอามาใส่ทุกมื้ออาหาร
00:06:14 → 00:06:18 ถ้าไปเจอน้ำปลาพริกที่ไหนนะอือจะกวาดพริก
00:06:18 → 00:06:21 ขึ้นมาหมดเลยเพราะชอบชอบกินบางทีกินเป็น
00:06:21 → 00:06:25 ช้อนช้อนโต๊ะอ่ะครับกินข้าวหาช้อนกินข้าว
00:06:25 → 00:06:27 เนี่ยอาจารย์ใส่เลย 1 ช้อนอาจารย์พริกแบบ
00:06:27 → 00:06:31 สดๆแบบหั่นๆอย่างเงี้ยเหรออ้าหมดเลยคือ
00:06:31 → 00:06:36 คือต่อมรับของแต่ละคนต่างกันอย่างที่บอก
00:06:36 → 00:06:39 ถ้ามีเยอะก็รับได้เยอะความรู้สึกเนี้ยถ้า
00:06:40 → 00:06:43 มีน้อยเราก็จะทนได้มากบอบังเหลือเกินอแต่
00:06:43 → 00:06:48 ต่อมเนี้ยความความทนทานมันก็แตกต่างกันพอ
00:06:48 → 00:06:52 อายุเพิ่มมากขึ้นบางทีมันก็ค่ะเริ่มลดลง
00:06:52 → 00:06:54 ไปอะไรอย่างเงี้ยครับงั้นแล้วแต่ละคน
00:06:54 → 00:06:57 เนี่ยมันก็จะแตกต่างกันไปเสื่อมไปตามวัย
00:06:57 → 00:07:01 ตามสภาพบางทีแบบเฮ้ยตอนสมัยเนี่ยยวัยรุ่น
00:07:01 → 00:07:05 นี่ยังวัยรุ่นอยู่ยังหนุ่มๆอยู่กินได้แต่
00:07:06 → 00:07:09 พอทำไมอายุเยอะแล้วแบบโอโหกินเผ็ดนิด
00:07:09 → 00:07:12 เดียวรู้สึกแบบเผ็ดมากเลยเห็นมั้ยงั้น
00:07:12 → 00:07:16 แล้วเนี่ยมันก็ไปตามวัยนะซึ่งเวลาเผ็ด
00:07:16 → 00:07:18 เยอะๆไอ้เจ้าแคปไซซินเนี่ยมันละลายในน้ำ
00:07:18 → 00:07:21 มันครับค่ะเวลากินเผ็ดเยอะๆนะคนส่วนใหญ่
00:07:21 → 00:07:26 จะชอบกินน้ำแข็งค่ะน้ำเย็นเผ็ดเผ็ดเพเผ
00:07:26 → 00:07:29 อ่าจริงๆแล้วถ้าอยากหายเผ็ดเนี่ยคือคุณ
00:07:29 → 00:07:30 คุณ
00:07:30 → 00:07:36 ต้องกินนมกลั่ปากด้วยนมเพราะมันมีไขมัน
00:07:36 → 00:07:38 มันดูไม่เข้ากันค่ะอาจารย์เพราะว่าไม่ได้
00:07:38 → 00:07:43 ก็อาหารที่มีกะทิได้มั้ยอออาหารมันแกง
00:07:43 → 00:07:46 กะทิอะไรก็ว่าไปใช่ครับเพราะอะไรรู้มั้
00:07:46 → 00:07:51 ครับเพราะมันช่วยล้างแคปไซซินออกอือ๋อ
00:07:51 → 00:07:56 มน่าอน่าคืออะไรอะไรนะก๋วยเตี๋ยวเรือต้อง
00:07:56 → 00:07:59 มีขนมถ้วยด้วยอ้าเห็นมั้ยเห็นมั้ยพริกง
00:07:59 → 00:08:03 พริกี่รอะไรต่างๆขนมถ้วยเนี่ยอาจารยบรีบ
00:08:03 → 00:08:06 คว้าหมับมาเลยไม่ต้องไปแบบว่าอูยเผ็ดมาก
00:08:06 → 00:08:09 เลยเอาน้ำน้ำเย็นมาหน่อยอมน้ำแข็งมาหน่อย
00:08:09 → 00:08:13 อมอ่ะมันไม่ได้หายนะแต่มันชาๆก็ทำให้รู้
00:08:13 → 00:08:15 ลดความรู้สึกไปนิดนึงรู้สึกใช่ถูกต้อง
00:08:15 → 00:08:19 ความเย็นจะทำให้เรารู้สึกชาแล้วจะรู้สึก
00:08:19 → 00:08:23 ว่าเฮ้ยมันลดความเจ็บปวดอ่ะเนี่ยกับมาที่
00:08:23 → 00:08:25 ความเจ็บปวดฟดูมันเหมือนเป็นเรื่องอะไ
00:08:25 → 00:08:28 ซาดิตอะไรสักอย่างใช่มันก็จะลดความรู้สึก
00:08:28 → 00:08:32 แบบเฮ้ยเจ็บปวดรู้สึกแสบร้อนลงก็จะแบบ
00:08:32 → 00:08:35 เฮ้ยกินน้ำเย็นกินน้ำเย็นบางทีกินจนจุก
00:08:35 → 00:08:38 อ่ะกินน้ำเยอะจนจุกเพราะว่าอิ่มเลยเพราะ
00:08:38 → 00:08:40 ว่าแบบเฮ้ยมันเผ็ดนะอมน้ำแข็งกินน้ำเย็น
00:08:40 → 00:08:44 แต่จริงๆแล้ววิธีการแก้ที่ได้ผลดีก็คือ
00:08:44 → 00:08:47 การแบบเฮ้ยกินนมนมธดาอารไขมันใช่ครับไม่
00:08:48 → 00:08:50 ใช่นมเปรี้ยวอะไรงไม่ใช่นมเปรี้ยวนมเพราะ
00:08:50 → 00:08:53 ว่ามันมีไขมันจากนมอยู่ไครับอือ่านมที่
00:08:53 → 00:08:56 เป็นไขมันแบบครบส่วนด้วยนะอ่ายิ่งยิจะ
00:08:56 → 00:08:58 ช่วยล้างความเผ็ดล้างแคปไซซินออกได้อ๋อ
00:08:58 → 00:09:00 แสดงว่าเดี๋ยวนี้ถ้าถ้าเกิดว่าจะไปกิน
00:09:00 → 00:09:02 เผ็ดแล้วถ้าเป็นคนกินเผ็ดไม่ได้ก็ต้องพก
00:09:02 → 00:09:05 นมไปด้วยพกนมไปด้วยหรือจะพกขนมถ้วยไปก็
00:09:05 → 00:09:08 ได้นะแต่ว่ากินแต่พอดีไม่งั้นเดี๋ยวแบบ
00:09:08 → 00:09:11 ว่าโอ้โหเผ็ดลดลงแต่ว่าไขมัน
00:09:11 → 00:09:16 ขึ้นน้ำตาลขึ้นจากขนมถ้วยฉะนั้นแล้วเนี่ย
00:09:16 → 00:09:20 อาหารที่มีไขมันองค์ประกอบอืนะหรือ
