00:00:00 → 00:00:02 ถ้าเกิดว่าเราต้องการให้ความทรงจำสมองของ
00:00:02 → 00:00:05 เราดีดูแลพฤติกรรมอันแรกเลยก็คือการกิน
00:00:05 → 00:00:09 หลายคนเี่กินแต่ของหวานของมันกินเสร็จ
00:00:09 → 00:00:11 แล้วไม่ออกกำลังกายการไหลเวของเลิศยิ่ง
00:00:11 → 00:00:13 แย่เข้าไปอีกคนในวัยทำงานอยู่ๆขี้ลืมขึ้น
00:00:13 → 00:00:16 มาเนี่ยกินแต่อาหารสำเร็จรูปแล้วก็กิน
00:00:16 → 00:00:18 เสร็จแล้วนั่งนานๆไปนานๆเนี่ยเขาอาจจะรู้
00:00:18 → 00:00:20 สึกว่าความจำของเขาได้ไม่ดีเขาไม่ได้พัก
00:00:20 → 00:00:23 ผ่อนมันก็จะเริ่มหลงๆลืมๆได้ง่ายถ้าเกิด
00:00:23 → 00:00:26 ว่าเราไม่มีสมาธิในการจดจ่อกับสิ่งนั้นทำ
00:00:26 → 00:00:27 นิดนึงเราไม่ทำต่ออย่างเงี้ยมันก็จะไม่
00:00:27 → 00:00:30 ได้ฝึกสมาธิเพราะว่าถ้าเรายิ่งใช้ยิ่งใช้
00:00:30 → 00:00:36 ยิ่งคมเกลาแก้โรคเกลานิสัยห่างไก
00:00:36 → 00:00:40 โรคสวัสดีค่ะสวัสดีค่ะวันนี้นะคะเราก็ยัง
00:00:40 → 00:00:43 อยู่กับคุณหมอการแพทย์แผนจีนอีกแล้วนะคะ
00:00:43 → 00:00:45 วันนี้เราจะมาคุยกันอย่างในทัมเนลหรือว่า
00:00:45 → 00:00:48 ในหน้าปกคลิปหลายๆท่านน่าจะเห็นแล้วว่า
00:00:48 → 00:00:50 เราจะคุยกันในเรื่องของสมองแล้วก็เรื่อง
00:00:50 → 00:00:53 ของความดันค่ะคุณหมออ่าอันดับแรกหนูอาจจะ
00:00:53 → 00:00:55 ต้องถามก่อนว่าเรามีวิธีการที่จะเช็คมั้ย
00:00:55 → 00:00:58 คะว่าตอนเนี้ยสมองของเราเนี่ยทำงานดีย
00:00:58 → 00:01:01 หรือว่าเราเริ่มจะมีอาการแล้วนะอเราจะ
00:01:01 → 00:01:04 สามารถสังเกตการทำงานของสมองของเราอ่ะ
00:01:04 → 00:01:07 ด้วยการทำงานของมือไม้ยังหยิบจับอะไรได้
00:01:07 → 00:01:11 ไวอยู่จะมีท่าง่ายๆให้ลองเช็คลองทำตามดู
00:01:11 → 00:01:15 ได้นะคะมือข้างนึงอ่าเลข 7 อีกอันนึงจีบ
00:01:15 → 00:01:18 ทำหรือยังเคยทำแล้วค่ะเป็นยังไงบ้างนะคะ
00:01:18 → 00:01:21 อันนี้ก็เป็นตัวที่เราจะประมวลได้อ่ะเรา
00:01:21 → 00:01:24 ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาช่วยตัดต่อให้เนียนๆ
00:01:24 → 00:01:28 อ่ะทำไปแล้วก็เบไปปรับ
00:01:28 → 00:01:31 หมันยากจังอ่าอันนี้เป็นตัวที่เราจะฝึก
00:01:31 → 00:01:34 แล้วนิ้วนิ้วของเราเนี่ยเอ่อแพทย์แผนจีน
00:01:34 → 00:01:37 จะเปรียบเป็นตัวสะท้อนสมองงั้นหลายคนจะมี
00:01:37 → 00:01:40 อาการเดินเซก็บ่งบอกถึงการสมองของเราจะ
00:01:40 → 00:01:43 แบบทรงตัวได้ไม่ดีเรื่องการทรงตัวหรือฟัง
00:01:43 → 00:01:47 เาพูดจับใจความสำคัญที่เขาพูดมาไม่ได้อัน
00:01:47 → 00:01:49 นี้ก็จะเป็นการประมวลสมองที่เริ่มช้าลงทำ
00:01:49 → 00:01:52 งานได้ยากขึ้นหืออีกตัวนึงเราก็จะสังเกต
00:01:52 → 00:01:55 ที่ลิ้นลิ้นแข็งจะแบบรู้สึกว่าเอ้าทำไม
00:01:55 → 00:01:57 เราพูดได้ไม่คล่องเหมือนเดิมหรือเราอยาก
00:01:57 → 00:01:59 จะพูดก็เหมือนพูดไม่ออกอันนี้ก็เป็นตัว
00:01:59 → 00:02:01 ที่เริ่มบอกว่าสมองของเรามันจะเริ่มช้าลง
00:02:02 → 00:02:04 อ่ะเราก็ต้องเริ่มปรับพฤติกรรมอันนี้เป็น
00:02:04 → 00:02:08 ตัวสังเกตทั้งการประมวลผลการขยับเขยื้อน
00:02:08 → 00:02:11 ร่างกายแล้วก็การพูดของเราจริงๆก็รวมถึง
00:02:11 → 00:02:14 การมองเห็นด้วยอก็จะเป็นตัวที่เราสังเกต
00:02:14 → 00:02:16 ได้ว่าสมองของเราตอนเนี้ยเป็นยังไงบ้างที
00:02:16 → 00:02:18 นี้อยากรู้เลยค่ะว่าแบบอ่ะเมื่อกี้แพนด้า
00:02:18 → 00:02:21 ก็ลองทำะก็พอจะรู้ตัวแล้วว่าก็น่าจะไม่
00:02:21 → 00:02:23 ค่อยปกติเท่าไหร่ทีนี้มันมีพฤติกรรมอะไร
00:02:23 → 00:02:25 อีกบ้างคะที่เรายิ่งทำเนี่ยมันยิ่งทำร้าย
00:02:25 → 00:02:28 สมองเอ่อการที่สมองของเราเป็นแบบเนี้ย
00:02:28 → 00:02:31 จริงๆทางสาภาพแผ่นจีนจะมองว่าสมองเนี่ย
00:02:31 → 00:02:34 คือเราจะดึงสารน้ำพลังงานของไตเนี่ยขึ้น
00:02:34 → 00:02:36 มาเลี้ยงสมองของเราทำให้เรามีความทรงจำ
00:02:36 → 00:02:40 ที่ดีการเจริญเติบโตร่างกายของข้อกระดูก
00:02:40 → 00:02:43 ต่างๆดีขึ้นถ้าเกิดว่าเราต้องการให้ความ
00:02:43 → 00:02:46 ทรงจำสมองของเราดีใช่มั้ยคะก็จะต้องดูแล
00:02:46 → 00:02:50 พฤติกรรมอ่ะอันแรกเลยก็คือการกินอ่าเพราะ
00:02:50 → 00:02:51 หลังจากที่เราคลอดออกมาแล้วเนี่ยเราก็
00:02:52 → 00:02:54 ต้องึหาการกินหลายคนเนี่ยกินแต่ของหวาน
00:02:54 → 00:02:57 ของมันกินเสร็จแล้วไม่ออกกำลังกายพวกหวาน
00:02:57 → 00:03:00 ๆมันๆเราจะเรียกว่าอาหารเหนียวนึหนืดพอ
00:03:00 → 00:03:03 ทานเข้ามาปุ๊บการไหล่เววของเลือดแย่ลงแย่
00:03:03 → 00:03:05 ลงไม่พอแล้วเรายังไม่ออกกำลังกายการไหล
00:03:05 → 00:03:07 เววของเลือดยิ่งแย่เข้าไปอีกอ่าแล้วหลอด
00:03:07 → 00:03:09 เลือดของเราเสื่อมการไหล่เวียของเลือด
00:03:09 → 00:03:11 ขึึ้นไปเลี้ยงสมองน้อยลงสมองก็ขาด
00:03:11 → 00:03:13 ออกซิเจนจะไม่ถึงขั้นขาดจนถึงขั้นเราแบบ
00:03:13 → 00:03:16 เอามาพาดทันทีแต่ว่ามันจะค่อยๆทำให้เซลล์
00:03:16 → 00:03:18 สมองเสื่อมอีกพฤติกรรมนึงนอกจากการกิน
00:03:18 → 00:03:20 แล้วก็การออกกำลังกายก็คือการนอนเพราะว่า
00:03:20 → 00:03:22 ตอนช่วงเวลาของการนอนเนี่ยร่างกายของเรา
00:03:22 → 00:03:25 จะล้างพิษออกจากร่างกายของเรานะเพอเราไม่
00:03:25 → 00:03:28 ยอมนอนเราก็ใช้ประสาทสมองตลอดเวลาสมองมัน
00:03:28 → 00:03:31 ก็จะถูกกระตุ้นเขาไม่ได้พักผ่อนมันก็จะ
00:03:31 → 00:03:33 เริ่มหลงๆลืมๆได้ง่ายงั้นเราก็ต้องระวัง
00:03:33 → 00:03:37 พฤติกรรมเหล่านี้ให้ดีค่ะแล้วหลงๆลืมๆอ่ะ
00:03:37 → 00:03:40 ขี้หลงขี้ลืมอาการเนี้ยเป็นแค่ไหนที่มัน
00:03:40 → 00:03:43 แบบเริ่มต้องใส่ใจแล้วนะถ้าเกิดว่าเริ่ม
00:03:44 → 00:03:47 มีเนี่ยเราก็ต้องเริ่มใส่ใจเลยก็อยู่ๆจะ
00:03:47 → 00:03:50 ไปเปิดตู้เย็นเอ๊ะเราจะไปเอาอะไรอ่ะแบบเย
00:03:50 → 00:03:53 เราก็ต้องเริ่มใส่แล้วอ่ะสมองของเราเริ่ม
00:03:53 → 00:03:55 ไม่ดีเนื่องจากช่วงเวลานั้นเราไปทำอะไรมา
00:03:55 → 00:03:58 งั้นกินเยอะเกินไปหรือว่านอนไม่พอนะคะ
00:03:58 → 00:04:01 แล้วก็ไม่เคยฝึกสมาธิออกกำลังกายมันก็จะ
00:04:01 → 00:04:03 ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่พอเราไม่เคยใช้
00:04:03 → 00:04:05 สมองสมองมันก็จะเสื่อมได้ง่ายหมอจะมีคน
00:04:05 → 00:04:09 ไข้ผู้สูงอายุพอวัยเกษียณละแล้วก็จะไม่
00:04:09 → 00:04:11 ต้องทำอะไรอยู่บ้านเฉยๆแล้วเขาก็ไม่ขยับ
00:04:11 → 00:04:14 เขยื้อนร่างกายเลยนับวันยิ่งแย่ลงตอนที่
00:04:14 → 00:04:16 ทำงานยังกระฉับกระเฉงแข็งแรงเดินไปมาได้
00:04:17 → 00:04:19 ความจำดีแต่พอหยุดทุกอย่างปุ๊บแล้วตัวเอง
00:04:19 → 00:04:22 ไม่ยอมฝึกสมองต่อไปเนี่ยมันก็จะเสื่อมได้
00:04:22 → 00:04:24 ง่ายเพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราต้องการทำ
00:04:25 → 00:04:28 ให้ความทรงจำของเราดีเราก็ต้องดูแลสิ่ง
00:04:28 → 00:04:31 เหล่านี้ทีนี้อาหารเนี่ยมันจะเป็นตัวที่
00:04:31 → 00:04:35 จะไปดึงเลือดลมขึ้นไปเลี้ยงสมองอความหลงๆ
00:04:35 → 00:04:37 ลืมๆอันนึงเนี่ยจะมาจากม้าดึงพลังชีและ
00:04:38 → 00:04:40 เลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่พอในทางสาพแผ่น
00:04:40 → 00:04:42 จินเวลารักษาคนไข้กลุ่มเนี้ยเราจะไปบำรุง
00:04:42 → 00:04:44 เลือดของมมและหัวใจอ่ะทำให้เขานอนหลับ
00:04:44 → 00:04:47 สบายแล้วก็ไม่ขี้หลุงขี้ลืมแต่ว่าในวัย
00:04:47 → 00:04:49 ผู้สูงอายุเนี่ยจะไม่ได้เกี่ยวกับมมอย่าง
00:04:49 → 00:04:52 เดียวแล้วจะเกี่ยวกับพลังงานของไตอ่าผู้
00:04:52 → 00:04:56 สูงอายุพอพลังไตเสื่อมพลังไตตกเขาก็จะตา
00:04:56 → 00:04:59 ฝ่าฟางความจำแบบเริ่มคุยไม่รู้เรื่องละ
00:04:59 → 00:05:01 ลืมตัวเองว่าติดกระดุมยังไงกินข้าวยังไง
00:05:01 → 00:05:05 อันนี้คือเราจะมองว่าเป็นพลังงานของไตตก
00:05:05 → 00:05:07 จนทำให้สมองเริ่มเสื่อมซึ่งเราสามารถป้อง
00:05:07 → 00:05:10 กันก่อนที่พลังงานของไตจะตกมากขนาดนั้น
00:05:10 → 00:05:13 ได้อ่าจะมีผู้สูงอายุที่เสื่อมไปเลยกับคน
00:05:13 → 00:05:16 ที่เขาพยายามดูแลตัวเองไม่ให้ไปถึงขั้น
00:05:16 → 00:05:20 นั้นซึ่งมีวิธีดูแลอยู่อืวิธีดูแลสเองอ่า
00:05:20 → 00:05:23 ต้องถามต่ออ่าก็อันนึงเลยก็คือพลังงานของ
00:05:23 → 00:05:26 ไตเนี่ยเขาจะต้องพึ่งพาการทานอาหารของ
00:05:26 → 00:05:29 ม้ามเราจะเรียกว่าสารจริงอ่าสารจริงแต่
00:05:29 → 00:05:31 กำเนิดเนี่ยคือไตดูแลแต่ว่าเขาจะต้องพึ่ง
00:05:31 → 00:05:34 พาสันจริงของอาหารก็คือตัวของม้ามเนี่ย
00:05:34 → 00:05:36 เขาจะจัดการกับอาหารของเราไปผลิตพลังชีพ
00:05:36 → 00:05:39 และเลือดส่งเสริมให้สร้างเลือดสร้างพลัง
00:05:39 → 00:05:41 ชีสร้างสรรค์จริงในร่างกายของเราพอเรากิน
00:05:41 → 00:05:44 ได้ดีกินอาหารที่สะอาดสะอาดในที่นี้ก็คือ
00:05:44 → 00:05:48 ไม่ปรุงแต่งไม่หนักรสจัดอ่าไม่แปรรูปมาก
00:05:49 → 00:05:51 เกินไปหมอจะชอบแนะนำให้ทานอาหารธรรมชาติ
00:05:51 → 00:05:53 หลากหลายหมุนเวียนดีเพราะมันจะเข้ามมได้
00:05:53 → 00:05:55 ดีแล้วเขาจะย่อยเก่งดูดซึมเก่งแบบเนี้ย
00:05:55 → 00:05:57 แล้วเขาจะผลิตพลังชีพและเลือดขึ้นไป
00:05:57 → 00:06:00 เลี้ยงหัวสมองของเราได้ดีหังสังเกตงคนใน
00:06:00 → 00:06:03 วัยทำงานอยู่ๆขี้ลืมขึ้นมาเนี่ยก็คือกิน
00:06:03 → 00:06:06 แต่อาหารสำเร็จรูปแล้วก็กินเสร็จแล้วนั่ง
