00:00:00 → 00:00:02 ความทุกข์อ่ะส่วนใหญ่มันก็จะเกิดจากการ
00:00:02 → 00:00:05 ที่เราไปยึดในสิ่งที่ไม่ควรยึดทุกอย่าง
00:00:05 → 00:00:08 ต้องเริ่มต้นจากการที่เรามองเห็นตัวเอง
00:00:08 → 00:00:10 ตามความเป็นจริงก่อนการที่เราต้องมองเห็น
00:00:10 → 00:00:13 ตัวเองตามความเป็นจริงปราศจากการเปรียบ
00:00:13 → 00:00:16 เทียบอันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญสักวันเนี่ย
00:00:16 → 00:00:18 มันก็เหมือนเป็นกระจกภายในที่เรามีกับตัว
00:00:18 → 00:00:20 เองที่จะสะท้อนซึ่งแน่นอนมันก็ต้องอาศัย
00:00:20 → 00:00:24 การฝึกฝนทันทีที่เขาหยุดมองแล้วก็มีคน
00:00:24 → 00:00:27 ช่วยและเห็นเส้นทางของชีวิตตัวเองอย่าง
00:00:27 → 00:00:30 แบบเคลียร์ค่ะแบบเขาจะดีไซน์ชีวิตตัวเอง
00:00:30 → 00:00:33 ใหม่ในเวลาของชีวิตที่เหลือได้อย่างมี
00:00:33 → 00:00:37 ความสุขมากขึ้น
00:00:37 → 00:00:39 ก่อนเข้าสู่เนื้อหาอย่าลืมกด like กด
00:00:39 → 00:00:42 Share และกดกระดิ่งจะได้ไม่พลาดคลิปเก่า
00:00:42 → 00:00:44 ที่จะทำให้คุณเป็น Better Version of
00:00:44 → 00:00:46 yourself ในทุกๆวันนะคะใครที่ติดตามเพจ
00:00:46 → 00:00:48 เก่าที่แสนไกลอยู่นะคะพลาดไม่ได้เลยเพราะ
00:00:48 → 00:00:51 ว่าตอนนี้เราออกหนังสือเล่มแรกแล้วนะคะ
00:00:51 → 00:00:53 How to Ground ชีวิตให้ดีกว่าเดิม
00:00:53 → 00:00:56 หนังสือแถวๆที่ไม่ได้มาจากการเรียนคอร์ส
00:00:56 → 00:00:58 ต่างประเทศและมาสอนคนไทยนะคะแต่เกิดจาก
00:00:58 → 00:01:00 ภูมิปัญญาคนไทยนี่แหละค่ะที่ได้ศึกษาฝึก
00:01:00 → 00:01:03 ฝนอบรมตนเองมากกว่า 30 ปีแล้วยังจะเอาไป
00:01:03 → 00:01:06 สอนชาวต่างชาติอีก 200 ประเทศทั่วโลกด้วย
00:01:06 → 00:01:09 ค่ะมันจึงเป็นการรวบรวมเคล็ดลับการกล่าว
00:01:09 → 00:01:12 แบบอินเตอร์เพื่อให้เราเป็น Better
00:01:12 → 00:01:15 Version ในแต่ละวันค่ะถ้าสนใจนะคะอยาก
00:01:15 → 00:01:17 รู้รายละเอียดเพิ่มเติมก็ไปดูที่คลิปของ
00:01:17 → 00:01:20 เรารีวิวได้นะคะหรือว่าถ้าเกิดอยากจะ
00:01:20 → 00:01:22 กล่าวอีกแนวก็สั่งซื้อได้เลยตามร้าน
00:01:22 → 00:01:25 หนังสือชั้นนำทั่วประเทศค่ะ
00:01:25 → 00:01:28 สวัสดีค่ะชื่อแพทย์หญิงพิยดาค่ะชัยภูมินะ
00:01:28 → 00:01:32 คะตอนนี้ก็เป็นจิตแพทย์แต่ว่าก็จะมีฉายา
00:01:32 → 00:01:35 ประจำตัวว่าหมอนักแต่งเพลงก่อนหน้านี้ก็
00:01:35 → 00:01:39 แต่งเพลงมาตลอด 20 ปีปัจจุบันก็ยังเป็น
00:01:39 → 00:01:43 จิตแพทย์อยู่แต่ว่างานอีกอันนึงที่ทำเยอะ
00:01:43 → 00:01:46 มากก็คือการจัดกระบวนการเรียนรู้ออกแบบ
00:01:46 → 00:01:49 อย่างเช่นคลาสชื่อว่ามหาศาลความสุขหรือ
00:01:49 → 00:01:52 ว่า influencership Program ที่จะดูแล
00:01:52 → 00:01:57 ผู้บริหารในองค์กรแล้วก็มีเป็นที่ปรึกษา
00:01:57 → 00:02:00 ให้กับผู้บริหารระดับสูงในเรื่องของ Micro
00:02:00 → 00:02:03 readership แล้วก็การบริหารคน
00:02:03 → 00:02:06 หนูสนใจคอร์สนึงค่ะที่พี่หมอเอิ้นพูดก็
00:02:06 → 00:02:09 คือมามหาศาลแห่งความสุขมันเหมือนกับดูแบบ
00:02:09 → 00:02:11 มหาศาลแบบนี้มากเลยค่ะอยากให้อธิบาย
00:02:11 → 00:02:13 เกี่ยวกับเคาะนี้หน่อยได้ไหมคะ
00:02:13 → 00:02:18 มหาศาลความสุขเนี่ยชื่อคือสเสือสระอาร
00:02:18 → 00:02:19 เรือนะ
00:02:19 → 00:02:23 คือศาลตัวนั้นนะคะสารแห่งความสุขก็คือ
00:02:23 → 00:02:28 จริงๆเราคิดคลาสนี้ด้วยโมเดลที่ว่าจริงๆ
00:02:28 → 00:02:29 ทุกคนมีความสุขอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว
00:02:29 → 00:02:32 สาเหตุความสุขมีอยู่ในตัวเราอยู่แล้วเรา
00:02:32 → 00:02:34 ไม่ได้จำเป็นจะต้องไปตามหาที่ไหนเลยเพราะ
00:02:34 → 00:02:37 ฉะนั้นคลาสนี้เนี่ยก็คือเป็นคลาสที่ทำให้
00:02:37 → 00:02:40 เราค้นพบความสุขที่มีอยู่แล้วในตัวเอง
00:02:40 → 00:02:43 แล้วก็เพื่อช่วยในเรื่องของการที่เราเอง
00:02:43 → 00:02:45 จะเข้าใจกลไกการทำงานของจิตใจเพราะฉะนั้น
00:02:45 → 00:02:48 เราจะเข้าใจในเรื่องของหัวใจความเป็นเรา
00:02:48 → 00:02:51 ไม่ว่าจะเรื่องของบุคลิกภาพเราจะเข้าใจใน
00:02:51 → 00:02:53 เรื่องของความแตกต่างระหว่างเรากับคนอื่น
00:02:53 → 00:02:56 แล้วก็เราจะเข้าใจในเรื่องหัวใจของความ
00:02:56 → 00:02:59 ขัดแย้งที่คนอาจจะไม่เหมือนกันแล้วเราจะ
00:02:59 → 00:03:02 เข้าใจกระบวนการที่เราจะจัดการความขัด
00:03:02 → 00:03:04 แย้งแล้วก็ความเครียดที่เกิดจากความแตก
00:03:04 → 00:03:06 ต่างกันอันนี้ก็คือเป็นสิ่งที่เราจะได้
00:03:06 → 00:03:09 เรียนรู้ใน workshop ที่ชื่อว่ามหาศาล
00:03:09 → 00:03:13 ความสุข
00:03:13 → 00:03:15 ก็เลยคิดว่าตอนนี้ตัวเองมีนิสัยอะไรบ้าง
00:03:15 → 00:03:19 ที่แบบเด่นๆออกมาเลยประมาณนี้นะคะในวัน
00:03:19 → 00:03:21 นี้ถ้าถามเราวันนี้เราค่อนข้างตอบยากแล้ว
00:03:21 → 00:03:25 เพราะว่ารู้สึกว่านิสัยเนี่ยเรามีหลาก
00:03:25 → 00:03:28 หลายแล้วก็ในจุดเด่นของนิสัยแต่ละอย่าง
00:03:28 → 00:03:30 เนี่ยพี่เอิ้นพบว่ามันขึ้นอยู่กับช่วง
00:03:30 → 00:03:34 เวลาของเราก่อนหน้านี้เนี่ยนิสัยที่ค่อน
00:03:34 → 00:03:37 ข้างโดดเด่นเลยก็คืออาจจะเป็นคนที่มี
00:03:37 → 00:03:40 ระเบียบเป็นคนเรียบร้อยไม่รู้จะเชื่อหรือ
00:03:40 → 00:03:44 เปล่านะเคยเรียบร้อยมาก่อนนะเป็นคนที่
00:03:44 → 00:03:48 ค่อนข้างวางแผนโฟกัสคราวนี้พอในช่วงหนึ่ง
00:03:48 → 00:03:52 ที่เราได้มีโอกาสมีอิสระในการใช้ชีวิตเรา
00:03:52 → 00:03:54 ก็พบว่าไอ้นิสัยเหล่านั้นน่ะมันไม่ใช่ของ
00:03:54 → 00:03:57 เราแฮะมันเป็นนิสัยที่เปื้อนจากคุณพ่อคุณ
00:03:57 → 00:04:01 แม่มาอ่าจริงๆแล้วมันเป็นความเป็นคุณแม่
00:04:01 → 00:04:05 ที่เป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบชอบความมี
00:04:05 → 00:04:08 ระเบียบชอบความมีวินัยชอบความเป๊ะอะไร
00:04:08 → 00:04:09 อย่างเงี้ยแล้วเรารู้ว่าการที่เป็นแบบ
00:04:09 → 00:04:13 นั้นเนี่ยมันทำให้เราจะสงบสุข
00:04:13 → 00:04:15 วันนึงเราก็เลยพบว่าอ้อจริงๆแล้วคอเนี่ย
00:04:15 → 00:04:18 เราไม่ได้เป็นแบบนั้นในช่วงหนึ่งที่เรามี
00:04:18 → 00:04:22 ความอิสระมากพอเราก็พบว่าเออเรามีความชิว
00:04:22 → 00:04:26 ๆนะเรามีความสบายๆเราเป็นคนง่ายอะไรก็ได้
00:04:26 → 00:04:30 ประมาณนี้นะในช่วงหนึ่งตอนนี้ที่เรามี
00:04:30 → 00:04:33 ความรับผิดชอบเยอะๆบางทีเราต้องบริหาร
00:04:33 → 00:04:35 ธุรกิจมีลูกน้องเยอะๆทำงานกับผู้บริหาร
