00:00:00 → 00:00:02 ความคิดในหัวมันน่ากลัวกว่าความเป็นจริง
00:00:02 → 00:00:05 ที่เกิด
00:00:05 → 00:00:08 ขึ้นพอตอนคุณพ่อเสียจริงๆอ่ะทุกข์ไม่เท่า
00:00:08 → 00:00:11 วันนั้นเลยด้วยซ้ำนั่นหมายความว่าวันที่
00:00:11 → 00:00:14 เรายึดกับมันน่ะว่ามันต้องเป็นอย่างใจเรา
00:00:14 → 00:00:17 นั่นแหละที่มันทำให้เกิดทุกข์ลมหายใจสุด
00:00:17 → 00:00:20 ท้ายระหว่างความเป็นกับความตายอ่ะมันแค่
00:00:20 → 00:00:23 นี้เองอ่ะหมอเอิ้ลมันเหมือนหายใจเข้าแล้ว
00:00:23 → 00:00:25 มันไม่หายใจออกอ่ะคนที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่
00:00:25 → 00:00:28 อยู่กับเราแล้วอ่ะคือรู้สึกว่าคนจะเติบโต
00:00:28 → 00:00:30 เนี่ยมีอยู่แค่ 2 อย่างอ่ะอันที่ 1 ก็คือ
00:00:30 → 00:00:35 ทุกข์ให้มากพออีกอย่างคือมีสติมากพอการ
00:00:35 → 00:00:38 สูญเสียของคุณแม่มันถือเป็นทุกข์ที่ยิ่ง
00:00:38 → 00:00:40 ใหญ่มากที่สุดในชีวิตของเชอลี่เชอลี่ได้
00:00:40 → 00:00:43 มาซึ่งการรู้จักธรรมะซึ่งมันก็เป็นของมี
00:00:43 → 00:00:46 ค่าที่แบบเหมือนมันเทรด off นะสิ่งเนี้ย
00:00:46 → 00:00:49 คุณเฌอคิดว่าคุณเป็นคนเพเฟคมยเรามีเรื่อง
00:00:49 → 00:00:52 ที่อยากจะบอกเชอรรี่ต้องบอกต่อหน้ากล้อง
00:00:52 → 00:00:56 ด้วยหรอเราไปบอกกันส่วนตัว 2 คนได้มั้ล่ะ
00:00:56 → 00:01:00 หาบอกเลยบอกเลยบอกได้จุจูนใจพcส.
00:01:00 → 00:01:04 ประสบการณ์การจูนใจที่ทำให้เราได้พบความ
00:01:04 → 00:01:08 สุขสวัสดีค่ะตอนนี้นะคะก็อยู่กับเชลี่นะ
00:01:08 → 00:01:11 คะในรายการจูนใจนะคะซึ่งจะเป็นรายการที่
00:01:11 → 00:01:14 เรามาแชร์ประสบการณ์กันนะคะว่าเอ่อเราจะ
00:01:14 → 00:01:17 มาจูนใจแบบไหนให้เรามีความสุขมากยิ่งขึ้น
00:01:17 → 00:01:20 นะคะซึ่งวันนี้นะคะก็จะเป็น episod ที่
00:01:20 → 00:01:22 เชอลี่มาชวนหมอเอิ้ลคุยเรื่องเกี่ยวกับ
00:01:22 → 00:01:25 การที่เราจะจูนใจในการจัดการเรื่องความ
00:01:25 → 00:01:27 กังวลใจแล้วก็ความกลัวที่เกิดขึ้นในการ
00:01:27 → 00:01:31 ใช้ชีวิตเนาะแล้วก็คิดว่ามันน่าจะเป็น
00:01:31 → 00:01:34 ประโยชน์ตื่นเต้นน่ะไม่เคยเปิดรายการเอง
00:01:34 → 00:01:38 เลยค่ะครูขอบคุณที่เปิดประสบการณ์แล้ว
00:01:38 → 00:01:41 เปิดได้ดูเหมือนรายการตัวเองมากเลยนะคะ
00:01:41 → 00:01:45 อาจจะมายึดยึดหัวหาดยึดยึดหัวหาดเลยนะเออ
00:01:45 → 00:01:48 เอ่อเหมือนเป็นรายการของเชอรรี่จริงๆเลย
00:01:48 → 00:01:52 นะจริงเหรอก็สรุปใครเป็นโฮสตเป็นอยู่ทาง
00:01:52 → 00:01:57 นี้ค่ะอ๋อเป็นยังไงคะการเอ่ออยู่ๆก็เจอ
00:01:57 → 00:02:01 กับสถานการณ์อันไม่คาดฝันแล้วก็ไม่รู้ว่า
00:02:01 → 00:02:04 ตัวเองจะต้องทำอะไรอย่างวันนี้วันนี้ใช่
00:02:04 → 00:02:07 มั้ยคะคือเวลาถ้าเราใช้ชีวิตแบบปล่อยไหล
00:02:07 → 00:02:10 อ่ะออเออมันก็จะแบบสบายๆนะแบบไม่ว่าจะเจอ
00:02:10 → 00:02:13 กับอะไรก็ไม่ได้รู้สึกแบบกังวลว่าจะทำไม่
00:02:13 → 00:02:17 ได้หรืออะไรก็แค่ก็แค่ทำอืแต่ก็อาจจะตื่น
00:02:17 → 00:02:21 เต้นนิดหน่อยอค่ะเนี่ยจริงๆแล้วตอนที่เรา
00:02:21 → 00:02:24 คุยกันก่อนมารายการน่ะเอิ้ลบอกเชอรรี่ว่า
00:02:24 → 00:02:28 เทปนี้น่าจะเป็นเทปที่ดูมีสาระที่สุด
00:02:28 → 00:02:31 หวังว่านะคะอย่าคาดหวังเยอะค่ะโอ้วันนี้
00:02:31 → 00:02:34 เราจะมาคุยเรื่องอะไรกันนะคะก็นี่แหละค่ะ
00:02:34 → 00:02:39 การจูนใจของเรายังไงในการรับมือเรื่อง
00:02:39 → 00:02:41 ความกังวลแล้วก็ความกลัวเพราะว่าที่เรา
00:02:42 → 00:02:46 คุยกันน่ะชลี่บอกเอิ้ลไปว่าเหมือนหลายๆที
00:02:46 → 00:02:49 ความจริงที่มันเกิดขึ้นน่ะอืมันทุกข์น้อย
00:02:49 → 00:02:53 กว่าตอนที่เรากำลังกังวลและก็กลัวไปก่อน
00:02:53 → 00:02:56 ล่วงหน้าที่เหตุการณ์นั้นมันจะเกิดขึ้นอื
00:02:56 → 00:02:58 อืแล้วก็เชื่อว่าของเฉลี่อ่ะมันเป็น
00:02:58 → 00:03:01 เรื่องของการสูญเสียใช่มยสูญเสียคุณพ่อ
00:03:01 → 00:03:04 อะไรอย่างเงี้ยแต่ก็เชื่อว่าความกังวลและ
00:03:04 → 00:03:08 ความกลัวมันเกิดขึ้นได้
00:03:08 → 00:03:12 กับหลากหลายเหตุการณ์แล้วก็หลายแง่มุมใน
00:03:12 → 00:03:15 ชีวิตของแต่ละคนไม่ว่าจะเรื่องงานที่
00:03:15 → 00:03:18 กังวลไปก่อนเรื่องหน้าเรื่องความสัมพันธ์
00:03:18 → 00:03:21 ที่เราแบบกลัวกังวลไปก่อนเรื่องหน้าว่า
00:03:21 → 00:03:24 เขาจะมีมือที่ 3 มั้ยหรือเขาจะมีคนอื่น
00:03:24 → 00:03:27 มั้ยหรือเราทำแบบนี้แล้วเราจะเป็นที่รัก
00:03:27 → 00:03:29 มั้ยหรืออะไรหลายๆอย่างอ่ะที่เราเหมือน
00:03:29 → 00:03:34 กังวลแล้วก็คิดในหัวอ่ะความคิดในหัวมัน
00:03:34 → 00:03:37 น่ากลัวกว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
00:03:37 → 00:03:38 อื้อหือ
00:03:38 → 00:03:43 คมมยสุดยอดคือฟังดูเหมือนกับว่าที่
00:03:43 → 00:03:46 เชอรรี่เลือกหัวข้อเนี้ยเพราะว่าตัวเองก็
00:03:46 → 00:03:50 เคยประสบอสภาวะหรือประสบการณ์นั้นมาแล้ว
00:03:50 → 00:03:54 ก็เห็นว่าคนก็น่าจะเป็นแบบนั้นใช่แต่ว่า
00:03:54 → 00:03:56 ที่เชอรรี่อ่ะประสบอ่ะมันคือเรื่องของ
00:03:57 → 00:04:00 ความสูญเสียคุณพ่อคุณแม่อย่างี้ใช่มยเออ
00:04:00 → 00:04:02 อันเนี้ยเชื่อว่าในทุกชีวิตมันต้องเจอ
00:04:03 → 00:04:06 อยู่แล้วการสูญเสียคนที่เรารักที่สุดมาก
00:04:06 → 00:04:08 ที่สุดในชีวิตอะไรเงี้ยอันเนี้ยมันคือ
00:04:08 → 00:04:11 โจทย์ใหญ่ของทุกชีวิตอยู่แล้วแต่มันก็จะ
00:04:11 → 00:04:14 มีโจทย์เล็กๆอ่ะที่เอาเรื่องโจทย์ใหญ่
00:04:14 → 00:04:18 อันเนี้ของตัวเองนะคะมาแชร์มาใช้มาปรับ
00:04:18 → 00:04:21 แบบกับเรื่องอื่นๆได้อะไรอย่างเงี้ยเพราะ
00:04:21 → 00:04:24 ว่าไม่ได้หมายความว่าคือก่อนหน้าเเคยคิด
00:04:24 → 00:04:26 ว่าพอเราเสียคุณแม่ตอน 21 ใช่ใช่มั้ยคะ
00:04:26 → 00:04:29 อายุ 21 อืมันเด็กมากแล้วเราก็แบบเหมือน
00:04:29 → 00:04:32 หาทางเอาตัวรอดจากความทุกข์ใหญ่หลวงที่
00:04:32 → 00:04:35 สุดในชีวิตครั้งนั้นน่ะแล้วเราผ่านมาได้
00:04:35 → 00:04:39 น่าจะชักแบบ 4-5 ปีที่เราแบบเหมือนดีขึ้น
00:04:39 → 00:04:42 เราก็ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ว่าจะแบบเหตุ
00:04:42 → 00:04:45 การณ์อะไรต่อไปจากเนี้ยเราจะแบบอืหือแข็ง
00:04:45 → 00:04:47 แกร่งจะไม่มีอะไรทำอะไรเราได้อีกแล้วแต่
00:04:47 → 00:04:50 มันไม่ใช่เพราะว่าแบบหลายครั้งที่พอมัน
00:04:50 → 00:04:53 เกิดเรื่องอะไรแบบจริงๆมันไม่ได้ใหญ่เท่า
00:04:53 → 00:04:56 นั้นด้วยซ้ำอ่ะแต่เราอ่ะมีความยึด
00:04:56 → 00:04:58 กับมันที่เราอยากจะให้มันเป็นอย่างใจเรา
00:04:58 → 00:05:01 แบบนี้แต่มันไม่เป็นอืมันก็ทุกข์แบบทุกข์
00:05:01 → 00:05:04 หนักเหมือนกันมันก็เหมือนเป็นการเรียนรู้
00:05:04 → 00:05:07 ของตัวเราเองอ่ะในการที่จะใช้ชีวิตแบบไหน
00:05:07 → 00:05:11 นะให้ให้มันทุกข์น้อยอ่ะน้อยที่สุดเท่า
00:05:11 → 00:05:14 ที่มันจะเป็นไปได้อ่ะไม่ได้หมายถึงว่าภาย
00:05:14 → 00:05:16 นอกนะเพราะว่าภายนอกมันเป็นสิ่งที่เรา
00:05:16 → 00:05:18 คอนโทรลไม่ได้ว่าความทุกข์มันจะเข้ามา
00:05:18 → 00:05:21 ปะทะเราเมื่อไหร่เราไม่รู้เลยแต่ว่าสิ่ง
00:05:21 → 00:05:23 ที่เราทำได้คือภายในเราเนี่ยแหละในการที่
00:05:23 → 00:05:26 เราจะรับมือกับมันอะไรเงี้ยกี่ครั้งแล้ว
00:05:26 → 00:05:30 สำหรับความรู้สึกสูญเสียครั้งใหญ่ 2
00:05:30 → 00:05:35 ครั้งใหญ่ก็คือคุณแม่ตอน 21 คุณพ่อตอน
00:05:35 → 00:05:40 39 อืใชุ่้ยไม่อยากจะบอกเลยนะไม่น่าบอก
00:05:40 → 00:05:43 เลยเขาจะรู้เจะรู้อายุเราแล้วเจะไปเสิร์ช
00:05:43 → 00:05:46 หาว่าตอนนี้เราเท่าไหร่อะไรเงี้ย
