00:00:00 → 00:00:02 ถ้าถามผมว่าหนึ่งในทักษะที่สำคัญในการ
00:00:02 → 00:00:05 ดำรงชีวิตคืออะไรคำตอบของผมคือทักษะในการ
00:00:05 → 00:00:08 บริหารแล้วก็จัดการความเครียดหรือว่า
00:00:08 → 00:00:10 stress management นะครับไม่ว่าคุณจะ
00:00:10 → 00:00:13 อายุเท่าไหร่อยู่ในวัยไหนวัยเรียนวัยทำ
00:00:13 → 00:00:16 งานหรือว่าวัยเกษียณเนี่ยทุกคนไม่สามารถ
00:00:16 → 00:00:19 ที่จะเจอกับปัญหาแล้วก็โอกาสที่จะต้อง
00:00:19 → 00:00:22 ประสบพบเจอกับความเครียดได้เราหลีกเลี่ยง
00:00:22 → 00:00:23 ความเครียดไม่ได้เลยแต่เราทุกคนเนี่ย
00:00:24 → 00:00:26 สามารถที่จะเรียนรู้วิธีในการจัดการกับ
00:00:26 → 00:00:28 ความเครียดให้มันหายไปจากเราเร็วที่สุด
00:00:29 → 00:00:31 ถามว่าทำไมมันถึงสำคัญเพราะว่าถ้าเกิดว่า
00:00:31 → 00:00:34 เราไม่สามารถจะทลายแล้วก็กำจัดความเครียด
00:00:34 → 00:00:36 ได้และเก็บความเครียดเอาาไว้นานๆเนี่ยนะ
00:00:36 → 00:00:40 ครับมันส่งผลเสียกับทั้งร่างกายแล้วก็จิต
00:00:40 → 00:00:43 ใจสุขภาพเราส่งผลหนักมากๆเลยนะฮะเราอาจจะ
00:00:43 → 00:00:45 เคยได้ยินกับเทคนิคในการกำจัดความเครียด
00:00:46 → 00:00:47 หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายการ
00:00:47 → 00:00:51 นั่งสมาธิการใช้การบริหารลมหายใจวันนี้ผม
00:00:52 → 00:00:55 มีอีก 1 ตัวช่วยที่มาฝากทุกคนนะครับมัน
00:00:55 → 00:00:58 เรียกว่าสารลดความเครียดหรือว่าสารต้าน
00:00:58 → 00:01:01 ความเครียดภาษาอังกฤษมันเรียกว่า
00:01:01 → 00:01:03 adaptogen เดี๋ยวเราพาไปรู้จักว่าไอ้
00:01:03 → 00:01:05 เจ้า adaptogen เนี่ยมันคืออะไรแล้วมัน
00:01:05 → 00:01:08 ช่วยในการจัดการความเครียดกับเราได้ยังไง
00:01:08 → 00:01:10 บ้างครับ This is the Standard
00:01:10 → 00:01:13 podcast Eye Opening for your
00:01:13 → 00:01:17 ears Top to Toe podcast สุขภาพที่
00:01:17 → 00:01:21 ใช้วิทยาศาสตร์ไขปัญหาตั้งแต่หัวจด
00:01:21 → 00:01:24 เท้าก่อนที่จะไปพูดถึงดับ toen เนี่ยผม
00:01:24 → 00:01:28 อยากจะชวนให้ทุกคนมารู้จักแล้วก็เข้าใจ
00:01:28 → 00:01:30 กันก่อนว่าเวลาที่ที่เราต้องเจอกับความ
00:01:31 → 00:01:33 เครียดเนี่ยร่างกายของเรามีการตอบสนอง
00:01:33 → 00:01:35 หรือว่าร่างกายของเราเนี่ยมันมีการ
00:01:35 → 00:01:38 เปลี่ยนแปลงข้างในยังไงบ้างนะครับซึ่งมัน
00:01:38 → 00:01:40 สำคัญมากที่เราจะเข้าใจร่างกายเนาะเพราะ
00:01:40 → 00:01:43 มันช่วยให้เราสามารถจะบริหารจัดการความ
00:01:43 → 00:01:46 เครียดได้เก่งแล้วก็ดีมากยิ่งขึ้นนะครับ
00:01:46 → 00:01:48 จริงๆการศึกษาเรื่องความเครียดเมันมีมา
00:01:48 → 00:01:50 นานมากแล้วนะครับแล้วก็เริ่มการศึกษามา
00:01:51 → 00:01:54 จากสัตว์ทดลองครับเมีการทดลองจากหนูก่อน
00:01:54 → 00:01:56 เอาหนูเนี่ยมาเจอกับสถานการณ์ที่ทำให้มัน
00:01:56 → 00:01:58 ตึงเครียดให้มันรู้สึกว่าเจอปัญหาแล้วก็
00:01:58 → 00:02:00 ดูซิว่าร่างกายหนูเนี่ยมันเปลี่ยนแปลงยัง
00:02:00 → 00:02:03 ไงนะครับแล้วเา้าก็สังเกตได้ว่าสัตว์
00:02:04 → 00:02:05 อย่างหนูเนี่ยครับเวลาที่มันเจอความ
00:02:05 → 00:02:08 เครียดเนี่ยร่างกายมันจะค่อยๆเปลี่ยน 3
00:02:08 → 00:02:10 ระยะด้วยกันนะครับนักวิทยาศาสตร์เขก็แปลก
00:02:11 → 00:02:13 ใจว่าเอ๊ะมันเกิดเฉพาะในหนูหรือเปล่าแต่
00:02:13 → 00:02:16 พอศึกษาไปเรื่อยๆสัตว์ทุกชนิดรวมถึงสัตว์
00:02:16 → 00:02:18 อย่างมนุษย์เราเนี่ยครับก็จะมีการเปลี่ยน
00:02:18 → 00:02:21 แปลงในร่างกายไม่ต่างจากหนูเลยเวลาที่เรา
00:02:21 → 00:02:23 เจอความเครียดนะครับในอดีตนะครับตอนที่
00:02:23 → 00:02:25 เป็นยุคโบราณเนี่ยนะครับมนุษย์เราเนี่ยก็
00:02:25 → 00:02:28 จะมีศัตรูที่ไม่เหมือนกับปัจจุบันนะครับ
00:02:28 → 00:02:32 ศัตรูในอดีตเนี่ยอาจจะเป็นสิงโตที่มาวิ่ง
00:02:32 → 00:02:35 ไล่เราตอนที่เราออกไปในป่าหาอาหารมา
00:02:35 → 00:02:37 เลี้ยงเจือจุนครอบครัวนะครับแต่ใน
00:02:37 → 00:02:40 ปัจจุบันเนี่ยศัตรูหรือว่าต้นเหตุของความ
00:02:40 → 00:02:42 เครียดเ่ะมันอาจจะไม่ใช่สิงโตและแต่ว่า
00:02:42 → 00:02:47 มันอาจจะเป็นค่าไฟค่าน้ำค่ารถค่าบ้านรวม
00:02:47 → 00:02:50 ไปถึง KPI ต่างๆตามที่ทำงานหัวหน้าของเรา
00:02:50 → 00:02:52 คือต้นเหตุของความเครียดปัญหาภายใน
00:02:52 → 00:02:56 ครอบครัวปัญหาสุขภาพเรื่องเงินทองเหล่า
00:02:56 → 00:02:58 เนี้ยคือตัวที่กระตุ้นให้เราเกิดความ
00:02:58 → 00:03:01 เครียดได้นะครับซึ่งไอ้เจ้าต้นเหตุเหล่า
