00:00:00 → 00:00:02 อาจารย์ขาก่อนอื่นขอปูพื้นความรู้ก่อนเลย
00:00:02 → 00:00:06 ค่ะ toxic คืออะไร toxic People คือใคร
00:00:06 → 00:00:10 คนแบบไหนเขาถึงเอ่อจำกัดความคำว่า toxic
00:00:10 → 00:00:12 People เพราะว่าพฤติกรรมแบบไหนมันคือทกิ
00:00:12 → 00:00:15 อ่ะคะอาจารย์คือคือคำพูดนี้จริงๆมันไม่
00:00:15 → 00:00:19 ได้ไม่ได้เป็นคำทางวิชาการทีเดียวนะครับ
00:00:19 → 00:00:24 มันเป็นคำที่เราพูดกันในสังคมโดยทั่วๆไป
00:00:24 → 00:00:28 นะครับแล้วก็ค่ะมันไม่ได้มีงานวิจัยทาง
00:00:28 → 00:00:31 ทางออ่าททางวิทยาศาสตร์หรือทางทางทาง
00:00:32 → 00:00:34 วิชาการแต่ว่าก็เป็นที่รู้กันว่าคนที่
00:00:34 → 00:00:36 ท็อกซิกก็คือเราเราอยู่ด้วยแล้วเรารู้สึก
00:00:36 → 00:00:42 ติดลบอ่ะเราเครียดเราไม่สบายใจเรามีความ
00:00:42 → 00:00:46 อ่ารู้สึกอึดอัดอืแต่ว่าค่ะที่มันที่
00:00:46 → 00:00:50 ท็อกซิกมันอาจจะมีความหมายนิดนึงก็คือเ
00:00:50 → 00:00:53 ไม่เเราไม่สาระบไม่สามารถระบุได้ว่าเเป็น
00:00:53 → 00:00:56 คนไม่ดีเป็นคนผิดเป็นคนเลวอ่ะครับค่ะมัน
00:00:56 → 00:00:58 มันไม่ใช่ดีเลวแบบนั้นแต่ว่ามันอยู่ใกล้
00:00:59 → 00:01:02 แล้วมันอึดอัดค่ะอนี้พฤติกรรมอะไรที่ทำ
00:01:02 → 00:01:06 ให้เราอึดอัดไม่สบายใจเช่นว่าเขาอาจจะพูด
00:01:06 → 00:01:09 แต่เรื่องตัวเองค่ะพูดแล้วเราก็คือคือฟัง
00:01:09 → 00:01:11 แล้วก็ไม่ค่อยอยากจะฟังแต่เราก็ปฏิเสธ
00:01:11 → 00:01:14 ลำบากนะอยู่ในสถานะที่เรากลืนไม่เข้าคาย
00:01:14 → 00:01:17 ไม่ออกอะไรเงี้ยนะครับหรือว่าเป็นคนที่มี
00:01:17 → 00:01:22 แต่เรื่องลบๆร้ายๆมามาพูดคุยมาเรียกว่า
00:01:22 → 00:01:25 แจกทุกข์ให้คนอื่นแบบเนี้ยนะครับค่ะแต่
00:01:25 → 00:01:29 ว่าคนที่บางทีเค้าเเ่อเคใช้ประโยชน์เแสวง
00:01:29 → 00:01:34 หาประโยชน์จากเราออ่าเอาเอาประโยชน์ใส่ตน
00:01:34 → 00:01:37 เองอยู่ร่ำไปอะไรเงี้ยนะครับทีนี้ออ่าเรา
00:01:37 → 00:01:41 จะเห็นว่าเราก็เจอคนแบบนี้แต่ว่าหลายคน
00:01:41 → 00:01:44 เนี่ยอยู่ในสภาวะที่จัดการไม่ได้ก็เลย
00:01:44 → 00:01:47 ลำบากหน่อยคือปฏิเสธก็ไม่ได้หนีก็ไม่ได้
00:01:47 → 00:01:51 อือเพะเพะพะพออยู่ใต้อิทธิพลอยู่ใต้อำนาจ
00:01:51 → 00:01:54 อยู่ใต้เ่ออะไรก็แล้วแต่นะเป็นผู้ใต้
00:01:54 → 00:01:56 บังคับบัญชาหรือเป็นคนเป็นคนที่มีพระคุณ
00:01:57 → 00:01:59 อะไรเงี้ยนะครับมันก็เป็นภาวะคือเลกเข้า
00:01:59 → 00:02:04 คายไม่ออกอืจะจะหนีก็หนีไม่ได้นะครับมัน
00:02:04 → 00:02:07 มันก็เลยถึงตอกว่ามันก็เกิดอาการเป็นพิษ
00:02:07 → 00:02:10 ในใจนี่มันก็แล้ว้เราจะดูแลตัวองยังไงนก็
00:02:10 → 00:02:12 เป็นสิ่งที่ที่ที่เป็นประเด็นที่คุยกัน
00:02:12 → 00:02:15 คือคือสัมพัธภาพมันก่อให้เกิดความทุกข์
00:02:15 → 00:02:19 ค่ะความอึดอัดคับข้องใจอือ่าทำอะไรก็ไม่
00:02:19 → 00:02:23 ได้ค่ะถ้าถ้าทำอะไรได้หนีได้อ่าไม่บได้
00:02:23 → 00:02:26 มันก็ไม่ท็อกซิกอ่ะครับอืค่ะคือก็ปล่อย
00:02:26 → 00:02:29 เ้าไปใช่มั้ยครับเราก็ออกมาจากวงจรนั้นซะ
00:02:29 → 00:02:31 ใช่มันก็ไม่เป็นประเด็นนะครับแต่ที่มัน
00:02:31 → 00:02:34 ที่มันเป็นประเด็นก็คือมันมันอยู่ด้วยกัน
00:02:34 → 00:02:36 มันเจอบ่อยมันเกรงใจมัน
00:02:36 → 00:02:41 เอ่อพขื่นไม่เข้าคายไม่ออกเนี่ยครับค่ะพอ
00:02:41 → 00:02:45 มันอยู่ในสภาวะนั้นแล้วเนี่ยเราจะทำคือ
00:02:45 → 00:02:47 ถ้ามันเกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเนี่ยอะไรคือ
00:02:47 → 00:02:51 ทางเลือกหรือเป็นอชให้เราอยู่ในสังคมนั้น
00:02:51 → 00:02:53 ต่อไปได้เพราะว่าคนที่ท็อกซิกบางบาง
00:02:53 → 00:02:56 สถานการณ์เนี่ยอาจจะเป็นคนในครอบครัวคน
00:02:56 → 00:02:59 ที่เป็นเจ้านายอะไรเงี้ยค่ะมันมันก็มี
00:02:59 → 00:03:02 ความ
00:03:02 → 00:03:08 ใช่ๆมีคนเบอกว่าอ่าวิธีการจะจัดการกับ
00:03:08 → 00:03:11 toxic People ก็คืออยู่ห่างๆค่ะหนีหนี
00:03:11 → 00:03:13 ไปให้ไกลๆแต่ว่าในความเป็นจริงมันหนีไม่
00:03:13 → 00:03:16 ได้อ่ะครับค่ะคือถ้าหนีได้เก็ไม่ท็อกซิก
00:03:16 → 00:03:19 ละนั้นมันก็เป็นสภาวะที่ต้องยอมรับว่ามัน
00:03:19 → 00:03:23 มีมันมีอยู่จริงแล้วมันกำลังเรากำลัง
00:03:23 → 00:03:26 เผชิญกับมันอยู่ค่ะนั้นถ้าถามว่าจะทำยัง
00:03:26 → 00:03:30 ไงยอมรับก่อนนะยอมรับความจริงว่าจะเรียก
00:03:30 → 00:03:33 ว่าอะไรโชคร้ายหรือว่าลำบากแล้วที่จะต้อง
00:03:33 → 00:03:37 อยู่ในสภาแบบแบบนี้มันคำว่ายอมรับของผม
00:03:37 → 00:03:40 นี่หมายถึงว่ามันทำให้เรายอมรับความจริง
00:03:40 → 00:03:42 ว่าเรากำลังเจออยู่มันจะไม่มีคำถาม่ะครับ
00:03:42 → 00:03:45 ไม่งั้นมันถามว่าทำไมเราโชคร้ายทำไมเรา
00:03:45 → 00:03:47 ต้องมาเจอคนแบบนี้ถามไปก็ไม่ได้คำตอบ่ะ
00:03:47 → 00:03:50 ครับค่ะยิ่งถามก็ยิ่งกลุ้มใช่มั้ยยอมรับ
00:03:50 → 00:03:53 ก่อนว่าเจอละรวยละโชคร้ายะต้องมาเจอโอเค
00:03:53 → 00:03:57 ละยอมรับเอยู่รอบตัวเราเอยู่กับเราทุกวัน
00:03:57 → 00:04:00 เราเจอเมาหลายอาทิตย์ละได้ต้องจะต้องอยู่
00:04:00 → 00:04:02 กันไปอีกกี่เดือนไม่รู้ะมันเป็นความจริง
00:04:02 → 00:04:05 ใช่มครับการการการฝึกที่จะยอมรับความจริง
00:04:05 → 00:04:09 ก่อนค่ะมันก็จะพอให้ใจเราเาเบาเบาความ
00:04:09 → 00:04:12 หนักอะไรลงไปบ้างและหลังจากนั้นพอใจเรา
00:04:12 → 00:04:15 มั่นคงอ่ะมันถึงจะมีความสามารถในการดูแล
00:04:15 → 00:04:20 รักษาใจตัวเองค่ะอืค่ะออันนี้เป็นเป็น
00:04:20 → 00:04:23 เป็นเป็นเป็นหัวใจสำคัญนะครับการทำว่ายอม
00:04:23 → 00:04:25 รับมันไม่ใช่หมายความว่า
00:04:25 → 00:04:31 อ่ายอมจำนนไม่สู้ไม่คิดจะทำอะไรนะใช่มัน
00:04:31 → 00:04:35 เป็นการมันเป็นการยอมรับในในในเหตุการณ์
00:04:35 → 00:04:37 เบื้องต้นก่อนว่ามันเป็นมันเป็นสิ่งที่
00:04:37 → 00:04:39 เรากำลังเจออยู่ค่ะอย่าอย่างยกตัวอย่าง
00:04:39 → 00:04:44 เช่นเราเราออกมาจากออฟฟิศแล้วฝนฝนตกรถติด
00:04:44 → 00:04:47 เรายอมรับว่ามันตกฝนมันตกแล้วรถมันติด
00:04:47 → 00:04:50 แล้วมันมันจบอ่ะครับแต่ถ้าเราถามทำไมทำไม
00:04:50 → 00:04:53 ต้องตกทำไมรถมันติดจังเลยอะไรเงี้ยถามไป
00:04:53 → 00:04:56 ก็ไม่ได้คำตอบได้แต่ความหงุดหงิดใช่มั้ย
00:04:56 → 00:05:00 ครับการการบางคนพูดเป็นภาษาอังกฤษบอก
00:05:00 → 00:05:02 accept First ยอมรับก่อนอืการเปลี่ยน
00:05:02 → 00:05:04 แปลง Change Later คือเราเรายอมรับก่อน
00:05:04 → 00:05:07 แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงเนี่ยตามมาทีหลังแต่
00:05:07 → 00:05:12 ถ้าไม่ยอมรับมันก็เปลี่ยนไม่ได้ค่ะค่ะอ่า
00:05:12 → 00:05:17 ค่ะข้อ 1 สเต็ปแรกคือยอมรับค่ะทีนี้จะยอม
00:05:17 → 00:05:20 รับได้เนี่ยก็ก็ก็ต้องได้ยินก่อนว่าการ
00:05:20 → 00:05:23 ยอมรับสำคัญเห็นพร้องต้องกันเห็นด้วยว่า
00:05:23 → 00:05:26 ใช่ไม่งั้นก็จะตกอยู่แบบเดิมก็คือฉันไม่
00:05:26 → 00:05:30 ผิดทำไมฉันต้องยอมรับมันคนใยอมรับอมันมัน
00:05:30 → 00:05:32 ไม่ใช่ยอมรับว่าใครผิดใครถูกมันยอมรับว่า
00:05:32 → 00:05:35 ฉันกำลังเจอสภาวะนี้อยู่ฉันกำลังอยู่กับ
00:05:35 → 00:05:39 มันแล้วฉันก็หนีมันไม่ได้อือ่านี่คือ
00:05:39 → 00:05:42 สเต็ปแรกยอมรับแต่ไม่ยอมจำนนใช่ครับยอม
00:05:42 → 00:05:45 รับก่อนโอเคแล้วฝนตกแล้วลำบากแล้วเป็น
00:05:45 → 00:05:48 โควิดแล้วยอมรับอ่ะอไม่ยอมรับก็เป็นอยู่
00:05:48 → 00:05:51 นึกออกมั้ใคร้ขึ้นอยู่เงี้ยแล้วแล้วถ้า
00:05:51 → 00:05:54 เราไม่ยอมรับเราก็บ่นไปด่าไปกินยาไปไม่
00:05:54 → 00:05:58 กินยาบ้างอะไรเงี้ยโพสต์เป็นท็อกซิกกับคน
00:05:58 → 00:06:02 คนอื่นมค่ะเราไม่ยอมรับเราก็บ่นทำไมทำไม
00:06:02 → 00:06:04 ถึงเป็นแบบนี้ทำไมไม่มีใครทำอะไรเหมือน
00:06:04 → 00:06:07 ช่วงโควิด 3 ปีที่ผ่านมาช่วงช่วงปีแรกๆ
00:06:07 → 00:06:10 เราก็ท็อกซิกกันแหลกลานเลยใช่มั้ยครับค่ะ
00:06:10 → 00:06:12 ปล่นด่ากันไปทั่วแต่ตอนนี้เ็นมั้ยครับว่า