00:09:20 → 00:09:22 เครื่องดื่มก็ได้มันก็จะช่วยล้างแคปไซซิน
00:09:22 → 00:09:27 ออกไปจากปากเราแต่บางทีมันลงไปแสบท้องโอห
00:09:27 → 00:09:32 อร่อยปากลำบากอ่าตอนออกถูกต้องอย่างเงี้ย
00:09:32 → 00:09:34 แล้วคนที่ต้องพึงระวังนอกจากผู้สูงอายุ
00:09:34 → 00:09:38 ที่รับลดความเผ็ดร้อนได้น้อยลงก็ยังมี
00:09:38 → 00:09:43 กลุ่มพวกที่มีปัญหาเป็นโรคกระเพาะออที่จะ
00:09:43 → 00:09:45 ต้องระวังความเผ็ดนึกออกมั้ยครับเพราะว่า
00:09:45 → 00:09:48 เฮ้ยเป็นกระเพาะอาหารอยู่แล้วแล้วมันเข้า
00:09:48 → 00:09:51 ไปเนี่ยมันก็จะทำให้แสบร้อนระคายเคืองอือ
00:09:51 → 00:09:53 ยิ่งมีแผลในกระเพาะอยู่ค่ะอ่าเป็นแผลใน
00:09:53 → 00:09:56 กระเพาะหรือแผลที่ลำไส้เล็กอย่างเงี้ย
00:09:56 → 00:09:58 แล้วกลุ่มโรคของระบบทางเดินอาหารกระเพาะ
00:09:58 → 00:10:01 อาหารทั้งหลายแหล่ก็ต้องระวังการกินเผ็ด
00:10:01 → 00:10:04 อือ่าพวกพริกทั้งหลายแหล่แล้วก็กลุ่มคน
00:10:04 → 00:10:07 ที่เป็นโรคกดไหลย้อนอ๋อ
00:10:08 → 00:10:11 อ่านั้นก็แสบร้อนกลางอกยิ่งกินอาหารรสจัด
00:10:11 → 00:10:15 เผ็ดจัดค่ะก็ยิ่งมีผลอืเออจริงๆแล้วมัน
00:10:16 → 00:10:18 เป็นไอ้เจ้าพริกเนี่ยอย่างที่อาจารย์บอก
00:10:18 → 00:10:22 เมื่อสักครู่เนี้ยเรากินกับอาหารมันอาหาร
00:10:22 → 00:10:26 ทอดเป็นเครื่องเคียงเป็นพืชผักสมุนไพรที่
00:10:26 → 00:10:29 โอ้โหมันมีกินมานานแล้วจริงๆแล้วมันมีมัน
00:10:29 → 00:10:32 มีประโยชน์นะครับเจ้าแคปไซซินเนี่ยจากใน
00:10:32 → 00:10:34 พริกเนี่ยต้องเป็นพริกสดแต่ถ้าเกิดไปเอา
00:10:34 → 00:10:38 ไปพริกแห้งก็อ๋อได้เหรอพริกคั่วก็ได้ก็
00:10:38 → 00:10:41 ยังมีความเผ็ดอยู่นะเผ็ดอยู่เล็กน้อยอ่า
00:10:41 → 00:10:43 แต่ถ้าพริกขี้หนูสดเนี่ยมันมีการศึกษา
00:10:43 → 00:10:45 วิจัยว่าไอ้เจ้าสารแคปไซซินเนี่ยที่อยู่
00:10:45 → 00:10:48 ในพริกขี้หนูสดเนี่ยมันช่วยในการลดน้ำตาล
00:10:48 → 00:10:50 ในเลือดของคนเป็นเบาหวานได้ด้วยนะมีการ
00:10:50 → 00:10:53 ศึกษาวิจัยอ้าทีนี้กินพริกเป็นว่าเล่น
00:10:53 → 00:10:55 แล้วทอ่าแต่ก็ต้องพึงระวังไงครับว่าเฮ้ย
00:10:55 → 00:10:59 คุณทนเผ็ดได้มั้ยคุณแสบร้อนท้องมั้ยอ่า
00:10:59 → 00:11:02 อันเนี้ยก็เป็นสิ่งที่เป็นผลข้างเคียงที่
00:11:02 → 00:11:04 อาจจะเกิดขึ้นได้อืแล้วก็ต้องมาดูตัวเอง
00:11:04 → 00:11:07 ว่าเฮ้ยรับได้แค่ไหนเพราะจากการวิจัย
00:11:07 → 00:11:10 เนี่ยการศึกษาวิจัยเนี่ยกิน 2 เม็ด 3
00:11:10 → 00:11:13 เม็ดก็เกิดประโยชน์แล้วอ้าหรอทำไมเให้ให้
00:11:13 → 00:11:17 แบบแค่นี้ก็ได้แล้วเหรอใช่แล้วมันมันนอก
00:11:17 → 00:11:19 จากช่วยในเรื่องของการควบคุมน้ำตาลใน
00:11:19 → 00:11:21 เลือดแล้วเนี่ยไอ้เจ้าแคปไซซินเองเนี่ย
00:11:22 → 00:11:24 ยังช่วยเพิ่มการเผาผานไขมันในร่างกายของ
00:11:24 → 00:11:28 เราอ่ามันมีการศึกษาวิจัยว่าแบบอุ้ยสาร
00:11:28 → 00:11:33 แคปซเนี่ยมันสามารถที่จะกระตุ้นการสลายไข
00:11:34 → 00:11:38 มันได้อ่าเมื่อก่อนเนี่ยเราจึงเห็นในพวก
00:11:38 → 00:11:40 ซัพพลีเมนท์พวกอาหารเสริมลดน้ำหนักทั้ง
00:11:40 → 00:11:43 หลายแหละแต่อาจารย์บอกเลยว่าไม่ใช่ว่าคุณ
00:11:43 → 00:11:46 กินปุ๊บแล้วไขมันคุงจะยุบไขมันจะหายไม่
00:11:46 → 00:11:49 ใช่มันไม่ใช่มันก็เป็นแค่ปัจจัยนึงอ่ะ
00:11:50 → 00:11:52 คุณลีนึกออกมั้ยครับว่ามันเป็นแค่อหนึ่ง
00:11:52 → 00:11:56 ในปัจจัยแล้วมันมีผลเล็กน้อยอ่าเพิ่ม
00:11:56 → 00:11:58 กระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกายการเผาผลา
00:11:58 → 00:12:00 อ
00:12:00 → 00:12:02 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ร่วมด้วยกับการ
00:12:02 → 00:12:06 ควบคุมอาหออกกำลังกายนะการกินเอ่อพริก
00:12:06 → 00:12:10 หรือแคปไซซินก็เป็นอันนึงในอาหารของเรานะ