00:03:01 → 00:03:03 นี้ไม่ต่างกับสิงโตเลยครับเมื่อไหร่ก็ตาม
00:03:03 → 00:03:05 ที่เราเจอมันเนี่ยมันส่งผลกระทบต่อร่าง
00:03:05 → 00:03:07 กายเหมือนกันเหมือนกับตอนที่เราเป็น
00:03:07 → 00:03:10 มนุษย์ในยุคโบราณเลยนะครับถามว่าร่างกาย
00:03:10 → 00:03:12 เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง 3 ระยะเนี้ย
00:03:12 → 00:03:17 มันมีชื่อรวมว่า g a ภาษาเต็มๆของมันคือ
00:03:17 → 00:03:19 คำว่า General adaptation Syndrome มัน
00:03:19 → 00:03:22 คือกระบวนการที่ร่างกายเนี่ยตอบสนองต่อ
00:03:22 → 00:03:24 ความเครียดหรือว่าสิ่งวเหล่านี้นั่นเอง
00:03:24 → 00:03:26 ครับ 3 ระยะของมันประกอบไปด้วยระยะที่ 1
00:03:26 → 00:03:29 Alarm ระยะที่ 2 resistance และแล้วก็
00:03:30 → 00:03:32 ระยะที่ 3 exhaustion ครับเราจะไปกันที
00:03:32 → 00:03:35 ละระยะนะครับเริ่มจากระยะที่ 1 ครับเมื่อ
00:03:35 → 00:03:37 ไหร่ก็ตามที่เราเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้
00:03:37 → 00:03:40 เราเครียดมันจะเข้าสู่ระยะอลทันทีหลายคนเ
00:03:40 → 00:03:42 อาจจะเคยได้ยินคำว่า Fight of Flight
00:03:42 → 00:03:44 Mode นะครับมันคือการที่ร่างกายเนี่ย
00:03:44 → 00:03:47 กระตุ้นให้เราเนี่ยพร้อมที่จะต่อสู้หรือ
00:03:47 → 00:03:50 ว่าวิ่งหนีกับสิงโตที่อยู่ตรงหน้าหรือว่า
00:03:50 → 00:03:52 สู้วิ่งหนีกับภัยอันตรายที่เรากำลังต้อง
00:03:52 → 00:03:54 เผชิญอยู่นะครับถามว่าร่างกายปรับตัวยัง
00:03:54 → 00:03:56 ไงบ้างเมื่อไหร่ก็ตามเจอปัญหาครับสิ่งแรก
00:03:56 → 00:03:59 ที่จะเกิดขึ้นคือสมองระบบสมองส่วนนึงครับ
00:03:59 → 00:04:01 ที่ที่เรียกว่า sympathetic System
00:04:01 → 00:04:05 เนี่ยนะครับมันจะไปสั่งให้หัวใจของเรา
00:04:05 → 00:04:08 เต้นแรงขึ้นสังเกตเลยเวลาที่เราแบบเครียด
00:04:08 → 00:04:11 หรือโมโหนะครับหัวใจเราจะเต้นแรงขึ้น
00:04:11 → 00:04:13 อย่างแรกเลยนะครับเลือดสูบฉีดอย่างที่ 2
00:04:13 → 00:04:17 ความดันเลือดจะสูงขึ้นเราจะหายใจแรงขึ้น
00:04:17 → 00:04:19 นะครับแล้วทท่านั้นยังไม่พอครับนอกจาก
00:04:19 → 00:04:21 สมองจะทำงานกระตุ้นสิ่งเหล่านี้แล้วนะ
00:04:21 → 00:04:25 ครับระบบฮอร์โมนก็จะหลั่งฮอร์โมนบางตัว
00:04:25 → 00:04:27 ออกมานะครับมี 2 ตัวที่ค่อนข้างสำคัญก็
00:04:27 → 00:04:30 คือตัวแรกคนจะรู้จักในชื่อของ AD รนีกับ
00:04:30 → 00:04:33 นนีนะครับเจ้ารนีเนี่ยมันจะไปเสริมการทำ
00:04:33 → 00:04:36 งานของระบบประสาทนะครับที่ทำให้หัวใจ
00:04:36 → 00:04:38 เนี่ยมันเต้นเร็วขึ้นเลือดสูบฉีดเพื่อให้
00:04:38 → 00:04:42 เราเนี่ยพร้อมนะครับที่จะสู้กับศัตรู
00:04:42 → 00:04:44 อันตรายนะครับฮอร์โมนอีกตัวนึงครับที่จะ
00:04:44 → 00:04:47 หลัออกมาคือคอร์ติซอลครับเจ้าคอร์ติซอลนะ
00:04:47 → 00:04:48 ครับเมื่อหลั่งออกมาแล้วเนี่ยมันทำให้
00:04:48 → 00:04:52 ร่างกายเนี่ยอยู่ในภาวะที่ Alert ร่างกาย
00:04:52 → 00:04:54 จะรู้สึกว่ามีพลังงานมากขึ้นนะครับมันจะ
00:04:54 → 00:04:57 ทำให้ metabolism ในร่างกายเนี่ยสูงขึ้น
00:04:57 → 00:04:59 คือแป้งที่เก็บเอาไว้ในร่างกายเนี่ยมันจะ
00:04:59 → 00:05:02 ถูกปล่อยออกมาในเลือดให้กลายเป็นน้ำตาล
00:05:02 → 00:05:04 เพื่อที่เซลล์ต่างๆในร่างกายจะได้เอาน้ำ
00:05:04 → 00:05:07 ตาลเนี่ยไปใช้ในการสร้างเป็นพลังงานเพื่อ
00:05:07 → 00:05:10 จะได้มีแรงไปต่อสู้กับภัยอันตรายต่างๆที่
00:05:10 → 00:05:12 อยู่นอกตัวเรานะครับนี่คือสิ่งต่างๆที่
00:05:12 → 00:05:14 เกิดขึ้นกับร่างกายของเราเมื่อเราเข้าสู่
00:05:14 → 00:05:16 ภาวะ Fight of Flight Mo Mode ก็คือ
00:05:16 → 00:05:19 ตื่นตัวมีแรงที่จะต่อสู้กับอันตรายนั่น
00:05:19 → 00:05:23 เองนี่คือเฟสแรกของ Gas เราเรียกเฟสนี้
00:05:23 → 00:05:27 ว่า Alarm นะครับทีนี้พอร่างกายเนี่ยเข้า
00:05:27 → 00:05:30 สู่ Alarm เฟสและมันก็จะเข้าสู่เฟสต่อไป
00:05:30 → 00:05:33 ครับมันคือเฟสในการ maintain สิ่งต่างๆ
00:05:33 → 00:05:36 เหล่านี้ก็คือทำให้ร่างกายเนี่ยยังมีพลัง
00:05:36 → 00:05:39 งานล้นเหลือเพียงพอที่จะจัดการกับศัตรู
00:05:39 → 00:05:43 หรือว่าภัยอันตรายครับเฟสนี้ชื่อมันคือ
00:05:43 → 00:05:46 resistance state นะครับณเฟสนี้นะครับ
00:05:46 → 00:05:48 ร่างกายก็จะ maintain ฮอร์โมนให้มันยัง
00:05:48 → 00:05:50 สูงอยู่ไประดับนึงนะครับเพื่อให้ร่างกาย
00:05:50 → 00:05:52 เนี่ยยัง Alert แล้วก็ยังตื่นตัวเพราะว่า