00:06:12 → 00:06:14 เวลาสถานการณ์ผ่านไปมันมันไม่เหลืออะไร
00:06:15 → 00:06:18 แล้วอ่ะแต่ถามว่าคนได้เรียนรู้มั้ยคนได้
00:06:18 → 00:06:20 กลับมาเห็นมว่าอดีตตอนนั้น
00:06:20 → 00:06:24 น่ะมันมันหนักหน่วงเนาะเหมันก็จะเป็นจะ
00:06:24 → 00:06:26 ตายจะอยู่ไม่ได้แล้วอะไรเงี้ยนะครับแต่
00:06:26 → 00:06:29 สุดท้ายมนุษย์เราก็ผ่านมาได้แล้วเดี๋ยว
00:06:29 → 00:06:31 มันจะมีเหตุการณ์อะไรใหม่ที่เกิดความ
00:06:31 → 00:06:34 วุ่นวายด่าทออะไรกันเราก็ไม่ต้องไปจริง
00:06:34 → 00:06:36 จังอะไรกับมันมากไอ้ความท็อกซิกมันก็กลาย
00:06:36 → 00:06:39 เป็นความธรรมดาเป็นความเราก็เริ่มมีภูมิ
00:06:39 → 00:06:42 คุ้มกันกับกับคำว่าท็อกซิกละเรารู้ว่านี่
00:06:42 → 00:06:45 มันคือธรรมชาติของมนุษย์ค่ะสิ่งที่ไม่
00:06:45 → 00:06:48 อยากเจอก็เจอได้สิ่งที่ไม่อยากพบไม่อยาก
00:06:48 → 00:06:50 เจอมันมันเป็นเรื่องปกติไปละมันมีความ New
00:06:50 → 00:06:53 Normal จะไม่ใชจริงๆมันก็ไม่ใช่น Normal
00:06:53 → 00:06:55 นะมันเป็นมันเป็นมันเป็นธรรมชาติของชีวิต
00:06:55 → 00:06:59 มานานละแต่เราไม่ไม่ได้ถูกถูกเทรนถูกสอน
00:06:59 → 00:07:03 ให้ให้อยู่กับความไม่โอเคหรือสิ่งที่มัน
00:07:03 → 00:07:05 เรียกที่เราเรียกว่าท็อกซิกที่เราว่าติด
00:07:05 → 00:07:09 ลบอ่ะครับค่ะเราเราถูกสอนให้ให้ให้หนีให้
00:07:09 → 00:07:13 ไปหาสิ่งดีๆใช่มั้ยครับไปหาสิ่งที่ใช่
00:07:13 → 00:07:18 สถานที่ใช่คนที่ใช่คนที่ชอบก็คือเราเรา
00:07:18 → 00:07:21 เราเรียนรู้พัฒนาระบบการศึกษาการเลี้ยงดู
00:07:21 → 00:07:25 นี่เราเราไปที่ชอบที่ชอบกันนะครับค่ะเรา
00:07:25 → 00:07:27 อยู่ที่ไม่ชอบไม่เป็นนะครับเราเราไม่ได้
00:07:27 → 00:07:29 เราไม่ได้ไม่มีการเทรนให้ฝึกฝนให้อยู่กับ
00:07:29 → 00:07:33 ที่ที่ไม่ชอบและเข้าใจว่าอ่าคนที่ไม่ถูก
00:07:33 → 00:07:36 ใจเราสถานการณ์ที่ไม่ถูกใจเรามันคือ
00:07:36 → 00:07:39 ชีวิตมันคือชีวิตจริงๆมันไม่แปลกประหลาด
00:07:39 → 00:07:43 อะไรมันมันถ้าพูดภาษาง่ายๆคือเราเรียนรู้
00:07:43 → 00:07:47 ที่จะไม่เยอะกับมันน่ะอืออือ่ะแต่แต่เรา
00:07:47 → 00:07:49 เยอะไเราเราชวนกันเยอะนึกออกมั้ยครับตอน
00:07:49 → 00:07:51 เนี้สังคมเราชวนกันเยอะชวนกันเป็นประเด็น
00:07:51 → 00:07:53 ใช่มั้ยครับอ่าชวนกันเป็นประเด็นเรียก
00:07:53 → 00:07:57 ทัวร์มาลงนู่นนี่นั่นน่ะมันก็เลยมันก็เลย
00:07:57 → 00:08:00 ไม่มีใครไปกระตกก็ก็โดนใครไปกระตุกใครไป
00:08:00 → 00:08:05 เบรคหรือใครไปให้ให้ให้ให้ให้สติก็โดนหา
00:08:05 → 00:08:08 เลขไปด้วยก็เลยก็เลยเงียบๆปล่อยปล่อยเข้า
00:08:08 → 00:08:13 ไปอืค่ะสักพักก็สงบแล้วก็เปลี่ยนเรื่องอื
00:08:13 → 00:08:18 เออก็เป็นอย่างเงี้ยครับอืค่ะค่ะคือตอน
00:08:18 → 00:08:21 แรกคือเหมือนเ่าเท่าที่ฟังเก็คือแบบเรา
00:08:21 → 00:08:25 ต้องยอมรับก่อนพอยอมรับแล้วเนี่ยคือ
00:08:25 → 00:08:28 เหมือนเราก็จะไม่มีคำเหมือนไม่ต้องตั้งคำ
00:08:28 → 00:08:31 ถามอะไรมากเราก็จะไม่ต้องไปตั้งคำถามไม่
00:08:31 → 00:08:35 ต้องไปรู้สึกว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้แบบ
00:08:35 → 00:08:38 นี้ดีนะคะอาจารย์คะถูกต้องเลยครับเทำไม
00:08:38 → 00:08:42 ปุ๊บมันจะเป็นงานใหเออให้เรายอมรับก่อนฮะ
00:08:42 → 00:08:45 ๆมันจะซ้ำซ้อนนะครับพอทำไมปุ๊บเราก็จะมี
00:08:45 → 00:08:47 จินตนาการใช่มั้ยหรือเป็นเพราะอย่างงี้
00:08:47 → 00:08:50 หรือเป็นเพราะเราไม่ดีหรือเราดีไม่พอหรือ
00:08:50 → 00:08:53 ว่าเโกรธเรามันมันมันเยอะอ่ะครับไอ้ที่
00:08:53 → 00:08:55 เราย่ำแย่กันเคร่งเครียดนไม่หลับซึมเศร้า
00:08:55 → 00:08:58 ก็เพราะว่าไอ้ๆไอ้ลูกต่อเนี่ยครับไอ้
00:08:58 → 00:09:02 คลื่นกระทบเนี่ยฮะอ่าใช่เพราะเราจะเราจะ
00:09:02 → 00:09:06 ตั้งคำถามว่าเราไปทำอะไรให้เคไม่ชอบหรือ
00:09:06 → 00:09:09 เราไปทำอะไรหรือเปล่าเราผิดอะไรมั้ยมัน
00:09:09 → 00:09:11 ซ้ำกอจริงๆนะคะอาจารย์ใช่ครับใช่ครับๆ
00:09:11 → 00:09:14 ครับจริงๆเรื่องมันจบไปแล้วเราก็ยังวน
00:09:14 → 00:09:17 เวียนใช่มั้ยครับค่ะแล้วก็เราจะสังเกตเน
00:09:17 → 00:09:20 เราเราจะเราอาการท็อกซิกเนี่ยอ่าตอนเจอ
00:09:21 → 00:09:23 เฉพาะหน้ามันก็มันก็โดนไป Episode นึง
00:09:23 → 00:09:25 แล้วเป็นเป็นครั้งนึงใช่มั้ยครับแต่มันจะ
00:09:25 → 00:09:29 เกิดปัญหาหนักหน่วงตอนเราว่างอ่ะครับอ๋อ
00:09:29 → 00:09:31 เราว่างตอนเราจะนอนหรือตอนเราหมดวันแล้ว
00:09:31 → 00:09:34 เนี่ยพอเราพอเราว่างพอเราร่มตัวลงนอน
00:09:34 → 00:09:37 กำลังจะดูทีวีกำลังจะพักผ่อนน่ะอืไอ้
00:09:37 → 00:09:40 เรื่องพวกนี้มันก็โผล่มาเพราะว่าเราไม่มี
00:09:40 → 00:09:42 อะไรให้โฟกัสหรือเปล่าคะอาจารย์ใช่ครับ
00:09:42 → 00:09:45 ถูกครับเพราะว่าสมองส่วนที่จะโฟกัสมันปิด
00:09:45 → 00:09:47 สวิตช์ไปแล้วอ่ะครับค่ะสมองส่วนที่เป็น
00:09:47 → 00:09:52 ธรรมชาติที่ทำงานไม่หยุดไม่หย่อนมันมัน
00:09:52 → 00:09:54 โผล่ขึ้นมาแทนเพราะมันสมองมันมี 2 ระบบ
00:09:54 → 00:09:58 อ่ะครับระบบนึงทำทำงานตอนที่ไม่มีงานทำ
00:09:58 → 00:10:03 อ่าอีกระบบนึงทำงานตอนมีงานทำอสังเกตเวลา
00:10:03 → 00:10:05 เรายุ่งๆเราก็จะลืมอครับไม่ค่อยทุกขร้อน
00:10:05 → 00:10:08 เวลาุลืมเราลืมใช่ๆค่ะอ่าเพราะเพราะมันมี
00:10:08 → 00:10:11 อะไรให้เราให้เราใส่ใจให้เราตั้งมั่น
00:10:11 → 00:10:14 โฟกัสใช่มั้ยครับค่ะค่ะต้องต้องใส่ใจพอ
00:10:14 → 00:10:17 เรามีพลังงานในการใส่ใจเนี่ยไอ้ไอ้ความ
00:10:17 → 00:10:19 คิดชุดแรกที่มันเลื่อยเปื่อยอะไรของมัน
00:10:19 → 00:10:21 เนี่ยมันเบาลงอ่ะครับอันนี้เป็นกลไกทาง
00:10:21 → 00:10:24 สมองปกติเลยอทีนี้ไอ้ตัวที่ทำให้เราเดือด
00:10:24 → 00:10:26 ร้อนน่ะมันก็ไอคือไอ้ความคิดอัตโนมัติ
00:10:26 → 00:10:29 เนี่ยค่ะเรา
00:10:29 → 00:10:31 แล้วเราก็สอนกันให้พยายามไปหยุดอ่ะครับ
00:10:31 → 00:10:33 แต่มันหยุดมันรจริงมันหยุดไม่ได้นะครับ
00:10:33 → 00:10:35 เพราะมันเป็นมันเป็นกลไกของสมองที่จะทำ
00:10:35 → 00:10:39 งานอืค่ะอืยาไม่มีงานทำ
00:10:39 → 00:10:43 อ๋อนึกออกมั้ยครับสมองชุดนึงเอาไว้ทำงาน
00:10:43 → 00:10:46 สมองอีกชุดนึงมันจะทำมันสมองชุดนึงมันมัน
00:10:46 → 00:10:48 เป็นการความคิดที่เกิดขึ้นเป็นการแสดงว่า
00:10:48 → 00:10:52 มันยังไม่ตายอ่ะอือสมองยังยังมีชีวิตอยู่
00:10:52 → 00:10:55 ค่ะนอนเราก็ฝันใช่มั้ยครับก็เป็นการทำงาน
00:10:55 → 00:10:58 ของสมองอีกชุดนึงนี่แหละอืและไอ้ที่เรา
00:10:58 → 00:11:00 เดือดร้อนก็ก็พอไชุดชุดแรกนี่แหละครับไอ้
00:11:00 → 00:11:02 ชุดที่มาโดยไม่ได้รับเชิญเนี่ย
00:11:02 → 00:11:05 ค่ะแล้วเราก็หลงไปกับมันแล้วเราก็ทุกข์
00:11:05 → 00:11:07 หรือไม่คือเราก็พยายามจะหยุดคิดแล้วก็ทำ
00:11:07 → 00:11:13 ไม่สำเร็จอืไปกันใหญ่เลยค่ะใช่ๆที่สงสัย
00:11:13 → 00:11:15 เมื่อกี้ที่ที่อาจารย์บอกว่าเราพยายามที่
00:11:15 → 00:11:19 จะหยุดคิดหมายหมายความว่าเราพยายามไม่คิด
00:11:19 → 00:11:22 เรื่องนี้แต่สมองมันมันสั่งให้คิดใช่มั้ย
00:11:22 → 00:11:25 คะหรือยังไงนะคะอาจารย์ยิ่งยิยิห้ามจะ
00:11:25 → 00:11:28 ยิ่งคิดอีครับยิ่งห้ามจะยิ่งคิดอือโออย่า
00:11:28 → 00:11:31 อย่าอย่างๆอย่างสมมุติเราจะลององลองทำแบบ
00:11:31 → 00:11:34 ฝึกหัดทดสอบกันตอนนี้เนี่ยนะผมอาจะลองให้
00:11:34 → 00:11:36 พิธีกรทั้ง 2 ท่านหรือผู้ฟังด้วยนะครับ
00:11:36 → 00:11:40 ลองห้ามนะครับห้ามห้ามคิดถึงช้างสีชมพูสิ
00:11:40 → 00:11:44 ครับออคิดอยู่นะภาพมาเลยค่ะอาจารย์เห็น
00:11:44 → 00:11:46 มั้ยห้ามมาทันทีเลยนะครับแล้วผมผมให้
00:11:46 → 00:11:49 โจทย์ว่าเดี๋ยวตั้งแต่นี้ไปเนี่ยอย่าให้
00:11:49 → 00:11:52 มันโผล่มาเชียวนะมันมาแล้ว
00:11:52 → 00:11:55 ค่ะเนี่ยครับแล้วเราพยายามจะไปสอนให้ลืม
00:11:55 → 00:11:58 มันสิอย่าไปคิดถึงมันสิมันผ่านไปแล้วอะไร
00:11:58 → 00:12:01 เงี้ยคือยิ่งยิ่งมีความมีความสนใจจะเอา