00:05:46 → 00:05:50 ไม่ควรเลยพลาดเออแต่ว่าไม่เป็นไรแต่ที่
00:05:50 → 00:05:52 แน่ๆไม่ตัดออกไอ้ตรงเนี้ยตัดออกอากาศอ่ะ
00:05:52 → 00:05:55 ไม่ตัดออกไม่ตัดใช่แล้วมันก็จะมีแบบอีก
00:05:55 → 00:05:58 หลายครั้งที่เดี๋ยวก็คุณปู่เดี๋ยวก็คุณ
00:05:58 → 00:06:01 ย่าอะไรอย่างเงี้ยที่เราก็เป็นคนที่เรา
00:06:01 → 00:06:06 รักอ่ะสูญเสียแบบพลัดพรากจากกันด้วยความ
00:06:06 → 00:06:11 ตายเนาะแต่เวลาสูญเสียแบบพลัดพรากจากกัน
00:06:11 → 00:06:17 ด้วยความเป็นเหมือนกันอืมอื
00:06:17 → 00:06:20 นึกออกมั้ยมันก็มันก็มีความทุกข์ในอีกแบบ
00:06:20 → 00:06:25 นึงเออเออใช่คราวนี้ในแต่ละครั้งมันต่าง
00:06:25 → 00:06:29 กันมั้ยก็ก็ต่างนะคือถ้าอย่างเอ่ออย่าง
00:06:29 → 00:06:32 ที่เราบอกว่าความตายใช่มยมันเป็นอะไรที่
00:06:32 → 00:06:35 เราแบบไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรอย่างอื่นได้
00:06:35 → 00:06:39 เลยทำในสิ่งที่อ่ารักษาหรืออะไรทำได้ให้
00:06:39 → 00:06:42 ได้ดีที่สุดอ่ะอแล้วสิ่งที่เรียนรู้จาก
00:06:42 → 00:06:45 สิ่งนี้นะก็คือว่าเวลาที่เราทำดีที่สุด
00:06:45 → 00:06:49 อ่ะเรายิ่งมักจะไปยึดกับมันมากเลยว่านี่
00:06:49 → 00:06:52 คือความพยายามและทุ่มเทของเราทุกอย่างมัน
00:06:52 → 00:06:54 ต้องเป็นอย่างใจสิอะไรเงี้ยเนี่ยพอมันไม่
00:06:54 → 00:06:57 เป็นอย่างใจนะยิ่งทุกข์หนักอแต่พอถ้าเกิด
00:06:57 → 00:07:01 ว่าเราแค่ทำเพราะนี่คือแบบสิ่งที่ดีที่
00:07:01 → 00:07:04 เราสามารถทำได้แล้วปล่อยวางตั้งแต่ต้นนะ
00:07:04 → 00:07:08 มันจะไม่ทุกข์เท่าไหร่ในขณะที่พอความตาย
00:07:08 → 00:07:11 มันเป็นเรื่องที่เราทำอะไรไม่ได้มันเกิด
00:07:11 → 00:07:15 ขึ้นทุกข์ปั๊บก็ก็คือ
00:07:15 → 00:07:19 ต้องจัดการที่ใจเราใช่ป่ะหัวใจของเราก็
00:07:19 → 00:07:22 คือต้องดูแลแบบไหนเงี้ยแต่ถ้ามันเป็นการ
00:07:22 → 00:07:25 พลัดพรากจากความเป็นเนี่ยมันมี option
00:07:26 → 00:07:30 มันมีหลากหลายตัวเลือกที่เอ๊ะหรือเราจะ
00:07:30 → 00:07:32 เอ่อยกตัวอย่างเช่นการเลิกกับแฟนอย่าง
00:07:32 → 00:07:36 เงี้ยต่อให้เราเป็นคนที่จะเลือกว่าเราจะ
00:07:36 → 00:07:40 ตัดสินใจทำสิ่งนี้อืแต่เราก็มีอtionัอีก
00:07:40 → 00:07:43 ว่าเอ๊ะหรือเราจะกลับไปดีมั้ยหรือเราจะ
00:07:43 → 00:07:46 ลองให้โอกาสตัวเองมั้ยให้โอกาสเค้ามั้ย
00:07:46 → 00:07:49 หรือยังไงมันก็จะมีมันจะมีนึกออกมั้ยคะ
00:07:49 → 00:07:54 แต่คือเราอ่ะต้องจัดการคุยกับตัวเองให้
00:07:54 → 00:07:56 รู้เรื่องเพราะไม่งั้นชีวิตเรามันจะไม่
00:07:56 → 00:08:04 ชัดเจนคือคิดว่าไม่ง่ายกว่าที่เชอรรี่จะ
00:08:04 → 00:08:06 เหมือนรู้จักตัวเองคุยกับตัวเองแล้วรู้
00:08:07 → 00:08:09 เรื่องขนาดเนี้ยไม่ง่ายเลยวันนี้คุยกับ
00:08:09 → 00:08:11 ตัวเองรู้เรื่องคุยๆคุยประจำเลยเป็นคนชอบ
00:08:11 → 00:08:14 คุยกับตัวเองใช่มั้ใช่ออคือเหมือนการคุย
00:08:14 → 00:08:17 กับตัวเองเนี่ยไม่ได้พูดออกเสียงนะคะไม่
00:08:17 → 00:08:19 ใช่คุยกับแม่ซื้อหรืออะไรอย่างเงี้ไม่ใช่
00:08:19 → 00:08:23 แต่ว่าเป็นการเหมือนแบบกลับเข้ามาว่าเรา
00:08:23 → 00:08:28 ต้องการอะไรอ่ะเอ่อในเรื่องๆนั้นนะแบบมา
00:08:28 → 00:08:32 ทำความเข้าใจตัวเองจริงๆอ่ะเพราะว่าหลายๆ
00:08:32 → 00:08:36 ทีนะที่เราอเข้าใจว่าเราเป็นแบบนึงอ่ะแต่
00:08:36 → 00:08:41 มันไม่ใช่พอมาแบบขุดลงไปให้ลึกอ่ะอ้าวนี่
00:08:41 → 00:08:46 ไม่ใช่แบบสิ่งที่เราคิดหรือเราต้องการ
00:08:46 → 00:08:49 จริงๆนี่นาอะไรเงี้ยมันก็จะไปค้นพบคำตอบ
00:08:49 → 00:08:52 อีกแบบนึงที่เราก็อาจจะเซอร์ไพรสก็ได้ยก
00:08:52 → 00:08:55 ตัวอย่างเหตุการณ์ตอนที่คุณพ่อเสียใช่ม
00:08:55 → 00:08:58 ก่อนหน้าที่คุณพ่อจะเสียอ่ะโลกกลับมาอื
00:08:59 → 00:09:01 อันนั้นน่ะเป็นช่วงที่ไปหาฟังที่รายการ
00:09:01 → 00:09:02 อื่นได้นะ
00:09:02 → 00:09:08 คะพูดไปหลายที่แล้วเออ
00:09:08 → 00:09:12 ว่าเหมือนแบบเราแบบเหมือนแตกสลายอ่ะก่อน
00:09:12 → 00:09:14 ครั้งที่คุณพ่อยังไม่เสียอ่ะแต่เล่าให้
00:09:14 → 00:09:18 เอิ้ลฟังว่าพอตอนคุณพ่อเสียจริงๆอ่ะอแล้ว
00:09:18 → 00:09:21 ทุกข์ไม่เท่าวันนั้นเลยด้วยซ้ำอืเออเออ
00:09:21 → 00:09:25 เพราะนั่นนั่นหมายความว่าวันที่เราแบบมี
00:09:25 → 00:09:28 ความยึดกับมันน่ะว่ามันต้องเป็นอย่างใจ
00:09:28 → 00:09:31 เรานั่นแหละที่มันทำให้เกิดทุกข์แต่พอวัน
00:09:31 → 00:09:33 ที่เรายอมรับตามความเป็นจริงอ่ะระหว่าง
00:09:33 → 00:09:37 ที่ตอนที่เอ่อคุณพ่อป่วยแบบป่วยหนักเนี่ย
00:09:37 → 00:09:40 ประมาณ 3 เดือนใช่มั้คะแล้วก็หนักสุดแบบ
00:09:40 → 00:09:44 ตอน ICU เนี่ยประมาณแบบ 4 วันอื 4 วัน
00:09:44 → 00:09:47 นั้นน่ะมันเป็น 4 วันที่เราแบบเอ่อเหมือน
00:09:47 → 00:09:50 บอกตัวเองว่าเวลานี้มันมาถึงแล้วอ่ะอือพอ
00:09:50 → 00:09:55 เวลามันมาถึงอ่ะแล้วเราแบบเหมือนรู้ว่า
00:09:55 → 00:09:59 มันไม่ว่ามันจะอีกกี่นาทีต่อจากเนี้ยอีก
00:09:59 → 00:10:03 กี่วินาทีต่อจากเนี้ยทุกมันเกิดขึ้นได้
00:10:03 → 00:10:07 ทุกวินาทีออืแล้วพอเราแบบเหมือนทำใจอย่าง
00:10:07 → 00:10:09 เงี้ยแล้วก็ตอนนั้นเราก็สวดมนต์ให้คุณพ่อ
00:10:09 → 00:10:14 ฟังแบบเอิ่มบอกรักกอดแล้วก็ถามว่าเขารัก
00:10:14 → 00:10:16 เรามั้ยแบบสิ่งที่เราอยากได้ยินซึ่งเขา
00:10:16 → 00:10:19 พูดไม่ได้แล้วนะ 4 วันนั้นน่ะก็แบบเออถ้า
00:10:19 → 00:10:23 รักให้กระพริบตาบตาขยิบตาพ่อก็กระพริบตา
00:10:23 → 00:10:26 อะไรอย่างเงี้ยซึ่งเรารู้สึกว่าเราพอแล้ว
00:10:26 → 00:10:30 อ่ะกับโมเมนตรงนั้นอะไรเงี้ยแล้วก็พอเรา
00:10:30 → 00:10:32 แบบทำใจเนี่ยปล่อยวางว่าสิ่งนี้มันจะเกิด
00:10:32 → 00:10:35 ขึ้นพอมันเกิดขึ้นนะเราแบบมีสติอย่างไม่
00:10:35 → 00:10:39 น่าเชื่อเราแบบนั่งสวดมนต์แล้วก็จนลมหาย
00:10:39 → 00:10:43 ใจสุดท้ายแล้วเราเห็นระหว่างชีวิตที่เป็น
00:10:43 → 00:10:47 ความเป็นกับความตายอ่ะอือนี่ไม่ได้ไม่ได้
00:10:47 → 00:10:49 เครลือจะร้องไห้นะเจ็บคอ
00:10:49 → 00:10:52 เดี๋เดี๋ยวคนจะแบบว่าอืเอินเอินไม่ใช่พอ
00:10:52 → 00:10:56 ตอนที่แบบเหมือนลมหายใจสุดท้ายแล้วความ
00:10:56 → 00:10:59 เป็นกับความตายอ่ะอือมันแค่นี้เองอ่ะหมอ
00:10:59 → 00:11:01 เอิ้ลมันเหมือนหายใจเข้าแล้วมันไม่หายใจ
00:11:01 → 00:11:06 ออกอ่ะอืมันแค่นั้นเลยแล้วก็คนที่อยู่ตรง
00:11:06 → 00:11:08 หน้าเขาไม่อยู่กับเราแล้วอ่ะแล้วเราก็แค่
00:11:08 → 00:11:12 แบบอ๋อโอเคนี่คือเอิ่มโมเมนต์สุดท้ายของ
00:11:12 → 00:11:14 พ่อแล้วใช่มั้ยโอเคเราส่งพ่อได้แบบสุดทาง
00:11:14 → 00:11:18 ละเราก็เดินออกไปตามคุณหมอว่าเอิ่มคุณพ่อ
00:11:18 → 00:11:19 ไม่อยู่แล้วค่ะอะไรอย่างเงี้ยคุณหมอก็
00:11:20 → 00:11:22 เดินเข้ามาตรวจๆพร้อมกับพยาบาลแล้วก็ขาน
00:11:22 → 00:11:25 เวลาพอขานเวลาเสร็จเราก็โทรเพราะว่าตอน
00:11:25 → 00:11:28 นั้นพี่ๆยังมาไม่ถึงพี่ชายพี่สาวเรายังมา
00:11:28 → 00:11:30 ไม่ถึงโรงพยาบาลอะไรเงี้ยก็รีบโทรไปบอก
00:11:30 → 00:11:34 เขาว่าเออพ่อไปแล้วอะไรเงี้ยแล้วเราก็
00:11:34 → 00:11:36 เหมือนจัดการทุกอย่างไปตามนั้นน่ะตอนนั้น
00:11:37 → 00:11:39 ยังไม่ร้องไห้นะแบบเหมือนก็เอ่อสิ่งที่
00:11:39 → 00:11:44 ต้องทำคืออะไรอะไรเงี้ยก็ทำไปแล้วก็จำไม่
00:11:44 → 00:11:47 ได้เลยว่าเราไปร้องไห้ตอนไหนอ่ะที่ที่แบบ
00:11:47 → 00:11:49 เออพ่อไม่อยู่แล้วจริงๆอะไรอย่างเงี้ยแบบ
00:11:49 → 00:11:52 เหมือนมันน่าจะมาจากความแบบรู้สึกคิดถึง
00:11:52 → 00:11:56 เค้าอ่ะเออว่าแบบโอคิดถึงอะไรเงี้ยแล้วพอ
