00:00:00 → 00:00:03 โรคที่จะต้องเกิดขึ้นกราฟขึ้นสูงเลยคือ
00:00:03 → 00:00:07 สตรกเส้นเลือดในสมองตีบแตกหรือตันโลกนี้
00:00:07 → 00:00:10 มักพบในคนสูงอายุสาเหตุส่วนใหญ่แล้วก็คือ
00:00:10 → 00:00:13 มาจากการกินไม่ดีกินเนื้อสัตว์กินอาหารไข
00:00:13 → 00:00:16 มันเส้นเลือดเกิดการอักเสบเกิดขึ้นเกิด
00:00:16 → 00:00:18 แผลในเส้นเลือดเส้นเลือดก็จะพยายามหาทาง
00:00:18 → 00:00:21 ซ่อมแซมโดยการดึงเอาตัวคอเลสเตอรอลเนี่ย
00:00:21 → 00:00:24 มาซ่อมแซมตัวหลอดเลือดมันเป็นกลไกของร่าง
00:00:24 → 00:00:27 กายเมื่อคุณรู้ว่าผลลัพธ์มันคือสตกในสิ่ง
00:00:27 → 00:00:29 ที่คุณจะหลีกเลี่ยงคุณก็ต้องดำเนินชีวิต
00:00:29 → 00:00:31 เพื่อไม่ให้เกิดสโตรกปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
00:00:31 → 00:00:35 การกินออกกำลังกายตรวจร่างกายทุกๆปีกิน
00:00:35 → 00:00:37 ไม่เป็นเวลาคุณอาจจะเป็นแค่โรคกระเพาะแต่
00:00:37 → 00:00:40 ถ้าคุณกินไม่ดีด้วยกินอาหารที่ไม่สะอาด
00:00:41 → 00:00:44 และมีเชื้อ H pโรไลนเชื้อเนี้ยทำให้เกิด
00:00:44 → 00:00:46 มะเร็งกระเพาะอาหารเราก็คิดว่าสิ่งที่เรา
00:00:46 → 00:00:49 ทำอยู่เนี่ยไม่ได้ส่งผลเสียอะไรแต่สิ่ง
00:00:49 → 00:00:52 นั้นน่ะเมื่อทำซ้ำผลเสียก็จะเกิดเราจะ
00:00:52 → 00:00:54 เครียดโดยไม่รู้ตัวคิดว่าสิ่งที่เราทำมัน
00:00:54 → 00:00:57 เป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำเป็นรูทีนขอใช้
00:00:57 → 00:01:01 วิธีการนอนสมาธิมนุษย์เราพอได้นอนสมองเรา
00:01:01 → 00:01:04 ก็จะมีการรีซetเราก็จะหายละแล้วเราก็กลับ
00:01:04 → 00:01:07 มาทำงานต่อสมองเมื่อเริ่มเสื่อมวงจรการ
00:01:07 → 00:01:10 นอนหรือระยะเวลาการนอนของท่านจะสั้นลงและ
00:01:11 → 00:01:14 เมื่อท่านยิ่งนอนน้อยลงสมองท่านก็จะยิ่ง
00:01:14 → 00:01:16 เสื่อมอีกแล้วเสื่อมพวกนี้ก็จะลืมบุคคล
00:01:16 → 00:01:20 ลืมเวลาแล้วก็ลืมสถานที่คนไข้ลายเนี่ยเา
00:01:20 → 00:01:23 อายุ 70 กว่าแล้วล่ะลูกเ้าก็พามาด้วยตลอด
00:01:23 → 00:01:26 ป๊าเนี่ยรวยมากเป็นเศรษฐีพันล้านผ่านไปปี
00:01:26 → 00:01:29 นึงเข็นอยู่บนเตียงเลยเ้าบอกว่ามันเป็น
00:01:29 → 00:01:31 ความผิดผมเองครับหมอคือผมอ่ะบอกว่าป๊า
00:01:32 → 00:01:34 อายุเยอะแล้วป๊าเลิกทำงานเถอะให้อยู่บ้าน
00:01:34 → 00:01:37 เฉยๆคราวเนี้ยผมเลยเห็นเลยว่าป๊าผมเนี่ย
00:01:37 → 00:01:40 ค่อยๆเสื่อมลงเรื่อยๆ
00:01:40 → 00:01:45 เกลาแก้โรคเกลานิสัยห่างไกลโรค
00:01:45 → 00:01:48 สวัสดีค่ะกลับมาพบกันอีกแล้วนะคะกับราย
00:01:48 → 00:01:50 การเกาแก้โรคค่ะซึ่งแน่นอนว่าวันนี้เราก็
00:01:50 → 00:01:52 อยู่กันกับคุณหมอเกมคนเดิมนะคะแพทย์เฉพาะ
00:01:52 → 00:01:53 ทางบาดเดียวสวัสดีค่ะคุณหมอ
00:01:53 → 00:01:54 สวัสดีครับ
00:01:54 → 00:01:56 สวัสดีค่ะ
00:01:56 → 00:01:58 ค่ะซึ่งจากที่เราเคยคุยกันไปแล้วเมื่อ
00:01:58 → 00:01:59 episod ที่แล้วนะคะก็คือได้รับความรู้
00:01:59 → 00:02:01 มากมายส่วน episod นี้จากประสบการณ์ของ
00:02:01 → 00:02:04 คุณหมอเองในอีก 10 ปีข้างหน้าคิดว่าโรค
00:02:04 → 00:02:06 อะไรที่คนไทยจะเป็นเยอะที่สุดค่ะมี
00:02:06 → 00:02:08 เปอร์เซ็นต์สูงที่ควรจะเป็นโรคแบบเนี้ย
00:02:08 → 00:02:10 บ่อยมากที่เราจะเจอกันได้แบบทั่วไปค่ะ
00:02:10 → 00:02:14 อ่าสังคมไทยเนี่ยกำลังจะเข้าสู่สังคมสูง
00:02:14 → 00:02:14 อายุ
00:02:15 → 00:02:15 ค่ะ
00:02:15 → 00:02:17 อันนี้ทุกคนรู้อยู่แล้วอัตราการเกิดของ
00:02:17 → 00:02:21 เราก็ต่ำคนสูงอายุมีมากขึ้นโลกที่จะต้อง
00:02:21 → 00:02:24 เกิดขึ้นกราฟขึ้นสูงเลยคือ stroke
00:02:24 → 00:02:25 อ
00:02:25 → 00:02:28 stroke คือเส้นเลือดในสมองตีบ
00:02:28 → 00:02:32 แตกหรือตันอันเนี้ยน่าจะพบเยอะขึ้นใน 10
00:02:32 → 00:02:35 ปีข้างหน้าเนี่ยเพราะว่าโลกนี้มักพบในคน
00:02:35 → 00:02:39 สูงอายุซึ่งแน่นอนว่าในอายุผ่านมา 60 ปี
00:02:39 → 00:02:40 อื
00:02:40 → 00:02:42 เราผ่านอะไรมาเยอะแยะก็แล้วแต่เราอาจจะ
00:02:42 → 00:02:46 ไม่เคยดูแลตัวเองเลยแล้วก็จะมาเกิดผลณตอน
00:02:46 → 00:02:47 อายุประมาณนี้
00:02:47 → 00:02:49 ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มันเกิดจากอะไรคะ
00:02:49 → 00:02:51 สตรกเนี่ยสาเหตุส่วนใหญ่แล้วก็คือมาจาก
00:02:51 → 00:02:54 การกินการกินคือกินไม่ดีกินเนื้อสัตว์กิน
00:02:54 → 00:02:56 อาหารไขมันใช่มั้ยกินเนื้อสัตว์ก็อย่าง
00:02:56 → 00:02:59 ที่บอกว่าทำให้เกิดสาร TMAO เกิดขึ้นใน
00:02:59 → 00:03:01 หลอดเลือดพอเส้นเลือดเกิดการอักเสบเกิด
00:03:01 → 00:03:04 ขึ้นเกิดแผลในเส้นเลือดเส้นเลือดก็จะ
00:03:04 → 00:03:07 พยายามหาทางซ่อมแซมโดยการดึงเอาตัว
00:03:07 → 00:03:09 คอเลสเตอรอลเนี่ยมาซ่อมแซมตัวหลอดเลือด
00:03:09 → 00:03:12 มันเป็นกลไกของร่างกายพอตัวคอเลสเตอรอลมา
00:03:12 → 00:03:15 ซ่อมแซมหลอดเลือดคอเลสเตอรอลก็ไปอุดตัวไข
00:03:15 → 00:03:17 มันตัวหลอดเลือดก็ทำให้หลอดเลือดค่อยๆตีบ
00:03:17 → 00:03:20 เพราะฉะนั้นเขาถึงได้บอกว่าเออควรที่จะ
00:03:20 → 00:03:23 ตรวจร่างกายดูหน่อยนะทุกๆปีดูว่าหลอด
00:03:23 → 00:03:25 เลือดที่เลี้ยงหัวใจเนี่ย
00:03:25 → 00:03:27 มันมีแคลเซียมมาก่อนหรือเปล่า
00:03:27 → 00:03:29 หรือหลอดเลือดที่วิ่งจากคอไปเลี้ยงสมอง
00:03:29 → 00:03:30 เนี่ย
00:03:30 → 00:03:32 มันมีปัญหาหรือยังมันตีบหรือยังมี
00:03:33 → 00:03:34 แคลเซียมมาก่อนหรือเปล่า
00:03:34 → 00:03:35 ถ้าสมมุติคนที่กำลังเป็นอยู่แล้วมีความ
00:03:36 → 00:03:37 เสี่ยงสูงที่กำลังจะเป็นอย่างพวกผู้สูง
00:03:37 → 00:03:39 อายุหรือที่เขาอายุเยอะๆแล้วอ่ะค่ะควรจะ
00:03:39 → 00:03:41 มีวิธีดูแลตัวเองยังไงบ้าง
00:03:41 → 00:03:45 อย่างที่พูดตอนต้นใช้มรรค 8 นะสัมมาต่างๆ
00:03:45 → 00:03:48 เนี่ยนะคือเมื่อคุณรู้แล้วว่าทุกข์มันจะ
00:03:48 → 00:03:51 เกิดขึ้นก็คือเมื่อคุณรู้ว่าผลลัพธ์มัน
00:03:51 → 00:03:54 คือสตกในสิ่งที่คุณจะหลีกเลี่ยงคุณก็ต้อง
00:03:54 → 00:03:56 ดำเนินชีวิตเพื่อไม่ให้เกิดสกิดำเนิน
00:03:56 → 00:03:59 ชีวิตแบบไหนก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
00:03:59 → 00:04:02 อันที่ 2 ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอของพวก
00:04:02 → 00:04:04 เนี้ยมันเป็นพื้นฐานอยู่แล้วล่ะที่จะช่วย
00:04:04 → 00:04:07 ทำให้เราหลีกเลี่ยงพวกนี้ได้และอย่างที่ 3
00:04:07 → 00:04:11 ก็คือพยายามตรวจร่างกายไปโรงพยาบาลนะตรวจ
00:04:11 → 00:04:13 แพ็คเกจหรืออะไรก็แล้วแต่เช็คอัพอ่ะทุกๆ
00:04:13 → 00:04:16 ปีในสิ่งที่คุณกังวลว่ามันจะเกิดขึ้น