00:05:52 → 00:05:54 การจัดการกับปัญหาเนี่ยมันอาจจะไม่สามารถ
00:05:54 → 00:05:56 จัดการได้ทันทีมันอาจจะต้องใช้เวลาสักพัก
00:05:56 → 00:05:59 นึงเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมร่างกายถึงยังเม
00:05:59 → 00:06:02 เนนฮอร์โมนเหล่านี้ให้มันยังสูงอยู่เพื่อ
00:06:02 → 00:06:04 ยังให้ร่างกายเนี่ยพร้อมที่จะต่อสู้นะ
00:06:04 → 00:06:06 ครับทีนี้ร่างกายเนี่ยมันก็ฉลาดมากครับ
00:06:07 → 00:06:09 มันรู้ว่าถ้าเราปล่อยให้ฮอร์โมนเหล่าเมัน
00:06:09 → 00:06:11 ยังสูงต่อไปเรื่อยๆคือปล่อยให้ร่างกาย
00:06:11 → 00:06:15 อยู่ในภาวะ Alert ตื่นตัวตื่นตูมตลอดเวลา
00:06:15 → 00:06:17 เนี่ยครับมันไม่ดีแล้วก็ไม่ปลอดภัยกับ
00:06:17 → 00:06:19 ร่างกายเลยเพราะว่าการที่เรา Alert เนี่ย
00:06:19 → 00:06:22 มันทำให้ร่างกายเราเหนื่อยเปรียงพลังงาน
00:06:22 → 00:06:24 แล้วมันสามารถจะ Damage เซลล์แล้วก็
00:06:24 → 00:06:28 อวัยวะได้นะครับร่างกายเนี่ยจะค่อยๆลด
00:06:28 → 00:06:31 ปริมาณฮอร์โมนททั้งคิอ adrenaline ลงใน
00:06:31 → 00:06:34 เฟสนี้ครับจากที่มันค่อยๆเนนมันสูงขึ้นจะ
00:06:34 → 00:06:37 ค่อยๆลดลงและไ่ระดับลงไระดับลงเพื่อให้
00:06:37 → 00:06:41 มันกลับสู่ภาวะปกติก็คือภาวะ Balance
00:06:41 → 00:06:43 ซึ่งเป็นภาวะก่อนที่จะเข้าสู่เฟสแรกด้วย
00:06:43 → 00:06:46 ซ้ำไปก็คือก่อนที่จะเจอกับภัยอันตรายด้วย
00:06:46 → 00:06:49 ซ้ำไปนะครับทีนี้มันมี 2 scenario ครับ
00:06:49 → 00:06:52 ถ้าเกิดว่าเราสามารถที่จะ overcome ปัญหา
00:06:52 → 00:06:55 overcome stress ได้เนี่ยนะครับร่างกาย
00:06:55 → 00:06:58 ก็จะเข้าสู่ภาวะปกติคือระดับฮอร์โมนก็จะ
00:06:58 → 00:07:01 กลับคืนสู่ภาวะที่มันเป็นภาวะสมดุลหรือ
00:07:01 → 00:07:05 ว่ามีโฮม stasis ในขณะเดียวกันถ้าเกิดว่า
00:07:05 → 00:07:08 เราไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้หรือว่าหลอกตัว
00:07:08 → 00:07:11 เองกดปัญหาเอาไว้ไม่มีการระบายความเครียด
00:07:11 → 00:07:13 ออกมาเลยสะกดจิตว่าเอ้ยเราเคลียร์ปัญหา
00:07:13 → 00:07:16 ได้และใช้ชีวิตต่อแต่ร่างกายเนี่ยมันรู้
00:07:16 → 00:07:18 ครับต่อให้คุณจะสะกดจุว่าคุณไม่เครียด
00:07:18 → 00:07:21 ร่างกายมันรู้ว่าคุณเครียดมันก็จะยัง
00:07:21 → 00:07:24 หลั่งฮอร์โมนต่อไปหัวใจยังเต้นเร็วกว่า
00:07:24 → 00:07:26 เดิม blood pressure ก็คือความดาเลือด
00:07:26 → 00:07:29 ยังสูงขึ้นกว่าเดิมนะครับฮอร์โมนก็ยังยัง
00:07:29 → 00:07:31 สูงขึ้นกว่าเดิมร่างกายก็จะเรียนรู้ในการ
00:07:31 → 00:07:33 อยู่กับมันแหละทั้งๆที่ไม่ควรจะอยู่นาน
00:07:33 → 00:07:36 เกินไปแต่ก็ก็ก็ทนไปทนไปเรื่อยๆนะครับจุด
00:07:37 → 00:07:39 นึงเนี่ยมันจะเป็นจุดแตกหักแล้วก็ย้อน
00:07:39 → 00:07:41 กลับไม่ได้และมันจะพาร่างกายเข้าสู่ Stage
00:07:41 → 00:07:43 ที่ 3 ซึ่งเป็น Stage ที่ชื่อว่า
00:07:43 → 00:07:46 exhaustion นะครับ exhaustion เป็นคำที่
00:07:46 → 00:07:48 ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยมันเป็นการบอกว่าไอ้
00:07:48 → 00:07:50 เจ้า stress ฮอร์โมนที่มันพุ่งสูงเนี่ย
00:07:50 → 00:07:53 มันใช้หมดแทงแล้วหมดตัวแล้วอ่ะเราไม่
00:07:53 → 00:07:55 สามารถที่จะปล่อยให้ร่างกาย Alert และมี
00:07:55 → 00:07:59 พลังไปมากกว่านี้ได้แล้วมันจะดิ่งลงฮวบ
00:07:59 → 00:08:02 ทันทีก็คือจากร่างกายมีพลังงานในการต่อ
00:08:02 → 00:08:05 สู้กับทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกเป็นร่างกาย
00:08:05 → 00:08:08 ไม่เหลือพลังงานเลยในการต่อสู้กับอะไรก็
00:08:08 → 00:08:10 ตามตอนนั้นเนี่ยความรู้สึกของเรามันจะ
00:08:10 → 00:08:13 กลายเป็นภาวะที่เหมือนกับหมดหวัง hopeless
00:08:13 → 00:08:16 ไม่มีกำลังใจถ้าเกิดว่าใครเครียดหนักมาก
00:08:16 → 00:08:19 ในที่ทำงานน่ะมันจะเข้าสู่ภาวะ burn Out
00:08:19 → 00:08:22 ครับคือไม่อยากจะต่อสู้กับอะไรแล้วอ่ะ
00:08:22 → 00:08:26 ร่างกายรู้สึกอ่อนล้าหมดแรงเหนื่อยสุดๆ
00:08:26 → 00:08:28 ไม่อยากทำอะไรเลยแทบจะไม่อยากจะอยู่ต่อบน
00:08:28 → 00:08:31 โลกใบนี้ด้วยนะครับนั่นคือภาวะของ
00:08:31 → 00:08:34 exhaustion งั้นถ้าเราเข้าใจภาพนี้ก่อน
00:08:34 → 00:08:37 ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเจอความเครียด
00:08:37 → 00:08:39 อะไรก็ตามที่เป็นภัยอันตรายกับความรู้สึก
00:08:39 → 00:08:42 ของเราร่างกายจะเข้าสู่ 3 ภาวะนี้ตอนแรก
00:08:42 → 00:08:44 คือ Alarm ฮอร์โมนพุ่งพวดเลยนะครับภาวะ