00:11:56 → 00:11:59 โมเมนหลังจากนั้นนั่นแหละที่พอวันที่คุณ
00:11:59 → 00:12:01 พ่อไม่อยู่อ่ะเรารับมือกับมันได้ดีมากซะ
00:12:01 → 00:12:04 จนใช่หรือเปล่าวะอะไรอย่างี้เออเราเราก็
00:12:04 → 00:12:08 ตกใจตัวเองนะว่าแบบโหเรามีสติได้ขนาดนั้น
00:12:08 → 00:12:11 เลยเหรอเนี่ยอะไรเงี้ยก็เลยแบบย่ามใจว่า
00:12:11 → 00:12:15 เราเจ๋งอ่ะอะไรเงี้ยนึกออกมั้ยแล้วก็พอ
00:12:16 → 00:12:18 เราอยู่บ้านช่วงโควิดตอนนั้นเราก็อยู่คน
00:12:18 → 00:12:21 เดียวใช่มพอไม่อยู่แล้วไอ้การอยู่คนเดียว
00:12:21 → 00:12:24 ที่บ้านนั่นแหละที่มันเป็นตัวแบบตัวทำ
00:12:24 → 00:12:27 ร้ายจิตใจมากเลยเพราะว่ามุมไหนมันก็มีแต่
00:12:27 → 00:12:30 เขาอ่ะแล้วมันก็มีแต่ความคิดถึงนึกออกมย
00:12:30 → 00:12:33 เราเป็นเป็น Daddy's Girl มากคือแบบตอน
00:12:33 → 00:12:37 กลางคืนต้องไปนอนแบบอ้อนพ่อคุยดูหนเขา
00:12:37 → 00:12:39 อยากดูอะไรเราดูทุกอย่างเลยนะก็ชอบดู
00:12:39 → 00:12:43 เทนนิสชอบดูตีกอล์ฟชอบดูตีสนุกเกอร์อะไร
00:12:43 → 00:12:46 เงี้ยนี่ดูทุกอย่างแบบที่เขาดูแล้วก็
00:12:46 → 00:12:48 เพื่อที่จะไปใช้เวลาอยู่กับเค้าอ่ะแล้วพอ
00:12:49 → 00:12:52 พอมันไม่มีเค้าอยู่อ่ะมันก็เลยรู้สึกแบบ
00:12:52 → 00:12:55 ข้างในอ่ะข้างในที่มันแบบโหมันโหวงได้
00:12:55 → 00:12:57 ขนาดนี้เลยหรออะไรเงี้ยและนั่นแหละเป็น
00:12:57 → 00:13:01 โมเมนต์ที่แบบอ๋อนี่เราไม่ไหวนี่นาตอนแรก
00:13:01 → 00:13:04 เรานึกว่าเราเข้มแข็งแล้วอะไรอย่างเงี้ย
00:13:04 → 00:13:07 แต่การที่จะเห็นความโหวงของตัวเองได้อ่ะ
00:13:07 → 00:13:09 มันเกิดจากการที่เรานั่งสมาธิไงปกติเราก็
00:13:09 → 00:13:12 จะแบบอาจจะฟูมฟายหรือร้องไห้อะไรที่มัน
00:13:12 → 00:13:15 แบบโอ๊ยคิดถึงอะไรอย่างงี้ใช่มั้ยแต่พอ
00:13:15 → 00:13:17 ตอนเรานั่งสมาธิอ่ะแล้วมันอยู่กับสมาธิ
00:13:17 → 00:13:20 ที่เราแบบเห็นจริงๆอ่ะเราเห็นก้อนอารมณ์
00:13:20 → 00:13:26 ที่มันแบบมันยังแบบโอโหอืใหญ่โตขนาดนี้ใน
00:13:26 → 00:13:29 ในช่วงเวลาที่แบบเราคิดว่าเราโอเคแล้วอ่ะ
00:13:29 → 00:13:33 อืการคุยกับตัวเองมันคือแบบเแหละในการที่
00:13:33 → 00:13:36 เหมือนกลับเข้ามาสำรวจอารมณ์ความรู้สึก
00:13:36 → 00:13:40 ของตัวเองที่มันอยู่ลึกๆลึกแม้กระทั่ง
00:13:40 → 00:13:43 เจ้าตัวก็มองไม่เห็นหรือรู้ไม่เท่าทันใน
00:13:43 → 00:13:47 ช่วงแรกอะไรเงี้ยเชื่อว่าคนที่ฟังอยู่อาจ
00:13:47 → 00:13:50 จะรู้สึกว่าโหมันเป็นเรื่องยากเหมือนกัน
00:13:50 → 00:13:55 มันไม่ยากหรอกถ้าคุณถูกบังคับไปทำเราไม่
00:13:55 → 00:14:00 มีทางเลือกเราไม่มีโอ๊ยเกมพลิกมากเลยเรา
00:14:00 → 00:14:03 ไม่มีทางเลือกถูกป่ะนอกจากจะเอาชีวิตรอด
00:14:03 → 00:14:06 เพราะว่าเราเราเหมือนคนที่ถูกผลักลงไปใน
00:14:06 → 00:14:10 บ่อที่เราว่ายน้ำไม่เป็นนี่ชอบบทสรุปนี้
00:14:10 → 00:14:14 มากเลยมีคนถามมีคนเคยถามเราเหมือนกันว่า
00:14:15 → 00:14:19 หมอคนเราจะพัฒนาตัวเองเนี่ยเอิ่มเมื่อ
00:14:19 → 00:14:22 ไหร่คือรู้สึกว่าคนจะเติบโตเนี่ยมีอยู่
00:14:22 → 00:14:25 แค่ 2 อย่างอ่ะอันที่ 1 ก็คือทุกข์ให้มาก
00:14:25 → 00:14:28 พออือคือทุกข์โคตรๆทุกข์สุดๆทุกข์แบบเอ้ย
00:14:28 → 00:14:30 ไม่ไปไหนแล้วอะไรอย่างเงี้ยออีกอย่างคือ
00:14:30 → 00:14:35 อะไรเอออีกอย่างคือมีสติมากพออือคือมีสติ
00:14:36 → 00:14:38 มากพอแล้วรู้ว่าเอ่อชีวิตเราต้องการที่จะ
00:14:38 → 00:14:41 เรียนรู้หรือพัฒนาเรื่องอะไรใช่ซึ่งสติก็
00:14:41 → 00:14:43 ไม่ค่อย
00:14:43 → 00:14:46 มีสติก็ไม่ค่อยจะมีกันเท่าไหร่ด้วยอ่ะใช่
00:14:46 → 00:14:49 มั้เอองั้นทั้งที่เล่ามานะเอิ้นคิดว่า
00:14:49 → 00:14:52 ประสบการณ์ของเชอรรี่มีความพิเศษอย่างนึง
00:14:52 → 00:14:55 เกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆในชีวิตคนบางคน
00:14:56 → 00:14:59 อาจจะไม่เจอยังไม่เคยเจอการสูญเสียคนที่
00:14:59 → 00:15:02 รักแม้สักครั้งเดียวก็ได้ออ่ะอย่างเราก็
00:15:02 → 00:15:05 แค่ครั้งเดียวก็คือคุณพ่อเสียตอนอายุ 18
00:15:05 → 00:15:08 แล้วก็เป็นDaddี้ Girl เหมือนกันนะของ
00:15:08 → 00:15:14 เชอรรี่เนี่ยเจอหลายครั้งเจอหลายคนแล้วก็
00:15:14 → 00:15:17 มันเป็นการจากลาในแบบที่ไม่มีวันหวนกลับ
00:15:17 → 00:15:21 ซะด้วยเชอรี่คิดว่าการที่เราเจอเหตุการณ์
00:15:21 → 00:15:24 อย่างี้บ่อยๆอะไรอย่างเงี้ยมันทำให้เรา
00:15:24 → 00:15:27 จำเป็นต้องพัฒนาตัวเองยังไงบ้างอ่ะหรือ
00:15:27 → 00:15:30 ได้เรียนได้เรียนรู้อะไรจากความกลัวการ
00:15:30 → 00:15:33 สูญเสียที่ตัวเองเคยมีคือเราว่าจากครั้ง
00:15:33 → 00:15:37 แรกอ่ะที่คุณแม่เสียครั้งนั้นน่ะเป็นอัน
00:15:37 → 00:15:39 ที่
00:15:39 → 00:15:42 เหมือนยังไม่รู้ว่าชีวิตจะให้บทเรียนอะไร
00:15:42 → 00:15:46 เราอ่ะณวันนั้นน่ะนะแล้วก็รู้สึกว่าอืไม่
00:15:46 → 00:15:50 สิไม่สิมันมันไม่รู้ว่าการสูญการสูญเสีย
00:15:50 → 00:15:53 เรียนรู้ได้ใช่มันคือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่
00:15:53 → 00:15:55 มากและมีค่ามากถ้าเราได้เรียนรู้จากมัน
00:15:55 → 00:15:58 ถ้ามันเป็นการสูญเสียแล้วเราก็แค่เสียใจ
00:15:58 → 00:16:00 กับมันมันจะไม่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแต่พอ
00:16:00 → 00:16:04 วันนั้นน่ะการสูญเสียของคุณแม่มันถือเป็น
00:16:04 → 00:16:06 ทุกข์ที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในชีวิตของ
00:16:06 → 00:16:09 เชอลี่เชอลี่ได้มาซึ่งการรู้จักธรรมะซึ่ง
00:16:09 → 00:16:12 มันก็เป็นของมีค่าที่แบบเหมือนมันเทรด off
00:16:12 → 00:16:15 นะสิ่งเนี้ยเออเออแต่ว่าถ้าเราไม่สูญเสีย
00:16:15 → 00:16:17 คุณแม่แล้วทุกขนาดนั้นน่ะเราอาจจะไม่ไม่
00:16:17 → 00:16:20 สนใจเรื่องนี้ไม่ไม่สนใจมันจริงจังอ่า
00:16:20 → 00:16:23 ต้องบอกว่าก่อนหน้านั้นน่ะก็คือชอบอ่าน
00:16:23 → 00:16:27 หนังสืออยู่ะก็อ่านแบบแต่อ่านแบบอ่านอ่าน
00:16:27 → 00:16:29 ทั่วไปอ่ะอ่านไม่ได้เอาสาระอะไรมากอ่ะ
00:16:29 → 00:16:31 อ่านก็แค่รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้อะไร
00:16:31 → 00:16:34 เงี้ยแต่การอ่านแบบเอาชีวิตรอดอ่ะมันก็จะ
00:16:34 → 00:16:37 เป็นความตั้งใจที่คนละแบบกันนึกออกมยเรา
00:16:37 → 00:16:40 ก็จะแบบตั้งใจเลยว่าเราจะเอาชีวิตรอดกับ
00:16:40 → 00:16:43 ความทุกข์ตรงนี้ยังไงอ่ะเราเป็นคนที่นอน
00:16:43 → 00:16:46 หลับง่ายไม่เคยมีปัญหาเรื่องการนอนตอน
00:16:46 → 00:16:48 เด็กแบบตอนวัยรุ่นทะเลาะกับแฟนอะไรอย่าง
00:16:48 → 00:16:52 เงี้ยวางหูปุ๊บก็คือหลับเลยคือแบบว่านอน
00:16:52 → 00:16:54 ก่อนนอนก่อนเดี๋พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอะไร
00:16:54 → 00:16:57 เงี้ยคือไม่เคยมีปัญหาเลยจริงๆแล้วก็เคย
00:16:57 → 00:17:00 พูดกับเพื่อนสนิทอ่ะว่าสิ่งที่เรารักมาก
00:17:00 → 00:17:04 ที่สุดลองจากพ่อกับแม่นะคือการนอนเราไม่
00:17:04 → 00:17:07 เคยมีปัญหาเรื่องการนอนเลยแต่พอตอนเสีย
00:17:07 → 00:17:10 คุณแม่อ่ะนอนไม่หลับหมอเอิ้ลแล้วก็แบบ
00:17:10 → 00:17:12 เอ๊ะเราต้องจัดการยังไงตอนนั้นก็ก็คือฟัง
00:17:12 → 00:17:15 เพลงคลาสสิคแล้วก็แบบเหมือนให้มันเคมๆ
00:17:15 → 00:17:18 แล้วมันก็หลับไปมันก็ช่วยได้แต่ว่ามัน
00:17:18 → 00:17:21 ทุกข์แบบมันทุกข์เหมือนทุกข์ทุกลมหายใจ
00:17:21 → 00:17:24 อ่ะว่าแบบมันทุกข์ทุกลมหายใจอ่ะอันนี้
00:17:24 → 00:17:26 ต้องไปเขียนเพลงแล้วมั้งได้มั้ยคะคุณหมอ
00:17:26 → 00:17:30 ได้ค่ะเออมันทุกๆลมหายใจว่าแบบคือเราติด