00:06:06 → 00:06:09 นานๆนั่งทำงานต่อไปนานๆเนี่ยเขาอาจจะรู้
00:06:09 → 00:06:11 สึกว่าความจำของเขาได้ไม่ดีหรือว่ารู้สึก
00:06:11 → 00:06:13 ว่าความเสื่อมของร่างกายมีมากขึ้นหลอด
00:06:13 → 00:06:15 เรือ่องของเราเริ่มเสื่อมก็จะเกี่ยวกับหม
00:06:15 → 00:06:18 นะเราปรับอาหารของเราให้ดีขึ้นม้าทำงาน
00:06:18 → 00:06:20 ได้ดีเขาก็จะดึงพลังชีพและเลือดไปเลี้ยง
00:06:20 → 00:06:23 หัวสมองของเราได้ดีแล้วเขาก็ลงไปเลี้ยงไต
00:06:23 → 00:06:25 ด้วยไตก็จะทำงานไม่หนักแต่ก็กลับกันกิน
00:06:25 → 00:06:29 อาหารทอดๆหวานๆมันๆทาแอลกอฮอล์อันนี้เป็น
00:06:29 → 00:06:31 ตัวสร้างความเสื่อมของเซลล์หลอดเลือด
00:06:31 → 00:06:34 เซลล์สมองเลยอ่ะพอเราทานอาหารกลุ่มนี้มาก
00:06:34 → 00:06:36 ๆนอกจากไตจะเสื่อมจริงๆแล้วเนี่ยสมองก็จะ
00:06:36 → 00:06:39 เสื่อมไปด้วยครับสารจริงของไตไม่ขึ้นไป
00:06:39 → 00:06:41 เลี้ยงสมองของเราถ้าพูดถึงเรื่องความทรง
00:06:41 → 00:06:42 จำหรือว่าการเจริญเติบโตของร่างกายเนี่ย
00:06:42 → 00:06:45 ในทางสาภาพแผ่นจีนจะพูดถึงพลังงานของไต
00:06:45 → 00:06:47 ผู้หญิงเนี่ยจะเริ่มเสื่อมตอน 35 ค่ะคือ
00:06:47 → 00:06:49 เสื่อมก็คือพลังงานของไตรตกมันจะเริ่มมี
00:06:49 → 00:06:53 ความเหี่ยวย่นผมขาวแก่ง่ายหรือว่าระบบ
00:06:53 → 00:06:56 สื่อพันธุ์แย่ลงผู้ชายก็ประมาณ 40 ทีนี้
00:06:56 → 00:07:00 ผู้หญิงจะเป็นหนักมากๆเนี่ยตอนประมาณ 49
00:07:00 → 00:07:02 ก็คือช่วงวัยทองหลังวัยทองไปเนี่ยมันจะ
00:07:02 → 00:07:05 เริ่มมีปัญหาระบบต่างๆรวนผู้ชายเนี่ยจะ
00:07:05 → 00:07:09 ประมาณ 64 อ่ะผู้ชายจะช้ากว่าถ้าดูแลตัว
00:07:09 → 00:07:11 เองดีนะแล้วคนที่ดูแลตัวเองไม่ดีจะเป็น
00:07:11 → 00:07:14 เร็วกว่านั้นได้ใช่ทนี้สารจริงของไตเนี่ย
00:07:14 → 00:07:18 มันจะตกตามขั้นบันไดผู้หญิง 35 42 49
00:07:19 → 00:07:21 แล้วก็ยาวไปใช่มเราอ่ะไม่ต้องการให้เขาตก
00:07:22 → 00:07:24 แบบนี้เราจะค่อยๆให้เขาแบบยังไงคนเราก็
00:07:24 → 00:07:26 ต้องแก่แต่ทำยังไงให้แก่ช้าเราก็ต้อง
00:07:26 → 00:07:29 รักษาพลังงานของไตหมอจะชอบให้ทุกคนดูแล
00:07:29 → 00:07:32 พลังงานของไตค่ะบำรุงกำลังของไตง่ายๆเลย
00:07:32 → 00:07:35 ก็คือดูแลตั้งแต่ระบบการกินเพราะปัจจุบัน
00:07:35 → 00:07:38 เนี่ยถ้าโรคไตเสื่อมก็มักจะมาจากการกิน
00:07:38 → 00:07:40 โรคเบาหวานต่อเนื่องไปจนทำให้ระบบเลือด
00:07:40 → 00:07:44 เสื่อมจนไตเสื่อมใช่่มั้ยคะต่อมาก็คือคน
00:07:44 → 00:07:47 ที่นอกจากกินไม่ดีแล้วก็ไม่ขยับเขยื้อน
00:07:47 → 00:07:49 ร่างกายคะทำให้ผิวหนังกล้ามเนื้อหลอด
00:07:49 → 00:07:52 เลือดเส้นเอ็นกระดูกเสื่อมเพราะเราไม่ใช้
00:07:52 → 00:07:55 งานมันมันก็จะผัดเซลล์ใหม่ได้ไม่ดีหลอด
00:07:55 → 00:07:57 เลือดของเราก็จะแข็งทื่อแล้วต่อไปก็จะมี
00:07:57 → 00:08:00 ความดันสูงง่ายขจัดเสมหักไขมันในหลอด
00:08:00 → 00:08:02 เลือดได้ยากขึ้นงั้นพอการไหลเวียนของ
00:08:02 → 00:08:05 เลือดแย่ลงหลอดเลือดของเราเสื่อมแล้วการ
00:08:05 → 00:08:07 ไหลเวียนเป็นเลี้ยงที่สมองแย่ลงอาขัด
00:08:07 → 00:08:10 ออกซิเจนนำส่งไม่พอเซลล์ต่างๆนอกจากสมอง
00:08:10 → 00:08:13 ก็คือทั้งร่างกายเลยนะก็จะมีปัญหาเพราะ
00:08:13 → 00:08:15 ฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราต้องการดูแลระบบ
00:08:15 → 00:08:18 ประสาทของเราได้ดีรักษาพลังงานของไตให้ดี
00:08:18 → 00:08:21 เนี่ยนอกจากการกินก็คือการออกกำลังกายนะ
00:08:21 → 00:08:23 ต่อมาก็คือการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
00:08:23 → 00:08:25 เพราะยิ่งเราฝืนก็เหมือนกับเราใช้ร่างกาย
00:08:25 → 00:08:27 หนักเกินไปเซลล์ร่างกายของเราก็ไม่ได้ถูก
00:08:27 → 00:08:30 ฟื้นฟูเพราะขยะในสมองก็ไม่ได้ขจัดเรานอน
00:08:30 → 00:08:33 หลับนอกจากดังเลือดแล้วเซลล์ใหม่ของเราก็
00:08:33 → 00:08:36 จะถูกฟื้นฟูไม่ให้เกิดการอักเสบได้อือก็
00:08:36 → 00:08:40 คือต้องดูแลตัวเองหนูมีคำถามนึงค่ะถ้า
00:08:40 → 00:08:42 เป็นกลุ่มของอาจจะเป็นวัยทำงานก็ได้เป็น
00:08:42 → 00:08:45 เทรนสุขภาพด้วยอ่ะก็กินดีออกกำลังแล้วนะ
00:08:45 → 00:08:48 แต่ว่าอาจจะทำงานเยอะอ่ะแล้วเขาก็มีอาการ
00:08:48 → 00:08:51 เขาเรียกว่าภาษาสมัยนี้จะแบบอ๊องๆก็คือ
00:08:51 → 00:08:54 แบบว่าขี้หลงขี้ลืมบ้างเพราะว่าทำงานเยอะ
00:08:54 → 00:08:56 การทำงานเยอะใช้สมองเยอะมันมีผลทำให้เรา
00:08:56 → 00:09:00 ขี้หลงขี้ลืมมั้ยคะถ้าเกิดว่าอ่ะเราออก
00:09:00 → 00:09:02 กำลังกายเรากินดีเราทำงานเยอะมีความ
00:09:03 → 00:09:05 เครียดใช่่มแล้วก็เราจัดการกับความเครียด
00:09:05 → 00:09:09 ไม่ได้อสมองของเราก็จะเริ่มอองๆได้อ่าแต่
00:09:09 → 00:09:13 ถ้าเกิดว่าเราทำงานเยอะกินดีออกกำลังกาย
00:09:13 → 00:09:14 นอนหลับพักผ่อนดีแล้วก็จัดการกับความ
00:09:15 → 00:09:17 เครียดได้จริงๆสมองของเราจะไวนะเพคนที่
00:09:17 → 00:09:20 เขาทำงานเก่งดูแลตัวเองในหลายๆเรื่อง
00:09:20 → 00:09:24 เนี่ยเขาจะมีระบบประสาที่ไวคิดไวทำไวแล้ว
00:09:24 → 00:09:26 เขาจัดการกับความเครียดได้สมองก็ได้รับ
00:09:26 → 00:09:29 การพักผ่อนแต่ถ้าคนๆนั้นน่ะเหมือนจะดูดู
00:09:29 → 00:09:31 แลตัวเองทุกอย่างดีแต่ว่าจัดการกับความ
00:09:31 → 00:09:33 เครียดของตัวเองไม่ได้มันก็จะเหมือนความ
00:09:34 → 00:09:36 เครียดเนี่ยจะกระทบพลังงานของตับตับจะดู
00:09:36 → 00:09:38 แลเส้นเอ็นร่างกายเราจะตึงทั้งตัวสังเกต
00:09:38 → 00:09:40 ง่ายๆว่าเอ๊ะฉันเครียดหรรือเปล่าหรือว่า
00:09:40 → 00:09:42 เราร่างกายมันตึงมถ้าเกิดว่าตึงมากๆเนี่ย
00:09:42 → 00:09:45 การไหลเวียนของเลือกของเราก็จะแย่ลงมาอือ
00:09:45 → 00:09:48 ฮึสมองของเราก็จะประมวลผลอาจจะช้าหรือว่า
00:09:48 → 00:09:52 แบบลืมว่าเราทำอะไรไปอันนี้ก็คือเป็นส่วน
00:09:52 → 00:09:54 ของวัยของคนทำงานแต่ว่าที่คุณหมอบอกก็คือ
00:09:54 → 00:09:57 ถ้าเป็นผู้สูงอายุที่เริ่มจะวัยทองหรือ
00:09:57 → 00:09:59 อะไรขึ้นไปเนี่ยก็คือยังไงลรงกายเรามันก็
00:09:59 → 00:10:02 เสื่อมลงเสื่อมอยู่แล้วใช่แต่เรามีวิธี
00:10:02 → 00:10:05 การฝึกสมองได้อ้ายังไงคะเราจะแนะนำให้คน
00:10:05 → 00:10:09 ที่อายุเยอะขึ้นเริ่มฝึกการทำสิ่งใหม่
00:10:09 → 00:10:11 อย่างประเทศจีนเนี่ยผู้สูงอายุตอนเช้าจะ
00:10:11 → 00:10:14 นัดรวมกลุ่มกันเพราะว่าเขาอยู่ในช่วงวัย
00:10:14 → 00:10:16 ที่ผู้สูงอายุเริ่มเยอะละค่ะแล้วก็แบบ
00:10:16 → 00:10:19 เด็กคนนึงเนี่ยวัยทำงานอย่างเราเนี่ยจะ
00:10:19 → 00:10:20 ต้องดูแลผู้สูงอายุัน 45 คนเลยเพราะว่า
00:10:21 → 00:10:23 ลูกเขาน้อยเนาะทีเยผู้สูงอายุกลุ่มเนี้ย
00:10:23 → 00:10:25 เพื่อไม่ให้เป็นปัญหากับเด็กๆเขาก็จะรวม
00:10:25 → 00:10:27 กลุ่มกันรัฐบาลก็จะรวมกลุ่มกันมีกิจกรรม
00:10:27 → 00:10:30 ยามเช้าให้ไปเขียนผู้กันจีนเราจะถ้าใครไป
00:10:30 → 00:10:32 ประเทศจีนแล้วไปในสวนสาธารณะเนี่ยเขาจะมา
00:10:32 → 00:10:34 ฝึกเขียนพวกกันจีนซึ่งการเขียนตัวจีนน่ะ
00:10:34 → 00:10:38 มันจะค่อนข้างใช้สมองมันจะต้องจำแต่ละขีด
00:10:38 → 00:10:39 ว่ามันเขียนยังไงก่อนอ่าอันนี้ก็เป็น
00:10:39 → 00:10:42 หนึ่งและที่ได้ข้อดีของเขาเราก็สามารถเอา
00:10:42 → 00:10:45 มาประยุกต์ได้อาจจะฝึกเขียนฝึกวาดรูปใหม่
00:10:45 → 00:10:48 เขียนกถึงฮอ่ะบางคนยังจำไม่ได้นะอันนี้ก็
00:10:48 → 00:10:51 ฝึกสมองได้เพราะว่าถ้าเรายิ่งใช้มันก็จะ
00:10:51 → 00:10:53 ได้ทำงานแต่ถ้าเราปล่อยเลยไม่อยากเรียน
00:10:53 → 00:10:55 รู้สิ่งใหม่อันนี้มันจะเสื่อมเสื่อมไวคือ
00:10:55 → 00:10:59 ยิ่งใช้ยิ่งคมเมื่อกี้พูดถึงอ่ากิจกรรมทำ
00:11:00 → 00:11:02 หนูว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นคือเรื่องของ
00:11:02 → 00:11:04 สมาธิหรือเปล่าเพราะว่าใช่ค่ะเพราะเรา
00:11:04 → 00:11:07 ต้องจดจ่อใช่ค่ะถ้าเกิดว่าเราไม่มีสมาธิ
00:11:08 → 00:11:10 ในการจดจ่อกับสิ่งนั้นหรือทำนิดนึงเราไม่
00:11:10 → 00:11:13 ทำต่ออย่างเงี้ยมันก็จะไม่ได้ฝึกสมาธิถ้า
00:11:13 → 00:11:15 เกิดเราอยากมีสมาธิที่ดีต้องมีไฟไฟที่พอ
00:11:15 → 00:11:18 ดีถ้าเไฟหัวใจเราเกินเกินไปเราก็จะแบบ
00:11:18 → 00:11:21 สมาธิสั้นทำได้แป๊บเดียวแล้วก็เลิกไปอ่า
00:11:21 → 00:11:23 แต่ถ้าเกิดว่าเราสามารถรักษาไฟอันนี้เอา
00:11:24 → 00:11:27 ไว้ได้สมองของเราก็จะทำงานได้ยาวนานขึ้น
00:11:27 → 00:11:30 โดยที่ไม่ขึ้นๆลงๆค่ะอือ่ะหนูขอพูดถึง
00:11:30 → 00:11:32 เรื่องความดันในร่างกายหนูอยากรู้ว่าโรค
00:11:32 → 00:11:35 ความดันโลหิตค่ะคุณหมออันเนี้ยเกิดขึ้นใน
00:11:35 → 00:11:37 วัยผู้สูงอายุเท่านั้นมั้คะหรือว่ามัน
00:11:37 → 00:11:40 เกิดได้ตั้งแต่วัยไหนเอ่ยโอ๋ตอนสมัยนี้
00:11:40 → 00:11:43 เนี่ยคนที่มีความดันโลเหตุสูงเร็วขึ้นมาก
00:11:43 → 00:11:48 ๆเคสคนไข้ที่มาฝังเข็มด้วยสตกแล้วก็
00:11:48 → 00:11:50 อัมพาตเนี่ยอายุน้อยสุดที่หมอเคยเห็นก็
00:11:50 → 00:11:54 คือประมาณ 24 ก็เป็นแล้วแต่ว่าในข่าวต่าง
00:11:54 → 00:11:56 ๆที่เราเห็นกันเนี่ยอาจจะแบบ 10 กว่าก็มี
00:11:57 → 00:12:00 คนเป็นแล้วนะแต่ว่าความดันสูงในคนอายุ
00:12:00 → 00:12:02 น้อยเนี่ยก็คือเราคิดว่าเราแข็งแรงแล้ว