00:04:16 → 00:04:19 งั้นคนที่ยังไม่เป็นตอนนี้แล้วก็ไม่คิด
00:04:19 → 00:04:21 ว่าคืออายุน้อยๆสมมุติ 20 30 ประมาณ
00:04:21 → 00:04:23 เนี้ยค่ะที่เขายังไม่ได้เป็นโรคนี้ถ้า
00:04:23 → 00:04:25 อยากป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดโรคนี้
00:04:25 → 00:04:26 ในอนาคตก็ต้องใช้ชีวิตให้ให้มันดีอย่าง
00:04:26 → 00:04:28 ที่คุณหมอบอกกินให้ดีนอนให้ดี
00:04:28 → 00:04:32 ต้องบอกอย่างนึงว่าตราบใดที่เรายังไม่
00:04:32 → 00:04:35 เจ็บป่วยเราก็จะไม่นึกถึงหรอกนี่หมอพูด
00:04:35 → 00:04:37 ความเป็นจริงนะก็คือมนุษย์เราก็จะแบ่ง
00:04:37 → 00:04:40 เป็นหลากหลายแบบก็แล้วกัน
00:04:40 → 00:04:41 พูดแล้วเข้าใจ
00:04:41 → 00:04:42 อื
00:04:42 → 00:04:45 โอเคทำตามกับอีกกลุ่มนึงกลุ่มใหญ่ๆเลยฟาด
00:04:45 → 00:04:47 แล้วฟาดอีก
00:04:47 → 00:04:51 ก็ยังไม่ทำจนเสียแต่ว่าสิ่งๆนั้นมันเกิด
00:04:51 → 00:04:53 ขึ้นกับเราถึงได้ระลึกได้
00:04:53 → 00:04:56 ถ้าบอกเด็กอายุ 20 บอกเอ้ยระวังนะจะเป็น
00:04:56 → 00:05:00 สโตรกไม่สนหรอกเไม่แคร์เลยเ้ายังไปสูบ
00:05:00 → 00:05:03 บุหรี่กินเหล้าเยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม
00:05:03 → 00:05:06 คราวนี้ถ้าเขาอายุสัก 40 เเริ่มป่วยสัก
00:05:07 → 00:05:10 อย่างนึงเขาอาจจะเริ่มคิดได้เพื่อนหมอบาง
00:05:10 → 00:05:13 คนน่ะอายุแค่ 45 กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
00:05:13 → 00:05:16 โดยไม่สูบบุหรี่นะไม่กินเหล้านะวันๆนี้
00:05:17 → 00:05:19 ใช้ชีวิตเเรียกว่ามีความสุขด้วยซ้ำไป
00:05:19 → 00:05:22 เพราะว่าตีกอล์ฟรวยไม่ต้องคิดอะไรมากมาย
00:05:22 → 00:05:25 แต่ปรากฏอยู่มาเช้าวันนึง
00:05:25 → 00:05:28 เจ็บแน่นหน้าอกโหภรรยาเนี่ยเกือบพาไปโรง
00:05:28 → 00:05:31 พยาบาลไม่ทันแต่ตัวเองรู้แล้วว่าเคยดูพวก
00:05:31 → 00:05:34 คลิปสุขภาพบอกว่าไอ้เจ็บแน่นหน้าอกเหมือน
00:05:34 → 00:05:36 มีอะไรมาเหยียบเนี่ยเป็นกล้ามเนื้อหัวใจ
00:05:36 → 00:05:39 ขาดเลือดภรรยาขับรถไปที่โรงพยาบาลเ้าบอก
00:05:39 → 00:05:42 ว่าเาเห็นแล้วว่าเค้าอ่ะถูกเข็นเข้าห้อง
00:05:42 → 00:05:42 ฉุกเฉิน
00:05:42 → 00:05:43 อื
00:05:43 → 00:05:45 จากนั้นเนี่ยภาพตัดไป
00:05:45 → 00:05:46 ก็คือเค้าไม่รู้ตัวเลย
00:05:46 → 00:05:49 ไม่รู้ตัวละเค้าบอกว่าเค้าไปฟื้นอีกที
00:05:49 → 00:05:51 เนี่ยหลังจากนั้น 2 วัน
00:05:51 → 00:05:52 อื
00:05:52 → 00:05:56 ขึ้นมาได้สติอีกทีนึงว่าในขณะที่เา้าหลับ
00:05:56 → 00:05:58 ไปมันเกิดอะไรขึ้นคือพอเไปถึงโรงพยาบาล
00:05:58 → 00:06:00 น่ะหัวใจเ้าวายแล้วหัวใจมันหยุดเต้น
00:06:01 → 00:06:02 อก็คือเขาเหมือนจะเสียชีวิตแล้ว
00:06:02 → 00:06:06 มีคนต้องเพยาบาลที่ห้องฉุกเฉินต้องทำ CPR
00:06:06 → 00:06:08 กระตุ้นให้หัวใจเนี่ยเต้นขึ้นมาใหม่แล้ว
00:06:08 → 00:06:11 ก็ไปเอคโคดูหัวใจว่ามีอะไรผิดปกติมยแล้ว
00:06:11 → 00:06:15 ก็ดู AKG ปรากฏว่าสงสัยกล้ามเนื้อหัวใจ
00:06:15 → 00:06:17 ขาดเลือดก็ไปใส่สายสวน
00:06:17 → 00:06:20 เพื่อสวนแล้วก็ขยายบัลูนที่หลอดเลือดหัว
00:06:20 → 00:06:24 ใจคนไข้หายคนไข้ไม่รู้ตัวไป 2 วันหมอก็
00:06:24 → 00:06:28 ถามหมอหมอไปเยี่ยมถามว่าหายไปไหน
00:06:28 → 00:06:32 อยากรู้ว่าเดินทางไปไหนเปล่าวะเห็นมีเยอะ
00:06:32 → 00:06:34 บอกว่าอย่างเงี้ยมีเยอะเพราะว่านี่คือตาย
00:06:34 → 00:06:36 ไปแล้วนี่ใช่มั้ยตายไปแล้วมันบอกว่าไม่
00:06:36 → 00:06:40 ได้ไปไหนเลยว่ะคือภาพมันตัดไปแล้วลืมตา
00:06:40 → 00:06:43 อีกครั้งนึงเนี่ยก็อยู่ในห้องพักะงั้นเ
00:06:43 → 00:06:44 ไม่ได้ไปไหนอ
00:06:44 → 00:06:46 อันนี้อยากรู้ว่าแล้วสาเหตุมันเกิดจาก
00:06:46 → 00:06:48 อะไรได้บ้างคะเพราะว่าหมอก็บอกว่าเขาใช้
00:06:48 → 00:06:50 ชีวิตดีมาตลอดออกกำลังกายแถมยังแฮปปี้มี
00:06:50 → 00:06:51 ความสุขอีกแล้วค่ะ
00:06:51 → 00:06:53 เค้าออกกำลังกายโดยการตีกอล์ฟนะ
00:06:53 → 00:06:53 เออ
00:06:53 → 00:06:55 ค่อยๆเดินแต่มันก็เดินหลายพันก้าวอยู่
00:06:55 → 00:06:58 เหมือนกันนะแต่อาหารการกินของเค้ากินดีใน
00:06:58 → 00:07:00 ที่นี้คือมีอะไรดีให้กินเยอะแยะอย่าง
00:07:00 → 00:07:03 เงี้ยเขาก็กินเยอะพอกินเยอะก็เกิดโรคแล้ว
00:07:03 → 00:07:05 เขาก็คิดว่าอย่างที่บอกว่าดูแลตัวเองดี
00:07:05 → 00:07:07 ไม่ได้แต่เขาคิดว่าเค้าไม่ควรที่จะเกิด
00:07:07 → 00:07:10 โรคอะไรเขาก็มาเกิดถูกมั้เราถึงได้บอกว่า
00:07:10 → 00:07:14 เช็คเถอะร่างกายเนี่ยเช็คอัพปีละครั้งนะ
00:07:14 → 00:07:19 จะได้ดูแล้วก็รู้มีอะไรที่มันน่าสงสัยก็
00:07:19 → 00:07:21 จะได้จัดการก่อนออเราจะได้แบบจัดการได้
00:07:21 → 00:07:22 ทัน
00:07:22 → 00:07:24 ใช่ต้องจัดการได้ทันครับ
00:07:24 → 00:07:25 คืออันนี้คืออยากรู้ส่วนตัวด้วยว่าเออ
00:07:26 → 00:07:28 อย่างคุณหมอเงี้เป็นสัญญแพทย์ใช่มั้คะทำ
00:07:28 → 00:07:30 งานผ่าตัดแล้วไอ้ตอนที่ทำงาน่ะมันต้องแบบ
00:07:30 → 00:07:33 โฟกัสเยอะขนาดไหนมันมีความเครียดความกด
00:07:33 → 00:07:35 ดันมากขนาดไหนแล้วคุณหมอจัดการมันยังไงคะ
00:07:35 → 00:07:38 ต้องพูดว่าเราจะเครียดโดยไม่รู้ตัว
00:07:38 → 00:07:41 คือเราคิดว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นสิ่งที่
00:07:41 → 00:07:43 ทำเป็นประจำเป็นรูทีนเราไม่ได้เครียดหรอก
00:07:43 → 00:07:46 เพราะมันทำแล้วเราก็ก่อนพาตัดเนี่ยหมอจะ
00:07:46 → 00:07:49 เป็นคนที่ชอบสร้างจินตนาการหรือสร้าง
00:07:49 → 00:07:50 จินตภาพ
00:07:50 → 00:07:50 อื
00:07:50 → 00:07:53 ว่าเราจะต้องผ่าตัดไปยังไงกระบวนการเนี่ย
00:07:53 → 00:07:56 จะถูกสร้างขึ้นมาแล้วในหัวเราว่าสเต็ป 1
00:07:56 → 00:07:58 สเต็ป 2 สเต็ป 3 step 4 5 จะต้องทำตาม
00:07:58 → 00:08:01 เนี้ยอ่านี่คือสำหรับหมอนะคราวนี้ใน
00:08:01 → 00:08:04 ระหว่างผ่าตัดถ้าทุกอย่างที่เราวางเรียง
00:08:04 → 00:08:06 ไว้เนี่ยมันถูกต้องทั้งหมดการผ่าตัดนั้น
00:08:06 → 00:08:09 ก็จะสมoทแต่อย่างที่บอกอ่ะมันไม่ได้ทุกคน
00:08:09 → 00:08:13 บางทีเราไปสตักที่สเต็ป 3 มีเลือดออกมาก
00:08:13 → 00:08:15 ขึ้นมีนู่นนี่นี่มันก็ทำให้เรามีความ
00:08:15 → 00:08:18 เครียดเกิดขึ้นบางทีหมอผ่าตัดเสร็จยังรู้
00:08:18 → 00:08:20 สึกทำไมเมื่อยกรามจังวะ
00:08:20 → 00:08:21 เพราะว่าเกร็งโดยไม่รู้ตัว
00:08:21 → 00:08:23 เออเพราะว่ากัดฟันในระหว่างผ่าตัดเรากัด
00:08:23 → 00:08:26 ฟันโดยที่เราไม่รู้ตัวอย่างเงี้ยก็คือ
00:08:26 → 00:08:28 เป็นความเครียดที่เราไม่รู้ว่ามันเกิด
00:08:28 → 00:08:31 ขึ้นโดยที่เราคิดว่ามันก็คืองานรูทีนที่