00:12:10 → 00:12:11 กินส่วนนึงให้มันเป็นอาหารของเราเหมือน
00:12:12 → 00:12:14 ที่อาจารย์บอกว่าเฮ้ยอาจารย์กิน
00:12:14 → 00:12:18 เอ่อไส้กรอกข้าวอย่างเงี้ยเขาก็รู้ว่า
00:12:18 → 00:12:20 เฮ้ยปิ้งย่างบางทีเกรียมเลยเห็นมั้ย
00:12:20 → 00:12:24 เหลืองๆอ่ะใช่มีสารกร่อมะเร็งนะแต่ช่วย
00:12:24 → 00:12:27 ต้านการอักเสบต้านแบบมะเร็งอย่างเงี้ยมัน
00:12:27 → 00:12:30 ก็ต้องกินแบบคู่กันกินข้าวขาหมูอย่าง
00:12:30 → 00:12:34 เงี้ยโหกินมันๆแคลอรี่สูงอย่างเงี้ยอก็
00:12:34 → 00:12:36 เสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนโรคหัวใจคุณก็กิน
00:12:36 → 00:12:39 อันนี้ไปเผาผลาญอือ่าเพื่อให้มันพยายาม
00:12:39 → 00:12:43 ที่จะล้มล้างฤทธิ์สิ่งที่ไม่ดีค่ะอ่างั้น
00:12:43 → 00:12:46 แล้วจริงๆแล้วเนี่ยถ้าเรากินแต่พอดีแล้ว
00:12:46 → 00:12:50 เหมาะสมกับร่างกายของเราอันเนี้ยมันจะ
00:12:50 → 00:12:54 เกิดประโยชน์อืสใในน้ำปลาหวานน่ะเห็นมั้ย
00:12:54 → 00:12:58 ยังมีพริกมีหอมซอยๆลงไปใช่ในไอ้มะม่วงน้ำ
00:12:58 → 00:13:02 ปลาหวานอ่าเพราะเขารู้ไงว่ากินมัน
00:13:02 → 00:13:06 หวานกินกินมะม่วงก็แป้งแล้วนะอ่าแต่ก็
00:13:06 → 00:13:09 ไฟเบอร์ก็มีอยู่สูงแหละแต่ไอ้น้ำปลาหวาน
00:13:09 → 00:13:12 เนี่ยเห็นมั้ยก็พยายามที่จะใส่หอมซอยนะ
00:13:12 → 00:13:15 ใส่พริกนะเพื่อมีแคปไซซินช่วยเพิ่มการ
00:13:15 → 00:13:18 เบิร์นการเผาผลาญควบคุมน้ำตาลในหอมมี
00:13:18 → 00:13:20 เคอร์ซิตินอือก็ช่วยในการที่จะควบคุม
00:13:20 → 00:13:23 ระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเงี้ยได้ด้วยมัน
00:13:23 → 00:13:26 ถูกเอาไปทำเป็นน้ำปลาหวานแบบนั้นเนี่ยสาร
00:13:26 → 00:13:29 สำคัญหรืออะไรพวกนี้มันไม่ได้หายไปใช่มั้
00:13:29 → 00:13:31 หายครับคุณลีกินแล้วคุณลียังเผ็ดมั้ยล่ะ
00:13:31 → 00:13:34 ก็ถ้าโดนพริกเผ็ดอ่าถูกต้องเห็นมั้ยโดน
00:13:34 → 00:13:38 พริกก็เผ็ดอืแล้วในอาหารบ้านเราอ่ะหลาย
00:13:38 → 00:13:40 เมนูเลยบางทีโดนแล้วอาจารย์แล้วแบบว่า
00:13:40 → 00:13:44 โอ้โหนี่โดนแบบเผอิญภรรยาไม่ชอบกินเผ็ด
00:13:45 → 00:13:47 แต่อาจารย์เนี่ยจะหางั้นเราอยู่ด้วยกัน
00:13:47 → 00:13:50 ได้พอมาเจอปุ๊บเนี่ยควานหาเลยไหนเอ่อลูก
00:13:50 → 00:13:53 โดดเราเรียกลูกโดดใช่มั้ยอ่าเราก็จะแบบ
00:13:53 → 00:13:56 ควานหาในแกงในต้มยำในอะไรเลยเพราะเราแบบอ
00:13:56 → 00:14:00 เรากินพริกใช่เราชอบกินอะไรอย่างเงี้ยอ่า
00:14:00 → 00:14:03 แต่ถ้าคนเขาไม่กินแล้วบางทีมันทุบมามัน
00:14:03 → 00:14:05 มันต่อไอ้นี่มาตำมาอย่างเงี้ยแล้วใส่ลงไป
00:14:06 → 00:14:08 เนี่ยบางทีเม็ดพริกเนี่ยมันกระจายค่ะแล้ว
00:14:08 → 00:14:10 ความเผ็ดมันก็อยู่ตรงนั้นแหละครับคือไม่
00:14:10 → 00:14:13 ใช่ตัวว่าตัวเปลือกพริกที่มันเป็นสีเขียว
00:14:13 → 00:14:16 สีแดงอะไรอย่างงั้นนะคะแต่ตัวเป็นตัวเม็ด
00:14:16 → 00:14:19 พริกต่างหากทำให้เผ็ดพใช่ทีนี้บางทีแบบ
00:14:19 → 00:14:22 ว่าอุ๊ยไปกินโดนพริกแล้วทำไมเผ็ดเพราะไอ้
00:14:22 → 00:14:25 เจ้าสารแคปซิลเพราะบางทีเราเราทุบเราโถก
00:14:25 → 00:14:28 เนี่ยมันก็ไปติดอยู่ตรงเปลือกพริกมันก็
00:14:28 → 00:14:30 เลยทำให้เปลือกเนี่ย
00:14:30 → 00:14:33 เพชรนึกออกใช่มั้ครับแล้วถ้าเรากินพริก
00:14:33 → 00:14:38 หยวกพริกใหญ่เออๆๆพริกไม่เผ็ดไม่เผ็ดเลย
00:14:38 → 00:14:41 เห็นมั้ยเอ๊ะอ้าวแล้วเรียกว่าพริกทำไมคะอ
00:14:41 → 00:14:43 พวกนั้นน่ะไม่เผ็ดก็เป็นพืชตระกูลพริก
00:14:43 → 00:14:48 เหมือนกันแต่ว่ามันไม่เผ็ดอือ่ามันก็ไม่
00:14:48 → 00:14:50 เผ็ดสารเหล่านั้นก็จะน้อยแต่มันก็จะมีสาร
00:14:50 → 00:14:54 อื่นๆมาเห็นมั้ยครับเรากินไอ้พริกหยวกที่
00:14:54 → 00:14:57 เป็นสีแดงในสลัดบ้างในอะไรอย่างเงี้ยใส่