00:04:35 → 00:04:39 ความชิลความง่ายความมีระเบียบวินัยทุก
00:04:39 → 00:04:41 อย่างมันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่เราต้องการ
00:04:41 → 00:04:44 นั่นถามว่าในวันนี้อะไรเด่นตอบยากมากตั้ง
00:04:45 → 00:04:47 แต่ว่าก็คงมีทุกอย่างอยู่แค่ว่าวันนั้น
00:04:47 → 00:04:50 วินาทีนั้นพี่เอิ้นอยู่ในหน้าที่อะไรทำ
00:04:50 → 00:04:53 อะไรแล้วเหมือนกับถ้าเกิดสมมติว่านิสัย
00:04:53 → 00:04:56 ที่อยากพัฒนาตอนนี้ค่ะพอจะมีบ้างไหมคะถ้า
00:04:56 → 00:05:00 นิสัยที่แบบพัฒนาตัวเองในตอนนี้ก็คงเป็น
00:05:00 → 00:05:04 จุดที่อาจจะแก้จริตนิสัยของตัวเองในมุม
00:05:04 → 00:05:08 ของการที่เป็นคนขี้เบื่อนะแล้วก็เป็นคน
00:05:08 → 00:05:11 ที่มักจะมีความคิดสร้างสรรค์ที่เยอะเกิน
00:05:11 → 00:05:12 ไป
00:05:12 → 00:05:16 อยู่บ้างนะเนี่ยบางทีเรามีความคิดแล้วมี
00:05:16 → 00:05:18 ทางเลือกที่หลากหลายมีโอกาสที่หลากหลาย
00:05:18 → 00:05:20 เยอะเกินไปเนี่ยในบางครั้งมันก็จะเป็น
00:05:20 → 00:05:23 อุปสรรคในการที่เราจะโฟกัสบางคนอาจจะรู้
00:05:23 → 00:05:26 สึกว่าตัวเองมีปัญหาในการที่ฉันไม่ค่อยมี
00:05:26 → 00:05:28 ทางเลือกหรือฉันไม่ค่อยมีโอกาสแต่ว่าอยาก
00:05:28 → 00:05:30 ให้ทุกคนรู้ว่าบางทีคนที่รู้สึกว่าตัวเอง
00:05:30 → 00:05:33 มีทางเลือกเยอะมีโอกาสเยอะมีจะใช้เยอะก็
00:05:33 → 00:05:35 มีปัญหาเหมือนกันอย่างพี่เอิ้นก็น่าจะ
00:05:35 → 00:05:38 เป็นอย่างหลังมากกว่าว่าบางทีเราต้องตัด
00:05:38 → 00:05:42 ใจในการที่เราจะต้องมี priority ของชีวิต
00:05:42 → 00:05:45 เราของความสุขของเราของการ Balance
00:05:45 → 00:05:48 แล้วพี่หมอเอิ้นคิดว่าการพัฒนาตัวเองหรือ
00:05:48 → 00:05:50 ว่าการพัฒนานิสัยแบบนี้ค่ะมันมีความสำคัญ
00:05:51 → 00:05:54 กับเรายังไงบ้างคะการพัฒนาเนี่ยจริงๆแล้ว
00:05:54 → 00:05:57 ก่อนที่เราจะพัฒนาเนอะเพื่อนคิดว่าสำคัญ
00:05:57 → 00:06:01 คือเราอาจจะต้องตอบตัวเองว่าเราอยากจะ
00:06:01 → 00:06:04 พัฒนามันไปเพื่ออะไรใช่ไหมหลายครั้งเนี่ย
00:06:04 → 00:06:08 เรามองว่าเฮ้ยชีวิตเราต้องพัฒนาแล้วพัฒนา
00:06:08 → 00:06:11 เราเห็นคนอื่นเขาพัฒนาแบบนี้เราอยากเป็น
00:06:11 → 00:06:14 แบบนั้นบ้างเราอยากเก่งแบบนี้บ้างเราอยาก
00:06:15 → 00:06:17 เร็วแบบนี้บ้างตอนนี้เทคโนโลยีมาฉันต้อง
00:06:17 → 00:06:20 รู้เรื่องนี้มันเหมือนกับเป็นการพัฒนาที่
00:06:20 → 00:06:24 วิ่งตามภาพของคนอื่นแต่ในขณะเดียวกันเนาะ
00:06:24 → 00:06:27 งั้นถ้าเกิดว่าเราอยากจะพัฒนาอะไรสัก
00:06:27 → 00:06:29 อย่างนึงเราคงจะต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อน
00:06:29 → 00:06:34 ว่าเราจะพัฒนาอะไรเราจะพัฒนาเพื่ออะไรมัน
00:06:34 → 00:06:38 อยากหรือมันควรหรือมันต้องไม่เหมือนกันนะ
00:06:38 → 00:06:41 คือคำว่าอยากเนี่ยมันอาจจะอยากรวยใช่ไหม
00:06:41 → 00:06:44 อ่าจะเป็นแบบเอ่อสิ่งที่ Drive ในอีกแบบ
00:06:44 → 00:06:47 นึงความอยากความไม่อยากมันก็จะเป็นเรื่อง
00:06:47 → 00:06:51 ของกิเลสเรื่องของความควรควรเนี่ยก็คือ
00:06:51 → 00:06:54 มันจะมีบรรทัดฐานบางอย่างอยู่อย่างเช่น
00:06:54 → 00:06:58 เราทำงานในตำแหน่งนึงขององค์กรแล้วมันมี
00:06:58 → 00:07:01 Standard ของงานนี้อยู่แล้วว่าเราควรจะ
00:07:01 → 00:07:04 ต้องพัฒนาทักษะอะไรบ้างมันเป็นข้อกำหนด
00:07:04 → 00:07:07 ร่วมกันขององค์กรเขาเรียกว่ากรอบของสังคม
00:07:07 → 00:07:11 หรือข้อตกลงบางอย่างถูกอันที่ 3 คือต้อง
00:07:11 → 00:07:14 ต้องเนี่ยหมายความว่าถ้าเราไม่พัฒนาตรง
00:07:14 → 00:07:17 นี้ชีวิตเรามีโอกาสถดถอยนะมันไม่ได้ขึ้น
00:07:17 → 00:07:20 กับใครล่ะมันไม่ได้ขึ้นจากสังคมมันไม่ได้
00:07:20 → 00:07:22 ขึ้นกับกฎกติกาเนี่ยอยู่ร่วมกันเนี่ยแต่
00:07:22 → 00:07:25 มันขึ้นอยู่กับความสุขความทุกข์ในชีวิต
00:07:25 → 00:07:27 เราเพราะฉะนั้นก่อนจะพัฒนาอะไรอ่ะสิ่ง
00:07:27 → 00:07:29 สำคัญที่ว่าเคลียร์ตรงนี้ก่อนไม่งั้น
00:07:29 → 00:07:31 เนี่ยเราจะเสียพลังงานชีวิตไปโดยเปล่า
00:07:31 → 00:07:35 ประโยชน์แล้วพี่หมอเอิ้นคิดว่า 3 Word
00:07:35 → 00:07:38 เนี่ยค่ะอะไรที่ทำให้เราสามารถพัฒนาตัว
00:07:38 → 00:07:42 เองได้ยั่งยืนค่ะถ้าพูดถึงความยั่งยืนถ้า
00:07:42 → 00:07:45 ตีความความยั่งยืนว่ามันคือความเป็นตัวบน
00:07:45 → 00:07:47 ของเราเนาะมันก็คงจะต้องเป็นเรื่องของ
00:07:48 → 00:07:50 ความต้องล่ะมันไม่ใช่แค่ความอยากแล้วความ
00:07:50 → 00:07:52 อยากมันเป็นกิเลสมันเป็น need นะมันเป็น
00:07:52 → 00:07:55 การเปรียบเทียบแต่ว่าความต้องเนี่ยบางที
00:07:55 → 00:07:58 มันเป็นตัวเรามันคือประโยชน์ของการใช้
00:07:58 → 00:08:01 ชีวิตของตัวเราซึ่งสิ่งเหล่านี้มันไม่มี
00:08:01 → 00:08:05 ใครแบบจะรู้ดีเท่าเรานะแต่ว่าปัญหาของผู้
00:08:05 → 00:08:08 คนที่ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไรมันคือการ
00:08:08 → 00:08:10 ที่ไม่เคยฝึกที่จะมองเห็นตัวเองมากกว่า
00:08:10 → 00:08:14 เท่าที่มีประสบการณ์มาค่ะคิดว่าอะไรเป็น
00:08:14 → 00:08:17 นิสัยอันตรายของคนในการใช้ชีวิตหรือว่าใน
00:08:17 → 00:08:20 การอยู่บนโลกใบนี้บ้างถ้าถามถึงนิสัยที่
00:08:20 → 00:08:24 อันตรายนะแล้วมีในทุกคนเลยรวมถึงตัวพี่
00:08:24 → 00:08:27 นั่นเองด้วยนะก็คือตัดสินนิสัยเป็นคนช่าง
00:08:27 → 00:08:31 ตัดสินน่ะการตัดสินเนี่ยมันทำให้เราออกมา
00:08:31 → 00:08:35 ไปความคิดอารมณ์พฤติกรรมในหลากหลายรูปแบบ
00:08:35 → 00:08:39 ได้มากๆเลยซึ่งถ้าเราไม่ได้อยู่ในบทบาท
00:08:39 → 00:08:42 ของผู้พิพากษาผู้พิพากษาเนี่ยเขามีหน้า
00:08:42 → 00:08:45 ที่ที่เขาต้องตัดสินใช่มั้ยเออแต่กลาย
00:08:45 → 00:08:48 เป็นว่าเราเนี่ยทำตัวเป็นผู้พิพากษาชีวิต
00:08:48 → 00:08:50 ตัวเองแล้วก็คนอื่นตลอดเวลาแล้วดูเหมือน
00:08:50 → 00:08:53 แบบการเลี้ยงดูหรือว่าหรือว่าการเติบโตมา
00:08:54 → 00:08:56 ของเราก็บอกเราแบบนั้นเหมือนกันอย่างเช่น
00:08:56 → 00:09:00 เราเรียนหนังสือเราสอบก็ต้องมีตัดเกรดและ
00:09:00 → 00:09:02 ต้องมีตัดสินแล้วว่าใครอันดับหนึ่งอันดับ
00:09:02 → 00:09:05 สองอันดับสามเด็กเรียนเก่งเป็นยังไงเด็ก
00:09:05 → 00:09:09 เรียนไม่เก่งเป็นยังไงมันก็เลยทำให้เรามี
00:09:09 → 00:09:11 จริตนิสัยในการที่จะตัดสินทั้งตัวเองแล้ว
00:09:11 → 00:09:15 ก็คนอื่นโดยอัตโนมัติอยู่บ่อยๆแล้วพอการ
