00:00:00 → 00:00:02 สวัสดีครับเดี๋ยววันนี้เราจะมาพูดถึง
00:00:02 → 00:00:05 เรื่องของเกลือกันนะครับว่าเราควรจะกิน
00:00:05 → 00:00:07 แค่ไหนกันแน่นะครับแล้วที่สำคัญคือ
00:00:07 → 00:00:11 ปัจจุบันนี้หลายๆคนคงทราบว่าการกินเค็ม
00:00:11 → 00:00:14 มันก็ทำให้เกิดโรคต่างๆขึ้นตามมามากมาย
00:00:14 → 00:00:16 ไม่ว่าจะเป็นโรคไตโรคหัวใจโรคความดันสูง
00:00:16 → 00:00:19 หรืออะไรพวกนี้นะครับแต่พอตอนหลังๆก็ชัก
00:00:19 → 00:00:21 จะมีข้อสงสัยนะครับเกี่ยวข้องกับเรื่อง
00:00:21 → 00:00:24 ของการทานเกลือเอ๊ะเราต้องทานน้อยหรือทาน
00:00:24 → 00:00:27 มากแค่ไหนบางคนบอกว่าเป็นเป็นกูรูนะครับ
00:00:27 → 00:00:30 บอกว่าต้องทานเยอะๆนะครับทาน 6 กรัมอะไร
00:00:30 → 00:00:34 อย่างนี้ต่อวันซึ่งมันก็มีที่มาที่ไปหลาย
00:00:34 → 00:00:36 ๆอย่างนะครับวันนี้ผมก็จะมาเล่าถึงเหตุผล
00:00:36 → 00:00:39 ของการทานเกลือนะครับว่าเราควรจะทานแค่
00:00:39 → 00:00:42 ไหนถ้ามันมากไปมันจะเกิดอะไรขึ้นแล้วถ้า
00:00:42 → 00:00:45 มันน้อยไปมันจะเกิดอะไรขึ้นนะครับรวมทั้ง
00:00:45 → 00:00:47 ผลเลือดของเราถ้าเราตรวจออกมาแล้วเจอว่า
00:00:47 → 00:00:49 มีเกลือแร่ในร่างกายมันต่ำไปเนี่ยนะครับ
00:00:49 → 00:00:52 มันจำเป็นจะต้องกินเกลือแร่เข้าไปเสริม
00:00:52 → 00:00:54 จริงหรือเปล่านะครับก็เดี๋ยวเราลองฟังกัน
00:00:54 → 00:00:57 ดูนะครับพบกับผมนะครับนายแพทย์ธานีๆวันนะ
00:00:57 → 00:00:59 ครับเป็นอาจารย์แพร่อยู่ที่ประเทศสหรัฐ
00:00:59 → 00:01:01 อเมริกานะครับนะครับเชี่ยวชาญโรคปอดการ
00:01:01 → 00:01:04 ปลูกถ่ายปอดและวิกฤตบำบัดนะครับก่อนอื่น
00:01:04 → 00:01:07 เลยนะครับในแง่ของการกินเกลือที่อเมริกา
00:01:07 → 00:01:11 ก็มีคำแนะนำออกมาหลากหลายองค์กรนะครับแต่
00:01:11 → 00:01:15 ว่าล่าสุดที่ออกมาแนะนำก็คือทาง
00:01:15 → 00:01:17 ทางของอเมริกานี้จะแนะนำว่าไม่ให้กิน
00:01:18 → 00:01:19 โซเดียมเกิน
00:01:19 → 00:01:23 2.3 กรัมต่อวันหรือ 2,300 มิลลิกรัมต่อ
00:01:23 → 00:01:27 วันนะครับซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณเกลือที่
00:01:27 → 00:01:30 เป็นเกลือผงเนี่ยนะครับไม่เกิน 1 ช้อนชา
00:01:30 → 00:01:33 ต่อวันนะครับซึ่งแล้วถ้าเราไปสำรวจเอา
00:01:33 → 00:01:37 จริงๆแล้วเนี่ยคนที่อเมริกาเขากินเกลือ
00:01:37 → 00:01:40 เกินที่แนะนำซะส่วนใหญ่เลยนะครับ 90 กว่า
00:01:40 → 00:01:42 เปอร์เซ็นต์ของ contin กินเกลือเยอะเกิน
00:01:42 → 00:01:46 นะครับอ่านี่ก็คือเป็นอันนึงที่เขาออกมา
00:01:46 → 00:01:49 แล้วปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับทำไมเขาถึงแนะ
00:01:49 → 00:01:50 นำที่
00:01:50 → 00:01:55 2,300 มิลลิกรัมต่อวันในเมื่อคนส่วนใหญ่
00:01:55 → 00:01:57 ของอเมริกาเนี่ยกินเกิน 90 กว่า
00:01:57 → 00:01:58 เปอร์เซ็นต์ของอเมริกาเนี่ยกินเกินนั้น
00:01:58 → 00:02:02 ซึ่งโดยไปถ้าไปสำรวจของผู้ชายนะครับผู้
00:02:02 → 00:02:04 ชายที่อเมริกาก็จะกินประมาณสัก 4,000
00:02:04 → 00:02:07 กว่ามิลลิกรัมต่อวันแล้วถ้าเป็นผู้หญิงก็
00:02:07 → 00:02:10 ประมาณสัก 3,200 3,300 มิลลิกรัมต่อวัน
00:02:10 → 00:02:14 ซึ่งมันก็เกิน 2,300 mg ซึ่งแนะนำไปเยอะ
00:02:14 → 00:02:16 เลยนะครับ
00:02:16 → 00:02:19 ที่เขาแนะนำแบบนั้นเนี่ยนะครับเพราะว่า
00:02:19 → 00:02:22 โซเดียมเนี่ยมันจริงๆต้องอธิบายคำนี้ก่อน
00:02:22 → 00:02:25 นะครับเกลือธรรมดากับโซเดียมมันไม่ใช่ของ
00:02:25 → 00:02:28 เหมือนกันนะครับโซเดียมกับเกลือไม่ใช่
00:02:28 → 00:02:30 อย่างเดียวกันเพียงแต่ว่าเดี๋ยวนี้เราจะ
00:02:30 → 00:02:33 ใช้คำนี้ทดแทนกันไปกันมาได้นะครับเกลือ
00:02:33 → 00:02:36 ของเรามันคือโซเดียมคลอไรด์นะครับเป็น
00:02:36 → 00:02:39 โซเดียมผสมคลอไรด์นะครับแต่ว่าตัวโซเดียม
00:02:39 → 00:02:41 จริงๆเนี่ยเป็นตัวที่มันมีปัญหาซะมากกว่า
00:02:41 → 00:02:44 นะครับแล้วมันก็จะมาจากรูปแบบหลายๆรูปแบบ
00:02:44 → 00:02:46 นะครับโซเดียมคลอไรด์หรือเกลือเนี่ยก็
00:02:46 → 00:02:48 เป็นหนึ่งในนั้นนะครับแต่ว่ามันยังมาใน
00:02:48 → 00:02:51 รูปแบบอื่นยกตัวอย่างเช่นผงชูรสนะครับ