00:08:44 → 00:08:46 ที่ 2 คือ resistance คือการ maintain
00:08:46 → 00:08:49 ฮอร์โมนและฮอร์โมนจะค่อยๆลดกลับสู่ระดับ
00:08:49 → 00:08:52 ปกติแต่ถ้าใครไม่สามารถ overcome เอาชนะ
00:08:52 → 00:08:55 ความเครียดได้มันจะไปต่อจนถึง exhaustion
00:08:55 → 00:08:57 ก็คือฮอร์โมนหมดแทงเกลี้ยงร่างกายไม่
00:08:57 → 00:08:59 เหลือพลังงานอีกต่อไปแล้วเมื่อเมื่อไหร่
00:08:59 → 00:09:01 ก็ตามที่ร่างกายเข้าสู่ exhaustion เนี่ย
00:09:02 → 00:09:03 นะครับเราจะกลายเป็นภาวะที่เรียกว่า
00:09:03 → 00:09:07 chronic stress ก็คือมีภาวะเครียดเรื้อ
00:09:07 → 00:09:09 รังแล้วถ้าเกิดร่างกายเข้าสู่ภาวะ exion
00:09:09 → 00:09:12 เครับจะเกิดโรคต่างๆตามมานะครับทั้งร่าง
00:09:12 → 00:09:14 กายแล้วก็จิตใจโรคที่เกี่ยวข้องกับความ
00:09:14 → 00:09:16 เครียดไม่ว่าจะเป็น depress คือความซึม
00:09:17 → 00:09:19 เศร้าหรือว่าโรคที่เกี่ยวกับสมองหรือว่า
00:09:19 → 00:09:21 อารมณ์อย่างเช่นไบโพล่าก็จะเกิดขึ้นใน
00:09:21 → 00:09:24 ระยะนี้นะครับถ้าถามว่าการที่เราต้องเจอ
00:09:24 → 00:09:26 กับความเครียดเรื่อยๆเนี่ยจริงๆแล้วมันดี
00:09:26 → 00:09:29 มต้องบอกว่าคอร์ติซอลเนี่ยนะครับหลายๆคนม
00:09:29 → 00:09:31 มักจะมองภาพมันเป็นฮอร์โมนที่แย่แล้วเรา
00:09:31 → 00:09:34 มักจะได้ยินคอร์ติซอลฮอร์โมนก็จะผูกกับ
00:09:34 → 00:09:36 ความเครียดคือมีคอร์ติซอลเมื่อไหร่แสดง
00:09:36 → 00:09:37 ว่าเราเครียดมันเป็นเรื่องไม่ดีแต่ผมอยาก
00:09:37 → 00:09:40 จะล้างความคิดนั้นซะใหม่นะครับจริงๆแล้ว
00:09:40 → 00:09:43 คอร์ติซอลเป็นฮอร์โมนแห่งการ Alert คือทำ
00:09:43 → 00:09:45 ให้เรามีพลังในการทำอะไรสักอย่างนึงด้วย
00:09:45 → 00:09:49 ซ้ำไปการมีคอร์ติซอลในระดับนึงที่พอดีๆดี
00:09:49 → 00:09:52 ไม่เยอะจนเกินไปเนี่ยมันมีประโยชน์กับ
00:09:52 → 00:09:54 ร่างกายนะครับตอนที่เราตื่นนอนใหม่ๆทุก
00:09:54 → 00:09:58 เช้าคอร์ติซอลเราจะสูงที่สุดของวันมันมี
00:09:58 → 00:10:00 เหตุผลของมันเพราะทำทำให้ร่างกายเราเ่ะ
00:10:00 → 00:10:03 พร้อมที่จะออกไปทำมาหากินออกไปล่าสัตว์ไป
00:10:03 → 00:10:05 หาของกินกลับมาให้ครอบครัวนะครับถ้าเกิด
00:10:05 → 00:10:08 ว่าใครตื่นมาตอนเช้าแล้วไม่มีคอร์ติซอล
00:10:08 → 00:10:11 เลยคอร์ติซอลดรอปมากๆน่ะคุณจะไม่มีแรงวัน
00:10:11 → 00:10:12 นั้นคุณจะไม่อยากทำอะไรเลยคุณจะเบื่อโลก
00:10:12 → 00:10:15 มากๆเพราะงั้นการมีคอร์ติซอลในระดับนึง
00:10:15 → 00:10:17 เนี่ยเป็นเรื่องที่ดีนะครับแต่ถ้าเรา
00:10:17 → 00:10:19 ปล่อยให้ร่างกายของเราเนี่ยเจอกับความ
00:10:19 → 00:10:22 เครียดบ่อยๆบ่อยๆเนี่ยผ่านไอ้ Loop GIS
00:10:22 → 00:10:25 บ่อยๆไปเรื่อยๆเนี่ยครับเอาจริงๆมันก็ไม่
00:10:25 → 00:10:27 ได้เป็นผลดีกับร่างกายเท่าไหร่เนาะอย่าง
00:10:27 → 00:10:30 ที่บอกไปว่าการที่เราหัวหัวใจเต้นเร็ว
00:10:30 → 00:10:32 ขึ้นเรื่อยๆหรือว่าความดันเลือดพุ่งขึ้น
00:10:32 → 00:10:35 เรื่อยๆเนี่ยมันเพิ่มโอกาสที่จะทำให้เส้น
00:10:35 → 00:10:38 เลือดภายในของเราเนี่ยเกิดความเสียหายพอ
00:10:38 → 00:10:41 เกิดความเสียหายปึ๊บเจ้าถุงไขมันต่างๆ
00:10:41 → 00:10:44 เนี่ยมันสามารถจะไปสะสมได้แล้วเกิดเป็น
00:10:44 → 00:10:47 พลาทำให้มีโอกาสเป็นโรค cardiovascular
00:10:47 → 00:10:49 disease โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดิน
00:10:49 → 00:10:52 เลือดหรือว่าโรคหัวใจเนี่ยเพิ่มมากขึ้นนะ
00:10:52 → 00:10:54 ครับเท่านั้นยังไม่พอครับอย่างที่บอกไป
00:10:54 → 00:10:56 ว่ามันปล่อยน้ำตาลเข้ามาในเลือดมากเกินไป
00:10:56 → 00:10:59 เอฟเฟคของการที่มีคอร์ติซอลอ่ะมันไม่ต่าง
00:10:59 → 00:11:01 กับการที่เรากินของหวานเลยครับคือเราจะมี
00:11:01 → 00:11:04 น้ำตาลในเลือดอยู่เยอะการที่มันมีบ่อยๆ
00:11:04 → 00:11:08 บ่อยๆกระตุ้นอินซูลินบ่อยๆมันก็ส่งผลทำ
00:11:08 → 00:11:10 ให้เราเนี่ยมีโอกาสเป็นเบาหวานได้เช่นกัน
00:11:10 → 00:11:12 Negative เฟคของความเครียดยังไม่หมดเท่า
00:11:12 → 00:11:14 นี้ครับถ้าเราเครียดบ่อยๆเนี่ยจังหวะที่
00:11:14 → 00:11:16 เราเครียดเนี่ยครับร่างกายเนี่ยมันจะ
00:11:16 → 00:11:19 Shift เลือดให้อยู่ในแกนกลางลำตัวมาก
00:11:19 → 00:11:22 ขึ้นคือร่างกายเนี่ยจะส่งเลือดไปเลี้ยง
00:11:22 → 00:11:25 แขนหรือขาหรืออวัยวะที่อยู่ไกลๆจากหัวใจ
00:11:25 → 00:11:28 หรือสมองเนี่ยน้อยลงนะครับรวมไปถึง
00:11:28 → 00:11:30 อวัยยวะสืบพันธุ์ของเราด้วยนะครับเพราะ