00:12:01 → 00:12:04 มันออกอ่ะมันจะยิ่งอยู่อ่ะครับค่ะเอ๊ะ
00:12:04 → 00:12:08 แล้วถ้างั้นทำยังไงล่ะคะให้มันไปอ่ะใช่ก็
00:12:08 → 00:12:11 ไม่ได้อ่ะครับถ้าถ้าทำทำไงให้มันไปมัน
00:12:11 → 00:12:13 ยิ่งอยู่อ่ะครับอือนั้นต้องเข้าใจว่ามัน
00:12:13 → 00:12:16 อยู่เรื่องของมันไม่ใช่เรื่องของเราอ่ะออ
00:12:16 → 00:12:19 เราจะวางจากสิ่งนั้นได้ยังไงอ่ะคะอาจารย์
00:12:19 → 00:12:21 ก็ต้องฟังให้เข้าใจแล้วก็ต้องฝึกฝนว่า
00:12:21 → 00:12:23 เอ้ยเข้าใจผิดมาตลอดเลยเนาะไอ้สิ่งที่เรา
00:12:23 → 00:12:26 อยากลืมอยากลืมคนที่ทำร้ายเราอยากลืมเหตุ
00:12:26 → 00:12:29 การณ์ต่างๆเพเพราะความอยากเป็นเหตุให้ให้
00:12:29 → 00:12:33 ความคิดพวกนั้นผุดมาบ่อยค่ะออเพฉะนั้นเรา
00:12:33 → 00:12:35 ก็เริ่มรู้ว่าโอเคทำไงก็ห้ามไม่ได้เดี๋ยว
00:12:35 → 00:12:37 มันก็มาเหมือนแขกที่มาเยือนห้ามไม่ได้
00:12:37 → 00:12:41 หรอกอืค่ะรู้ละรู้แล้วเป็นสมองมันคิดไม่
00:12:41 → 00:12:44 ใช่เราอ่อนแอไม่ใช่เราเป็นคนไม่สู้คนไม่
00:12:44 → 00:12:46 ใช่เราเป็นคนไม่รู้จักอะไรนะไม่รู้จัก
00:12:46 → 00:12:49 ปล่อยวางไม่รู้จักตัดใจไม่ใช่เราเป็นคน
00:12:49 → 00:12:53 ปกติค่ะแต่เค้าเสอนเราให้เราทำในสิ่งที่
00:12:53 → 00:12:57 เป็นไปไม่ได้อืคืออย่าไปคิดใช่มั้ยครับ
00:12:57 → 00:13:02 อย่าไปคิดถึงช้างีชมพูนะมาเลยอ่ะใช่มัน
00:13:02 → 00:13:04 แล้วแล้วอย่าไปคิดถึงคนนั้นอย่าไปคิดถึง
00:13:04 → 00:13:08 เรื่องนั้นอย่าไปคิดถึงคนที่ท็อกซิกอืมัน
00:13:08 → 00:13:10 ก็ยังอยู่ในใจเนาถ้ามีโจทย์อย่างงี้ยิ่ง
00:13:10 → 00:13:13 คิดครับแต่แต่ถ้าไม่สนใจมาก็มาไม่ไม่ไม่
00:13:13 → 00:13:16 เป็นประเด็นในใจเราค่ะมันก็มาแล้วมันก็
00:13:16 → 00:13:19 ผ่านมันเหมือนกับก้อนเมฆผ่านมาผ่านไปลม
00:13:19 → 00:13:22 พัดผ่านไปเฉยๆค่ะอ่าลมปั่นป่นนิดหน่อย
00:13:22 → 00:13:24 เหลือกลิ่นเหม็นๆนิดหน่อยแล้วเดี๋ยวก็
00:13:24 → 00:13:27 ผ่านไปแต่ถ้าเราลองลองตั้งท่าว่าอย่าให้
00:13:28 → 00:13:30 มีนะอย่าให้มีความรู้สึกแบบนี้นะเดี๋ยวก็
00:13:30 → 00:13:35 มาครับค่ะอืเนี่ยครับแต่คนละกกลเป็นแบบ
00:13:35 → 00:13:38 นี้นคนในสังคมอ่ะเราเราเรายุ่งยากลำบากก็
00:13:38 → 00:13:40 เพราะว่าเราเราพยายามจะควบคุมความคิดชุด
00:13:40 → 00:13:42 ที่เราควบคุมไม่ได้แล้วเราก็ไม่รู้ว่า
00:13:42 → 00:13:46 ยิ่งควบคุมมันยิ่งเยอะอ่ะอืค่ะโอ๊แต่คือ
00:13:46 → 00:13:49 แบบบางคนบางครั้งอ่ะเหมือนเหมือนถ้าถ้า
00:13:49 → 00:13:51 เป็นคนในที่ทำงานน่ะเราก็หลบเลี่ยงได้หมด
00:13:51 → 00:13:55 เวลาทำงานก็คือหมดละแต่คนในครอบครัวเี่
00:13:55 → 00:13:57 อยู่กันชั่วชีวิตเลยนะคะอาจารย์ถ้าเจอคน
00:13:57 → 00:14:01 ทักสิที่เป็นคนในครอบครใชใช่ๆๆอันนี้เรา
00:14:01 → 00:14:03 จะรับมือกับเรื่องนี้ได้ยังไงบ้างคะ
00:14:03 → 00:14:06 อาจารย์ทีนี้เราเราเลือกทางกายภาพไม่ได้ไ
00:14:06 → 00:14:07 เราเลือกความเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็น
00:14:07 → 00:14:11 น้องกันไม่ได้อ่ะอืใช่เราก็ต้องเลือกที่
00:14:11 → 00:14:13 จะมาทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้นใช่มั้ยครับ
00:14:13 → 00:14:16 อันนี้อันนี้ไม่ใช่เรื่องใครผิดใครถูกอ่ะ
00:14:16 → 00:14:19 ใช่มันเป็นในเมื่อในเมื่อเราเดือดร้อนใช่
00:14:19 → 00:14:21 มั้ยครับเราเดือดร้อนจากพฤติกรรมของเขา
00:14:21 → 00:14:23 แล้วเราก็ไม่มีอำนาจไม่มีความสามารถในการ
00:14:23 → 00:14:26 ที่จะไปไปจัดการพฤติกรรมอะไรของใครอ่ะค่ะ
00:14:26 → 00:14:28 ที่เหนือเราก็เลยเราก็เลยต้องมาดูแลตัว
00:14:28 → 00:14:29 เราเอง
00:14:29 → 00:14:32 อือืโดยที่ไม่ต้องตั้งคำถามว่าฉันไม่ผิด
00:14:32 → 00:14:35 แล้วทำไมต้องฉันฉันต้องมาหาหมอทำไมหมอ
00:14:35 → 00:14:37 ต้องแนะนำให้ฉันตอบเปลี่ยนทำไมหมอไม่แนะ
00:14:37 → 00:14:40 นำให้พี่ให้พ่อให้แม่เปลี่ยนเอ้าเไม่มา
00:14:40 → 00:14:44 ครับอ๋อนึกออกมั้ยครับก็บางคนก็สับสนแบบเ
00:14:44 → 00:14:48 ครับทำไมทำไมมปัญหาเป็นเป็นจากเป็นจาก
00:14:48 → 00:14:50 เค้าเหรอไม่ได้ปัญหาเป็นจากใครแต่ว่าคุณ
00:14:50 → 00:14:53 กำลังทุกข์คุณกำลังอยากจะดีขึ้นน่ะบก็แนว
00:14:53 → 00:14:57 ทางเดียวก็คือดูแลตัวเองอ่ะค่ะแต่ก็เจอผม
00:14:57 → 00:15:00 เจอหลายคนก็เผลเผอครับเไปเอ๊ะปัญหาไม่ได้
00:15:00 → 00:15:02 มาจากเ้าแล้วทำไมเต้องทำอะไรเยอะแยะเลย
00:15:02 → 00:15:05 อ่ะค่ะไม่ไม่ทำก็ได้นะไม่ว่าอะไรนะก็อม
00:15:05 → 00:15:08 ทุกข์ต่อไปก็ก็ไม่รู้จะทำยังไงแต่ว่า
00:15:08 → 00:15:11 เมื่อมามันก็ก็ก็ต้องชัดเจนก่อนบางทีมัน
00:15:11 → 00:15:15 ก็ลืมบางทีมันลืมค่ะเออเข้าใจได้เนาะบาง
00:15:15 → 00:15:18 ทีแบบอยากให้หมอช่วยแก้ปัญหาอะไรอย่า
00:15:18 → 00:15:22 เงี้ยแบบมันไม่ได้ผิดที่เราแต่แต่คนที่เเ
00:15:22 → 00:15:26 มีปัญหาเไม่ได้มาหาคุณหมอแล้วคุณหมอช่ยแเ
00:15:26 → 00:15:29 มาไม่ได้มาเบอกเไม่ได้เป็นอะไรใช่คนที่มี
00:15:29 → 00:15:32 ปัญหาเไม่ได้ยอมรับตัวเองว่ามีปัญหาไงใช่
00:15:32 → 00:15:34 มคะอเพราะฉะนั้นการที่เรามานี่ไม่ได้หมาย
00:15:34 → 00:15:36 ความว่าเราเราไม่ได้หมายความว่าเราเป็น
00:15:36 → 00:15:39 ผิดหรือรทำไมเราต้องเป็นแพะรับบาปนะมาพู
00:15:39 → 00:15:42 ตัวเราเองเพราะเรากำลังไม่ไหวแล้วอืเรามา
00:15:42 → 00:15:45 ดูแลตัวเราเองเรามาหาสิ่งดีๆให้กับตัวเอง
00:15:45 → 00:15:48 นะครับเราไม่ใช่เราไม่ใช่เปิดช่องเราไม่
00:15:48 → 00:15:49 ใช่
00:15:49 → 00:15:54 อ่าปล่อยปล่อยคนไม่ดีให้ลอยนวลไม่ใช่ค่ะ
00:15:54 → 00:15:56 เพราะเรากำลังลำบากเรากำลังนอนไม่หลับเรา
00:15:56 → 00:16:00 กำลังผวาเรากำลังอึดอัดครับค่องอืเราอยาก
00:16:00 → 00:16:04 จะดูแลตัวเราเองค่ะอาจารย์คะเรื่องของ
00:16:04 → 00:16:07 ท็อกซิกเนี่ยคือการที่เราเราเป็นคนปกติ
00:16:07 → 00:16:09 แหละอย่างที่เราคุยกันเมื่อสักครู่แต่ว่า
00:16:09 → 00:16:12 การที่เราอยู่ในสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่ท
00:16:12 → 00:16:16 ท็อกซิกเยอะๆเนี่ยเราจะสามารถถูกกลืนถูก
00:16:16 → 00:16:20 เอ่อซึมซับจากสิ่งนี้จนกระทั่งท้ายที่สุด
00:16:20 → 00:16:23 เรากลายเป็นคนท็อกซิกแบบเขได้เลยมั้ยคะ
00:16:23 → 00:16:26 ไอ้แบบผมไม่แบบเราอาจจะท็อกซิกอีกแบบนึง
00:16:26 → 00:16:30 เราไปออกที่อื่นหรือไม่ก็คือเราเราก็เรา
00:16:30 → 00:16:32 เราก็คือเราเครียดเราก็หงุดหงิดใช่มั้ย
00:16:32 → 00:16:34 ครับเราเก็บกดจากที่บ้านเก็บกดจากที่ทำ
00:16:34 → 00:16:38 งานก็เอาไปลงกับที่บ้านจากที่บ้านก็ไป
00:16:38 → 00:16:40 โผล่ในที่ทำงานอันนี้มันก็เป็นไปได้ครับ
00:16:40 → 00:16:43 นอนไม่พอกดดัน
00:16:43 → 00:16:48 เ่อแทนที่จะได้พักผ่อนก็มีความว้าวุ่น
00:16:48 → 00:16:50 กังวลใจอะไรแบบเนี้ยครับมันมันก็เสีย
00:16:50 → 00:16:53 สุขภาพอ่ะครับอืเพรานั้นถามว่าผลกระทบอ่ะ
00:16:53 → 00:16:57 มันมีแล้วก็อ่าระยะยาวไม่ว่าความเครียด
00:16:57 → 00:16:59 จากเรื่องใดก็ตามมันมันมันมีผลกระทบต่อ
00:16:59 → 00:17:03 สุขภาพแล้วก็มีผลต่อสัมพันธภาพค่ะการแสดง
00:17:03 → 00:17:07 ออกแน่นอนนะครับทีนี้บางคนเมีเมีช่องทาง
00:17:07 → 00:17:10 ในการดูแลตัวเองเค้าเวลาเค้าพักเไปเล่น
00:17:10 → 00:17:15 กีฬาเมีสังคมอื่นที่ที่ทำให้เยียวยาที่ทำ
00:17:15 → 00:17:19 ให้อ่าเค้าได้ปลดปล่อยค่ะอืแล้วเก็สามารถ
00:17:19 → 00:17:21 ที่เรอคอยเดี๋ยวงานจบเดี๋ยวเสาร์อาทิตย์
00:17:21 → 00:17:25 เคก็มีกวนอะไรของเค้าละอืเก็อดทนเคก็รู้
00:17:25 → 00:17:28 สึกรอรออย่ามีความหวังนะแล้วความหวังมัน
00:17:28 → 00:17:30 ก็มาให้เค้าอยู่เรื่อยๆแล้วแต่คนบางคนไม่
00:17:30 → 00:17:33 มีไม่มีทรัพยากรไม่มีอะไรอ่ะค่ะไม่มี
00:17:33 → 00:17:36 แหล่งแหล่งเลื้อหนุนน่ะครับคพี่น้อง
00:17:36 → 00:17:39 เพื่อนฝูงก็ไม่ค่อยมีไม่ค่อยได้คบอะไร
00:17:39 → 00:17:42 อย่างเงี้ยนะอือก็ก็จะลำบากหน่อยเพราะ