00:02:51 → 00:02:54 โมเดลโซเดียมกลูตาเมตก็คือมีโซเดียมอยู่
00:02:54 → 00:02:57 ในนั้นนะครับอ่าหรือพวกโซดาไฟต่างๆนะครับ
00:02:57 → 00:03:00 เบกกิ้งโซดาพวกนี้ก็จะมีโซเดียมอยู่ใน
00:03:00 → 00:03:02 นั้นกรณีนี้ก็จะนับเป็นตัวปัญหาด้วยนะ
00:03:02 → 00:03:05 ครับเพราะว่าโซเดียมเนี่ยมันเข้าไปในร่าง
00:03:05 → 00:03:08 กายมันก็จะมีปัญหาอย่างอื่นถ้าเราได้มาก
00:03:08 → 00:03:10 จนเกินไปนะครับเราต้องมาเข้าใจก่อนนะครับ
00:03:10 → 00:03:13 ว่าโซเดียมเนี่ยมันอยู่ในร่างกายมันทำ
00:03:13 → 00:03:16 อะไรบ้างนะครับคือเซลล์ของเราทุกๆเซลล์
00:03:16 → 00:03:19 เนี่ยมันจะมีตัวหนึ่งนะครับซึ่งเป็นช่อง
00:03:19 → 00:03:23 ให้โซเดียมเข้าออกนะครับซึ่งก็มีหลากหลาย
00:03:23 → 00:03:25 ช่องทางนะครับโซเดียมตัวนี้จะเป็นตัวที่
00:03:25 → 00:03:30 นำกระแสไฟฟ้าของเซลล์นะครับการที่เซลล์มี
00:03:30 → 00:03:32 การเปลี่ยนแปลงการนำกระแสไฟฟ้าเข้าออกพวก
00:03:32 → 00:03:35 นี้ก็จะมีผลต่อหน้าที่การทำงานของเซลล์นะ
00:03:35 → 00:03:37 ครับดังนั้นโซเดียมจึงมีความสำคัญในแง่
00:03:37 → 00:03:40 ของเรื่องพวกนี้นะครับแต่ปัญหาอยู่ที่ว่า
00:03:40 → 00:03:43 ถ้าเรามีโซเดียมมากเกินเกินไปมันก็จะเกิด
00:03:43 → 00:03:47 ปัญหาต่างๆตามมาปัญหาอะไรนะครับโซเดียม
00:03:48 → 00:03:50 เนี่ยจะเป็นตัวที่ดูดน้ำเข้าไว้ในร่างกาย
00:03:50 → 00:03:53 ของเรานะครับเวลาที่เราดูดน้ำเข้ามาใน
00:03:53 → 00:03:55 ร่างกายของเรามากๆสิ่งที่เกิดตามมาก็คือ
00:03:55 → 00:03:58 เรามีปริมาณน้ำในร่างกายเพิ่มขึ้นนะครับ
00:03:58 → 00:04:01 แล้วที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือความดัน
00:04:01 → 00:04:04 โลหิตของเรามันก็จะสูงขึ้นนะครับความดัน
00:04:04 → 00:04:07 โลหิตของเราเนี่ยเวลาที่มันเริ่มสูงใหม่ๆ
00:04:07 → 00:04:09 เนี่ยมันไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับแต่มันสูง
00:04:09 → 00:04:11 ไปนานๆแล้วเนี่ยก็จะเกิดปัญหาเพราะว่า
00:04:11 → 00:04:13 ร่างกายของเราไปจะพยายามปรับตัวนะครับถ้า
00:04:13 → 00:04:16 เรามีความดันเลือดที่สูงขึ้นนะครับมี
00:04:16 → 00:04:18 ปริมาณน้ำเลือดที่เยอะขึ้นหัวใจเราจะต้อง
00:04:18 → 00:04:21 มีการทำงานหนักเพิ่มขึ้นเพราะมันจะต้อง
00:04:21 → 00:04:23 บีบปริมาณเลือดที่มีเยอะขึ้นเนื่องจากน้ำ
00:04:23 → 00:04:26 ในร่างกายมันเยอะขึ้นนะครับก็หัวใจก็จะทำ
00:04:26 → 00:04:30 งานหนักนะครับแล้วอวัยวะต่างๆของเราเนี่ย
00:04:30 → 00:04:33 นะฮะมันต้องการความดันที่พอเหมาะความดัน
00:04:33 → 00:04:36 ที่สูงเกินก็ไม่ชอบนะครับเหมือนถ้าเรามี
00:04:36 → 00:04:40 อะไรมาดันที่อวัยวะหนึ่งแรงๆนะครับอวัยวะ
00:04:40 → 00:04:43 นั้นมันก็เสียได้นะครับดังนั้นตัวอวัยวะ
00:04:43 → 00:04:46 เองจึงต้องมีการควบคุมแรงดันเลือดที่เข้า
00:04:46 → 00:04:49 มาเลี้ยงมันนะครับควบคุมยังไงถ้ามันสูง
00:04:49 → 00:04:51 เกินไปสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือหลอดเลือดที่
00:04:51 → 00:04:54 มาเลี้ยงมันจะหดตัวลงนะครับพอตัวลงเพื่อ
00:04:54 → 00:04:57 ที่จะลดแรงดันเลือดที่เข้าไปสู่อวัยวะ
00:04:57 → 00:05:00 นั้นนะครับปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับถ้ามัน
00:05:00 → 00:05:03 หดตัวนานๆนานเข้านานเข้ามันจะคลายไม่ออก
00:05:03 → 00:05:06 แล้วครับแล้วมันก็จะกลายไปเป็นเลือดเนี่ย
00:05:06 → 00:05:09 เข้าไปเลี้ยงได้ไม่เพียงพอแล้วอวัยวะนั้น
00:05:09 → 00:05:12 ก็มักจะเสียนะครับอวัยวะที่เราพูดถึงกัน
00:05:12 → 00:05:15 บ่อยๆในที่นี้ก็คือไตครับถ้าความดันโลหิต
00:05:15 → 00:05:18 สูงมากๆนะครับเส้นเลือดที่ไตมันจะพยายาม
00:05:18 → 00:05:22 ทุกวิถีทางเพื่อที่จะไม่ให้แรงดันเลือดไป
00:05:22 → 00:05:24 สู่ไตเยอะมากจนเกินไปไม่งั้นตายมันจะรับ
00:05:24 → 00:05:27 ไม่ไหวมันก็เสียนะครับแล้วถ้าทำอย่างนี้
00:05:27 → 00:05:29 ไปนานๆไตมันก็เสียเพราะว่ามันได้เลือดไม่
00:05:29 → 00:05:32 เพียงพอนะครับอันนั้นคืออวัยวะหนึ่งนะ
00:05:32 → 00:05:35 แล้วที่สำคัญคือคนเราเนี่ยอายุมากขึ้น