00:11:30 → 00:11:32 ฉะนั้นถ้าเกิดเครียดบ่อยๆไม่แปลกใจเลยว่า
00:11:32 → 00:11:35 ในผู้ชายเนี่ยทำไมอวัยเพศถึงไม่ค่อยแข็ง
00:11:35 → 00:11:37 ตัวแล้วเกิดเป็นโรคอคฟังก์ชันได้นะครับ
00:11:37 → 00:11:40 คือนกเขาไม่ขันนะครับในขณะเดียวกันเนี่ย
00:11:40 → 00:11:42 ผู้หญิงเองนะครับก็ส่งผลกระทบเช่นกันนะ
00:11:42 → 00:11:44 เอาจริงๆทั้งผู้ชายผู้หญิงก็ส่งผลกระทบ
00:11:44 → 00:11:46 เช่นกันหลายๆคนถ้าอยู่ในภาวะเครียดนะครับ
00:11:46 → 00:11:49 จะสังเกตได้ว่าการจะมีลูกเนี่ยค่อนข้าง
00:11:49 → 00:11:52 ยากเพราะมันไปกระทบกับระบบสืบพันธุ์คือ
00:11:52 → 00:11:54 เลือดหรือฮอร์โมนต่างๆที่เกี่ยวกับสืบ
00:11:54 → 00:11:56 พันธุ์เนี่ยมันจะทำงานได้ไม่ค่อยดีเพราะ
00:11:56 → 00:11:59 ว่าร่างกายเลือกที่จะให้ความสำคัญหรือให้
00:11:59 → 00:12:01 priority กับอวัยวะอื่นที่สำคัญกว่าคือ
00:12:01 → 00:12:04 สมองแล้วก็หัวใจคือหัวใจกับสมองมันสำคัญ
00:12:04 → 00:12:06 กว่ามันขาดไม่ได้อ่ะแต่อวัยวะไม่ว่าแขน
00:12:06 → 00:12:09 ขาดหรือถึงเอาไว้สืบพันธุเนี่ยมันทิ้งเอา
00:12:09 → 00:12:11 ไว้ก่อนได้ในขณะที่เราเครียดนะครับนั่น
00:12:11 → 00:12:13 คือสาเหตุว่าทำไมเราควรจะบริหารจัดการ
00:12:13 → 00:12:15 ความเครียดได้ดีนะครับแต่ละคนเนี่ยน่าจะ
00:12:15 → 00:12:18 มีวิธีการคลายความเครียดหรือว่า manage
00:12:18 → 00:12:20 stress ที่แตกต่างกันออกไปนะครับบางคน
00:12:20 → 00:12:22 อาจจะเลือกการนั่งสมาธิบางคนอาจจะเลือก
00:12:22 → 00:12:25 การดูแลลมหายใจผมเองก็มีเทคนิคของผมนะ
00:12:25 → 00:12:27 ครับผมแชร์ให้ทุกคนฟังนิดนึงแล้วะกันของ
00:12:27 → 00:12:31 ผมเองเวลาที่ผมเครียดนะครับผมไปลงกับการ
00:12:31 → 00:12:33 ยกน้ำหนักเพราะว่าเวลาที่ผมยกน้ำหนัก
00:12:33 → 00:12:35 เนี่ยครับด้วยความที่น้ำหนักมันหนักมาก
00:12:35 → 00:12:38 อ่ะมันทำให้เราต้องโฟกัสกับการยกไม่ให้
00:12:38 → 00:12:40 น้ำหนักเนี่ยมันหล่นมาทับตัวเราไม่งั้น
00:12:40 → 00:12:42 เดี๋ยวเราจะเกิดอันตรายได้หรือได้รับบาด
00:12:42 → 00:12:45 เจ็บได้นะครับเพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่ผมยก
00:12:45 → 00:12:48 น้ำหนักเนี่ยเป็นช่วงเวลาที่ผมหยุดคิด
00:12:48 → 00:12:51 เรื่องที่มันทำให้ผมเครียดโฟกัสทั้งหมดผม
00:12:51 → 00:12:53 มาอยู่ที่ตรงหน้าในการยกน้ำหนักตลอด 1
00:12:53 → 00:12:56 ชั่วโมงนั้นน่ะทำให้ผมคลายเครียดไปได้
00:12:56 → 00:12:59 ด้วยความที่มันทำให้ผมลืมสิ่งที่มันทำให้
00:12:59 → 00:13:02 ผมเครียดนะครับในขณะเดียวกันหลังจากที่
00:13:02 → 00:13:04 เราออกกำลังกายเสร็จแล้วอ่ะครับเราจะมี
00:13:04 → 00:13:06 ฮอร์โมนแห่งความสุขที่เป็นพวกตระกูล
00:13:06 → 00:13:08 Happiness ฮอร์โมนต่างๆไม่ว่าจะเป็น
00:13:08 → 00:13:11 โดปามีนเซราตินเนี้ยหลั่งออกมาด้วยทำให้
00:13:11 → 00:13:15 เรารู้สึกดีมากยิ่งขึ้นแม้ว่ารูทคอสของ
00:13:15 → 00:13:17 ปัญหาที่ทำให้เราเกิดความเครียดเนี่ยมัน
00:13:17 → 00:13:19 อาจจะยังไม่ได้หายไปเรายังเคลียร์ปัญหา
00:13:19 → 00:13:22 นั้นไม่ได้ซักนิดเดียวแต่หลังจากที่เรา
00:13:22 → 00:13:25 ออกกำลังกายแล้วเนี่ยมันทำให้เรารู้สึกสด
00:13:25 → 00:13:29 ชื่นขึ้นมีภาระกำลังมากขึ้นและมีสติมาก
00:13:29 → 00:13:31 มากขึ้นในการค่อยๆอ่ะเดี๋ยวเราค่อยไปจัด
00:13:31 → 00:13:33 การกับปัญหานะครับมันเป็นการ Take a
00:13:33 → 00:13:36 Break จากปัญหาได้ดีแทนที่เราจะจมอยู่
00:13:36 → 00:13:38 กับปัญหาเพราะฉะนั้นสำหรับผมเองเนี่ยการ
00:13:38 → 00:13:40 ออกกำลังกายช่วยมากๆนะครับจริงๆมีอีกหลาย
00:13:40 → 00:13:43 อย่างที่ทำได้ครับเช่นการช่วยตัวเองหรือ
00:13:43 → 00:13:46 การมีเซ็กซ์เนี่ยก็เป็นหนึ่งในวิธีในการ
00:13:46 → 00:13:48 ลดความเครียดได้นะครับหลายๆครั้งจะเห็น
00:13:48 → 00:13:50 ว่าการที่เราได้นอนกับแฟนแม้กระทั่งการ
00:13:50 → 00:13:52 ก่อหรือการมีเพศสัมพันธ์กับคู่รักของเรา
00:13:52 → 00:13:54 พาร์เนอร์ของเราเนี่ยมันช่วยคลายเครียด
00:13:54 → 00:13:57 ได้เพราะมันหลั่ง Happiness ฮอร์โมนได้
00:13:57 → 00:13:59 เช่นกันนะครับเพงั้นลองไปเลือกใช้ดูแต่
00:13:59 → 00:14:03 วันนี้เนี่ยผมมีอีก 1 ตัวช่วยซึ่งผมก็
00:14:03 → 00:14:05 เพิ่งจะไป explore แล้วก็เรียนรู้จักกับ
00:14:05 → 00:14:08 มาแล้วก็เลยอยากจะมาแชร์ให้กับทุกคนฟังนะ
00:14:08 → 00:14:11 ครับสิ่งๆนี้มันเรียกว่า adaptogen หรือ
00:14:11 → 00:14:14 ว่าเป็นสารต้านความเครียดครับถ้าไปดูตาม