00:09:15 → 00:09:17 ที่เรามีการตัดสินเกิดขึ้นเนี่ยถ้าเราตัด
00:09:17 → 00:09:20 สินตัวเองเราก็จะไม่ได้มองเห็นตัวเอง
00:09:20 → 00:09:22 อย่างแท้จริงอย่างเช่นเราอาจจะเก่งก็ได้
00:09:22 → 00:09:25 นะแต่พอทันทีที่เราตัดสินว่าฉันเป็นคนไม่
00:09:25 → 00:09:27 เก่งปุ๊บเนี่ยไอ้ศักยภาพที่เรามีก็ไม่ได้
00:09:27 → 00:09:30 ถูกใช้ถูกป่ะหรือในขณะที่เรามองคนอื่น
00:09:30 → 00:09:34 เนี่ยเราตัดสินแล้วว่าเออเนี่ยคนเสียงดัง
00:09:34 → 00:09:36 เป็นคนไม่ดีเขาทำอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้นนะ
00:09:36 → 00:09:40 พี่ก็เลยว่าความอันตรายที่สุดก็คือการตัด
00:09:40 → 00:09:43 สินนี่แหละแล้วก็สิ่งที่แก้ยากที่สุดก็
00:09:43 → 00:09:45 คือการตัดสินเหมือนกัน
00:09:45 → 00:09:49 แล้วก็จะมีเหมือนกับแนวทางแก้ไขสักเบื้อง
00:09:49 → 00:09:52 ต้นก็ยังดีไหมคะในการแบบให้เราลดในการตัด
00:09:52 → 00:09:54 สินทางตัวเองแล้วก็คนอื่นเอา Step แรก
00:09:54 → 00:09:58 ก่อนเลยคือรู้ตัวอยู่ว่ากำลังตัดสินหรือ
00:09:58 → 00:10:00 ถ้าไม่รู้อย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองยังไม่
00:10:00 → 00:10:03 รู้ก็ยังดีนะแต่ว่าถ้าเกิดว่าเราไม่รู้
00:10:03 → 00:10:06 ตัวว่าตอนนี้ฉันกำลังตัดสินเขาอยู่อย่าง
00:10:06 → 00:10:09 เช่นอาจจะไถ Social Media สักอย่างหนึ่ง
00:10:09 → 00:10:12 ใช่ไหมแล้วก็เห็นคำพูดหรือพฤติกรรมอะไร
00:10:12 → 00:10:14 ของคนสักอย่างที่แสดงความคิดเห็นของตัว
00:10:14 → 00:10:17 เองแล้วเราก็รู้สึกว่าไม่ชอบเราก็รู้สึก
00:10:17 → 00:10:20 ว่าเฮ้ยคนนี้มันไม่ดีหรือคิดอย่างนี้ได้
00:10:20 → 00:10:23 ยังไงวะเออไอ้ความคิดอัตโนมัติเนี่ยจริงๆ
00:10:23 → 00:10:26 เราไม่ได้รู้จักเขานะเราคือเขาอาจจะคุย
00:10:26 → 00:10:28 กันเป็น 1 ชั่วโมงก็ได้อย่างวันนี้เรา
00:10:28 → 00:10:30 สัมภาษณ์กัน 1 ชั่วโมงใช่ป่ะแต่เดี๋ยวไป
00:10:30 → 00:10:33 ตัดนิดเดียวทันทีที่มันมีความคิดว่าเอ้ย
00:10:33 → 00:10:36 คิดอย่างนี้ได้ยังไงเออทำไมเป็นคนแบบนี้
00:10:36 → 00:10:39 เนี่ยแสดงว่าการตัดสินก็ทำงานแล้วเรายัง
00:10:39 → 00:10:42 ไม่ได้รู้จักเขาเลยก็อันนี้ถ้าถามว่าเรา
00:10:42 → 00:10:44 จะเริ่มต้นยังไงก็เห็นนี่แหละเห็นความคิด
00:10:44 → 00:10:47 อย่างเงี้ยคิดแบบนี้ได้ยังไงทำไมเป็นคน
00:10:47 → 00:10:51 แบบนี้เริ่มมีทัศนคติ Negative ต่อคนอื่น
00:10:51 → 00:10:55 ที่แตกต่างจากเราก็คือแค่เรารับรู้ก่อน
00:10:55 → 00:10:58 แล้วยอมรับมันก่อนนะว่าตอนนี้ฉันกำลังตัด
00:10:58 → 00:11:00 สินเริ่มต้นจากตรงนี้ก่อนทำให้เริ่มต้น
00:11:00 → 00:11:02 จากตรงนี้แล้วก็ฝึกการที่จะไม่ตัดสินยาก
00:11:02 → 00:11:03 ละ
00:11:03 → 00:11:06 ทำไมถึงแบบสนใจหรือว่าอยากที่จะมาเป็น
00:11:06 → 00:11:09 จิตแพทย์ค่ะอันหนึ่งเลยก็คือว่าอย่างที่
00:11:09 → 00:11:11 บอกฉายาคุณหมอนัดแต่งเพลงของเรานี่แหละ
00:11:11 → 00:11:15 แต่งเพลงตั้งแต่อายุ 18 เรียกว่าพร้อมกัน
00:11:15 → 00:11:17 ไงกับการเข้าเป็นนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่งใช่
00:11:17 → 00:11:21 ไหมคะในการที่หาเงินแล้วก็เรียนหนังสือ
00:11:21 → 00:11:24 ด้วยเราก็รู้สึกว่าสิ่งนี้มันก็ยังเป็น
00:11:24 → 00:11:27 ความสุขนะเราก็อยากจะยังอยู่กับมัน
00:11:27 → 00:11:31 จิตแพทย์เนี่ยเป็นสาขาที่ส่งเสริมซึ่งกัน
00:11:31 → 00:11:34 และกันใช่ไหมคะว่าเอ่อในการเขียนเพลง
00:11:34 → 00:11:36 เนี่ยเราก็ต้องฟังคนเยอะเนาะแล้วเราก็
00:11:36 → 00:11:40 ต้องทำความเข้าใจเขาแล้วก็ตกตะกอนออกมา
00:11:40 → 00:11:43 เป็น Content ก็คือเพลงสกิลนี้มันจะได้
00:11:43 → 00:11:45 ถูกใช้แน่นอนถ้าเรียนจิตแพทย์เนี่ยเราก็
00:11:45 → 00:12:46 มีแนวโน้มว่า
00:12:46 → 00:12:48 ว่าเหมือนกับนอกจากโรคซึมเศร้าแล้วค่ะพี่
00:12:48 → 00:12:50 หมอเอิ้นคิดว่ามันยังมีโรคอะไรที่แบบคน
00:12:50 → 00:12:52 ไทยน่าเป็นห่วงนะถ้าเกิดสมมติว่าไม่รู้
00:12:52 → 00:12:55 เรื่องเกี่ยวกับโลกนี้ค่ะตอบคำถามนี้ใน
00:12:55 → 00:12:57 แบบจัดกลุ่มเนาะโรคซึมเศร้าเป็นโรคของ
00:12:57 → 00:13:00 อารมณ์แต่จริงๆเราอ่ะก็คือเราก็มีเรื่อง
00:13:00 → 00:13:04 ของความคิดด้วยคิดว่ามีอะไรที่คนก็อาจจะ
00:13:04 → 00:13:07 เป็นเยอะอยู่นะก็คือเรื่องโรคของความคิด
00:13:07 → 00:13:10 อย่างเช่นความวิตกกังวลอย่างเช่นการย้ำ
00:13:10 → 00:13:13 คิดย้ำทำอย่างเช่น Panic จริงๆเป็นเงิน
00:13:13 → 00:13:16 เยอะมากนะคะซึ่งอันนี้ก็จะเป็นความผิด
00:13:16 → 00:13:19 ปกติทางด้านความคิดหรือบางคนอาจจะยังไม่
00:13:19 → 00:13:23 ถึงกับเป็นโรคแต่ว่าก็เป็นสภาวะเป็นสภาวะ
00:13:23 → 00:13:27 ของความกลัวของความโกเบอ่ะจริงๆแล้วเราจะ
00:13:27 → 00:13:29 พบว่าเขาเรียกว่ามันมันแทบจะคอมบายกัน
00:13:30 → 00:13:33 ด้วยซ้ำนึกดูนะเวลาที่เราแบบมีความคิดลบ
00:13:33 → 00:13:36 เยอะๆอย่างเงี้ยหรือว่ามีความคิดกังวล
00:13:36 → 00:13:41 วิตกเยอะๆหรือมีความย้ำทำย้ำคิดย้ำทำอะไร
00:13:41 → 00:13:45 บางอย่างเยอะๆอ่ะเราจะรู้สึกดีไหมไม่ดี
00:13:45 → 00:13:49 เรามีความสุขมาไม่เราจะสดชื่นไหมไม่ไป
00:13:49 → 00:13:52 แล้วเนี่ยไอ้ความคิดที่มันเป็นแบบนี้สัก
00:13:52 → 00:13:55 พักนึงนะถ้าเราไม่รู้ตัวไม่ดูแลมันก็กลาย
00:13:55 → 00:13:58 เป็นความรู้สึกไงรู้สึกไม่สดชื่นรู้สึก
00:13:58 → 00:14:02 เศร้ารู้สึกเบื่อตอนแรกมันก็อาจจะแป๊บ
00:14:02 → 00:14:05 เดียวนะแต่ไม่ดูแลอีกมันก็กลายเป็นเริ่ม
00:14:05 → 00:14:08 เบิร์นเอาแล้วเริ่มซึมเศร้าแล้วมันเริ่ม
00:14:08 → 00:14:11 เป็นความถาวรในความคิดและความรู้สึกของ
00:14:11 → 00:14:15 เรามากขึ้นเรื่อยๆคนเราค่ะปกติเหมือนกับ
00:14:15 → 00:14:17 ส่วนใหญ่ค่ะมันจะมีปมในเรื่องของการใช้
00:14:17 → 00:14:20 ชีวิตในอดีตที่ผ่านมาค่ะเลยอยากรู้ว่า
00:14:20 → 00:14:22 เหมือนกับถ้าเกิดว่าเรามีปมเนี่ยในจิตใจ
00:14:22 → 00:14:24 อยู่แล้วเราสามารถแก้หรือว่าคลายตรงนี้
00:14:24 → 00:14:27 ได้ยังไงบ้างแต่ว่า 1 คือเราอาจจะต้องรับ
00:14:27 → 00:14:34 รู้ว่าไม่มีใครไม่มีอ่ะนะทุกคนก็ต่างมีปม
00:14:34 → 00:14:37 เป็นของตัวเองคำว่าปมคืออะไรมันก็คือความ
00:14:37 → 00:14:40 ขัดแย้งในตัวเราบางอย่างที่เกิดขึ้นใช่
00:14:40 → 00:14:43 มั้ยหรือประสบการณ์บางอย่างที่เราอาจจะ
00:14:43 → 00:14:46 รู้สึกว่าเอ่อไม่ชอบไม่พึงพอใจไม่อยากให้
00:14:46 → 00:14:49 มันมีในชีวิตแต่มันดันเกิดขึ้นในชีวิต