00:05:35 → 00:05:37 ความดันโลหิตมันจะสูงขึ้นตามอายุอยู่แล้ว
00:05:37 → 00:05:39 นะครับดังนั้นที่เรายิ่งกินเกลือเข้าไป
00:05:39 → 00:05:44 เรื่อยๆเนี่ยมีปัญหาแน่นอนนะครับอ่าทีนี้
00:05:44 → 00:05:46 ร่างกายของคนเรามันไม่ได้โง่นะครับมัน
00:05:46 → 00:05:49 ฉลาดมากนะครับเวลาที่เรากินเกลือน้อยมากๆ
00:05:49 → 00:05:52 นะครับเช่นอ่าบางชนเผ่าของอเมริกาบางบาง
00:05:52 → 00:05:54 เผ่าเนี่ยไม่ได้กินเกลืออะไรเลยกินน้อย
00:05:54 → 00:05:57 มากนะครับวันนึงก็อาจจะประมาณ 3-400
00:05:57 → 00:06:00 มิลลิกรัมต่อวันซึ่งน้อยมากนะครับเมื่อ
00:06:00 → 00:06:03 เทียบกับที่ยกตัวอย่างญี่ปุ่นอย่างนี้ทาง
00:06:03 → 00:06:06 ญี่ปุ่นตอนเหนือบางทีเขากินของเค็มเยอะ
00:06:06 → 00:06:09 กินพวกปลาดิบพวกอย่างมาจากทะเลโซเดียมที่
00:06:09 → 00:06:13 เขากินเนี่ยโน่นหมื่นมิลลิกรัมหมื่นกว่า
00:06:13 → 00:06:15 มิลลิกรัมนะครับแล้วร่างกายนะครับมันก็
00:06:15 → 00:06:18 สามารถปรับตัวให้ขับโซเดียมออกมาขับส่วน
00:06:18 → 00:06:20 ที่ส่วนเกินได้ส่วนคนที่กินไม่พอมันก็จะ
00:06:20 → 00:06:23 ดูดโซเดียมเข้าไว้ในร่างกายได้นะครับแต่
00:06:23 → 00:06:26 มันไม่จำเป็นเช่นนั้นตลอดเวลานะครับเรา
00:06:27 → 00:06:30 ต้องทราบก่อนว่าคนเรามีวิวัฒนาการที่แตก
00:06:30 → 00:06:32 ต่างกันนะครับก็แล้วแต่ว่าพื้นที่ที่เรา
00:06:32 → 00:06:35 อยู่เนี่ยมันอยู่บริเวณไหนนะครับถ้าคน
00:06:35 → 00:06:36 ญี่ปุ่นที่เขาอยู่บริเวณนั้นทำอย่างนั้น
00:06:36 → 00:06:39 มานานๆแล้วเนี่ยคือร่างกายของเขาก็จะมี
00:06:39 → 00:06:42 วิวัฒนาการปรับตัวให้สามารถที่จะขับ
00:06:42 → 00:06:44 โซเดียมส่วนเกินออกไปได้นะครับแล้วกรณี
00:06:44 → 00:06:47 แบบนั้นก็คือมันไม่ใช่เกิดขึ้นใน 1 ชั่ว
00:06:47 → 00:06:50 อายุขัยครับมันเกิดขึ้นในช่วงหลายๆ
00:06:50 → 00:06:52 อายุขัยนะฮะไม่ใช่ท่านบอกว่าโอ้ร่างกาย
00:06:52 → 00:06:55 ปรับตัวได้นี่อย่างงั้นเราไปกินเค็มกินไป
00:06:55 → 00:06:57 นานๆเดี๋ยวร่างกายมันก็เลือกเอาโซเดียม
00:06:57 → 00:06:59 ของที่ต้องการเก็บไว้เองส่วนที่เหลือมัน
00:07:00 → 00:07:02 ก็ปล่อยทิ้งมันไม่ใช่แบบนั้นนะครับความ
00:07:02 → 00:07:04 ที่มันเปลี่ยนแปลงเนี่ยมันเกิดขึ้นจาก
00:07:04 → 00:07:08 รุ่นปู่รุ่นทวดอย่างนี้ค่อยๆส่งต่อลงมา
00:07:08 → 00:07:09 แล้วมันจะเกิดขึ้นช้ามากมันไม่ใช่เกิด
00:07:09 → 00:07:12 ขึ้นในช่วงเรานะครับดังนั้นถ้าผมไปกิน
00:07:12 → 00:07:16 เค็มเรื่อยๆผมก็จะเกิดปัญหาขึ้นมาครับแต่
00:07:16 → 00:07:19 ถ้ากินเค็มเราก็ส่งต่อไปเรื่อยๆเนี่ยมัน
00:07:19 → 00:07:22 อาจจะมีการวิวัฒนาการของอวัยวะที่ไตเนี่ย
00:07:22 → 00:07:24 ทำให้เราสามารถขับโซเดียมสุดเกินออกไปได้
00:07:24 → 00:07:27 นะครับดังนั้นเราก็ไม่แนะนำให้ไปกิน
00:07:27 → 00:07:30 โซเดียมพวกนี้นะครับอ่าแล้วท่านซึ่งมี
00:07:30 → 00:07:32 ปัญหาทางสุขภาพเรียบร้อยแล้วยกตัวอย่าง
00:07:32 → 00:07:36 เช่นคนที่มีน้ำท่วมปอดจากโรคหัวใจจากโรค
00:07:36 → 00:07:39 ไตหรือจากโรคตับที่มันวายไปแล้วหรือตับ
00:07:39 → 00:07:41 แข็งเนี่ยนะครับกินเกลือเข้าไปเนี่ยมี
00:07:41 → 00:07:43 ปัญหาแน่นอนนะครับเพราะว่าจะยิ่งมีปริมาณ
00:07:43 → 00:07:46 น้ำในร่างกายเพิ่มขึ้นนะครับถ้าเรามีโรค
00:07:46 → 00:07:49 พวกนี้นะครับน้ำก็จะยิ่งท่วมร่างกายของ
00:07:49 → 00:07:53 เราก็จะยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิมนะครับอ่านี่
00:07:54 → 00:07:56 คือเป็นสาเหตุหนึ่งนี่ยังไม่รวมสาเหตุ
00:07:56 → 00:07:58 อื่นๆเช่นท่านที่เป็นเบาหวานนะครับเป็น
00:07:58 → 00:08:00 ความดันโลหิตสูงจากเหตุผลอื่นๆเป็นโรคหัว
00:08:00 → 00:08:02 ใจอยู่แล้วนะครับหรือมีโรคไตจากเหตุผล
00:08:03 → 00:08:05 อื่นๆนะครับถ้าท่านกินเกลือพวกนี้เข้าไป
00:08:05 → 00:08:08 เยอะๆก็ยิ่งทำให้เกิดปัญหาพวกนั้นมากกว่า
00:08:09 → 00:08:11 เดิมอีกนะครับนั่นจึงเป็นที่มาของการที่
00:08:11 → 00:08:14 บอกว่าโซเดียมมากจนเกินไปมันไม่ดียังไงนะ
00:08:14 → 00:08:17 ครับทีนี้คำถามต่อมาก็คือเรารู้แล้วว่าคน
00:08:17 → 00:08:22 ส่วนใหญ่กินโซเดียมเกินแล้วถ้าเราจะทำให้