00:17:42 → 00:17:45 ฉะนั้นการการมีสังคมมีสัมพันธภาพ
00:17:45 → 00:17:50 มันถึงเป็นที่ที่เค้าเพิ่งวิจัยกันอ่าติด
00:17:50 → 00:17:52 ตามคน 70 กว่าปีดบอกว่าคนที่มีความสุข
00:17:52 → 00:17:56 อายุยืนก็คือคนที่มีมีปฏิสัมพันธ์กับผู้
00:17:56 → 00:18:00 คนนะอ๋อเพราะมนุษย์เราอาศัยการมีมีกลุ่ม
00:18:01 → 00:18:03 มีมีเพื่อนคุยอะไรอย่าเงี้นะครับมันทำให้
00:18:03 → 00:18:06 เยียวยามันทำให้เรามีความผ่อนคลายขึ้น
00:18:06 → 00:18:09 อันเนี้ยมันมันก็งั้นอยู่ใกล้คนที่
00:18:09 → 00:18:13 ท็อกซิกก็ไม่ได้หมายความว่าก็ถ้าเป็นไป
00:18:13 → 00:18:15 ได้เราอาจจะไปท็อกซิกต่อที่อื่นนะแต่แต่
00:18:15 → 00:18:17 แต่โดยส่วนใหญ่ก็คือมันมันท็อกซิกกับตัว
00:18:17 → 00:18:20 เองอ่ะมันค่ะใช่มครับเพราะว่าถ้าเราอยู่
00:18:20 → 00:18:24 ในจุดที่เราหนีได้เราก็ไปแล้วอ่ะใช่ค่ะที
00:18:24 → 00:18:26 นี้มันอยู่ในภาวะที่หนีไม่ได้มันเหมือน
00:18:26 → 00:18:30 กับเข้าตาจนน่ะอืคนที่ไม่มีไม่มีไม่มี
00:18:30 → 00:18:33 อำนาจจะเลือกนึกออกมยครับเ่องานการก็ต้อง
00:18:33 → 00:18:36 พึ่งใช่มยพึ่งงานพึ่งพึรายได้อะไรอย่า
00:18:36 → 00:18:39 เงี้ยหรืออยู่กับบ้านก็ต้องก็ต้องพึ่งเข
00:18:39 → 00:18:43 อ่ะใช่ค่ะต้องขอเงินเต้องพึ่งเอ่าพึ่งตัว
00:18:43 → 00:18:46 เองไม่ได้มันมันมันไม่มีไม่มีทางเลือก
00:18:47 → 00:18:49 คั้นเราต้องเห็นก่อนเมื่อเราไม่มีทาง
00:18:49 → 00:18:51 เลือกเนี่ยเราต้องตั้งยุทธศาสตร์ก็คือ
00:18:51 → 00:18:53 เฮ้ยเราไม่มีทางเลือกนี่เหลือทางเลือก
00:18:53 → 00:18:56 เดียวคือเราจะอยู่กับมันยังไงอืค่ะถ้าเรา
00:18:56 → 00:18:58 ตั้งใจจะอยู่กับมันน่ะเดี๋ยวมันก็ชำนาญา
00:18:58 → 00:19:03 ครับอ่าอ๋อมันจะมีกลไกในการเอ่อใช่ครับ
00:19:03 → 00:19:05 เราตั้งใจจะอยู่กับมันแล้วเราคิดว่ามัน
00:19:05 → 00:19:07 เป็นเรื่องท้าทายแล้วเราคิดว่าเราเราจะ
00:19:07 → 00:19:10 เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันค่ะอย่างน้อยมัน
00:19:10 → 00:19:14 ก็เบาบางลงบางคนก็อยู่กับมันนาหลายปีแล้ว
00:19:14 → 00:19:17 ค่ะก็อยู่ได้นี่หว่าเออย่างขวัญเนี่ยอ
00:19:17 → 00:19:21 เป็นผู้หญิงโสดอยู่คนเดียวไม่ไม่ค่อยได้
00:19:21 → 00:19:24 แบบเอ่อพบปสังคมมากนักเราจะอย่างตัวขวัญ
00:19:24 → 00:19:26 เองถ้าจะทดสอบตัวเองว่าตัวเองเป็นคน
00:19:26 → 00:19:28 ท็อกซิกหรรือเปล่าเนี่ยเราเริ่มต้นจากตรง
00:19:28 → 00:19:30 ไหนได้บ้างคะ
00:19:30 → 00:19:34 อาจารย์คือจะจะทดสอบคือเราเราท็อกซิกใน
00:19:34 → 00:19:36 ที่เราเหมเราเราไปก่อความเดือดร้อนให้คน
00:19:36 → 00:19:38 อื่นใช่มั้ยครับ่คือแบบว่าเอ๊ะตัวเองบาง
00:19:39 → 00:19:42 ทีแบบโมโหฉุนเฉียวไปหรือเปล่าเออหรือว่า
00:19:42 → 00:19:44 แบบเพื่อนเขาก็ไม่ไม่กล้าสะท้อนเป็นเงา
00:19:44 → 00:19:46 สะท้อนมาให้ตัวเราอย่างเงี้ยค่ะอันนี้
00:19:46 → 00:19:48 แหละครับนี้มันถึงมันถึงเป็นอันนึงที่ที่
00:19:48 → 00:19:53 เพยายามจะส่งเสริมให้เรามีมีมีกัลยาณมิตร
00:19:53 → 00:19:56 มีคนที่อ่าอ่าสนิทสนมไว้เนื้อเชื่อใจกัน
00:19:57 → 00:20:00 คุยกันได้เปิดอกคุยกันได้ค่ะนะก็ส่งเสริม
00:20:00 → 00:20:03 ให้คนที่ใจกว้างพร้อมจะรับฟีดแบคการ
00:20:03 → 00:20:06 สะท้อนกลับทีนี้เวลาเราสะท้อนกลับส่วน
00:20:06 → 00:20:09 ใหญ่เราไป้อเราเราเราไม่ค่อยอยากฟังการ
00:20:09 → 00:20:12 สะท้อนกลับเพราะว่าอ่าใครก็ไม่ค่อยชอบ
00:20:12 → 00:20:15 สิ่งที่เป็นลบค่ะเราไม่ค่อยสะท้อนที่
00:20:15 → 00:20:17 พฤติกรรมการกระทำอ่ะครับเรามักจะสะท้อน
00:20:17 → 00:20:21 ที่ตัวคนน่ะอืค่ะเธอเธอทำไมเป็นคนอย่าง
00:20:21 → 00:20:23 นี้ี้จริงๆอรฉันฉันเป็นคนปกติแต่นิสัยบาง
00:20:23 → 00:20:26 อย่างฉันอาจจะไม่ดีบอกมานิสัยตรงไหนไม่ดี
00:20:26 → 00:20:28 เดี๋ยวแก้ให้ค่ะอื
00:20:28 → 00:20:33 นิสัยไม่ดีแต่เป็นคนดีมันความเป็นคนมัน
00:20:33 → 00:20:37 มันใช่มั้ยครับการกระทำการพูดทักษะความ
00:20:37 → 00:20:40 สามารถบางอย่างการตัดสินใจบางอย่างอาจจะ
00:20:40 → 00:20:43 บกพร่องอาจจะผิดพลาดมันผิดพลาดที่การตัด
00:20:43 → 00:20:45 สินใจอ่ะมันไม่ได้ผิดพลาดที่คนตัดสินใจ
00:20:45 → 00:20:48 อ่ะอืค่ะอย่างอย่าทำงานใช่มั้ยครับหรือ
00:20:48 → 00:20:51 หรือหรือเด็กนักเรียนทำสอบทำการบ้านน่ะ
00:20:51 → 00:20:55 มันผิดที่คำตอบอ่ะครับออค่ะแต่เราด่าคน
00:20:55 → 00:21:00 ตอบอ่ะอือ๋อเราเราเราสงสัยเราด้อยค่าเรา
00:21:00 → 00:21:02 เราเราเราสงสัยว่าตอบอย่างงี้ได้ยังไง
00:21:02 → 00:21:04 อะไรเงี้ยแต่เวลาตอบถูกนี่มันมันมันมัน
00:21:04 → 00:21:06 ปลอดภัยทันทีเนเพราะฉะนั้นทำถูกปลอดภัย
00:21:06 → 00:21:12 ค่ะผิดเนี่ยไม่ปลอดภัยเลยอ๋อเราเราก็โตมา
00:21:12 → 00:21:15 จนจนโตมาจนเราก็กังวลในงานเรากลัวงว่างาน
00:21:15 → 00:21:17 จะผิดอย่างเงี้ยเวลาผิดเนี่ยมันก็มันก็
00:21:17 → 00:21:19 ไม่ค่อยปลอดภัยอ่ะครับเพราะเไม่คุยไม่
00:21:19 → 00:21:24 ค่อยได้คุยเรื่องงานเคุยเรื่องคนทำออืนี่
00:21:24 → 00:21:27 ระบบฟีดแบคระบบการโคชิหรือระบบการป้อน
00:21:27 → 00:21:30 ป้อนข้อมูลกลับอ่ะค่ะเราก็เผลอเอาเอาความ
00:21:30 → 00:21:33 เป็นเรียกว่าเราทำให้คนคนเราไม่เซฟหน้า
00:21:34 → 00:21:37 เราเราเราเราทำให้เคตัวเล็กอ่ะครับออเรา
00:21:37 → 00:21:39 ต้องช่วยกันรณรงคว่าเราไม่ทำให้ใครตัว
00:21:39 → 00:21:43 เล็กลงนะเราเราเราจะคุยกันเฉพาะส่วนที่
00:21:43 → 00:21:45 อันนี้ก็เป็นทกิเยอะนะไอ้ฟีดแบคจากจากคน
00:21:45 → 00:21:48 รอบข้างหรือจากหัวหน้าเนี่ยบางทีมันทิ
00:21:48 → 00:21:51 เพราะว่าบเพราะว่าเราไม่ฟีดกันที่ที่ที่
00:21:51 → 00:21:56 ผลงานที่กระดาษค่ะเปอร์ที่ออกมาภาพกปิที่
00:21:56 → 00:21:58 ทำมาพี Presentation เราก็คม pres
00:21:58 → 00:22:00 presentation มันมีปัญหาไงฟังรู้เรื่อง
00:22:00 → 00:22:02 ไม่รู้เรื่องยังไงใช่มั้ยจบใช่มั้ยครับ
00:22:02 → 00:22:06 แต่เราเราไปเราไปเล่นที่ตัวบุคคลน่ะแต่ไป
00:22:06 → 00:22:09 บอกว่าเธอทำพรีชไม่ดีเลยเออใช้อะไรคิดใช้
00:22:09 → 00:22:12 อะไรทำทำไมไม่รู้จักทำไมไม่รู้จักใช้ไอ้
00:22:12 → 00:22:15 นั่นทำไมไม่รู้จักใช้เตอย่างทำไมไม่รู้
00:22:15 → 00:22:19 จักทำไมไม่รู้จักรู้จักแต่ไม่ได้ทำอืเออ
00:22:19 → 00:22:23 ค่ะเออแล้วทำไมไม่รู้จักมันมันกดดันใช่
00:22:23 → 00:22:25 มั้ยครับแล้วตอบได้มั้ยทำไมไม่รู้จัก
00:22:25 → 00:22:29 เอ่อก็ก็ไม่รู้จักจริงๆไม่มีใครกล้าตอบ
00:22:29 → 00:22:32 เพราะว่าเสียงเสียงไม่ได้อยากได้คำตอบค่ะ
00:22:32 → 00:22:36 คมฮะนี่มันก็ท็อกซิกอีกแบบนึงก็เป็นกัน
00:22:36 → 00:22:39 เยอะก็คือคือคือความไม่พอใจของของของคน
00:22:39 → 00:22:42 ใช่มยไม่พอใจแลใช้ความไม่พอใจมันออกมา
00:22:42 → 00:22:46 เป็นภาษาอืค่ะทำไมถึงเป็นอย่างงี้ย้ำนัก
00:22:46 → 00:22:49 น้ำหนาแล้วย้ำนักย้ำหนาผิดได้มั้ยครับอื
00:22:49 → 00:22:52 ได้ทำเต็มที่แล้วไม่ไม่ออกมาไม่สมบูรณ์
00:22:52 → 00:22:56 แบบได้มั้ยได้ได้แต่เราแต่เราเราวัดว่าทำ
00:22:56 → 00:22:58 ดีที่สุดเราวัดกันที่ไหนอ่ะครับเวลาเรา
00:22:58 → 00:23:01 บอกว่าทำดีที่สุดอ่ะเออก็พูดยากนะคะ
00:23:01 → 00:23:03 อาจารย์เราักันที่ผลลัพธ์ตลอดเลยเห็นมั้ย
00:23:03 → 00:23:06 ครับค่ะคแล้วเราบอกว่าถ้าทำดีที่สุดมัน
00:23:06 → 00:23:09 ต้องมันต้องได้สิเออมันต้องดีกว่านี้อะไร
00:23:09 → 00:23:12 อย่างเงี้ยเหรอจริงเหรอทำดีที่สุดมันต้อง
00:23:12 → 00:23:13 ได้จริงรือเปล่าทำดีที่สุดแล้วมันไม่ได้
00:23:13 → 00:23:17 ได้มั้ยอ่ะเออขับเออเนาะใช่ขับรถไปเจอ
00:23:17 → 00:23:19 อุบัติเหตุอย่างเงี้ยขับไม่ระวังสิเอา
00:23:19 → 00:23:22 ระวังแล้วมีอุบัติเหตุได้มั้ยมีได้ออ
00:23:22 → 00:23:25 ระวังซ้ายไปเฉี่ยวขวากระถางแตกอ่ะอื
00:23:25 → 00:23:28 อ่าคือคือคืออันเนี้ยครับมันเป็นมันเป็น
00:23:28 → 00:23:31 มันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่สังคมไม่ได้