00:12:02 → 00:12:05 เราก็คิดว่าเออปวดตึ๊บๆมึนๆอะไรอย่าง
00:12:05 → 00:12:08 เงี้ยนิดนึงอ่ะปกติเราก็คิดว่ามันปวดปกติ
00:12:08 → 00:12:10 แต่เราไม่เคยไปตรวจจริงๆว่าแรงแดนของเรา
00:12:10 → 00:12:13 สูงแล้วบางทีมันจะสูงชั่วคราวเช่นช่วงนี้
00:12:13 → 00:12:16 เครียดมากๆอ่ะเล่นเกมหนักนอนดึกกินข้าว
00:12:16 → 00:12:18 ไม่ดีขึ้นมาแล้วมันสูงชั่วคราวแล้ว
00:12:18 → 00:12:20 บังเอิญมีเรื่องมากระทบมาบางคนก็แตกเลย
00:12:20 → 00:12:23 เป็นอัมพาตที่มารักษาข่าวล่าสุดก็คือเด็ก
00:12:23 → 00:12:27 14 โดนโกงอะไรสักอย่างแล้วก็เส้นเล่น
00:12:27 → 00:12:29 สมองแตกเพราะเาเครียดมากในช่วงนั้นแล้ว
00:12:29 → 00:12:32 เขาไม่นอนแล้วก็ไฟเขาเกินขึ้นมาก็ทำให้
00:12:32 → 00:12:36 แตกได้เลยทั้งๆที่เยังอายุน้อยเพราะงั้น
00:12:36 → 00:12:39 ในปัจจุบันเนี่ยมีสิ่งเร้าเยอะมากที่ทำ
00:12:39 → 00:12:41 ให้ความดันของเราสูงอันนึงเลยก็คือการมอง
00:12:42 → 00:12:44 จออันเนี้ยเป็นสาเหตุค่อนข้างหลักๆในคน
00:12:44 → 00:12:47 อายุน้อยๆแบบน้อยๆต่ำกว่า 10 เจะไม่ได้มี
00:12:47 → 00:12:49 ความเครียดเรื่องอื่นแต่เขาแบบว่าเครียด
00:12:49 → 00:12:52 กับการเล่นดูจอมากเกินไปกินอาหารไม่ดี
00:12:52 → 00:12:55 แล้วก็ไม่ค่อยออกไปวิ่งเล่นละเด็กสมัยเย
00:12:55 → 00:12:57 หมอเห็นต่ำกว่า 10 ก็ถือโทรศัพท์แล้วอ่ะ
00:12:57 → 00:13:00 วัยเราก็คือไปวิ่งเล่นเวิ่งอยู่ในจอใช่
00:13:00 → 00:13:02 มันก็ยิ่งทำให้ความเสื่อมของร่างกายเกิด
00:13:02 → 00:13:05 ได้เร็วขึ้นงั้นการออกกำลังกายเลยเป็น
00:13:05 → 00:13:07 สิ่งที่สำคัญแล้วพอใช้สายตาเยอะๆสสายตา
00:13:07 → 00:13:09 เยอะๆเนี่ยมันจะไปกระตุ้นความร้อนของ
00:13:09 → 00:13:11 เลือดเราจะเรียกว่ากระตุ้นไฟต่ำเกินขึ้น
00:13:11 → 00:13:14 มาเขาก็จะมาปวดไมเกรนปวดกระบอกตาแรงดัน
00:13:14 → 00:13:17 สูงขึ้นชั่วคราวในเด็กๆอ่ะร่างกายจะ
00:13:17 → 00:13:19 พยายามปรับสมดุลให้มันปกติอดีตเนี่ยเขาจะ
00:13:19 → 00:13:22 มองว่าความดันสูงจะเกิดขึ้นในคนที่อายุ
00:13:22 → 00:13:24 เยอะถึงจะสูงเพราะว่าหลอดเลือกของเขา
00:13:24 → 00:13:26 เริ่มแข็งตัวเซลล์ร่างกายเริ่มเสื่อมแรง
00:13:26 → 00:13:28 ดันมันก็เลยสูงแต่ในปัจจุบันน่ะมันจะมี
00:13:28 → 00:13:31 สิ่งเหมากระตุ้นพฤติกรรมต่างๆทำให้เร่ง
00:13:31 → 00:13:34 ความเสื่อมของร่างกายั้นในทางสาแพทยเป็น
00:13:34 → 00:13:36 จริงการใช้สายตาเนี่ยเราจะใช้พลังงานที่
00:13:36 → 00:13:38 เป็นเลือดของตับอ่ะตับเป็นตัวเก็บเลือด
00:13:38 → 00:13:41 ตับเปิดทวารที่ดวงตาทุกครั้งที่เราใช้สาย
00:13:41 → 00:13:44 ตาเยอะๆแล้วเราจดจ่ออยู่กับมันตลอดอาการ
00:13:44 → 00:13:47 ที่เราจะเป็นเลยปวดขมับปวดดวงตาหรือบางคน
00:13:47 → 00:13:50 จะเหมือนกระตุ้นไมเกรนให้มันกำเริบขึ้นมา
00:13:50 → 00:13:52 แล้วก็จะเป็นคนที่หงุดหงิดฉุนเฉี่ยวง่าย
00:13:52 → 00:13:55 เพราะว่ามันเหมือนทำให้สมาธิเราสั้นลงได้
00:13:55 → 00:13:57 นะก็คือเราจะปัดไปเรื่อยๆแล้วก็เสพไป
00:13:57 → 00:14:00 เรื่อยๆโดยที่ประมลผนสั้นมากหรือว่าคิด
00:14:00 → 00:14:03 กลั่นกองสั้นมากเพราะรับสื่อเร็วมากรับ
00:14:03 → 00:14:04 อย่างเดียวแล้วเราก็ยังไม่ทันได้คิด
00:14:04 → 00:14:07 วิเคราะห์ไอ้พวกเนี้ยหนึ่งในนั้นเนี่ยนอก
00:14:07 → 00:14:10 จากจะทำลายจอประสาทตาแล้วเนี่ยก็ทำให้
00:14:10 → 00:14:14 สมองของเราสมาธิสั้นลงความจดจำแย่ลงแล้ว
00:14:14 → 00:14:16 เขาเลยไม่แนะนำให้เด็กๆดูจอเยอะหรือในผู้
00:14:16 → 00:14:19 ใหญ่ดูจอเยอะก็ยิ่งทำให้เสื่อมได้ง่ายนะ
00:14:19 → 00:14:22 คะเราจะหลงๆลืมๆได้เลยเพราะเราจะไม่ทัน
00:14:22 → 00:14:24 ได้ใช้สมองจริงๆเราจะรับสารอย่างเดียวมัน
00:14:24 → 00:14:27 จะเป็นการกระตุ้นไฟต่ำขึ้นมาทำให้เราหัว
00:14:27 → 00:14:29 ร้อนโมโหได้ง่ายนะปัจจุบันคนที่ในโซเชียล
00:14:29 → 00:14:32 เนี่ยก็จะค่อนข้างโมโหง่ายแป๊บนึงก็
00:14:32 → 00:14:34 ทะเลาะกันในคอมเมนต์มากมายเราเราไม่ทัน
00:14:34 → 00:14:37 ได้ลดไฟนั้นลงไปเรายังไม่ทันได้กลั่นกอง
00:14:37 → 00:14:39 จริงๆว่าเรื่องนี้มันเป็นยังไงเรารับปุ๊บ
00:14:40 → 00:14:42 ใส่ปั๊บเลยอันนี้มันคือรวดเร็วเกินไปเนาะ
00:14:42 → 00:14:45 แล้วก็ถ้าเราสังเกตว่าถ้าเราใช้เสษตากับ
00:14:45 → 00:14:47 หน้าจอหรือกับโทรศัพท์แล้วเราเปลี่ยนจาก
00:14:47 → 00:14:50 สายตาของเราที่มองใกล้ๆแบบเนี้ยแล้วไปมอง
00:14:50 → 00:14:53 แสงธรรมชาติไม่เอาแสงที่แบบแสงแดดจ้าแต่
00:14:53 → 00:14:56 ว่าเป็นแสงธรรมชาติที่เป็นธรรมชาติสี
00:14:56 → 00:14:59 เขียวท้องฟ้าอสีอ่อนๆเราจะรู้สึกสบสบายตา
00:14:59 → 00:15:01 ทันทีอันนี้ถ้าเกิดว่าใครมองจออยู่แล้วมี
00:15:01 → 00:15:04 ธรรมชาติใกล้ๆลองเปลี่ยนระดับสายตาไปมอง
00:15:04 → 00:15:06 ธรรมชาติตาเราจะเย็นสบายขึ้นทันทีเลยอัน
00:15:06 → 00:15:09 นี้คือความแตกต่างของหน้าจอกับธรรมชาติ
00:15:09 → 00:15:12 ที่เราแบบพักใส่ตาอ่าแล้วก็อีกอันนึงก็
00:15:12 → 00:15:14 คืออ่านหนังสือถ้าเราแบบเหนื่อยล้าสมอง
00:15:14 → 00:15:16 มันอ่านเราไม่เข้าละเราก็จะพักแต่
00:15:16 → 00:15:19 โทรศัพท์เนี่ยมันไม่มีวันพักมันจะมีคทน
00:15:19 → 00:15:22 ให้เราเสพตลอดมันก็เลยทำให้เราแบบฝืนร่าง
00:15:22 → 00:15:24 กายของเราคือเรายังไม่ทันจับว่าเอ้ยตอน
00:15:24 → 00:15:25 นี้ตาเราล้าแล้วนะเราเหนื่อยแล้วนะเรา
00:15:25 → 00:15:29 อยากพักละแต่ว่ามันมีคทนตลอดเวลาเราก็ไม่
00:15:29 → 00:15:31 รู้จักวางแบบเนี้ยมันก็จะยิ่งทำให้การทำ
00:15:31 → 00:15:34 งานของเซลล์ประสาทกระตุ้นตลอดเวลาประสาท
00:15:34 → 00:15:37 มันก็จะเกินมันทำให้เรานอนไม่หลับอยู่ๆก็
00:15:37 → 00:15:40 ขี้หงุดหงิดง่ายกระทบไปนานๆอนอนไม่ดี
00:15:40 → 00:15:43 หงุดหงิดง่ายต่อไปก็จะเกิดความดันโรคหลอด
00:15:44 → 00:15:46 เดือดก็จะตามมาอ่ะมันจะเป็นพฤติกรรมเพราะ
00:15:46 → 00:15:49 งั้นเราก็ต้องปรับอตรงนี้ไปนั่นหมายความ
00:15:49 → 00:15:51 ว่าวิถีชีวิตที่เร่งรีบเพราะว่ายุคสมัย
00:15:51 → 00:15:55 ที่เปลี่ยนไปอก็สามารถส่งผลให้คนเราอ่ะ
00:15:55 → 00:15:57 เป็นโรคแล้วก็ป่วยได้เร็วขึ้นได้เหมออยู่
00:15:57 → 00:16:01 กรุงเทพฯแค่วันเดียวก็คือตอนเช้ารถติด
00:16:01 → 00:16:04 แล้วก็เราต้องรีบออกไปทำงานทีนี้พฤติกรรม
00:16:04 → 00:16:07 ตอนรีบตอนเช้าเนี่ยมันจะเป็นการเติมไฟอ
00:16:07 → 00:16:09 มันก็จะเกิดไฟเกินะบางทีเราก็รู้สึก
00:16:09 → 00:16:10 เครียดไม่รู้ตัวเพราะต้องการทำเวลาอันนี้
00:16:10 → 00:16:13 ก็เป็นกระตุ้นความดันละ 1 อันที่ 2 ก็คือ
00:16:13 → 00:16:16 อาหารโอต้องกินอาหารไม่มีเวลาก็กินอาหาร
00:16:16 → 00:16:18 แช่ฟีดออันนี้ก็เป็นตัวที่ทำให้ร่างกาย
00:16:19 → 00:16:23 เสื่อมแล้วก็พอเราออกมาปุ๊บโหเจอสิ่งแวด
00:16:23 → 00:16:25 ล้อมที่ทำให้เราเครียดหงุดหงิดขับรถแล้ว
00:16:25 → 00:16:27 ก็โมโหง่ายขึ้นมาก็ยิ่งกระตุ้นขึ้นมาอีก
00:16:27 → 00:16:29 อันนี้ก็เลยทำให้รร่างกายของเราอ่ะเสื่อม
00:16:29 → 00:16:32 ได้เร็วคกระตุ้นความดันโดยที่เราไม่รู้
00:16:32 → 00:16:35 ตัวอือฮึจริงๆคุณหมอน่าจะน่าจะอธิบายไป
00:16:35 → 00:16:38 แล้วแหละแต่ว่าเพิ่มเติมนิดนึงแล้วกันก็
00:16:38 → 00:16:41 คือคนที่เป็นคนเจ้าอารมณ์คนที่มักโกรธอ่า
00:16:41 → 00:16:44 อันนี้อาจจะเป็นแบบโกรธง่ายอาจจะโทษสิ่ง
00:16:44 → 00:16:47 รอบตัวอย่างอื่นง่ายอ่าอย่างงี้มีผลในการ
00:16:47 → 00:16:50 เพิ่มความดันในตัวมยคะเพิ่มแน่นอนเลยเรา
00:16:50 → 00:16:53 จะเคยดูละครผู้สูงอายุท่านนึงอ่ะเป็นคุณ
00:16:53 → 00:16:56 แม่พระเอกนางเอกแล้วก็มีคนทำเรื่องไม่ถูก
00:16:56 → 00:17:00 ใจก็แบบบดสติความดันขึ้นหดสิไปเป็นต้นอัน
00:17:00 → 00:17:02 นี้คือละครเขทำไว้แต่ซึ่งมันสอดคล้องกับ
00:17:02 → 00:17:04 ปัจจุบันก็คือถ้าเกิดว่าเราเป็นคนที่อาจ
00:17:04 → 00:17:06 จะมีโรคประจำตัวหรืออาจจะไม่มีหรือเราไม่
00:17:06 → 00:17:09 รู้ตัวใช่่ไหมแล้วเราก็เป็นคนที่ขี้โมโห
00:17:09 → 00:17:11 อยู่ตลอดเวลาหรืออยู่ๆเจอเรื่องที่ทำให้
00:17:11 → 00:17:15 เราโกรธจัดมลงดันขึ้นทันทีบางคนก็ดับดับ
00:17:15 → 00:17:18 ในที่นี้ก็คือเส้นเลข 2 อาจจะตีบการไหล
00:17:18 → 00:17:20 เวียนของเลือดมันเร็วชะงักแล้วสิ่งที่อุด
00:17:20 → 00:17:23 ตันในหลอดเลือดมันไปอุดอหรือว่าทำให้ติด
00:17:23 → 00:17:25 หรือทำให้แตกก็ทำให้เราเป็นสตกได้เส้น
00:17:25 → 00:17:28 สมองตีบแตกตันทำให้เป็นอัมพาตหรือบางคนก็
00:17:28 → 00:17:31 คือคือความดันขึ้นชั่วคราวปวดขมับปวดตา
00:17:31 → 00:17:35 หน้าแดงอารมณ์โกรธโมโหหน้าแดงขึ้นมาก็
00:17:35 → 00:17:37 กระตุ้นความดันได้แล้วพวกเนี้ยหลอดเลือด
00:17:37 → 00:17:40 ของเราก็จะยิ่งเสื่อมง่ายใช่ค่ะอารมณ์นี้
00:17:40 → 00:17:43 สำคัญมากอีกอันนึงก็คือหลายคนที่เร่งรีบ
00:17:43 → 00:17:47 ขี้โมโหมักจะถ่ายยากขับถ่ายยากเพราะว่าไฟ
00:17:47 → 00:17:50 พวกเนี้ยมันจะไปเผาผลาญสารน้ำสารน้ำแห้ง
00:17:50 → 00:17:53 เราก็จะขับถ่ายได้ยากขึ้นแล้วความขับถ่าย
00:17:53 → 00:17:56 ยากขึ้นจะยิ่งเป็นตัวเร่งความดันเพราะว่า
00:17:56 → 00:17:59 มันไม่ได้ระบายไฟออกไปอ่าเอคนที่เป็นโรค
00:18:00 → 00:18:02 หัวใจอ่าคนโรคความดันสูงเขาจะเป็นห่วงมาก
