00:00:00 → 00:00:03 การโกหกตัวเองหรือการหลอกตัวเองเนี่ยเป็น
00:00:03 → 00:00:07 สิ่งที่เกิดขึ้นได้และเป็นหนึ่งในกลไกทาง
00:00:07 → 00:00:12 จิตที่มีพลังและพบได้บ่อยมากความมีพลัง
00:00:12 → 00:00:15 ของมันเกิดจากการที่เราไม่รู้ว่ามันมีตัว
00:00:15 → 00:00:18 นี้อยู่นะครับแล้วเราก็เชื่อคำโกหกนั้น
00:00:18 → 00:00:21 อย่างสนิทใจ
00:00:21 → 00:00:24 แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้ทันมันเรา
00:00:24 → 00:00:27 ตระหนักว่ามันมีเสียงนี้อยู่ในหัวของเรา
00:00:27 → 00:00:30 มีคำโกหกอยู่ในหัวของเรามันไม่จำเป็นต้อง
00:00:30 → 00:00:33 เป็นความจริงนะครับหรือมันไม่ใช่ความจริง
00:00:33 → 00:00:38 ซะเลยนะครับพลังของมันก็จะลดลงครับขอยก
00:00:38 → 00:00:41 ตัวอย่างง่ายๆตัวอย่างแรกก่อนนะครับถ้า
00:00:41 → 00:00:45 คุณกำลังคุมน้ำหนักตัวคุมอาหารตั้งใจจะ
00:00:45 → 00:00:50 ไม่กินขนมหวานแล้วพอเจอคุณพอคุณไปเจอขนม
00:00:50 → 00:00:53 หวานของโปรด
00:00:53 → 00:00:57 ก็บอกกับตัวเองว่านิดหน่อยน่ะไม่เป็นไร
00:00:57 → 00:01:01 คุณก็กินมันนะครับกินเสร็จแล้วก็มารู้สึก
00:01:01 → 00:01:03 ผิดอีกทีนึงว่าอ้าแย่แล้วทำไมเราไปกินมัน
00:01:03 → 00:01:07 ทั้งๆที่เราตั้งใจจะไม่กินมัน
00:01:07 → 00:01:09 ในตัวอย่างนี้ก็จะเห็นนะครับว่าแม้ว่าเรา
00:01:09 → 00:01:12 จะตั้งใจทำสิ่งที่ดีกับสุขภาพแต่ดูเหมือน
00:01:12 → 00:01:16 มันมีอีกส่วนหนึ่งของจิตใจเราที่ไม่ได้
00:01:16 → 00:01:21 เห็นด้วยตามนั้นแล้วมันรอจังหวะเวลา
00:01:21 → 00:01:25 ที่จะส่งเสียงในทำนองชี้ชวน
00:01:25 → 00:01:29 หรืออนุญาตเช่นกรณีนี้ก็คือพูดว่านิด
00:01:29 → 00:01:31 หน่อยไม่เป็นไรเนี่ยนะครับเหมือนเรามี
00:01:31 → 00:01:34 อยู่ด้วยกัน 2 ฝ่ายฝ่ายนึงคือเหมือนตัว
00:01:34 → 00:01:37 เราที่อยากตั้งใจคุมน้ำหนักอีกฝ่ายนึง
00:01:37 → 00:01:41 เหมือนเป็นฝ่ายแทรกซึมฝ่ายค้าน
00:01:41 → 00:01:45 ที่มาบั่นทอนความตั้งใจของเราซึ่งมันจะรอ
00:01:45 → 00:01:48 คอยโอกาสมันแฝงตัวอยู่นะครับเราคิดว่าเรา
00:01:48 → 00:01:52 เอาอยู่แต่มันแฝงตัวอยู่พอได้โอกาสปุ๊บ
00:01:52 → 00:01:55 มันก็บอกว่ากินเลยนะครับอันนี้เป็นตัว
00:01:55 → 00:01:58 อย่างง่ายๆของการกบโกหกตัวเองหรือหลอกตัว
00:01:58 → 00:02:01 เองเพื่อกินของที่ตัวเองอยากกินทั้งๆที่
00:02:01 → 00:02:05 ตัวเองตั้งใจที่จะไม่กินนะครับ
00:02:05 → 00:02:08 มาดูตัวอย่างที่ 2 นะครับตัวอย่างที่ 2
00:02:08 → 00:02:11 ก็จะเป็นกรณีเรื่องการนอนกลางวันนะครับมี
00:02:11 → 00:02:14 คนจำนวนไม่น้อยนะครับที่นอนพักกลางวันไม่
00:02:14 → 00:02:17 ได้ผมถามว่าเกิดอะไรขึ้นเบอกว่าโอ้โหตอน
00:02:17 → 00:02:19 นอนตอนกลางวันแล้วมันรู้สึกผิดยังไงก็ไม่
00:02:19 → 00:02:22 รู้นะครับบางคนก็จะบอกว่านอนตังงกลางวัน
00:02:22 → 00:02:25 แล้วมันเหมือนเรากำลังทำสิ่งที่ไม่มุไม่
00:02:25 → 00:02:29 มีคุณค่าซะเลยนะครับรู้สึกรู้สึกผิด
00:02:29 → 00:02:32 ทั้งที่คนเหล่านี้เนี่ยรับรู้ความรู้นะ
00:02:32 → 00:02:35 ครับว่ามันมีงานวิจัยเรื่องของการนอนพัก
00:02:35 → 00:02:39 ตอนบ่ายหลังอาหารกลางวันซึ่งมีอยู่ในบาง
00:02:39 → 00:02:42 ประเทศในทางยุโรปเนี่ยนะครับซึ่งเราสรุป
00:02:42 → 00:02:45 ได้ว่ามันเป็นประโยชน์กับสุขภาพนะครับแต่