00:08:22 → 00:08:25 มันเหมาะสมแล้วจะทำยังไงนะครับต้องบอก
00:08:25 → 00:08:28 อย่างนี้ครับอาหารของเราเนี่ยนะครับส่วน
00:08:28 → 00:08:31 ใหญ่ถ้าเราซื้อเองทำเองเอามาทำแล้วไม่
00:08:31 → 00:08:34 ปรุงมันมีโซเดียมเพียงพออยู่แล้วเพียงพอ
00:08:34 → 00:08:36 อยู่แล้วถ้าไม่ต้องไปเติมอะไรเข้าไปมันก็
00:08:36 → 00:08:38 เพียงพอนะครับเพราะว่าบางคนบอกว่าเออ
00:08:38 → 00:08:41 โซเดียมมันมีความสำคัญต่ออวัยวะต่างๆของ
00:08:41 → 00:08:44 ร่างกายนะถ้าเรากินน้อยไปมันน่าจะไม่ดี
00:08:44 → 00:08:47 ถ้าเรากินมากไปมันไม่ดีอยู่แล้วนะครับเรา
00:08:47 → 00:08:50 จะรู้ได้ยังไงว่าเรากินเพียงพอง่ายๆถ้า
00:08:50 → 00:08:52 ท่านซื้ออาหารทุกอย่างมาทำเองที่บ้านโดย
00:08:52 → 00:08:55 ไม่ปรุงอะไรมากนะครับท่านใดโซเดียมเพียง
00:08:55 → 00:08:58 พออยู่แล้วนะครับอ่าไม่มีทางเกิดแน่นอนนะ
00:08:58 → 00:08:59 ครับ
00:08:59 → 00:09:03 ตอนนี้คนเรามันออกไปกินข้าวข้างนอกค่อน
00:09:03 → 00:09:05 ข้างบ่อยซื้อของที่สำเร็จรูปมากินค่อน
00:09:05 → 00:09:08 ข้างบ่อยนะครับแล้วท่านอาจจะสังเกตบ้าง
00:09:08 → 00:09:10 ว่าที่ฉลาดของอาหารที่ท่านไปซื้อเนี่ยเขา
00:09:10 → 00:09:14 จะเขียนปริมาณโซเดียมไว้นะครับไม่ใช่
00:09:14 → 00:09:16 ปริมาณเกลือนะครับปริมาณโซเดียมนะครับ
00:09:16 → 00:09:18 โซเดียมคือสิ่งที่เรากำลังสนใจอยู่ในขณะ
00:09:18 → 00:09:21 นี้นะครับเพราะฉะนั้นท่านอาจจะเห็นบางอัน
00:09:21 → 00:09:24 บอกว่า low Sodium นะครับหรือ Reduce
00:09:24 → 00:09:26 หรืออะไรพวกนี้นะครับแต่ว่าท่านจะต้อง
00:09:26 → 00:09:29 พยายามดูว่ามันมีอยู่เท่าไหร่กันแน่นะ
00:09:29 → 00:09:32 ครับเพราะว่าถ้าเราบอกว่าเกลือส่วนใหญ่
00:09:32 → 00:09:34 เราได้มาจากไหนนะครับโซเดียมส่วนใหญ่เรา
00:09:34 → 00:09:37 ได้มาจากไหนนะครับได้มาจากการกินอาหารนอก
00:09:37 → 00:09:39 บ้านซะส่วนใหญ่ครับนะเราไปกินอาหารนอก
00:09:39 → 00:09:41 ร้านได้เกลือเยอะเกินแน่นอนนะครับได้
00:09:41 → 00:09:43 โซเดียมเยอะเกินแน่นอนเกลือเนี่ยมันก็มี
00:09:43 → 00:09:47 โซเดียมนะครับหรือถ้าเป็นอาหารที่อ่ามัน
00:09:47 → 00:09:50 มีการหมักดองนะครับหรืออาหารที่ถนอมอาหาร
00:09:50 → 00:09:53 นะครับพวกนี้ก็จะมีปริมาณโซเดียมที่เยอะ
00:09:53 → 00:09:55 กว่าปกตินะครับปลากระป๋องอะไรอย่างนี้
00:09:55 → 00:09:58 เป็นต้นนะครับจะมีเยอะแยะไปหมดอ้าวถ้า
00:09:58 → 00:10:02 อย่างนี้แล้วเราจะกินข้าวกันยังไงดีเรามี
00:10:02 → 00:10:04 วิธีอะไรไหมที่เราจะลดไม่ให้โซเดียมของ
00:10:04 → 00:10:06 เรามันเยอะเกินไปนะครับ
00:10:06 → 00:10:10 ถ้าให้ดีนะครับคือข้อแรกบางคนติดเค็มนะ
00:10:10 → 00:10:14 ครับถ้าไม่เค็มจะรู้สึกว่าไม่ได้แต่ถ้า
00:10:14 → 00:10:16 เราค่อยๆลดปริมาณเค็มลงเนี่ยมันจะช่วยได้
00:10:16 → 00:10:19 นะครับลิ้นของเราเนี่ยมันจะชินนะครับชิน
00:10:19 → 00:10:21 ต่อการลดทีละนิดทีละรสมันก็จะสามารถที่จะ
00:10:21 → 00:10:24 เปลี่ยนแปลงวิธีในการกินของเราได้นะครับ
00:10:24 → 00:10:27 อันนี้คือกรณีที่ 1 อันที่ 2 แนะนำว่าถ้า
00:10:27 → 00:10:30 ท่านสามารถทำอาหารทานเองได้ทำเท่าที่ท่าน
00:10:30 → 00:10:33 จะทานเองได้นะครับแน่นอนว่าคนเราก็ต้อง
00:10:33 → 00:10:35 ออกไปทานข้าวข้างนอกบ้างนะครับอันนี้ไม่
00:10:35 → 00:10:37 ได้ห้ามนะครับไม่ได้ห้ามออกไปกินซะที
00:10:37 → 00:10:40 เดียวนะครับคือทำเองที่บ้านก็ซื้อพวกผัก
00:10:40 → 00:10:43 ผลไม้เนื้อนะครับหรืออะไรพวกเนี้ยเอามาทำ
00:10:43 → 00:10:45 เองที่บ้านแล้วพยายามอย่าใส่เครื่องปรุง
00:10:45 → 00:10:47 เยอะเพราะว่าเครื่องปรุงพวกนี้แหละครับมี
00:10:47 → 00:10:50 โซเดียมเยอะถ้าลองไปดูที่ฉลาดของเครื่อง
00:10:50 → 00:10:52 ปรุงก็ได้ว่ามีโซเดียมอยู่เท่าไหร่นะครับ
00:10:52 → 00:10:56 โซเดียมต่ำก็คือส่วนใหญ่แล้วจะต่ำกว่า 140
00:10:56 → 00:10:59 มิลลิกรัมต่อสิ่งที่เราใช้เข้าไปนะครับ
00:10:59 → 00:11:01 บางครั้งเราซื้ออาหารบางอย่างที่เป็น
00:11:01 → 00:11:04 อาหารสำเร็จรูปแล้วจะมาทำกินเองที่บ้านนะ
00:11:04 → 00:11:07 ครับมันอาจจะเขียนว่าโอเคโซเดียมต่ำ 140