00:18:02 → 00:18:05 ๆเรื่องการขับถ่ายมันจะมีเคสในโรงพยาบาล
00:18:05 → 00:18:08 เขาก็จะอาจารย์หมอเนี่ยจะเป็นห่วงคนไข้
00:18:08 → 00:18:10 มากว่าขับถ่ายหรือยังจะต้องถามทุกเช้าใน
00:18:10 → 00:18:13 แผนกโรคหัวใจเพราะว่าถ้าคนไข้อยู่ๆไปถ่าย
00:18:13 → 00:18:15 แล้วถ่ายยากแล้วเขาเบ่งขึ้นมาอือมันก็จะ
00:18:15 → 00:18:18 ดันเลยอ่ะหัวใจก็อาจจะแบบวายได้หรือว่า
00:18:18 → 00:18:21 เส้นเลือดเพราะเราไอ้แรงเบ่งของเราเนี่ย
00:18:21 → 00:18:24 มันก็จะไปกระทบหลอดเลือดเพรางั้นต้อง
00:18:24 → 00:18:26 รักษาการขับถ่ายให้ดีปรับอารมณ์ให้อ่อน
00:18:26 → 00:18:29 โยนนะไม่เร่งรีบเกินไปอืออต้องปรับที่ใจ
00:18:29 → 00:18:31 เราแหละเพราะบางทีอ่ะเรายังต้องใช้ชีวิต
00:18:32 → 00:18:34 อยู่ในสภาพแวดล้อมเราแบบนี้ใช่ค่ะต้องฝึก
00:18:34 → 00:18:37 ลมหายใจกลับไปที่ฝึกลมหายใจใช่ค่ะเหมือน
00:18:37 → 00:18:39 Ep ที่แล้วใครยังไม่ได้ดูนะคะตัวไอได้
00:18:39 → 00:18:41 เออไปดูอีกรอบนึงเมื่อกี้เป็นพฤติกรรมของ
00:18:41 → 00:18:44 การใช้ชีวิตมีเรื่องการทานอาหารที่เป็น
00:18:44 → 00:18:47 อาหารฟิเข้ามาะแล้วคนที่ทานรสจัดแล้วคุณ
00:18:47 → 00:18:49 หมออ้ารสจัดก็มีส่วนอย่างมากที่จะกระตุ้น
00:18:49 → 00:18:51 ให้ความดันโลหิตสูงเราจะเรียกว่าโซเดียม
00:18:51 → 00:18:54 เกินอการไหล่เวียนของเลือดของเราก็จะผิด
00:18:54 → 00:18:58 ปกติไปจริงๆโซเดียมอ่ะเราจะกลัวใช่มยเมี
00:18:58 → 00:19:00 ประโยชน์อะไโทษแต่ว่าบางในปัจจุบันเนี่ย
00:19:00 → 00:19:02 เราจะมองว่าเา้ามีโทษมากกว่าเพราะว่าเรา
00:19:02 → 00:19:05 กินโซเดียมเกินแหละสมัยก่อนอ่ะเขาจะมี
00:19:05 → 00:19:07 สงครามแย่งเกลือกันเพราะว่าจริงๆเกลือ
00:19:08 → 00:19:10 เป็นสิ่งจำเป็นแต่ว่าในปัจจุบันน่ะมันมี
00:19:10 → 00:19:13 เกินเยอะเกินไปแล้วเราบริโภคมากเกินไปมัน
00:19:13 → 00:19:16 ก็จะเป็นผิดเป็นโทษงั้นคนที่ทานรถจัดเกิน
00:19:16 → 00:19:19 ไปจริงๆรถจัดเนี่ยเราจะมองว่ารถรถเค็มจะ
00:19:19 → 00:19:22 ทำให้ความดันสูงนะจริงๆในทางสาแพทแผนจีน
00:19:22 → 00:19:26 เราจะมองทั้ง 5 รถเลยอ่ะทั้งขมเกินไปจริง
00:19:26 → 00:19:29 ๆรถขมมันจะรถไฟหัวใจนะพวกรถรถขมเนี่ยจริง
00:19:29 → 00:19:33 ๆมันจะไปช่วยลดความดันได้อว่าขมมากเกินไป
00:19:33 → 00:19:35 ในคนที่ความดันต่ำเนี่ยอาจจะยิ่งทรุดอ่า
00:19:35 → 00:19:38 แต่อันนี้เเราก็มาเล่าให้เป็นความรู้รถ
00:19:38 → 00:19:41 เปรี้ยวเนี่ยเอ่อคนที่เครียดมากๆเนี่ยทาน
00:19:41 → 00:19:43 เปรี้ยวได้มันจะทำให้อ่อนโยนขึ้นแต่ถ้า
00:19:43 → 00:19:45 ใครที่เหนื่อยมากๆทานเปรี้ยวเกินไปมันจะ
00:19:45 → 00:19:49 ทำให้เรายิ่งไม่มีแรงมันจะไปทำให้อ่อนทำ
00:19:49 → 00:19:53 ให้ร่างกายอ่อนขึ้นอรสเผ็ดจะเป็นตัวที่
00:19:53 → 00:19:55 จริงๆจะเข้าปอดอ่าแต่ว่ามันจะเป็นตัวเผ็ด
00:19:56 → 00:19:58 ร้อนเนี่ยมันจะไปเร่งความร้อนในร่างกาย
00:19:58 → 00:20:02 เร่งไฟอใครที่แกทานเผ็ดจนแบบหูดับหน้าแดง
00:20:02 → 00:20:04 มันก็จะเป็นตัวเร่งได้อันนึงต่อมาก็คือรส
00:20:05 → 00:20:08 เค็มแล้วก็หวานความหวานเนี่ยจะเข้ามมเ๋รส
00:20:08 → 00:20:11 หวานจะบำรุงม้ามแต่ถ้าหวานมากเกินไปทำ
00:20:11 → 00:20:14 ร้ายมมสาเหตุของไขมันความดันเบาหวานก็มา
00:20:14 → 00:20:17 จากตรงนี้เลยก็เลยเป็นสาเหตุว่าทำไมถึง
00:20:17 → 00:20:20 ไม่ให้กินหวานเกินไปอหวานเกินไปพอทำร้าย
00:20:20 → 00:20:23 ม้ามม้ามอ่อนแอปุ๊บเขาก็จะไม่สามารถผลิต
00:20:23 → 00:20:25 พลังชีแลเลือดได้เขาไม่สามารถจัดการกับ
00:20:25 → 00:20:29 เสมหะสิ่งผิดปกติได้ก็คือพวกไขมันอุก
00:20:29 → 00:20:33 น้ำตาลปกค้างนะพอเรากินหวานมากเกินไปมีไข
00:20:33 → 00:20:36 มันมีน้ำตาลเซลล์เริ่มเสื่อมมันก็จะทำให้
00:20:36 → 00:20:38 แรงนั้นเกินขึ้นมาได้เพราะฉะนั้นจริงๆใน
00:20:38 → 00:20:41 ทุกๆรสชาติถ้าเราทานมากเกินไปหรือทานไม่
00:20:41 → 00:20:44 สมดุลก็จะทำให้เราไม่สบายได้ถ้าเราทาน
00:20:44 → 00:20:46 อาหารมาแล้วแล้วรสชาติค่อนข้างจัดนิดนึง
00:20:46 → 00:20:49 ทำยังไงดีเราก็จิบน้ำเปล่าตามบ่อยๆอน้ำ
00:20:49 → 00:20:52 เนี่ยเป็นตัวปั๊สมดุลให้เราค่อยๆจิบค่อยๆ
00:20:52 → 00:20:54 จิบไปร่างกายของเราก็จะมีการปรับบาลานซ์
00:20:54 → 00:20:57 ได้โดยธรรมชาติพูดถึงน้ำค่ะหนูขอถามเพิ่ม
00:20:57 → 00:20:59 เติมว่าเราจะเคยได้ยินกันว่าดื่มน้ำเปล่า
00:20:59 → 00:21:02 วันละ 8 แก้วออ่า 8 แก้วนี่มันแก้วแต่ละ
00:21:02 → 00:21:06 คนไม่เท่ากันจริงๆถ้าเกิดว่าเราเอาแบบ
00:21:06 → 00:21:09 ง่ายๆแบบไม่น้ำนะคะจะให้พกขวดน้ำไว้ใกล้
00:21:09 → 00:21:13 ตัวแล้วค่อยๆจิบอยู่ตลอดเวลาคือจะไม่ให้
00:21:13 → 00:21:16 เรารู้สึกคอแห้งหรือเราทำงานจนลืมโอ้มัน
00:21:16 → 00:21:18 ผ่านมาชั่วโมงละนึกขึ้นได้ก็จะให้เอามา
00:21:18 → 00:21:21 จิบเรื่อยๆบางคนก็คือพอนึกขึ้นได้กินน้ำ
00:21:21 → 00:21:25 ทีเดียวเลยขวดนึงออแบบนี้ก็จะไม่ดี
00:21:25 → 00:21:27 อันตรายใช่้ากินน้ำทีเดียวเยอะๆทางสาแพ
00:21:27 → 00:21:30 แผนจีนอ่ะจะมองว่าน้ำเนี่ยก็จะเป็นผิดได้
00:21:30 → 00:21:33 ค้าค้าเข้าไปปุ๊บจุกอกนะหายใจไม่ออกแบบ
00:21:33 → 00:21:35 เหมื่อเย็นออกเพราะว่าสารน้ำนั้นมันอุด
00:21:35 → 00:21:38 กลั้นที่ทรวงอกการไหลเวียนของเลือดแย่ลง
00:21:38 → 00:21:40 ได้ถ้าใครรู้สึกว่าทานน้ำแล้วรู้สึกว่า
00:21:40 → 00:21:43 ทานไม่ลงหมอแบบข้าคอแห้งนะแต่ว่ากินน้ำ
00:21:43 → 00:21:44 แล้วรู้สึกว่ามันกินไม่ลงกินแล้วไม่สด
00:21:44 → 00:21:47 ชื่นเนี่ยจะให้กินน้ำที่เป็นน้ำขิงได้อ่า
00:21:47 → 00:21:49 น้ำขิงเขาจะช่วยหมุนเวียนพลังชีแล้วเราจะ
00:21:49 → 00:21:54 ทันน้ำได้ลึกขึ้นที่ถามว่าคนนึงน้ำเอ่อ 8
00:21:54 → 00:21:58 แก้วไม่เท่ากันจริงๆเขาจะมีวิธีการคำนวณ
00:21:58 → 00:22:01 คนที่ทานน้ำแล้วน้ำไม่ไหลเวียนเนี่ยเขาจะ
00:22:01 → 00:22:03 เหงื่อออกเหงื่อเย็นออกหายใจไม่ออกได้เลย
00:22:03 → 00:22:05 ก็คือมันจะอาการทันทีหรือบางคนที่เราจะ
00:22:06 → 00:22:08 ได้ข่าวว่าแบบเขาแข่งกินน้ำกันเราก็ไตไต
00:22:08 → 00:22:12 วายอือ่ะไตทำงานหนักเกินไปเพราะไตดูแลสาร
00:22:12 → 00:22:14 น้ำในร่างกายที่เราให้ทานน้ำแล้วลดความ
00:22:14 → 00:22:16 ดันได้เพราะพอค่อยๆจิบแล้วความเข้มข้นของ
00:22:16 → 00:22:19 เลือดมันไม่เข้มอารไหล่เวของน้ำในหลด
00:22:19 → 00:22:21 เลือดอะไรอย่าเงี้ยก็จะดีแต่พอทานมากเกิน
00:22:21 → 00:22:23 ไปไายทำงานหนักมีคำถามนึงค่ะอาจจะเป็น
00:22:23 → 00:22:26 ประสบการณ์ตรงก็ได้เออเราเราจะเคยมีบาง
00:22:26 → 00:22:28 ครั้งที่เราทานน้ำแล้วหนูไม่แน่ใจว่าคือ
00:22:28 → 00:22:30 มันเป็นคำใหญ่ไปหรือเปล่าเพราะเราจะรู้
00:22:30 → 00:22:32 สึกเลยว่ามันกำลังไหลใช่มันแนไหลลงช้าๆ
00:22:32 → 00:22:34 แบบแน่นๆอย่างเงี้ยอันนั้นมันเกิดจากอะไร
00:22:34 → 00:22:37 คะเราจะเรียกว่าพลังหยางอ่ะตรงกลางเนี่ย
00:22:37 → 00:22:39 เราจะมีพลังชที่เรียกว่าโจงชี่อยู่อ่ะ
00:22:39 → 00:22:42 แล้วก็ในร่างกายตรงทรงอกเเขาจะมีพลังหยาง
00:22:42 → 00:22:44 ของเขาในตัวช่วยในการหมุนเวียนของน้ำแต่
00:22:44 → 00:22:47 จริงๆก็เป็นปอดเนี่ยจะช่วยในการไหลเวของ
00:22:47 → 00:22:49 น้ำทีนี้พอเรากินน้ำอึกใหญ่เกินไปแล้วมัน
00:22:49 → 00:22:52 ก็จุกขึ้นมาเลยอันนี้ก็คือพลังอย่างที่
00:22:52 → 00:22:54 เขาทำงานไม่ทันเราจะกินน้ำเย็นเกินไปกิน
00:22:54 → 00:22:56 น้ำคำหย่เกินไปเพราะจริงๆน้ำในอุณหภูมิ
00:22:57 → 00:22:59 ที่อุ่นเนี่ยเราจะไม่กินคำยใหญ่แต่เรามัก
00:22:59 → 00:23:01 จะกินน้ำคำใหญ่ในน้ำอุณหภูมิปกติหรือน้ำ
00:23:01 → 00:23:04 เย็นใช่แล้วพอเข้ามาปุ๊บมันก็จะแน่นพลัง
00:23:04 → 00:23:07 ชีพทำงานไม่ทันมันก็จะจุบอเราต้องมีตัว
00:23:07 → 00:23:09 หมุนเวียนพลังชีพทีนี้ถ้าเกว่าใครรู้สึก
00:23:10 → 00:23:12 ว่ากินน้ำแล้วจุกขึ้นมามอก็จะแนะนำให้กิน
00:23:12 → 00:23:15 น้ำขิงอ่ะกินน้ำขิงมันจะช่วยคลายคลาย
00:23:15 → 00:23:18 อาการเหล่าเยได้เร็วถ้าเราอยู่ในอุณหภูมิ
00:23:18 → 00:23:20 ที่เย็นหน่อยเนี่ยเราจิบน้ำอุ่นเราจะกิน
00:23:20 → 00:23:22 ได้ง่ายขึ้นแต่ถ้าเกิดว่าเราแบบอยู่ใน
00:23:22 → 00:23:24 ห้องแอร์เย็นแบบนี้แล้วก็ไปกินน้ำเย็น
00:23:24 → 00:23:26 เข้ามาอีกมันจะไหลเวียนไม่ดีเพราะพลังยง
00:23:26 → 00:23:28 ในร่างกายของเรามันจะน้อยอยู่ละไม่มีพลัง
00:23:28 → 00:23:31 งานเพียงพอที่จะไปไหลเวียนสันน้ำค่ะอัน
00:23:31 → 00:23:33 นี้คือเรื่องของการทานน้ำค่ะมีอีกหนึ
00:23:33 → 00:23:36 อย่างค่ะที่หนูสงสัยหนูว่าหลายๆท่านอาจจะ
00:23:36 → 00:23:38 สงสัยเหมือนกันเราพูดถึงเรื่องความดันนะ
00:23:38 → 00:23:41 คุณหมออีกอย่างนึงที่ร่างกายเป็น
00:23:41 → 00:23:44 ปฏิกิริยาละกันก็คือการจามซึ่งแต่ละคนจาม
00:23:44 → 00:23:47 ไม่เหมือนกันบางคนจำเบาๆน่ารักๆบางคนจาม
00:23:47 → 00:23:50 ทีโอโหบ้านสั่นเลยเรื่องการจำเสียงดัง
00:23:50 → 00:23:52 เสียงเบามันเป็นมันเกี่ยวกับนิสัยมั้ยคะ
00:23:52 → 00:23:55 ฝึกได้มแล้วการจำแรงๆเนี่ยมีผลต่อความดัน
00:23:55 → 00:23:58 มคะการจามแล้วปัสสาวะเล็ดมันจะไม่ใช่ทุก
00:23:58 → 00:24:00 คนแต่ว่าอาจจะเป็นตัวกระตุ้นได้อ่าทำให้