00:02:45 → 00:02:47 แม้ว่าเราจะตระหนักในข้อมูลเหล่านี้ซึ่ง
00:02:47 → 00:02:50 เป็นความเป็นจริงแล้วเนี่ยแต่ถ้าให้เราคน
00:02:50 → 00:02:53 กลุ่มนั้นนอนตอนกลางวันเจะบอกเทำไม่ได้
00:02:53 → 00:02:57 มันรู้สึกผิดมันเป็นสิ่งที่เขาทำไม่ได้
00:02:57 → 00:02:59 โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรนะครับแต่
00:02:59 → 00:03:03 ถ้าย้อนหลังกลับไปบางคนก็จะจำได้ว่าในวัย
00:03:03 → 00:03:06 เด็กเนี่ยพ่อแม่จะสอนไว้ว่านอนกลางวัน
00:03:06 → 00:03:09 เนี่ยขี้เกียจไม่ดีแล้วก็อาจจะมีคำสอน
00:03:09 → 00:03:13 อื่นที่ปลุกอารมณ์เพื่อไม่ให้ลูกมานอนตอน
00:03:13 → 00:03:15 กลางวันนะครับ
00:03:15 → 00:03:20 คนที่นอนกลางวันไม่ได้และรู้สึกผิดแต่รู้
00:03:20 → 00:03:24 ตัวว่าเราไม่น่าต้องรู้สึกผิดเลย
00:03:24 → 00:03:26 แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกผิด
00:03:26 → 00:03:28 นะครับ
00:03:28 → 00:03:32 จะรักษาหรือเยียวยาได้ง่ายกว่าคนที่นอน
00:03:32 → 00:03:34 กลางวันไม่ได้
00:03:35 → 00:03:38 เพราะรู้สึกผิดแล้วคิดว่าตัวเองสมควรแล้ว
00:03:38 → 00:03:41 ที่ต้องรู้สึกผิดถ้าจะนอนกลางวัน
00:03:41 → 00:03:44 แบบแรกก็คือเค้ารู้สึกผิดแต่เขารู้ว่าเขา
00:03:44 → 00:03:46 ไม่ควรรู้สึกผิดมันมีความสู้กันอยู่นะ
00:03:46 → 00:03:48 ครับแบบที่ 2 คือรู้สึกผิดแล้วก็รู้สึก
00:03:49 → 00:03:51 เอ้อเราควรจะรู้สึกผิดนะถ้าจะนอนกวันคือ
00:03:51 → 00:03:54 เขาเชื่อโดยสนิทใจของฝ่ายที่เขาไม่ได้ยิน
00:03:54 → 00:03:57 เสียงชัดเจนในการพูดด้วยซ้ำแต่มันเร้า
00:03:57 → 00:04:00 ความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เค้านอนไม่ได้
00:04:00 → 00:04:03 นะครับอันนี้เป็นการโกหกที่ซึมลึกมากแฝง
00:04:03 → 00:04:06 เข้าไปในความเชื่อลึกๆที่เขา้าไม่รู้จะ
00:04:06 → 00:04:08 แก้ยังไงแล้วเขาเชื่อด้วยว่ามันเป็นสิ่ง
00:04:08 → 00:04:11 ไม่ดีนะครับตัวอย่างสุดท้ายนะครับตัว
00:04:11 → 00:04:14 อย่างที่ 3 ก็คือผมเคยยกตัวอย่างนี้มา
00:04:14 → 00:04:17 แล้วนะครับก็คือคนดื่มเหล้าจนกระทั่งตับ
00:04:17 → 00:04:20 แข็งมีปัญหา
00:04:20 → 00:04:24 หลายอย่างจากสุขภาพจนจากปัญหาตับแข็งนะ
00:04:24 → 00:04:29 ครับเอ่อผมก็เคยไปประเมินสภาพจิตและสมอง
00:04:29 → 00:04:31 เพื่อวางแผนว่าจะฟื้นฟูยังไงจะช่วยเค้า
00:04:31 → 00:04:34 หยุดดื่มได้ไงนะครับแน่นอนน่ะนะครับเวลา
00:04:34 → 00:04:36 ที่เราไปประเมินแบบนี้เราก็จะดูว่าเค้า
00:04:36 → 00:04:38 ดื่มรุนแรงแค่ไหนผลกระทบมันเป็นยังไง
00:04:38 → 00:04:43 กระทบชีวิตเค้ามั้ยการงานครอบครัวสุขภาพ
00:04:43 → 00:04:46 การเงินนะครับ
00:04:46 → 00:04:48 เค้าบอกว่าการดื่มไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย
00:04:48 → 00:04:51 นะครับทุกอย่างในชีวิตเค้าก็ยังดำเนินได้
00:04:51 → 00:04:54 ความหมายก็คือหมอไม่ต้องมายุ่งนะครับแล้ว
00:04:54 → 00:04:57 เขาก็ไม่คิดว่าเขาต้องหยุดตื่มแต่ระหว่าง
00:04:57 → 00:04:59 ที่ผมคุยผมหันไปเจอหน้าภรรยาเขาเขาจะแบบ
00:04:59 → 00:05:03 อหือทำหน้าแบบกำลังทุกข์มากเลยว่าแบบสามี
00:05:03 → 00:05:06 นี่แย่แล้วนะครับซึ่งอันนี้ก็คือการหลอก
00:05:06 → 00:05:10 ตัวเองอีกรูปแบบนึงคือหลอกตัวเองในแบบที่
00:05:10 → 00:05:13 ปัญหาอยู่ตรงหน้าแต่เราบอกว่ามันไม่เป็น