00:14:57 → 00:15:01 ในอาหารทั้งหลายแห่ไม่มีรสชาติเผ็ดเลย
00:15:01 → 00:15:07 หวานด้วยซ้ำ๋ยอ่าอดีหไม่หวานอาจจะไม่ค่อย
00:15:07 → 00:15:10 ได้กินเพราะมาใส่กับหัวหอมค่อยอาจารย์จำ
00:15:10 → 00:15:15 ได้เขี่ยออกเลยนี่มีคนกินแทนเลยแหละพิพิก
00:15:15 → 00:15:17 หยวกเนี่ยแต่ก็แบบอะไรที่คำว่าพริกออาจาร
00:15:17 → 00:15:19 แบกลัวไว้ก่อนเลยว่าเฮ้ยมันต้องเผ็ดแเลย
00:15:19 → 00:15:21 อ่าเพราะว่าคนไม่กินเผ็ดอย่างเงี้ยก็จะ
00:15:21 → 00:15:23 ระมัดระวังแล้วความเผ็ดของแต่ละคนก็รับ
00:15:23 → 00:15:26 ได้แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับต่อมรับความ
00:15:26 → 00:15:32 รู้สึกเผ็ดนะของแต่ละคนซึ่งโอ้โหแบบไม่
00:15:32 → 00:15:34 เท่ากันเนี่ยแหละก็เป็นเหตุให้กินได้ต่าง
00:15:34 → 00:15:37 กันถ้าใครกินได้รับได้เยอะหน่อยอาจารย์ก็
00:15:37 → 00:15:40 แนะนำให้กินนะทุกวันอือฮึอ่าเพราะมันก็
00:15:40 → 00:15:43 เป็นส่วนนึงของพืชผักสมุนไพรของเราอ่ะ
00:15:43 → 00:15:46 เหมือนเวลาเรากินผัดกระเพราอย่างเงี้ยทุก
00:15:46 → 00:15:49 วันนี้อาจารย์สั่งกระเพราอ่ะขอเผ็ดๆนะ
00:15:49 → 00:15:52 อัยยะอ่าทุกเมนูอ้าอาจารย์ไม่สั่งขอใบ
00:15:52 → 00:15:57 กระเพราเพิ่มเพิ่มกะเพราและเพิ่มพริกเผ็ด
00:15:57 → 00:16:00 ๆเอออ่าขอสาดมาเลยแต่ถ้าเผ็ดมากก็ไม่มัน
00:16:00 → 00:16:03 ก็เริ่มไม่ไหวแล้วนะเออคือถ้ามันมากเกิน
00:16:03 → 00:16:05 ไปอย่างเงี้ยอย่างของอาจารย์ต้องมีลิมิต
00:16:05 → 00:16:07 ของความเผ็ดที่มันแบบเฮ้ยเกินกว่ามีครับ
00:16:07 → 00:16:10 ถ้าไปบางทีไปกินร้านส้มตำอ่ะคุณลีเขาก็จะ
00:16:10 → 00:16:13 มีให้เรือบางยี่ห้อโไม่ใส่เลยกับเผ็ด 2
00:16:13 → 00:16:18 เม็ดเผ็ดเอ่อ 5 เม็ดเผ็ด 10 เม็ดอย่าง
00:16:18 → 00:16:21 เงี้ยอาจารย์ก็จะเลือก 5 อ่ะก็ขอกลางๆน
00:16:21 → 00:16:23 กลางลๆถูกต้องครับเพราะมันเผ็ดมากไปมัน
00:16:23 → 00:16:25 กลายเป็นกินไม่ได้เลยนะเอ้ยแต่อาจารย์มัน
00:16:25 → 00:16:28 มีบางบางไม่รู้อาจารย์เคยไปร้านนี้หรือ
00:16:28 → 00:16:32 เปล่าเมีแบบแบบพริก 5 เม็ดอเผ็ดน้อยเผ็ด
00:16:32 → 00:16:35 กลางของเขาคือพริก 15 เม็ดแล้วก็อันไหน
00:16:35 → 00:16:38 กลางซึ่งซึ่งอันนั้นน่ะคงจะต้องเลือกเผ็ด
00:16:38 → 00:16:41 น้อยแล้วแหละเพราะน้อยของเราไม่เท่ากัน
00:16:41 → 00:16:44 มันอารมณ์คล้ายๆกับใช่เอ่อหวานน่ะหวาน
00:16:45 → 00:16:48 น้อยหวานน้อยร้านเนี้ยกหวานน้อยใส่น้ำตาล
00:16:48 → 00:16:51 5 ช้อน 5 ช้อนชาวิทใส่อย่างเงี้ยไอ้หวาน
00:16:51 → 00:16:53 น้อยของเขาอ่ะหวานน้อยเห็นมยมันไม่เท่า
00:16:53 → 00:16:56 กันน่ะเพราะหวานของเราไม่เท่ากันเออเพราะ
00:16:57 → 00:16:59 ฉะนั้นความเผ็ดของเราก็เลยจะไม่เท่าก็ไม่
00:16:59 → 00:17:00 เท่ากันอีกเผ็ดน้อยอย่างเงี้ยภรรยา
00:17:00 → 00:17:04 อาจารย์เจะบอกเลยนะว่าถ้าไม่ล้าง
00:17:04 → 00:17:08 โคร้กก็ไม่ต้องใส่พริกเลยอ๋อเพราะมันยัง
00:17:08 → 00:17:11 มีระดับความเผ็ดจากครกที่แล้วอยู่จครก
00:17:11 → 00:17:13 อยู่แต่ถ้าล้างครกแล้วกินส้มตำนะล้างครก
00:17:13 → 00:17:17 แล้วใส่ได้เม็ดนึงอุ๊ยน่ารักตมูตมิเห็นม
00:17:17 → 00:17:20 ก็ต้องก็ต้องบอกก็ต้องบอกเห็นมั้ยเพราะ
00:17:20 → 00:17:25 ว่าแบบการรับรถความเผ็ดไม่เท่ากันอืแต่
00:17:25 → 00:17:28 ถ้าเผ็ดมากเกินไปอ่ะมีเรื่องของกระเพาะ
00:17:28 → 00:17:32 ถูกต้องกดไหลย้อนใช่แสบร้อนอย่างเงี้ย
00:17:32 → 00:17:34 ครับอันเนี้ยก็ไม่คุ้มกันไม่คุ้มเลยที่จะ
00:17:34 → 00:17:37 แบบเฮ้ยกินเผ็ดงั้นแล้วก็ต้องคุณผฟังก็
00:17:37 → 00:17:39 ต้องสังเกตตัวเองว่าเฮ้ยเราเผ็ดได้มาก
00:17:39 → 00:17:42 น้อยแค่ไหนแล้วอายุเยอะแล้วจะไปกินเผ็ด
00:17:42 → 00:17:45 เท่าสมัยวัยรุ่นหนุ่มสาวก็ไม่ได้แล้วเอ้า