00:23:31 → 00:23:34 มองแล้วเราก็ไปไปโปรโมทแต่ว่าต้องไม่พลาด
00:23:34 → 00:23:37 ต้องไม่พลาดนะต้องดีขึ้นเรื่อยๆนะเต็มที่
00:23:37 → 00:23:40 ก็พลาดได้เราก็ต้องยินดีต้อนรับความผิด
00:23:40 → 00:23:43 พลาดมันเท่ากันนะครับความถูกความผิดมัน
00:23:43 → 00:23:45 เป็นปรากฏการณ์ในนึงของชีวิตอ่ะค่ะแต่
00:23:45 → 00:23:47 ตั้งแต่เล็กตนโตมานี่ผิดมันเรื่องใหญ่ใช่
00:23:47 → 00:23:50 มั้ยใช่ผิดเรื่องใหญ่มากแล้วก็เวลาใช่
00:23:50 → 00:23:52 เรื่องใหญ่เกินเกินกว่าความจำเป็นแต่ถูก
00:23:52 → 00:23:55 แล้วปลอดภัยอ่ะค่ะแต่ถูกด้วยวิธีการไหน
00:23:55 → 00:23:57 ไม่รู้นะไม่ได้ไม่ได้ไปไปลอกมาก็ปลอดภัย
00:23:57 → 00:24:00 อ่ะแต่ถ้าทำถูกทำดีอาจจะไม่มีคำชมจากบาง
00:24:00 → 00:24:03 ครอบครัวก็มีเหมือนกันนะคะอาจารย์อันนั้น
00:24:03 → 00:24:06 ก็ท็อกซิกอีกแบบนึงใช่ค่ะใช่มั้ยครับแต่
00:24:06 → 00:24:10 เยถ้าถ้าถามว่าคีย Message อันนึงที่จะลด
00:24:10 → 00:24:12 ท็อกซิกเนี่ยนี้เราพูดถึงพอดีพอดีเลยเข้า
00:24:12 → 00:24:15 มาเรื่องของ feedback เรื่องของการการบอก
00:24:15 → 00:24:18 ผู้คนเวลาเขาผิดพลาดเนี่ยจริงๆคนคนผิด
00:24:18 → 00:24:20 พลาดหรืองานออกมาไม่ดีมันก็มันก็รู้สึก
00:24:20 → 00:24:22 แย่นิดหน่อยอยู่แล้วใช่มครับเราควรจะทำ
00:24:22 → 00:24:26 ให้เขากลับเค้ากำลังงนเงนงงกำลังล้มและ
00:24:26 → 00:24:29 ไม่ล้มแหล่เเราควรจะประคองให้เากลับมา
00:24:29 → 00:24:32 มั่นคงแล้วพาเพาเกลับมาแก้ไขไปต่อนี้ถึง
00:24:32 → 00:24:34 จะที่เราพูดคือเรื่องซียนนะครับการการ
00:24:34 → 00:24:38 ฟื้นตัวค่ะค่ะการ Move on น่ะทำไมเรา Mo
00:24:38 → 00:24:41 on ไม่ได้อ่ะครับเพราะเราชอบถามหาอดีตอื
00:24:41 → 00:24:45 ค่ะชอบหาคำอธิบายไปทำีท่าไหนล่ะถึงเป็น
00:24:46 → 00:24:50 แบบนี้อะไรเงี้ยโอ๊ยคำนี้ซี๊ดเลยค่ะมี
00:24:50 → 00:24:53 ประสบการณ์ร่วมเหรอตาแล้วแล้วจะตอบว่าไง
00:24:53 → 00:24:57 อ่ะทำมีท่าไหนเออนึกเดี๋ยวกนไม่รู้กนนะ
00:24:57 → 00:25:01 พี่ขอนึกก่อนทำอีท่าไหนเออท่านั่งท่านอน
00:25:01 → 00:25:04 ท่ายืนแล้วหนูไม่รู้เหมือนกันหนูทำท่าไหน
00:25:04 → 00:25:07 ใช่ๆถ้าเรามีอมูใช่มั้ยครับเราก็ขำๆไปอ่ะ
00:25:07 → 00:25:10 ครับเราก็เราก็นึกในใจนะท่าไหนก็ไม่รู้
00:25:10 → 00:25:14 เหมือนกันเว้ยแต่ว่าค่ะแต่แต่เราไม่มีอมู
00:25:14 → 00:25:16 แล้วก็เฉาแล้วก็แบบเฮียวนึกออกมั้ยเราก็
00:25:16 → 00:25:18 เราก็นึกในใจว่าเรานี่เราอุตส่าห์ทำเต็ม
00:25:18 → 00:25:22 ที่เไม่เห็นความดีเราเลยอะไรเงี้ยออโอมัน
00:25:22 → 00:25:24 ก็ต้องช่วยกันนะมันมันควรจะต้องปรับ
00:25:24 → 00:25:28 เปลี่ยนไอ้ไอไอไอ้ไอ้ไๆวิถีชีวิตประจำวัน
00:25:28 → 00:25:30 ที่ค่ะมันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่เวเรา
00:25:30 → 00:25:32 เราเราเราก็ไปพัฒนาอะไรที่มันยิ่งใหญ่
00:25:32 → 00:25:35 เป็นหลักการยิ่งใหญ่โตมากเลยอ่ะครับค่ะ
00:25:35 → 00:25:38 ต้องอย่างงั้นต้องอย่างงี้ใช่มั้ยต้อง
00:25:38 → 00:25:41 อะไรนะต้องรู้จักอ่าหัวหน้าต้องรู้จักดู
00:25:41 → 00:25:43 แลอะไรต้องรู้จักไอ้ไอ้ต้องรู้จักเนี่ยทำ
00:25:43 → 00:25:46 ไงถึงจะรู้จักอืทำไงถึงจะเข้าใจหัวหน้า
00:25:47 → 00:25:49 ต้องรู้จักดูแลเอาใจใส่ลูกน้องต้องทำความ
00:25:49 → 00:25:52 เข้าใจต้องมี empathy ไอ้ต้องมี empathy
00:25:52 → 00:25:54 ยังไงวะถึงจะมี
00:25:54 → 00:25:58 empathy มันต้องเริ่มต้นที่ไหนไอ้ตรงนี้
00:25:58 → 00:26:00 มันขาดไปมันก็เลยมาถึงเรื่องของ awareness
00:26:00 → 00:26:03 อ่ะการตักรู้เท่าทันตนเองมันถึงเป็นคีย์
00:26:03 → 00:26:06 สำคัญสำหรับการพัฒนาไม่ว่าจะ S skill
00:26:06 → 00:26:08 ไม่ต้อง S SK อ่ะการพัฒนามนุษย์ดีกว่า
00:26:08 → 00:26:13 ค่ะมันคือต้องเริ่มต้นกลับมาที่คอจริงๆก็
00:26:13 → 00:26:15 คือการตระหนักรู้เท่าทันตัว
00:26:15 → 00:26:19 เอง้าไม่พูดถึงพัฒนาเรื่องทักษะทางการทำ
00:26:19 → 00:26:22 มาหากินเนาะคิดเลขบวกเลขเทคโนโลยีอะไร
00:26:22 → 00:26:24 เนี่ยแต่พูดถึงทักษะในการดำเนินชีวิตใน
00:26:24 → 00:26:26 การใช้ชีวิตร่วมกันไอเรียกว่า sof skill
00:26:26 → 00:26:30 Soft S อะไรก็แล้วแต่เนี่ยมันต้องเริ่ม
00:26:30 → 00:26:32 ต้นด้วยกันสังเกตและรู้จักตัวเองมันถึงจะ
00:26:32 → 00:26:35 มีระบบการมอนิเตอร์ใช่มั้ติดตามตัวเอง
00:26:35 → 00:26:39 แล้วมันถึงจะมีการพัฒนาได้อ่ะค่ะ
00:26:39 → 00:26:43 ฮะค่ะอาจารย์คะมีคุณผู้ฟังจากทางบ้านนะคะ
00:26:43 → 00:26:47 ถามมาค่ะว่าถ้าตัวเราเป็นซะเองแล้วไม่มี
00:26:47 → 00:26:51 คนข้างๆบอกเราจะรู้ตัวเองบ้าง
00:26:52 → 00:26:55 มยหมายถึงน่าจะเป็นอาการท็อกซิกนี่แหละ
00:26:55 → 00:26:57 อย่างที่ขวัญยกตัวอย่างไปเมื่อสักครู่ว่า
00:26:57 → 00:26:59 อย่างตัวขวญเองเนี่ยอยู่คนคนเดียวแล้วก็
00:26:59 → 00:27:02 เพื่อนไม่กล้าสะท้อนอะไรเงี้ยค่ะเขาบอก
00:27:02 → 00:27:04 ว่าอ่าถ้าตัวเองเป็นซะเองแล้วไม่มีคนข้าง
00:27:04 → 00:27:07 ๆบอกเราจะรู้ตัวเองได้อย่างไรประมาณเยค่ะ
00:27:07 → 00:27:10 ก็ไม่มีสิทธิ์รู้เลยครับ
00:27:10 → 00:27:14 อจะเริ่มรู้ก็เมื่อเริ่มรู้ก็เมื่อจาก
00:27:14 → 00:27:16 หลังจากฟังรายการนี้แล้วแล้วก็ลองไป
00:27:16 → 00:27:21 สังเกตดูอ่าว่าเราเราบริหารความขุ่นในใจ
00:27:21 → 00:27:24 เราได้ดีมยเวลาเราขุ่นใจเราไม่โอเคเนี่ย
00:27:24 → 00:27:27 เราเราพ่นออกไปหรือเปล่าเราช้าลงสักนิด
00:27:27 → 00:27:30 นึงเราเห็นมเพเราปุ๊บปาดเออไว้วไว้แล้ว
00:27:30 → 00:27:34 บางทีบางทีเราก็อาจจะมารู้สึกเอ่อรู้สึก
00:27:34 → 00:27:37 ไม่ค่อยดีรู้สึกเสียใจภายหลังก็ได้นะบาง
00:27:37 → 00:27:39 คนก็ท็อกซิกไปแล้วแต่มันเสียใจภายหลังก็
00:27:39 → 00:27:42 มีหรือว่าหรือว่าเราไม่แน่ใจเราดูเอ๊ะ
00:27:42 → 00:27:45 ทำไมทำไมใครใครมาก็ไม่ค่อยมีใครเข้าเข้า
00:27:45 → 00:27:49 หาเข้าค่อยๆเข้าหาเราเลยวะอ๋อค่ะเออทำไม
00:27:49 → 00:27:52 เค้าทำไมตอนที่เราอยู่ที่ตอนตอนที่เรา
00:27:52 → 00:27:54 อยู่ในห้องอยู่ที่ออฟฟิศทำไมหนังสือเซ็น
00:27:55 → 00:27:56 มันไม่เข้ามาเลยแต่พอเราไปประชุมเรากลับ
00:27:56 → 00:28:00 มาหนังสือทำไมกองเต็มเลยอ่ะอืค่ะแสดงว่าเ
00:28:00 → 00:28:03 ไม่อยากมาเจอเราค่ะตอนเราไม่อยู่เค้าก็
00:28:03 → 00:28:06 รีบเอาแอบเอางานมาวางอ๋อแล้วตอนเราอยู่
00:28:06 → 00:28:08 เค้าก็ไม่อยากเข้าหาคแล้วเราก็จะมองหน้า
00:28:09 → 00:28:13 เ้ามีอะไระีแล้วเหรอเป็นอีกเหรออะไรเงี้ย
00:28:13 → 00:28:18 มันก็ทปกมันก็เ่นกันหมดใช่มั้ยครับก็ก็ก็
00:28:18 → 00:28:21 แค่แค่ไม่ต้องอะไรนะแค่แค่มีคำถามแล้วมี
00:28:21 → 00:28:24 ความสงสัยเฮ้ยเราปล่อยปล่อยพิษอะไรให้ใคร
00:28:24 → 00:28:26 หรือเปล่าวะแค่นี้ก็เป็นก้าวสำคัญแล้วนะ
00:28:26 → 00:28:30 ครับค่ะอคือสังเกตว่าคนรอบข้างเข้ามาหา
00:28:30 → 00:28:31 เราบ้างมั้ยอะไรอย่าเงี้ใช่มั้ยคะอาจารย์
00:28:31 → 00:28:34 เออเอ้ยทำไมเอ้ยสมมุติอ่ะอยู่กัน 2 โต๊ะ
00:28:34 → 00:28:36 อยู่ออฟฟิศเอ้ทำไมโต๊ะนัมันเฮฮาสนุกสน
00:28:36 → 00:28:39 ทำไมโต๊ะเราไม่ค่อยมีใครมาเท่าไหร่วะออ
00:28:39 → 00:28:41 แต่แต่ไม่ได้ให้รู้สึกผิดนะครับให้รไม่
00:28:41 → 00:28:44 ใช่ให้รู้สึกผิดแย่จังไม่ใช่ไปไปไปไปด่า
00:28:44 → 00:28:46 พวกนั้นว่าไม่เห็นไม่ใช่นะครับเราแค่
00:28:46 → 00:28:49 สังเกตเออเออเราอาจจะทำอะไรดีที่เราไม่
00:28:49 → 00:28:52 รู้ตัวก็ได้นะหน้าตาการทักทายการใช้ชีวิต
00:28:52 → 00:28:54 เรามันอาจจะไม่ต้องไปมองว่าท็อกซิกไม่
00:28:54 → 00:28:56 ท็อกซิกหรอกครับแต่ว่ามันอาจจะทำให้ Well
00:28:56 → 00:28:59 be หรือความความสงบสุขของเราของคนรอบ
00:28:59 → 00:29:02 ข้างอ่าเวลาเรามาทำงานเราไม่เหงาเราไม่
00:29:02 → 00:29:05 โดดเดี่ยวเรามีคนคุยเราเฮฮาบ้างมันก็เป็น
00:29:05 → 00:29:08 บรรยากาศที่ดีใช่มครับค่ะก็สังเกตตัวเอง
00:29:08 → 00:29:12 สักนิดนึงถ้าสังเกตมันจะทันนะครับมันปี๊ด