00:08:31 → 00:08:33 เราทำเป็นประจำอยู่แล้ว
00:08:33 → 00:08:35 แล้วอย่างี้คุณหมอมีวิธีจัดการความเครียด
00:08:35 → 00:08:38 ของตัวเองยังไงบ้างในเวลาทำงานแบบเนี้ยคะ
00:08:38 → 00:08:39 อ๋อหมอนอน
00:08:39 → 00:08:41 นอนแค่นอนเลยหรอคะแค่นอนก็หายเลย
00:08:41 → 00:08:44 คือหมอใช้วิธีการนอนสมาธินะ
00:08:44 → 00:08:45 ยังไงคะนอนสมาธิ
00:08:45 → 00:08:48 เวลาสมมุติว่าเกิดความเครียดเกิดขึ้นแล้ว
00:08:48 → 00:08:49 เรารู้ว่าเราเครียดแล้วเนี่ย
00:08:49 → 00:08:52 เราก็จะไปพักการพักของเราก็คือการนอนนอน
00:08:52 → 00:08:55 สมาธิจะทำท่าไหนก็ได้คุณจะนั่งแบบเป็น
00:08:55 → 00:08:58 นั่งสมาธิก็ได้หรือว่าจะนอนตัวไปเลยก็ได้
00:08:58 → 00:09:02 แล้วก็กำหนดลมหายใจโฟกัสที่ลมหายใจแต่การ
00:09:02 → 00:09:04 โฟกัสลมหายใจของหมอเนี่ยอาจจะไม่เหมือน
00:09:04 → 00:09:08 ของชาวบ้านเพราะว่าหมอจะใช้วิธีการหายใจ
00:09:08 → 00:09:11 เข้าให้สุดแล้วก็เมื่อสุดแล้วไม่ต้องกั้น
00:09:11 → 00:09:13 มนุษย์เราเนี่ยโดยรีเฟลกแล้วเมื่อขัด
00:09:13 → 00:09:17 อากาศเข้าไปอ่ะมันจะต้องถูกปล่อยออกมาตาม
00:09:17 → 00:09:19 ธรรมชาติไม่มีกั้นใดๆทั้งสิ้นเพราะการ
00:09:19 → 00:09:22 กั้นหรือการไปนับอ่ะทำให้เราไปโฟกัสใน
00:09:22 → 00:09:24 สิ่งที่เราต้องนับถึงไหนแล้ววะอ้าเฮ้ยเลย
00:09:24 → 00:09:27 ไปแล้วว่ะแทนที่จะนับถึง 8 เลยนับถึง 9
00:09:27 → 00:09:29 หายใจเข้าให้สุดโดยอัตโนมัติมันจะถูก
00:09:29 → 00:09:30 ปล่อยออกมา
00:09:30 → 00:09:34 แล้วให้โฟกัสที่แค่ลมที่ผ่านเข้าออกที่รู
00:09:34 → 00:09:35 จมูกเท่านั้น
00:09:35 → 00:09:36 ทำจนหลับไปเลยเหรอคะ
00:09:36 → 00:09:39 เออแป๊บเดียวหลับพอหลับไปอย่างที่บอกว่า
00:09:39 → 00:09:43 มนุษย์เราพอได้นอนสมองเราก็จะมีการรีเซต
00:09:43 → 00:09:46 ขยะต่างๆเหมือนเราล้างขยะออกจากใน
00:09:46 → 00:09:49 คอมพิวเตอร์เราล้างแคชออกล้างคุกกี้ออก
00:09:49 → 00:09:51 แบบนั้นแหละเราก็จะหายละแล้วเราก็กลับมา
00:09:51 → 00:09:55 ทำงานต่อนะบางทีแค่ 15-30 นาที
00:09:55 → 00:09:58 ช่วงกลางวันอะไรเงี้ยค่ะก็ช่วยได้ก็หายละ
00:09:58 → 00:10:00 อันนี้เป็นวิธีจัดการความเครียดแบบง่ายๆ
00:10:00 → 00:10:03 ที่คุณหมอใช้ประจำคือการนอนสมาธิใช่ก็คือ
00:10:03 → 00:10:06 เราไม่ได้แค่เป็นแอบนอนกลางวัน
00:10:06 → 00:10:06 อื
00:10:06 → 00:10:09 แต่เรานอนสมาธิแล้วเราไม่ต้องสนใจด้วยว่า
00:10:09 → 00:10:12 เราจะอยู่ในสมาธินั้นนานมากน้อยแค่ไหนเรา
00:10:12 → 00:10:15 แค่โฟกัสแค่ลมหายใจ
00:10:15 → 00:10:16 แล้วมันก็จะหลุดไปเลย
00:10:16 → 00:10:18 สำหรับคนที่นอนไม่หลับทีนี้เขาจะใช้วิธี
00:10:18 → 00:10:18 นี้ได้มั้
00:10:19 → 00:10:21 สำหรับคนแก่เฒ่าก็แล้วกันคือต้องบอกว่า
00:10:21 → 00:10:24 เดี๋ยวเนี้ยผู้สูงวัยก็จะมีปัญหาเรื่อง
00:10:24 → 00:10:26 นอนไม่หลับแล้วการนอนไม่หลับมันทรมานนะอ
00:10:26 → 00:10:27 ใช่
00:10:27 → 00:10:29 บอกได้เลยว่าถ้าใครเคยนอนไม่หลับเนี่ยจะ
00:10:29 → 00:10:33 ทรมานส่วนใหญ่คนไข้พวกเนี้ยจะโดนแจกยา
00:10:33 → 00:10:33 เป็นยานอนหลับเหรอคะ
00:10:34 → 00:10:37 เป็นยานอนหลับออนอนไม่หลับเหรอปู่ย่าตา
00:10:37 → 00:10:40 ยายนอนไม่หลับหมอแจกยาให้นะไปอ่ะมี
00:10:40 → 00:10:43 ทิทเทลีนแอตติแวนนู่นนี่นั่นอะไรก็แล้ว
00:10:43 → 00:10:45 แต่ 5 มลกรรม 10 มลกรัมอะไรก็แล้วแต่กลับ
00:10:45 → 00:10:48 มากินแรกๆท่านกินท่านก็จะหลับแต่พอท่าน
00:10:48 → 00:10:50 ไม่ได้กินท่านก็ไม่หลับ
00:10:50 → 00:10:51 อือื
00:10:51 → 00:10:55 แรกๆท่านกินแค่ 2.5 5 มลกรั
00:10:55 → 00:10:55 ค่ะ
00:10:55 → 00:10:57 ถัดมาท่านต้องเพิ่มโดไปเรื่อยๆ
00:10:57 → 00:11:00 5 มลกรัมเพราะท่านต้องการยามากขึ้นมัน
00:11:00 → 00:11:03 ทอลแลนซ์กลายเป็นว่าคนไข้ไปติดยานอนหลับ
00:11:03 → 00:11:03 อีก
00:11:03 → 00:11:04 นอนธรรมดาไม่ได้แล้ว
00:11:04 → 00:11:06 เออนอนธรรมดาไม่ได้แล้วบอกได้เลยว่าถ้า
00:11:06 → 00:11:10 ใครมีผู้เฒ่าผู้แก่อยู่บ้านนะท่านไปดูจะ
00:11:10 → 00:11:12 ต้องมียานอนหลับตัวใดตัวหนึ่งให้คนไข้
00:11:12 → 00:11:14 เพราะบอกคนพักคนไข้พูดว่านอนไม่หลับอ่ะ
00:11:14 → 00:11:17 หมอแต่หมออยากจะบอกว่าท่านนอนไม่หลับแล้ว
00:11:17 → 00:11:19 ท่านต้องไปติดยาเนี่ยมันไม่คุ้มรอสิ่งที่
00:11:19 → 00:11:23 หมอจะสอนก็คือว่านอนสมาธิทำอย่างไรก็คือ
00:11:23 → 00:11:26 ท่านต้องไปย้อนกลับไปก่อนว่าทำไมท่านถึง
00:11:26 → 00:11:29 ได้นอนไม่หลับมันมีเหตุท่านไม่ได้
00:11:29 → 00:11:32 เมลาอนินอะไรลดลงแบบไปดูอะไรนั่นหรอกนะ
00:11:32 → 00:11:33 แบบโอ๊ยกล้าแบบ
00:11:33 → 00:11:34 อาจจะนอนดึก
00:11:34 → 00:11:37 ท่านคิดอะไรอยู่ว่ะมันเลยทำให้ท่านน่ะนอน
00:11:37 → 00:11:39 ไม่หลับตอนที่ท่านนอนไม่หลับอ่ะท่านต้อง
00:11:39 → 00:11:42 คิดแน่นอนอย่าบอกเลยว่าท่านไม่ได้คิดท่าน
00:11:42 → 00:11:45 คิดเรื่องราวในชีวิตมากมายหลายสิ่งแล้ว
00:11:45 → 00:11:47 ส่วนใหญ่ที่ท่านคิดมันก็คือเรื่องทุกข์
00:11:47 → 00:11:50 นั้นๆน่ะไม่เห็นมีใครคิดเรื่องสนุกๆเลย
00:11:50 → 00:11:53 ใช่มั้คิดแต่ว่าเอ๊ะพรุ่งนี้จะมีกินมั้ย
00:11:53 → 00:11:57 ลูกจะปลอดภัยนู่นนี่นมีความกังวลพอท่าน
00:11:57 → 00:11:59 คิดท่านก็นอนไม่หลับสิ่งที่บอกก็คือการ
00:11:59 → 00:12:03 นอนสมาธิเนี่ยก็คือแทนที่จะโฟกัสกับทุกข์
00:12:03 → 00:12:04 อ
00:12:04 → 00:12:07 โฟกัสกับความคิดให้เปลี่ยนจุดโฟกัสมาที่
00:12:07 → 00:12:10 ลมหายใจมาที่ปลายจมูกพอท่านย้ายความคิดมา
00:12:10 → 00:12:13 ที่ลมหายใจได้เท่านั้นแหละเชื่อเลยว่า
00:12:13 → 00:12:16 ท่านหลับผมไม่เห็นว่าใครจะทนได้เลย
00:12:16 → 00:12:19 เออเนี่ยถึงได้บอกว่ามีทุกข์ก็ต้องวางไว้
00:12:19 → 00:12:22 ถ้าท่านถือทุกข์ไว้มันก็ทำให้ท่านไม่หลับ
00:12:22 → 00:12:25 การกินยาใดๆก็แล้วแต่คือการกวาดขยะไว้ใต้
00:12:25 → 00:12:26 ผมทุกข์นั้นมันก็ยัง
00:12:26 → 00:12:28 มันก็ไม่ได้หายไปไหนเพราะเราไม่ได้แก้ที่
00:12:28 → 00:12:30 ต้นเหตุถูกต้อง
00:12:30 → 00:12:32 อันนี้สงสัยส่วนตัวเหมือนกันอยากรู้คนที่
00:12:32 → 00:12:34 อายุเยอะๆอย่างที่บ้านหนูก็จะมีย่ามียาย
00:12:34 → 00:12:37 ที่อายุเเยอะๆเตื่นกันเช้ามากบางที 3:00
00:12:37 → 00:12:39 น. 4:00 น. 5:00 น.เขาตื่นแล้วอ่ะเราอยาก
00:12:39 → 00:12:42 รู้ว่ากลไกการนอนหลับของเขามันต่างจากคน
00:12:42 → 00:12:43 ทั่วไปยังไงคะ
00:12:43 → 00:12:44 เค้านอนกี่โมงอ่ะ
00:12:44 → 00:12:46 แต่เขาก็นอนเร็วบางทีก็ 20:00 น. 21:00
00:12:46 → 00:12:46 น.