00:17:30 → 00:17:35 แม่มากแบบมากๆจริงๆอ่ะแบบอ่าติดทั้งเอ่อ
00:17:35 → 00:17:38 ทั้งตัวก็ชอบไปซุกไปกอดไปหอมติดทั้งแบบ
00:17:38 → 00:17:42 ติดอ่ะติดทุกๆทั้งmนทalและฟิicalเลยอะไร
00:17:42 → 00:17:44 เงี้ยเงี้ยแล้วก็มันเหมือนมันจะอยู่ไม่
00:17:44 → 00:17:46 ได้อ่ะไม่รู้จะใช้ชีวิตยังไงอะไรเงี้ยมัน
00:17:46 → 00:17:50 ก็ทุกข์มากใช่มั้ยพออ่านหนังสือธรรมะที่
00:17:50 → 00:17:54 เขาช่วยแบบเรื่องว่าเอ่อเวลามันต้องปล่อย
00:17:54 → 00:17:57 วางมันต้องวางใจแบบไหนอะไรเงี้ยมันก็ค่อย
00:17:57 → 00:18:00 ๆดีขึ้นแล้วพอได้ไปปฏิบัติธรรมนั่นแหละ
00:18:00 → 00:18:05 ที่แบบโอ้ว้าวสิ่งนี้คือสิ่งที่ดีมากเลย
00:18:05 → 00:18:07 นี่นาทำไมเราแบบเออเพิ่งเพิ่งมาได้เจอ
00:18:07 → 00:18:09 อะไรเงี้ยแต่ก็คือเนี่ยแหละถ้าเราไม่
00:18:09 → 00:18:12 ทุกข์ถึงขีดสุดเราก็ไม่ขวนขวายขนาดนั้น
00:18:12 → 00:18:17 การสูญเสียเอ่อคุณแม่ซึ่งเป็นหลักยึดใช่ม
00:18:17 → 00:18:21 เป็นหลักยึดของกายของใจเราตอนนั้นเนี่ย
00:18:21 → 00:18:27 คือมันทำให้เราได้เอ่อเรียนรู้ว่าเราอาจ
00:18:27 → 00:18:31 จะฝืนสิ่งนี้ไม่ได้ยังไงแม่ก็คงไม่ได้
00:18:31 → 00:18:36 กลับมางั้นเราจะอยู่อย่างไรคิดว่าน่าจะ
00:18:36 → 00:18:39 เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญในตอนนั้นก็เออสุด
00:18:39 → 00:18:42 ท้ายแล้วอ่ะทุกข์ทุกลมหายใจเนี่ยแล้วเรา
00:18:42 → 00:18:44 แล้วฉันจะอยู่อย่างไรคือเหมือนตอนนั้นนะ
00:18:44 → 00:18:47 สิ่งที่ได้นอกจากว่าการพอไปปฏิบัติธรรม
00:18:47 → 00:18:49 แล้วมันช่วยทำให้แบบเราเบาสบายใจจากการ
00:18:49 → 00:18:52 ปล่อยวางลงใช่มยกับตอนนั้นเราก็เปลี่ยน
00:18:52 → 00:18:57 เข็มก็คือมายึดพ่อแทน
00:18:57 → 00:19:02 เออใช่ก็คือเปลี่ยนที่ยึดก็คือมายึดพ่อ
00:19:02 → 00:19:04 แล้วก็แบบโอเคอย่างน้อยเรายังมีพ่อเป็น
00:19:04 → 00:19:08 ตัวแทนของแม่โอเคที่เขาจะแบบรักเราที่สุด
00:19:08 → 00:19:10 ในโลกแบบเนี้ยเออแล้วเราก็แบบคือเหมือน
00:19:10 → 00:19:13 กลายเป็นว่าสิ่งที่ให้กับครอบครัวเราจาก
00:19:13 → 00:19:16 การเสียแม่ก็คือดูแลสุขภาพทุกคนแบบมีแบบ
00:19:16 → 00:19:19 ว่าการดูแลสุขภาพเรื่องอาหารการกินการออก
00:19:19 → 00:19:21 กำลังกายอะไรอย่างเงี้ยทุกคนตระหนัก
00:19:21 → 00:19:23 เรื่องนี้ทุกคนตระหนักเรื่องนี้ขึ้นมาเลย
00:19:23 → 00:19:27 คุณพ่อนี่แบบว่าดูแลแบบลูกๆทุกคนแบบมากๆ
00:19:27 → 00:19:29 อะไรเงี้ยเรื่องอาหารการกินแล้วก็คุณพ่อ
00:19:29 → 00:19:31 เองอย่างเงี้ยเราก็ดูแลเขาแบบมากๆเหมือน
00:19:31 → 00:19:35 กันให้เวลาแล้วก็รู้จักที่จะแบ่งสรรเวลา
00:19:35 → 00:19:38 แบบมีเหมือนเราเริ่มทำงานเร็วใช่มตั้งแต่
00:19:38 → 00:19:40 อายุ 15 อย่างเงี้ยพอทำงานมาถึงจุดนึง
00:19:40 → 00:19:44 แล้วเรียนหนังสือด้วยอ่ะมันแบบเหมือนไม่
00:19:44 → 00:19:48 แบ่งเวลาแบบเออมันก็จะแบบอุยปกติอ่ะตอน
00:19:48 → 00:19:51 เด็กๆทุกนาทีมีงานมีงานกับมีภาระที่ต้อง
00:19:51 → 00:19:54 มีภาระหน้าที่เออไม่เรียนก็ทำงานใช่แล้ว
00:19:54 → 00:19:56 ก็ทำให้เหมือนสมัยก่อนตอนเด็กๆอ่ะเราจะ
00:19:56 → 00:19:58 อยู่แต่กับครอบครัวไปเที่ยวกับครอบครัว
00:19:58 → 00:20:02 ต้องทานข้าวเช้าและเย็นด้วยกันทุกวันอะไร
00:20:02 → 00:20:04 อย่างเงี้ยเวลาช่วงนั้นมันก็หายไปเลยอ่ะ
00:20:04 → 00:20:08 แล้วก็แบบเหมือนแบบเออพอเข้าช่วงวัยรุ่น
00:20:08 → 00:20:10 ก็แบบเอออยากไปกับเพื่อนน่ะแบบเอออยากไป
00:20:10 → 00:20:12 เที่ยวบ้างหรืออะไรเงี้ยมันก็เลยไม่รู้
00:20:12 → 00:20:15 จักแบ่งสรเวลาให้กับครอบครัวพอเกิดเรื่อง
00:20:15 → 00:20:19 คุณแม่ขึ้นมันก็เป็นเหมือนเอ่อระฆังสำคัญ
00:20:19 → 00:20:22 มากเลยที่แบบทำให้เรากลับมาว่าเอ้ยเรา
00:20:22 → 00:20:25 ต้องแบ่งสรรเวลาให้กับคุณพ่อและครอบครัว
00:20:25 → 00:20:28 ของเรายังไงมีเวลาทานข้าวเจอกันแบบแค่ไหน
00:20:28 → 00:20:30 ถึงงานจะยุ่งแค่ไหนก็ตามอะไรเงี้ยแล้วก็
00:20:30 → 00:20:34 รู้จักที่จะเลือกรับงานมากขึ้นว่าจะทำ
00:20:34 → 00:20:37 เฉพาะงานที่เรารู้สึกว่าเราแฮปปี้ก็ค่อยๆ
00:20:37 → 00:20:39 เริ่มปิดก้าขาแข็งขึ้นมาเรื่อยๆในการ
00:20:40 → 00:20:42 เลือกรับงานเพราะว่าตอนแรกๆแบบใครบอกอะไร
00:20:43 → 00:20:46 เราก็จะแบบเกรงใจหมดอะไรอย่างเงี้ยมีหลาย
00:20:46 → 00:20:52 อย่างที่เอ่อได้เทรดก็คือได้อ่าเราสูญ
00:20:52 → 00:20:55 เสียบางอย่างคือได้รับบางอย่างคือได้รับ
00:20:55 → 00:20:57 องค์ความรู้บางอย่างในการใช้ชีวิตจากการ
00:20:57 → 00:21:00 สนใจในเรื่องของธรรมชาติธรรมะใช่มั้ยคะ
00:21:00 → 00:21:05 ได้ย้ายที่วางใจอืเอ่อมาเป็นคุณพ่อก็ไม่
00:21:05 → 00:21:08 ดีอีกอันนี้ก็คือเป็นการยึดในอีกแบบนึง
00:21:08 → 00:21:12 อะไรเงี้ยแล้วก็เหมือนได้ตระหนักถึงสิ่ง
00:21:12 → 00:21:15 ที่เราควรจะต้องให้ความสำคัญใช่จัดลำดับ
00:21:15 → 00:21:20 ความสำคัญชีวิตในช่วงเวลาที่ผ่านมานะอัน
00:21:20 → 00:21:23 นี้คือสิ่งที่ได้เรียนรู้ในการสูญเสียใน
00:21:23 → 00:21:29 ครั้งแรกอเอ่ออันนั้นมันทำให้ความคำว่า
00:21:29 → 00:21:32 ความกลัวเราเปลี่ยนไปมั้ยตอนแรกเข้าใจว่า
00:21:32 → 00:21:36 เปลี่ยนเพราะตอนที่ทราบว่าคุณพ่อเป็นเอ่อ
00:21:36 → 00:21:39 โรคครั้งแรกอ่ะรับมือได้ดีมากเพราะตอนแม่
00:21:39 → 00:21:43 เนี่ยแค่รู้เฉยๆนะว่าแม่เป็นนะโอ้โหโลก
00:21:43 → 00:21:46 ถล่มเลยร้องไห้แบบอตอนนั้นกลัวอะไรกลัว
00:21:46 → 00:21:49 แม่ไม่อยู่แล้วเราจะใช้ชีวิตยังไงถ้าแบบ
00:21:49 → 00:21:52 ไม่มีอ้อมกอดของแม่อะไรอย่างเงี้ยออฮะแค่
00:21:52 → 00:21:57 นั้นเลยแล้วก็พอมาตอนคุณพ่อบอกอ๋อโอเคพ่อ
00:21:57 → 00:22:00 เป็นโรคนี้โอเคแล้วเราต้องมีอtionัในการ
00:22:00 → 00:22:04 รักษาแบบไหนรับมือได้ดีมากก็เข้าใจว่า
00:22:04 → 00:22:07 เก่งเออเข้าใจว่าเก่งแล้วก็เข้าใจว่าอ๋อ
00:22:07 → 00:22:10 การสูญเสียครั้งแรกมันก็คงสอนเรารับมือ
00:22:10 → 00:22:13 ได้ดีแต่เปล่าเลยแบบครั้งที่ 2 ก็อาการ
00:22:13 → 00:22:17 หนักมากที่พอรู้ว่ามันใกล้เวลาเข้ามาแล้ว
00:22:17 → 00:22:20 จริงๆอ่ะอันนั้นก็สติแตกไปเหมือนกันแบบ
00:22:20 → 00:22:24 สติแตกเลยอะไรเงี้ยสติแตกแบบอาการหนักมาก
00:22:24 → 00:22:27 เหมือนกันพอมันเกิดขึ้นแล้วก็รับมือกับ
00:22:27 → 00:22:32 มันแบบรับมือด้วยความด้วยความซื่อสัตย์
00:22:32 → 00:22:36 กับความรู้สึกของตัวเองจริงๆเออว่าเราไม่
00:22:36 → 00:22:40 ได้เก่งขนาดนั้นเลยเราแบบเออแค่เป็นคนที่
00:22:40 → 00:22:45 จะต้องเอาตัวรอดจากสิ่งนี้ด้วยอะไรแล้วก็
00:22:45 → 00:22:48 ค่อยๆทำไปค่อยๆทำไปแล้วมันก็แบบพอมันดี
00:22:48 → 00:22:51 ขึ้นก็อ๋อโอเคอแล้วเรื่องแบบเนี้ยมันก็จะ
00:22:51 → 00:22:54 เกิดขึ้นได้อีกอ่ะจากประเด็นอื่นๆเนาะเรา
00:22:54 → 00:22:58 ก็แค่เป็นผู้ต้องเอาตัวรอดไปเป็นเออครั้ง
00:22:58 → 00:23:02 ๆด้วยการที่ทำยังไงให้สติเราแข็งแรงถ้า
00:23:02 → 00:23:06 สติมันเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆอ่ะมันก็คงจะทำ
00:23:06 → 00:23:10 ให้เราไม่มีความกังวลหรือความแบบกลัวไป
00:23:10 → 00:23:15 ก่อนล่วงหน้าอืซึ่งอันเนี้ยเราว่ามัน
00:23:15 → 00:23:18 เป็นมันเป็นสิ่งสำคัญมากเลยอ่ะที่จะทำยัง
00:23:18 → 00:23:23 ไงนะให้ให้เรามีสติคอยประคองได้นานมยกว่า
00:23:23 → 00:23:26 เราจะมีสติเป็นของตัวเองจริงๆสติก็ไม่มี
00:23:26 → 00:23:28 เป็นของตัวเองเลยหมอ
00:23:28 → 00:23:31 เอิ้ลสติเป็นของชั่วคราวเหมือน
00:23:31 → 00:23:35 กันเกิดขึ้นแล้วดับไปเกิดขึ้นแล้วดับไป