00:29:12 → 00:29:15 ใช่มยช้าลงสักนิดนึงมันปี๊ดตู้มอะไรอย่า
00:29:15 → 00:29:19 เงี้ยนะต่อไปมันปี๊ดปึ๊บยังไม่ตูมยังไม่
00:29:19 → 00:29:23 ต้องพูดเอาไว้ก่อนเอาไว้ก่อนอค่ะแล้วก็
00:29:23 → 00:29:25 เวลาที่เรารู้สึกว่าต้องคุยกันให้รู้
00:29:25 → 00:29:27 เรื่องเเราจะบอกสิว่าอย่าเพิ่งคุยคุเพราะ
00:29:27 → 00:29:31 คุยแล้วไม่เคยรู้เรื่องค่ะเรื่องทุกปีใช่
00:29:31 → 00:29:34 คือคุยตอนปี๊จะไม่ดีเนาะใช่เาต้องคุยกัน
00:29:34 → 00:29:36 ให้รู้เรื่องนี่รู้เรื่องมั้ยไม่รู้
00:29:36 → 00:29:39 เรื่องไม่เคยรู้เรื่องต้องเคลียร์ให้จบ
00:29:39 → 00:29:43 เชลียร์ให้จบไม่จบค่ะไม่เคยจบเห็นมั้ย
00:29:43 → 00:29:45 ครับเออเพราะเราสังเกตบ่อยๆเราก็เข็ดเว้ย
00:29:45 → 00:29:49 เฮ้ยต้องให้จบนี่ไม่เคยจบว่ะกลับบ้านไป
00:29:49 → 00:29:52 เ้าอดทนไว้ก่อนเ้าไม่เอาไว้คืนนี้ยังไม่
00:29:52 → 00:29:55 พูดพรุ่งนี้ค่อยว่ากันตื่นเช้ามาลืมแล้ว
00:29:55 → 00:29:59 อืค่ะใช่มครับเออบางอย่างไม่ต้องเคลียร์
00:29:59 → 00:30:00 ครับไปเคลียร์ไปหมดทุกเรื่องป่อยมันคุม
00:30:00 → 00:30:02 เครือบ้างก็ได้นะมันคุมคุมเครือช่างมัน
00:30:02 → 00:30:05 เทอพรุ่งนี้เช้าก็ลืมละอ่าออบางเรื่องไม่
00:30:05 → 00:30:07 ใช่เรื่องใหญ่บางทีเราก็ทุกทุท็อกซิกกัน
00:30:07 → 00:30:10 กับเรื่องไม่เป็นเรื่องอ่ะค่ะอมีอีกท่าน
00:30:10 → 00:30:13 นึงค่ะเยอะนะผมว่าเยอะนะเราท็อกซิกกันนิด
00:30:13 → 00:30:15 น้อยๆหรือแม้กระทั่งว่าอ่าหัวหัวหน้าของ
00:30:15 → 00:30:17 ลูกน้องเรื่องเรื่องเทคนิคการทำงานน่ะบาง
00:30:17 → 00:30:20 ทีลูกน้องเก็มีมีเก็มีทักษะมีความถนัดแบบ
00:30:20 → 00:30:23 ของเขาใช่่มั้ยครับค่ะไอ้เราก็เป็นผู้รู้
00:30:23 → 00:30:26 มากอ่ะอยากอยากจะให้เค้ารู้เทคนิคดีๆแบบ
00:30:26 → 00:30:29 ที่เราชำนาน่ะเออแต่เขาไม่ชอบอ่ะเขาไม่
00:30:29 → 00:30:31 ถนัดอ่ะเขาชินแบบนี้อ่ะมันอาจจะช้าหน่อย
00:30:31 → 00:30:35 อะไรใช่มั้ยค่ะอืแต่เเชอบเไอ้เราก็อยากไป
00:30:35 → 00:30:38 เปลี่ยนไปหงุดหงิดทำไมไม่รู้บอกไม่รู้จัก
00:30:38 → 00:30:41 ฟังเลยบอกวิธีนี้ก็ไม่เชื่อบางอย่างไม่
00:30:41 → 00:30:43 ได้เป็นประเด็นมากงานก็ไม่ได้เสียหายอะไร
00:30:43 → 00:30:47 เส่งงานทันอทำเก่อนเถอะค่ะถ้าจะช่วยก็ถ้า
00:30:47 → 00:30:50 จะแนะนำก็คือแค่เออมีข้อแนะนำนิดนึงลองไป
00:30:50 → 00:30:53 ดูนะว่าสนใจลองไปทำดูว่ามันมันเวิร์คกว่า
00:30:53 → 00:30:55 มต้องซอฟลงครับอย่าทำเป็นตัวผู้รู้ที่
00:30:55 → 00:30:59 เด็ดขาดอืค่ะนะบางทีมันเด็ดขาดเกินไปอ่ะ
00:30:59 → 00:31:02 มันวิธีการออฟเฟอร์วิธีการเสนอความคิดมัน
00:31:02 → 00:31:05 ต้องเสนอแบบซอบๆอ่ะเสนอแบบปฏิเสธได้อ่ะ
00:31:05 → 00:31:09 อาจารย์คะไม่ทำก็ได้นะเออไม่เชื่อก็ได้นะ
00:31:09 → 00:31:11 มันต้องมีแบบนั้นน่ะครับแต่ถ้าเราเด็กกัด
00:31:11 → 00:31:16 มันต้องเชื่อเพราะของเราถูกเอาล่ะสิอืของ
00:31:16 → 00:31:20 เราถูกของเราดีกว่าทำไมไม่เชื่อเราเออ
00:31:20 → 00:31:23 ทำไมดื้อจังอะไรเงี้ยบางทีก็ไม่ได้เป็น
00:31:23 → 00:31:26 ประเด็นอะไรเก็ทำงานของเค้าครับเอาจจะช้า
00:31:26 → 00:31:28 นิดช้าหน่อย
00:31:28 → 00:31:30 เนี่ยก็ต้องเห็นความไม่พอใจใชมั้ยทันมั้ย
00:31:30 → 00:31:34 ทันความหงุดหงิดอือืค่ะเอถ้าไม่ทันมันก็
00:31:34 → 00:31:37 เก็บของไม่ทันนั้นก็ปล่อยของสิใช่มั้ยค่ะ
00:31:37 → 00:31:39 คุณผู้ฟังถามมาเพิ่มเติมค่ะอาจารย์คะว่า
00:31:39 → 00:31:43 เอ่อตัวเา้าเนี่ยเป็นคนท็อกซิกเพราะเป็น
00:31:43 → 00:31:46 คนอินเวิร์ตแต่ไม่อยากเป็นปัญหาให้คนอื่น
00:31:46 → 00:31:50 จะทำอย่างไรดีเอ่อจริงๆคนอเวร์กับทินี่
00:31:50 → 00:31:54 มันต้องแยกมั้ยคะอาจารย์คนละอย่างอทวเรา
00:31:54 → 00:31:57 ก็เป็นคนละแบบนั้นน่ะครับค่ะแล้วก็แล้วก็
00:31:57 → 00:31:59 ต้องต้องเข้าใจนะว่า introvert ก็เป็นก็
00:31:59 → 00:32:02 เป็นคคตอย่างหนึ่งไม่ได้ไม่ได้แปลว่ามี
00:32:02 → 00:32:06 ปัญหานะครับแต่ต้องยอเนาะ้าถ้าเราอเว
00:32:06 → 00:32:08 เนี่ยเราก็อาจจะอยู่ในสังคมลำบากกว่าคน
00:32:08 → 00:32:10 อื่นนิดหน่อยเพราะสังคมเขให้คุณค่าการ
00:32:10 → 00:32:12 แสดงออกการแสดงความคิดเห็นใช่่มั้ยครับ
00:32:12 → 00:32:15 ค่ะเราต้องยอมรับความจริงว่าคนอทเวก็จะมี
00:32:15 → 00:32:19 โอกาสอาจจะได้รับโอกาสน้อยกว่าอาจจะอยู่
00:32:19 → 00:32:22 ในสายตาน้อยกว่าเวลาเขาจะพ Up ใครโปรโมท
00:32:22 → 00:32:27 ใครเขาก็อาจจะมันเป็นความจริงแบบนั้นมัน
00:32:27 → 00:32:29 ก็ป่วยการเรามานั่งน้อยใจเราต้องยอมรับ
00:32:29 → 00:32:33 ความจริงแบบนั้นอค่ะอั้นอินเวิร์ตไม่ใช่
00:32:33 → 00:32:36 มีปัญหานะครับแต่ต้องรู้ความจริงว่า
00:32:36 → 00:32:41 introvert ย่อมย่อมได้รับโอกาสหรืออะไร
00:32:41 → 00:32:45 ต่างๆอาจจะน้อยกว่าคนที่เทค่ะอืแล้วก็ไม่
00:32:45 → 00:32:47 ต้องพยายามจะไปเปลี่ยนตัวเองด้วยความ
00:32:47 → 00:32:50 ทุกข์โอ้โหทำไมเราเป็นคนแบบนี้เราไม่เป็น
00:32:50 → 00:32:52 ไรครับเราไปเข้าหมู่เพื่อนเราไม่มีเรื่อง
00:32:52 → 00:32:55 ไปเล่ากับเค้าเราก็นั่งฟังอะไขำๆไป
00:32:55 → 00:32:58 ออเอถามแกไม่มีเรื่องเไม่มีอ่ะชอบฟังไม่
00:32:58 → 00:33:02 ชอบเล่าเล่าไม่เก่งเออค่ะจบอ่ะครับแต่แต่
00:33:02 → 00:33:04 สังคมไปเมื่อก่อนยุคก่อนนะยุคนี้จะ
00:33:05 → 00:33:07 เปลี่ยนไปละยุก่อนนี้อนวเหมือนกับ
00:33:07 → 00:33:11 Negative นะครับใช่ๆค่ะอ Negative อนว
00:33:11 → 00:33:14 จริงๆกลายเป็นคนไม่ดีไปอ่ะกลายเป็นคนที่
00:33:14 → 00:33:17 แหมประสิทธิภาพไม่ดีไม่เป็นตัวของตัวเอง
00:33:17 → 00:33:21 มันเป็นธรรมชาติของคนแบบนั้นน่ะครับอค่ะ
00:33:21 → 00:33:24 คนมันมีหลากหลายประเภทอ่ะอืใช่มั้ถ้าเรา
00:33:24 → 00:33:27 ถ้าเราถ้าเราเรียนทฤษฎีบริหารเรื่อง
00:33:27 → 00:33:30 เรื่อง dic หรือเรื่องเรื่องอ่าสัตว์ 4
00:33:30 → 00:33:32 ทิศอ่ะเคยได้ยินมยครับที่มันเป็นที่เรา
00:33:32 → 00:33:35 เป็นคน dic ก็คือเป็นคนที่มุ่งมั่นบางคน
00:33:35 → 00:33:37 ก็เป็นคนที่ต้องต้องจัดการต้องเจ้าระเบีย
00:33:37 → 00:33:40 งคเป็นคนที่ชอบอิสระมันมันเป็นคาแรคเตอร์
00:33:40 → 00:33:45 ที่แตกต่างหลากหลายอืแต่น่าเสียดายว่าบาง
00:33:45 → 00:33:48 ทีเราก็ไปกดดันเราไม่ยอมรับอย่างสมัยเรา
00:33:48 → 00:33:50 อยู่โรงเรียนนครับเพื่อนบางคนก็อเวร์ใช่
00:33:50 → 00:33:54 มั้ยครับค่ะคลำบากเลยครับโดนพีเซ็นหน้า
00:33:54 → 00:33:57 ห้องนี่ลำบากเลยค่ะอาจารย์ลำบากเลยอ่ะ
00:33:57 → 00:33:59 ครับถามอะไรตอบไม่ไม่อยากตอบตอบทีหลัง
00:33:59 → 00:34:02 อะไรอย่าเงี้ยค่ะอืทำไมมีอะไรไม่รู้จัก
00:34:02 → 00:34:06 พูดบ้างเอาปากมาหรือเปล่าอะไรเงี้ยอือคือ
00:34:06 → 00:34:09 คือมันกลายเป็นไอ้อินโทรเวิร์ตธรรมดากลาย
00:34:09 → 00:34:13 เป็นอินโทรเวิร์ตป่วยอ่ะอืค่ะจริงๆเไม่
00:34:13 → 00:34:16 ได้มีอาการป่วยด้วยซ้ำเออมันกดดันมัน
00:34:16 → 00:34:18 โอ้โหมันก็กลายเป็นูแย่จริเลยก็รู้สึก
00:34:18 → 00:34:21 เกลียดตัวเองทำไมเราไม่ไม่เหมือนเค้าน้อ
00:34:21 → 00:34:24 ทำไมเราไม่กล้าพูดเออบางทีเรามันมันไม่
00:34:24 → 00:34:28 มันแฮปปี้ที่จะฟังอ่ะครับค่ะอืแต่ว่าเรา
00:34:28 → 00:34:31 ก็อีเรา accept ก่อนนะแล้วเราจะพัฒนาให้
00:34:31 → 00:34:34 มันดีขึ้นมาบ้างแสดงตนขึ้นมาบ้างบอกความ
00:34:34 → 00:34:38 คิดเห็นบ้างเมื่อมีโอกาสก็ต้องมี Exercise
00:34:38 → 00:34:41 มีแบบฝึกหัดค่ะถถ้า้าถ้าเห็นเข้าใจและยอม
00:34:41 → 00:34:44 รับตัวเองแล้วอยากจะให้โอกาสตัวเองก็ก็
00:34:44 → 00:34:48 ต้องวางแผนดำเนินการว่าเฮ้ยเราจะพัฒนาตัว
00:34:48 → 00:34:51 เองเช่นเราเมื่อก่อนเราไปเราอาจจะ
00:34:51 → 00:34:54 อ่าไม่ค่อยแสดงไม่ค่อยออกความคิดเห็นไม่
00:34:54 → 00:34:57 ค่อยบอกความต้องการของตัวเองใช่มยเียนๆเน
00:34:57 → 00:34:59 ไปตตามเข้าไปเราอาจจะเริ่มพูดบ้างพูดกับ
00:34:59 → 00:35:02 คนที่ใกล้ชิดก่อนแล้วก็พูดกับคนที่ห่างมา