00:17:45 → 00:17:47 แต่ทำไมตอนนี้คือกลายเป็นว่าเพราะต่อมลับ
00:17:47 → 00:17:50 มันเริ่มแบบไอ้นี่แล้วเหรอเอ๊เราทำไมเรา
00:17:50 → 00:17:52 ตรงข้ามหรือเราเด็กลงพอเริ่มรู้สึกกิน
00:17:52 → 00:17:55 เผ็ดได้มากขึ้นนิดนึงมากขึ้นก็เป็นไปได้
00:17:55 → 00:17:59 เด็กลงแน่เลยไม่ใช่แต่จริงๆแล้วคือให้มัน
00:17:59 → 00:18:01 อยู่ในระดับที่พอดีกับแต่ละบุคคลใช่ที่
00:18:01 → 00:18:05 เราแบบเอ้ยยังรับได้ยังกินได้ไม่ใช่เผ็ด
00:18:05 → 00:18:08 มากจนกินไม่ได้รู้สึกแบบแสบเบิร์นอย่าง
00:18:08 → 00:18:12 เงี้ยมันก็รู้สึกแบบโกินเข้าไปแบบแสบแสบ
00:18:12 → 00:18:15 กระเพาะเลยนะแสบทางเดินอาหารเลยนะใชอย่าง
00:18:15 → 00:18:18 เงี้ยมันก็มันก็เกิดประโยชน์ไม่คุ้มและ
00:18:18 → 00:18:21 ไม่คุ้มกับสิ่งผลข้างเคียงแล้วอย่างพริก
00:18:21 → 00:18:23 แต่ละชนิดเนี่ยค่ะมันจะมีระดับความเผ็ด
00:18:23 → 00:18:26 ไม่เท่ากันของแต่ลิอย่างพิกต่างเพชรอะไรเ
00:18:26 → 00:18:29 ที่เคแบบพลิกอะไรนะที่แบบโหเผ็ดมากอะไร
00:18:29 → 00:18:31 อย่างเงี้ยอันนั้นมันมันเป็นจากสาร
00:18:31 → 00:18:33 แคปไซซินไอ้ตัวนี้เลยใช่มั้ยคใช่ใช่ครับ
00:18:33 → 00:18:35 เพราะว่าปริมาณแคปไซซินของสายพันธุ์แต่ละ
00:18:36 → 00:18:38 ชนิดก็ต่างกันบางทีเราเห็นแบบเฮ้ยพริกขี้
00:18:38 → 00:18:42 หนูเม็ดเล็กๆอ่ะออ่ะอ่ะจะเผ็ดมากกว่ามัน
00:18:42 → 00:18:44 ก็จะมีพริกขี้หนูสวนกับพริกขี้หนูบ้านร
00:18:44 → 00:18:48 อย่างเงี้ยใช่ครับอย่างเงี้ยครับแล้ว
00:18:48 → 00:18:51 ธรรมชาติการเพาะปลูกอะไรต่างๆมันแตกต่าง
00:18:51 → 00:18:56 กันนะครับอือ่าเพราะว่าดินเอย
00:18:56 → 00:19:00 เอ่อภูมิอากาศทั้งหลายแหล่ภูมิประเทศทั้ง
00:19:00 → 00:19:04 หลายแหละส่งผลต่อสารสำคัญอ๋อสารออกฤทธิ์
00:19:04 → 00:19:08 ค่ะน่าเราเรียกสารพฤกษะเคมีเนี่ยในพืชแตก
00:19:08 → 00:19:11 ต่างกันอือ่านัแล้วปลูกหลังบ้านอาจารย์
00:19:11 → 00:19:14 กับปลูกหลังบ้านคุณรีต่อให้เป็นสายพันธุ์
00:19:14 → 00:19:17 เดียวกันอาจจะส่งผลต่อปริมาณแคปไซซินต่าง
00:19:17 → 00:19:20 กันได้อ๋อความเผ็ดร้อนก็ต่างกันฉะนั้น
00:19:21 → 00:19:25 ทั้งนี้ก็กินแต่พอดีอ่ามันก็จะเกิด
00:19:25 → 00:19:28 ประโยชน์ในการที่จะช่วยเผาผาญไขมั่นนะ
00:19:28 → 00:19:30 ช่วยช่วยควบคุมน้ำตาลอะไรอย่างเงี้ยยังมี
00:19:30 → 00:19:34 งานวิจัยด้วยนะว่าเฮ้ยมันช่วยกระตุ้น
00:19:34 → 00:19:37 ฮอร์โมนบางตัวที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มนาน
00:19:37 → 00:19:40 ขึ้นอ้าหรออล่ะเรแต่บางคนอาจจะเริ่มสวน
00:19:40 → 00:19:43 ทางกับความรู้สึกว่าเอ๊ะทำไมเวลาฉันกิน
00:19:43 → 00:19:48 แซ่บๆเผ็ดๆฉันกินได้เยอะอ๋อเอ้ยแต่มันก็
00:19:48 → 00:19:51 มีนอกจากกินได้เยอะแล้วเนี่ยบางทีนะความ
00:19:51 → 00:19:54 รู้สึกว่าถ้าทำงานมาเครียดๆหรือแบบหนักๆ
00:19:54 → 00:19:56 เลยเนี่ยอยากกินเผ็ดออ่าแล้วพอกินเข้าไป
00:19:57 → 00:19:59 ปุ๊บรู้สึกโล
00:19:59 → 00:20:03 โนี่แหละสิ่งที่ต้องการอารมณ์ประมาณนี้
00:20:03 → 00:20:05 คุณผู้ฟังเป็นมยคะหรือว่าแบบปกติคุณผู้
00:20:05 → 00:20:08 ฟังกินเผ็ดอยู่แล้วเพราะว่าเอาจริงๆนะคุย
00:20:08 → 00:20:11 กับคุณหมอโรคไตเนี่ยคุณหมอก็บอกว่าการกิน
00:20:11 → 00:20:14 อ่าถ้าจะให้ดีนะกินเผ็ดกับกินเปรี้ยวดี
00:20:15 → 00:20:19 กว่ากินหวานหรือเค็มยังดีกว่าอ่ากินเผ็ด
00:20:19 → 00:20:24 ดีกว่าอถูกต้องครับคือเลวน้อยกว่าเอ๊ต้อง
00:20:24 → 00:20:27 บอกอย่างงี้เออหรือถ้าพูดเพราะๆก็ดีกว่า
00:20:27 → 00:20:30 เพราะหวานมากก็ไม่ดีอยู่แล้วเรารู้ว่าแบบ
00:20:30 → 00:20:34 เฮ้ยหวานเนี่ยมันมันไม่ดีกับสุขภาพใชออือ
00:20:34 → 00:20:39 เค็มก็ไม่ดีใช่อ่าและอ่ะพอพูดถึงเรื่อง
00:20:39 → 00:20:41 โรคไตปุ๊บคนส่วนใหญ่พอพูดไตอ่ะคนจะไป