00:23:35 → 00:23:39 เออเธอเกือบจะนางเอกแล้วเธอเกือบจะนางเอก
00:23:39 → 00:23:44 แล้วโอเคสติมันเป็นของชั่วคราวจริงๆนะเออ
00:23:44 → 00:23:47 แต่ว่าชั่วคราวก็ดีกว่าไม่มีเนาะเออๆใช่ๆ
00:23:47 → 00:23:50 ก็คือยังมาเร็วขึ้นนิดนึงอ่ะถ้าเกิดว่า
00:23:50 → 00:23:53 เราไม่ได้ฝึกสติมาเลยเหตุการณ์ตอนคุณพ่อ
00:23:53 → 00:23:56 นั้นน่ะที่สติแตกไปอ่ะอาจจะมากกว่า 3 วัน
00:23:56 → 00:23:59 อาจจะเป็นซึมเศร้าอาจจะแบบอะไรหนักหนาไป
00:23:59 → 00:24:02 กว่านี้ก็ได้อันนั้นก็มองแค่ว่าเอออย่าง
00:24:02 → 00:24:04 น้อยก็มีสติในการเอาตัวเองกลับมาได้อะไร
00:24:04 → 00:24:07 อย่างเงี้ยอือือคราวนี้เอ่อแต่มันต้อง
00:24:07 → 00:24:09 เร็วขึ้นเร็วขึ้นเร็วขึ้นกว่านี้จากการ
00:24:10 → 00:24:13 แบบต้องฝึกอ่ะอจริงๆสติของเราคืออะไรอ่ะ
00:24:13 → 00:24:18 การกลับมารู้ตัวเพราะว่าโดยมากเลยการใช้
00:24:18 → 00:24:21 ชีวิตของเราอ่ะเราจะอยู่ไม่อดีตก็อนาคต
00:24:21 → 00:24:25 ไม่อดีตก็อนาคตอใช่มั้ยโดยปกติของคนทั่ว
00:24:25 → 00:24:27 ไปเลยว่าแบบเดี๋ยวเราก็คิดถึงอดีตเดี๋เรา
00:24:27 → 00:24:32 ก็กังวลถึงอนาคตหวนถึงอดีตกังวลถึงอนาคต
00:24:32 → 00:24:34 อยู่แค่นี้แต่การมีสติคือการมาอยู่กับ
00:24:34 → 00:24:38 ปัจจุบันน่ะปัจจุบันแบบขณะจริงๆอ่ะไม่ใช่
00:24:38 → 00:24:41 ปัจจุบันวันนี้ปีนี้คือเรียกปัจจุบันไม่
00:24:41 → 00:24:46 ใช่แต่ปัจจุบันขณะอ่ะมันแบบละเอียดมากเลย
00:24:46 → 00:24:48 เพราะ 1 ทีเนี่ยมันแบบ
00:24:48 → 00:24:54 ว่าเป็นยกกำลัง 0 20 เอ่อ 20 ตัวใช่ที่
00:24:54 → 00:24:59 มันแบบว่ามันเร็วเก่งเกฟิสิกส์นะเนี่ยไม่
00:24:59 → 00:25:02 จะได้เห็นภาพกันไงว่าปัจจุบันขณะที่มัน
00:25:02 → 00:25:05 หมายถึงมันเร็วขนาดนั้นจริงๆซึ่งเราอ่ะ
00:25:05 → 00:25:09 ไม่ได้มีสติที่ไวพอที่จะรู้ไอ้อืเนี่ยยก
00:25:09 → 00:25:13 กำลัง 0 20 ตัวเนี้ยหรอกแต่ว่าให้รู้แค่
00:25:13 → 00:25:18 วินาทีเนี้ยให้ทันน่ะอืก็ต้องฝึกแล้วอ่ะ
00:25:18 → 00:25:21 อือือโดยการฝึกของเราอ่ะเวลาที่เราไป
00:25:21 → 00:25:25 ปฏิบัติธรรมอ่ะมันง่ายกับการเเรียกเรียก
00:25:25 → 00:25:29 ว่ามันเอื้อเอื้ออำนวยสภาพแวดล้อมมัน
00:25:29 → 00:25:31 เอื้ออำนวยให้เราแบบไม่ต้องกังวลเรื่อง
00:25:31 → 00:25:34 อะไรเลยไม่มีโทรศัพท์ไม่มีการพูดไม่มีการ
00:25:34 → 00:25:37 อะไรทั้งนั้นใช่มั้ยมันอยู่แค่กับลมหายใจ
00:25:37 → 00:25:40 กับร่างกายของเราก็ฝึกไปสิแบบ 10 วันอะไร
00:25:40 → 00:25:43 เงี้ยก็เอ่อนั่งไปแต่อันนั้นน่ะมันคือการ
00:25:43 → 00:25:47 ฝึกในสนามสนามซ้อมอ่ะแต่สนามจริงมันคือ
00:25:47 → 00:25:51 ทุกวันเนี้ยซึ่งเราก็นั่งสมาธิทุกพยายาม
00:25:51 → 00:25:54 ให้ได้ทุกวันวันละ 1 ช่โมงไม่ได้หมายความ
00:25:54 → 00:25:56 ว่า 1 ช่โมงนั้นน่ะมันจะประคองเราไปได้
00:25:56 → 00:26:00 ตลอดทั้งวันนึกออกมยนี่ขนาด 1 ชั่วโมงยัง
00:26:00 → 00:26:03 ไม่ได้ทั้งวันเลยนะไม่ได้ทั้งวันใช่แล้ว
00:26:03 → 00:26:06 ก็การการอยู่ให้ได้ทั้งวันของเราก็ก็
00:26:06 → 00:26:09 พยายามที่จะเหมือนให้รู้ตัวเองแล้วก็กลับ
00:26:09 → 00:26:13 มาอยู่เรื่อยๆแต่มันยังทำไม่ได้แบบว่า
00:26:13 → 00:26:16 เยอะขนาดนั้นอะไรอย่างเงี้ยนะแต่ว่าฝึก
00:26:16 → 00:26:20 ซึ่งหนทางอีกยาวไกลรู้แต่ว่ารู้ว่าสิ่ง
00:26:20 → 00:26:22 เนี้ยคือเป็นสิ่งที่มันต้องฝึกแล้วก็ต้อง
00:26:22 → 00:26:25 ทำแล้วเราอ่ะอยากทำให้ได้จังเลยอ่ะรู้สึก
00:26:25 → 00:26:29 ว่ามันเป็นชีวิตที่น่าจะแบบเบาสบายมากอ่ะ
00:26:29 → 00:26:32 ถ้าเรามีแบบสติเป็นเพื่อนเราอยู่แบบทุก
00:26:33 → 00:26:36 วินาทีทุกทุกเสี้ยวๆๆๆๆของวินาทีอะไร
00:26:36 → 00:26:39 เงี้ยเชียทำอะไรมาเยอะมากฝึกฝนอะไรกับตัว
00:26:39 → 00:26:43 เองมาเยอะมากเนาะจากประสบการณ์จริงแบบ
00:26:43 → 00:26:46 ความสูญเสียความเสียใจที่เราเจอถ้าในวัน
00:26:46 → 00:26:50 เนี้ยเราพอสรุปกับตัวเองได้มว่ากระบวนการ
00:26:50 → 00:26:53 อะไรนะที่ทำให้
00:26:53 → 00:27:00 เราก้าวข้ามคำว่าความกลัวอยู่กับปัจจุบัน
00:27:00 → 00:27:02 ไม่มีอย่างอื่นเลยเพราะว่าความกลัวมันมา
00:27:03 → 00:27:04 จากความคิดฟุ้ง
00:27:04 → 00:27:08 ซ่านก็คือเรากังวลไปเรื่องอนาคตถ้ามีหลัก
00:27:08 → 00:27:12 ที่จะยึดได้นะคือเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับ
00:27:12 → 00:27:15 ไปไตรลักษณ์เนี่ยเป็นกฎที่เหมือนเราได้
00:27:15 → 00:27:17 ยินกันแบบว่าบ่อยมากเลยแต่มันไม่ซึ้งแก่
00:27:17 → 00:27:20 ใจอ่ะเวลาที่มันเกิดขึ้นน่ะเราจะไม่ซึ้ง
00:27:20 → 00:27:23 แก่ใจอ่ะอฮะว่าเฮ้ยทุกอย่างมันเกิดขึ้น
00:27:23 → 00:27:28 แล้วมันดับไปนะถ้าเราแบบเข้าใจกรนี้อย่าง
00:27:28 → 00:27:30 แบบลึกซึ้งอ่ะเราจะไม่ไปยึดกับอะไรแล้ว
00:27:30 → 00:27:33 นั่นจะไม่ทุกข์แล้วพอหลังจากนั้นเนี่ยการ
00:27:33 → 00:27:37 ที่จะต้องเข้าใจสิ่งนี้ได้ในทุกอนูของเรา
00:27:37 → 00:27:41 อ่ะอือก็ต้องมีสติอืว่าทุกสิ่งมันล้วน
00:27:41 → 00:27:43 เกิดขึ้นแล้วดับไปแม้กระทั่งร่างกายแม้
00:27:43 → 00:27:47 กระทั่งสมาสติสมาธิของเราอือแม้กระทั่ง
00:27:47 → 00:27:50 เซลล์ทุกเซลล์ที่มันเกิดขึ้นและดับไปอยู่
00:27:50 → 00:27:53 ตลอดเวลาเนี้ยอนี้พอสรุปอย่างี้ได้มว่า
00:27:53 → 00:27:55 จริงๆความกลัวก็เป็นความรู้สึกนึงที่มัน
00:27:55 → 00:28:00 ก็เป็นธรรมชาติของเราเนาะแล้วเวลาที่เรา
00:28:00 → 00:28:03 สูญเสียมันก็แน่นอนมันก็จะเกิดความทุกข์
00:28:03 → 00:28:06 อ่ะจากการที่ยังไม่สูญเสียพอแค่กลัวสูญ
00:28:06 → 00:28:09 เสียก็ทุกข์แล้วไม่อยากจะสูญเสียหรือสูญ
00:28:09 → 00:28:12 เสียแล้วอยากให้มันกลับมาอย่างเงี้ยก็ก็
00:28:12 → 00:28:15 ทุกข์แล้วเพราะงั้นสิ่งสำคัญก็คือการที่
00:28:15 → 00:28:18 เราเหมือนเอาใจตัวเองกลับมาอยู่กับ
00:28:18 → 00:28:23 ปัจจุบันแล้วก็ยอมรับกลัวก็กลัวยอมรับกับ
00:28:23 → 00:28:26 สิ่งที่เกิดขึ้นอ่าอันนี้สำคัญมากขอขยาย
00:28:26 → 00:28:30 ความอันนี้นิดนึงเพราะว่าบางทีอ่ะพอเรา
00:28:30 → 00:28:33 เกิดความกลัวขึ้นใช่มยแล้วเราปฏิเสธความ
00:28:33 → 00:28:36 กลัวที่มันเกิดขึ้น่ะอืแล้วเราจะบอกว่า
00:28:36 → 00:28:39 เฮ้ยไม่สิเราต้องเป็นคนที่เข้มแข็งกว่า
00:28:39 → 00:28:41 นี้เราไม่ยอมรับอ่ะว่าความกลัวเมันเกิด
00:28:41 → 00:28:44 ขึ้นกับเราอ่ะมันจะยิ่งกลายเป็นอารมณ์ที่
00:28:44 → 00:28:48 มันซับซ้อนมากยิ่งขึ้นน่ะแต่ถ้าเราแค่แบบ
00:28:48 → 00:28:51 เหมือนยอมรับว่าอ๋อตอนนี้เรากลัวเราแบบ
00:28:51 → 00:28:55 กลัวแล้วก็เออกลัวก็คือกลัวแล้วก็กังวลก็
00:28:55 → 00:28:59 คือกังวลแล้วก็แล้วก็ดูมันตามความเป็น
00:28:59 → 00:29:01 จริงอ่ะอารมณ์ทุกอย่างอ่ะมันเกิดขึ้นแล้ว
00:29:02 → 00:29:04 มันดับไปจริงๆอ่ะฟังดูอันนี้มันมี 2 ส่วน
00:29:04 → 00:29:08 นะก็คือ 1 ก็คือเราต้องรู้ตัวอรู้ตัวว่า
00:29:08 → 00:29:11 จริงความกลัวเกิดขึ้นละแล้วความกลัวกำลัง
00:29:11 → 00:29:15 ส่งผลอะไรกับตัวเราไม่ว่าจะเป็นร่างกาย
00:29:15 → 00:29:18 ของเราหรืออะไรของเราก็ตามอันที่ 2 คือ
00:29:18 → 00:29:20 ต้องเข้าใจธรรมชาติของความกลัวเหมือนกัน
00:29:20 → 00:29:25 นะที่เชลี่อาจจะใช้คำว่าไตรลักษณ์อเออคือ
00:29:25 → 00:29:29 มันเกิดขึ้นห้ามไม่ได้มันอยู่แป๊บนึงมึง
00:29:29 → 00:29:33 แล้วเดี๋ยวมันก็หายไปอ่ะแล้วถ้าเกิดมีใคร
00:29:33 → 00:29:37 บางคนเดินเข้ามาแล้วถามว่าหนูก็พยายาม
00:29:37 → 00:29:39 แล้วนะคะมันไม่หายไปสักทีอ่ะค่ะพี่เพราะ
00:29:39 → 00:29:41 ว่าหนูไปเร่งมันไงเพราะหนูไปอยากทับซ้อน