00:05:13 → 00:05:18 ปัญหานะครับกรณีหลังนี้นะครับแก้ยากมาก
00:05:18 → 00:05:20 ครับเพราะว่าเค้าไม่คิดว่าเค้าต้องคุยกับ
00:05:20 → 00:05:22 ผมที่จะต้องไปช่วยเหลือเค้าแต่อย่างใด
00:05:22 → 00:05:25 เพราะเค้าไม่คิดว่าเป็นปัญหาแต่กรณีแรก
00:05:25 → 00:05:29 และกรณีที่ 2 เค้ารู้ดีว่ามีอะไรบางอย่าง
00:05:29 → 00:05:34 เกิดขึ้นในใจเค้าแล้วมันน่าจะหาวิธีรักษา
00:05:34 → 00:05:38 หรือเยียวยาได้นะครับในตัวอย่างแรกที่พูด
00:05:38 → 00:05:41 ถึงคำพูดว่านิดหน่อยนไม่เป็นไรเนี่ยที่
00:05:41 → 00:05:44 เล่าว่าเหมือนมันมีอีกฝ่ายนึงมาแฝงตัวและ
00:05:44 → 00:05:47 รอคอยจังหวะเนี่ยคนที่เคยเป็นจะรู้ด้วย
00:05:47 → 00:05:49 ว่า
00:05:49 → 00:05:52 เสียงแบบเนี้ยจะมีพลังมากขึ้นเวลาที่เรา
00:05:52 → 00:05:53 อ่อนล้า
00:05:53 → 00:05:56 เวลาที่เราหิวเราอดนอนเราเครียดเราดื่ม
00:05:56 → 00:05:59 แอลกอฮอล์ลงไปหรือเราอยู่ในกลุ่มเพื่อน
00:05:59 → 00:06:02 ที่กำลังทำสิ่งนั้นอยู่เช่นกำลังกินขนม
00:06:02 → 00:06:06 กันนะครับตัวนี้ก็แปลว่ามันมีปัจจัยอย่าง
00:06:06 → 00:06:10 อื่นที่ทำให้เสียงนี้มีพลังมากขึ้น
00:06:10 → 00:06:13 ซึ่งวิธีการจัดการเนี่ยเราก็จะต้องรู้
00:06:13 → 00:06:17 ด้วยว่าเราจะไปทอนพลังมันยังไงนะครับส่วน
00:06:17 → 00:06:20 ตัวอย่างที่ 2 เนี่ยหลายคนจะตระหนักว่า
00:06:20 → 00:06:24 เป็นคำสอนของพ่อแม่ซึ่งเมื่อทบทวนดีๆแล้ว
00:06:24 → 00:06:27 เป็นการสอนด้วยเจตนาที่ดี
00:06:27 → 00:06:30 แน่นอนพ่อแม่ก็อยากให้ลูกเป็นคนขยันขัน
00:06:30 → 00:06:33 แข็งด้วยความเชื่อว่าคนที่ขยันขันแข็ง
00:06:33 → 00:06:36 ชีวิตจะประสบความสำเร็จแต่คำสอนนี่มีความ
00:06:36 → 00:06:40 เข้มข้นมากจนกระทั่งไม่มีความยืดหยุ่นดัง
00:06:40 → 00:06:43 นั้นในวันที่ชีวิตเขาสบายดีขึ้นแล้วมี
00:06:43 → 00:06:46 ความสำเร็จอายุมากขึ้นและบางกรณีเจ็บป่วย
00:06:46 → 00:06:50 ด้วยนะครับกดเหล็กเลยครับห้ามนอนพักตอน
00:06:50 → 00:06:53 กลางวัน
00:06:53 → 00:06:57 นี่คือกรณีที่ 2 ที่ทำให้เห็นถึงส่วนย่อย
00:06:57 → 00:07:01 ที่เข้ามาแทรกซึมแต่กรณีที่ 3 นี่เป็นการ
00:07:01 → 00:07:05 หลอกตัวเองแบบอันตราย
00:07:05 → 00:07:08 ทุกกรณีนะครับมันจะมีลักษณะร่วมอย่าง
00:07:08 → 00:07:11 หนึ่งก็คือมันจะมีส่วนนึงในใจเราซึ่งบาง
00:07:11 → 00:07:13 กรณีมีหลายส่วนด้วยนะครับทีนี้ผมยกตัว
00:07:13 → 00:07:16 อย่างให้ง่ายเข้าไว้มันมีหลายส่วนที่แฝง
00:07:16 → 00:07:20 มาทำหน้าที่คอยบอกกับเรา
00:07:20 → 00:07:23 ที่ทำให้เราเชื่ออย่างสนิทใจว่าสิ่งที่
00:07:23 → 00:07:26 บอกนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องทำได้ไม่เป็น
00:07:26 → 00:07:29 ไรนะครับทั้งๆที่สิ่งนั้นอาจจะไม่มี
00:07:29 → 00:07:33 ประโยชน์อะไรแล้วหรือให้โทษได้ด้วยซ้ำมัน
00:07:33 → 00:07:37 เป็นกลไกทางจิตที่หลอกตัวเราโกหกตัวเรา
00:07:37 → 00:07:40 ซึ่งมันมีตัวอย่างอีกหลายตัวอย่างแล้วต่อ
00:07:40 → 00:07:43 จากนี้ผมจะยกตัวอย่างที่เจอบ่อยอีกสัก 5-6
00:07:43 → 00:07:47 ตัวอย่างเพราะว่าเวลาที่เราคุ้นเคยกับตัว
00:07:47 → 00:07:49 อย่างเหล่านี้เนี่ยเราอาจจะเริ่มรู้ว่า
00:07:49 → 00:07:55 อ้อเรากำลังถูกกลไกตัวเนี้ยหลอกเราอยู่นะ
00:07:55 → 00:07:58 ถ้าคุณรู้ตัวว่ามีคุณก็จะได้แสวงหากระบวน