00:12:46 → 00:12:48 เออใช่มั้ยถ้าเค้านอน 20:00 น.ตั้งแต่เลข
00:12:48 → 00:12:52 8 ถึงเลข 3 เ้านอนไปแล้วตั้งกี่ชั่วโมง
00:12:52 → 00:12:54 แต่บางทีเขานอนดึกเขาก็ตื่นเช้าอยู่ดีนะ
00:12:54 → 00:12:54 คะ
00:12:54 → 00:12:58 คืออย่างงี้โดยปกติคนเรานอน 6-8 ชมใช่
00:12:58 → 00:13:00 มั้ยโดยเป็นปกติ
00:13:00 → 00:13:00 อือ
00:13:00 → 00:13:03 สมมุตินอน 20:00 น.ตื่น 3:00 น.ก็คือนอน
00:13:03 → 00:13:05 7:00 น.มันก็คือสั้นและคราวนี้ถ้าเรา
00:13:05 → 00:13:06 อยากจะ
00:13:06 → 00:13:10 ปรับให้เค้านอนหรือตื่นเป็นเวลาเราก็ต้อง
00:13:10 → 00:13:13 บอกเขาว่าโอเคถ้าอยากให้เขาค้าตื่นตอน
00:13:13 → 00:13:16 18:00 น.ใช่มยเราก็จะต้องปรับการนอนกับ
00:13:16 → 00:13:21 เขาบอกว่าอ่ายายนอนสัก 22:00 น.นะในกรณี
00:13:21 → 00:13:23 บางคนอันนี้เป็นจริงๆ
00:13:23 → 00:13:23 ค่ะ
00:13:23 → 00:13:27 คนที่เมื่ออายุมากขึ้นวงจรการนอนมันจะ
00:13:27 → 00:13:30 สั้นลงอ่าหลายท่านคงจะรู้อยู่แล้วล่ะจาก
00:13:30 → 00:13:33 ด้วยหลากหลายสาเหตุสมองเมื่อเริ่มเสื่อม
00:13:33 → 00:13:36 วงจรการนอนหรือระยะเวลาการนอนของท่านจะ
00:13:36 → 00:13:39 สั้นลงและเมื่อท่านยิ่งนอนน้อยลง
00:13:39 → 00:13:40 มันก็จะยิ่งเสื่อมไปอีก
00:13:40 → 00:13:42 สมองท่านก็จะยิ่งเสื่อมอีก
00:13:42 → 00:13:46 นัมันเป็น cycle คราวนี้อย่างที่บอกก็คือ
00:13:46 → 00:13:47 ว่าเราก็ต้องแก้ปัญหา
00:13:48 → 00:13:48 ค่ะ
00:13:48 → 00:13:50 เมื่อท่านนอนน้อยลง
00:13:50 → 00:13:50 อือื
00:13:50 → 00:13:52 ท่านต้องนอนบ่อยขึ้น
00:13:52 → 00:13:54 อ๋อก็คือแบบแนปให้มากขึ้น
00:13:54 → 00:13:57 เออใช่อย่างเช่นว่าเค้านอนเที่ยงคืนแล้ว
00:13:57 → 00:14:00 ล่ะยังอุตส่าหมาตื่น 3:00 น.อีกคราวนี้
00:14:00 → 00:14:02 เราก็บอกว่าโอเคตื่น 3:00 น.พอซัก 9:00
00:14:02 → 00:14:05 น. 10:00 น.ก็ให้เางีบสักหน่อยนอนนะอ่า
00:14:05 → 00:14:08 ให้ได้ถึงเทียงเพราะวงจรมันเปลี่ยนไปแล้ว
00:14:08 → 00:14:10 แต่ว่าถ้าไม่นอนสมองมันก็จะยิ่งเสื่อม
00:14:10 → 00:14:12 แล้วเสื่อมพวกนี้ก็จะจะเสื่อมเรื่องอะไร
00:14:12 → 00:14:16 ล่ะลืมบุคคลก่อนลืมเวลาแล้วก็ลืมสถานที่
00:14:16 → 00:14:19 ลืมเวลาก่อนลืมเวลาเอ๊นี่กี่โมงละลืมเอ๊ะ
00:14:19 → 00:14:23 นี่ชื่ออะไร person นะลืมสถานที่เอ๊ะที่
00:14:23 → 00:14:25 นี่บ้านใครอ่ะอะไรเงี้ยหรือที่นี่โรง
00:14:25 → 00:14:27 พยาบาลหรือที่บ้าน time person
00:14:27 → 00:14:30 แล้วเราจะมีวิธีการดูแลสมองของเรายังไง
00:14:30 → 00:14:33 ให้มัน bright ให้มันดีอยู่สม่ำเสมอค่ะ
00:14:33 → 00:14:35 อันนี้ทุกช่วงอายุเลยนะคะตั้งแต่เด็กเลย
00:14:35 → 00:14:37 จนถึงผู้ใหญ่ว่าเออเราควรจะมีวิธีดูแล
00:14:37 → 00:14:38 สมองของเรายังไงบ้าง
00:14:38 → 00:14:41 คือหมออยากจะแบ่งเป็น 2 ส่วนก็แล้วกัน
00:14:41 → 00:14:44 ส่วนนึงเป็นส่วนทางกายภาพเอาง่ายๆคือไม่
00:14:44 → 00:14:46 มีใครอยากสมองตีบอ่ะเส้นเลือดในสมองตีบก็
00:14:46 → 00:14:49 กลายเป็นสโตรกใช่มั้ท่านก็ต้องดูแลการกิน
00:14:49 → 00:14:49 ก่อนเลย
00:14:49 → 00:14:51 การกินการนอนการใช้ชีวิต
00:14:51 → 00:14:54 การกินว่าคอเลสเตอรอลอย่าได้สูงนะควบคุม
00:14:54 → 00:14:57 อาหารกินเนื้อปลานะอย่ากินเนื้อสัตว์ที่
00:14:57 → 00:14:59 เป็นเนื้อแดงอย่ากินเอ่อเนื้อสัตว์แปรรูป
00:14:59 → 00:15:02 อะไรอย่างเงี้ยนะอ่ะท่านก็ดูแลไปอันนี้
00:15:02 → 00:15:03 คือทางกายภาพ
00:15:03 → 00:15:05 ทางฟังก์ชัน
00:15:05 → 00:15:08 นะฟังก์ชันคือการทำงานของสมองละสิ่งที่
00:15:08 → 00:15:12 เค้ามักบอกคนไข้เสมอให้ทำก็คือการให้สมอง
00:15:12 → 00:15:16 เนี่ยได้ทำงานอยู่ซ้ำๆเอาง่ายๆถ้าคนแก่
00:15:16 → 00:15:19 อายุ 70 คุณบอกเว่ากลับบ้านไปนอนเถอะนอน
00:15:19 → 00:15:21 อย่างเดียวเลยไม่ต้องทำอะไรกับคนแก่อายุ
00:15:21 → 00:15:25 70 เขาทำนู่นนี่นั่นกวาดบ้านถูบ้านทำ
00:15:25 → 00:15:27 นู่นทำนี่ใครจะสมองเสื่อมไวกว่ากัน
00:15:27 → 00:15:29 ก็ต้องคนที่ไม่ได้ทำอะไร
00:15:29 → 00:15:32 ถูกต้องหมอเคยเจอเคสคนไข้รายนึงหมอเห็นเา
00:15:32 → 00:15:33 กับตาเลยนะ
00:15:33 → 00:15:36 เพราะว่าหมอทำงานอยู่โรงพยาบาลเห็นตั้ง
00:15:36 → 00:15:39 แต่ตอนที่อ่าเ้าเจะมากับลูกเ้าเอายุ 70
00:15:39 → 00:15:42 กว่าแล้วล่ะลูกเาก็พามาด้วยตลอดก็เรียก
00:15:42 → 00:15:46 ว่าป๊าป๊าเนี่ยรวยมากเป็นเศรษฐีพันล้านมา
00:15:46 → 00:15:49 ตรวจนู่นตรวจนี่เราก็ตรวจปรากฏว่าผ่านไป
00:15:49 → 00:15:53 ปีนึงมาใหม่คราวนี้เข็นอยู่บนเตียงเลย
00:15:53 → 00:15:53 อ๋อ
00:15:53 → 00:15:57 ป๊านี่นอนตัวหงิกเงี้ยเวลาผ่านไปปีนึงอ่ะ
00:15:57 → 00:15:58 เกิดอะไรขึ้นกับป๊า
00:15:58 → 00:15:59 เออทำไมถึงนักขนาดนั้น
00:15:59 → 00:16:03 เราถามลูกชายเค้าเบอกว่ามันเป็นความผิดผม
00:16:03 → 00:16:06 เองครับหมอคือผมอ่ะบอกว่าป๊าอายุเยอะแล้ว
00:16:06 → 00:16:08 ป๊าเลิกทำงานเถอะให้อยู่บ้านเฉยๆคราว
00:16:08 → 00:16:11 เนี้ยผมเลยเห็นเลยว่าป๊าผมเนี่ยค่อยๆ
00:16:11 → 00:16:14 เสื่อมลงเรื่อยๆจนปัจจุบันก็คือกลายเป็น
00:16:14 → 00:16:16 สมองเสื่อมผ่านไปแค่ปีเดียว
00:16:16 → 00:16:17 โอ้โหแค่ปีเดียวแต่ว่า
00:16:17 → 00:16:20 เออเพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่าในคนเฒ่าคนแก่
00:16:20 → 00:16:22 ถ้าสมมุติว่าเรากลัวว่าเค้าเนี่ยทำงาน
00:16:22 → 00:16:24 บ้านแล้วหนักยังไงเนี่ยเราก็ต้องให้เขา
00:16:24 → 00:16:28 ฝึกสมองฝึกสมองก็อย่างซึดคุก็ได้ถ้าสมมติ
00:16:28 → 00:16:31 อ่าเป็นเกมหรือให้เค้าใช้วิธีการเค้า
00:16:31 → 00:16:35 เรียกเบสิคมากๆเลยมือนึงทุบหัวเข่าอีกมือ
00:16:35 → 00:16:39 นึงเนี่ยถูแล้วก็หมุนไปฝึกสลับกันเออสลับ
00:16:39 → 00:16:43 กันว่าให้ฝึกการทำงานของสมองให้มันบาลานซ
00:16:43 → 00:16:45 กันหรือปล่อยให้เขาเนี่ยไปเดินเพราะเขามี
00:16:45 → 00:16:48 งานวิจัยอย่างที่บอกว่าถ้าท่านมีการเดิน
00:16:48 → 00:16:51 ที่ช้าลงยิ่งท่านเดินช้าลงมากขึ้นเมื่อ
00:16:51 → 00:16:53 ไหร่ภายใน 10 ปีโอกาสที่ฉันจะตายน่ะสูง
00:16:53 → 00:16:54 ขึ้น
00:16:54 → 00:16:55 ออจริงค่ะ
00:16:55 → 00:16:57 จริงเป็นงานวิจัยของของประเทศอังกฤษเลย
00:16:58 → 00:17:00 แต่หมอเป็นคนทำคลิปนี้เองแต่ว่ามันจะมี 4
00:17:00 → 00:17:01 ข้อ
00:17:01 → 00:17:04 แต่ข้อนึงเลยอันดับต้นเลยเนี่ยคือเรื่อง
00:17:04 → 00:17:08 ของการเดินงานวิจัยเนี้ยเค้าเทสเ้าเเก็บ
00:17:08 → 00:17:10 สะสมในกลุ่มที่เป็นข้าราชการ
00:17:10 → 00:17:11 อื
00:17:11 → 00:17:13 ของรัฐบาลอังกฤษแล้วก็ดู follow up ต่อ
00:17:13 → 00:17:16 เนื่องไปตั้งแต่ทำงานจนถึงเกษียณแล้วก็
00:17:16 → 00:17:19 ตายเพราะพวกนี้เวลาตายก็ต้องมาขอเงิน
00:17:19 → 00:17:21 บำนาญมีอะไรอย่างงี้ใช่มั้ยเขาก็จะดูว่า
00:17:21 → 00:17:24 พวกเนี้ยก่อนที่จะเสียชีวิตเนี่ยพฤติกรรม
00:17:24 → 00:17:26 เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนพฤติกรรมอัน
00:17:26 → 00:17:29 แรกที่พบที่สุดคือคนพวกเนี้ยการเดินช้าลง
00:17:29 → 00:17:32 การกระฉับกระเฉงเนี่ยช้าลงคำว่าช้าลงนี่
00:17:32 → 00:17:36 แค่ไหนอ่ะที่บ้านใครมีตัวออกกำลังกายเดิน
00:17:36 → 00:17:36 นะ
00:17:36 → 00:17:36 ค่ะ
00:17:36 → 00:17:40 เขาบอกว่าถ้าช้าน้อยกว่า 4 กม/่อชม.หรือ
00:17:41 → 00:17:43 เราปรับไอ้ตัววิ่งอ่ะถ้าเป็นเลข 4 เงี้ย
00:17:43 → 00:17:44 มันก็จะหมุนใช่
00:17:44 → 00:17:44 ค่ะ
00:17:44 → 00:17:49 เบอกถ้าน้อยกว่าเนี่ยเออคือเราช้าะ
00:17:49 → 00:17:51 เราจะต้องเดินให้เร็วในระดับ 4 ประมาณเลข
00:17:51 → 00:17:52 ตัวเแหละ
00:17:52 → 00:17:54 ค่ะการเดินก็เหมือนเป็นการออกกำลังกาย
00:17:54 → 00:17:54 อย่างหนึ่ง
00:17:54 → 00:17:57 ทุกส่วนเพราะว่าการที่เราจะเดินได้สมอง
00:17:57 → 00:17:59 เราเนี่ยต้องทำงาน
00:17:59 → 00:18:01 แต่ถ้ามุเราไปปล่อยให้เาค้า
00:18:01 → 00:18:02 นั่งๆนอนๆ
00:18:02 → 00:18:05 นั่งนอนดูทีวีเนี่ยสมองเขาจะต้องฝ่อเอง
00:18:05 → 00:18:07 ตามธรรมชาติเพราะฉะนั้นเรื่องการทำงาน
00:18:07 → 00:18:10 หรือฟังก์ชันก็ต้องสำคัญเพราะสุดท้ายแล้ว
00:18:10 → 00:18:13 ทุกคนน่ะจะต้องลงเอยที่ว่าสมองจะต้องหด
00:18:13 → 00:18:14 เล็กลง
00:18:14 → 00:18:16 อ๋อคือมันจะเป็นไปตามธรรมชาติมันเป็นตาม
00:18:16 → 00:18:20 ธรรมชาติเมื่อคุณเอาคนไข้อายุ 70 ปีกับคน
00:18:20 → 00:18:24 ไข้อายุ 20 ปีไปสแกนสมองดูเฉพาะเนื้อสมอง
00:18:24 → 00:18:27 นะเนื้อสมองคนไข้อายุ 70 ปีมันจะค่อยๆฟอ
00:18:27 → 00:18:30 ลงตามธรรมชาตินะแต่ถ้าไปเทียบกับคนที่
00:18:30 → 00:18:34 เป็นอัลไซเมอร์จะยิ่งฟอหนักเลยครับอีกมี
00:18:34 → 00:18:36 วิธีทำให้มันไม่ฝ่อมั้คะหรือแบบฝ่อช้า
00:18:36 → 00:18:38 มันคือฝ่อช้าก็อย่างที่บอกว่าก็ต้องดูแล
00:18:38 → 00:18:39 การ
00:18:39 → 00:18:41 ออก็คือดูตราบใดที่เลือดยังไปเลี้ยงเยอะ
00:18:41 → 00:18:44 ตราบใดที่มันยังต้องทำงานอยู่มันก็จะฝ่อ
00:18:44 → 00:18:45 ช้าลง
00:18:45 → 00:18:48 แต่ถ้ามันทำงานน้อยลงเลือดไปเลี้ยงน้อยลง
00:18:48 → 00:18:49 มันก็จะฝ่อเร็วขึ้น
00:18:49 → 00:18:52 คุณหมอเนี่ยเคยเจอเคสแบบไหนที่บ่อยที่สุด
00:18:52 → 00:18:54 แล้วก็อยากให้ยกเคส study ให้ฟังเป็นตัว
00:18:54 → 00:18:55 อย่างสักนิดนึงอ่ะค่ะ
00:18:56 → 00:18:59 ด้วยความที่เป็นสัญแพทย์ตกแต่งนะครับก็
00:18:59 → 00:19:02 มักจะคุ้นเคยหรือว่าเจอเคสคนที่ถูกไฟไหม้
00:19:03 → 00:19:03 ไฟไหม้
00:19:03 → 00:19:06 อ่าน้ำร้อนเพราะว่าถ้าเคสไฟไหม้น้ำร้อน
00:19:06 → 00:19:08 ล่วกเนี่ยโดยปกติเขาจะส่งให้สแพทย์ตกแต่ง
00:19:08 → 00:19:11 ดูเพราะว่ามันจะมีเรื่องเกี่ยวกับว่าแผล
00:19:11 → 00:19:13 เนี่ยพอโดนไฟไหม้น้ำร้อนลวกแล้วเนี่ยมัน
00:19:13 → 00:19:17 จะต้องทำการปลูกผิวหนังโดยการไถผิวหนัง
00:19:17 → 00:19:19 เนี่ยจากบริเวณหน้าขาหรือตรงบริเวณที่ไม่
00:19:19 → 00:19:22 ได้โดนไฟไหม้เนี่ยเอามาปักในตำแหน่งที่
00:19:22 → 00:19:23 โดนไฟไหม้
00:19:23 → 00:19:25 อันนี้สาเหตุก็มาจากอุบัติเหตุใช่มั้คะ
00:19:25 → 00:19:26 หรือว่าจากอะไรเอ่ย
00:19:26 → 00:19:29 ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นอุบัติเหตุบางที
00:19:29 → 00:19:33 เนี่ยมันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่า
00:19:33 → 00:19:33 มันจะเกิด
00:19:34 → 00:19:35 อืเช่นยกตัวอย่างได้มั้คะ
00:19:35 → 00:19:37 ยกตัวอย่างเคสนึงก็คือคุณผู้หญิงท่านนึง
00:19:37 → 00:19:41 ไปทำการนั่งสตรีมแล้วปรากฏว่าตัวสตีม
00:19:41 → 00:19:44 เนี่ยมันควบคุมความร้อนเนี่ยผิดปกติไอ้
00:19:45 → 00:19:47 น้ำที่ออกมาเนี่ยมันก็มีความรุนแรง
00:19:47 → 00:19:50 อุณหภูมิที่สูงก็ทำให้ผิวเนี่ยไหม้เหมือน
00:19:50 → 00:19:53 โดนน้ำร้อนรวกเนี่ยทั้งตัวอันนี้คือเคส
00:19:53 → 00:19:57 ที่พอที่จะจำเคสได้เคสนี้เนี่ยพอคนโดนน้ำ
00:19:57 → 00:20:00 ร้อนรวกหรือว่าโดนสตรีมอย่างเงี้ยสูงๆ
00:20:00 → 00:20:02 เป็นเวลาซักนานๆเนี่ยมันจะทำให้
00:20:02 → 00:20:05 เปอร์เซ็นต์ของผิวหนังของร่างกายเนี่ยสูญ
00:20:05 → 00:20:09 เสียเยอะเมื่อถ้าผิวหนังโดนน้ำร้อนลวก
00:20:09 → 00:20:13 หรือไฟไหม้เนี่ยมากกว่า 20% จำเป็นจะต้อง
00:20:13 → 00:20:16 นอนโรงพยาบาลหรือให้สาน้ำ
00:20:16 → 00:20:18 หรือถ้าสมมุติว่ามีเปอร์เซ็นต์ที่มากกว่า
00:20:18 → 00:20:21 นั้นอีกหรืออยู่ในบริเวณที่จำเป็นที่ต้อง
00:20:21 → 00:20:23 ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดอย่างเช่นว่า
00:20:23 → 00:20:27 บริเวณอวัยวเพศหรือรูทวารอย่างเงี้ยบางที
00:20:27 → 00:20:29 คนไข้ไม่สามารถกลับไปดูแลตัวเองได้เพราะ
00:20:29 → 00:20:32 ว่าเดี๋ยวอุจจารยอุจระโดนแผลเขาก็จะนอน
00:20:32 → 00:20:36 โรงพยาบาลบางท่านต้องนอนใน ICU
00:20:36 → 00:20:36 อื
00:20:36 → 00:20:38 อ่า ICU ก็จะเรียกว่าเบิร์นเป็นยูนิตก็
00:20:38 → 00:20:41 แล้วกันสำหรับคนไข้ที่มีไฟไหม้น้ำร้อน
00:20:41 → 00:20:44 ล่วงแล้วจะต้องไปนอนใน ICU มันจะเป็น ICU
00:20:45 → 00:20:46 ที่แยกออกจากส่วนอื่นๆ
00:20:46 → 00:20:47 ออคือมันแยกกัน
00:20:48 → 00:20:50 อ่าใช่เพราะว่าไม่งั้นเดี๋เติดเชื้อง่าย
00:20:50 → 00:20:52 คนเราไม่มีผิวหนังแล้วเนี่ยจะติดเชื้อ
00:20:52 → 00:20:53 ง่าย
00:20:53 → 00:20:56 โดยเคสเนี้ยเนี่ยระหว่างที่เราทำแผลไปเ
00:20:56 → 00:20:59 เราก็สงสารคนไข้นะเพราะว่าเราต้องทำความ
00:20:59 → 00:21:02 สะอาดต้องฟอกผิวหนังเนี่ยอยู่ตลอดคนไข้ก็
00:21:02 → 00:21:05 จะเจ็บปวดมากๆเวลาเราเห็นคนไข้เจ็บปวด
00:21:05 → 00:21:08 เนี่ยมันก็จะมีการฉีดยาใช่มั้ยฉีดยาพวก
00:21:08 → 00:21:11 ที่ดินก็เป็นยาแก้ปวดเป็นอนุพันธ์ของ
00:21:11 → 00:21:13 มอรฟีนนะเป็นยาแก้ปวดรุนแรงแหละฉีดเพื่อ
00:21:13 → 00:21:17 ให้คนไข้สงบแต่จริงๆแล้วเนี่ยมันก็แค่เบา
00:21:17 → 00:21:19 บางเท่านั้นแหละคนไข้ก็ยังรู้สึกอยู่เรา
00:21:19 → 00:21:23 ก็เลยมักจะบอกคนไข้ว่าอย่าไปโฟกัสอย่าไป
00:21:23 → 00:21:27 อย่าไปคิดถึงจุดที่หมอกำลังทำอยู่คนไข้ก็
00:21:27 → 00:21:30 บอกว่ามันทำไม่ได้หมอมันเจ็บมันปวดมากยัง
00:21:30 → 00:21:33 ไงก็ทำไม่ได้เราก็บอกว่างั้นก็สวดมนต์ทำ
00:21:33 → 00:21:36 อะไรก็ได้หรือสวดมนต์ที่ตัวเองสวดได้มาก
00:21:36 → 00:21:38 ที่สุดหรือจะบวชสวดสวดบทแผ่เมตตาหรืออะไร
00:21:38 → 00:21:40 ก็แล้วแต่อิติปิโสอะไรก็ได้
00:21:40 → 00:21:42 เพื่อให้เขาย้ายโฟกัส
00:21:42 → 00:21:45 ใช่ๆเพื่อให้เค้าไม่ไปโฟกัสในสิ่งที่เรา
00:21:45 → 00:21:48 ทำในระหว่างนั้นน่ะที่เราบอกคนไข้
00:21:48 → 00:21:51 ให้ทำคนไข้เนี่ยก็พูดขึ้นมาว่าเนี่ยนึก
00:21:51 → 00:21:54 ถึงสิ่งที่ตัวเองเคยทำไว้
00:21:54 → 00:21:56 หื
00:21:56 → 00:21:57 ยังไงคะ
00:21:57 → 00:22:00 เราก็หือเหมือนกันล่ะฮึเรื่องอะไรหรออะไร
00:22:00 → 00:22:03 เงี้ยเราก็อยากรู้เราทำแผลคนไข้เร้องเจ็บ
00:22:03 → 00:22:08 ปวดอดป่วยนะเค้าก็บอกว่าเค้าอ่ะชอบกินปูเ
00:22:08 → 00:22:11 ชอบไปกินปูที่ร้านอาหารโดยที่เห็นปูนี่