00:14:49 → 00:14:52 เนี่ยความขัดแย้งเนี่ยฉันไม่ชอบฉันไม่พึง
00:14:52 → 00:14:55 พอใจแต่มันเกิดขึ้นในชีวิตงั้นเหตุการณ์
00:14:55 → 00:15:00 แบบนี้เนี่ยมันมักจะถูกฝังในความทรงจำของ
00:15:00 → 00:15:03 เราคราวนี้ในสมองของเราเนี่ยมันก็มีทั้ง
00:15:03 → 00:15:08 ในระดับที่ว่าเป็น unconsias
00:15:08 → 00:15:12 Girl หมายความว่าสิ่งที่เรารู้กึ่งรู้นะ
00:15:12 → 00:15:15 หรือไม่รู้เลยงั้นมันจะมีอยู่ในทุกระดับ
00:15:15 → 00:15:20 นะแต่ว่ามันจะอยู่ในระดับไหนก็แล้วแต่นะ
00:15:20 → 00:15:24 เราอาจจะต้องพิจารณาว่าเราได้ประโยชน์
00:15:24 → 00:15:27 อะไรจากมันมากกว่าเราที่เราแบบฉันไม่อยาก
00:15:27 → 00:15:31 มีเลยคือมันมีแล้วไงนะเป็นสิ่งที่ดีที่
00:15:31 → 00:15:33 สุดเวลาที่เรามองเห็นสิ่งที่เราเรียกว่า
00:15:33 → 00:15:36 พรหมเนี่ยมันก็คือการอักเสบอ่ะมันคือการ
00:15:36 → 00:15:39 ยอมรับก่อนงั้นถ้าเกิดว่าเราไม่ยอมรับมัน
00:15:39 → 00:15:41 ก่อนเนี่ยมันจะเกิดอะไรขึ้นเนาะมันก็จะ
00:15:41 → 00:15:45 เกิดกระบวนการเยอะแยะมากมายเลยที่เขา
00:15:45 → 00:15:48 เรียกว่า defence megalism หรือเกราะ
00:15:48 → 00:15:52 ป้องกันทางใจที่เราอาจจะสร้างออกมาเป็น
00:15:52 → 00:15:56 ความดุดันก้าวร้าวหรือพฤติกรรมอะไรต่างๆ
00:15:56 → 00:15:59 ที่มันอาจจะไม่สมเหตุสมผลกับปัญหาที่เกิด
00:15:59 → 00:16:04 ขึ้นในปัจจุบันแต่ใช้วิธีการในอดีตหรือ
00:16:04 → 00:16:07 วิธีการเดิมมาใช้กับมันแล้วถ้าเกิดว่าเรา
00:16:07 → 00:16:10 จะดูแลสิ่งนี้ดูแลยังไงก็คือ 1 ก็คือเห็น
00:16:10 → 00:16:15 เนาะรู้ว่าโอเคตัวเองอาจจะมี Point
00:16:15 → 00:16:18 เรื่องนี้อยู่อันที่ 2 อาจจะต้องยอมรับ
00:16:18 → 00:16:21 ว่าเราไม่สามารถจะนั่งทำ Machine ไปจัด
00:16:21 → 00:16:25 การกับอดีตได้บางคนอาจจะรู้สึก
00:16:25 → 00:16:29 มีแผลในใจจากคำพูดของพ่อของแม่บางคนรู้
00:16:29 → 00:16:34 สึกฉันไม่พอใจทำไมฉันต้องเกิดในที่แบบนี้
00:16:34 → 00:16:38 ในบ้านแบบนี้ในสังคมแบบนี้แต่เราย้อนกลับ
00:16:38 → 00:16:41 ไปไม่ได้ไงเราก็ทำได้แค่ 1 ยอม
00:16:41 → 00:16:45 ผู้การยอมรับมันจะถูกอันที่ 2 ก็คือเราจะ
00:16:45 → 00:16:48 เริ่มที่จะดูแลเจ้าปมตัวนี้ได้แต่ถ้าเรา
00:16:48 → 00:16:52 ดูมันให้ลึกเราจะรู้ว่าไอ้ปมตัวนี้มันมี
00:16:52 → 00:16:55 โทษแล้วก็มีประโยชน์อะไรเพราะฉะนั้นเราก็
00:16:55 → 00:16:58 ต้องยอมรับเนาะแล้วดูว่ามันมีประโยชน์มี
00:16:58 → 00:17:02 โทษอะไรแล้วก็เลือกใช้มันให้ดีที่สุดเรา
00:17:02 → 00:17:06 ก็คือแค่มีสติบางทีมันก็คือแค่การมองเห็น
00:17:06 → 00:17:10 ว่าเราชอบเราไม่ชอบไม่ต้องไปเป็นมันก็ได้
00:17:10 → 00:17:14 เราก็แค่กลับมาอยู่กับตัวเองตามความเป็น
00:17:14 → 00:17:18 จริงในปัจจุบันนั้นเราจำไม่ใช้ชีวิตใน
00:17:18 → 00:17:22 เงื่อนไขของปมเลยแต่เราจะใช้ชีวิตตามความ
00:17:22 → 00:17:25 เป็นจริงของตัวเองในปัจจุบันปมจะไม่มี
00:17:25 → 00:17:27 อิทธิพลอะไรกับเราเลย
00:17:27 → 00:17:30 และปมนั้นจะหายไปเมื่อไหร่ก็คือเมื่อเรา
00:17:30 → 00:17:33 ใช้ชีวิตในปัจจุบันเพื่อสร้างประสบการณ์
00:17:33 → 00:17:36 ที่ดีใหม่ๆให้เกิดขึ้นความสุขในปัจจุบัน
00:17:36 → 00:17:40 ประสบการณ์ที่ดีใหม่ๆที่เกิดขึ้นเนี่ยไอ้
00:17:40 → 00:17:43 แผลเป็นตรงนั้นนะคะมันลบไม่ได้หรอกนะแต่
00:17:43 → 00:17:46 มันจางได้จางได้และตรงที่มันจางๆเนี่ย
00:17:46 → 00:17:49 จริงๆเราสามารถที่จะสร้างประติมากรรมอื่น
00:17:49 → 00:17:53 ๆที่สวยงามบนแผลเป็นนั้นได้ไม่จำเป็นต้อง
00:17:53 → 00:17:58 แบบจ้องมองแล้วแบบหายไปสิหายไปสิ
00:17:58 → 00:18:01 ยากมากเลยอ่ะค่ะที่เราจะเห็นว่าจริงๆแล้ว
00:18:01 → 00:18:04 เรามีปมนี้นะมาจากอดีตนะที่เราแบบทำให้
00:18:04 → 00:18:07 รู้สึกว่าส่งผลต่อตัวเราในปัจจุบัน
00:18:07 → 00:18:09 มันเป็นสิ่งที่แบบมองเห็นได้ยากมากเลย
00:18:09 → 00:18:13 เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เนี่ยบางทีเราเลยอาจจะ
00:18:13 → 00:18:16 ต้องฟังคนอื่นบ้างจริงๆคนอื่นรอบข้าง
00:18:16 → 00:18:19 เดี๋ยวนี้แม้กระทั่งในห้องตรวจของพี่นะ
00:18:19 → 00:18:23 80% เนี่ยแทบไม่ได้จ่ายยาเลยคือหลายคน
00:18:23 → 00:18:26 ตอนนี้เขาก็จะยอมรับและว่าบางทีการที่
00:18:26 → 00:18:28 ต้องมองเห็นตัวเองในเชิงลึกเนี่ยมันเป็น
00:18:28 → 00:18:31 สิ่งที่สำคัญแล้วบางทีมันไม่ต้องรอให้ฉัน
00:18:31 → 00:18:34 ป่วยหรือฉันจะต้องเป็นซึมเศร้าหรืออะไร
00:18:34 → 00:18:36 ก่อนคือบางทีในจุดเนี่ยที่เขาอ่ะอยากจะ
00:18:36 → 00:18:39 เข้าใจตัวเองอย่างซึ้งเค้าก็มานั่งคุยกับ
00:18:39 → 00:18:42 พี่ละนะคะงั้นการที่เราอ่ะต้องมีเครื่อง
00:18:42 → 00:18:46 มือที่ช่วยนะคะก็คือถ้าเราจะมีเครื่องมือ
00:18:46 → 00:18:48 ที่เราช่วยตัวเองมันก็คือเซลล์อะไรเนี่ย
00:18:48 → 00:18:50 เซลล์อ้วนเนี่ยมันก็เหมือนเป็นกระจกภายใน
00:18:50 → 00:18:53 ที่เรามีกับตัวเองที่จะสะท้อนซึ่งแน่นอน
00:18:53 → 00:18:55 มันก็ต้องอาศัยการฝึกฝนเราต้องเข้าใจหลัก
00:18:55 → 00:18:58 ของมันยังแท้จริงใช่ไหมอันที่ 2 แล้วจะ
00:18:58 → 00:19:00 ง่ายก็คือก็ต้องมีผู้ช่วยงั้นผู้ช่วยอาจ
00:19:00 → 00:19:04 จะมีหลายแบบนะมันอาจจะเป็นคนข้างๆเราที่
00:19:04 → 00:19:07 เราไว้เหนือเชื่อใจเขาแล้วเราก็กล้าที่จะ
00:19:07 → 00:19:09 ฟังกันมากพออันที่ 2 จะเป็นผู้เชี่ยวชาญ
00:19:09 → 00:19:13 ใช่ไหมคะที่เขาเข้าใจเรื่องนี้หลายๆครั้ง
00:19:13 → 00:19:15 พี่ก็พบว่าเออคนไข้อยากบางทีเขาก็โชคดีนะ
00:19:15 → 00:19:18 ที่บางทีถ้าไม่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขา
00:19:18 → 00:19:20 มานั่งอยู่ตรงนี้เขาอาจจะไม่มีโอกาสที่จะ
00:19:21 → 00:19:23 เห็นสิ่งนี้เลยก็ได้แล้วเขาก็จะใช้ชีวิต
00:19:23 → 00:19:27 แบบกลไกป้องกันตัวเองที่สะสมปัญหาไป
00:19:27 → 00:19:31 เรื่อยๆๆๆๆๆๆๆก็ได้ทันทีที่เขาอ่ะหยุดมอง
00:19:31 → 00:19:34 แล้วก็มีคนช่วยและเห็นเส้นทางของชีวิตตัว
00:19:34 → 00:19:37 เองอย่างแบบเคลียร์ค่ะแบบเขาจะดีไซน์
00:19:37 → 00:19:40 ชีวิตตัวเองใหม่ในเวลาของชีวิตที่เหลือ
00:19:40 → 00:19:43 ได้อย่างมีความสุขมากขึ้นในประสบการณ์ที่
00:19:43 → 00:19:46 พี่หมอเคยพบผู้ป่วยหรือว่าคนที่มากปรึกษา
00:19:46 → 00:19:49 กับพี่หมอแบบเนี้ยค่ะมันเคยเหมือนกับมี
00:19:49 → 00:19:51 เรื่องที่ทำให้พี่หมอสะเทือนใจบ้างไหมคะ