00:11:07 → 00:11:11 mg แต่ท่านต้องดูให้ดีนะครับในกล่องนั้น
00:11:11 → 00:11:15 น่ะมันกินได้กี่ครั้งถูกไหมครับสมมุตินะ
00:11:15 → 00:11:19 ครับเขาอาจจะเขียนว่าต่อ 1 serving คือ 1
00:11:19 → 00:11:21 ปริมาตรการกินเนี่ยมีโซเดียมอยู่ในนั้น
00:11:21 → 00:11:26 140 mg แต่ในกล่องนั้นน่ะมันสามารถกิน
00:11:26 → 00:11:28 ได้ 4 ครั้ง
00:11:28 → 00:11:31 แล้วถ้าเป็นคนกินเยอะท่านใส่ลงไปเลย 4
00:11:31 → 00:11:33 ครั้งแล้วท่านคิดว่ามีโซเดียมอยู่ทั้งหมด
00:11:33 → 00:11:35 140 ก็ผิดครับ
00:11:35 → 00:11:40 มันคือ 140 คูณด้วย 4 เข้าไปอ่ะนะครับอ่า
00:11:40 → 00:11:41 ก็คือเท่ากับ
00:11:41 → 00:11:47 560 mg ประมาณนั้นเลยนะครับใช่ไหมฮะคือ
00:11:47 → 00:11:49 เนี่ยแหละครับเป็นเป็นสิ่งที่เป็นปัญหา
00:11:49 → 00:11:52 คือเราจะต้องดูฉลากเราจะต้องดูว่าในนั้น
00:11:52 → 00:11:55 มันมีโซเดียมอยู่เท่าไหร่แล้วก็เอ่อมันใน
00:11:55 → 00:11:58 กล่องนึงเนี่ยนะครับมันกินได้กี่ครั้งอ่า
00:11:58 → 00:12:00 เราจะต้องเอามาจำนวนปริมาณโซเดียมหัดทำ
00:12:00 → 00:12:02 บ่อยๆท่านก็จะชินไปเองเวลาที่ท่านไปซื้อ
00:12:02 → 00:12:04 ของอะไรท่านก็เปิดดูเอ๊ะมันมีอยู่โซเดียม
00:12:04 → 00:12:07 มีเท่าไหร่นะเรากินเข้าไปเท่านี้แค่ไหน
00:12:07 → 00:12:09 ยังไงบ้างนะครับนั่นก็คือเป็นวิธีหนึ่ง
00:12:09 → 00:12:12 ถ้าท่านซื้ออาหารกระป๋องมานะครับเช่นปลา
00:12:12 → 00:12:14 กระป๋องหรือผักเหลืออะไรที่มันอยู่ใน
00:12:14 → 00:12:16 กระป๋องเนี่ยอันแรกที่อยากจะลดปริมาณ
00:12:16 → 00:12:18 โซเดียมให้ได้ก็คือเอามาล้างน้ำนั่นเอง
00:12:18 → 00:12:20 อย่างน้อยมันล้างเอาความเค็มออกไปบ้างละ
00:12:20 → 00:12:25 นะครับอ่าหรือถ้าท่านทานสลัดสลัดนี่จริงๆ
00:12:25 → 00:12:28 น้ำสลัดมันก็มีโซเดียมอยู่ในนั้นนะครับ
00:12:28 → 00:12:32 ท่านจะอาจจะเห็นบางอย่างที่บอกว่าน้ำสลัด
00:12:32 → 00:12:35 ที่มีโซเดียมต่ำอ่านะครับถูกไหมครับแต่
00:12:35 → 00:12:37 เราก็ต้องขึ้นอยู่กับปริมาณที่ท่านใส่
00:12:37 → 00:12:39 เข้าไปเช่นบอกว่าโอเคใน 1 ช้อนเนี่ยมันมี
00:12:39 → 00:12:41 โซเดียมต่ำแต่ท่านใช้เบ็ดเสร็จไป 10 ช้อน
00:12:41 → 00:12:45 โซ่นี้มันก็เยอะถูกไหมครับน่ะงั้นถ้าท่าน
00:12:45 → 00:12:47 จะทานสลัดเนี่ยท่านก็ร่องลองดูว่าปริมาณ
00:12:47 → 00:12:49 น้ำสลัดมันเท่าไหร่แล้วจริงๆเนี่ยบางคน
00:12:49 → 00:12:51 บอกว่ากินสลัดทุกวันทำไมมันถึงอ้วนได้น้ำ
00:12:51 → 00:12:54 หนักไม่ยอมลงเลยก็เพราะว่าน้ำสลัดนี่แหละ
00:12:54 → 00:12:57 ครับมันแคลอรี่สูงมากนะครับอ่าท่านอาจจะ
00:12:57 → 00:13:59 ไม่ได้ไม่ได้ทันดูตรงนี้นะครับ
00:13:59 → 00:14:02 โรคน้ำท่วมปอดจากโรคหัวใจนะครับท่านพวก
00:14:02 → 00:14:05 นี้อาจจะไปเจาะเลือดแล้วก็เจอว่าโซเดียม
00:14:05 → 00:14:08 เนี่ยร่างกายมันต่ำคือโซเดียมของคนปกติจะ
00:14:08 → 00:14:11 อยู่ที่ประมาณ 140 นั่นเองนะครับมันจะบวก
00:14:11 → 00:14:12 ลบได้นะครับคือประมาณ
00:14:12 → 00:14:15 135-145 แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะอยู่ที่
00:14:15 → 00:14:17 ประมาณสัก 140 บวกลบนิดๆหน่อยๆเท่านั้น
00:14:17 → 00:14:20 เองนะครับแต่ว่าท่านจะเจอว่าคนที่น้ำท่วม
00:14:20 → 00:14:23 ปอดจากโรคหัวใจจากโรคไตหรือว่าบางคนเนี่ย
00:14:23 → 00:14:28 จะมีโรคตับไวมากๆแล้วน้ำมันเยอะนะครับถ้า
00:14:28 → 00:14:31 เจอว่าโซเดียมต่ำเช่นบางทีอาจจะต่ำ 128
00:14:31 → 00:14:35 ท่านก็ถามว่าเฮ้ยมันต่ำไปหรือเปล่าจะต้อง
00:14:35 → 00:14:38 กินเกลือเข้าไปเสริมหรือเปล่าคำตอบคือไม่
00:14:38 → 00:14:42 ต้องกินเสริมครับยิ่งกินเสริมยิ่งแย่ไอ้
00:14:42 → 00:14:44 ตัวโซเดียมที่เราเห็นในเลือดในคนพวกนี้
00:14:44 → 00:14:47 ที่มันต่ำมันเป็นตัวที่บ่งบอกได้เลยว่า
00:14:47 → 00:14:50 โลกของท่านคุมไม่ดีนะครับทำไมมันถึงตัด
00:14:50 → 00:14:52 ได้อ่า
00:14:52 → 00:14:56 เหตุผลที่มันต่ำได้นะครับเพราะว่ายกตัว
00:14:56 → 00:14:58 อย่างโรคหัวใจละกันอันนี้จะเข้าใจง่าย
00:14:58 → 00:15:01 หน่อยนะครับเวลาที่โรคหัวใจมันกำเริบเป็น
00:15:01 → 00:15:05 มากๆนะครับมันเป็นเพราะว่าหัวใจมันบีบ