00:07:58 → 00:08:02 การเพื่อทำให้คุณจัดการมันได้เพราะแนวทาง
00:08:02 → 00:08:05 ที่ผมจะพูดในตอนท้ายเนี่ยคุณอาจจะทำได้
00:08:05 → 00:08:09 เพียงระดับเดียวเท่านั้นเองนะครับเรามา
00:08:09 → 00:08:13 ลองดูตัวอย่างอื่นๆที่เป็นการส่งข่าวสาร
00:08:13 → 00:08:16 ที่ไม่ได้เป็นจริงแต่เราเชื่อเขาโดยสนิท
00:08:16 → 00:08:21 ใจโดยไม่ตั้งคำถาม 3 ตัวอย่างแรกครับคุณ
00:08:21 → 00:08:25 ดูโพสต์ถ่ายภาพคุณดู Facebook คุณเห็น
00:08:25 → 00:08:28 เพื่อนโพสต์ภาพถ่ายการท่องเที่ยว
00:08:28 → 00:08:33 โชว์รถคันใหม่โชว์บ้าน
00:08:33 → 00:08:37 เพื่อนร่วมรุ่นสมัยมัธยมสมัยเรียนจบ
00:08:37 → 00:08:40 มหาวิทยาลัยมาด้วยกันแล้วคุณก็รู้สึกด้อย
00:08:40 → 00:08:43 กว่าคุณรู้สึกว่าคุณไม่มีความสามารถไม่
00:08:43 → 00:08:46 ประสบความสำเร็จเท่าเพื่อนเหล่านั้นตรง
00:08:46 → 00:08:48 นี้มันมาจากการคิดเปรียบเทียบ
00:08:48 → 00:08:51 แล้วรู้สึกด้อยฆ่าขณะเดียวกันความคิดในใจ
00:08:51 → 00:08:55 ของคุณก็อาจจะพูดต่อสทบทับเข้าไปอีกด้วย
00:08:55 → 00:08:59 นะครับว่าฉันมันไม่ได้เรื่องสู้ใครก็ไม่
00:08:59 → 00:09:01 ได้
00:09:01 → 00:09:05 ไอ้ตัวนี้ล่ะครับที่มันมาซ้อนซ้อขึ้นมา
00:09:05 → 00:09:09 เนี่ยตัวเนี้ยเริ่มไม่จริงละนะครับคือเรา
00:09:09 → 00:09:13 เอาข้อมูลชิ้นนึงที่เราเห็น
00:09:13 → 00:09:15 แล้วเปรียบเทียบแล้วรู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว
00:09:15 → 00:09:20 เราก็มีความคิดที่ทำให้ตัวเองด้อย่าลงฉัน
00:09:20 → 00:09:22 มันไม่ได้เรื่อง
00:09:22 → 00:09:25 ซึ่งคนส่วนใหญ่เชื่อความคิดนี้โดยไม่ตั้ง
00:09:26 → 00:09:30 คำถามเหมือนมีฝ่ายนึงในตัวเรามาว่าเรา
00:09:30 → 00:09:33 นะครับแล้วเราเชื่อเค้ามันเป็นการหลอกลวง
00:09:33 → 00:09:36 อย่างนึงใช่มั้ครับผลที่เกิดขึ้นจะเกิด
00:09:36 → 00:09:38 อะไรขึ้นได้บ้างถ้าเรารู้สึกแย่กับตัวเอง
00:09:38 → 00:09:42 ครับเราก็สามารถรู้สึกได้ว่าเราล้มเหลว
00:09:42 → 00:09:45 เราสามารถรู้สึกได้ว่าเอ๊ะเราจะทำไงกับ
00:09:45 → 00:09:48 ชีวิตตีแย่แล้ววิตกกังวล
00:09:48 → 00:09:50 เราอาจจะรู้สึก
00:09:50 → 00:09:54 หดหู่ซึมเศร้าก็ได้ดังนั้นมันจึงมีงาน
00:09:54 → 00:09:57 วิจัยว่าคนที่ดูโซเชียลมีเดียที่เป็น
00:09:57 → 00:10:01 ชีวิตที่ดีของคนอื่นมากๆมักจะมีอารมณ์
00:10:01 → 00:10:04 เศร้ามากขึ้น
00:10:04 → 00:10:06 กรณีที่ 2
00:10:06 → 00:10:09 คือกรณีที่
00:10:09 → 00:10:13 เราจะมีเสียงต่อว่าตัวเองเห็นแต่ข้อเสีย
00:10:13 → 00:10:17 มองไม่เห็นข้อดีพอทำอะไรได้ดีคนชมเรา
00:10:17 → 00:10:21 ปฏิเสธในใจเช่นเราจะคิดว่าเค้าชมเป็น
00:10:21 → 00:10:23 มารยาทและ
00:10:23 → 00:10:25 สิ่งที่เราทำมันก็ไม่มีอะไรพิเศษเลยคน
00:10:25 → 00:10:28 อื่นเขาก็ทำกันได้นะครับคือเราไปลดน้ำ
00:10:28 → 00:10:32 หนักของสิ่งดีๆที่มีคนมองเห็นและชมเราไม่
00:10:32 → 00:10:36 เชื่อครับแต่เราจะคิดเชื่ออีกเสียงนึงใน
00:10:36 → 00:10:39 ตอนที่เราต่อว่าตัวเองว่า
00:10:39 → 00:10:41 ฉันไม่เอาไหน
00:10:41 → 00:10:45 ไม่เก่งไม่มีความสามารถอะไรหรือบางกรณี
00:10:45 → 00:10:48 ที่อย่าหนักมากขึ้นก็คือโง่โนะครับแน่นอน
00:10:48 → 00:10:52 นะครับคุณมองตัวเองในแง่ลบคุณปฏิเสธการ