00:19:51 → 00:19:55 โดยการที่เราอ่ะถูกฝึกเนาะในเรื่องของการ
00:19:55 → 00:19:59 บำบัดหรือการฟังอย่างลึกซึ้งเนี่ยจริงเรา
00:19:59 → 00:20:01 ค่อนข้างที่จะแยกแยกเรื่องของเรากับ
00:20:01 → 00:20:05 เรื่องของเขาได้ค่อนข้างชัดเจนเพราะไม่
00:20:05 → 00:20:07 งั้นเนี่ยเราจะกลายเป็นว่าเราก็จะถ่ายเท
00:20:07 → 00:20:11 พลังงานลบมาเยอะจนเกินไปนะแต่ว่าก็มีมี
00:20:11 → 00:20:14 เรื่องที่คิดว่าน่าเสียดายมากกว่าอย่าง
00:20:14 → 00:20:18 เช่นอย่างปัญหาคู่ชีวิตอันนี้เจอบ่อย
00:20:18 → 00:20:21 ปัญหาคู่ชีวิตที่หรือปัญหาเรื่องของความ
00:20:21 → 00:20:25 รักบางทีเราพบว่าคนสองคนรักกันแต่ว่าด้วย
00:20:25 → 00:20:29 ความที่ภาษารักของเขาไม่เหมือนกันแล้วมัน
00:20:30 → 00:20:33 ก็เลยทำให้เหมือนเขาไม่รักกันแต่จริงๆคือ
00:20:33 → 00:20:36 เขารักกันแล้วก็รักกันมากเคสนึงที่แบบว่า
00:20:36 → 00:20:39 ความรักของเขาคือการทุ่มเทเนอะก็เป็นแบบ
00:20:39 → 00:20:44 หัวหน้าครอบครัวคือการทำงานทุ่มเทให้คนใน
00:20:44 → 00:20:48 บ้านให้ลูกเมียสบายอยากได้อะไรก็ได้การ
00:20:48 → 00:20:50 ที่ลูกเมียอยากได้อะไรก็ได้อันนี้เขาคิด
00:20:51 → 00:20:53 ว่านี่คือการแสดงความรักและแต่ว่าสิ่งที่
00:20:53 → 00:20:55 เขาต้องทำคือการที่ต้องมีมันดีใช่ป่ะต้อง
00:20:55 → 00:20:58 ศักดิ์สิทธิ์ต้องประสบความสำเร็จในงานวัน
00:20:58 → 00:21:02 เขาอยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตการทำงานและ
00:21:02 → 00:21:04 เป็นเจ้าของบริษัทแต่ว่าพอหันกลับมาอีกที
00:21:04 → 00:21:08 อ่ะก็คือไม่เหลือใครแล้วในบ้านเพราะว่าคน
00:21:08 → 00:21:10 ที่อยู่ที่บ้านก็คิดว่านี่คือไม่รักภาษา
00:21:10 → 00:21:11 มันไม่เหมือนกันนะเพราะฉะนั้นคนที่บ้าน
00:21:11 → 00:21:14 ต้องการอะไรต้องการเวลาต้องการอะไร
00:21:14 → 00:21:16 ต้องการความอบอุ่นต้องการงานที่แบบเรามี
00:21:16 → 00:21:19 เวลาได้คุยกันมันเอากลับมาไม่ได้แล้วก็
00:21:19 → 00:21:22 เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเพราะฉะนั้นอัน
00:21:22 → 00:21:24 นี้ก็จะเป็นจุดที่เราจริงๆแล้วเราจะเห็น
00:21:24 → 00:21:29 ในกรณีนี้ค่อนข้างบ่อยเหมือนกันที่ภาษา
00:21:29 → 00:21:31 รักไม่ตรงกันแล้วสุดท้ายมันกลายเป็นความ
00:21:31 → 00:21:32 สูญเสีย
00:21:32 → 00:21:35 รู้สึกว่าการที่รับฟังเรื่องราวของคนอื่น
00:21:35 → 00:21:37 มาเยอะแบบนี้ค่ะมันก็ต้องอาจจะมีแบบพลัง
00:21:37 → 00:21:40 งานลบที่เข้ามาสู่ตัวเราบ้างแบบนี้ค่ะพี่
00:21:40 → 00:21:42 หมอเอิ้นมีวิธีการ protect เรื่องนี้ยัง
00:21:42 → 00:21:46 ไงบ้างคืออย่างที่บอกอ่ะค่ะพอเรามีทักษะ
00:21:46 → 00:21:49 เนอะไม่ว่าจะเป็น Deep Listening Active
00:21:49 → 00:21:52 Listening ในแบบที่มันฟังก์ชันจริงๆมัน
00:21:52 → 00:21:56 ทำงานของมันจริงๆแล้วเราก็เรียกว่า BM
00:21:56 → 00:22:00 Party แต่ไม่ซิมพาตีเอ็มพาร์ตี้คือเรา
00:22:00 → 00:22:03 เห็นเนาะอย่างเช่นน้ำเศร้าอย่างนี้พี่
00:22:03 → 00:22:06 เอิ้นก็เห็นในความเศร้ายอมรับในความเศร้า
00:22:06 → 00:22:09 เราก็อยู่กับความเศร้าของน้ำได้แต่พี่
00:22:09 → 00:22:11 เอิ้นไม่ไปเป็นความเศร้าของน้ำอ่ะไม่เป็น
00:22:11 → 00:22:17 น้ำน้ำ 2 น้ำ 3 ในกรณีของพี่เอิ้นเนี่ย
00:22:17 → 00:22:19 พี่เอิ้นไม่ค่อยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้
00:22:19 → 00:22:22 ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องของการที่จะเอาพลัง
00:22:22 → 00:22:26 งานเอ่อลบอะไรในขณะเดียวกันกลับกันเลยพี่
00:22:26 → 00:23:29 เอิ้นกลับได้เรียนรู้จากปัญหาของงาน
00:23:29 → 00:23:34 ไม่ศรัทธาเราไม่อาจที่จะให้เขาแบบเปลี่ยน
00:23:34 → 00:23:36 แปลงหรือช่วยเขาได้อันนี้อันนี้คือเป็น
00:23:36 → 00:23:39 สิ่งที่เราก็ต้องรู้อยู่แล้วอันที่ 2 คือ
00:23:39 → 00:23:42 เรารักกันแทนกันไม่ได้นะส่วนใหญ่ไอ้ที่
00:23:42 → 00:23:46 เราไปเหนื่อยไปหนักมันเหมือนเราไปรับกรรม
00:23:46 → 00:23:49 แทนเขาเราอยากให้เขาดีขึ้นเราเอาใจช่วย
00:23:49 → 00:23:52 เขาเราคิดว่าถ้าเชื่อเราหรือทำแบบนี้
00:23:52 → 00:23:56 ชีวิตเขาน่าจะดีขึ้นแต่จริงๆคือเราทำไม่
00:23:56 → 00:23:59 ได้นะเรารับกรรมแทนกันไม่ได้เพราะฉะนั้น
00:23:59 → 00:24:01 เนี่ยบางทีมันก็ต้องปล่อยให้มันเป็นชีวิต
00:24:01 → 00:24:05 ของเขาอ่ะแล้วทุกวันนี้พี่ทำงานช่วยคนพี่
00:24:05 → 00:24:07 ก็รู้สึกให้เกียรติในชีวิตของเขาอยู่นะ
00:24:07 → 00:24:10 ไม่เคยคิดว่าฉันจะต้องไปทำอะไรให้เธอ
00:24:10 → 00:24:13 เปลี่ยนไปอ่ะว่าต้องการที่เขาจะเปลี่ยน
00:24:13 → 00:24:16 แปลงมันคือถึงเวลาของเขาใจของเขาที่มันจะ
00:24:16 → 00:24:18 เปลี่ยนแปลงไง
00:24:18 → 00:24:21 คะก็คือเหมือนกับพี่หมอเอิ้นเป็นนักแต่ง
00:24:21 → 00:24:23 เพลงด้วยใช่ไหมคะก็เลยอยากทราบว่าให้
00:24:23 → 00:24:25 เลือกระหว่างชอบในบทบาทที่เป็นจิตแพทย์
00:24:25 → 00:24:28 อ่ะค่ะกับบทบาทของที่เป็นนักแต่งเพลงที่
00:24:28 → 00:24:30 หมอเอิ้นชอบอันไหนดี
00:24:30 → 00:24:34 น่าจะเลือกไม่ได้นะ
00:24:34 → 00:24:37 ตั้งแต่เลือกไม่ได้เพราะว่ามันก็เป็นสิ่ง
00:24:37 → 00:24:40 ที่อยู่คู่กันมาเรียกว่ามันเหมือนร่างกาย
00:24:40 → 00:24:44 กับจิตใจอ่ะเออถ้ามัน 20 ปีก่อนที่พี่
00:24:44 → 00:24:48 เป็นนักแต่งเพลงแล้วพี่ก็สัมภาษณ์สื่อนะ
00:24:48 → 00:24:51 ในฐานะที่แบบโอ้ตอนนั้นกำลังมีผลงานอะไร
00:24:51 → 00:24:54 เยอะๆอะไรอย่างเงี้ยก็จะถูกถามนี้เหมือน
00:24:54 → 00:24:57 กันพี่ก็จะรู้สึกว่ามันมันเหมือนร่างกาย
00:24:57 → 00:24:59 จากจิตใจ
00:24:59 → 00:25:04 คือการเป็นแพทย์มันทำให้เราอ่ะคือเข้าใจ
00:25:04 → 00:25:08 ในเรื่องของ physical ในเรื่องของเคมี
00:25:08 → 00:25:13 เรื่องของโครงสร้างสมองเรื่องของกระบวน
00:25:13 → 00:25:17 การคิดเรื่องของกลไกของจิตใจอะไรอย่างนี้
00:25:17 → 00:25:20 แต่ว่าการเป็นนักแต่งเพลงอ่ะมันทำให้เรา
00:25:20 → 00:25:23 เข้าใจความรู้สึกและจิตวิญญาณของความเป็น
00:25:23 → 00:25:26 มนุษย์นั่นจิตแพทย์ต้องดูหมดไงมันดูทั้ง
00:25:26 → 00:25:28 ในเรื่องของ
00:25:28 → 00:25:32 ไซโคก็คือเรื่องของจิตใจมันดูทั้งเรื่อง
00:25:32 → 00:25:36 ของ Biology เรื่องของเคมีโครงสร้างใน
00:25:36 → 00:25:39 ร่างกายมันดูในเรื่องของ Social ด้วยใน
00:25:39 → 00:25:43 เรื่องของทักษะสังคมการเข้าสังคม
00:25:43 → 00:25:46 อย่างมันไปด้วยกันอยู่แล้ว