00:29:41 → 00:29:44 เข้าไปอีกว่าหนูอยากให้มันดับไปไงซึ่งหนู
00:29:44 → 00:29:46 บังคับไม่ได้หนูก็ต้องยอมรับข้อนี้ด้วย
00:29:46 → 00:29:48 เออรังเกียจความ
00:29:48 → 00:29:52 กลัวกลัวดับอยากให้มันดับเร็วๆที่เขาบอก
00:29:52 → 00:29:54 ว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปเมื่อ
00:29:54 → 00:29:57 ไหร่มันจะดับกี่โมงกี่โมงดับกี่โมงมันดับ
00:29:57 → 00:30:01 กี่โมงเอออะไรอย่างเงี้ยซึ่งจริงๆพอเรา
00:30:01 → 00:30:04 ยิ่งไปอยากมันก็จะทับซ้อนอย่างที่เราบอก
00:30:04 → 00:30:07 ว่าอ่ะเราไม่ยอมรับความกลัวความอยากก็
00:30:07 → 00:30:10 เป็นอีกอันนึงที่ทำให้ทุกข์เพราะว่าพอเรา
00:30:10 → 00:30:13 อยากเกิดขึ้นปึ๊บอ่ะความทุกข์ที่เกิดขึ้น
00:30:13 → 00:30:16 ภายในใจอ่ะให้รู้ไว้เลยว่าขณะที่ความ
00:30:16 → 00:30:19 ทุกข์นั้นเกิดขึ้นน่ะเรามีสิ่งที่กำลัง
00:30:19 → 00:30:24 อยากหรือไม่อยากให้มันเกิดขึ้นแล้วอ้าให้
00:30:24 → 00:30:28 ไปตรวจสอบเลยอุ๊ยคีนี้ดีอืคีนี้ดีเมื่อ
00:30:28 → 00:30:31 ไหร่ที่เกิดความทุกข์ความทุกข์เกิดขึ้น
00:30:31 → 00:30:35 ใช่จากการสูญเสียอะไรก็ตามจากอะไรก็ตาม
00:30:35 → 00:30:39 เอออือให้ไปเช็คคีย์เวิร์ดเลยว่ามีอะไร
00:30:39 → 00:30:42 ที่เราอยากหรือมีอะไรที่ยังไม่อยากใช่ให้
00:30:42 → 00:30:47 มันเกิดขึ้นอืแล้วก็ไปนั่งดูไปนั่งดูมัน
00:30:47 → 00:30:51 แล้วก็ดูไปเรื่อยๆเลยมันอาจจะอยู่สัก 3
00:30:51 → 00:30:54 วัน 8 วันอะไรก็ไม่รู้อ่ะก็ดูมันไปเป็น
00:30:54 → 00:30:57 กำลังใจสำหรับคนที่ฝึกดูนะอือืเพราะจริงๆ
00:30:57 → 00:31:01 คือมันเรากำลังพูดถึงที่สิ่งที่มันเป็น
00:31:01 → 00:31:05 นามธรรมพอสมควรใช่เหมือนกันคือพอมันมอง
00:31:05 → 00:31:08 ไม่เห็นเนี่ยเอ่ออันนี้ในฐานะคนซ่อมเนาะ
00:31:08 → 00:31:13 อือๆหลายครั้งคนก็จะไปใช่จะถูกกลืนกินอือ
00:31:14 → 00:31:16 หรือว่าอยู่กับมันโดยที่ไม่รู้ตัวว่าอยู่
00:31:16 → 00:31:18 ตรงนั้นซะด้วยซ้ำใช่เศร้าโดยที่ไม่รู้ตัว
00:31:18 → 00:31:22 ว่าเศร้าเครียดโดยที่ไม่รู้ตัวว่าเครียด
00:31:22 → 00:31:24 เสียใจไม่รู้ตัวว่าเสียใจแต่อันเนี้ยมัน
00:31:25 → 00:31:29 ก็คือการกลับมาสังเกตตัวเองอ่ะเพราะว่า
00:31:29 → 00:31:35 เอ่ออารมณ์กับร่างกายเราอ่ะมันผูกกันออื
00:31:35 → 00:31:37 เวลาที่เกิดอารมณ์อะไรขึ้นน่ะร่างกายมัน
00:31:37 → 00:31:40 จะมีปฏิกิริยาเวลาที่ร่างกายมันเกิด
00:31:40 → 00:31:43 ปฏิกิริยาชัดๆอ่ะค่ะอือมันอาจจะทำให้เรา
00:31:43 → 00:31:45 เห็นเร็วอย่างเช่นอาการโกรธเนี่ยทุกคนแบบ
00:31:46 → 00:31:47 เห็นอยู่แล้วล่ะว่าแบบอุ๊ยใจเราเต้นแรง
00:31:47 → 00:31:50 หรือเรารู้สึกร้อนหรือแบบเหงื่อออกปาก
00:31:50 → 00:31:53 แห้งหรืออะไรอย่างเงี้ยมันก็จะมีอาการแต่
00:31:53 → 00:31:57 มันจะมีอารมณ์อีกหลายอย่างที่ร่างกายมัน
00:31:57 → 00:31:59 ไม่ออกชัดขนาดนั้นเอาง่ายๆก่อนว่าความ
00:31:59 → 00:32:03 โกรธเนี่ยเราดูทันหรือยังอือันนี้ซึ่งมัน
00:32:03 → 00:32:06 ชัดมากมันชัดมากแล้วมันง่ายสุดเนี่ยดูทัน
00:32:06 → 00:32:10 หรือยังถ้าดูไม่ทันก็ต้องฝึกให้มากฝึกสติ
00:32:11 → 00:32:13 ให้มากขึ้นกว่านี้ให้มันให้มันเร็วให้พอ
00:32:13 → 00:32:17 ที่จะดูให้ทันอะไรเงี้ยอ่าพอถัดจากความ
00:32:17 → 00:32:20 โกรธไปอันเนี้ยเป็นอารมณ์อื่นๆที่มันจะ
00:32:20 → 00:32:23 ละเอียดมากขึ้นไปอีกอ่ะละเอียดแบบละเอียด
00:32:23 → 00:32:28 แบบที่ถ้าไม่กลับมาแบบสังเกตร่างกายด้วย
00:32:29 → 00:32:32 สติที่แข็งแรงพออ่ะเราจะไม่รู้เลยว่า
00:32:32 → 00:32:35 กำลังมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติอยู่อ่ะ
00:32:35 → 00:32:39 ซึ่งมันต้องฝึกหนักหนักหนักเธอมันทำเอ่อ
00:32:39 → 00:32:42 ตอนนี้เข้าใจว่าเอ่อคนที่ฟังอยู่ดูเอฟัง
00:32:42 → 00:32:46 ก็คงท้อแล้วค่ะอย่าท้อบอกว่าเอ่อเ้าว่า
00:32:46 → 00:32:51 มันจะไม่มีทางลัดไม่ได้ช่วยเลย
00:32:51 → 00:32:55 ไม่ได้ช่วยเลยโอเคอ่ะแล้วก็ไม่มีทางอื่น
00:32:55 → 00:32:58 ด้วยไม่มีทางเดียวไม่เธอไม่มีทางให้เค้า
00:32:58 → 00:33:01 เลยทางรัดไม่มีไม่มีทางอื่นคุณต้องฝึกใช่
00:33:01 → 00:33:06 เออโอเคคราวนี้ในฐานะของคนที่แบบโอ้โหแบบ
00:33:06 → 00:33:10 เจอสมรภูมิมาหนักหน่วงหลายครั้งได้ฝึกแบบ
00:33:10 → 00:33:14 เบสิคแอแบบแวานถูกฝึกแบบว่าไม่ได้อยากจะ
00:33:14 → 00:33:18 ฝึกเลยเน to the traนerไปแล้วนะเออ
00:33:18 → 00:33:20 แบบขนาดนี้แล้ว
00:33:20 → 00:33:24 อ่ะยังกลัวอะไรอยู่มั้ยน่าจะมีความไม่ได้
00:33:24 → 00:33:27 ดั่งใจอะไรเราไม่อยากให้มันเกิดขึ้นหรอก
00:33:27 → 00:33:30 ถูกมั้ยแบบอะไรที่เราตั้งใจทำแล้วก็อยาก
00:33:30 → 00:33:33 ให้มันเป็นไปดั่งหวังอ่ะออซึ่งความกลัว
00:33:33 → 00:33:36 มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่มันจะแบบมีความ
00:33:36 → 00:33:38 กลัวกังวลเกิดขึ้นความกังวลอาจจะยังไม่
00:33:38 → 00:33:41 เข้มข้นกลายไปถึงความกลัวก็ได้แต่ว่าเรา
00:33:41 → 00:33:44 ว่ามันมีตอนช่วงนี้อาจจะยังไม่มีแต่ว่า
00:33:44 → 00:33:46 เดี๋ยวมันก็มาเพราะมันเป็นธรรมชาติของ
00:33:46 → 00:33:51 อารมณ์ของมนุษย์ทุกๆคนความกลัวมันมีข้อดี
00:33:51 → 00:33:55 ความโกรธก็มีข้อดีอ่าอ่าใช่มยแต่ว่าเรา
00:33:55 → 00:33:57 ต้องรู้จักใช้มันน่ะเอออย่างความกลัวมี
00:33:58 → 00:34:00 ข้อดียังไงก็คือทำให้เราระวังตัวเองใช่มย
00:34:00 → 00:34:04 ขอบคุณที่ถามแล้วตอบเองได้อ้าคุณหมอช่วย
00:34:04 → 00:34:08 ตอบเลยค่ะเออดีดีๆ
00:34:08 → 00:34:11 ไม่ๆคุณคุณแหละคุณแหละคุณมาขนาดนี้แหละ
00:34:12 → 00:34:15 เออความกลัวอย่างเงี้ยแบบถ้าเราใช้ชีวิต
00:34:15 → 00:34:19 แบบที่มันประมาทมากอ่ะใช่มก็จะทำให้เรา
00:34:19 → 00:34:22 เหมือนแบบว่าไม่ระวังกับอะไรเลยเอออืแต่
00:34:22 → 00:34:24 ถ้าพอเรามีความกลัวกลัวในระดับ
00:34:24 → 00:34:28 ที่ว่าอ้อเออสิ่งนี้มันอาจจะเกิดขึ้นแล้ว
00:34:28 → 00:34:31 เราต้องระวังตัวแบบไหนอ่ะเรียนรู้หาข้อ
00:34:31 → 00:34:33 มูลอันนี้เอาไว้อะไรอย่างเงี้ยมันก็จะทำ
00:34:33 → 00:34:35 ให้อ่ามันก็มีประโยชน์ความโกรธมีประโยชน์
00:34:35 → 00:34:39 แบบไหนอความโกรธมีประโยชน์ตรงที่มันเป็น
00:34:39 → 00:34:43 การบอกขอบเขตของเราอ่ะอือจริงๆเมื่อไหร่
00:34:43 → 00:34:46 ที่มีคนที่มาก้าวล้ำความต้องการหรือมา
00:34:47 → 00:34:50 ก้าวล้ำพื้นที่ในใจเราอืจริงๆแล้วความ
00:34:50 → 00:34:52 โกรธมักจะเกิดขึ้นความโกรธความโกรธเป็น
00:34:52 → 00:34:56 พลังงานอบปึงอืคำนี้ดี
00:34:56 → 00:35:01 มากเส้นเนาะเออเออขอบเขตอ่ะอันนี้ก็เป็น
00:35:01 → 00:35:06 สิ่งสำคัญที่พอคนน่ะชอบคิดว่าพอเป็นคนดี
00:35:06 → 00:35:09 แล้วอ่ะต้องยอมทุกคนน่ะต้องยอมทุกอย่าง
00:35:09 → 00:35:13 ต้องเป็นผู้ถูกกระทำอ่ะซึ่งมันไม่ใช่อการ
00:35:13 → 00:35:17 ที่เราต้องรักษาตัวเองอ่ะแล้วก็บริเวณของ
00:35:17 → 00:35:21 ตัวเองเอาไว้อ่ะว่าเฮ้ยถ้ายูข้ามเส้นขนาด
00:35:21 → 00:35:24 เนี้ยมันไม่ได้ก็ก็คือต้องบอกให้ชัดเจน
00:35:24 → 00:35:28 ว่ามันไม่ได้อือ่าอย่าเป็นคนดีซะจนแบบว่า
00:35:28 → 00:35:31 เป็นผู้ถูกกระทำอันนี้ก็ไม่ใช่เหมือนกัน
00:35:31 → 00:35:34 อือออาจจะไม่ได้เรียกว่าคนดีนะแต่คุณดู
00:35:34 → 00:35:41 เป็นคนดีนะแต่เราไม่ยอมคน
00:35:41 → 00:35:43 ไม่ใช่หรอกไม่ใช่ไม่ยอมคนแต่ว่าเรารู้อ่ะ
00:35:43 → 00:35:46 ว่าเราแบบมีขอบเขตแค่ไหนที่ที่มันจะทำให้
00:35:46 → 00:35:50 เราแบบอันนี้เราไม่ได้อ่ะไม่ได้อ่ะอะไร
00:35:50 → 00:35:53 อย่างเงี้ยเราว่ามันเป็นการเคารพรบตัวเอง
00:35:53 → 00:35:56 อืเปลี่ยนคำใหม่ให้ดูดีขึ้นดีดูดีเนาะดู