00:10:52 → 00:10:57 มองเห็นตัวเองในแง่บวกนานวันเข้าคุณก็ท้อ
00:10:57 → 00:11:00 คุณก็ฝ่อคุณก็เบื่อหน่ายตัวเองคุณก็ซึม
00:11:00 → 00:11:02 เศร้า
00:11:02 → 00:11:04 แต่คุณไม่รู้ว่ากลไกทางจิตกำลังหลอกคุณ
00:11:04 → 00:11:06 อยู่
00:11:06 → 00:11:10 เพราะว่ามันทำงานได้เนียนมากนะครับกรณี
00:11:10 → 00:11:12 ที่ 3
00:11:13 → 00:11:15 เราเคยคุยกันในเรื่องmindsตของการตกเป็น
00:11:15 → 00:11:18 เหยื่อนะครับตัวนี้ก็มี
00:11:18 → 00:11:22 กระบวนการเดียวกันก็คือเป็นความเชื่อว่า
00:11:22 → 00:11:24 ตัวเองกำลังตกเป็นเหยื่อโดยมองว่าคนรอบ
00:11:24 → 00:11:27 ข้างเนี่ยมีความไม่เป็นมิตรกับเรากลั่น
00:11:27 → 00:11:31 แกล้งเราโดยเราทำอะไรไม่ได้แล้วเราก็จะมี
00:11:31 → 00:11:34 ความคิดสารพัดที่เกี่ยวข้องกับความขุ่น
00:11:34 → 00:11:37 ข้องหมองใจว่าทำไมพวกเขาต้องมาทำอย่างี้
00:11:37 → 00:11:38 กับเรา
00:11:39 → 00:11:42 นะครับโดยที่เราคิดว่าตัวเองเป็นผู้ถูก
00:11:42 → 00:11:46 กระทำและเราทำอะไรไม่ได้ถ้าเราเชื่อ
00:11:46 → 00:11:48 เรื่องนี้มันก็คือmindsตของผู้ตกเป็น
00:11:48 → 00:11:51 เหยื่อซึ่งผมเคยคุยไปครึ่งชั่วโมงเมื่อ
00:11:51 → 00:11:55 สักครึ่งปีกว่าก่อนหน้านั้น
00:11:55 → 00:11:59 4 นะครับเรามีความคาดหวังให้คนอื่นต้อง
00:11:59 → 00:12:02 รู้ใจและเข้าใจเรารู้ว่าเราต้องการอะไร
00:12:02 → 00:12:07 โดยเฉพาะคนรักและคนใกล้ตัวดังนั้นเวลาเรา
00:12:07 → 00:12:11 อยู่กับคนรักหรือคนในบ้านเรารู้สึกยังไง
00:12:11 → 00:12:16 เราต้องการอะไรเราไม่บอกเราจะคิดในใจว่า
00:12:16 → 00:12:20 ถ้าเค้ารักเราเค้าใส่ใจเราจริงเค้าจะต้อง
00:12:20 → 00:12:23 รู้ว่าเรารู้สึกยังไงเค้าจะต้องรู้ว่าเรา
00:12:23 → 00:12:27 ต้องการอะไรนะครับก็คือเราคาดหวังให้เค้า
00:12:27 → 00:12:30 อ่านใจเราได้ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้นะครับ
00:12:30 → 00:12:34 แต่มีคนอย่างนี้อยู่ไม่น้อยนะครับคิดง่าย
00:12:34 → 00:12:37 ๆว่าถ้าเค้ารักฉันจริงเขาจะต้องรู้ว่าฉัน
00:12:37 → 00:12:40 รู้สึกยังไงฉันต้องการอะไรซึ่งเค้าไม่รู้
00:12:40 → 00:12:44 เรื่องด้วยผลก็เลยเกิดความน้อยอกน้อยใจ
00:12:44 → 00:12:47 เกิดปัญหาหาความสัมพันธ์เพราะเราเชื่อใน
00:12:47 → 00:12:49 ความคิดว่า
00:12:49 → 00:12:52 คำหลอกใช่มั้ยครับเพราะว่ามันไม่ตรงกับ
00:12:52 → 00:12:54 ธรรมชาติมนุษย์เลยนะครับว่าถ้ารักฉันจริง
00:12:55 → 00:12:59 ก็ต้องรู้ว่าฉันรู้สึกหรือต้องการอะไร
00:12:59 → 00:13:01 คนที่จะอยู่ความสัมพันธ์ด้วยดีเไม่คาด
00:13:01 → 00:13:05 หวังให้การมีการอ่านใจกันได้
00:13:05 → 00:13:08 มันจึงมีคำหลอกเป็นความเชื่อผิดๆซึ่งเกิด
00:13:09 → 00:13:11 จากการถูกวางโปรแกรมในความสัมพันธ์
00:13:12 → 00:13:16 ระหว่างเรากับคนรอบตัวนะครับตัวอย่างสุด
00:13:16 → 00:13:19 ท้ายนะครับก็คือตัวอย่างของกรณีของคนบ้า
00:13:19 → 00:13:25 งานคนบ้างานจำนวนมากเนี่ยจะบอกกับผมว่า
00:13:25 → 00:13:27 เวลาเค้าไม่ทำงานเค้าจะรู้สึกไร้ค่าเค้า
00:13:27 → 00:13:30 อยู่เฉยๆไม่ได้เลยนะครับฐานะการเงินดี
00:13:30 → 00:13:32 แล้วมีเวลาไปท่องเที่ยวอายุเข้าสู่วัย
00:13:32 → 00:13:35 เกษียณแล้วหยุดงานไม่ได้ครับเพราะว่าถ้า
00:13:35 → 00:13:38 ไม่ทำงานแล้วรู้สึกไร้ค่างั้น