00:20:41 → 00:20:45 โฟกัสแต่ความเค็มเกลือแต่ลืมไปไงว่าน้ำ
00:20:45 → 00:20:47 ตาลก็เช่นเดียวกันเพราะคนเป็นเบาหวานส่วน
00:20:47 → 00:20:51 ใหญ่ก็อ๋อกพ่วงกันไงใช่นึกออกมั้ยครับอ่า
00:20:51 → 00:20:54 เบาหวานน้ำตาลใช่ครับทั้งหวานทั้งเค็มที
00:20:54 → 00:20:58 นี้เปรี้ยวเนี่ยอมันก็จะโอกาสแบบน้อยที่
00:20:58 → 00:21:00 ที่โรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับความ
00:21:00 → 00:21:03 เปรี้ยวนะแล้วถ้าเปรี้ยวเนี่ยบางตัวเนี่ย
00:21:03 → 00:21:06 มันเป็นเปรี้ยวจากพวกกรดซิติกซึ่งมันเป็น
00:21:06 → 00:21:08 กรดที่ดีที่ทำให้ร่างกายของเราเนี่ยปรับ
00:21:08 → 00:21:11 สมดุลร่างกายของเรามีความเป็นด่างเพิ่ม
00:21:11 → 00:21:14 มากขึ้นได้อ่านะแล้วมันเนี่ยมันความ
00:21:14 → 00:21:17 เปรี้ยวมันก็โอกาสในการทำลายสุขภาพเนี่ย
00:21:17 → 00:21:19 น้อยส่วนใหญ่เนี่ยที่เจอเยอะๆคนชอบกิน
00:21:19 → 00:21:22 เปรี้ยวก็คือพวกอีนาเมลสารเคลือบฟันอ๋อ
00:21:22 → 00:21:26 ที่มันไปกัดกร่อนกัดกร่อนฟันคุณก็จะแบบ
00:21:26 → 00:21:30 เฮ้ยเสียวฟันนะเวลากินเปรี้ยวอันเนี้ยคือ
00:21:30 → 00:21:34 อผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากความเปรี้ยว
00:21:34 → 00:21:36 อือแค่นั้นเองกับความเผ็ดที่อาจารย์บอก
00:21:36 → 00:21:39 เรื่องของกดไหลย้อนเรื่องของกระเพาะอาหาร
00:21:39 → 00:21:42 แต่กับโรคเรื้อรังเนี่ยมันไม่ได้มีผลไม่
00:21:42 → 00:21:45 ได้มีผลอย่างที่คุณหมอโลกไตว่าเลยอุ้ย
00:21:45 → 00:21:47 กลายเป็นว่าพอฟังแล้วเนี่ยจริงๆทุกอย่าง
00:21:47 → 00:21:50 มันถ้าไม่มากเกินไปน้อยเกินไปกินในระดับ
00:21:50 → 00:21:52 พอดีที่เราแบบันเนี่ยเฮ้ยมันก็โอเคนะใช่
00:21:52 → 00:21:54 ครับไม่ใช่ถึงขนาดว่าเราอันนู้นก็ถ้ามัน
00:21:54 → 00:21:57 เป็นโรคแล้วโดนห้ามแน่แต่ถ้าเกิดเรายัง
00:21:57 → 00:21:59 ไม่ถึงขนาดนั้นเนี่ยปรับก่อนน่ะแล้วก็จะ
00:21:59 → 00:22:04 เป็นจอิ้งได้เออ่าปรับก่อนป่วยปรับก่อน
00:22:04 → 00:22:07 ป่วยใช่ครับดีกว่าป่วยแล้วแบบว่าก็ต้องมา
00:22:07 → 00:22:09 ปักเหมือนเราอ่ะให้ไปออกกำลังกายทุกวัน
00:22:09 → 00:22:12 เนี้ยสบายๆไปออกมั้ยครับคุณลีไม่ไม่เลือก
00:22:12 → 00:22:16 นอนขอดูซีรีแป๊บนึงใช่แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็
00:22:16 → 00:22:19 ตามที่เราสตกค่ะต้องไปทำกายภาพ
00:22:19 → 00:22:23 บำบัดนึกออกมั้ยครับทีตอนที่มีแรงดีๆให้
00:22:23 → 00:22:28 ทำไม่ทำทำแต่ก็ต้องไปรอให้มันเกิดก่อนอ่า
00:22:28 → 00:22:32 เกิดแล้วเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตแล้วก็ต้องมา
00:22:32 → 00:22:35 แบบฝึกเดินฝึกยืด
00:22:35 → 00:22:40 ฝึกรู้งี้เออรู้อะไรไม่สู้เรู้งี้รู้งี้
00:22:40 → 00:22:42 ครับอ่าเมื่อเช้าคนที่บ้านเพิ่งบอกเพราะ
00:22:42 → 00:22:45 ว่าช่วงนี้ราคาทองขึ้นรู้งี้รู้
00:22:45 → 00:22:50 งี้ขึ้นทุกวันนะรู้งี้รู้งี้ซื้อตั้งแต่ล
00:22:50 → 00:22:51 30 ปี
00:22:51 → 00:22:55 แล้วโอ้โหโหดร้ายมากนี่มันร้อนมันมันขึ้น
00:22:55 → 00:22:57 เพราะอากาศร้อนรึเปล่าอากาศร้อนก็ขึ้นตาม
00:22:57 → 00:23:00 ไปหมดเลยเนี่ยตอนเนี้เออทุกสิ่งอเนาแต่
00:23:00 → 00:23:05 ว่าแต่ว่าก็อย่าให้อย่าให้อะไรนะความเผ็ด
00:23:05 → 00:23:09 ร้อนขึ้นมากเกินรขึ้นมากเกินเออแต่ว่าก็
00:23:09 → 00:23:11 จะไปหัดกินเผ็ดให้มากขึ้นเพื่อในเรื่อง
00:23:11 → 00:23:15 ของเอ่อระบบเผาผลานด้วยเผาดีขึ้นควบคุม
00:23:15 → 00:23:18 เบอิของน้ำตาลของไขมันจริงๆแล้วความเผ็ด
00:23:18 → 00:23:20 เนี่ยอย่างที่อาจารย์บอกแหละว่าอช่างน้ำ
00:23:21 → 00:23:25 หนักดูอ่ะผลเสียมีน้อยค่ะอ่ากามผลดีเว้น
00:23:25 → 00:23:28 ไว้เสียแต่ว่าคนนั้นเป็นโรคกระเพาะอาหาร