00:35:56 → 00:36:00 ดีเนาะจริงๆเราต้องเคารพตัวเองและเคารพคน
00:36:00 → 00:36:03 อื่นด้วยการสูญเสียฟังดูเหมือนกับเชอรรี่
00:36:03 → 00:36:07 ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงของตัวเองมา
00:36:07 → 00:36:09 ว่าจริงๆแล้วการสูญเสียก็เป็นเรื่อง
00:36:09 → 00:36:12 ธรรมดาอย่างนึงแล้วการสูญเสียก็อาจจะนำมา
00:36:13 → 00:36:15 ซึ่งเอ่อความรู้สึกต่างๆมากมายหนึ่งใน
00:36:15 → 00:36:18 นั้นก็อาจจะเป็นความกลัวความกังวลก็เป็น
00:36:18 → 00:36:21 หนึ่งในนั้นที่จะผลิดอกออกผลขึ้นมาใช่
00:36:21 → 00:36:24 มั้ยงั้นทุกข์ที่สุดก็คือการที่เรารู้สึก
00:36:24 → 00:36:27 ว่าเราไม่อยากสูญเสียหรือเราไม่อยากเป็น
00:36:27 → 00:36:31 คนกลัวหรือเราไม่อยากเป็นคนอ่อนแออ่า
00:36:31 → 00:36:35 เพราะงั้นเพียงแค่เรามองเห็นมันเรายอมรับ
00:36:35 → 00:36:40 มันตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเอ่อเราอาจ
00:36:40 → 00:36:44 จะใช้มันอย่างมีปัญญาได้มากขึ้นนั่นคือ
00:36:44 → 00:36:48 จริงๆแล้วนอกจากความกลัวที่มันอาจจะอยู่
00:36:48 → 00:36:50 กับเราไม่นานแล้วมันห้ามไม่ได้จริงๆมันมี
00:36:50 → 00:36:51 ประโยชน์
00:36:51 → 00:36:55 งั้นอันนี้อาจจะเป็นสิ่งที่เอ่อเชอรี่ได้
00:36:55 → 00:36:59 เรียนรู้แล้วก็จริงๆเราจะถึงจุดนี้
00:36:59 → 00:37:02 ได้กระบวนการสำคัญคือเราต้องมีสติใน
00:37:02 → 00:37:05 ระหว่างทางเสมอสรุปอย่างี้ถูกต้องมั้คะ
00:37:05 → 00:37:08 คุณหมอเก่งมากเลยค่ะคุณหมอสรุปได้ครบถ้วน
00:37:08 → 00:37:12 มากเลยค่ะค่ะเออออใช่กว่าจะสรุปได้นะ
00:37:12 → 00:37:17 คะคราวนี้มันก็มาถึงจุดของคำว่าความดีนะ
00:37:17 → 00:37:20 เมื่อกี้นี้ออกมาได้ยังไงก็ไม่รู้อะไรคือ
00:37:20 → 00:37:24 จุดตัดสินที่ทำให้คิดว่าคนนี้เป็นคนดีค่ะ
00:37:24 → 00:37:28 คือถ้าถามโดยส่วนตัวนะเอ่อคำ
00:37:28 → 00:37:31 เนี้ยจะเปลี่ยนไปอันนี้ไม่ได้ตอบในมุมของ
00:37:31 → 00:37:33 จิตแพทย์หรือว่าไม่ได้ผู้เชี่ยวชาญอะไร
00:37:33 → 00:37:37 ทั้งนั้นนะคือถ้าตอบในมุมของส่วนตัวเอิ้ล
00:37:37 → 00:37:39 คิดว่าสำหรับความดีของเอิ้นเนี่ยมัน
00:37:39 → 00:37:42 เปลี่ยนไปตามความเข้าใจโลกคือแต่ก่อน
00:37:42 → 00:37:45 เนี่ยเอิ้ลอาจจะเกิดมาในแบบครอบครัวที่
00:37:45 → 00:37:47 conservative มากๆเป็นครอบครัวต่าง
00:37:47 → 00:37:49 จังหวัดเข้าวัดประจำทุกวันอะไรอย่างเงี้ย
00:37:49 → 00:37:53 เนี่ยเราจะเชื่อเรื่องบุญเรื่องบาปมากๆ
00:37:53 → 00:37:55 แล้วก็คือเราท่องจำเรื่องศีล 5 แม้ว่าเรา
00:37:55 → 00:37:59 ไม่เข้าใจอะไรที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับ
00:37:59 → 00:38:02 ตัวเองเนี่ยก็คือก็คือไม่ดีแล้วอย่างเช่น
00:38:02 → 00:38:04 มีใครมาขอความช่วยเหลือแล้วตัวเองไม่ได้
00:38:04 → 00:38:05 ให้
00:38:05 → 00:38:08 จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนดีละถ้าพูดง่าย
00:38:08 → 00:38:11 ๆว่าพอมันเกิดความทุกข์ผิดศีล 5 ไม่ดี
00:38:11 → 00:38:15 อะไรอย่างเงี้ยมันจะมีกรอบแบบนี้โตขึ้นมา
00:38:15 → 00:38:18 ซะหน่อยเราไม่ได้มีแค่คนในครอบครัวและมี
00:38:19 → 00:38:20 สังคม
00:38:20 → 00:38:25 มีบรรทัดฐานมีสิ่งที่แบบเราอยากเป็นน่ะ
00:38:25 → 00:38:27 อ่าหรือการยอมรับของเพื่อนคือถ้าเพื่อน
00:38:27 → 00:38:31 มองว่าเราไม่ดีอย่างี้ก็คือเราก็จะแบบรู้
00:38:31 → 00:38:35 สึกว่าตัวเองไม่ดีละกลายเป็นความดีไม่ดี
00:38:35 → 00:38:39 คือคนชอบไม่ชอบแต่ทุกวันนี้ที่เรียนรู้มา
00:38:39 → 00:38:42 เนี่ยคำว่าคนดีหรือความดีเนี่ยก็คือมันมี
00:38:42 → 00:38:44 ง่ายๆเลยนะของเอิ้ลคือการที่เราไม่
00:38:44 → 00:38:47 เบียดเบียนคนอื่นและไม่เบียดเบียนตัวเอง
00:38:47 → 00:38:49 อันนี้เป็นคีย์เวิร์ดของเอิ้ลถ้าเกิดว่า
00:38:49 → 00:38:52 เราไม่เบียดเบียนคนอื่นแต่เบียดเบียนตัว
00:38:52 → 00:38:55 เองให้เกิดความทุกข์ก็ต้องเต็มใจที่จะ
00:38:55 → 00:38:58 เบียดเบียนแต่ไม่เอามันมาเป็นความทุกข์
00:38:58 → 00:39:01 อ่ะหรือถ้าสมมุติเราจะทุกข์เออเราเป็นคน
00:39:01 → 00:39:05 เลือกที่จะทุกข์เต็มใจที่จะเสียสละได้
00:39:05 → 00:39:07 เนาะอใช่เต็มใจที่จะทุกข์ได้อันนั้นคือ
00:39:07 → 00:39:10 ความดีในปัจจุบันของเอิ้ลน่ะแล้วความดี
00:39:10 → 00:39:12 ของเชอรรี่เราเป็นไงน่าจะคล้ายกันก็คือ
00:39:12 → 00:39:15 ไม่เบียดเบียนคนอื่นแล้วก็ไม่เบียดเบียน
00:39:15 → 00:39:18 ตัวเองเหมือนกันแล้ว
00:39:18 → 00:39:24 ว่ามันมันมีศีลธรรมเบื้องต้นอเออมันมีศีล
00:39:24 → 00:39:29 ธรรมเบื้องต้นที่อมนุษย์พึงมีเออเออใช่
00:39:29 → 00:39:32 ซึ่งไอ้ไอ้ศีลธรรมเบื้องต้นเนี้ยถ้าสรุป
00:39:32 → 00:39:36 โดยย่อศีล 5 มันก็มันก็ค่อนข้างที่จะแบบ
00:39:36 → 00:39:38 เป็นเบื้องต้นให้อยู่แล้วอะไรเงี้ยแต่ถ้า
00:39:38 → 00:39:42 มากกว่านั้นคือแค่ศีล 5 สำหรับเราอ่ะมัน
00:39:42 → 00:39:47 คือเบสิคพื้นฐานที่อย่างน้อยต้องมีจริงๆ
00:39:47 → 00:39:49 พื้นฐานแล้วก็เหมือนกันว่าคือการไม่
00:39:49 → 00:39:51 เบียดเบียนตัวเองแล้วก็ไม่เบียดเบียนคน
00:39:51 → 00:39:55 อื่นใช่มั้ยโดยมีหลักอะไรบางอย่างที่เรา
00:39:55 → 00:39:57 จะเคารพซึ่งกันด้วยกันอย่างเช่นง่ายๆอาจ
00:39:57 → 00:40:04 จะเป็นเบสิคอศีล 5 ข้อออ่าที่เราจะทำให้
00:40:04 → 00:40:08 แบบอยู่ร่วมกันได้ของเชอรี่อาจจะเสริมมาก
00:40:08 → 00:40:10 ไปกว่านั้นก็คือว่าเราอาจจะต้องมีแกนว่า
00:40:10 → 00:40:14 อะไรที่เราจะไม่ทำและอะไรที่เราจะทำด้วย
00:40:14 → 00:40:17 เธอคิดว่าคนอื่นเขามองเธอเรื่องนี้ยังไง
00:40:17 → 00:40:21 เราว่าคนน่ะมีภาพว่าเราเป็นคนดีซึ่งเรา
00:40:21 → 00:40:24 อ่ะต้องต้องบอกนะว่าความเป็นคนดีของแต่ละ
00:40:24 → 00:40:28 คนมันไม่เท่ากันคือคนพอคิดว่าแบบพอเราพูด
00:40:28 → 00:40:30 ถึงเรื่องศีล 5 อะไรเงี้ยว่าแบบเอ้ยเรา
00:40:30 → 00:40:34 รักศิษศีล 5 หรืออะไรอย่างเงี้ยเราคนก็
00:40:34 → 00:40:37 อาจจะมองว่าเราแปลกอ่ะเจะเรารู้สึกได้ว่า
00:40:37 → 00:40:40 คนอื่นก็จะแบบเหมือนแซวเราในแบบในแง่นี้
00:40:40 → 00:40:43 อะไรอย่างเงี้ยซึ่งใครเนี่ยบางอันซึ่งเรา
00:40:43 → 00:40:45 ไม่ติดเลยไม่เป็นไรเลยเพราะอาจจะเป็น
00:40:45 → 00:40:47 เรื่องสนุกของเค้าก็ได้อะไรเงี้ยแต่ว่า
00:40:47 → 00:40:50 สำหรับเราเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ต้องการ
00:40:50 → 00:40:54 อยากให้คนแบบคิดว่าเราเป็นคนดีคนดีอ่ะอ่า
00:40:54 → 00:40:57 เออเพราะเราไม่ได้เป็นคนดีคนดีแต่เราแค่
00:40:57 → 00:41:01 เป็นคนที่ต้องการทำในสิ่งที่มันถูกต้อง
00:41:01 → 00:41:05 อ่ะแบบสิ่งที่ผิดเราไม่อยากทำแค่นั้นเอง
00:41:05 → 00:41:09 เราแค่เป็นคนที่เหมือนสบายใจแบบนี้ดีกว่า
00:41:09 → 00:41:11 เออเราเอาความสบายใจเราเป็นหลักว่าเรามี
00:41:11 → 00:41:14 ความสุขความสบายใจแบบนี้ที่เราจะทำอย่า
00:41:14 → 00:41:17 ไม่ต้องมาบอกว่าเราเป็นคนดีมั้ยนะในการ
00:41:17 → 00:41:20 ที่เราจะทำสิ่งนี้เราช่วยโลกเราเอ่อดูแล
00:41:20 → 00:41:23 ป่าไม้รักษาสิ่งแวดล้อมอันนี้ถือว่าเรา
00:41:23 → 00:41:26 เป็นคนดีคือเราไม่อยากให้แบบต้องด่วนสรุป
00:41:26 → 00:41:29 แบบนั้นน่ะเหมือนเชอรรี่ก็รู้ว่าคนอื่น
00:41:29 → 00:41:32 เขาอาจจะคาดหวังหรือมองเราว่าเราเป็นคนดี
00:41:32 → 00:41:35 อความคาดหวังนั่นแหละความคาดหวังซึ่งอยาก
00:41:35 → 00:41:37 มาคาดหวังเราเออซึ่งเราไม่รับเออเราไม่
00:41:37 → 00:41:39 อยากให้ถ้าคุณถ้าคุณคาดหวังว่าฉันจะเป็น