00:13:38 → 00:13:40 คนเหล่านี้ก็จะมองการทำงานเป็นการสร้าง
00:13:41 → 00:13:43 ความรู้สึกมีคุณค่าซึ่งไม่ผิดใช่มั้ยครับ
00:13:43 → 00:13:45 ถ้าเราจะสอนสอนลูกเราก็จะให้เห็นความ
00:13:45 → 00:13:49 สำคัญของการทำงานคือสิ่งที่มีคุณค่าช่วย
00:13:49 → 00:13:52 สร้างสรรค์สังคมของมนุษย์
00:13:52 → 00:13:56 แต่ถ้ามันมีความเข้มข้นมากๆเวลาที่เราไม่
00:13:56 → 00:13:59 ทำงานเราก็จะรู้สึกว่าเราไม่มีค่าซึ่งผม
00:13:59 → 00:14:03 เจอแม้แต่คนที่อายุ 60 กว่า 70 กว่าก็ยัง
00:14:03 → 00:14:05 รู้สึกเลยว่าถ้าไม่ทำอะไรจะรู้สึกรู้สึก
00:14:05 → 00:14:10 ไม่มีค่าแล้วเค้าไม่คิดว่านี่เป็นคำหลอก
00:14:10 → 00:14:13 ตัวเองไม่คิดว่านี่เป็นเล่ห์กลของกลไกทาง
00:14:13 → 00:14:16 จิตซึ่งเกิดจากการถูกวางโปรแกรมมาตั้งแต่
00:14:16 → 00:14:18 เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แต่เขาคิดว่านี่คือความ
00:14:18 → 00:14:21 เป็นจริงแล้วการเชื่อว่านี่คือความเป็น
00:14:21 → 00:14:26 จริงนี่แหละคือพลังของมันเพราะมันไม่โดน
00:14:26 → 00:14:29 ตรวจสอบครับทันทีที่โดนตรวจสอบพลังของมัน
00:14:30 → 00:14:33 จะอ่อนลงเองทันทีที่คุณเอะใจว่าเอ๊ะไอ้
00:14:33 → 00:14:38 ความคิดตัวนี้ของเราเนี่ยมันจริงหรอที่
00:14:38 → 00:14:40 ว่าฉันโง่เนี่ยมันเอ้ยเราได้ยินมาฉันมี
00:14:40 → 00:14:43 ความคิดนึงว่าฉันโง่โอเออเหมือนกับครั้ง
00:14:43 → 00:14:47 นึงหลายครั้งในวัยเด็กที่มีคนรอบตัวหลาย
00:14:47 → 00:14:51 คนพูดว่าฉันโง่นะครับผมก็มีญาติผู้ใหญ่
00:14:51 → 00:14:54 บางคนที่ชอบพูดว่าโง่นะครับผมก็โดนเขาพูด
00:14:54 → 00:14:58 ว่าโง่นะครับถ้าเราเชื่อความคิดนี้เราก็
00:14:58 → 00:15:02 จะมาพูดซ้ำกับตัวเองว่าโง่
00:15:02 → 00:15:06 แล้วเราเชื่อแล้วเราก็จะกลายเป็นตัวกำหนด
00:15:06 → 00:15:08 ความเป็นตัวเรากำหนดเพดานบินที่เราจะบิน
00:15:08 → 00:15:11 ได้ครับนั้นหัวใจสำคัญในการแก้สิ่งเหล่า
00:15:11 → 00:15:16 เดี๋นี้นะครับ 1 เลยก็คือต้องสังเกตความ
00:15:16 → 00:15:20 คิดตัวเองนะครับตระหนักในสิ่งที่ตัวเอง
00:15:20 → 00:15:25 คิดและพูดกับตัวเองนะครับแล้วเวลาจับได้
00:15:25 → 00:15:27 ถึงคำพูดอย่างที่เป็นตัวอย่างเมื่อสัก
00:15:27 → 00:15:30 ครู่นี้ที่ผมยกตัวอย่างไว้หลายตัวเลย
00:15:30 → 00:15:34 เนี่ยนะครับให้เอะใจมันเอ๊ะหน่อยนึงเอ๊ะ
00:15:35 → 00:15:39 ใจว่าอืมันอย่าเพิ่งเชื่อนะมันอาจจะไม่
00:15:39 → 00:15:40 ใช่เรื่องจริงและมีแนวโน้มจะไม่ใช่เรื่อง
00:15:40 → 00:15:44 จริงซะด้วยนะครับการหมั่นทบทวนความรู้สึก
00:15:44 → 00:15:47 นึกคิดของตัวเองก็จะทำให้เราเริ่มจับความ
00:15:47 → 00:15:50 คิดต่างๆตามตัวอย่างที่ยกไปได้ว่าอย่า
00:15:50 → 00:15:54 เพิ่งเชื่อมันไม่ใช่ความจริงมันอาจจะมี
00:15:54 → 00:15:57 ที่มาที่ไปบางอย่างที่สมเหตุสมผลเช่นการ
00:15:57 → 00:16:01 ที่พ่อแม่สอนว่าอย่านอนกลางวันนะครับหรือ
00:16:01 → 00:16:04 คำสอนอีกสารพัดครับ
00:16:04 → 00:16:07 พอเรารู้ตัวว่าเราคิดอะไรอยู่นะครับให้
00:16:07 → 00:16:10 ฝึกรับรู้เสร็จแล้วถอยมาหน่อยนึง
00:16:10 → 00:16:13 ทำไมต้องถอยมาหน่อยนึงเพราะว่าเวลาที่เรา
00:16:13 → 00:16:16 ได้ยินเสียงความคิดวิ่งในหัวเราเนี่ยเรา
00:16:16 → 00:16:19 จะเชื่อมันโดยไม่เคยตั้งคำถามว่ามันจริงม
00:16:19 → 00:16:21 แต่ถ้าเรารู้ว่านี่เป็นความคิดของเราและ