00:25:46 → 00:25:49 พี่บอกว่าเหมือนกับดนตรีหรือว่าศิลปะแบบ
00:25:49 → 00:25:51 เนี้ยค่ะมันสามารถเยียวยาจิตใจของคนได้
00:25:51 → 00:25:53 จริงๆไหม
00:25:53 → 00:25:56 เยียวยาได้จริงค่ะนะอันนี้ในมุมของการที่
00:25:56 → 00:26:00 ตัวเองเนี่ยก็ใช้ใช้ในแบบไม่รู้ตัวมาทั้ง
00:26:00 → 00:26:02 ชีวิตเลยด้วยอ่าอันนี้ถ้าใช้กับตัวเองนะ
00:26:02 → 00:26:06 แล้วก็เอามาใช้กับนักเรียนที่ปรึกษาเอามา
00:26:06 → 00:26:10 ใช้กับคนไข้นะคะถามว่าสิ่งเหล่านี้มัน
00:26:10 → 00:26:14 ช่วยได้ยังไงดนตรีศิลปะอย่างที่บอกเนาะ
00:26:14 → 00:26:16 ว่าบางทีมันทำงานกับในเรื่องของ
00:26:16 → 00:26:18 uncontiers ตอนนั้นความเชื่อมันเป็นสิ่ง
00:26:18 → 00:26:20 ที่เรารู้ว่าเรากำลังคิดใช่ไหมเรากำลัง
00:26:20 → 00:26:23 รู้สึกอะไรแต่อันนี้มันคือ 20% เท่านั้น
00:26:23 → 00:26:26 เองมันมีสิ่งที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับตัว
00:26:26 → 00:26:29 เองอีกเยอะมากแต่มันออกมาเป็นพฤติกรรม
00:26:29 → 00:26:32 เป็นคำพูดเป็นแววตาโดยอัตโนมัติเลยซึ่ง
00:26:32 → 00:26:35 ดนตรีหรือว่าศิลปะเนี่ยค่ะมันเป็นเครื่อง
00:26:35 → 00:26:39 มือที่พาเราเรียกว่าปล่อยวางจากความคิด
00:26:39 → 00:26:42 แต่ทำให้ตัวเรามีอิสระแล้วก็ดึงสิ่งที่
00:26:42 → 00:26:45 มันเป็นอัน Content ออกมาให้เราได้ดูแล
00:26:45 → 00:26:46 แก้ไข
00:26:46 → 00:26:49 สามารถช่วยทำให้เราสามารถเข้าใจคนอื่นได้
00:26:49 → 00:26:52 มากขึ้นก็เลยอยากรู้ว่าทำไมถึงแบบคิดแบบ
00:26:52 → 00:26:55 นั้นเพราะว่ามันทำให้เราได้ฟังอย่างแรก
00:26:55 → 00:26:58 เลยในฐานะที่พี่เป็นคนเขียนเพลงใช่ไหม
00:26:58 → 00:27:01 แล้วก็พี่ก็เขียนเพลงในฐานะของการเป็นผู้
00:27:01 → 00:27:05 ฟังนะพี่ไม่รู้ดนตรีไม่รู้ทฤษฎีเล่นดนตรี
00:27:05 → 00:27:07 ไม่เป็นด้วย
00:27:07 → 00:27:10 งั้นเวลาพี่เขียนมันก็เกิดจากกระบวนการ
00:27:10 → 00:27:13 อะไรคือการที่เราฟังแล้วต้องรับฟังคน
00:27:13 → 00:27:17 อย่างลึกซึ้งเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเหตุ
00:27:17 → 00:27:19 การณ์นี้มันเป็นเรื่องของใคร
00:27:19 → 00:27:22 แต่ละคนคนที่เป็นเจ้าของเรื่องเนี่ยเขา
00:27:22 → 00:27:25 กำลังคิดเขากำลังรู้สึกอะไรเขากำลัง
00:27:25 → 00:27:30 ต้องการอะไรอะไรคือทางออกของปัญหานี้อะไร
00:27:30 → 00:27:34 อย่างนี้มันคือการที่เราจะต้องฟังแล้วก็
00:27:34 → 00:27:38 พอการที่เราตั้งใจที่จะฟังมันก็จะทำให้
00:27:38 → 00:27:41 เราได้เรียนรู้เรื่องราวของคนอื่นด้วย
00:27:41 → 00:27:44 เนาะแม้กระทั่งแบบต้องบอกว่า 100 เพลงของ
00:27:44 → 00:27:49 พี่เนี่ยน่าจะมีของพี่ 2 เพลงเนี่ย
00:27:49 → 00:27:53 เป็นเรื่องของคนอื่นตอนที่ทำ Channel
00:27:53 → 00:27:55 ขึ้นมาค่ะเหมือนกับจะมี Gold ในการที่
00:27:55 → 00:27:58 อยากจะให้คนอื่นเข้าใจตัวเองแล้วก็เข้าใจ
00:27:58 → 00:28:00 ผู้อื่นมากยิ่งขึ้นเลยอยากรู้ว่าทำไมถึง
00:28:00 → 00:28:03 คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่
00:28:03 → 00:28:07 อยากให้คนอื่นเข้าใจอย่างที่บอกว่าเราเคย
00:28:07 → 00:28:11 รู้สึกว่าเราอยากมีความสุขตอนที่เราตัด
00:28:11 → 00:28:14 สินใจว่าเราจะเรียนเป็นจิตแพทย์เพราะเรา
00:28:14 → 00:28:17 อยากเข้าใจตัวเองเราอยากเข้าใจความสุข
00:28:17 → 00:28:21 จริงๆสุดท้ายเนี่ยทั้งไม่ว่าจะกับการได้
00:28:21 → 00:28:25 ทบทวนชีวิตตัวเองการได้เรียนในแบบที่มัน
00:28:25 → 00:28:29 อยู่ในหลักการจริงๆการได้ฝึกในการที่จะ
00:28:29 → 00:28:32 ฟังในการบำบัดเยียวยาคนอื่นหรือได้มี
00:28:32 → 00:28:36 โอกาสที่จะบำบัดเยียวยาตัวเองก็ทำให้ค่อน
00:28:36 → 00:28:40 ข้างมั่นใจว่าจริงๆทุกคนมีความสุขอยู่ใน
00:28:40 → 00:28:44 ตัวแต่ว่าเราแค่ไม่สามารถปล่อยให้ตัวเอง
00:28:44 → 00:28:47 มีอิสระแล้วก็สัมผัสความสุขที่มันมีอยู่
00:28:47 → 00:28:50 แล้วในตัวเราได้และสิ่งเหล่านั้นมันฝึก
00:28:50 → 00:28:54 ได้การที่เราอยู่ร่วมกันในสังคมนี้ค่ะบาง
00:28:54 → 00:28:56 ทีเราก็ต้องปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง
00:28:56 → 00:28:58 อย่างนี้ค่ะอยากถามพี่หมอเอิ้นเขาว่ามัน
00:28:58 → 00:29:00 แบบจำเป็นไหมที่เราจะต้องปรับเปลี่ยน
00:29:00 → 00:29:03 นิสัยตัวเองเพื่อให้เข้ากับคนอื่นหรือว่า
00:29:03 → 00:29:06 คนที่เรารักในเรื่องความสัมพันธ์แล้วกัน
00:29:06 → 00:29:08 ในเรื่องในเรื่องความสัมพันธ์ของคนสองคน
00:29:08 → 00:29:11 เนี่ยที่อาจจะแตกต่างกันถ้าเกิดมาอยู่
00:29:11 → 00:29:13 ด้วยกันเนี่ยจริงๆเราต้องเปลี่ยนไหมแล้ว
00:29:13 → 00:29:16 มันต้องเปลี่ยนแค่ไหนเพราะฉะนั้นเวลาที่
00:29:16 → 00:29:18 คนสองคนอยู่ด้วยกันเนี่ยคนส่วนใหญ่นะเรา
00:29:18 → 00:29:21 จะรู้สึกว่ามันเหมือนวงกลม 2 วงอ่ะที่มัน
00:29:21 → 00:29:25 จะต้องมาสอนกันซึ่งแบบนี้อยู่ไม่นานนะก็
00:29:25 → 00:29:27 คือเหมือนจักรวาล 2 จักรวาลเนี่ยมันซ้อน
00:29:27 → 00:29:30 กันแต่ในนั้นน่ะไม่มีดาวเคราะห์ที่ไม่
00:29:30 → 00:29:33 เหมือนกันนะแล้วก็มีดาวอีกหลายดวงเลยที่
00:29:33 → 00:29:36 มีจังหวะการหมุนนี้ไม่เหมือนกันด้วยเราก็
00:29:36 → 00:29:38 จะเกิดคำถามว่าโอ้เนี่ยฉันจะต้องแบบเอ้ย
00:29:38 → 00:29:42 เปลี่ยนจนไม่เป็นตัวเองและฝ่าฝืนจนอ่ะสุด
00:29:42 → 00:29:45 ท้ายฟื้นไม่ไหวละแยกกันดีกว่าอันนี้ก็คือ
00:29:45 → 00:29:49 ปัญหาที่เราเจอแต่ว่าจริงๆการที่คนสองคน
00:29:49 → 00:29:53 ที่แตกต่างกันแล้วก็มีความสัมพันธ์หรือ
00:29:53 → 00:29:55 ว่าจะอยู่ด้วยกันได้อย่างยั่งยืนเราต้อง
00:29:55 → 00:29:58 เข้าใจว่ามันคือวงกลม 2 วงที่มา Interface
00:29:58 → 00:30:01 กันนะเพราะเนี่ยเราก็ยังจะต้องมีพื้นที่
00:30:01 → 00:30:04 ที่มันเป็นตัวตนของแต่ละคนอยู่แล้วก็มัน
00:30:04 → 00:30:07 ก็จะมีพื้นที่ที่เราต้อง intercept กัน
00:30:07 → 00:30:10 หมายถึงว่าเราอาจจะต้องปรับจูนหรือปรับ
00:30:10 → 00:30:13 เปลี่ยนเพื่อให้เรายังสามารถที่จะเชื่อม
00:30:13 → 00:30:17 โยงหรือ Connect กันได้ในพื้นที่นี้จริงๆ
00:30:17 → 00:30:20 มันก็อาจจะเป็นการปรับก็ได้หรือไม่อาจจะ
00:30:20 → 00:30:24 เป็นการเปลี่ยนก็ได้แต่เมื่อไรที่เราจะ
00:30:24 → 00:30:27 เปลี่ยนขอให้รู้ว่ามันไม่ใช่ชั้นเปลี่ยน
00:30:27 → 00:30:29 เพราะเธอเมื่อไรที่เรารู้สึกว่าเรา
00:30:29 → 00:30:32 เปลี่ยนเรื่องนี้เพราะอีกคนมันจะอยู่ไม่