00:14:14 → 00:14:16 literature หรือว่าอ่าน article Paper
00:14:16 → 00:14:18 เนี่ยคำว่า adaptogen เนี่ยเป็นคำที่ค่อน
00:14:18 → 00:14:21 ข้างกว้างๆมากๆเลยนะครับ definition มัน
00:14:21 → 00:14:23 น่ะค่อนข้างหลวมถ้าไปอ่าน definition มัน
00:14:23 → 00:14:26 อาจจะงงด้วยซ้ำไปว่าเอ๊ะมันมันคืออะไรกัน
00:14:26 → 00:14:28 แน่วะ adapt Gen นะครับทางการเนี่ยมัน
00:14:28 → 00:14:32 คือคือสารนะฮะที่ทำให้ร่างกายเนี่ยสามารถ
00:14:32 → 00:14:35 ที่จะ adapt ก็คือปรับตัวเข้ากับ
00:14:35 → 00:14:37 สถานการณ์ที่มันเปลี่ยนแปลงไปทั้งโลกภาย
00:14:37 → 00:14:41 นอกแลก็ภายในร่างกายฟังแล้วงงมยผมเองน่ะ
00:14:41 → 00:14:43 อ่านก็งงมันมันช่วยอะไรกันแน่ว้าแต่ถ้า
00:14:43 → 00:14:46 เกิดว่าจะอธิบายใน context ของ stress
00:14:46 → 00:14:49 เนี่ยนะครับ adaptogen มันคือสารที่ช่วย
00:14:49 → 00:14:53 ในการปรับสมดุลของปริมาณคอร์ติซอลฮะถ้า
00:14:53 → 00:14:56 คอร์ติซอลมันเยอะเกินไป adaptogen สามารถ
00:14:56 → 00:14:59 ที่จะมาช่วยลดให้มันอยู่ในปริมาณที่เหมาะ
00:14:59 → 00:15:01 สมก็คือแทนที่เราเครียดก็ช่วยให้เราคาย
00:15:01 → 00:15:04 เครียดได้นะครับในขณะเดียวกันถ้าเกิดว่า
00:15:04 → 00:15:06 ร่างกายของเราตอนนั้นเนี่ยมันอยู่ในภาวะ
00:15:06 → 00:15:09 ฟาทีคือมันเหนื่อยล้ามากเบื่อโลกไม่มีแรง
00:15:09 → 00:15:12 เลยก็คือคอร์ติซอลเราต่ำเกินไปไอ้เจ้า
00:15:12 → 00:15:15 adaptogen เนี่ยครับมันก็สามารถจะเพิ่ม
00:15:15 → 00:15:18 ปริมาณคอร์ติซอลให้มันกลับขึ้นมาสมดุล
00:15:18 → 00:15:21 อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมได้ทำให้เรามีพลัง
00:15:21 → 00:15:23 มากยิ่งขึ้นนะครับเพราะฉะนั้นเอฟเฟคของ
00:15:23 → 00:15:25 adaptogen ต่อร่างกายครับคือทำให้ร่าง
00:15:25 → 00:15:28 กายเนี่ยมีพลังขึ้นหรือว่าสามารถที่จะทน
00:15:28 → 00:15:31 ทานต่อสู้กับสิ่งเร้าที่มันทำให้เรารู้
00:15:31 → 00:15:34 สึกกดดันเครียดได้มากยิ่งขึ้นกินแล้วมีผล
00:15:34 → 00:15:37 ดีในการ Balance คอร์ติซอลนั่นแหละนะครับ
00:15:37 → 00:15:39 แล้วถามว่าไอ้เจ้า adaptogen นี่มันมันมา
00:15:39 → 00:15:41 จากไหนส่วนใหญ่แล้วเนี่ยมันเป็นสารสกัด
00:15:41 → 00:15:43 ที่มาจากพืชนะครับส่วนใหญ่มันคือสมุนไพร
00:15:43 → 00:15:45 ทั้งนั้นเลยเพราะฉะนั้นวิธีการที่จะเอา
00:15:45 → 00:15:47 adaptogen เข้าร่างกายเนี่ยก็หนีไม่พ้น
00:15:47 → 00:15:50 กับการกินเข้าไปนะครับกินเข้าไปแล้วมันทำ
00:15:50 → 00:15:53 งานยังไงจริงๆนักวิทยาศาสตร์เค้าศึกษา
00:15:53 → 00:15:55 เหมือนกันนะครับว่าไอ้เจ้าสารพวกเนี้ยมัน
00:15:55 → 00:15:59 ไปจัดการกับเซลล์หรือว่าเอาไววะต่างๆใน
00:15:59 → 00:16:02 ร่างกายยังไงผมก็ไปพยายามอ่านงานศึกษามา
00:16:02 → 00:16:05 นะครับเจอว่ามีการทดลองนึงครับเค้าเลี้ยง
00:16:05 → 00:16:07 เซลล์ประสาทอยู่ในห้องแลบนะครับแล้วเก็
00:16:07 → 00:16:10 ใส่ adaptogen เข้าไปแต่ละตัวแต่ละตัว
00:16:10 → 00:16:12 แล้วก็ดูซิว่าไอ้เจ้าเซลล์ประสาทเนี่ยมัน
00:16:12 → 00:16:15 มีการทำงานที่มันเปลี่ยนแปลงไปยังไงสิ่ง
00:16:15 → 00:16:17 ที่เขาเจอก็คือว่าจีนที่เกี่ยวข้องกับการ
00:16:17 → 00:16:19 ควบคุมความเครียดหรือว่า stress
00:16:19 → 00:16:22 Regulator รวมไปถึงการหลั่งฮอร์โมนคิอ
00:16:22 → 00:16:26 เนี่ยครับมันทำงานได้ดีขึ้นเหมาะสมขึ้น
00:16:26 → 00:16:29 กับร่างกายของเราแล้วเขาบอกว่าหลักการ
00:16:29 → 00:16:31 mechanism ของมันเนี่ยคล้ายๆกับ
00:16:31 → 00:16:34 เมลาโทนินเลยครับเมลาโทนินเนี่ยมันเป็น
00:16:34 → 00:16:36 สารที่ทำให้ร่างกายเนี่ยครับอยู่ในภาวะ
00:16:36 → 00:16:40 รีกผ่อนคลายสงบหรือว่าคามนะครับเพราะงั้น
00:16:40 → 00:16:43 adaptogen ทำงานได้คล้ายๆกับเมลานินคือ
00:16:43 → 00:16:46 ทำให้ร่างกายเนี่ยสงบลงแล้วก็รู้สึกผ่อน
00:16:46 → 00:16:48 คลายมากยิ่งขึ้นครับเราไปดูดีกว่าว่า
00:16:49 → 00:16:51 adaptogen ที่บอกว่าไอ้เป็นสารที่มาจาก
00:16:51 → 00:16:53 พืชเมันมีพืชอะไรบ้างอ่ะที่เรากินได้บ้าง
00:16:53 → 00:16:57 นะครับผมไปลิสต์มาให้นะครับมีดังนี้ครับ
00:16:57 → 00:17:00 กลุ่มแรกคือกลุ่มโสมครับโสมนี่เป็นตัว
00:17:00 → 00:17:02 หลักเลยที่มี adaptogen เยอะไม่ว่าจะเป็น
00:17:02 → 00:17:07 โสมจากชาติไหนนะครับโสมเอเชียโสมฝรั่ง
00:17:07 → 00:17:09 หรือแม้กระทั่งโสมอินเดียนะครับโสมเนี่ย
00:17:09 → 00:17:12 ภาษาอังกฤษคือกินเซงนะครับโสมอินเดียภาษา
00:17:12 → 00:17:15 อังกฤษคือชว ganda หลายคนอาจจะเคยได้ยิน