00:23:28 → 00:23:32 ค่ะเป็นโรคกดไหลย้อนคุณก็ต้องเรี่ยงอือ่า
00:23:32 → 00:23:35 ไม่ให้แบบเฮ้ยกินเผ็ดจัดแต่ถ้าคุณแบบไม่
00:23:35 → 00:23:38 ได้เป็นคุณใส่แต่น้อยๆก็ได้เผ็ดน้อยก็ได้
00:23:38 → 00:23:41 เพราะยังขึ้นชื่อว่าเผ็ดอยู่เผอ่าคุณก็
00:23:41 → 00:23:44 ได้เล็กๆน้อยๆอย่าแล้วอย่างหล่าที่มัน
00:23:44 → 00:23:46 อยู่ในมันน้ำมันมันๆอย่างเงี้ยทำไมกินเรา
00:23:46 → 00:23:48 เผ็ดอ่ะมันอยู่น้ำมันมันก็ทำให้ไม่เผ็ด
00:23:48 → 00:23:52 แล้วดิอ่าอันนั้นเป็นความชาครับยังไงมัน
00:23:52 → 00:23:54 ก็ยังเจออยู่ในช่องปากอยู่ดีแหละแต่อาจจะ
00:23:54 → 00:23:58 แป๊บเดียวแล้วก็ลงไปอ๋อมันไม่ใช่ความเพช
00:23:58 → 00:24:02 ถูกต้องครับผมอ่ามันคือความแบบชาแป่งๆที่
00:24:02 → 00:24:05 ปากอ่าแล้วมันก็ถามว่าเอ้ยมันอยู่ในน้ำ
00:24:05 → 00:24:07 มันอ่ะเหมือนเรากินน้ำพริกเผาอ่ะค่ะถ้า
00:24:07 → 00:24:10 น้ำพริกเผาบางอย่างมันก็ยังเจอนะครับมัน
00:24:10 → 00:24:14 ก็ยังมีแต่แค่ความโงค้างอยู่ในช่องปากของ
00:24:14 → 00:24:18 เราเนี่ยมันก็จะแบบเฮ้ยน้อยกว่าไอ้พวกที่
00:24:18 → 00:24:22 ไม่ได้มีแบบไขมันเป็นองค์ประกอบอืแต่พริ
00:24:22 → 00:24:26 พริกเผานี้ยังพอหวานๆนะยังไม่ได้แบบใช่
00:24:26 → 00:24:29 มันหานคือแบบเพริก
00:24:29 → 00:24:33 จังมีปัญหากับเรื่องพริกค่ะใช่งั้นแล้ว
00:24:33 → 00:24:36 เนี่ยกินแต่พอดีกินให้เหมาะสมอาจารย์ว่า
00:24:36 → 00:24:38 กินให้เหมาะสมกับตัวเราเองแต่ถ้าใครกิน
00:24:38 → 00:24:40 ไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องไปฝืนกินนะครับค่ะ
00:24:40 → 00:24:43 อ่ารู้ว่าเฮ้ยมันมีประโยชน์แต่คุณแบบไม่
00:24:44 → 00:24:47 ไหวอย่างเงี้ยอ่าก็แบบโอ๊ยกินเผ็ดไม่ได้
00:24:47 → 00:24:51 ก็ไม่จำเป็นเราก็ใช้วิธีการอื่นนะในการดู
00:24:51 → 00:24:53 แลสุขภาพพริกไทยแทนได้มั้ยคะพริกไทยก็มี
00:24:53 → 00:24:57 พิเพอรีนก็ให้รสชาติเผ็ดร้อนเล็กน้อยแต่
00:24:57 → 00:24:59 ไม่เท่ากับพริกอ่ะไม่เท่ากับพริกแคปไซซิน
00:24:59 → 00:25:02 โดยตรงใช่ครับฉะนั้นแล้วเนี่ยมันก็กินให้
00:25:02 → 00:25:05 เหมาะสมกับตัวเองอาจารย์ว่าถ้ากินได้ก็
00:25:05 → 00:25:07 เล็กน้อยก็เล็กน้อยไม่เป็นไรเล็กๆน้อยๆใน
00:25:08 → 00:25:11 การที่จะเป็นปัจจัยเสริมในการดูแลสุขภาพ
00:25:11 → 00:25:14 ร่างกายนะเพิ่มเมตาบอลิซึมมาเล็กน้อยอะไร
00:25:14 → 00:25:17 อย่างเงี้ยครับแต่ถ้าไม่ได้กินเลยแบบก็
00:25:17 → 00:25:20 ไม่เป็นไรไม่ต้องแบบถึงขนาดแบบอุ้ยฉัน
00:25:20 → 00:25:22 ต้องกินนะเพราะอาจารย์บอกว่ามันดีมัน
00:25:22 → 00:25:25 เพิ่มการเผาผลาญคุมน้ำตาลแล้วก็ต้องเตือน
00:25:25 → 00:25:27 คุณผู้ฟังที่เป็นเบาหวานพออาจารย์บอกเอ้ย
00:25:27 → 00:25:30 คุมน้ำตาลได้โหไปกินพริกอย่างเดียวเลย
00:25:30 → 00:25:34 แล้วฝากสิ่งนึงที่สำคัญเลยอือยาฆ่าแมลงตก
00:25:34 → 00:25:38 ค้างในพริกเยอะมากเพราะเขาฉีดยากันอ๋อถึง
00:25:38 → 00:25:42 ได้สวยแล้วต้องล้างต้องล้างทำความสะอาด
00:25:42 → 00:25:46 ให้ดีอ้าแมลงกินพริกไม่เผ็ดหรอคะอ่าก็กิน
00:25:46 → 00:25:49 เปลือกพริกไงครับไม่ได้กินเม็ดพริกกิใช่
00:25:49 → 00:25:53 เลือกกินเราให้เรากินเม็ดพริกแทนยังคงปาม
00:25:53 → 00:25:56 เผ็ดไว้อยู่อ๋อแบบนี้นี่เองเออนะก็ล้าง
00:25:56 → 00:25:59 ก่อนนะจ๊ะนะคะแล้วก่อนจะไปกินที่ไหนเก็
00:25:59 → 00:26:01 ล้างด้วยนิดนึงก็แล้วกันเนาขอบคุณอาจารย์
00:26:01 → 00:26:05 ค่ะสวัสดีค่ะสวัสดีครับเอาล่ะค่ะได้ความ
00:26:05 → 00:26:07 รู้กันไปแล้วนะคะพวกคใหม่ครั้งหน้าค่ะวัน
00:26:07 → 00:26:10 นี้ลาไปก่อนค่ะสวัสดีค่ะ This Is Toy
00:26:10 → 00:26:14 PBS podcast มือสั่นเป็นอาการไม่ปกติใน
00:26:14 → 00:26:16 กลุ่มคนทั่วไปสาเหตุเกิดได้จากอาการหรือ