00:30:32 → 00:30:34 ได้แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเราจะเปลี่ยนเรื่อง
00:30:34 → 00:30:38 นี้เพราะมันทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอันนี้ไม่
00:30:38 → 00:30:40 ได้เป็นการเห็นแก่ตัวนะคะแต่คือมันคือ
00:30:40 → 00:30:43 ความยั่งยืนแล้วเราต้องเข้าใจว่าเราทุกคน
00:30:43 → 00:30:46 รักตัวเองที่สุดในขณะที่คนบางคนบอกไม่ๆๆ
00:30:46 → 00:30:50 ชั้นรักแฟนฉันมากกว่าความสุขของฉันคือ
00:30:50 → 00:30:52 ความสุขของแฟนแต่อย่าลืมว่าแฟนต้องมีความ
00:30:52 → 00:30:55 สุขฉันถึงจะมีความสุขนะมันคือการรักตัว
00:30:55 → 00:30:57 เองผ่านคนอื่นแค่นั้นเองสุดท้ายมันก็คือ
00:30:57 → 00:31:00 จริงๆแล้วมนุษย์เรารักตัวเองที่สุดอันนี้
00:31:00 → 00:31:02 คือเป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับอะไรอย่างนี้
00:31:02 → 00:31:05 แต่คือถ้าเขารักตัวเองแล้วเขาเมตตาเราได้
00:31:05 → 00:31:09 อันนี้คือความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน
00:31:09 → 00:31:12 หรือว่าอีกตัวนึงที่อันตรายเหมือนกันคือ
00:31:12 → 00:31:14 ความคาดหวังเราจะไม่ได้พูดในมุมสิ่งที่
00:31:14 → 00:31:16 เราไปคาดหวังคนอื่นแต่อันนี้หนูอยากพูดใน
00:31:16 → 00:31:19 มุมสิ่งที่เราถูกคาดหวังเราอาจจะถูกคาด
00:31:19 → 00:31:22 หวังจะคุณพ่อคุณแม่หรือคนที่เรารักเรามี
00:31:22 → 00:31:24 วิธีจัดการกับมันยังไงให้มันแบบไม่ท๊อก
00:31:24 → 00:31:27 ติดกับตัวเราเองอ่ะค่ะอันแรกอ่ะเราคงจะ
00:31:27 → 00:31:30 ต้องเอ่อช้านิดนึงแล้วลองมารับรู้ตัวเอง
00:31:30 → 00:31:33 ก่อนแล้วว่าไอ้การที่เราถูกคาดหวังจะจาก
00:31:33 → 00:31:35 คุณพ่อคุณแม่จากแฟนเลยก็แล้วแต่เนี่ยความ
00:31:35 → 00:31:38 คาดหวังเนี่ยมันทำให้เรารู้สึกยังไงบ้าง
00:31:38 → 00:31:41 นะหลายครั้งเราอาจจะรู้สึกกดดันอาจจะรู้
00:31:41 → 00:31:45 สึกไม่ชอบอะไรก็แล้วแต่คือการที่เราเห็น
00:31:45 → 00:31:50 ความรู้สึกนี้ตรงๆว่ามันก็โอเคมันก็โอเค
00:31:50 → 00:31:53 นะให้ฉันรู้สึกกดดันงั้นบางทีด้วยความกด
00:31:53 → 00:31:57 ดันหรือเอ่อความรู้สึกเครียดนั้นมันจะไม่
00:31:57 → 00:32:00 ค่อยมีอิทธิพลอะไรกับเราเท่าไหร่เวลาไอ้
00:32:00 → 00:32:02 ความรู้สึกกดดันมันจะมีอิทธิพลตอนที่เรา
00:32:02 → 00:32:05 ไม่ชอบฉันไม่ชอบเลยที่ฉันรู้สึกกดดันแบบ
00:32:05 → 00:32:08 นี้ทำไมพ่อแม่ต้องมากดดันฉันด้วยต่างกัน
00:32:08 → 00:32:11 เลยนะเพราะฉะนั้นทันทีที่เรารู้ว่าเรา
00:32:11 → 00:32:15 กำลังรู้สึกว่าโอเคเราจะเริ่มจัดการความ
00:32:15 → 00:32:17 กดดันของพ่อแม่ได้แล้วเราก็จะเห็นว่าความ
00:32:17 → 00:32:21 คาดหวังนี้มันเป็นของใครอ๋อความคาดหวัง
00:32:21 → 00:32:23 นี้มันเป็นของพ่อแม่ความคาดหวังนี้มี
00:32:23 → 00:32:26 ประโยชน์กับเราไหมบางทีความคาดหวังของเขา
00:32:26 → 00:32:29 ก็มีประโยชน์กับเรานะเอออย่างเช่นพ่อแม่
00:32:29 → 00:32:31 คาดหวังให้เรียนดีเออแล้วตอนนั้นเราก็มี
00:32:31 → 00:32:34 ความสามารถในการที่จะเรียนดีมันก็มันเป็น
00:32:34 → 00:32:36 แรงพุดใช่ไหมงั้นความคาดหวังไม่ได้แปลว่า
00:32:36 → 00:32:39 ไม่มีประโยชน์นะความคาดหวังของเขาอ่ะมัน
00:32:39 → 00:32:42 คือความกลัวว่าลูกจะไม่มีความสุขนึกออก
00:32:42 → 00:32:44 มั้ยมันห่วงว่าลูกจะไม่ปลอดภัยแค่นั้นเอง
00:32:44 → 00:32:48 เพราะฉะนั้นเนี่ยเราอ่ะก็ไม่ต้องให้ความ
00:32:48 → 00:32:51 สำคัญกับไอ้ระหว่างทางนี้หรอกงั้นเรามอง
00:32:51 → 00:32:55 ตาพ่อแม่เราเนี่ยเรารู้เขาอยากได้อะไรอ๋อ
00:32:55 → 00:32:57 เขาอยากเห็นเรามีความสุขเนาะเขาอยากเห็น
00:32:57 → 00:32:58 เรามั่นคง
00:32:58 → 00:33:02 เขาไม่อยากห่วงเราเราทำตัวเองสิคะเราเอา
00:33:02 → 00:33:05 ตัวเองให้มั่นคงสิคือเราก็มาทำเวลของเรา
00:33:05 → 00:33:08 แล้ววันนึงอ่ะพ่อแม่เขาก็จะเห็นเองว่าเขา
00:33:08 → 00:33:11 แบบเออเขาก็คงไม่ต้องเอาความคาดหวังมา
00:33:11 → 00:33:14 เป็นเครื่องมือของความห่วงเนอะตรงข้าม
00:33:14 → 00:33:16 ความสุขก็คือความทุกข์ใช่ไหมคะเราอยากรู้
00:33:16 → 00:33:20 ว่าเหมือนกับคนเราอ่ะค่ะสามารถจัดการหรือ
00:33:20 → 00:33:22 ว่าจะปล่อยวางความทุกข์ยังไงได้บ้างค่ะ
00:33:22 → 00:33:25 ความทุกข์อ่ะส่วนใหญ่มันก็จะเกิดจากการ
00:33:25 → 00:33:29 ที่เราไปยึดในสิ่งที่ไม่ควรยึดอย่างเช่น
00:33:29 → 00:33:33 อยากได้คนนี้เป็นแฟนอ่ะมันก็ยึดเรามากก็
00:33:33 → 00:33:36 อยากได้คนนี้เป็นแฟนหรือไม่อยากได้คนนี้
00:33:36 → 00:33:41 เป็นแฟนอย่างนี้เพราะการที่เรายึดแล้วเรา
00:33:41 → 00:33:44 ก็โฟกัสมันก็จะเกิดความทุกข์อ่ะจะถามว่า
00:33:44 → 00:33:48 เราจะแก้ตัวนี้ยังไงก็คือให้เรารู้ตัวว่า
00:33:48 → 00:33:52 เอ๊ะตอนนี้ใจฉันน่ะมันกำลังอยู่กับอะไร
00:33:52 → 00:33:55 แล้วอยู่กับตรงเนี้ยมันทุกข์ใช่ไหมเออลอง
00:33:55 → 00:33:59 ถอยออกมาดูหน่อยบางทีเรามีแค่ความแต่เขา
00:33:59 → 00:34:01 ไม่อยากแค่นั้นเองแล้วเราก็กำมันไว้แล้ว
00:34:01 → 00:34:03 เราก็จะเอาเป็นเอาตายกับมันแล้วสุดท้ายก็
00:34:03 → 00:34:07 คือคนเรานะจะพ้นจากสภาวะนั้นได้คือทุกข์
00:34:07 → 00:34:11 จนไม่ไหวแล้วคือกรรมไปเลือดก็ไหลไม่ไหว
00:34:11 → 00:34:14 แล้วจนมือชาแล้วก็ยอมปล่อยงั้นทุกข์จนถึง
00:34:14 → 00:34:18 ที่สุดก็ยอมคลายยอมเปลี่ยนอันที่ 2 ไม่
00:34:18 → 00:34:22 ต้องรอให้ถึงเวลาที่เลือดมันออกเจ็บปวด
00:34:22 → 00:34:26 ถึงที่สุดก็ได้เออรู้ว่ามันเกินไปว่ะมัน
00:34:26 → 00:34:30 แน่นไปว่ะใช้สติปัญญาในการก็ช่างมัน
00:34:30 → 00:34:34 บ้างอ่ะเออปล่อยมันบ้างมันก็หายทุกข์ได้
00:34:34 → 00:34:35 เหมือนกัน
00:34:35 → 00:34:40 คิดว่าในการที่เราแบบอยากจะมีความสุขมัน
00:34:40 → 00:34:43 ควรจะมีสกิลอันไหนบ้างที่สามารถ support
00:34:43 → 00:34:46 ในตรงนี้ได้บ้างเรื่องของเซลล์เนี่ยพี่
00:34:46 → 00:34:47 เอิ้นว่า
00:34:47 → 00:34:51 อันนี้เป็นประตูด่านแรกเลยในการที่เราจะ
00:34:51 → 00:34:54 ไปพูดถึงเรื่องของ Seal Discovery การ
00:34:54 → 00:34:58 ค้นพบตัวเองการแบบ Strength finder การ
00:34:58 → 00:35:02 เห็นจุดอ่อนจุดแข็งอะไรอย่างนี้ Self
00:35:02 → 00:35:05 improvement sale Development ทุก
00:35:05 → 00:35:08 อย่างต้องเริ่มต้นจากการที่เรามองเห็นตัว
00:35:08 → 00:35:10 เองตามความเป็นจริงก่อนเดี๋ยวต้องเข้าใจ
00:35:10 → 00:35:13 ว่าคือคนแบบเรามันมีคนเดียวในจักรวาล