00:17:15 → 00:17:18 แชว่า ganda ตอนนี้เนี่ยค่อนข้างมาเลยนะ
00:17:18 → 00:17:22 ครับมีสารสกัดชว gda ออกมาเยอะมากขึ้น
00:17:22 → 00:17:25 แล้วก็มีการทำ Marketing ว่ามันสามารถที่
00:17:25 → 00:17:28 จะช่วยทำให้เราคลายเครียดลด anxiety ได้
00:17:28 → 00:17:31 นะครับเพราะมันเป็น adaptogen นะฮะนอกจาก
00:17:31 → 00:17:34 พืชตระกูลโสมแล้วเนี่ยครับก็ยังมี
00:17:34 → 00:17:37 อลัภาษาไทยเนี่ยครับมันคืออึ้งคี้ครับ
00:17:37 → 00:17:40 ส่วนใหญ่ถ้าเป็นสมุนไพรจีนนะที่ผมสังเกต
00:17:40 → 00:17:43 มีคิปก็คือถังเช่ามีโกจิเบอรี่ก็คือ
00:17:44 → 00:17:48 เกากี้นะครับมีเจี่ยวกู้หลานมีเห็ดหอม
00:17:48 → 00:17:50 เห็ดหลินจือถ้าไทยๆหน่อยเนี่ยครับจะมี
00:17:50 → 00:17:57 ขมิ้นชะเอมเทศมะรุมมะขามป้อมแล้วก็ใบ
00:17:57 → 00:17:59 กะเพราครับพืชเหล่าเนี้ยครับถ้าถ้ากิน
00:17:59 → 00:18:00 เข้าไปแล้วเนี่ยมันมีฤทธิ์มีความเป็น
00:18:00 → 00:18:04 adaptogen คือสามารถช่วยปรับสมดุลของ
00:18:04 → 00:18:06 คอร์ติซอลได้นะครับถามว่าเอ๊ะแล้วเราควร
00:18:06 → 00:18:09 จะกินมันยังไงคือถ้าอันไหนที่มันสามารถจะ
00:18:09 → 00:18:11 ใส่ไปในอาหารได้ก็สามารถจะกินเป็นอาหารนะ
00:18:11 → 00:18:14 ครับหรือถ้าอันไหนสามารถจะทำเป็นเครื่อง
00:18:14 → 00:18:17 ดื่มได้อย่างเช่นหลายๆตัวเสามารถจะบดแห้ง
00:18:17 → 00:18:19 แล้วก็สามารถเอามาชงเป็นชาแล้วก็ดื่ม
00:18:19 → 00:18:22 เนี่ยก็เป็นอีกวิธีนึงในการจะกินสารเหล่า
00:18:22 → 00:18:24 นี้นะครับหรือถ้าเกิดไม่กินเป็นอาหารหรือ
00:18:24 → 00:18:26 เครื่องดื่มเนี่ยเดี๋ยวเนี้ยก็สามารถจะ
00:18:26 → 00:18:29 กินเป็นซัพพเพราะหลายๆบริษัทเนี่ยก็สกัด
00:18:29 → 00:18:31 Active compound มาใส่เป็นแคปซูลแล้วก็
00:18:31 → 00:18:34 ให้เรากินด้วยนะครับแต่กินยังไงให้ปลอด
00:18:34 → 00:18:37 ภัยล่ะก็ต้องบอกว่าด้วยความที่มันเป็นสาร
00:18:37 → 00:18:39 สกัดจากพืชนะครับหลักการเดียวกันเลยคือ
00:18:39 → 00:18:43 สารสกัดจากพืชแล้วเป็นมนเนี่ยมันไม่มีตัว
00:18:43 → 00:18:46 เลขที่ชัดเจนว่าวันนึงอ่ะควรจะกินอยู่ที่
00:18:46 → 00:18:49 โดสประมาณเท่าไหร่มันถึงจะปลอดภัยกับร่าง
00:18:49 → 00:18:53 กายระยะยาวนะครับไม่มีตัวเลข rda rdi
00:18:53 → 00:18:56 อะไรทั้งสิ้นซึ่งต่างกับวิตามินนะฮะเพราะ
00:18:56 → 00:18:58 ฉะนั้นวิธีการที่ดีที่สุดนะครับคือการ
00:18:58 → 00:19:00 อ่านฉลากก่อนแล้วกันว่าตามฉลากเนี่ยเค
00:19:01 → 00:19:03 recom ให้กินเท่าไหร่อยากกิน Overdose
00:19:03 → 00:19:05 กว่านั้นนะครับถามว่าทำไมถึงให้อ่านฉลาก
00:19:05 → 00:19:08 เพราะว่าอย่างในประเทศไทยเองนะครับแม้ว่า
00:19:08 → 00:19:12 มันจะไม่มีกฎหมายที่มาคุ้มครองมนแบบจริงๆ
00:19:12 → 00:19:14 จังๆเหมือนกับยาเนี่ยครับแต่ว่าหน่วยงาน
00:19:14 → 00:19:17 ที่ดูแลในการ authorize ไอ้เจ้าสินค้า
00:19:17 → 00:19:19 เหล่านี้ให้นำเข้ามาในประเทศไทยเนี่ยเจะ
00:19:19 → 00:19:21 มีการเช็ค ose ของสารต่างๆที่เป็น Active
00:19:21 → 00:19:24 compound อยู่แล้วเาจะมีลิมิตไว้อยู่นะ
00:19:24 → 00:19:26 ครับมันจะไม่มีทางเกินลิมิตที่หน่วยงาน
00:19:26 → 00:19:28 เหล่าเนี้ยมองว่ามันปลอดภัยเพราะฉะนั้น
00:19:28 → 00:19:31 มันจะเซฟระดับนึงนะครับอย่างที่ 2 คือควร
00:19:31 → 00:19:34 จะปรึกษาหมอก่อนที่จะกินนะครับถ้าเกิดว่า
00:19:34 → 00:19:37 ใครมีโรคประจำตัวหรือต้องกินยาอะไรที่
00:19:37 → 00:19:40 เป็นยาประจำนะครับเพื่อดูว่าสารเหล่าเมัน
00:19:40 → 00:19:43 มีแนวโน้มมีสิทธิ์มั้ยที่มันจะไปรบกวนการ
00:19:43 → 00:19:45 รักษาของคุณหมออย่างที่บอกไปว่าสารเหล่า
00:19:45 → 00:19:48 เนี้ยมันไปปรับระดับของคอร์ติซอลนะครับ
00:19:48 → 00:19:50 บางทีโรคบางอย่างอ่ะอาจจะต้อง maintain
00:19:50 → 00:19:52 ให้คอร์ติซอลสูงขึ้นหรือโรคบางอย่างควรจะ
00:19:52 → 00:19:54 maintain ให้คอร์ติซอลต่ำลงซึ่งสารเหล่า
00:19:54 → 00:19:57 นี้มันไปกระทบกับระดับคอิล Level นะครับ
00:19:57 → 00:20:00 เพราะฉะนั้นอาจจะมีผลได้ควรจะปรึกษาคุณ
00:20:00 → 00:20:03 หมอนะครับทีนี้การกินครับแต่ละคนมีการตอบ
00:20:03 → 00:20:06 สนองต่อสารเหล่านี้ไม่เหมือนกันทั้งในมุม
00:20:06 → 00:20:08 ของ effectiveness ก็คือ ose ที่มันจะ
00:20:08 → 00:20:11 effective กับ ose ที่ทำให้เกิดอันตราย
00:20:11 → 00:20:13 แต่ละคนไม่มีทางเหมือนกันเลยร่างกายเรา
00:20:13 → 00:20:16 ไม่เหมือนกันนะครับเรามีหน้าที่ต้องลอง