00:24:00 → 00:24:03 แบบแรงดันช่วงนั้นผิดปกติไปช่วยขาเหมือน
00:24:03 → 00:24:05 เราเบ่งอย่างที่หมอบอกไปเมื่อสักครู่เนาะ
00:24:05 → 00:24:08 ทีนี้ถ้าเราต้องการบอกให้เขาจามเบาๆกับ
00:24:08 → 00:24:12 จามมันจะเหมือนเป็นนิสัยเปิดเผยกับนิสัย
00:24:12 → 00:24:15 เก็บเรารู้จักอสำรวมใช่มคะหมายถึงเรื่อง
00:24:15 → 00:24:18 ของนิสัยถ้าเกิดว่าบางคนเขาแบบจามไม่ปิด
00:24:18 → 00:24:21 จริงๆมันเก็บได้ถ้าเราอยากจะจามเสียงดัง
00:24:21 → 00:24:23 มันก็ทำได้หรือว่าเราจะจามออกมาแต่ว่า
00:24:23 → 00:24:25 ต้องจามนะห้ามกลั้นเพราะถ้ากลั้นมันจะดัน
00:24:25 → 00:24:27 ขึ้นสมองมันจะมีเคสคนไข้ที่จะไม่สบายได้
00:24:27 → 00:24:30 จากการแบบพยายามกั้นไม่ให้จามขึ้นมาเสียง
00:24:30 → 00:24:32 เบาเสียงดังเนี่ยมันไม่ใช่เพราะจามใหญ่
00:24:32 → 00:24:35 มันก็เลยดังจริงๆมันเป็นการปรับเราสามารถ
00:24:35 → 00:24:38 ปรับได้อืทำได้หรอคะอถ้าเราอยากจะจำงี้
00:24:38 → 00:24:41 เราก็สามารถทำให้มันไม่ดังเกินไปได้แต่
00:24:41 → 00:24:45 มันเป็นถคือบางคนแล้วกันเาอาจจะแบบเป็นคน
00:24:45 → 00:24:48 นิสัยจามดังอ่ะจามดังมาโดยตลอดแล้วเแล้ว
00:24:48 → 00:24:51 มันจะสามารถปรับให้มันเบาลงได้หรอคะจริงๆ
00:24:51 → 00:24:53 ปรับได้เพราะการจามมันคือการจามเราจาม
00:24:53 → 00:24:55 แล้วเราส่งแรงเข้าไปหรือว่าเราจามเรา
00:24:55 → 00:24:57 พยายามปิดแต่ว่าเราให้มันออกมานะแต่ว่า
00:24:58 → 00:25:02 เราสามารถควบคุมได้นะอถ้าอาจจะจำอแล้วก็
00:25:02 → 00:25:04 ออกมาได้อยู่แต่ว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้อง
00:25:04 → 00:25:07 เพิ่มเสียงหรือว่าพยายามดันมันออกมาถ้า
00:25:07 → 00:25:09 พูดถึงนิสัยก็สามารถปรับได้เพราะบางคนคือ
00:25:09 → 00:25:12 เขาก็จะไม่ได้สนใจใช่มั้เราก็อาจจะอยู่ใน
00:25:12 → 00:25:16 ที่ที่เราสบายใจเราก็เลยแบบทำไปอย่างเปิด
00:25:16 → 00:25:18 เผยใช่อันนี้ก็จะมองว่าเป็นแบบมาเปิดเผย
00:25:18 → 00:25:21 ไม่ค่อยควบคุมตัวเองหรือว่าคนนี้ค่อนข้าง
00:25:21 → 00:25:23 แบบสำรวมควบคุมตัวเองถ้าพูดถึงนิสัยก็
00:25:23 → 00:25:25 เกี่ยวเหมือนกันบอกได้ว่าอ้าคนนี้อาจจะ
00:25:25 → 00:25:28 ไม่ใช่คนที่ระวังตัวเท่าไหร่อเอาจจะจะจำ
00:25:28 → 00:25:31 เสียงดังไปอะไรอย่างเงี้ยอคนที่จำเล็กๆเ
00:25:31 → 00:25:34 อาจจะดูสิ่งแวดล้อมไม่อยากให้เสียมารยาท
00:25:34 → 00:25:36 อะไรอย่างเงี้ก็เขาก็จะฝึกตรงเนี้ยมัน
00:25:36 → 00:25:40 เป็นการปรับได้ใช่แล้วแล้วการจำแรงมันมี
00:25:40 → 00:25:42 ผลเสียกับอย่างอื่นในร่างกายอีกมยคะมันจะ
00:25:42 → 00:25:46 มีผลต่อหลอดเลือดในบางคนอการไอการจามหรือ
00:25:46 → 00:25:49 การเบ่งเนี่ยมันทำให้การไหลเวียนของความ
00:25:49 → 00:25:52 ดันของเราอ่ะเอ่อกระตุ้นชั่วคราวผิดปกติ
00:25:52 → 00:25:55 ชั่วคราวจากปกติการไหล่เวียนของระบบโลหิต
00:25:55 → 00:25:58 เป็นปกติอยู่อยู่เราไปอ่าจามขึ้นมาปุ๊บ
00:25:58 → 00:26:01 มันขึ้นมามันก็จะเป็นตัวกระตุ้นได้ในบาง
00:26:01 → 00:26:04 ครั้งที่คนคนนั้นค่อนข้างอ่อนแอมากมันก็
00:26:04 → 00:26:07 จะเป็นตัวกระตุ้นได้คนที่มีโรคทางสมองหัว
00:26:07 → 00:26:11 ใจโรคหลอดเลือดเนี่ยอารไอการจามต่างๆก็จะ
00:26:11 → 00:26:14 มีเป็นตัวกระตุ้นได้เหมือนกันแล้วก็ค่อยๆ
00:26:14 → 00:26:17 ทำทำระวังเ่าหลายๆที่เราพูดมาก็จะเป็น
00:26:17 → 00:26:20 พฤติกรรมที่อาจจะทำให้เรามีความดันมาก
00:26:20 → 00:26:22 ขึ้นเมื่อกี้คุณหมอพูดถึงเรื่องหลอดเลือด
00:26:22 → 00:26:25 สมองโรคหลอดเลือดสมองในทางแท่แผ่นจีนนะคะ
00:26:26 → 00:26:28 คืออะไรค่ะคนที่เป็นโรคหลอดเลือดสองสมอง
00:26:28 → 00:26:31 จีบแตกตันจนกลายเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ละ
00:26:31 → 00:26:33 เพราะสมองของเราเนี่ยเป็นตัวควบคุมการทรง
00:26:33 → 00:26:36 ตัวงภาษาจีนน่ะมีโรคเยมานานแล้วเราจะ
00:26:36 → 00:26:39 เรียกว่าจ้งเฟิอ่าจ้งเฟิงก็คือเป็นพิษของ
00:26:39 → 00:26:42 ลมในร่างกายของเราอันนึงที่เป็นตัว
00:26:42 → 00:26:45 กระตุ้นทำให้เป็นโรปเนี้ยได้มากในทางา
00:26:45 → 00:26:47 แพทยเป็นจีนจะเขียนพิษลมจะสัมพันธ์กับตับ
00:26:47 → 00:26:49 ตับจะสัมพันธ์กับแรงดันสูงในร่างกายของ
00:26:49 → 00:26:51 เราอ่ะถ้าเราฟังตั้งแต่ต้นเนาะทนี้ถ้าเิด
00:26:51 → 00:26:54 ว่าเราพักผ่อนไม่พอมีความเครียดอ่ะขี้
00:26:54 → 00:26:57 หงุดหงิดโมโหง่ายความร้อนในรูดสูงขึ้นจน
00:26:57 → 00:26:59 ทำให้เกิดลมในเลือดหมอจะชอบยกตัวอย่างเรา
00:27:00 → 00:27:02 อ่ะตั้งตุ่นเลือดของเราค่ะตอนที่เราไม่
00:27:02 → 00:27:04 นอนตอนที่เราโมโหเนี่ยมันเราจุดไฟเผา
00:27:04 → 00:27:07 เลือดของเราแล้วเลือดมันร้อนร้อนแล้วมัน
00:27:07 → 00:27:09 ก็จะเกิดฟองอากาศอ่ะเหมือนเราต้มน้ำในทาง
00:27:10 → 00:27:11 สถาแพทยแผ่นจริงเขาจะเปรียบเทียบว่าเลือด
00:27:12 → 00:27:15 ที่ร้อนจัดจะทำให้เกิดลมในเลือดมาทีนี้พอ
00:27:15 → 00:27:17 เกิดลมในเลือดปุ๊บแล้วมันก็จะไปอุดตันได้
00:27:17 → 00:27:20 อ่ะเราพอเรานอนไม่พอโมโหขึ้นมามันก็จะดัน
00:27:20 → 00:27:23 จนทำให้ตีบหรือแตกอ่ะทีงในทางสาแพจริงๆ
00:27:23 → 00:27:25 เขาจะแบ่งออกเป็น 2 อันก็คือจ้งจริงรั่ว
00:27:26 → 00:27:28 ก็คือเป็นระดับจริงรั่วมันก็จะแบบคนที่
00:27:28 → 00:27:30 เป็นโรคหน้าเบี้ยวเ poy ไอ้พวกนี้ก็จะ
00:27:30 → 00:27:33 เป็นโรคลมทั้งสิ้นนะคะก็คือแบบหน้าเบี้ยว
00:27:33 → 00:27:37 ชั่วคราวขยับเขยื้อนร่างกายได้ช้าลงครึ่ง
00:27:37 → 00:27:39 ซีกชั่วคราวอะไรอย่างงี้เนาะกับอีกอันนึง
00:27:39 → 00:27:41 คือจ้งจ้างฝูก็คือเป็นหนักละถึงภายในเขา
00:27:41 → 00:27:44 จะเป็นถึงขั้นหมดสติไปค่ะคนที่เส้นเลือ
00:27:44 → 00:27:47 สมองแตกแล้วก็หมดสติไปยาวนานอะไเงี้ยเจะ
00:27:47 → 00:27:50 เป็นทำให้ข้างในดับอ่ะจะมีทัวรเจิ้งกับ
00:27:50 → 00:27:53 ปี้เจิ้งปี้ก็คือปิดก็คือแบบกัดฟันแข็ง
00:27:53 → 00:27:56 ตัวแข็งทื่อแล้วก็หมดสติไปกับอีกคนนึงก็
00:27:56 → 00:27:58 คือทัวร์ก็คือเหมือนกับเขา
00:27:58 → 00:28:00 ไปเลยอย่างเงี้ยถ้าเราช่วยไม่ทันเขาก็จะ
00:28:00 → 00:28:03 โอกาสฟื้นยากแต่เขาฟื้นมาแล้วสมองถูก
00:28:03 → 00:28:06 ทำลายไปลหลายคนก็จะผาตัดสมองออกไปอ่ะสมอง
00:28:06 → 00:28:08 แหว่งแล้วก็จะเดินได้ยากขึ้นเดินได้แย่
00:28:09 → 00:28:12 ขึ้นหมอมีเคทคนไข้เขาอายุไม่ถึง 30 กิน
00:28:12 → 00:28:15 แอลกอฮอล์กับเพื่อนทานๆๆทๆๆแล้วเขาจะเดิน
00:28:15 → 00:28:17 ไปเข้าห้องน้ำแล้วเขาล้มแล้วเพื่อนคิดว่า
00:28:17 → 00:28:20 เขาเมาอือ่าแล้วตอนเช้าก็คือยังไม่ตื่น
00:28:20 → 00:28:23 ถึงได้พาไปโรงพยาบาลเคสนี้ก็เป็นเคสที่
00:28:23 → 00:28:26 สมองแหว่งเพราะว่าแตกละเรียบร้อยแล้วก็
00:28:26 → 00:28:28 เอาเลือดออกโชคดีที่ไม่เสียชีวิตแต่ว่าก็
00:28:28 → 00:28:31 เดินกลับมาได้ไม่ปกติเพราะฉะนั้นอันตราย
00:28:31 → 00:28:33 มากโดยเฉพาะคนที่ไม่รู้ตัวเองว่ามีความ
00:28:33 → 00:28:36 เสี่ยงะกินแอลกอฮอล์กินของทอดอายุยังน้อย
00:28:36 → 00:28:39 พักผ่อนน้อยกินแอลกอฮอล์ชอบกินกันดึกๆอ
00:28:39 → 00:28:41 อ่าแล้วคนที่กินด้วยกันก็เมาเหมือนกันก็
00:28:41 → 00:28:43 เขาก็ปฐมพยาบาลเราได้ไม่ทันค่ะอ่ะวิธีการ
00:28:44 → 00:28:47 สังเกตคนที่โรคหลอดเลือดสมองกำลังจะมาะ
00:28:47 → 00:28:48 ถ้าเกิดว่าเขาทำอะไรอยู่เขาก็จะค้างไว้
00:28:48 → 00:28:51 ท่านั้นคือเขาทำไม่หยุดเพราะเขาสั่งการ
00:28:51 → 00:28:53 ร่างกายของเขาไม่ได้หรืออ่อนแรงไปเลยอ่อน
00:28:53 → 00:28:55 แรงไปเลยก็คือแบบทรุดไปเลยเดินต่อไปไม่
00:28:55 → 00:28:58 ได้ขาอ่อนแรงภาพเห็นไม่ชัดเขจะบมองไม่
00:28:58 → 00:29:01 เห็นเราหรือว่าพูดไม่ได้พูดเอาลิ้นแข็ง
00:29:01 → 00:29:03 งั้นการพูดของเราเนี่ยสัมพันธ์กับสมองมาก
00:29:03 → 00:29:05 ๆแล้วอยู่ๆพูดไม่ได้ลิ้นแข็งขึ้นมาก็จะ
00:29:05 → 00:29:08 บอกว่าสมองของเราเริ่มมีปัญหาอันนี้ก็คือ
00:29:08 → 00:29:10 เป็นอาการของคนที่อาจจะมีภาวะเป็นโรคหลอด
00:29:10 → 00:29:12 เลือดสมองเมื่อกี้คุณหมอพูดมามันจะเกี่ยว
00:29:12 → 00:29:16 กับลมด้วยใช่มั้ยคะพลมในงายค่ะหนูเลยอยาก
00:29:16 → 00:29:19 รู้ว่าพฤติกรรมแบบไหนหรือว่าอาจจะเป็น
00:29:19 → 00:29:21 พฤติกรรมการกระทำก็ได้นะคะหรือจะเป็น
00:29:21 → 00:29:23 อาหารการกินแบบไหนที่มันทำให้เกิดลมใน
00:29:23 → 00:29:25 ร่างกายอ่าถ้าเกิดว่าพิษลมอย่างที่เมื่อ
00:29:25 → 00:29:28 สักครู่พูดไปก็คือเกี่ยวกับตับพฤติกรรม
00:29:28 → 00:29:31 ที่กระทบไฟตับมากๆจนทำให้เลือดร้อนก็คือ
00:29:31 → 00:29:33 การพักผ่อนไม่พอพอเราพักผ่อนน้อยๆเนี่ย
00:29:34 → 00:29:36 เลือดมันจะร้อนมากจนทำให้เกิดลมในเลือด
00:29:36 → 00:29:39 บางคนน่ะเป็นไม่ถึงความดันเป็นไม่ถึงสโตก
00:29:39 → 00:29:43 แต่ว่าเป็นผื่นคันอก็แสดงออกมาออไปก็เป็น
00:29:43 → 00:29:47 พวกภูมิแพ้ลมพิษเนาะต่อมาก็คืออาหารอ่ะ
00:29:47 → 00:29:51 อาหารที่จะทำให้ร่างกายของเราร้อนจนทำให้
00:29:51 → 00:29:53 เกิดลมกระเพาะอาหารและม้ามเนี่ยเขาจะค่อน
00:29:53 → 00:29:56 ข้างสัมพันธ์กับพลังงานของตับถ้าเกิดว่า
00:29:56 → 00:29:59 เราทานอาหารเข้ามาได้ไม่ดีอาหารนั้นทำให้
00:29:59 → 00:30:02 การไหลเวของเลือดแย่ลงเอาบอกก็ยกตัวอย่าง