00:35:02 → 00:35:06 นิดนึงพูดกับคนแปลกหน้าอือะไรอย่างเงี้ย
00:35:06 → 00:35:08 มันก็มันก็พอปรับเปลี่ยนได้ครับแต่จะไป
00:35:08 → 00:35:11 ให้เหมือนคนเเวร์น่ะมันไม่ได้อยู่แล้วค่ะ
00:35:11 → 00:35:15 อันนี้อีกท่านนึงแชร์มาค่ะอาจารย์คะบอก
00:35:15 → 00:35:18 ว่าเอ่อการเลี้ยงลูกก็เหมือนกันนะคะพ่อ
00:35:18 → 00:35:21 แม่ควรต้องหัดจับถูกลูกลูกให้มากกว่าเอา
00:35:22 → 00:35:25 แต่คอยจับผิดตลอดเวลาใช่ครับเออแล้วแล้ว
00:35:26 → 00:35:29 ผิดเนี่ยต้องเข้าใจนะครับผิดที่คำตอบผิด
00:35:29 → 00:35:34 ที่การบ้านไม่ได้ผิดที่คนทำใช่ลูกไม่ผิด
00:35:34 → 00:35:37 ข้อนี้ตอบผิดนะลูกข้อเนี้ยอืลองดูซิมัน
00:35:37 → 00:35:41 ผิดตรงไหนค่ะบางทีเมื่อวานสอนแล้ววันนี้
00:35:41 → 00:35:44 ลืมได้วันนี้ลืมเอ้เมื่อวานสอนไปแล้วลูก
00:35:44 → 00:35:46 ลูกลองนึกดูซิพอจะจำได้มั้ยไหนเอเอาเล่ม
00:35:46 → 00:35:48 เมื่อวานมาเปิดๆดูซิคำตอบมันมีอยู่แล้วนะ
00:35:48 → 00:35:52 เมื่อวานควรจะเป็นแบบนี้เอะไรกันเมื่อวาน
00:35:52 → 00:35:55 ก็บอกหยกๆวันนี้ผิดอีกแล้วอเพราะเมื่อวาน
00:35:55 → 00:35:58 บอกหยกๆกวันนี้ผิดอีกก็ได้ค่ะอมันเรียนต
00:35:58 → 00:36:02 เยอะแยะอ่ะครับมันลืมได้บ้างอ่ะอลูกก็ก็
00:36:02 → 00:36:05 มันลูกบางคนเถียงหน่อยก็มันลืมอ่ะแม่จบ
00:36:05 → 00:36:08 มั้ยครับไม่จบอ่ะครับลืมได้ยังไงอ่าเห็น
00:36:08 → 00:36:11 มั้ก็มันลืมตอบได้มั้ยครับเวลาลืมได้ยัง
00:36:11 → 00:36:15 ไงนี่ตอบได้มั้ยไม่ได้อ่ะค่ะตอบไม่ได้
00:36:15 → 00:36:19 ครับคือลืมคือลืมผิดแล้วเนี่ยนะลองลองลอง
00:36:20 → 00:36:22 โดนจับผิดแล้วเนี่ยโอ้โหมันแทบจะไม่มีที่
00:36:22 → 00:36:24 ผุดที่ได้ผุดได้เกิดนี่คือเหตุผลทำไมเด็ก
00:36:24 → 00:36:28 ถึงไม่อยากทำการบ้านอืค่ะเพราะพ่อแม่การ
00:36:28 → 00:36:30 บ้านลูกต้องถูกด้วยโอ้โหไปกันใหญ่นะปล่อย
00:36:30 → 00:36:32 เค้าผิดๆบ้างให้ครูตรวจบ้างนะครับให้เค้า
00:36:33 → 00:36:36 ยอมรับว่ามันผิดกันได้ค่ะเวลาเวลาเราอ่าน
00:36:36 → 00:36:38 Facebook บาทีเคแชร์มาใช่มั้ยคนที่ประสบ
00:36:38 → 00:36:40 ความสำเร็จบางทีเผิดพลาดเป็นพันๆครั้งใช่
00:36:40 → 00:36:44 มั้ยครับเออใช่ค่ะเออเรายังชอบใช่มั้ย
00:36:44 → 00:36:47 ครับเราชอบใช่มั้ยเฮ้ยเราชอบเราแชร์แต่
00:36:47 → 00:36:51 วิถีการปฏิบัติเราไม่ได้เอาไอ้ไอ้โคชคำ
00:36:51 → 00:36:54 พูดเหล่านั้นมามาอยู่ในวิถีชีวิตอ้อแทบจะ
00:36:54 → 00:36:56 ไม่มีเลยนะไอ้ที่เราแชร์ไปไม่รู้กี่ร 100
00:36:56 → 00:37:01 กี่พันอ่าวรรคทองวรรคเด็ดอ่ะค่ะไม่เหลือ
00:37:01 → 00:37:03 อยู่ในชีวิตเราสักอย่างเลยอ่ะครับ
00:37:03 → 00:37:07 อืเออเนี่ยมันมันก็เนี่ยเฮะไม่ต้องมาชวน
00:37:07 → 00:37:09 เอ้ออันนี้น่าๆเอามาอยู่ในวิถีิเลี้ยงลูก
00:37:09 → 00:37:11 ถูกต้องเมื่อกี้ทท่านผู้ฟังพูดถูกแล้ว
00:37:11 → 00:37:15 ครับค่ะเราเราเวลาลูกเวลาลูกทำการบ้าน
00:37:15 → 00:37:18 หรือลูกทำอะไรผิดมันให้ดูว่าผิดที่การ
00:37:18 → 00:37:23 กระทำค่ะผิดที่ผิดที่คำพูดคำพูดแบบนี้ไม่
00:37:23 → 00:37:25 เพราะคำพูดแบบนี้ไม่ได้นะลูกการกระทำแบบ
00:37:25 → 00:37:27 นี้ไปหยิบยังรบเพื่อนมาไม่ได้นะลูกไม่
00:37:27 → 00:37:30 ต้องไม่ต้องไม่ต้องบริภาษไปให้ไกลเป็นยัง
00:37:30 → 00:37:32 ไงทำไมบอกแล้วไม่จำอะไรเงี้ยความโมโหเราถ
00:37:32 → 00:37:34 มยถ้าเกิดเราเก็บความโมโหเราไม่ได้เราก็
00:37:34 → 00:37:40 ทกสิทธกับลูกค่ะลูกก็กลัวเออเนี่ยอ่ากลัว
00:37:41 → 00:37:43 ก็สารภาพไม่ได้เพราะว่าสารภาพแล้วจบมั้ย
00:37:43 → 00:37:46 ครับไม่จบค่ะบไม่จบอ่ะครับพอมันไม่จบมัน
00:37:46 → 00:37:49 จะมันนิ่งๆดีกว่ายอมยอมเงียบแล้วโดนตีดี
00:37:49 → 00:37:52 กว่าเออก็จะปัญหามันจะได้จบๆสำหรับขวัญ
00:37:52 → 00:37:54 ตอนเด็กมันจะเป็นแบบนั้นปจใช่ครับปัญหาจะ
00:37:54 → 00:37:58 ได้จบๆเพราะเพอธิบายก็ไม่ไม่จบค่ะก็จะมี
00:37:58 → 00:38:01 แถมค่ะคุณผู้ฟังแชร์มาอีกเรื่องนึงค่ะ
00:38:01 → 00:38:04 อาจารย์บอกว่าอาการท็อกซิกธรรมะรักษาได้
00:38:04 → 00:38:06 ทำใจร่ม
00:38:06 → 00:38:10 ๆนั่นแหละครับก็พูดกันแบบนี้มานานมันทำ
00:38:10 → 00:38:14 ยังไงครับใจร่มๆเออยังไงดีคะอาจารย์เนี่ย
00:38:14 → 00:38:15 ครับที่เราที่เราจะต้องคุยกันมันคือ
00:38:15 → 00:38:17 อันเนี้ยครับที่ผมที่ที่ผมเป็นประเด็นน่ะ
00:38:17 → 00:38:20 คำว่าทำใจร่มๆมันไม่ใช่สั่งแลทำได้นะครับ
00:38:20 → 00:38:22 แต่ว่าเราเราอย่างงี้ครับเ่ออะไรดีๆแบบ
00:38:23 → 00:38:25 แบบที่ท่านผู้ฟังพูดมาเนี่ยอะไรที่เรา
00:38:25 → 00:38:27 อยากเราอยากเป็นนะสมมุตว่ามันเรามองว่า
00:38:27 → 00:38:29 เป็นเป้าหมายที่ดีใช่มั้ยใจเย็นอยู่กับ
00:38:29 → 00:38:31 ปัจจุบันปล่อยวางอะไรอย่าเงี้ยนะครับมัน
00:38:31 → 00:38:34 เป็นมันเป็นเป้าหมายสุดท้ายนะครับอืแต่
00:38:34 → 00:38:37 เราสั่งใช้วิธีสั่งอ่ะครับอยากอย่าตก
00:38:37 → 00:38:39 อย่างนะผมยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมถ้าถ้า
00:38:39 → 00:38:41 เปรียบเทียบเหมือนเหมือนต้นมะม่วงเนาะค่ะ
00:38:41 → 00:38:43 มะม่วงเป้าหมายสต้องการให้มันออกลูกใช่
00:38:43 → 00:38:46 มั้ยครับค่ะค่ะออกลูกดกๆสวยงามใช่มั้ย
00:38:46 → 00:38:48 ครับเหมือนเราสั่งคนน่ะต้องออกลูกนะออก
00:38:48 → 00:38:52 ให้สวยด้วยนะแต่กว่าจะรู้ต้องผ่านอะไรมา
00:38:52 → 00:38:55 บ้างเราควรจะสอนเอ้ยเราควรจะให้เขาดูแลรด
00:38:55 → 00:38:58 น้ำพลดินส่วนลูกจะออกไม่ออกไม่รู้
00:38:58 → 00:39:03 อืขบวนการอะไรที่จะเอื้อเปิดโอกาสให้ลูก
00:39:03 → 00:39:08 หรือให้เราใจร่มๆยามยามแดดมาแดดทาใจยาม
00:39:08 → 00:39:12 อะไรไฟทำใจแผดเผาทำยังไงถึงจะร่มได้มัน
00:39:12 → 00:39:14 ต้องเป็นการฝึกฝนครับมันต้องมี Exercise
00:39:14 → 00:39:16 มันต้องเป็นการเรียนรู้มันต้องอยู่ในระบบ
00:39:16 → 00:39:17 การศึกษา
00:39:17 → 00:39:20 อืมันไม่ใช่พูดกันแบบนี้มันพูดทำมะช่วย
00:39:20 → 00:39:25 ได้ทำมช่วยช่วยยังไงอ่ะค่ะมันก็รู้่ะช่วย
00:39:25 → 00:39:27 ได้
00:39:27 → 00:39:30 แล้วไหนอ่ะแล้วยังไงล่ะเนี่ยฮะมันมันอ
00:39:30 → 00:39:33 ต้องได้รับการฝึกฝนมาก่อนใช่ครับต้องได้
00:39:33 → 00:39:35 รับการฝึกฝนแลการฝึกฝนมันต้องอยู่ในวิถี
00:39:35 → 00:39:37 ชีวิตประจำวันให้มากขึ้นมันไม่ใช่เรื่อง
00:39:37 → 00:39:39 ของวัดไม่ใช่เรื่องของพระมันเป็นเรื่อง
00:39:39 → 00:39:43 ของคนปกติที่ที่จะต้องเริ่มแล้วมันก็เออ
00:39:43 → 00:39:46 เออเนี่ยช่องว่างมีอยู่ตรงเนี้ยครับไอ้
00:39:46 → 00:39:50 ความรู้ว่าไอ้ความรู้ดีๆที่ว่าเอ่อทำใจ
00:39:50 → 00:39:52 ล่มมรู้จักให้อภัยรู้จักปล่อยวางรู้จัก
00:39:52 → 00:39:55 อยู่กับปัจจุบันเนี่ยความรู้นี่มันเหลือ
00:39:55 → 00:39:57 มันหาอ่านมันอยู่เต็มหัวแล้วสังเกตนะครับ
00:39:57 → 00:40:00 เวลาที่เพื่อนมีปัญหาค่ะอืเราเราปอบใจ
00:40:00 → 00:40:03 เพื่อนเก่งมั้ยอเก่งถ้าเราไม่ใช่คนที่โดน
00:40:03 → 00:40:05 ปัญหานั้นเราจะปลอบใจเพื่อนเก่งค่ะ
00:40:05 → 00:40:07 อาจารย์เออเรื่องชาวบ้านเราชำนาญใช่มั้ย
00:40:07 → 00:40:10 ครับไปแล้วใชแต่เรื่องตัวเองอะไรอย่าง
00:40:10 → 00:40:12 เงี้ยแต่เรื่องตัวเองชาวบ้านอย่ามายุ่งนะ
00:40:12 → 00:40:16 ไม่ชอบเออเฮ้ยไม่เป็นไรมันมันกดแ่งกรรมกำ
00:40:16 → 00:40:18 คำไปมันกรรมใครกำมันอะไรเงี้ยคือโอ้โหไอ
00:40:18 → 00:40:20 คิดบวกคิดอะไรเนี่ยเรามาเป็นเป็นชุดใหญ่
00:40:20 → 00:40:23 เลยอ่ะครับแต่พอเลื่องตัวเราเองอ่ะไปไม่
00:40:23 → 00:40:26 เป็นอืค่ะเพื่อนมาบอกบางทีเรายังเียงกลับ
00:40:26 → 00:40:30 เลยแกไม่ต้องมาโลกสวยอแกไม่โดนแกก็ไม่รู้
00:40:30 → 00:40:35 สึกเเนี่ยครับแปลว่าอะไรครับแปลว่าเวลา
00:40:35 → 00:40:41 เวลาขาดสติความรู้หายอใช่ความรู้หายไป
00:40:41 → 00:40:45 ชั่วขณะค่ะอวิชาครอบงำแลความรู้หายเลยนะ
00:40:45 → 00:40:48 ไอ้ความรู้ที่เป็นอะไรควรไม่ควรน่ะมันดับ