00:16:22 → 00:16:24 อาจจะเป็นผลของประสบการณ์บางอย่างที่เรา
00:16:24 → 00:16:27 เคยถูกสอนมา
00:16:27 → 00:16:30 แล้วเรายังไม่เชื่อว่ามันเป็นจริงเราถึง
00:16:30 → 00:16:33 จะตรวจสอบได้ว่ามันเป็นจริงแค่ไหนนะครับ
00:16:33 → 00:16:37 เช่นถ้ามีคำคๆนึงที่คุณพูดในใจว่า
00:16:37 → 00:16:40 เอากรณีแรกเลยนะครับว่านิดหน่อยน่าไม่
00:16:40 → 00:16:43 เป็นไรนะครับวิธีการช่วยคนเหล่านั้นก็คือ
00:16:43 → 00:16:46 ผมจะทำให้เค้าเริ่มรู้ตัวว่าเวลาที่เค้า
00:16:46 → 00:16:51 จะเผลอกินอาหารที่เค้าไม่ต้องการกิน
00:16:51 → 00:16:54 เค้าจะได้ยินเสียงประมาณนี้นะให้รู้ทัน
00:16:54 → 00:16:58 ก่อนจากนั้นเราก็จะสอนเค้าว่าเงื่อนไข
00:16:58 → 00:17:01 อะไรที่ทำให้เสียงนี้ดังขึ้นเช่นง่วงนอน
00:17:01 → 00:17:05 หิวมากนะครับเราก็มีวิธีป้องกันเช่นอย่า
00:17:05 → 00:17:08 ปล่อยให้หิวเกินดูแลสุขภาพให้ดีถ้าหิว
00:17:08 → 00:17:12 จริงจริงให้มีของว่างที่ดีกับสุขภาพอยู่
00:17:12 → 00:17:17 ใกล้ตัวและตัวสำคัญก็คือเราต้องมีคำพูด
00:17:17 → 00:17:20 อื่นที่เป็นไปตามจุดมุ่งหมายหรือความมุ่ง
00:17:20 → 00:17:23 มั่นของเรา
00:17:23 → 00:17:26 เข้ามาเป็นตัวเลือกในทางความคิดของเรานะ
00:17:26 → 00:17:28 ครับ
00:17:28 → 00:17:31 ดังนั้นเราก็ไม่ฟัง
00:17:31 → 00:17:34 เสียงพูดว่านิดหน่อยน่าแต่เราจะฟังเสียง
00:17:34 → 00:17:39 ใหม่ที่เราเลือกออกแบบไว้เช่นเราอาจจะพูด
00:17:39 → 00:17:42 มีคำพูดประโยคนึงที่ผมเคยทำรายการกับ
00:17:42 → 00:17:47 ครอบครัวครอบครัวนึงคุณแม่คุณพ่อลูก 2 คน
00:17:47 → 00:17:50 อ้วนหมดเลยทั้งบ้านนะครับผมก็ถามคุณแม่
00:17:50 → 00:17:55 ว่าคุณจะใช้คำอะไร
00:17:55 → 00:17:58 ที่คุณพูดกับตัวเองแล้วจะช่วยดึงให้คุณ
00:17:58 → 00:18:03 ลุกขึ้นจากการไหลไปตามความคิดเดิมๆได้เขา
00:18:03 → 00:18:06 ใช้คำว่าเพื่อลูกและในทุกๆครั้งที่เขารู้
00:18:06 → 00:18:09 สึกว่าเค้าเกือบจะยอมความแพ้มีเสียงมา
00:18:09 → 00:18:13 หลอกล่อแล้วเพูดว่าเพื่อลูกมันจะเป็นการ
00:18:13 → 00:18:16 ปลุกพลังคนละฝ่ายขึ้นมา
00:18:16 → 00:18:22 เพื่อลูกคือหาคำพูดมาช่วยนะครับในกรณีบาง
00:18:22 → 00:18:24 กรณีเราอาจจะต้องใช้เวลาตรวจสอบเยอะ
00:18:24 → 00:18:27 เหมือนกันนะครับแล้วก็มีที่มาที่ไปที่ถอย
00:18:27 → 00:18:31 ไปไกลพอสมควรการถอยไปไกลนั้นเนี่ยมักจะ
00:18:31 → 00:18:35 เป็นผลของกระบวนการเติบโตทางอารมณ์ที่มี
00:18:35 → 00:18:38 เหตุการณ์หลากหลายที่มาวางเป็นโปรแกรมใน
00:18:38 → 00:18:42 หัวของเราแล้วเราก็คุ้นกับมันมากจนเรารู้
00:18:42 → 00:18:44 สึกว่ามันเป็นความจริงเพราะนี่เป็นอีก
00:18:44 → 00:18:47 หนึ่งกลไกการทำงานของจิตใจมนุษย์ก็คือ
00:18:47 → 00:18:51 อะไรที่คุ้นเคยมากๆเราจะเข้าใจว่ามันเป็น
00:18:51 → 00:18:54 ความจริงทั้งๆที่มันไม่ใช่ความจริงนะครับ
00:18:54 → 00:18:57 ดังนั้นจึงมีกรณีนี้ถูกเอามาใช้ในการ
00:18:57 → 00:19:00 ปล่อยข่าวหลอกแล้วก็บางกรณีที่จะสร้างภาพ
00:19:00 → 00:19:03 ลักษณ์ของใครบางคนทำลายชื่อเสียงเขาเนี่ย
00:19:03 → 00:19:07 ก็จะปล่อยข่าวหลอกซ้ำๆเป็นละรอกทีทีละแง่
00:19:07 → 00:19:11 มุมคนฟังไปเรื่อยๆก็โอ้มันชักคุ้นมากเลย
00:19:11 → 00:19:14 จนชักเริ่มเชื่อว่าเป็นจริงนะครับอันนี้