00:35:14 → 00:35:17 นะโมเลกุลแบบเราเนี่ยมันมีคนเดียวใน
00:35:17 → 00:35:20 จักรวาลนี้การที่มันเราไม่ใช่จำเป็นว่าจะ
00:35:20 → 00:35:22 ต้องเหมือนใครเราแค่ไม่ได้ทำให้ใครเดือด
00:35:22 → 00:35:25 ร้อนไม่เบียดเบียนคนอื่นเนี่ยมันก็โอเค
00:35:25 → 00:35:29 การที่เราต้องมองเห็นตัวเองตามความเป็น
00:35:29 → 00:35:31 จริงปราศจากการเปรียบเทียบเนี่ยอันนี้
00:35:31 → 00:35:34 เป็นสิ่งที่สำคัญหลังจากที่เรารู้จักตัว
00:35:34 → 00:35:38 เองดีพอแล้วเนาะไม่เบียดเบียนตัวเองไม่
00:35:38 → 00:35:40 เบียดเบียนคนอื่นแล้วอันที่ 2 ก็คือ
00:35:40 → 00:35:43 เรื่องของ empati และ Embassy คือการที่
00:35:43 → 00:35:46 เรามองเห็นคนอื่นด้วยเห็นจักรวาลที่ต่าง
00:35:46 → 00:35:50 จากเราและเคารพกันและกันนะคะไม่พยายามที่
00:35:51 → 00:35:54 จะให้เขามาอยู่ในวงโคจรเราหรือเอาตัวเอง
00:35:54 → 00:35:56 ไปยัดเยียดในวงโคจรเขาอันที่ 3 ก็คือเรา
00:35:56 → 00:35:59 มีวิธีการสร้างทางเชื่อมของจักรวาล
00:35:59 → 00:36:02 ระหว่างเรากับคนอื่นนั่นก็คือการรู้จัก
00:36:02 → 00:36:05 ฟังแล้วก็การสื่อสารอย่างสร้างสรรค์งั้น
00:36:05 → 00:36:07 ฟังอย่างเดียวไม่สื่อสารเลยใครจะไปรู้ล่ะ
00:36:07 → 00:36:10 ถูกไหมฉันเข้าใจฉันเข้าใจถ้าต้องการอะไร
00:36:10 → 00:36:14 แต่ไม่สื่อสารอะไรเลยนะคะคนก็อาจจะไม่รู้
00:36:14 → 00:36:16 คิดว่า 4 เสาหลักนี้คือ 4 เสาหลักที่
00:36:16 → 00:36:17 สำคัญ
00:36:17 → 00:36:21 ได้เจอคนมาเยอะมากเลยไม่ว่าจะผ่านทางวง
00:36:21 → 00:36:24 การบันเทิงหรือว่าการทำการแพร่แบบนี้ค่ะ
00:36:24 → 00:36:26 ทางจิตแพทย์ก็เลยอยากรู้ว่าเคยมีครั้งไหน
00:36:26 → 00:36:28 หรือว่าเคยมีประสบการณ์ใหม่ไหมที่อยากจะ
00:36:28 → 00:36:32 เปลี่ยนใครบางคนไปเลยนะคะไม่มีเลยอันนี้
00:36:32 → 00:36:36 อาทิตย์ต่อด้วยความสับจิกนะไม่มีเลยแล้ว
00:36:36 → 00:36:39 ในขณะเดียวกันเนี่ยพี่เองก็รู้สึกว่าไม่
00:36:39 → 00:36:41 ได้อยากไม่ได้ต้องการให้ใครมาเปลี่ยนเรา
00:36:42 → 00:36:45 ด้วยพี่คิดว่าความปรารถนาสูงสุดของมนุษย์
00:36:45 → 00:36:47 เราทุกคนคืออิสรภาพดังนั้นในเมื่อเราเอง
00:36:47 → 00:36:50 ก็อยากมีอิสรภาพเราจะไปฤทธิ์ร้อนอิสรภาพ
00:36:50 → 00:36:54 ของคนอื่นทำไมแล้วก็อย่าลืมกลับมากดข้อ
00:36:54 → 00:36:56 หนึ่งแล้วรับกรรมแทนกันไม่ได้ความทุกข์
00:36:56 → 00:37:00 บางทีเขาถูกกำหนดมาแต่ว่าถึงเวลาเขาก็จะ
00:37:00 → 00:37:03 เกิดปัญญาด้วยตัวเขานะไม่ต้องเอาเครดิต
00:37:03 → 00:37:08 เข้าเราคือเรามีหน้าที่ในฐานะของนักบำบัด
00:37:08 → 00:37:12 ในฐานะของเงินทองในฐานะของที่ปรึกษาที่นำ
00:37:12 → 00:37:15 หน้าที่อำนวยความสะดวกเขาแค่นั้นเอง
00:37:15 → 00:37:20 คิดว่าการที่เราจะไปแนะนำหรือว่าไปเป็นทอ
00:37:20 → 00:37:23 แบบนี้ค่ะทำไมเราควรจะพัฒนาหรือว่าเราตัว
00:37:23 → 00:37:25 เองก่อนที่เราจะไปรอคนอื่น
00:37:25 → 00:37:29 พี่เชื่อในเรื่องของประสบการณ์สมมติว่า
00:37:29 → 00:37:34 เราจะไปช่วยให้คนคนนึงเนี่ยเขารู้ว่าความ
00:37:34 → 00:37:35 สุขเป็นยังไง
00:37:35 → 00:37:38 จากพี่เอิ้นไม่รู้ว่าความรู้สึกคืออะไร
00:37:39 → 00:37:43 พาเขาไปไหนดี
00:37:43 → 00:37:46 ใช่ไหมก็เหมือนกระจายนะมันก็มันก็สอนได้
00:37:46 → 00:37:49 แต่ว่าเออคิดว่าความสุขเป็นอย่างนี้แล้ว
00:37:49 → 00:37:52 ก็สอนว่าเออฉันคิดว่าความสุขเป็นอย่าง
00:37:52 → 00:37:54 เงี้ยมันก็ออกมาเป็น rector Content ใช่
00:37:54 → 00:37:58 ไหมแต่คิดว่ามีความสุขกับการที่เราได้
00:37:58 → 00:38:01 สัมผัสความสุขมันคนละเรื่องกันนะ
00:38:01 → 00:38:05 งั้นเวลาเราจะไปดูแลใครเราจะพาเขาไปถึง
00:38:05 → 00:38:08 ระดับไหนถึงระดับที่เออเธอเข้าใจไหมว่า
00:38:08 → 00:38:10 คิดว่ามีความสุขมันเป็นยังไงกับพาเขาไป
00:38:10 → 00:38:13 ถึงระดับที่แบบเดี๋ยวสัมผัสได้ไหมว่าตอน
00:38:13 → 00:38:14 นี้คุณมีความสุข
00:38:14 → 00:38:16 ต่างกัน
00:38:16 → 00:38:20 มันก็เลยต้องเริ่มต้นที่ตัวเรา
00:38:20 → 00:38:23 เพราะ 1 บทเพลงค่ะเกี่ยวกับการให้กำลังใจ
00:38:23 → 00:38:25 ตัวเองค่ะสำหรับคนที่กำลังเหมือนกับอยาก
00:38:25 → 00:38:27 เปลี่ยนแปลงตัวเองหรือว่าอยากพัฒนาตัวเอง
00:38:27 → 00:38:30 ถ้างั้นพี่เอิ้นขอเลือกเพลงที่ตัวเองแต่ง
00:38:30 → 00:38:34 นะแล้วก็รู้สึกชอบมากที่สุดเพลงหนึ่งนะคะ
00:38:34 → 00:38:36 ก็คือเพลงจดหมายจากความงาม
00:38:36 → 00:38:40 [เพลง]
00:38:40 → 00:38:45 เธอจะรู้ว่าต่อให้เหงามากมายสักเท่าไรก็
00:38:45 → 00:38:51 ไม่ทำร้ายใครให้ต้องถึงตายสบายใจได้เสมอ
00:38:51 → 00:38:57 อดทนเอาไว้ในเวลาที่เหงา
00:38:57 → 00:39:01 กลับมามองตัวเราและชีวิตจริง
00:39:01 → 00:39:08 [เพลง]
00:39:08 → 00:39:12 ๆเก่าที่แสนดี
00:39:12 → 00:39:16 ทำไมถึงเลือกเพลงนี้ถามว่าความเหงาอยู่ใน
00:39:16 → 00:39:20 เราทุกคนนะมีใครบ้างชอบความเหงาไม่ค่อยมี
00:39:20 → 00:39:23 มาหาพี่เอิ้นเนี่ยเพราะว่าไม่อยากเหงาแต่
00:39:23 → 00:39:25 ว่าอันนี้ก็คือเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เรา
00:39:25 → 00:39:29 รู้ว่าทุกอย่างบนโลกมี 2 ด้านเสมอนะแม้
00:39:29 → 00:39:31 กระทั่งความเหงาที่เราไม่ชอบเนี่ยจริงๆ
00:39:31 → 00:39:34 ถ้ามองมันตามความเป็นจริงมันก็มีข้อดี
00:39:34 → 00:39:37 เหมือนกันงั้นทุกอย่างบนโลกนี้ที่เราคิด
00:39:37 → 00:39:39 ว่ามันทำให้เรามีความทุกข์เพราะเราไม่ชอบ
00:39:39 → 00:39:42 เพราะเราไม่อยากมีเพราะเราไม่อยากเป็น
00:39:42 → 00:39:45 เพราะเราอยากมีอันนี้เพราะเราอยากได้อัน
00:39:45 → 00:39:47 นั้นเนี่ยไอ้ทั้งสิ่งที่เราอยากและไม่
00:39:47 → 00:39:50 อยากมันเป็นเหรียญสองด้านเสมอคิดลบก็มี
00:39:50 → 00:39:54 ข้อดีนะความเศร้าก็มีข้อดีนะความกังวลก็
00:39:54 → 00:39:57 มีข้อดีนะความเหงาก็มีข้อดีนะแล้วทำไม
00:39:57 → 00:39:59 ต้องเพลงโทษมันด้วยล่ะคิดว่าถ้าเรามองได้
00:40:00 → 00:40:03 แบบนี้ชีวิตจะเบาขึ้นมากทำไมเราไม่เกลา
00:40:03 → 00:40:11 ตัวเองก่อนที่เราจะไปเกลาคนอื่น
00:40:11 → 00:40:14 ก็ควรดูคลิปนี้จบแล้วอย่าลืมกดไลค์กดแชร์
00:40:14 → 00:40:17 และกด Subscribe เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีม
00:40:17 → 00:40:19 งานผลิต Content ดีๆและถ้าคุณอยากให้เรา
00:40:19 → 00:40:21 ไปสัมภาษณ์ใครสามารถคอมเมนต์เข้ามาใต้
00:40:21 → 00:40:24 คลิปนี้ได้เลยนะคะ