00:40:48 → 00:40:52 วูบไปชั่วขณะค่ะเพราะเพราะมันปั่นป่วน
00:40:52 → 00:40:54 อยู่ข้างในอ่ะอืค่ะเพราะเราไม่ได้ฝึกฝนมา
00:40:54 → 00:40:57 แล้วไม่ได้ฝึกฝนให้อยู่กับความไม่โอเคโค
00:40:57 → 00:41:01 ค่าอืเวลาเราไปฝึกฝนเราไปนั่งสมาธิเราก็
00:41:01 → 00:41:05 จะเอาความสบายจะเอาความสงบอีกอ่ะอืเออ
00:41:05 → 00:41:08 แล้วพอไม่สงบเราเลอพอไม่สงบเราก็เลิกใช่
00:41:09 → 00:41:11 มั้ยครับใช่ค่ะแล้วเราก็บอกเราทำไม่ได้
00:41:11 → 00:41:13 เรานั่งไม่สำเร็จมันเข้าใจผิดกันหมดเลย
00:41:13 → 00:41:16 ครับไปนั่งอยู่กับความไม่สงบไม่อยากนั่ง
00:41:16 → 00:41:18 ก็นั่งไม่รู้จะนั่งทำไมก็นั่งเบื่อก็นั่ง
00:41:18 → 00:41:22 5 นาที 10 นาทีครบเก่งแล้วเนี่ยอืได้
00:41:22 → 00:41:25 ความเพียรละทำบ่อยๆทำบ่อยๆเบื่อก็สั่งให้
00:41:25 → 00:41:27 ลุกไม่
00:41:27 → 00:41:30 ได้อืไม่อยากทำก็สั่งให้เลิกไม่ได้ไม่
00:41:30 → 00:41:32 อยากพูดก็พูดไปไอ้สมองชุดแรกมันทำงานน่ะ
00:41:32 → 00:41:35 เอ้เอาไว้ก่อนดีกว่าเสียเวลาหรือเปล่า
00:41:35 → 00:41:38 นั่งไปนี่ 5 นาทียังไม่ได้อะไรเลยมันอยาก
00:41:38 → 00:41:40 พูดพูดไปเรานั่งอ่ะเพราะฉะนั้นเราเริ่ม
00:41:40 → 00:41:42 รู้ว่าความคิดมันเป็นคำพูดมันไม่ใช่เรา
00:41:42 → 00:41:46 อ่ะค่ะอมันไม่มันเป็นสิ่งเร้าทางใจนึกออก
00:41:46 → 00:41:49 มั้ยฮะมันเป็นมันเป็นภาษาอะไรเรียกเป็น
00:41:49 → 00:41:51 เรียกมารก็ได้เนาะมันมาสิ่งเล้าทางใจนอน
00:41:51 → 00:41:55 ก่อนเธอนั่งไปก็ไม่เห็นได้อะไรเลยเออเอา
00:41:55 → 00:41:57 เวลาไปเอาเวลาไปฟังเพลงเอาเวลาไปไปไป
00:41:57 → 00:42:00 เตรียมงานดีกว่าอะไรเงี้ยอยพูดๆไปเราก็
00:42:00 → 00:42:03 นั่งกันครบ 5 นาที 10 นาทีแค่เนี้ยครับจะ
00:42:03 → 00:42:06 เห็นการเปลี่ยนแปลงละอืการเปลี่ยนแปลงที่
00:42:06 → 00:42:09 เกิดขึ้นคืออะไรครับไม่ไม่หลงความคิดค่ะ
00:42:09 → 00:42:11 ไม่หลงไอ้แขกที่ไม่ได้รับเชิญไอ้กอง
00:42:11 → 00:42:14 เชียร์ที่มันชอบมามายุยุเราให้เราให้เรา
00:42:14 → 00:42:17 เสียอะไรอ่ะเสียเสียสมาธิเสียสมาธิเสีย
00:42:17 → 00:42:21 ความตั้งใจตงใจของเรางั้นนั่งเสร็จไม่ได้
00:42:21 → 00:42:24 อะไรเลยหัดหัดทำอะไรโดยไม่ต้องได้อะไรเลย
00:42:24 → 00:42:27 บ้างบ้างได้มั้ยครับอือืค่ะทำไมต้องได้
00:42:27 → 00:42:30 ตลอดเวลาค่ะและอีกหน่อยสุดท้ายวาระสุด
00:42:30 → 00:42:32 ท้ายต้องอยู่กับเตียงทำอะไรไม่ได้เี่จะ
00:42:32 → 00:42:37 อยู่ยังไงอ่ะครับออไม่เคยซ้อมเลยอ่ะอค่ะ
00:42:37 → 00:42:40 ก็อยู่บ้างอยู่เบื่อๆบ้างนะครับอยู่เบื่อ
00:42:40 → 00:42:44 ๆอยู่นิ่งๆหนาๆบ้างก็ได้เน้อโอ๊ยอยากอยู่
00:42:44 → 00:42:47 บ้างเลยอาจารย์อยากอยู่กับเบื่อๆบ้างค่ะ
00:42:47 → 00:42:49 เบื่อๆแล้วไม่ต้องหาอะไรกินไม่ต้องหาอะไร
00:42:49 → 00:42:51 ทำอ่ะถ้าถ้าเบื่อๆอยู่เบื่อๆไม่ได้มันก็
00:42:51 → 00:42:54 เสียตังค์ใช่มั้ยอืแล้วมันก็กินแล้วมันก็
00:42:54 → 00:42:57 อ้วนน่ะมันก็มันก็อย่างเงี้ครับเพรานั้น
00:42:57 → 00:43:00 ก็เบื่อๆมันก็ได้ว่าก็เบื่อก็เป็นเบื่อก็
00:43:00 → 00:43:02 เป็นเป็นก้อนเมฆที่ลอยผ่านมาเราก็เป็น
00:43:02 → 00:43:06 ท้องฟ้าค่ะเราก็วางใจเวลานั่งสมาธิเหมือน
00:43:06 → 00:43:08 กับเวลาที่เราจะนั่งวางใจเหมือนเราเป็น
00:43:08 → 00:43:11 ท้องฟ้าความเครียดมันก็เป็นอดีตก็เป็น
00:43:11 → 00:43:14 ก้อนเมก้อนดำบ้างก้อนขาวบ้างฟ้าแลบฟ้า
00:43:14 → 00:43:17 ร้องบ้างเราก็นั่งจนครบ 5 นาที 10 นาที
00:43:17 → 00:43:20 ครึ่งชั่วโมงอืค่ะเราอยู่กับสิ่งที่เรา
00:43:20 → 00:43:22 ไม่เคยอยู่เราอยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบเรา
00:43:22 → 00:43:24 อยากจะหนีมันตลอดเวลาแล้วเราก็หนีไม่ได้
00:43:24 → 00:43:27 เพราะมันอยู่ในหัวเราอืตอนนี้เราไม่หนี
00:43:27 → 00:43:29 แล้วเราอยู่กับมันได้แล้วเรามีความคุ้น
00:43:29 → 00:43:32 คินกับมันเราอ๋อกับมันมากขึ้นมันเป็นมิตร
00:43:32 → 00:43:34 กับเราเป็นมิตรกับมันมันเป็นมิตรกับเรา
00:43:34 → 00:43:36 คือมันอยากจะมันอยากจะอะไรจะคิดไม่ดี
00:43:36 → 00:43:39 อกุศลชั่วร้ายอะไรก็ตามมันก็เป็นแค่ความ
00:43:39 → 00:43:41 คิดสุดท้ายเราก็รู้ว่าความคิดไม่ใช่ความ
00:43:41 → 00:43:44 จริงค่ะอความคิดเป็นแกปรากฏการณ์
00:43:44 → 00:43:48 ปรากฏการณ์ทางสมองอย่างนึงอ๋อคือถ้าเรา
00:43:48 → 00:43:51 ลองฝึกแบบนี้ทุกวันใช่มอาจารย์สมมุติเรา
00:43:51 → 00:43:55 ลองเราไม่เคยอยู่นิ่งๆอ่ะเราลองอยู่นิ่งๆ
00:43:55 → 00:43:58 แล้วเหมือนใจเราอ่ะอยากจะแบบอุ้ยอยากจะไป
00:43:58 → 00:44:00 ทำงานอันนี้ให้เสร็จแล้วอยากจะไปทำตรงนี้
00:44:00 → 00:44:03 แล้วอ้าเราลองอยู่สัก 5 นาทีถ้าเราทำได้
00:44:03 → 00:44:07 สดงว่าเนี่ยคือเป็นการเลของเราทแล้วครับ
00:44:07 → 00:44:11 ใช่ครับอนี้เราไปนั่งเึเอเคก็แนะนำโอเค
00:44:11 → 00:44:13 นั่งเราก็เราถ้าถ้าเราไม่อยากจะต่อสู้
00:44:13 → 00:44:17 ดิ้นรนลำบากมากเนี่ยเราก็เราก็หางานให้
00:44:17 → 00:44:20 มันทำนิดหน่อยใช่มครับคือโฟกัสหน่อยก็คือ
00:44:20 → 00:44:23 ใส่ใจไปที่ลมหายใจนิดนึงจะได้มีอะไรจดจ่อ
00:44:23 → 00:44:26 หน่อยไอ้นั่นมันจะได้ไม่กระหน่ำแรงอืออ่ะ
00:44:26 → 00:44:29 เรู้ลมหายใจไปสักพักนึงถ้าเราถ้าเราไม่
00:44:29 → 00:44:31 ชินใช่มั้ยสักพักเราก็จะเบื่อพอเราเบื่อ
00:44:31 → 00:44:35 ปุ๊บแรงดึงดูดตรงนั้นมันเบาลงมาแล้วข้า
00:44:35 → 00:44:38 สึกจะโจมตีค่ะแล้วเราบางทีเราก็เผลอไปนึก
00:44:38 → 00:44:40 เรื่องนึกขึ้นมาได้เอ้ยนึกขึ้นมาได้ก็
00:44:40 → 00:44:44 กลับมาลมหายใจค่ะอแล้วก็ไม่ต้องด่าตัวเอง
00:44:44 → 00:44:47 ว่าเอ๊ะทำไมทำไมอย่าด่าตัวเองค่ะโอห
00:44:47 → 00:44:49 อาจารย์วันนี้ครบถ้วนมากเลยค่ะอาจารย์ขา
00:44:50 → 00:44:53 เพราะว่าเ่อเวลาก็เคะงวดเข้ามาทุกทีเอ่อ
00:44:54 → 00:44:56 ตอนท้ายนี้เหลืออีกประมาณนาทีนึงเดี๋ยว
00:44:56 → 00:44:58 ให้อาจารย์ฝากอะไรถึงคุณผู้ฟังตบท้ายนิด
00:44:58 → 00:45:01 นึงค่ะอาจารย์ขาก็ก็ตบท้ายที่ที่พูดคือ
00:45:01 → 00:45:04 การฝึกฝนตัวเองสำคัญมากครับค่ะฝึกฝนอย่าง
00:45:04 → 00:45:06 ที่บอกว่าแล้วเรามีเวลานั่งเฉยๆนั่ง
00:45:06 → 00:45:09 สังเกตปรากฏการณ์ภายในอ่ะคือความคิดความ
00:45:09 → 00:45:11 นึกความรู้สึกความหงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญ
00:45:11 → 00:45:14 ใจอ่ะมันมันใครสอนไม่ได้อ่ะครับแล้วก็ไม่
00:45:14 → 00:45:16 รู้จะเอาสื่อการเรียนการสอนจากไหนอ่ะมัน
00:45:16 → 00:45:19 ต้องเอาเอาจากตัวเองอ่ะครับเพะเราไม่
00:45:19 → 00:45:23 สามารถจะอ่ามาจินตนาการเป็นรูปเป็น
00:45:23 → 00:45:25 PowerPoint อะไรออกมามันไม่สดอ่ะครับอื
00:45:25 → 00:45:28 มันต้องมันต้องสัมผัสสดๆอ่ะอย่างตอนเนี้ย
00:45:28 → 00:45:32 ช้างสีชมพูไปึยังพอพูดถึงมาเลยค่ะอาจารย์
00:45:32 → 00:45:35 ไปมั้ยเออเนี่ยโอ้เข้าใจแล้วเข้าใจแล้ว
00:45:35 → 00:45:38 นึกถึงอะไรมันมานึกถึงอะไรสิ่งนั้นก็มา
00:45:38 → 00:45:40 เรารู้เลยว่าเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในใจเรา
00:45:41 → 00:45:43 เรื่องที่คนนั้นด่าเราคนนั้นว่าเราเกิด
00:45:43 → 00:45:45 ขึ้นเพราะเรานึกถึงค่ะอือเพรานอนหลับไป
00:45:45 → 00:45:51 แล้วเออเไปไหนเราก็ไม่รู้เราคิดถึงคิด
00:45:51 → 00:45:54 ปุ๊บก็ถึงเลยนึกออกมั้ยของขึ้นด้วยค่ะ
00:45:54 → 00:45:57 สำหรับวันนี้ครบถ้วนมากเลยค่ะอาจารย์ขา
00:45:57 → 00:46:01 ค่ะค่ะเอาเอ่อขอบคุณมากค่ะอาจารย์ถ้ามี
00:46:01 → 00:46:03 โอกาสหน้าเรียนเชิญมาพูดคุยกันใหม่นะคะ
00:46:03 → 00:46:07 ครับยินดีครับค่ะค่ะสวัสดีค่ะอาจารย์คะ
00:46:07 → 00:46:09 ครับสวัสดีครับสวัสดีทุกท่านครับสวัสดี
00:46:09 → 00:46:13 ค่ะค่ะ How to รู้ทันท็อกซิกในใจนะคะกับ
00:46:13 → 00:46:16 รองศาสตราจารย์นายแพทย์ชัชวาลศิลปกิจค่ะ
00:46:16 → 00:46:18 ผู้อำนวยการศูนย์จิตปัญญาศึกษา
00:46:18 → 00:46:22 มหาวิทยาลัยมหิดลค่ะ