00:19:14 → 00:19:19 คือเขาเข้าใจกลไกของจิตใจมนุษย์
00:19:19 → 00:19:22 คราวนี้ผมก็ได้พูดแล้วว่าเราต้องรู้ทัน
00:19:23 → 00:19:26 ความคิดสังเกตดูแล้วก็อย่าเพิ่งเชื่ออย่า
00:19:26 → 00:19:29 เพิ่งฟังโดยสนิทใจจากนั้นในบางกรณีหลัง
00:19:29 → 00:19:33 จากตรวจสอบแล้วเราอาจจะเลือกคำพูดความคิด
00:19:33 → 00:19:38 ที่ตอบโจทย์ได้ดีกว่านะครับ
00:19:38 → 00:19:40 และบ่อยครั้งนะครับถ้าคุณทำความรู้จักกับ
00:19:40 → 00:19:44 เสียงเหล่านี้เนี่ยคุณจะพบว่าเสียงเหล่า
00:19:44 → 00:19:49 นี้ปกป้องเรามีเจตนาที่ดีณจุดเริ่มต้น
00:19:49 → 00:19:53 เช่นเรื่องของการไม่นอนกลางวันแล้วถูกพูด
00:19:53 → 00:19:57 ว่านอนกลางวันคือขี้เกียจเนี่ยมันเป็นการ
00:19:57 → 00:19:59 สอนของพ่อแม่ที่รักลูกอยากให้ลูกขยัน
00:19:59 → 00:20:03 อย่างที่ได้บอกไปนะครับผมเองยังจำได้สมัย
00:20:03 → 00:20:08 ที่ผมเป็นเด็กจะมีญาติผู้ใหญ่บางคนพูด
00:20:08 → 00:20:12 บอกว่าอย่าไปเดินริมน้ำเวลาเราไปเที่ยว
00:20:12 → 00:20:17 สวนรุมสมัยโน้นมันจะมีบึงนะครับสมัยนี้ก็
00:20:17 → 00:20:21 ยังมีนะครับมันจะมีบึง
00:20:21 → 00:20:25 ผู้ใหญ่ก็จะบอกว่าอย่าไปเดินริมน้ำนะแต่
00:20:25 → 00:20:26 เค้าไม่ได้บอกว่ามันอันตรายเพราะเดี๋ยว
00:20:26 → 00:20:30 เราจะตกลงนะครับเใช้วิธีขู่เพราะมันมีผี
00:20:30 → 00:20:34 น้ำจะมาจับตัวลงไปนะ
00:20:34 → 00:20:38 เด็กที่เชื่อว่ามันมีผีน้ำจะจับตัวในตอน
00:20:38 → 00:20:41 นั้นเด็กมันคิดไม่เป็นมันก็กลัวครับความ
00:20:41 → 00:20:44 กลัวในการไปอยู่ริมน้ำเนี่ยมันอาจจะยังมี
00:20:44 → 00:20:48 อยู่กับเราเลยโดยที่เราไม่รู้ตัวว่าจุด
00:20:48 → 00:20:51 เริ่มต้นมันมาจากคำพูดว่าผีน้ำจะมาจับตัว
00:20:51 → 00:20:54 ไปนะครับงั้น
00:20:54 → 00:20:56 เสียงหรือความเชื่อที่วิ่งอยู่ในหัวของ
00:20:56 → 00:20:59 เรา
00:20:59 → 00:21:03 มันอาจจะเป็นโปรแกรมเก่าที่ถูกวางไว้ใน
00:21:03 → 00:21:05 สมัยที่เราเป็นเด็กเพื่อวัตถุประสงค์
00:21:05 → 00:21:07 อย่างหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น
00:21:07 → 00:21:09 วัตถุประสงค์เพื่อความปลอดภัยของเรานะ
00:21:10 → 00:21:11 ครับ
00:21:11 → 00:21:14 อันนี้ไม่นับบ้านที่มีปัญหาที่มีความ
00:21:14 → 00:21:17 รุนแรงนะครับแม้แต่ในบ้านที่ตั้งใจเลี้ยง
00:21:17 → 00:21:20 ลูกเนี่ยแต่กลัวมากๆก็จะเลี้ยงลูกด้วยการ
00:21:20 → 00:21:24 ขู่ให้ลูกกลัวเนี่ยเราก็จะพบว่าเสียงความ
00:21:24 → 00:21:27 คิดและความเชื่อในใจเราเนี่ย
00:21:27 → 00:21:31 มันอาจจะหลอกเราได้แล้ววิธีเดียวที่เราจะ
00:21:31 → 00:21:36 รู้ทันการโกหกนั้นถ้าเราอยากจับโกหกตัว
00:21:36 → 00:21:40 เองให้เป็นนะครับอยากจะรู้ทันอยากจะป้อง
00:21:40 → 00:21:43 กันไม่อยากให้เราต้องซึมเศร้าไม่อยากให้
00:21:43 → 00:21:46 เราต้องน้ำหนักตัวเกินไม่อยากให้เรา
00:21:46 → 00:21:49 สารพัดปัญหานะครับ
00:21:49 → 00:21:51 สูญเสียความเชื่อมั่นรู้สึกล้มเหลวเกิน
00:21:51 → 00:21:56 ความเป็นจริงหรือว่าไม่มีแรงในการ
00:21:56 → 00:22:01 ดำเนินชีวิตไปจนถึงกับไม่รู้จัก
00:22:01 → 00:22:04 ละเียดประสบการณ์เพื่อการมีความสุขสิ่ง
00:22:04 → 00:22:08 เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลจากการที่เรา
00:22:08 → 00:22:12 ไม่รู้เท่าทันกลไกทางจิตที่หลอก