00:26:16 → 00:26:19 โรคอะไรได้บ้างที่มากกว่าพากินสันแพทย์
00:26:19 → 00:26:22 หญิงกิตยาสีเลิศฟ้าแพทย์อายุรกรรมฝ่ายการ
00:26:22 → 00:26:27 แพทย์ AIA มาเล่าให้ฟังครับมือสั่นสาเหตุ
00:26:27 → 00:26:30 บริโภคคาเฟอีนมากเกินไปคนที่ทานกาแฟมาก
00:26:30 → 00:26:33 เกินไปบางคนบางคนผลข้างเคียงของการกินยา
00:26:33 → 00:26:36 บางชนิดบางคนรับประทานยาหอบหืดอยู่อ่ายา
00:26:36 → 00:26:40 ซึมเศร้าเมื่อหยุดช้ายาอาการสั่นจะหยุดลง
00:26:40 → 00:26:42 ความเครียดเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ
00:26:42 → 00:26:47 สั่นได้เช่นโกรธรุนแรงโยโกรธหิวจัดกดนอน
00:26:47 → 00:26:49 มือไม้สั่นไปหมดเลยคือน้ำตาลในเลือดต่ำ
00:26:49 → 00:26:52 ภาวะนี้จะไปกระตุ้นให้เกิดความเครียดซึ่ง
00:26:52 → 00:26:55 เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายทำ
00:26:55 → 00:26:58 ให้มีอาการมือสั่นการขาดวิตามิน B1 2 จะ
00:26:58 → 00:27:01 ทำให้ระบบประสาททำงานได้อย่างไม่มี
00:27:01 → 00:27:03 ประสิทธิภาพเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ
00:27:03 → 00:27:07 สั่นได้เล็กน้อยภาวะถอนสุราคนที่อยู่ดีๆ
00:27:07 → 00:27:11 อดเหล้าทันทีทันใดเนี่ยจะมีอาการมือสั่น
00:27:11 → 00:27:13 ได้แล้วอีกประการนึงก็คือพวกที่ติดเหล้า
00:27:13 → 00:27:17 จริงๆเลยติดจุฬาดื่มมากหรือดื่มนานก็จะ
00:27:17 → 00:27:20 เกิดอาการสั่นได้นานเป็นปีหรือมากกว่า
00:27:20 → 00:27:23 นั้นที่พูดไปคือไม่ได้เกิดจากโรคคราวนี้
00:27:23 → 00:27:26 มือสั่นจากโรคโรคสั่นไม่ทราบสาเหตุเป็น
00:27:26 → 00:27:29 โรคทางระบบประสาทที่สันนิษฐานว่าเกิดจาก
00:27:29 → 00:27:33 การทำงานที่ผิดปกติของสมองส่วนรีเบล
00:27:33 → 00:27:35 ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของ
00:27:35 → 00:27:38 ความผิดปกติโรคพิสันเราส่วนใหญ่อันนี้จะ
00:27:38 → 00:27:40 จะรู้จักอยู่โรคเดียวแล้วแหละทำให้ทำให้
00:27:40 → 00:27:43 มือสั่นคือโรคพิสันเป็นโรคที่ส่งผลกระทบ
00:27:43 → 00:27:46 ต่อสมองส่วนที่สั่งงานการเคลื่อนไหวของ
00:27:46 → 00:27:48 อวัยวะในร่างกายอาการสั่นเนี่ยยไม่ได้
00:27:48 → 00:27:51 เกิดกับผู้ป่วยทุกรายนะโดยส่วนใหญ่จะระยะ
00:27:51 → 00:27:53 เริ่มต้นของโรคเนี่ยเกิดที่มือเท้านิ้ว
00:27:53 → 00:27:56 มืออาจจะมีอาการสั่นโดยจะสังเกตเห็นนิ้ว
00:27:56 → 00:28:00 ชี้และนิ้วโป้งขไปมาต่อไปโรคปลอกประสาท
00:28:00 → 00:28:03 เสื่อมแข็งส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง
00:28:03 → 00:28:05 ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
00:28:05 → 00:28:08 แล้วก็ความรู้สึกของร่างกายค่ะทำให้เกิด
00:28:08 → 00:28:11 อาการสั่นที่มือหรือเท้าจะมีอาการสั่น
00:28:11 → 00:28:14 คล้ายๆกับโรคสั่นไม่ทราบสาเหตุนี่ล่ะคือ
00:28:14 → 00:28:17 สั่นในขณะที่กำลังเคลื่อนไหวมือส่วนของ
00:28:17 → 00:28:20 สตกหลอดเลือดสมองนี้ก็มีอาการสั่นได้
00:28:20 → 00:28:22 เหมือนกันมือสั่นได้แต่ว่าพบไม่บ่อยนะ
00:28:22 → 00:28:24 อันเนี้ยพบปล่อยไฮเปอร์ไทรรอยด์หรือว่า
00:28:24 → 00:28:27 ต่อมไทรรอยด์ทำงานเกินเนี่ยพวกไฮเปอร์
00:28:27 → 00:28:29 ไทรรอยด์เนี่ยอ้าเหรอเราก็จะรู้จักอยู่ะ
00:28:29 → 00:28:34 พวกนี้จะมีน้ำหนักลดใจสั่นมือสั่นนอนไม่
00:28:34 → 00:28:38 หลับอันเนี้ยไฮเปอร์
00:28:38 → 00:28:43 thy This Is Toy PBS
00:28:43 → 00:28:46 podcast ติดตามรายการทางเว็บไซต์และ
00:28:46 → 00:28:49 แอปพลิเคชันของ Thai PBS podcast
00:28:49 → 00:28:52 spotify South Cloud Google podcast
00:28:52 → 00:28:55 Apple podcast และ YouTube Channel
00:28:55 → 00:28:59 Thai PBS podcast tha PB podc View
00:28:59 → 00:29:03 the world via The Voice