00:15:05 → 00:15:07 เลือดออกไปได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
00:15:07 → 00:15:10 ของร่างกายนะครับพอบีบเลือดออกไปได้ไม่
00:15:10 → 00:15:12 เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเนี่ย
00:15:12 → 00:15:15 อวัยวะต่างๆมันก็จะได้รับเลือดเลือดน้อย
00:15:15 → 00:15:18 ลงนะครับแล้วตัวไตของเราเนี่ยครับมันก็จะ
00:15:18 → 00:15:20 หลั่งฮอร์โมนออกมาเพื่อที่จะดูดเอาทั้ง
00:15:20 → 00:15:23 น้ำแล้วก็โซเดียมเข้าไปเพิ่มปริมาณน้ำใน
00:15:23 → 00:15:26 ร่างกายเพื่อให้มันมีปริมาณเลือดก็คือน้ำ
00:15:26 → 00:15:28 นี่แหละครับน้ำที่อยู่ในเลือดเนี่ยเยอะ
00:15:28 → 00:15:30 เพียงพอที่จะเอาไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆให้
00:15:30 → 00:15:33 ได้แต่การทำแบบนี้เนี่ยมันจะดูดเข้าไป
00:15:33 → 00:15:37 ทั้งโซเดียมและดูดเข้าไปทางน้ำพร้อมกันนะ
00:15:37 → 00:15:40 ครับพร้อมกันแต่สาเหตุที่โซเดียมมันไม่
00:15:40 → 00:15:43 สูงในร่างกายก็เพราะว่ามันดูดเอาน้ำเข้า
00:15:43 → 00:15:45 ไปมากกว่าพอดูดเอาน้ำเข้าไปมากกว่าปุ๊บ
00:15:45 → 00:15:48 มันก็เจือจางโซเดียมในร่างกายทำให้
00:15:48 → 00:15:51 โซเดียมในร่างกายต่ำลงนะครับแต่ถ้านับ
00:15:51 → 00:15:53 ปริมาตรโซเดียมจะเป็นตัวตัวจริงๆเนี่ยมัน
00:15:53 → 00:15:55 อาจจะเยอะกว่าคนธรรมดาด้วยซ้ำไปเพียงแต่
00:15:55 → 00:15:57 ว่าน้ำเนี่ยมันเยอะกว่าโซเดียมเมื่อเอามา
00:15:57 → 00:16:00 หารกันแล้วเนี่ยคือปริมาณโซเดียมที่เป็น
00:16:00 → 00:16:03 concentration ก็คือเป็นความเข้มข้นของ
00:16:03 → 00:16:05 โซเดียมมันก็จะต่ำลงไปด้วยนะครับดังนั้น
00:16:05 → 00:16:08 คนที่เป็นโรคหัวใจจะต้องไปจำกัดเกลือซะ
00:16:08 → 00:16:11 ด้วยซ้ำไปจำกัดเกลือเพื่อที่จะให้ร่างกาย
00:16:11 → 00:16:13 เราขับน้ำออกแล้วก็อาจจะใช้ยาขับปัสสาวะ
00:16:13 → 00:16:16 เพื่อขับน้ำออกหรือใช้ยาต่างๆเพื่อไปช่วย
00:16:16 → 00:16:18 เรื่องของหัวใจให้เราขับน้ำออกไปนะครับ
00:16:18 → 00:16:20 พวกนี้โซเดียมมันจะค่อยๆขึ้นมาเป็นปกติ
00:16:20 → 00:16:23 เองด้วยตัวเองนะครับแต่อาจจะต่ำกว่าคน
00:16:23 → 00:16:26 ธรรมดาก็ได้นะครับโรคไตโรคพวกนี้ก็เหมือน
00:16:26 → 00:16:30 กันนะบางคนบอกว่าโรคไตเรื้อรังเนี่ย
00:16:30 → 00:16:34 หมอเข้าใจผิดมันเกิดจากเพราะว่าท่านไปกิน
00:16:34 → 00:16:37 ยาเบาหวานยาที่กระตุ้นอินซูลินไม่มีความ
00:16:37 → 00:16:39 เกี่ยวข้องอะไรกันเลยสักนิดเดียวนะครับยา
00:16:39 → 00:16:42 พวกนั้นไม่ได้ทำให้เกิดโรคไตนะครับอ่ายา
00:16:42 → 00:16:45 พวกนั้นเนี่ยมันบางตัวขับทางไตก็จริงนะ
00:16:45 → 00:16:49 ครับแต่มันไม่ได้ทำให้เกิดโรคไตนะครับยา
00:16:49 → 00:16:52 พวกนั้นถ้าเป็นโรคไตแล้วถามว่าเออทำไมเขา
00:16:52 → 00:16:55 ถึงไม่ให้กินอ่าทำไมถึงไปใช้ตัวอื่นกัน
00:16:55 → 00:16:58 เพราะว่ายาพวกนี้บางทีมันขับทางไตได้นะ
00:16:58 → 00:17:01 ครับแล้วมันจะออกฤทธิ์นานกว่าคนที่ไม่มี
00:17:01 → 00:17:04 โรคไตออกฤทธิ์นานแปลว่ามันสามารถทำให้น้ำ
00:17:04 → 00:17:06 ตาลของท่านตกจนถึงระดับอันตรายได้เพราะ
00:17:06 → 00:17:08 ฉะนั้นในคนเหล่านี้เนี่ยก็จึงมีการ
00:17:08 → 00:17:11 เปลี่ยนว่าเราไม่ให้ใช้ยากลุ่มนี้ไม่ใช่
00:17:11 → 00:17:14 เพราะว่าให้ยาตัวนี้แล้วเป็นโรคไตครับนะ
00:17:14 → 00:17:17 ต้องเข้าใจซะใหม่นะครับเพราะบางคนไปฟัง
00:17:17 → 00:17:19 ใครมาก็ไม่รู้แล้วก็เข้าใจอาจจะคลาด
00:17:19 → 00:17:22 เคลื่อนไปได้นะครับก็เข้าใจว่าหวังดีแต่
00:17:22 → 00:17:24 ว่าบางทีความรู้ทางการแพทย์อาจจะไม่ไม่
00:17:24 → 00:17:26 เข้าใจกระจ่างแจ้งนะครับดังนั้นก็อาจจะ
00:17:26 → 00:17:28 แนะนำได้ไม่ถูกต้องสักทีเดียวนะครับแล้ว
00:17:28 → 00:17:31 บางคนบอกว่าเออแนะนำให้กินเค็มเยอะๆอ่า
00:17:31 → 00:17:33 อันนี้ยิ่งไม่ถูกต้องใหญ่เลยนะครับอ่าไม่
00:17:33 → 00:17:35 มีหลักฐานอะไรสนับสนุนพวกนั้นเลยนะครับ
00:17:35 → 00:17:38 อ่าแล้วนอกเหนือจากนี้คือคนไหนบ้างที่
00:17:38 → 00:17:42 ต้องกินเกลือเพิ่มอ่ามีนะครับมีคนที่ต้อง
00:17:42 → 00:17:43 กินเกลือเพิ่มจริงๆ