00:30:02 → 00:30:06 พวกอาหารที่มันแปรรูปมากๆทำให้เกิดร่าง
00:30:06 → 00:30:10 กายอักเสบมากๆทอดๆมันๆหวานๆพวกนี้มันก็ทำ
00:30:10 → 00:30:13 ให้ร่างกายของเราร้อนขึ้นร้อนขึ้นจนทำให้
00:30:13 → 00:30:16 การไหลเวรของเลือดไม่ดีมันก็จะหยุดชะงัก
00:30:16 → 00:30:18 เลือดชะงักเลือดชะงักติดค้างไปนานๆมันก็
00:30:18 → 00:30:21 จะเกิดไฟความร้อนพอเลือดร้อนไปนานก็จะ
00:30:21 → 00:30:24 เกิดลมั้นถ้าอารกินไม่ดีทำให้เลือดชะงัก
00:30:24 → 00:30:26 เกิดความร้อนเนี่ยมันก็จะเป็นผิษต่อไปได้
00:30:26 → 00:30:29 เพงั้นเราก็ควรจะทานอาหารให้ดีแล้วก็นอน
00:30:29 → 00:30:32 ให้ดีเสริมด้วยการกระตุ้นการไหลเวียงของ
00:30:32 → 00:30:34 เลือดด้วยการออกกำลังกายหลายคนจะบอกไม่มี
00:30:34 → 00:30:37 เวลาหมอก็จะแนะนำให้เดินขึ้นบันไดกิน
00:30:37 → 00:30:39 เสร็จแล้วเดินบ่อยๆขยับร่างกายบ่อยๆก็จะ
00:30:39 → 00:30:41 เป็นการไหลเวนกระตุ้นการไหลเวนของเลือด
00:30:41 → 00:30:44 ของเราได้อันนี้อาจจะดูเป็นคำถามที่แปลกๆ
00:30:44 → 00:30:46 หน่อยนะคะหนูอยากรู้ว่าแล้วถ้าเราเป็นคน
00:30:46 → 00:30:49 ที่มีพฤติกรรมเวลาเราไปทานอาหารไปกินข้าว
00:30:49 → 00:30:52 กับเพื่อนตอนพักกลางวันเงี้ยแล้วชิดแชท
00:30:52 → 00:30:54 กันคุยกันสนุกสนานมากมันเป็นการเอาลมเข้า
00:30:54 → 00:30:57 ในร่างกายมั้คะแบบนี้อ้อไม่จริงๆพิษลมใน
00:30:57 → 00:30:59 ร่างกายเนี่ยเมื่อสักครู่คือพิษลมจาก
00:30:59 → 00:31:02 เลือดที่ร้อนค่ะตะกี้น้องเถามว่าเรอบ่อย
00:31:02 → 00:31:06 อันนี้จะเป็นพิษลมของภายในร่างกายลมที่
00:31:06 → 00:31:08 กระทบร่างกายเนี่ยเราจะแบ่งเป็น 2 อันลม
00:31:08 → 00:31:11 จากภายนอกลมจากภายนอกก็คือลมเย็นพัดโดน
00:31:11 → 00:31:13 ผิวเราแล้วเราจามไม่สบายเป็นไข้หวัดอัน
00:31:13 → 00:31:16 นี้ก็จะเป็นพิษลมที่กระทบผิวหนังจนทำให้
00:31:16 → 00:31:20 เกิดอาการของปอดอเป็นไข้หวัดต่างๆกับพิษ
00:31:20 → 00:31:22 ลมจากภายในก็คือเมื่อสักครู่พูดไปก็คือ
00:31:22 → 00:31:26 เรื่องการนอนหลับการกินแล้วก็ความเครียด
00:31:26 → 00:31:28 ความคิดมากกระทบก็กระเพาะพลังชีพของ
00:31:28 → 00:31:31 กระเพาะอหารแลมมมอ่ะพลังชีพของกระเพาะเขา
00:31:31 → 00:31:34 จะดันลงพลังชีพของมเขาจะดันขึ้นเถ้าเกิด
00:31:34 → 00:31:36 ว่าเรามีความเครียดคิดมากมันจะทำให้ท้อง
00:31:36 → 00:31:39 อืดง่ายลมไม่วิ่งอ่ะมันถึงจะมีอาการลือ
00:31:39 → 00:31:41 แต่ว่าการกินลมพวกเนี้ยจริงๆกินเข้าไปเรา
00:31:41 → 00:31:43 จะรู้สึกจุกได้นะถ้าเรากินแต่ว่าถ้าเรา
00:31:43 → 00:31:45 ทานอาหารเสร็จแล้วแล้วเราก็พูดคุยอ่ะไม่
00:31:45 → 00:31:49 ไม่ไม่ใช่พิษลมถ้ากินไปคุยไปอันนี้อ่าถ้า
00:31:49 → 00:31:51 เกิดว่ากินไปคุยไปจริงๆเราจะเป็นห่วง
00:31:51 → 00:31:54 เรื่องการสำลักอือ่าสำลักมากกว่าหรือว่า
00:31:54 → 00:31:57 พอเรากินไปคุยไปกินน้ำไประบบย่อของเราจะ
00:31:57 → 00:32:00 แย่พอระบบรย่อยแย่มันก็จะมีลมเกิดขึ้นเรา
00:32:00 → 00:32:02 อาจจะคิดว่าเป็นลมจากที่เรากินเข้าไปแต่
00:32:02 → 00:32:04 จริงๆคือเป็นลมที่เราทานอาหารไม่เสร็จที
00:32:04 → 00:32:07 เดียวอ่ะกินไปเล่นไปอะไรอย่าเงี้ยกระเพาะ
00:32:07 → 00:32:10 ทำงานไม่ดีเขาก็จะทำให้ลมติดขัดในร่างกาย
00:32:10 → 00:32:13 อันนี้จะเป็นลมจากทางเดือนอาหารอคุณหมอมี
00:32:13 → 00:32:16 วิธีแนะนำพฤติกรรมการทานอาหารการกินอาหาร
00:32:16 → 00:32:18 ว่าเวลาเรากินเราควรจะกินยังไงให้มันดี
00:32:18 → 00:32:21 ต่อสุขภาพอ่ะอ่ะถ้าเกิดว่าเป็นจะแนะนำให้
00:32:21 → 00:32:23 กินตั้งแต่ตอนเช้าช่วงเวลาของกระเพาะ
00:32:23 → 00:32:25 อาหารอ่ะหมอยังแนะนำให้กินอาหารเช้าอยู่
00:32:25 → 00:32:27 เพราะปัจจุบันเขาจะแบบอาหารเช้าอาจจะไม่
00:32:27 → 00:32:30 จำเป็นใช่มั้ได้ยแบบนี้อันนี้ขึ้นอยู่กับ
00:32:30 → 00:32:32 พฤติกรรมของแต่ละคนแต่ว่าทำไมถึงแนะนำให้
00:32:32 → 00:32:35 กินตอนเช้าเพราะว่าพอเราตื่นเช้ามาเรา
00:32:35 → 00:32:36 เป็นคนที่ตื่นเช้าตามพระอาทิตย์ทำานตอน
00:32:36 → 00:32:39 กลางวันเวลาเช้าเนี่ยจะเป็น 7 น - 9:00
00:32:39 → 00:32:41 นเป็นเวลาของกระเพาะอาหารช่วงเวลาเนี้ย
00:32:41 → 00:32:44 กระเพาะของเราจะพร้อมในการทานถ้าย้อนกลับ
00:32:44 → 00:32:45 ไปก่อนช่วงเวลาเนี่ยจะเป็นช่วงเวลาของลำ
00:32:45 → 00:32:48 ไส้ใหญ่ลำไส้ใหญ่คือการขับถ่ายบางคนคือ
00:32:48 → 00:32:50 ตื่นเช้ามาปุ๊บขับถ่ายพอขับถ่ายไปโดย
00:32:50 → 00:32:53 ธรรมชาติเราจะรู้สึกหิวจากทั้งคืนเราไม่
00:32:53 → 00:32:55 ได้กินมางั้นมันก็เลยเป็นเวลาเหมาะที่ตอน
00:32:55 → 00:32:58 เช้าเราจะทานอาหารแลมักจะอยู่ในช่วงเวลา
00:32:58 → 00:33:00 ของกระเพาะอาหารก็คือ 7:00 น- 9:00 นแล้ว
00:33:00 → 00:33:02 ทีนี้กินในของกระเพาะอาหารเนี่ยต้องกิน
00:33:02 → 00:33:05 ให้จบทีเดียวไม่กินมากเกินไปหรือน้อยเกิน
00:33:05 → 00:33:07 ไปเพราะทั้งหมดนี้มันจะทำให้การทำงานของ
00:33:07 → 00:33:09 กระเพาะอาหารแย่ลงอ่ะกินหยังพอดีกับ
00:33:09 → 00:33:10 กระเพาะอาหารหลากหลายหมุนเวียนดีพอทาน
00:33:10 → 00:33:13 เสร็จแล้วให้หยุดทานอ่ะทานให้จบทีเดียว
00:33:13 → 00:33:15 แต่ไม่แนะนำให้ทานเร็วอ่ะค่อยๆทานได้เรา
00:33:15 → 00:33:17 ค่อยๆทานเราจะทานได้น้อยลงแล้วเคี้ยว
00:33:17 → 00:33:19 อาหารละเอียดขึ้นพอเรากินเสร็จแล้วหยุด
00:33:19 → 00:33:22 ทานหลังจากนั้นม้าจะทำงานช่วงเวลาของม้าม
00:33:22 → 00:33:25 คือ 99:00 น- 11:00 นช่วงเวลาเนี้ยม้าม
00:33:25 → 00:33:27 เขาจะจัดการแปรเปลี่ยนอาหารที่เรากินเข้า
00:33:27 → 00:33:30 ไปเนี่ยเป็นพลังชีพและเลือดอ่าอย่างที่
00:33:30 → 00:33:32 เราเล่าไปอ่ะมันทำงานยังไงใช่มั้ยเรากิน
00:33:32 → 00:33:34 เสร็จต้องหยุดพอหยุดทานปุ๊บม้าถึงจะได้ทำ
00:33:35 → 00:33:37 งานเพราะว่าถ้าเรากินไม่หยุดกระเพาะมันจะ
00:33:37 → 00:33:39 ย่อยไปเรื่อยๆและม้าไม่ได้ทำงานม้าเป็น
00:33:39 → 00:33:42 ตัวเผาผลาญอเผาผลาสารอาหารให้เราเป็นตัว
00:33:42 → 00:33:43 แปรเปลี่ยนอาหารที่เรากินเข้าไปเนี่ยเป็น
00:33:44 → 00:33:46 พลังงานให้ร่างกายของเราใช้ได้ปัจจุบัน
00:33:46 → 00:33:49 เนี่ยคือขี้ลืมจากการกินเยอะเกินไปแล้วก็
00:33:49 → 00:33:52 กินไม่หยุดห้าไม่ได้ดึงพลังชีพแลเลือด
00:33:52 → 00:33:54 ขึ้นไปเลี้ยงสมองแล้วก็กินเสร็จพอกินเยอะ
00:33:54 → 00:33:57 ๆกินไม่หยุดกินจุบจิบมันก็จะเริ่มง่วงนอน
00:33:57 → 00:33:59 อ่าเราจะมองว่าพลังชีพของมเกิดความ
00:33:59 → 00:34:02 ชื้นเราก็จะหนักหนังตาหนักแขนหนักขารู้
00:34:02 → 00:34:04 สึกไม่สดชื่นทั้งๆที่เพิ่งกินข้าวไปนะแต่
00:34:04 → 00:34:07 ทำไมเรารู้สึกแบบไม่ค่อยมีแรงไม่ค่อยมี
00:34:07 → 00:34:09 อ่าเพราะว่ามไม่แข็งแรงถ้าเราเป็นคนที่
00:34:09 → 00:34:11 กระเพาะย่อยเก่งก็จริงแต่ถ้ามไม่แข็งแรง
00:34:11 → 00:34:14 เนี่ยเราก็จะกินเข้าไปนิดนึงก็อ้วนง่าย
00:34:14 → 00:34:17 กินเข้าไปแล้วยังเหนื่อยอยู่อ่ะกินเสร็จ
00:34:17 → 00:34:19 แล้วง่วงนอนอันนี้ก็เป็นอาการสังเกตอาการ
00:34:19 → 00:34:21 ของมมได้จะย้อนกลับไปที่เรื่องความขี้หลง
00:34:21 → 00:34:24 ขี้ลืมเลยนะสาเหตุที่ขี้หลงขี้ลืมเพราะ
00:34:24 → 00:34:26 ว่าม้ามอ่อนแอจนทำให้ดึงเลือดไปใช้ไม่ได้
00:34:26 → 00:34:29 เพราะฉนั้นถ้าเราเราจะทานอาหารให้ดีก็คือ
00:34:29 → 00:34:31 ทานให้ดีกับกระเพาะอ่ะทานแล้วหยุดทานหิว
00:34:32 → 00:34:35 อีกทีก็ค่อยทานได้แบบนี้เป็นต้นค่ะอพูด
00:34:35 → 00:34:37 ถึงพฤติกรรมที่ดีในการที่เราจะดูแลม้าม
00:34:38 → 00:34:39 หน่อยได้มั้ยคะม้ามเนี่ยเขาจะกลัว 2
00:34:39 → 00:34:42 อย่างค่ะอ่าอันแรกคือกลัวความชื้นอือ่า
00:34:42 → 00:34:44 อย่างที่หมอบอกไว้ว่าอากาศภายนอกเนี่ย
00:34:44 → 00:34:46 กระทบต่อระบบย่อยอาหารของเราเยอะมากถ้า
00:34:46 → 00:34:48 เกิดว่าอากาศของเราอยู่ในอากาศที่ค่อน
00:34:48 → 00:34:50 ข้างชื้นร้อนชื้นมากๆเราอาจจะแบบการเจริญ
00:34:50 → 00:34:53 อาหารของเราแย่ลงหรือไม่ดีอีกอันนึงคือ
00:34:53 → 00:34:56 เขาไม่ชอบความหวานจริงๆอาหารที่บำรุงมม
00:34:56 → 00:34:59 เนี่ยมักจะมีรสหวานนะยกตัวอย่างเช่นลำไย
00:34:59 → 00:35:02 ลำไยอบแห้งเป็นอาหารที่บำรุงเลือดบำรุง
00:35:02 → 00:35:05 กำลังของม้าหัวใจแล้วก็ข้าวนะภาษาจีนจะ
00:35:05 → 00:35:07 เรียกว่าต้าหมี่ตัวเนี้ยเขาก็จะบำรุง
00:35:08 → 00:35:10 กำลังพลังชีของม้ามกระเพาะทำให้ม้าม
00:35:10 → 00:35:12 กระเพาะมีแรงเาก็จะย่อยเก่งดูดซึมเก่งถ้า
00:35:12 → 00:35:14 กินมากเกินไปรับพลังงานความหวานเยอะเกิ้น
00:35:14 → 00:35:17 ไปจะเกิดความชื้นอ่าเกิดความชื้นขึ้นมาทำ
00:35:17 → 00:35:19 ให้ม้ามทำงานได้ไม่เก่งเหมือนเดิมอ่ะเรา
00:35:19 → 00:35:22 จะเรียกว่าขุ่นผีทำให้ม้าง่วงนอนทำให้
00:35:22 → 00:35:24 ม้ามทำงานลำบากอ่ะขุ่นหนานเนาะทีนี้พอ
00:35:24 → 00:35:28 ม้ามทำงานแย่ลงจากการที่เรากินมากเกินไปอ
00:35:28 → 00:35:31 ก็เขาก็จะไม่สามารถเผาผานแปเปลี่ยนสาร
00:35:31 → 00:35:32 อาหารให้เราได้ก็จะเกิดปัญหาอย่างที่เรา
00:35:32 → 00:35:35 เล่ามาเมื่อสักครู่งั้นเขาไม่ชอบความหวาน
00:35:35 → 00:35:38 อ่ะเขาไม่ชอบความคิดมากเรื่องอารมณ์อ่ะ
00:35:38 → 00:35:40 ม้ามเนี่ยพอเราคิดมากมากๆอย่างที่หมอยก