00:20:16 → 00:20:19 และมอนิเตอรตัวเองอย่างแรกเลยคือเราควรจะ
00:20:19 → 00:20:22 เริ่มจาก ose น้อยๆก่อนนะครับเวลาเราไป
00:20:22 → 00:20:25 ซื้อเนี่ยโดสส่วนใหญ่ของสารสกัดจากพืชมัก
00:20:25 → 00:20:28 จะอยู่ในหลัก 100 มิลลิกรัมนะครับเหตุผล
00:20:28 → 00:20:30 ว่าทำทำไมมันถึงมักจะเป็นหลักร้อยก็คือ
00:20:30 → 00:20:33 ตั้งแต่ 200 250 ไปจนถึง 1,000 มกรเหตุ
00:20:33 → 00:20:35 ผลก็คือว่าเวลาที่เขาทำ clinical trial
00:20:35 → 00:20:38 เนี่ยครับหรือว่า study ในการทำวิจัย
00:20:38 → 00:20:41 เนี่ยนะครับเค้ามักจะเลือก Range ประมาณ
00:20:41 → 00:20:44 นี้แหละนะครับศึกษาในคนหรือศึกษาในสัตว์
00:20:44 → 00:20:48 เป็นระยะเวลาสั้นๆก็คือ 2-3 เดือนและส่วน
00:20:48 → 00:20:51 ใหญ่ผลการทดลองมักจะออกมา Positive
00:20:51 → 00:20:53 บริษัทก็เลยเอาตัวเลขตัวเนะครับมาใช้ใน
00:20:53 → 00:20:56 การผลิตแคปซูลเป็นโดสนะครับแต่ปัญหาก็คือ
00:20:56 → 00:20:59 ว่าการทดลองส่วนใหญ่มักจะลิมิตอยู่ที่ 2-3
00:20:59 → 00:21:01 เดือนคือไม่เคยทำไประดับปีเลยเราไม่มีทาง
00:21:01 → 00:21:03 รู้เลยว่าอ่า long ter use ของมันเนี่ย
00:21:03 → 00:21:05 ผลจะเป็นยังไงนะครับเพราะฉะนั้นเราอาจจะ
00:21:05 → 00:21:07 เริ่มจากค่อยๆลองเลือกโดสที่ต่ำที่สุด
00:21:08 → 00:21:09 ก่อนแล้วดูซิว่ามันเวิร์คมยถ้ามันยังไม่
00:21:09 → 00:21:12 เวิร์คเนี่ยเราอาจจะอ่ะค่อยๆขยับโดสไปที
00:21:12 → 00:21:14 ละนิดนึงแล้วสังเกตตัวเองนะครับแต่ถ้า
00:21:14 → 00:21:17 เกิดว่าใครกินถึงโดสที่มันแบบเป็นหลัก
00:21:17 → 00:21:20 ร้อยหรือแม้กระทั่งใกล้ๆหลักพันนะครับผม
00:21:20 → 00:21:23 แนะนำว่าไม่ควรจะกินติดต่อกันเกิน 2
00:21:23 → 00:21:25 อาทิตย์นะครับกิน 2 อาทิตย์แล้วมีช่วง
00:21:25 → 00:21:29 Take a Break หรือพยายามโททหมุนเวียน
00:21:29 → 00:21:31 สารในการกินนะครับเพื่อไม่ให้ร่างกาย
00:21:31 → 00:21:34 เนี่ยมันเคยชินกับสารเหล่านี้เพราะมีการ
00:21:34 → 00:21:36 ศึกษาเจอว่าถ้าเรากิน adaptogen นานเกิน
00:21:36 → 00:21:38 ไปเนี่ยหลักการมันคล้ายๆกับคาเฟอีนเลย
00:21:38 → 00:21:40 ครับกินจนมันไม่ช่วยอะไรแล้วเพราะว่าร่าง
00:21:40 → 00:21:42 กายมันจะค่อยๆปรับตัวแล้วก็เรียนรู้แล้ว
00:21:42 → 00:21:45 ก็ต้านทานไม่เกิดเอฟเฟคอะไรนะครับการที่
00:21:45 → 00:21:46 เรา Take กับเบรคบ้างเนี่ยมันก็ยังทำให้
00:21:46 → 00:21:48 เราไม่ดื้อและยังทำให้มันเวิร์คกับร่าง
00:21:48 → 00:21:51 กายของเราอยู่เสมอนะครับงั้นถ้าเกิดว่า
00:21:51 → 00:21:53 ใครอยากจะมือใหม่หัดเริ่มทาน adaptogen
00:21:54 → 00:21:58 ผมแนะนำหลักช่วง 10 มกรครับ 20-50 มลก
00:21:58 → 00:22:01 เป็นระยะเริ่มต้นกินประมาณ 20-50 นกร
00:22:01 → 00:22:03 Daily หรือว่าทุกๆวันเนี่ยน่าจะค่อนข้าง
00:22:03 → 00:22:06 เซฟกับร่างกายนะครับแล้วก็ถ้ากินนานเกิน
00:22:06 → 00:22:09 ไปะเป็นแบบเป็นหลักเดือนะ Take กับเคบ้าง
00:22:09 → 00:22:11 ก็จะเซฟที่สุดครับเพราะงั้นโดยสรุปนะครับ
00:22:11 → 00:22:14 วันนี้เนี่ยผมก็พาทุกคนมารู้จักกับคิอมาก
00:22:15 → 00:22:18 ยิ่งขึ้นนะครับว่าจริงๆแล้วคิอเนี่ยไม่มี
00:22:18 → 00:22:21 เลยก็ไม่ดีมีมากไปก็ไม่ดีการ maintain
00:22:21 → 00:22:23 คิอให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นเรื่อง
00:22:23 → 00:22:25 ที่ดีที่สุดนะครับและเมื่อไหร่ก็ตามที่
00:22:25 → 00:22:30 เราเคียดควรจะรีบจัดการตัวเองให้คลาย
00:22:30 → 00:22:33 เครียดแล้วก็กำจัด Root คอร์สของความ
00:22:33 → 00:22:34 เครียดไปให้เร็วที่สุดอย่าปล่อยให้มัน
00:22:35 → 00:22:37 เรื้อรังอย่าหลอกตัวเองว่าเราไม่เครียด
00:22:37 → 00:22:40 แล้วทั้งๆที่เราเครียดอยู่เพราะคุณหลอก
00:22:40 → 00:22:42 ร่างกายไม่ได้แล้วถ้าคุณทำแบบนั้นเนี่ย
00:22:42 → 00:22:45 ร่างกายคุณเนี่ยจะดาเมจแล้วก็ได้รับความ
00:22:45 → 00:22:49 เสียหายนะครับลองไปหาวิธี manage stress
00:22:49 → 00:22:51 ที่มันเวิร์คกับคุณดูวันนี้แนะนำ 1 ตัว
00:22:51 → 00:22:54 ช่วยก็คือ adaptogen ถ้าเกิดใครรู้สึกว่า
00:22:54 → 00:22:57 ลองมาหลายวิธีแล้วอยากจะลองวิธีใหม่ๆบ้าง
00:22:57 → 00:22:59 แล้วเลือกที่จะลองใช้ adap tren ลองไปหา
00:22:59 → 00:23:02 ความรู้เพิ่มเติมดูนะครับและใช้ adaptogen
00:23:02 → 00:23:04 ให้ถูกวิธีก็จะเป็นประโยชน์มากกว่าโทษกับ
00:23:04 → 00:23:06 ร่างกายของเรา
00:23:06 → 00:23:10 ครับ Top to Toe The Standard
00:23:10 → 00:23:15 podcast Eye Opening for your ears