00:17:43 → 00:17:46 ที่ง่ายที่สุดก็คือคนที่ไปออกกำลังกายมาก
00:17:46 → 00:17:48 ๆเช่นเสียงเหงื่อมากๆอะไรอย่างเงี้ยเป็น
00:17:48 → 00:17:50 นักวิ่งมาราธอนนะครับเพราะว่าเหงื่อของ
00:17:50 → 00:17:52 เราเนี่ยมันมีโซเดียมนะถ้าเราเสียออกไป
00:17:52 → 00:17:55 พร้อมกับน้ำเนี่ยร่างกายของเขาเนี่ยก็จะ
00:17:55 → 00:17:57 ขาดโซเดียมมากขึ้นนะครับพอขาดมากๆเซลล์
00:17:57 → 00:18:00 ของเราก็จะทำหน้าที่ผิดปกติดังนั้นคน
00:18:00 → 00:18:02 เหล่านี้อาจจะต้องมีการทานเกลือแร่เสริม
00:18:02 → 00:18:06 นะครับนอกเหนือจากนี้ก็จะมีโรคแปลกๆบาง
00:18:06 → 00:18:08 ชนิดซึ่งเกิดจากฮอร์โมนในร่างกายที่มัน
00:18:08 → 00:18:11 หลั่งผิดปกติหรือเกิดจากไตซึ่งมันไม่
00:18:11 → 00:18:14 สามารถดูดซึมโซเดียมกลับมาได้นะครับมันก็
00:18:14 → 00:18:17 จะเสียโซเดียมออกไปทางปัสสาวะค่อนข้างที่
00:18:17 → 00:18:19 จะเยอะในโรคกลุ่มนี้ก็หมอเขาอาจจะแนะนำ
00:18:19 → 00:18:23 ว่าให้ทานโซเดียมเสริมนะครับให้ทาน
00:18:23 → 00:18:26 โซเดียมเสริมในกลในคนแบบนี้ด้วยนะครับแต่
00:18:26 → 00:18:28 ว่าโรคพวกนี้อย่าไปทานเองนะครับต้องไป
00:18:28 → 00:18:31 ปรึกษาหมอแล้วถ้าหมอเขาแนะนำว่าควรจะทาน
00:18:31 → 00:18:35 โซเดียมเสริมท่านก็ทานนะครับอ่าแล้วบางคน
00:18:35 → 00:18:38 อาจถามว่าเออมันมีมันมีสารทดแทนความเค็ม
00:18:38 → 00:18:42 อ่าพวกเกลือพวกเนี้ยนะครับมีนะครับศาลทด
00:18:42 → 00:18:45 แทนโซเดียมคือปกติเราใช้โซเดียมคลอไรด์นะ
00:18:45 → 00:18:47 ครับก็คือเป็นเกลือธรรมดาแต่เราไม่
00:18:47 → 00:18:49 ต้องการกินโซเดียมอ่าเราก็จะมีตัวอื่น
00:18:49 → 00:18:51 เช่น podcasium เราไปบวกกับอะไรทำให้มัน
00:18:51 → 00:18:54 เค็มๆนะครับตัวนี้เนี่ยมันก็ช่วยนะครับ
00:18:54 → 00:18:55 แล้วมันไม่ได้ทำให้ร่างกายมีปัญหาอะไรมาก
00:18:55 → 00:18:58 นะครับแต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับมันมีโพ
00:18:58 → 00:19:01 เตรียมอยู่ในนั้นด้วยนะครับถ้าท่านที่มี
00:19:01 → 00:19:04 โรคไตท่านทานโพแทสเซียมเข้าไปเยอะๆ
00:19:04 → 00:19:07 พอแทสเซียมในร่างกายของท่านมันจะสูงสูง
00:19:07 → 00:19:09 แล้วมันอันตรายต่อหัวใจครับมันจะทำให้หัว
00:19:09 → 00:19:11 ใจเต้นผิดปกติได้นะครับดังนั้นไม่ควรทำ
00:19:11 → 00:19:14 ถ้าคนที่มีโรคไตแล้วเนี่ยไอ้สารทดแทนความ
00:19:14 → 00:19:16 เค็มท่านไม่ต้องไปหาว่าทาอะไรครับทานแล้ว
00:19:16 → 00:19:19 ยิ่งมีปัญหาเดี๋ยวก็จะปัญหาอีกว่าทานนิด
00:19:19 → 00:19:21 นึงได้ไหมทานแค่ไหนแล้วมันอันตรายไม่ต้อง
00:19:21 → 00:19:23 ไปหามาทานดีที่สุดครับเพราะถ้าท่านยิ่ง
00:19:23 → 00:19:25 ทานยิ่งมีปัญหาครับท่านทานเกลือธรรมดาจะ
00:19:25 → 00:19:28 มีอันตรายน้อยกว่าซะอีกนะครับแต่ว่าทาน
00:19:28 → 00:19:31 มากเกินไปก็แน่นอนน้ำมันก็ท่วมในร่างกาย
00:19:31 → 00:19:34 ของท่านท่านอาจจะมีอาการน้ำท่วมปอดเราก็
00:19:34 → 00:19:37 เหนื่อยหายใจไม่ได้ด้วยก็ได้นะครับใน
00:19:37 → 00:19:40 กลุ่มนี้ก็คือไม่ควรที่จะไปหามาทานนะครับ
00:19:40 → 00:19:43 ดังนั้นโดยสรุปแล้วเนี่ยนะครับปริมาณ
00:19:43 → 00:19:45 โซเดียมซึ่งปัจจุบันเราแนะนำให้ทานก็คือ
00:19:45 → 00:19:48 ไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัมต่อวันหรือเที่ยว
00:19:48 → 00:19:51 เท่ากับประมาณสัก 1 ช้อนชานะฮะถ้าเป็น
00:19:51 → 00:19:54 เกลือก็คือเกลือ 1 ช้อนชานะครับแต่ถ้า
00:19:54 → 00:19:56 เป็นเกลือโซเดียมคลอไรด์เนี่ยบางคนอาจจะ
00:19:56 → 00:19:59 บอกว่าจริงๆมันจะประมาณสัก 4- สำคัญ
00:19:59 → 00:20:02 มิลลิกรัมนะครับ 4-5,000 mg เทียบเท่า
00:20:02 → 00:20:05 กับโซเดียมเปล่าๆที่
00:20:05 → 00:20:08 2300 mg นะครับมันจะคนละอย่างนะครับ
00:20:08 → 00:20:09 โซเดียมกับเกลือไม่ใช่อย่างเดียวกันนะ
00:20:09 → 00:20:14 ครับแล้วโซเดียมไม่จำเป็นต้องเค็มอย่างผม
00:20:14 → 00:20:16 ชูรสเนี่ยไม่เค็มบางทีก็เค็มบางทีก็ไม่
00:20:16 → 00:20:21 เค็มนะครับหรือพวกซีเรียลซีเรียลก็มี
00:20:21 → 00:20:23 โซเดียมอยู่ในนั้นแต่ท่านทานเข้าไปแล้ว