00:35:40 → 00:35:42 ตัวอย่างไปว่าเราคิดว่าเราจะกินอันนั้นดี
00:35:42 → 00:35:45 หรือกินอันนี้ดีหรือว่าช่วงนี้มีความ
00:35:45 → 00:35:47 เครียดมีคิดมากจนกินไม่ลงอช่วงนี้กินข้าว
00:35:47 → 00:35:50 ไม่ลงหรือบางคนกลับกันเลยพอคิดมากๆแล้ว
00:35:50 → 00:35:52 แบบอยากเคี้ยวไม่หยุดออยากกินไม่หยุดเป็น
00:35:52 → 00:35:55 ต้นใช่อันนี้ทั้ง 2 เหตุการณ์เนี่ยมาจาก
00:35:55 → 00:35:57 หมมที่อารมณ์ของเราที่กระทบหมมทำให้เรา
00:35:57 → 00:35:59 อยากอยากกินมากเกินไปหรือทำให้เราเบื่อ
00:35:59 → 00:36:01 อาหารเป็นต้นเพรางั้นสิ่งเหล่านี้จะให้
00:36:01 → 00:36:04 หยุดทำแล้วม้ำของเราก็จะแข็งแรงได้ง่าย
00:36:04 → 00:36:05 เพราะว่าอย่างที่คุณหมอพูดมาหนูว่า
00:36:05 → 00:36:08 พฤติกรรมเนี้ยหลายๆคนน่าจะเป็นคือเหมือน
00:36:08 → 00:36:10 เรากำลังทำงานอยู่มันคือการใช้สมองเนาะ
00:36:10 → 00:36:13 แล้วเราก็รู้สึกว่าช่วงนี้ไม่อยากกินเลย
00:36:13 → 00:36:15 อยากกินใช่ค่ะบางคนจะรู้สึกว่าการได้
00:36:15 → 00:36:17 เคี้ยวอะไรสักอย่างไปด้วยในระหว่างที่ทำ
00:36:17 → 00:36:19 งานมันทำให้สมองทำงานได้ดีอันนี้จริงมั้ย
00:36:19 → 00:36:21 คะอันนี้จริงเพราะว่าอันนี้คือเส้นลมปาน
00:36:21 → 00:36:23 ของกระเพาะอาหารนะมันจะขึ้นถึงกรอบสมอง
00:36:23 → 00:36:27 ตรงนี้แล้วก็มันจะขึ้นถึงดวงตาทีเนี้ยก
00:36:27 → 00:36:29 ตรงเนี้ยเพอเราขยับมันจะเหมือนส่งเลือดไป
00:36:29 → 00:36:31 เลี้ยงสมองได้เยอะขึ้นอืแล้วถ้าเกิด
00:36:32 → 00:36:34 เคี้ยวแบบเยจะให้เคี้ยวที่ไม่มีน้ำตาลมาก
00:36:34 → 00:36:37 แรั่งอย่างเงี้เคี้ยวหมาฝรั่งเคี้ยวไป
00:36:37 → 00:36:39 เคี้ยวไปเผลินๆแล้วถ้าสว่าเรากินเข้าไป
00:36:39 → 00:36:41 จริงๆเนี่ยกระเพาะมันจะทำงานตลอดเวลาเราอ
00:36:41 → 00:36:43 จะดึงน้ำตาลจากที่เรากินเข้าไปใช้ได้อยู่
00:36:43 → 00:36:44 เพราะเรากำลังทำงานสมองก็ใช้น้ำตาลใช่
00:36:44 → 00:36:47 มั้ยแต่ถ้าเกิดว่าเรากินมากเกินไปมันก็จะ
00:36:47 → 00:36:50 ผลกลับกันอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่เราคิดใช้
00:36:50 → 00:36:52 แต่ว่าเคี้ยวได้นะคะอ่าเคี้ยวกตุ้นสมอง
00:36:52 → 00:36:55 ได้อ่านก็กินเป็นหมากฝรั่งกันแเคี้ยวหมาก
00:36:55 → 00:36:58 ฝรั่งกันไปค่ะเมื่อกี้จากเรื่องของอ่าโรค
00:36:58 → 00:37:01 หลอดเลือดสมองเราก็ไปดูแลม้าอะไรกันมา
00:37:01 → 00:37:04 เรียบร้อยแล้วเนาะค่ะพูดถึงคนที่เป็นโรค
00:37:04 → 00:37:07 หลอดเลือดสมองที่อาจจะเกิดอาการแล้วไม่
00:37:07 → 00:37:10 ว่าจะเป็นตีบหรือแตกนะคะตีบแตกตันต่างๆ
00:37:10 → 00:37:12 นี้หมอจะเปรียบเทียบเป็นสายยางที่มันแบบ
00:37:12 → 00:37:15 ตากแดดนานๆแล้วมันแข็งอ่ะไอ้พวกเยมันก็จะ
00:37:15 → 00:37:17 แตกเปราะแตกง่ายอดอดเลือกของเราก็เหมือน
00:37:17 → 00:37:19 กันถ้าเราไม่ออกกำลังกายเรากินไม่ดีดอด
00:37:19 → 00:37:22 เลือกของเราเสื่อมไม่ยืดหยุ่นความยืด
00:37:22 → 00:37:24 หยุ่นคือความอ่อนเยาแต่ว่าพอเราไม่ยืด
00:37:24 → 00:37:26 หยุ่นปุ๊บก็ตรงข้ามเลยหลอดเรือ่องของเรา
00:37:26 → 00:37:29 มันก็จะเปอะแตแตกง่ายหรือว่าเป็นการอุด
00:37:29 → 00:37:31 ตันของหลอดเลือดได้ง่ายไอ้พวกลิ่มเลือด
00:37:31 → 00:37:33 ที่มันไหลมาเนี่ยแหละมันก็จะไปตันตรงที่
00:37:33 → 00:37:37 มันตีกอมันก็เลยเกิดปัญหาต่างๆถ้าเราแบบ
00:37:37 → 00:37:39 ใช้ชีวิตปกติดีมันอาจจะยังไม่ตันทั้งๆที่
00:37:39 → 00:37:41 มันติดอยู่ได้นะแต่ว่าพอมีสิ่งมากระทบ
00:37:41 → 00:37:44 ช่วงนั้นไม่นอนช่วงนั้นเครียดขึ้นมาช่วง
00:37:44 → 00:37:46 นั้นโมโหขึ้นมามันอาจะแบบดันขึ้นมาทันที
00:37:46 → 00:37:49 ได้อือฮึใช่ค่ะมันก็จะไปตันตัวการ 2
00:37:49 → 00:37:51 อย่างตอนนี้ก็คือมีเรื่องของไขมันอืที่
00:37:51 → 00:37:54 อันนี้ก็พฤติกรรมการกินแหละเนาะที่จะไม่
00:37:54 → 00:37:56 ให้ไขมันมาสะสมแล้วหนูอยากรู้ว่าแล้วลิ่ม
00:37:56 → 00:37:59 เลือดอ่ะค่ะในกรณีเนี้ยเลือดที่เป็นก้อนๆ
00:37:59 → 00:38:01 ที่ไม่ใช่เป็นเลือดเหลวๆใช่มั้ยคะเจะเป็น
00:38:01 → 00:38:04 เม็ดเลือดแดงอ่าที่การไหลเวียนแล้วก็พอ
00:38:04 → 00:38:07 การซ่อมแซมของเซลล์เนี่ยเขาก็จะเป็นเกล็ด
00:38:07 → 00:38:10 เลือดต่างๆในการไปซ่อมแซมเซลล์ให้เราแต่
00:38:10 → 00:38:12 ทีเนี้ยพฤติกรรมต่างๆของเราไม่ดีการไหล่
00:38:12 → 00:38:14 เวียนของเลือดไม่ดีมันก็เขาจะเป็นก้อนคือ
00:38:14 → 00:38:17 ตอนที่เขาจะไหลเวียนเนี่ยมันก็จะเป็นสะสม
00:38:17 → 00:38:20 เป็นก้อนเป็นลิ่มขึ้นมาได้หรือในร่างกาย
00:38:20 → 00:38:22 ของเราเนี่ยความหนืดของเลือดค่อนข้างมาก
00:38:22 → 00:38:24 อาการไหลเวของเลือดแย่ลงภาษาจีนจะเรียก
00:38:24 → 00:38:27 ว่าเสยก็คือเลือดติดขัดอยู่ภายในร่างกาย
00:38:27 → 00:38:29 ของของเราเลือดติดขัดเนี่ยมันจะติดขัด
00:38:29 → 00:38:31 ทั้งในหลอดเลือดก็ได้หรือไปติดขัดนอกหลอด
00:38:31 → 00:38:34 เลือดก็ได้อ่ะพวกเนี้ยมาพอร่างกายของเรา
00:38:34 → 00:38:36 มีพิษเราจะเรียกว่าเสียยืหรือเลือดติดขัด
00:38:36 → 00:38:39 พวกเนี้ยไปอุดตันตามท่อเลือดต่างๆแล้วก็
00:38:39 → 00:38:41 จะเกิดปัญหาสาเหตุของเลือดติดขัดในทาง
00:38:41 → 00:38:45 ศาสต์แพทยแผ่นจีนนะคะ 1 ก็คือพลังชีอพลัง
00:38:45 → 00:38:48 ชีที่แรงเกินไปมากเกินไปกับพลังชีที่น้อย
00:38:48 → 00:38:51 เกินไปอพลังชีที่ไหลแรงเกินไปเขาก็จะไป
00:38:51 → 00:38:55 โดยเฉพาะในช่วงที่คอตีบอย่างเงี้ยมันก็จะ
00:38:55 → 00:38:58 ทำให้เกิดการดันของเม็ดเลือดมากเกินไปเขา
00:38:58 → 00:39:01 ก็จะสะสมกับน้อยเกินไปการไหลเวของเลือด
00:39:01 → 00:39:05 แย่ลงไหลช้าลงนะเขาก็จะสะสมได้เหมือนกัน
00:39:05 → 00:39:08 เขาจะไหลไปไม่ถึงตรงนู้นแล้วมีความตีบ
00:39:08 → 00:39:10 อยู่แล้วเขาค่อยๆไหลไปการไหลเวของเลือดก็
00:39:10 → 00:39:13 ของเขาก็จะไม่ดีอ่ะจะมองว่าพลังชีพ
00:39:13 → 00:39:15 กับพลังชีพแกร่งค่ะค่ะพลังชีพก็คือที่ทำ
00:39:15 → 00:39:18 ให้เลือดไหลเวียนใช่พลังชีพไม่ดีมันก็จะ
00:39:18 → 00:39:20 มีปัญหาเรื่องการไหลเวียนของเลือดอเลือด
00:39:20 → 00:39:22 ไม่ดีมันก็จะสะสมติดขันเกี้หนูฟังแล้วหนู
00:39:23 → 00:39:25 มองภาพเป็นสายยางที่มีน้ำแล้วก็แบบมีอะไร
00:39:25 → 00:39:29 อยู่ข้างในเอๆถ้าเกิดว่าเราทั้งกินนอน
00:39:29 → 00:39:31 อารมณ์มันก็ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด
00:39:31 → 00:39:33 และพลังชีพที่เลือดมันไหลได้เพราะมีพลัง
00:39:33 → 00:39:36 ชีพอยู่ในนั้นอ่าถ้าเกิดว่าพลังชีของเรา
00:39:36 → 00:39:39 หย่อนเกินไปหรือว่าไหลแรงเกินไปก็จะกระทบ
00:39:39 → 00:39:41 เซลล์หลอดเลือดได้อเพราะฉะนั้นก็อย่างที่
00:39:41 → 00:39:44 คุณหมอบอกกลับไปดูแลพลังชีของเราด้วยการ
00:39:44 → 00:39:47 นอนใช่นอนออกกำลังกายใช่ค่ะพูดไปแล้วแต่
00:39:47 → 00:39:50 Ep ที่แล้วคุณหบอกพูดไปแล้วนะค่ะไปย้อน
00:39:51 → 00:39:53 ฟังกันได้เนาะเมื่อกี้นี้เป็นอ่าเรื่อง
00:39:53 → 00:39:58 ของลิ่มเลือดกับไขมันที่มันทำให้เกิดโรค
00:39:58 → 00:40:01 หลอดเลือดในสมองถ้าคนที่เป็นไปแล้วล่ะคะ
00:40:01 → 00:40:03 คุณหมอมีอาการไปแล้วแล้วปัจจุบันอาจจะ
00:40:03 → 00:40:05 เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตแต่ว่า 2 อันนี้ต่าง
00:40:05 → 00:40:08 กันเนาะอัมพฤกษ์ยังใชครับขยับขยับได้บ้าง
00:40:08 → 00:40:11 คืออัมพฤกษ์นี่เป็นยังไงคะต่างกันยเอ่าคน
00:40:11 → 00:40:13 ที่เป็นอัมพาตแล้วสามารถฟื้นฟูเป็น
00:40:13 → 00:40:15 อัมพฤกษ์ได้คผึกก็สามารถเดินได้อยู่แต่
00:40:15 → 00:40:18 เขาถ้าเดินของเขาคนที่เป็นโรคลอเดอร์สมอง
00:40:18 → 00:40:20 เนี่ยเขาจะมีลักษณะเดียวกันคือเดินขา
00:40:20 → 00:40:23 แกว่งๆกับแขนเขาจะแบบขยับไอ้มือที่เขาใช้
00:40:23 → 00:40:26 งานไม่ได้เมันจะแบบมันจะเกงๆอ่าทีนี้ถ้า
00:40:26 → 00:40:29 เกิดว่าเราอยากฟื้นฟูเอามาพึกเอามาพาดใช่
00:40:29 → 00:40:32 มคะอันนึงเลยสำหรับคนที่เป็นโรคเนี้ยหลาย
00:40:32 → 00:40:36 ๆคนน่ะยังกินได้ยังเคียวได้แต่เขามักจะ
00:40:36 → 00:40:40 ทานอาหารที่เหมือนสำเร็จรูกมากกว่าค่ะกิน
00:40:40 → 00:40:43 ผงชงละลายเพราะเราต้องการให้เขาเสริม
00:40:43 → 00:40:45 สร้างม้ามกระเพาะมำกระเพาะจะสร้างกล้าม
00:40:45 → 00:40:47 เนื้อให้เขาแล้วพอเขากินอาหารที่ไม่ดีกับ
00:40:47 → 00:40:49 กระเพาะม้ามเท่าไหร่การฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
00:40:50 → 00:40:52 ของเขาก็จะแย่ลงแล้วเขาก็ไม่ค่อยขยับอบาง
00:40:52 → 00:40:55 คนคือกายภาพอยู่แต่ว่าจิตใจของเขาอ่ะจะ
00:40:55 → 00:40:58 เขาจะรู้สึกว่าหมอจะเจอเคสตลอดมันขยับไม่
00:40:58 → 00:41:00 ได้หมอหมอก็บอกว่าหมอรู้ว่าเขาก็ขยับไม่
00:41:00 → 00:41:02 ได้แต่ว่าถ้าใจของเรายังไม่สั่งให้ขยับ
00:41:02 → 00:41:05 เนี่ยต่อไปเนี่ยก็จะไม่มีไม่มีทางได้
00:41:05 → 00:41:07 เพราะเราเชื่อว่ามันไม่ได้อยู่แล้วหมอจะ
00:41:08 → 00:41:10 ให้คนไข้ขยับให้เห็นทุกครั้งที่มารักษา
00:41:10 → 00:41:12 เราสามารถรักษาด้วยใจของเราก่อนว่าเรา
00:41:12 → 00:41:16 ต้องทำให้ได้หมอมีคนไข้ที่เขาผ่าสมองออก
00:41:16 → 00:41:20 ไปแล้วเขาก็ชักบ่อยมากจนร่างกายเสื่อมมาก