00:22:11 → 00:22:13 มันว่ายอยู่ที่ในถังเนี่ยนะ
00:22:13 → 00:22:16 ค่ะแล้วก็ไปเลือกแล้วก็ไปเลือกเก็เลือก
00:22:16 → 00:22:19 เสร็จแล้วเนี่ยเ้าก็ชอบไปยืนดูกุ๊กปรุง
00:22:19 → 00:22:21 อาหารโดยเขาก็จะเห็นว่ากุ๊กเนี่ยก็หยิบ
00:22:21 → 00:22:25 ปูเนี่ยลงไปลวกน้ำร้อนเขาบอกว่าภาพนั้น
00:22:25 → 00:22:25 เนี่ย
00:22:25 → 00:22:26 มันฉายขึ้นมา
00:22:26 → 00:22:29 เออมันชัดขึ้นมาเลยตอนที่หมอบอกให้เขาสวด
00:22:29 → 00:22:32 หมดทำให้เขา้าอ่ะนึกถึงว่าผ้าปูที่เขาชอบ
00:22:33 → 00:22:35 กินกับตัวเองที่โดนอยู่เนี่ยมันช่าง
00:22:35 → 00:22:38 เหมือนกันเลยนี้คือเป็นสิ่งแรกนะที่ทำให้
00:22:38 → 00:22:40 เรารู้สึกว่าเอ๊ะที่เราบอกว่าเป็น
00:22:40 → 00:22:43 อุบัติเหตุเนี่ยมันเป็นอุบัติเหตุหรือมัน
00:22:43 → 00:22:46 เป็นบางอย่างที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือ
00:22:46 → 00:22:49 แม้แต่อีกเคสนึงก็เป็นเคสพลทหารเพราะว่า
00:22:49 → 00:22:52 เราอยู่โรงพยาบาลทหารเนาะก็เป็นคนไข้พล
00:22:52 → 00:22:55 ทหารมาด้วยเรื่องว่าแก๊สระเบิดจะหุงต้ม
00:22:55 → 00:22:58 อาหารให้นายนั่นแหละแก๊สมันระเบิดปรากฏ
00:22:58 → 00:23:00 ว่าตอนระเบิดเนี่ยมันไม่ใช่เป็นแบบแก๊ส
00:23:00 → 00:23:02 ระเบิดแบบเป็นเศษหินนะหรือเอ้ยเป็นเศษ
00:23:02 → 00:23:05 เหล็กหรืออะไรเงี้ยนะแต่ว่ามันเป็นไฟมัน
00:23:05 → 00:23:09 ลุกพลึขึ้นมาคนไข้ก็โดนไปทั้งหน้าทั้งตัว
00:23:09 → 00:23:11 ทั้งแขนทั้งขาเปอร์เซ็นต์มากกว่า 20% ใช่
00:23:11 → 00:23:13 ก็ต้องนอนโรงพยาบาลต้องให้สาน้ำแล้วก็
00:23:13 → 00:23:17 ต้องมาอยู่ ICU เบิรเนี่ยแหละเราก็พอเห็น
00:23:17 → 00:23:20 เคสนี้เออเราก็บอกแบบเดียวกันว่าอ่ะตอน
00:23:20 → 00:23:24 ที่หมอทำแพเนี่ยก็สวดมนต์นะสวดมนต์ไปก็
00:23:24 → 00:23:26 แล้วกันจริงๆเราก็ไม่ได้บอกเขาสวดมนต์
00:23:26 → 00:23:28 อย่างเดียวเนี่ยนะเราก็บอกว่าตอนสวดมนต์
00:23:28 → 00:23:32 นะให้นึกถึงว่าเคยทำอะไรไว้
00:23:32 → 00:23:34 หมอชี้นำไงเก็เลยแบบนึกถึง
00:23:34 → 00:23:36 เออซึ่งจริงๆแล้วต้องบอกว่าพอเราพูดแบบ
00:23:36 → 00:23:40 เนี้ยคนไข้จะนึกถึงเรื่องที่ตัวเองเคยทำ
00:23:40 → 00:23:43 ในอดีตเขาก็บอกว่าผมนึกออกแล้วครับสมัย
00:23:43 → 00:23:45 ก่อนน่ะผมชอบจับกิ้งกา
00:23:45 → 00:23:48 จับกิ้งกามาแล้วก็ยัดตัวประทัดใส่เข้าไป
00:23:48 → 00:23:51 ในปารเคยเห็นนะจริงๆพวกคนต่างจังหวัดเค้า
00:23:51 → 00:23:54 ก็ทำสนุกสนุกของเ้าแหละแล้วเก็จุดประทัด
00:23:54 → 00:23:55 มันก็มันตายมั้
00:23:55 → 00:23:57 เออมันก็ระเบิดปึ้มเงี้ยอ
00:23:57 → 00:24:00 เค้าก็บอกว่าตอนที่เา้าเป็นอยู่เนี่ยที่
00:24:00 → 00:24:03 หมอกำลังทำแผลเนี่ยเ้าอ่ะนึกถึงเคสเนี้ย
00:24:03 → 00:24:06 ขึ้นมาว่ามันสิ่งมันเป็นสิ่งที่เขาเคยทำ
00:24:06 → 00:24:09 ส่วนใหญ่ต้องบอกว่าหลายสิ่งหลายอย่าง
00:24:09 → 00:24:12 เนี่ยเวลาที่คนไข้ไปอยู่ในห้องเล็กๆนะ
00:24:12 → 00:24:14 อย่าง ICU ก็จะเป็นห้องเล็กๆเนี่ยค่ะ
00:24:14 → 00:24:17 ทั้งวันเไม่มีอะไรทำให้เขาเนี่ยสามารถมี
00:24:17 → 00:24:18 เวลา
00:24:18 → 00:24:19 คิดถึงเรื่องตัวเอง
00:24:19 → 00:24:21 คิดถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้เรื่องนั้นนะ
00:24:21 → 00:24:23 เราชี้นำหรือเปล่าเราไม่รู้แต่เราก็คิด
00:24:23 → 00:24:27 ว่าโอเคถ้าคุณคิดออกก็ให้แผ่เมตตาซะการ
00:24:27 → 00:24:30 แผ่เมตตาได้ผลหรือไม่ได้ผลเจ็บปวดน้อยลง
00:24:30 → 00:24:34 หรือเปล่าเราก็ไม่รู้นะแต่มันก็ทำให้เา้า
00:24:34 → 00:24:35 ไปโฟ
00:24:35 → 00:24:38 กับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ซึ่งมันเจ็บปวด
00:24:38 → 00:24:40 แน่นอนสิ่งที่เราพูดก็คือว่าถ้าคุณไป
00:24:40 → 00:24:43 โฟกัสกับความทุกข์คุณก็ยิ่งทุกข์หนัก
00:24:43 → 00:24:44 อก็จะยิ่งเจ็บ
00:24:44 → 00:24:45 คุณก็ต้องทำอย่างอื่น
00:24:45 → 00:24:47 เพื่อให้
00:24:47 → 00:24:48 สิ่งนั้นเนี่ยเบาบางลง
00:24:48 → 00:24:50 แล้วอย่างกรณีเคะ 2 เคสที่คุณหมอเล่า
00:24:50 → 00:24:52 เพราะเาเล่าให้คุณหมอฟังแบบนั้นคุณหมอตอบ
00:24:52 → 00:24:52 กลับไปว่าไงคะ
00:24:52 → 00:24:54 หมอก็ไม่ได้ตอบว่าอะไรหรอกเพราะส่วนใหญ่
00:24:54 → 00:24:56 เนี่ยเคสที่มาประมาณเนี้ยหมอมักจะบอกคน
00:24:56 → 00:24:59 ไข้อยู่แล้วล่ะว่าลองนึกดูว่าตัวเองเคยทำ
00:24:59 → 00:25:01 อะไรไว้
00:25:01 → 00:25:04 ฟังดูมันเหมือนกับเป็นเรื่องที่เหมือนไป
00:25:04 → 00:25:07 ซ้ำเติมเ้านะแต่จริงๆแล้วเราไม่ได้ซ้ำ
00:25:07 → 00:25:09 เติมการที่เราบอกให้เขาระลึกถึงสิ่งที่
00:25:09 → 00:25:12 เขาเคยทำไว้ในกรณีที่เขาเกิดเหตุการณ์
00:25:12 → 00:25:15 เดียวกันเพื่อให้เขาได้แผ่เมตตาถูกได้
00:25:15 → 00:25:18 โฟกัสในสิ่งที่ตัวเองทำว่าโอเคเราเคยทำ
00:25:18 → 00:25:21 ไม่ดีตอนเนี้ยมันเกิดขึ้นเราถูกทำแผลเจ็บ
00:25:21 → 00:25:24 เราจะได้เจ็บน้อยลงแล้วถ้าเขาหายหรือไม่
00:25:24 → 00:25:26 หายหรืออะไรก็แล้วแต่เนี่ยก็อย่างที่บอก
00:25:26 → 00:25:28 ว่ามันก็น่าจะมีส่วนบ้าง
00:25:28 → 00:25:30 อืไม่มากก็น้อยอย่างน้อยก็อาจจะช่วยจิตใจ
00:25:30 → 00:25:31 เขาได้บ้างนิดหน่อย
00:25:31 → 00:25:34 ใช่อย่างน้อยเขาได้รู้สึกว่าเขาได้ชำระ
00:25:34 → 00:25:37 ที่ตัวเองทำไปแล้วอะไรอย่างเงี้ยนึกออก
00:25:37 → 00:25:39 โลกทั่วไปที่เราเคยเห็นกันในโลกเนี้ย
00:25:39 → 00:25:41 อย่างปัจจุบันเนี้ยโรคอะไรที่คนเป็นบ่อย
00:25:41 → 00:25:43 ที่สุดค่ะที่เป็นเยอะมากๆ
00:25:43 → 00:25:44 คืออย่างงี้ดีกว่า
00:25:44 → 00:25:44 อื
00:25:44 → 00:25:48 ถ้าถามว่าโรคอะไรที่พบบ่อยเราอาจจะตอบ
00:25:49 → 00:25:52 ง่ายๆว่าเออเป็นโรคระบบทางเดินหายใจใครๆ
00:25:52 → 00:25:54 ก็เป็นหวัดใครๆก็อาจจะติดโควิดอะไรอย่าง
00:25:54 → 00:25:55 เงี้ยนะ
00:25:55 → 00:25:58 แต่ถ้าถามว่าโรคอะไรที่เป็นข่าว
00:25:58 → 00:25:58 อื
00:25:58 → 00:26:01 นั่นหมายความว่าโลกนั้นน่ะต้องแตกต่างจาก
00:26:01 → 00:26:02 โลกอื่น
00:26:02 → 00:26:06 โทเพราะว่าด้วยความแตกต่างของมันทำให้คน
00:26:06 → 00:26:09 สนใจยกตัวอย่างอย่างเช่นแบบโรคภูมิคุ้ม
00:26:09 → 00:26:12 กันที่เกิดขึ้นแบบแปลกๆอย่างเงี้ยอย่าง
00:26:12 → 00:26:15 โรคของนักร้องท่านนึงที่เขามีปัญหาเรื่อง
00:26:15 → 00:26:18 การมองเห็นตัวย่อก็คือ VKH
00:26:18 → 00:26:19 นี่คือชื่อย่อของโลก
00:26:19 → 00:26:20 เออเป็นชื่อย่อของโลก
00:26:20 → 00:26:20 ค่ะ
00:26:20 → 00:26:24 คือโลกเนี้ยเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในสมอง
00:26:24 → 00:26:25 น้ำในสมองเนี่ย
00:26:25 → 00:26:26 อื
00:26:26 → 00:26:30 มันไปสงสัยว่าเม็ดสีของมันเนี่ยทำงานผิด
00:26:30 → 00:26:32 ปกติคือเม็ดสีผิวของของเราเนี่ยเป็นตัว
00:26:32 → 00:26:35 แปลกปลอบมันก็เลยไปทำลายพอระบบภูมิคุ้ม
00:26:35 → 00:26:38 กันมันไปทำลายเม็ดสีนะคนไข้ก็เกิดทำให้ตา
00:26:38 → 00:26:40 เนี่ยมองไม่เห็นตรงกลางเพราะว่าตาเราก็