00:20:23 → 00:20:26 มันไม่เค็มถูกไหมครับมันไม่เค็มแต่มันมี
00:20:26 → 00:20:28 โซเดียมแล้วท่านก็ต้องไปดูว่ามันเกินหรือ
00:20:28 → 00:20:32 ไม่เกิดนะครับอ่าแล้วโซเดียมท่านไม่มีทาง
00:20:32 → 00:20:34 กินน้อยเกินไปแน่นอนนะครับอาหารทุกอย่าง
00:20:34 → 00:20:36 มีโซเดียมอยู่ในนั้นจะมากจะน้อยก็แล้วแต่
00:20:36 → 00:20:39 แต่มันไม่มีทางน้อยเกินไปท่านจะได้เพียง
00:20:39 → 00:20:41 พอต่อความต้องการของร่างกายแน่นอนนะครับ
00:20:41 → 00:20:44 ออกเออลืมไปอย่างนึงคือโซเดียมที่แนะนำ
00:20:44 → 00:20:47 คือ 2,300 มีกรัมเนี่ยคือตั้งแต่เด็กอายุ
00:20:47 → 00:20:50 14 จนกระทั่งจบชีวิตนะครับคือไม่ควรเกิน
00:20:50 → 00:20:53 นี้ถ้าเด็กอายุน้อยกว่านี้จะต้องกินน้อย
00:20:53 → 00:20:56 กว่านี้เช่นกันนะครับอ่าผมจำตัวเลขได้ไม่
00:20:56 → 00:20:58 ค่อยแน่นนอนแล้วนะครับแต่ถ้าอย่างเช่น
00:20:58 → 00:21:02 ไม่ถึง 14 ขวบเนี่ยจะกินไม่เกิน 1,800 mg
00:21:02 → 00:21:06 ถ้าเป็นตั้งแต่ประมาณ 2 ถึง 9 ขวบนะครับ
00:21:06 → 00:21:08 ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 มิลลิกรัม
00:21:08 → 00:21:11 หรือถ้าต่ำกว่านั้นเนี่ยก็อาจจะต้อง 1,200
00:21:11 → 00:21:13 mg ประมาณนี้นะครับผมจำตัวเลขได้ไม่แน่
00:21:13 → 00:21:15 นอนแต่ว่าที่ยิ่งอายุน้อยเนี่ยมันจะต้อง
00:21:15 → 00:21:19 ยิ่งต่ำลงไปกว่านั้นอีกนะครับอ่าแล้ววิธี
00:21:19 → 00:21:21 ในการป้องกันไม่ให้เรากินเค็มจนเกินไป
00:21:21 → 00:21:25 ขึ้น 1 พยายามกินข้าวที่ซื้อมาทำเองที่
00:21:25 → 00:21:27 บ้านนะครับแล้วอย่าใส่เครื่องปรุงเยอะมัน
00:21:27 → 00:21:31 ดูฉลากของสิ่งที่เราซื้อมาต่างๆว่ามันมี
00:21:31 → 00:21:34 ปริมาณโซเดียมอยู่แค่ไหนนะครับแล้วในฉลาก
00:21:34 → 00:21:38 นั้นมันมีสามารถกินได้กี่ครั้งนะครับเช่น
00:21:38 → 00:21:41 กินได้ 4 ครั้งแต่ว่าถ้าท่านคิดว่าอ่าน
00:21:42 → 00:21:45 ผิดอ่าโซเดียม 140 mg แล้วในนั้นมันกิน
00:21:45 → 00:21:47 ได้ 4 ครั้งแล้วถ้าท่านเอาเทลงไปหมดที
00:21:47 → 00:21:50 เดียวเลยก็เท่ากับ 100 เอ่อ 140 mg *
00:21:50 → 00:21:52 ด้วย 4 ก็คือปริมาณโซเดียมที่ท่านจะได้
00:21:52 → 00:21:55 รับใน 1 ครั้งที่ท่านกินนะครับงั้นก็คือ
00:21:55 → 00:21:57 จะต้องพยายามดูถ้าท่านซื้ออะไรมาแล้วมัน
00:21:57 → 00:21:59 เค็มพยายามล้างทั้งออกเอาโซเดียมออกหน่อย
00:21:59 → 00:22:03 นะครับแล้วถ้าไปกินข้าวข้างนอกก็แนะนำว่า
00:22:03 → 00:22:05 ควรที่จะต้องอย่างพวกสลัดในตัวดีเลยนะ
00:22:06 → 00:22:08 ครับขอแยกน้ำสลัดไว้ต่างหากนะครับแต่ถ้า
00:22:08 → 00:22:10 นานๆท่านกินเกินก็ไม่ได้มีอะไรที่เสียหาย
00:22:10 → 00:22:14 นะครับคือคนเราเนี่ยไม่ควรจะตึงเกินแล้ว
00:22:14 → 00:22:16 ก็ไม่ควรจะหย่อนเกินแต่ว่าให้พยายามคิด
00:22:16 → 00:22:19 ไว้บ่อยๆแล้วกันว่าท่านมีโอกาสกินปริมาณ
00:22:19 → 00:22:22 โซเดียมที่เกินมากอยู่แล้วตั้งแต่แรกนะ
00:22:22 → 00:22:25 ครับเพราะว่าอาหารที่ท่านทานทุกๆอย่างมี
00:22:25 → 00:22:27 โซเดียมหมดแล้วพอทานแบบนี้ชินแล้วเนี่ย
00:22:27 → 00:22:30 เราจะชินกับความเค็มมากขึ้นเราต้องมาหัด
00:22:30 → 00:22:33 แล้วก็ค่อยๆลดมันลงมานะครับโอเควันนี้ก็
00:22:33 → 00:22:35 ประมาณเท่านี้นะครับใครมีข้อสงสัยอะไรก็
00:22:35 → 00:22:38 สอบถามมาได้นะครับเรื่องนี้คือเป็นเรื่อง
00:22:38 → 00:22:41 ที่ค่อนข้างสำคัญนะครับแล้วอย่าไปเอ่อ
00:22:41 → 00:22:44 เชื่อฟังอะไรที่กินอะไรแล้วสุดโต่งนะครับ
00:22:44 → 00:22:47 กินโซเดียมแต่โอ้โห 6 7 กรัมต่อวันอัน
00:22:47 → 00:22:50 นั้นไม่ดีแน่ๆนะครับท่านก็จะต้องมาเฝ้า
00:22:50 → 00:22:53 ระวังนะครับบางคนบอกว่ากินโซเดียมเยอะทำ
00:22:53 → 00:22:55 ให้ไตวายเป็นความเข้าใจผิดครับถูกต้อง
00:22:55 → 00:22:57 แล้วครับนะแต่ว่าตัวโซเดียมเองมันไม่ได้
00:22:57 → 00:23:00 ทำให้ไตวายตัวโซเดียมมันมีผลต่ออวัยวะ
00:23:00 → 00:23:02 ต่างๆทำให้สุดท้ายแล้วไตมันก็วายได้นะ
00:23:02 → 00:23:05 ครับด้วยตัวมันอย่างนั้นนะครับโอเควันนี้
00:23:05 → 00:23:07 ก็เท่านี้นะครับใครมีอะไรสงสัยก็สอบถามมา
00:23:07 → 00:23:11 แล้วกันนะครับขอบคุณมากครับสวัสดีครับ