00:41:20 → 00:41:22 แล้วปัจจุบันเนี่ยเขาเริ่มขยับมือของเขา
00:41:22 → 00:41:24 ได้เพราะว่าคนที่เป็นอพาดข้างนึงเนี่ย
00:41:25 → 00:41:26 แล้วถ้าเราไม่ใช้ร่างกายเนี่ยอีกข้างนึง
00:41:26 → 00:41:28 จะอ่อนแอไปด้วยเหมือนก็ข้างที่เขาใช้แรง
00:41:28 → 00:41:31 ได้ต้องทำเคอยากขยับได้ให้ทำข้างที่ใช้
00:41:31 → 00:41:34 ไม่ได้ให้สั่งให้สั่งให้เขาทำเาจะช่วย
00:41:34 → 00:41:36 ฟื้นฟูได้เพราะจิตใจของเราเนี่ยหัวใจดูแล
00:41:36 → 00:41:39 เลือดหลอดเลือดแล้วก็ดูแลเรื่องจิตใช่มม
00:41:39 → 00:41:42 ถ้าเกิดว่าจิตของเราทำงานได้ดีเขาก็จะ
00:41:42 → 00:41:44 สั่งเลือดและหลอดเลือดไปเลี้ยงได้ดีแล้ว
00:41:44 → 00:41:46 เราก็จะเริ่มสั่งงานได้ง่ายควบคู่กับการ
00:41:46 → 00:41:49 กายภาพหรือการไปฝังเข็มอเราก็ต้องรักษา
00:41:49 → 00:41:51 อยู่แต่เราก็ต้องช่วยตัวเองด้วยเท่าที่
00:41:51 → 00:41:55 ฟังมาคือว่ากายป่วยแต่ว่าถ้าใจเรามีพลัง
00:41:55 → 00:41:58 สั่งกายก็จะหายได้ใช่มันจะช่วยมันจะช่วย
00:41:58 → 00:42:01 กลับมาได้หจากที่แบบเราสิ้นหวัง 100% เลย
00:42:01 → 00:42:04 แต่ว่าถ้าใจเรามีกำลังเนี่ยเจะต่อสู้กับ
00:42:04 → 00:42:06 โลกเจะมีแรงต่อสู้กับโลกแล้วเขาก็จะค่อยๆ
00:42:06 → 00:42:10 เห็นผลดีขึ้นอันตรงนี้ก็คือสมาธิก็มีส่วน
00:42:10 → 00:42:13 ช่วยเรื่องพลังใจด้วยใช่ค่ะถ้าเกิดว่าใจ
00:42:13 → 00:42:15 ของเราเชื่อว่ามันไม่ได้แล้วเนี่ยคนไข้
00:42:15 → 00:42:18 หมอทุกคนที่เป็นอาวพาสจะบอกว่ามันไม่ได้ค
00:42:18 → 00:42:20 แต่เราก็ต้องบอกคนไข้ว่าเราต้องทำให้ได้
00:42:20 → 00:42:22 เพราะฉะนั้นเราก็ต้องกลับมาบอกเราว่าเรา
00:42:22 → 00:42:25 อ่ะทำให้ได้โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเป็นเพิ่ง
00:42:25 → 00:42:27 เป็นมาเนี่ยมันจะฟื้นฟูได้เร็วอบางคนคือ
00:42:27 → 00:42:30 ทิ้งเป็น 10 ปีแล้วให้หมอช่วยหมอก็จะ
00:42:30 → 00:42:32 พยายามเต็มที่แต่ว่าอย่าทิ้งช่วงไว้นาน
00:42:32 → 00:42:35 ถ้าใครฟังอยู่ก็ต้องรีบฟื้นฟูตัวเองสั่ง
00:42:35 → 00:42:38 ร่างกายพยายามลุกเองให้ได้อพยายามแบบ
00:42:38 → 00:42:41 ประคองตัวเองให้ได้มันก็จะลุกขึ้นได้เร็ว
00:42:41 → 00:42:44 สุดท้ายแล้วก่อนที่เราจะจบ EP นี้ไปไม่
00:42:44 → 00:42:47 พูดถึงไม่ได้เพราะว่าประเทศไทยเป็นเมือง
00:42:47 → 00:42:49 ร้อนค่ะถึงตอนนี้จะเข้าหน้าฝนแล้วนะคะแต่
00:42:49 → 00:42:52 ยังไงเดี๋ยวก็กลับมาร้อนเดี๋ยวร้อนแน่นอน
00:42:52 → 00:42:54 ค่ะไม่ต้องห่วงนะคะฮีสโตกเนี่ยมันทำงาน
00:42:54 → 00:42:57 กับร่างกายเรายังไงแล้วก็อันเนี้มีตราการ
00:42:57 → 00:43:00 เสียชีวิตเร็วไปง่ายกว่าโรคหลอดเลือดด้วย
00:43:00 → 00:43:02 หรือเปล่าใช่ๆเพราะว่าหลายคนไม่รู้ตัว
00:43:02 → 00:43:05 แล้วก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรอยู่ๆมันก็มา
00:43:05 → 00:43:07 ความร้อนเกินออันนี้จะให้จำไฟหัวใจเอาไว้
00:43:07 → 00:43:10 อ่าไฟหัวใจใช่มั้ยทีนี้ความร้อนในอากาศ
00:43:10 → 00:43:13 เนี่ยมันมากระตุ้นไฟในร่างกายของเราทำให้
00:43:13 → 00:43:15 มันแรงเกินไปแล้วปกติแล้วร่างกายของเรา
00:43:15 → 00:43:17 ของคนที่แข็งแรงเนี่ยจะสามารถปรับความ
00:43:17 → 00:43:19 ร้อนเย็นได้แล้วเพราะอากาศร้อนมากเราจะ
00:43:19 → 00:43:22 เหงื่อออกน้ำเหงื่อเนี่ยคือน้ำของหัวใจ
00:43:22 → 00:43:25 เป็นน้ำที่เราระบายพิษร้อนภายในหัวใจออก
00:43:25 → 00:43:27 มาอแล้วคนที่เป็นไขมันในหลอดเลิสูงแล้ว
00:43:27 → 00:43:29 ออกกำลังกายเราก็จะบอกว่าเป็นการระบายไข
00:43:29 → 00:43:32 มันพิษร้อนในร่างกายใช่มั้ยทีนี้คนที่
00:43:32 → 00:43:35 อยู่ๆเจอสภาพอากาศที่ร้อนเกินไปส่วนใหญ่
00:43:35 → 00:43:37 เขาจะบอกว่าเกิดจากกับเด็กกับผู้สูงอายุ
00:43:37 → 00:43:39 ใช่มั้ยไม่ออกกำลังกายพักผ่อนไม่พอไอ้พวก
00:43:39 → 00:43:41 นี้ภูมิป้องกันมันไม่ดีหมดเลยงั้นมันก็
00:43:41 → 00:43:43 เลยตัวที่ช่วยปรับอุณหภูมิร่างกายของเรา
00:43:44 → 00:43:46 ความร้อนเย็นเนี่ยมันไม่ทำงานทีนี้พอเรา
00:43:46 → 00:43:49 เจออากาศร้อนปุ๊บเหงื่อไม่ออกอร่างกายของ
00:43:49 → 00:43:51 เราก็เลยสะสมความร้อนขึ้นสูงถึง 40 องศา
00:43:51 → 00:43:55 มันก็เลยทำให้มันจะคล้ายๆอาการของสตกปกติ
00:43:55 → 00:43:59 ใชเะแล้วการทำงานของผิดปกติอการทำงานของ
00:43:59 → 00:44:01 สมองผิดปกติเกินไปความร้อนเกินเครื่องก็
00:44:01 → 00:44:05 พังเราก็จะวูบได้ง่ายบางคนก็คือวูบไปเลย
00:44:05 → 00:44:08 หรือว่าบางคนก็จะมีอาการเกร็งหน้าแดงก่ำ
00:44:08 → 00:44:11 แล้วก็ความร้อนเกินแต่เหงื่อไม่ออกวิธี
00:44:11 → 00:44:13 การที่ให้เราไม่เป็นเนี่ยเราจะต้องพยายาม
00:44:13 → 00:44:15 รู้ว่าช่วงนี้อากาศร้อนเราต้องพักผ่อนให้
00:44:15 → 00:44:18 พออ่าพยายามพกน้ำจิบน้ำบ่อยๆเพราะน้ำเป็น
00:44:18 → 00:44:21 ตัวปรับความเย็นให้เราแล้วก็ถ้าอากาศมัน
00:44:21 → 00:44:23 ร้อนมากเนี่ยแต่เรายังจำเป็นที่ต้องออก
00:44:23 → 00:44:26 กำลังกายอยู่จะให้ค่อยๆยืดเส้นอค่อยๆออก
00:44:26 → 00:44:28 กำลังกายแบบทำให้ร่างกายค่อยๆวอร์มขึ้น
00:44:29 → 00:44:31 ไม่ให้มันร้อนแรงเกินไปทีเดียวเพราะบางคน
00:44:31 → 00:44:33 ก็รับไม่ทันแต่ออกกำลังกายยังจำเป็นอ่ะ
00:44:33 → 00:44:35 อย่างน้อยขยับเล็กน้อยเพราะสมดุลการปรับ
00:44:35 → 00:44:37 ร้อนเย็นเนี่ยมันต้องพึ่งพาพลังชีพของปอด
00:44:37 → 00:44:40 ถ้าเกิดว่าเราไม่ออกกำลังกายเลยแล้วเจอ
00:44:40 → 00:44:42 อากาศร้อนๆการปรับสมดุลร้อนเย็นก็จะทำงาน
00:44:42 → 00:44:45 ได้ช้าหรือแย่ลงเพราะงั้นออกกำลังกาย
00:44:45 → 00:44:47 สำคัญแต่ว่าต้องค่อยๆออกกำลังกายอจิบน้ำ
00:44:48 → 00:44:49 บ่อยๆพักผ่อนให้เพียงพออันนี้จะป้องกัน
00:44:49 → 00:44:52 ไม่ให้เป็นแต่ถ้าเป็นแล้วเราก็ต้องรีบปลด
00:44:52 → 00:44:55 ปล่อยไม่ให้ใส่เสื้อรัดเกินไปค่ะพยายาม
00:44:55 → 00:44:57 เช็ดอันนี้จะเป็นเส้นมปาของของเยี่ยหุ้ม
00:44:57 → 00:44:59 หัวใจเราต้องการระบายความร้อนออกจากหัวใจ
00:44:59 → 00:45:03 ของเราเราจะเช็ดขึ้นเช็ดย้อนรูขุมขนใช่
00:45:03 → 00:45:06 เช็ดขึ้นมาแล้วก็เช็ดรักแร้ข้อพับคอต่างๆ
00:45:06 → 00:45:08 เช็ดบ่อยๆแล้วระหว่างนี้ให้รีบไปนำส่งโรง
00:45:08 → 00:45:10 พยาบาลคนที่อยู่ด้วยเบื้องต้นอาจจะไม่รู้
00:45:10 → 00:45:13 เขาเป็นอะไรใช่มยแต่ว่าเราถ้าเกิดเขาเป็น
00:45:13 → 00:45:16 ไปละเราก็รีบเช็ดแล้วก็ลองรีบส่งโรง
00:45:16 → 00:45:18 พยาบาลเพราะไม่รู้ว่าสมองเขาถูกกระทบ
00:45:18 → 00:45:21 กระเทือนหรรือยังอันนี้คือฮีสกเนี่ยก็คือ
00:45:21 → 00:45:24 ถ้ามีอาการต้องปฐมพยาบาลทันทีปฐมพยาบาล
00:45:24 → 00:45:27 ทันทีถ้าเรารู้ตัวว่าเอ้ยตาเริ่มผ้ามัว
00:45:27 → 00:45:29 เริ่มแบบสมองหนักอึ้งพูดไม่รู้เรื่องรู้
00:45:29 → 00:45:31 สึกร้อนเกินเนี่ยเราต้องรีบหาคนใกล้ตัว
00:45:31 → 00:45:33 บางคนคือเขาอยู่คนเดียวเนาะแต่ว่าถ้าเรา
00:45:33 → 00:45:35 มีอาการเล็กน้อยเนี่ยเราก็รีบหาคนมาอยู่
00:45:35 → 00:45:38 ใกล้ๆก่อนแล้วเรารีบจิบน้ำบ่อยๆพยายาม
00:45:38 → 00:45:40 ต้องทำให้เหงื่อออกเหงื่อออกเป็นการระบาย
00:45:40 → 00:45:42 พิษร้อนของหัวใจออกไปถ้ายิ่งเหงื่อไม่ออก
00:45:42 → 00:45:44 เราต้องยิ่งสังเกตแล้วว่าผิดปกติพาตัวเอง
00:45:45 → 00:45:46 ไปโรงพยาบาลเลยก็ได้ปลอดภัยไว้ก่อนไปนอน
00:45:46 → 00:45:48 อยู่ใกล้ๆห้องฉุกเฉินถว่ามันไม่เป็นอะไร
00:45:48 → 00:45:51 ก็กลับบ้านบางคนก็คือปล่อยปะรัดเลยมันก็
00:45:51 → 00:45:53 เลยมีอัตราการเสียชีวิตสูงเพราะเขาไม่รู้
00:45:53 → 00:45:56 ว่ามันคืออะไรอยู่ๆมันก็เป็นขึ้นมาใช่ค่ะ
00:45:56 → 00:45:59 เพราะว่าพวกมันไปไไวมากเพราะฉะนั้นแล้ว
00:45:59 → 00:46:02 สุดท้ายทุกคนต้องหมั่นสังเกตร่างกายตัว
00:46:02 → 00:46:05 เองเนาะว่าขณะนี้อุณภูมิในร่างกายเราเป็น
00:46:05 → 00:46:08 ยังไงนะหรืออะไรเพราะว่าอย่างโรคอื่นๆอาจ
00:46:08 → 00:46:10 จะใช้เวลาก่อตัวหน่อยแต่อย่างฮีสโตกเนี่ย
00:46:11 → 00:46:14 คือเร็วใช่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจเราตลอด
00:46:14 → 00:46:17 เวลาแหละเออยิ่งคนที่ทำงานอยู่กลางแสงแดด
00:46:17 → 00:46:20 ด้วยใช่ๆค่ะโอเคค่ะสำหรับ EP นี้หนูว่า
00:46:20 → 00:46:23 ได้ความรู้เรื่องเลือดนะคะเรื่องโรคความ
00:46:23 → 00:46:27 ดันโรคหลอดเลือดเยอะแยะมากมายแล้วก็ก็การ
00:46:27 → 00:46:30 ดูแลมมด้วยทุกคนดูแล้วนะคะ EP นี้เป็นยัง
00:46:30 → 00:46:33 ไงบ้างสามารถคอมเมนต์บอกกันได้นะคะแล้วก็
00:46:33 → 00:46:35 ยังมี EP หน้าอีกค่ะคุณหมอยังต้องเจอกัน
00:46:35 → 00:46:37 อีกนะคะใครมีคำถามอะไรเหมือนเดิมค่ะ
00:46:37 → 00:46:40 สามารถคอมเมนต์เอาไว้ได้นะคะเดี๋ยวเราจะ
00:46:40 → 00:46:42 นำมาพูดคุยกันใน EP ต่อไปค่ะสำหรับ EP
00:46:42 → 00:46:45 นี้นะคะถ้าชอบก็อย่าลืมกดไลค์กดแชร์กด
00:46:45 → 00:46:47 Subscribe เป็นกำลังใจให้เกลนะคะแล้วก็
00:46:47 → 00:46:49 รวมถึงตามไปกดติดตามช่องคุณหมอได้นะคะ
00:46:50 → 00:46:52 เดี๋ยวขึ้นช่องไว้ให้ได้ขึ้นตรงนี้เลยนะ
00:46:52 → 00:46:55 คะอ่าค่ะขึ้นช่องค่ะนี่นะคะแล้วก็เดี๋ยว
00:46:55 → 00:46:57 มาเจอกันใหม่ EP หน้าค่ะสำหรับ EP นี้
00:46:57 → 00:46:59 ขอบคุณค่ะขอบคุณค่ะ
00:46:59 → 00:47:20 [เพลง]