00:26:40 → 00:26:43 เป็นสีดำคนไข้ก็มีภาวะคิ้วเนี่ยค่อยๆกลาย
00:26:43 → 00:26:46 เป็นสีขาวแล้วรอบตากลายเป็นสีขาวแล้วก็มี
00:26:46 → 00:26:49 ภาวะด่างขาวเนี่ยขึ้นตามตัวเนี้ยเป็นโรค
00:26:49 → 00:26:52 ของนักร้องดังซึ่งอย่างที่บอกว่าเฮ้ยจริง
00:26:52 → 00:26:55 ๆโลกนี้เนี่ยพบในคนเอเชียพอสมควรแต่พอ
00:26:55 → 00:26:57 เกิดกับคนที่มีชื่อเสียง
00:26:57 → 00:26:59 ก็จะคนก็สนใจ
00:26:59 → 00:27:01 ก็จะดังขึ้นมาอันนี้ก็คือบอกว่าโลกที่
00:27:01 → 00:27:03 เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันเนี่ยจะเป็นโรคอะไร
00:27:03 → 00:27:06 ที่แปลกๆแล้วก็มักอย่างที่บอกว่าอธิบาย
00:27:06 → 00:27:08 ได้ยากคนก็จะสนใจเยอะเพราะมันไม่ตรงไปตรง
00:27:08 → 00:27:09 มาไง
00:27:09 → 00:27:11 พฤติกรรมแบบไหนที่มันทำให้เราเสี่ยงเป็น
00:27:11 → 00:27:12 โรคแบบเนี้ยค่ะโรคที่มันเกิดขึ้นเยอะอีก
00:27:12 → 00:27:14 อย่างเช่นทุกวันนี้ที่เราเห็นเยอะก็มีโรค
00:27:14 → 00:27:16 เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันเบาหวานมะเร็งอะไร
00:27:16 → 00:27:18 เงี้ยค่ะที่ที่เราเห็นกันบ่อยๆ
00:27:18 → 00:27:21 การดูแลสุขภาพอย่างที่บอกก็คือว่าถ้าเรา
00:27:21 → 00:27:24 จะหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆเนี่ยเราก็ต้องดูแล
00:27:24 → 00:27:28 สุขภาพให้มันแข็งแรงนะนอน 6-8 ชมงกิน
00:27:28 → 00:27:31 อาหารที่ถูกสุขลักษณะให้ครบ 5 หมู่กิน
00:27:31 → 00:27:33 อย่ามากเกินไปไม่กินของหวานอะไรออกกำลัง
00:27:33 → 00:27:36 กายอะไรเงี้ยอันนี้มันก็คือเบสิคที่ทุกคน
00:27:36 → 00:27:39 จะต้องรู้อยู่แล้วแต่อย่างที่บอกว่าโอเค
00:27:39 → 00:27:41 ถ้าเราทำตามเนี้ยเราจะหลีกเลี่ยงโรคบาง
00:27:41 → 00:27:43 อย่างได้อย่างเช่นโรคที่เกิดขึ้นจากภูมิ
00:27:43 → 00:27:47 คุ้มกันก็อาจจะลดน้อยลงเพราะว่าเรามองว่า
00:27:47 → 00:27:49 โรคจากที่เกิดขึ้นจากภูมิคุ้มกันเนี่ย
00:27:49 → 00:27:51 เอ่อมักจะเกิดจากระบบคุ้มกันในร่างกายมัน
00:27:51 → 00:27:54 ทำงานผิดปกติเกิดจากความเครียดการนอนไม่
00:27:54 → 00:27:57 พออะไรก็แล้วแต่แต่อย่างโรคมะเร็งเงี้ย
00:27:57 → 00:27:59 มันก็คือเป็นโรคที่เกิดจากส่วนใหญ่เงี้ย
00:27:59 → 00:28:02 เราก็จะมองเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เรารับ
00:28:02 → 00:28:05 เข้าไปมะเร็งลำไส้อาหารไม่ดีมะเร็งปอด
00:28:05 → 00:28:08 อากาศไม่ดีอันนี้คือเราก็จะมองว่ามันเป็น
00:28:08 → 00:28:11 สิ่งที่เรารับเข้าไปหรือแม้แต่มะเร็งตับ
00:28:11 → 00:28:14 ส่วนนึงก็เป็นเพราะเรื่องของพยาธพยาธก็
00:28:14 → 00:28:18 เกิดจากอาหารไม่ดีกินอาหารหรือสารอัลฟ่า
00:28:18 → 00:28:20 ท็อกซินที่เป็นเชื้อราที่เกิดขึ้นจากถั่ว
00:28:21 → 00:28:23 เรากินเข้าไปก็ทำให้เกิดมะเร็งตับ
00:28:23 → 00:28:26 หรือเกิดจากเชื้อไวรัสเฮปปาติสอะไรเงี้ย
00:28:26 → 00:28:28 คือต้องบอกว่าของพวกเนี้ยบางอย่างมันก็
00:28:28 → 00:28:30 หลีกเลี้ยงได้อื
00:28:30 → 00:28:32 แต่บางอย่างเราเรากินไปครั้งแรกมันก็ไม่
00:28:32 → 00:28:36 ได้เห็นผลณวันนี้ซึ่งเราก็คิดว่าสิ่งที่
00:28:36 → 00:28:38 เราทำอยู่เนี่ยไม่ได้ส่งผลเสียอะไรแต่
00:28:38 → 00:28:41 สิ่งนั้นน่ะเมื่อทำซ้ำผลเสียก็จะเกิด
00:28:41 → 00:28:43 อันนั้นอันนั้นคือเรื่องนิสัยการรักตัว
00:28:43 → 00:28:45 เองการดูแลตัวเองเนี่ยคนก็น่าจะรู้อยู่
00:28:45 → 00:28:45 แล้วเป็นพื้นฐาน
00:28:45 → 00:28:47 แต่ถ้าอยากให้ยกตัวอย่างนิสัยหรือ
00:28:47 → 00:28:49 พฤติกรรมวันที่ถ้าทำแบบเนี้ยโลกถามหาแน่
00:28:49 → 00:28:49 นอน
00:28:49 → 00:28:51 นิสัยพฤติกรรมแบบนี้เหรอก็
00:28:51 → 00:28:54 ถ้าคุณทำยังไงอนาคตต้องมีโรคแน่นอนค่ะ
00:28:54 → 00:28:56 แรกสุดเลยก็คือนอนไม่เพียงพอพิทเนี่ยหมอ
00:28:57 → 00:28:58 ก็จะพูดเกี่ยวกับเรื่องการนอนเนี่ยเป็น
00:28:59 → 00:29:01 อันดับหนึนคือการนอนไม่เพียงพออันที่ 2
00:29:01 → 00:29:03 ก็คือเรื่องของการกินกินไม่ดี
00:29:03 → 00:29:04 กินไม่เป็นเวลาเกี่ยวคะ
00:29:04 → 00:29:07 กินไม่เป็นเวลาเกี่ยวมก็เกี่ยวแต่กินไม่
00:29:07 → 00:29:09 ดีจะเกี่ยวข้องกว่า
00:29:09 → 00:29:12 กินไม่เป็นเวลาคุณอาจจะเป็นแค่โรคกระเพาะ
00:29:12 → 00:29:15 แต่ถ้าคุณกินไม่ดีด้วยกินอาหารที่ไม่
00:29:15 → 00:29:18 สะอาดและมีเชื้อ H pโรไลineเชื้อเนี้ยทำ
00:29:18 → 00:29:21 ให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหารบางคนกลิ่นคลีน
00:29:21 → 00:29:22 เลยกินดี
00:29:22 → 00:29:23 อือค่ะ
00:29:23 → 00:29:25 แต่เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
00:29:25 → 00:29:28 เพราะสิ่งที่กินน่ะมันดันมีเชื้อโรคตัว
00:29:28 → 00:29:32 นี้พอกินเข้าไปเรื่อยๆก็ทำให้ป่วยไข้ไม่
00:29:32 → 00:29:35 สบายได้เรื่องของการออกกำลังกายไม่ออก
00:29:35 → 00:29:35 อือ
00:29:35 → 00:29:38 หรือออกได้ไม่เต็มที่เหมือนที่เราเห็นใน
00:29:38 → 00:29:42 คลิปบางคนนั่งกินอยู่เลยแล้วขาก็นั่งอยู่
00:29:42 → 00:29:45 บนไอ้ที่ตัววิ่งอ่ะนะการออกกำลังกายที่
00:29:45 → 00:29:48 ไม่ดีหรือไม่ถูกต้องมากไปก็ไม่ดี
00:29:48 → 00:29:48 อื
00:29:48 → 00:29:52 น้อยไปดีมันก็ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับหลอด
00:29:52 → 00:29:56 เลือดไขมันอุดตันหรือหลอดเลือดแข็งเนี่ย
00:29:56 → 00:29:59 อันนี้คือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นตามก็คือ 3
00:29:59 → 00:30:01 อย่างก็คือนอนไม่ดีกินไม่ดีไม่ออกกำลัง
00:30:01 → 00:30:03 กายหรือออกกำลังกายแบบผิดวิธีหลักโดยทั่ว
00:30:03 → 00:30:04 ไป
00:30:04 → 00:30:06 ใช่คือถ้าทำตามเนี้ยเป็นโรคแน่นอน
00:30:06 → 00:30:06 อื
00:30:06 → 00:30:08 ใช่ต้องเป็นโรคสักอย่างนึงไงอย่างสมมุติ
00:30:08 → 00:30:10 ว่าเรากินไม่ดีอย่างเงี้ยกินไขมันเยอะ
00:30:10 → 00:30:13 เกินก็ต้องเป็นคอเลสเตอรอลสูงอยู่แล้วสุด
00:30:13 → 00:30:15 ท้ายเราก็จะต้องลงท้ายด้วยความดับ
00:30:15 → 00:30:16 อก็เป็นโรคตามมาอยู่ดี
00:30:16 → 00:30:18 เออมันก็จะมีโรคตามมา
00:30:18 → 00:30:20 อย่างเมื่อกี้ที่คุณหมออนชั่นถึงเรื่องคน
00:30:20 → 00:30:22 ที่กินครีมกินอาหารดีมากแต่สุดท้ายก็ป่วย
00:30:22 → 00:30:24 เพราะว่าเขาดันไปกินไอ้เชื้อตัวนี้ขึ้นมา
00:30:24 → 00:30:26 ทีนี้ก็จะเห็นพวกที่แบบบางคนเขากิน
00:30:26 → 00:30:28 มังซวีรัสหรือพวกพวกเวจิเทเรียนที่เขากิน
00:30:28 → 00:30:30 แต่ผักไม่กินเนื้อเลยอันนี้อยากรู้ว่ามัน
00:30:30 → 00:30:33 ส่งผลเสียมากน้อยแค่ไหนเพราะตามความเชื่อ
00:30:33 → 00:30:34 เดิมหนูเชื่อว่าเราก็ต้องกินให้ครบ 5
00:30:35 → 00:30:36 หมู่หลากหลาย 4 อะไรเงี้ยค่ะ
00:30:36 → 00:30:40 อ่าอันนี้ต้องบอกว่ามีสถาบันวิจัยของ
00:30:40 → 00:30:44 สแตนฟอร์ดนะเป็น Nutritional of
00:30:44 → 00:30:48 Stanforอร์เนี่ยเา้าจับคนที่เป็นฝาแฝดกัน
00:30:48 → 00:30:51 หมายความว่ายีนอะไรทุกอย่างเป็นแฟนเหมือน
00:30:51 → 00:30:55 เลยเอามา 30 คู่แล้วแบ่งเลยคนกลุ่มนึง
00:30:55 → 00:31:00 ให้กินเวจetเทเลียนกินโปรตีนที่มาจากพืช
00:31:00 → 00:31:00 อ
00:31:00 → 00:31:04 อีกกลุ่มนึงให้กินโปรตีนที่มาจากสัตว์และ
00:31:04 → 00:31:07 ให้ใช้พฤติกรรมเหมือนกันโดยมีพฤติกรรมที่
00:31:07 → 00:31:10 ควบคุมควบคุมทั้งแคลอรี่ด้วยในการกินควบ
00:31:10 → 00:31:13 คุมทั้งการออกกำลังกายด้วยแล้วเขาก็มาวัด
00:31:13 → 00:31:16 กันตัวต่อตัวเลยเพราะว่าอันเนี้ยจะถือได้
00:31:16 → 00:31:19 ว่าเป็นการทดสอบที่ไม่ไบแอสเพราะว่าเป็น
00:31:19 → 00:31:21 แฟลชเหมือนกันยีนหรือ DNA ไงเต้องเหมือน
00:31:21 → 00:31:23 จะคล้ายๆกันค่ะ
00:31:23 → 00:31:27 ผลน่ะมันปรากฏว่าคนที่กินโปรตีนจากพืช
00:31:27 → 00:31:30 อย่างเดียวแล้วก็ออกกำลังกายปรากฏว่าพอ
00:31:30 → 00:31:33 เขาไปทำบอดี้สแกนพบว่ามวลของกล้ามเนื้อ
00:31:34 → 00:31:38 มันหายไปและไขมันก็ลดลงไม่ได้มากมายเทียบ
00:31:38 → 00:31:41 ส่วนอ่าเพราะว่าเ้าออกกำลังกายคือต้องบอก
00:31:41 → 00:31:44 ว่าโปรตีนจากพืชเนี่ยเราจะต้องกินปริมาณ
00:31:44 → 00:31:45 มากจริงๆ
00:31:45 → 00:31:46 อือ
00:31:46 → 00:31:48 อาจจะต้องมากหลายๆเท่าเพื่อไปสร้างมวล
00:31:48 → 00:31:50 กล้ามเนื้อของเราแต่คนที่กินโปรตีนจาก
00:31:50 → 00:31:53 สัตว์แล้วออกกำลังกายเข้าฟิตเนสเหมือนกัน
00:31:53 → 00:31:57 ปรากฏว่าพอทำบอดี้สแกนกล้ามหรือมวลกล้าม
00:31:57 → 00:31:57 เนื้อ
00:31:57 → 00:31:58 เยอะกว่าเหรอคะ
00:31:58 → 00:31:59 เพิ่มมากกว่า
00:31:59 → 00:31:59 อื
00:31:59 → 00:32:01 ไขมันก็เพิ่มขึ้นด้วยประเด็นมันไม่ได้
00:32:01 → 00:32:04 อยู่แค่ตรงจุดนี้อย่างเดียวเขาไปตรวจสาร
00:32:04 → 00:32:08 ที่ชื่อว่า TMAO อ่ามันเป็นสารที่ตรวจดู
00:32:08 → 00:32:12 ว่าในเลือดของเราเนี่ยมีการอักเสบอยู่
00:32:12 → 00:32:14 หรือเปล่าในกระแสเลือดของเราเนี่ยเเรียก
00:32:14 → 00:32:18 ว่าสารอักเสบ TMAO เ้าบอกว่าไอ้ตัว TMAO
00:32:18 → 00:32:21 เนี่ยถ้ามันมีมากมันจะยิ่งทำให้หลอดเลือด
00:32:21 → 00:32:25 ของเรามีโอกาสมีกลิ่นปูนมาเกาะง่าย
00:32:25 → 00:32:28 หรือมีหลอดเลือดแขกแข็งตัวเนี่ยโดยง่าย
00:32:28 → 00:32:31 อ่าซึ่งมันจะไปทำให้เกิดหลอดเลือดหัวใจ
00:32:31 → 00:32:34 ขาดเลือดหรือเป็นหลอดเลือดที่ขาเนี่ยตีบ
00:32:34 → 00:32:37 ตันได้ดังนั้นสารตัวนี้ก็ไม่ควรที่จะมี
00:32:37 → 00:32:42 เยอะใช่มั้อ่าปรากฏว่าคนที่กินโปรตีนจาก
00:32:42 → 00:32:42 พืช
00:32:42 → 00:32:42 อย่างเดียว
00:32:43 → 00:32:48 อ่า TMAO ต่ำคนที่กินโปรตีนจากสัตว์ TMAO
00:32:48 → 00:32:51 สูงมันไม่ได้บอกว่าทุกอย่างมันไม่ดีไป
00:32:51 → 00:32:53 ทั้งหมด
00:32:53 → 00:32:55 และไม่ได้บอกว่าทุกอย่างก็จะดีไปทั้งหมด
00:32:56 → 00:32:59 เพราะบางคนเป็นกลุ่มก็จะเชียร์ว่านั้นดี
00:32:59 → 00:33:02 บางคนไม่ใช่กลุ่มก็ต้องบอกว่าถ้าคุณกิน
00:33:02 → 00:33:05 คุณต้องกินเยอะพอสมควรจริงๆเพื่อไม่ให้
00:33:05 → 00:33:07 มวลกล้ามเนื้อหายไปเพราะคุณต้องไม่ออก
00:33:07 → 00:33:09 กำลังกายถ้าคุณออกกำลังกายมวลกล้ามเนื้อ
00:33:09 → 00:33:13 คุณจะลดลงแน่นะแต่แน่นอนสารอักเสบของคุณ
00:33:13 → 00:33:14 น่ะมันต่ำกว่า
00:33:14 → 00:33:15 มันต่ำกว่ากันเยอะมากมั้คะ
00:33:15 → 00:33:18 อ่าต่ำกว่าอย่างมีนัยยะใช้คำว่าต่ำกว่า
00:33:18 → 00:33:21 อย่างมีนัยยะสำคัญแฝดพวกเนี้ยที่มาตรวจ
00:33:22 → 00:33:22 เนี่ย
00:33:22 → 00:33:25 30 คู่เนี่ยเขาแบ่งเป็นช่วงอายุด้วยนะ
00:33:25 → 00:33:29 อ่าตั้งแต่อายุ 18 จนถึงอายุ 60 เลยแล้วเ
00:33:29 → 00:33:31 ก็วัดเป็นช่วงอายุด้วยเขาจะได้แบ่งช่วง
00:33:31 → 00:33:34 ได้เมื่อเาวิเคราะห์ผลงานวิจัยทั้งหมดเ
00:33:34 → 00:33:38 บอกว่าในวัยเด็ก 18-40 ปีคุณอาจจะกิน
00:33:38 → 00:33:41 กล้ามเนื้อที่เป็นโปรตีนจากสัตว์เนี่ยได้
00:33:41 → 00:33:43 พอสมควรเลยเพื่อที่จะสร้างมวลกล้ามเนื้อ
00:33:43 → 00:33:48 ของคุณแต่ถ้ามุเมื่อคุณอายุเยอะขึ้น 50-60
00:33:48 → 00:33:51 ปีขึ้นไปคุณควรจะกินโปรตีนที่มาจากเนื้อ
00:33:51 → 00:33:54 สัตว์น้อยลงแล้วมากินโปรตีนที่มาจากพืช
00:33:54 → 00:33:55 มากขึ้น
00:33:55 → 00:33:57 อันนั้นเราก็บอกได้ว่าเออเราก็ควรดูตาม
00:33:57 → 00:34:00 อายุของเราแหละดูตามอายุแล้วก็สุขภาพของ
00:34:00 → 00:34:01 เรา
00:34:01 → 00:34:03 ใช่ครับใช่เพราะฉะนั้นน่ะจึงไม่อยากที่จะ
00:34:03 → 00:34:07 ไปบอกว่าอะไรดีหรือไม่ดีเพราะทุกอย่างมี
00:34:07 → 00:34:10 ดีและไม่ดีอยู่ที่ว่ามันอยู่ในช่วงระยะ
00:34:10 → 00:34:14 เวลาไหนเหมาะสมมากน้อยแค่ไหนกับร่างกาย
00:34:14 → 00:34:14 ของเรา
00:34:14 → 00:34:16 ถ้าเป็นประโยชน์ต่อทุกคนแน่นอนสำหรับคน
00:34:16 → 00:34:19 ที่เขาสงสัยอยู่บางคนเขาก็คิดว่าไม่ดี
00:34:19 → 00:34:21 หรือบางคนก็คิดว่าเนื้อสัตว์ไม่ดีอะไร
00:34:21 → 00:34:22 อย่างเงี้ย
00:34:22 → 00:34:24 เก็จะได้ไปคิดต่อได้ว่าเออจริงจริงๆแล้ว
00:34:24 → 00:34:25 มันก็มีช่วงที่เหมาะสมของมันอยู่
00:34:25 → 00:34:29 ใช่บางคนกินโปรตีนจากพืชอย่างเดียว
00:34:29 → 00:34:31 ไปเจาะเลือดปรากฏซีด
00:34:31 → 00:34:32 อ้า
00:34:32 → 00:34:35 เออฮีโมโลบินเนี่ยต่ำเลยเพราะว่าไอ้ตัว
00:34:35 → 00:34:37 ธาตุเหล็กมันไม่พอธาตุเหล็กมันต้องมาได้
00:34:37 → 00:34:40 จากเนื้อสัตว์เพราะฉะนั้นมันก็ไม่เหมาะสม
00:34:40 → 00:34:43 อย่างยกตัวว่าเราอยู่ในวัยเจริญพันธ์
00:34:43 → 00:34:47 สมมุติเราอายุสซัก 20-30 เราอาจจะมีบุตร
00:34:47 → 00:34:49 เมื่อไหร่ก็ได้แล้วถ้าสมมุติว่าเรากิน
00:34:49 → 00:34:50 โปรตีนจากพืช
00:34:50 → 00:34:51 อ
00:34:51 → 00:34:54 แล้วเราซีดมันก็จะส่งผลถึงลูกอ๋อใช่เพราะ
00:34:54 → 00:34:57 เวลามีลูกก็ต้องเอาเลือดไปเลี้ยงอีกคนนึง
00:34:57 → 00:34:59 ใช่ดังนั้นก็อย่างที่บอกว่ามันถึงต้อง
00:34:59 → 00:35:02 ปรับเปลี่ยนตามอายุกินให้มันเหมาะสมกับ
00:35:02 → 00:35:02 อายุ
00:35:02 → 00:35:04 โออันนี้ก็คือได้ความรู้เยอะแยะเลยนะคะ
00:35:04 → 00:35:06 จากคุณหมออย่างที่บอกนะคะอะไรที่เราไม่
00:35:06 → 00:35:09 ได้ใช้มันก็จะเสื่อมลงไปตามสภาพถ้าเรามี
00:35:09 → 00:35:11 แต่เราไม่ใช้มันก็เหมือนเราไม่มีฉะนั้นนะ
00:35:11 → 00:35:13 คะก็อยากให้ทุกคนดูแลตัวเองให้ดีตั้งแต่
00:35:13 → 00:35:15 วันนี้เลยไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ก็คือ
00:35:15 → 00:35:17 ต้องใส่ใจเรื่องสุขภาพนะคะแล้วก็ใครมีคำ
00:35:17 → 00:35:19 ถามนะคะก็สามารถถามไว้ได้ที่ใต้คอมเมนต์
00:35:19 → 00:35:21 เลยค่ะเดี๋มงานจะไปคัดเลือกแล้วก็มาให้
00:35:21 → 00:35:24 คุณหมอออตอบให้นะคะหรือถ้าอยากรู้เรื่อง
00:35:24 → 00:35:26 ต่างๆที่น่าสนใจมากกว่านี้นะคะก็สามารถไป
00:35:26 → 00:35:28 ติดตามได้ที่ช่องของคุณหมอเลยค่ะแค่เฉพาะ
00:35:28 → 00:35:30 ทางเดียวค่ะสำหรับวันนี้นะคะเรา 2 คนต้อง
00:35:30 → 00:35:34 ขอตัวลาไปก่อนนะคะสวัสดีค่ะคุณหมอมา
00:35:34 → 00:35:37 สวัสดีค่ะ
00:35:37 → 00:35:56 [เพลง]