00:41:39 → 00:41:41 คนดีคือคุณก็รับผิดชอบเองใช่รับผิดชอบเอง
00:41:41 → 00:41:45 เลยเพราะว่าฉันฉันก็คือเป็นคนดีในแบบที่
00:41:45 → 00:41:48 ฉันรู้สึกว่าดีใช่ที่เราแฮปปี้ที่เราสบาย
00:41:48 → 00:41:50 ใจที่เราอยากจะทำแบบนี้อะไรอย่างเงี้ย
00:41:50 → 00:41:53 เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์
00:41:54 → 00:41:57 ความจริงใจแล้วก็ที่เราเห็นมาตลอดเธอเป็น
00:41:57 → 00:41:58 คนจริง
00:41:58 → 00:42:01 จังบางครั้งอาจจะดูดุ
00:42:01 → 00:42:05 ด้วยเออแต่แต่มันไม่ใช่ดุอ่ะมันคือมันคือ
00:42:05 → 00:42:08 พลังงานของความจริงจังอะไรอย่างเงี้ย
00:42:08 → 00:42:12 เอิ่มงานที่เธอทำหรือวงการที่เติบโตมามัน
00:42:12 → 00:42:15 คือวงการที่เขาบอกว่ายาเราเรา 2 คนก็อยู่
00:42:15 → 00:42:19 ในวงการมายาเราเราอยู่ยังไงกับไอ้ความที่
00:42:19 → 00:42:23 ให้คุณค่าและแวueของตัวเองแบบนี้แบบสูง
00:42:23 → 00:42:28 สุดอืเออท่ามกลางสิ่งแวดล้อมหรือโลกที่
00:42:28 → 00:42:32 เรียกว่ามายาเป็นคำถามที่ดีมากจะบอกว่า
00:42:32 → 00:42:37 จริงๆแล้วนะเรากลับรู้สึกนะว่าจริงๆอ่ะวง
00:42:37 → 00:42:42 การมายามันมี 2 แง่มุมที่คนหมายถึงมายา
00:42:42 → 00:42:46 หมายถึงงานที่เขาทำมันคือการแสดงมันคือ
00:42:46 → 00:42:49 มันไม่ใช่ความจริงใช่ป่ะกับวงการมายาที่
00:42:49 → 00:42:53 หลายคนอาจจะตีความว่ามันมีการใส่หน้ากาก
00:42:53 → 00:42:56 แบบเวลาอยู่ในสังคมนี้หรือว่ามีความไม่
00:42:56 → 00:42:59 จริงใจมีการแข่งขันกันสูงหรืออะไรมันก็คน
00:43:00 → 00:43:04 ละความหมายเนาะแต่สำหรับเราอ่ะเราอาจจะ
00:43:04 → 00:43:06 โชคดีหรือเปล่าเราไม่แน่ใจนะเรารู้สึกว่า
00:43:06 → 00:43:10 เราอ่ะเจอแต่คนน่ารักมากๆในวงการนี้อ่ะคน
00:43:10 → 00:43:13 ที่แบบเหมือนมีแต่ความจริงใจแล้วก็มีแต่
00:43:14 → 00:43:16 แบบสิ่งดีๆที่มอบให้กันน่ะสำหรับที่ลาย
00:43:16 → 00:43:19 ล้อมตัวเราเลยนะตั้งแต่เราเธออยู่มาจะ 40
00:43:19 → 00:43:23 ปีนี่เธอไม่เคยเจอเลยเหรอถ้าในคนในวงการ
00:43:23 → 00:43:28 บันเทิงนะเออเราเจอแต่คนดีๆจริงๆมีคนนอก
00:43:28 → 00:43:32 วงการบันเทิงที่แบบมาย่าเงี้ยนอกวงการ
00:43:32 → 00:43:35 บันเทิงแล้วเธอชี้ชัน
00:43:35 → 00:43:40 ชี้ผิดเออคนนอกวงการบันเทิงอ่ะที่แบบโห
00:43:40 → 00:43:45 อย่างเงี้ยมีอืแต่สำหรับเราอ่ะพออ่ะความ
00:43:45 → 00:43:48 โชคดีที่ได้เจอจากคนดีๆแล้วก็เรากลับกลาย
00:43:48 → 00:43:51 เป็นว่าการที่เราเรียนรู้การแสดงนะมันมี
00:43:52 → 00:43:55 ข้อดีมากเลยอ่ะมันทำให้เราแบบเหมือนเป็น
00:43:55 → 00:43:58 คนช่างสังเกตเพราะว่าเอ่อนักแสดงก็คือคน
00:43:58 → 00:44:02 ที่จะต้องเลียนแบบใช่มยว่าสิ่งนี้มันจะทำ
00:44:02 → 00:44:05 ยังไงให้มันจริงอ่ะทำยังไงให้มันดูน่า
00:44:05 → 00:44:08 เชื่อใช่มั้ยคะมันก็ต้องมาจากความเชื่อ
00:44:08 → 00:44:11 ข้างในก่อนว่ามันจะเป็นอย่างงี้ซึ่งมันก็
00:44:11 → 00:44:15 มีทั้งแง่แง่บวกและแง่ลบข้อดีของมันก็คือ
00:44:15 → 00:44:18 มันทำให้เราเป็นคนช่างสังเกตว่าอาการแบบ
00:44:19 → 00:44:22 นี้ของคนแบบนิดนึงอ่ะเราจะเห็นชัดอ่ะว่า
00:44:22 → 00:44:26 สีหน้าเขามีการตาเขาหลุกหลีกไปนิดนึงหรือ
00:44:26 → 00:44:29 อะไรที่เราจะแบบเหมือนจับสังเกตได้หรือ
00:44:29 → 00:44:32 แม้กระทั่ง energy ที่มันส่งออกมาอะไร
00:44:32 → 00:44:35 เงี้ยเพราะเราถูกฝึกกับสิ่งนี้มานึกออกมย
00:44:35 → 00:44:37 มันก็ทำให้เราแบบเหมือนเรียนรู้อะไรเงี้ย
00:44:37 → 00:44:41 แล้วมันก็ทำให้เราอ่ะเราอ่ะอาจจะเป็นคน
00:44:41 → 00:44:42 ที่มีความชัดเจน
00:44:42 → 00:44:45 ในแง่ของการแสดงอารมณ์ตั้งแต่เด็กตั้งแต่
00:44:45 → 00:44:49 เด็กหมายถึงก่อนที่จะรู้ศาสตร์ของการแสดง
00:44:49 → 00:44:52 อ่าเราจะเป็นคนแบบชัดมากเวลาที่เรารู้สึก
00:44:52 → 00:44:55 อะไรเงี้ยซึ่งพอเรามาเป็นนักแสดงอ่ะตอน
00:44:55 → 00:44:59 แรกๆที่แสดงไม่เป็นน่ะมันก็ไม่สามารถเอา
00:44:59 → 00:45:02 ความสามารถของเราที่มีมาแบบโดยเนเจอร์
00:45:02 → 00:45:05 เนี่ยเอามาใช้กับการแสดงได้ยังไม่สามารถ
00:45:05 → 00:45:08 พอเราเหมือนฝึกเรื่องการแสดงมากยิ่งขึ้น
00:45:08 → 00:45:11 น่ะมันทำให้เวลาที่เราแสดงอ่ะเราเรารู้
00:45:11 → 00:45:13 สึกของเราเองคนอื่นไม่รู้สึกหรือเปล่านะ
00:45:13 → 00:45:18 แต่เรารู้สึกว่าเราเป็นการแสดงที่เราแบบ
00:45:18 → 00:45:21 เราไม่แสดงแบบเยอะอ่ะแต่เรารู้สึกกับมัน
00:45:21 → 00:45:25 น่ะเพราะว่าเราเชื่อในมันแล้วเราก็แสดง
00:45:25 → 00:45:27 มันออกมาอย่างงั้นน่ะเออมันก็จะมีความ
00:45:27 → 00:45:30 ธรรมชาติของมันของตัวของตัวละครนั้นตัว
00:45:30 → 00:45:34 และตัวเราที่มันไปผสมผสานกันอะไรเงี้ยอ
00:45:34 → 00:45:37 และมันก็ไม่ทำให้ตัวเราอ่ะเปลี่ยนแปลง
00:45:37 → 00:45:39 หมายความว่าการที่เรารู้การแสดงอ่ะไม่ได้
00:45:40 → 00:45:45 ทำให้เรากลายเป็นคนที่เอ่อสวมหน้ากากบสวม
00:45:45 → 00:45:48 หน้ากากว่าฉันรู้สึกสิ่งนี้แต่ฉันแสดงออก
00:45:48 → 00:45:52 อีกแบบนึงไม่ใช่เราก็ยังคงเป็นเราเด็ก
00:45:52 → 00:45:55 หญิงเชอลี่คนนั้นที่แบบเป็นคนชัดเจนมากใน
00:45:55 → 00:45:57 ความรู้สึกเวลาที่เรารู้สึกอะไรเราต้อง
00:45:57 → 00:46:02 หลบตาลงต่ำเรากลัวคนรู้อ่ะเราคิดอะไรอยู่
00:46:02 → 00:46:05 ใช่แล้วแบบบางทีเราพยายามจะแบบว่าหลบแล้ว
00:46:05 → 00:46:09 อ่ะแต่เราก็แสดงออกทางผิวหนังได้และ
00:46:09 → 00:46:14 เอเนอร์จีของเธอเป็นกบเหรอเป็นกบสีสีผิว
00:46:14 → 00:46:17 เปลี่ยนอะไรเงี้ยคนก็จะแบบจับสังเกตได้
00:46:17 → 00:46:20 ว่าเรารู้สึกอะไรเงี้ยซึ่งซึเราก็ไม่แน่
00:46:20 → 00:46:24 ใจว่าอันเนี้ยมันเป็นข้อจากการที่เราแสดง
00:46:24 → 00:46:27 แบบต้องคิดแล้วแสดงออกให้คนดูรู้นึกออก
00:46:27 → 00:46:30 มั้ยมันก็เลยยังคงอยู่ในชีวิตจริงของเรา
00:46:30 → 00:46:32 อยู่หรือเปล่าอันนี้ไม่รู้อ่ะอันนี้ที่
00:46:32 → 00:46:36 พูดถึงคือข้อดีใช่ป่ะข้อเสียของวงการ
00:46:36 → 00:46:40 บันเทิงแบบที่สำหรับเราอ่ะเราจะรู้สึกว่า
00:46:40 → 00:46:45 คนมีmindsตหรือสตปของวงการบันเทิงเป็นแบบ
00:46:45 → 00:46:50 นึงอ่ะอืซึ่งมันทำให้เขาปิดใจในการที่จะ
00:46:50 → 00:46:54 มองคนตามความเป็นจริงอ่ะออืแล้วว่าบางที
00:46:54 → 00:46:57 อย่างที่เราเจออ่ะหลายวงการน่ะมันแย่กว่า
00:46:57 → 00:47:00 วงการบันเทิงเยอะเลยอ่ะคนนะที่เราไปเจอ
00:47:00 → 00:47:04 อะไรเงี้ยแล้วการแสดงก็คือแบบขั้นเทศน์
00:47:04 → 00:47:07 อะไรอย่างเงี้ยแล้วเราแบบเอ้ยให้ความเป็น
00:47:07 → 00:47:09 ธรรมกับวงการบันเทิงด้วยค่ะอะไรเงี้ย
00:47:09 → 00:47:15 นึกออกมยเออโอชอบเธอเป็นคนที่อยู่ในแก่น
00:47:15 → 00:47:18 มากๆเลยนะเท่าที่ฟังตอนเนี้ยรู้สึกว่าไอ้
00:47:18 → 00:47:21 การคุณสมบัติของการที่เป็นคนที่ซื่อสัตย์
00:47:21 → 00:47:26 เป็นคนที่กล้ามองเห็นแล้วเป็นคนที่จริงใจ
00:47:26 → 00:47:31 จริงจังอย่างเงี้ยคือส่วนนึงมันอาจจะเป็น
00:47:31 → 00:47:34 ภูมิคุ้มกันทางใจและชีวิตของเธออ่ะที่ทำ
00:47:34 → 00:47:38 ให้คนที่ไม่ใช่ก็ก็ไม่ใกล้
00:47:38 → 00:47:41 อเพราะมันออกทางผิวหนังแล้ว
00:47:41 → 00:47:44 มันก็มีมันก็มีคนที่ไม่ใช่เข้ามาใกล้แต่
00:47:44 → 00:47:47 ว่าออยู่ได้ไม่นานจะอยู่ได้ไม่นานใช่แล้ว
00:47:47 → 00:47:50 เราพอเรารู้เราก็จะตีตัวออกห่างอะไรอย่าง
00:47:50 → 00:47:53 เงี้ยอในขณะที่เราเราคุยกันเนี่ยมัน
00:47:53 → 00:47:57 เหมือนกับเอ่อคนข้างนอกที่ไม่รู้จักหรือ
00:47:57 → 00:48:01 ไม่เข้าใจจะมองว่ามันเป็นคฟliกันนะว่าอ๋อ
00:48:01 → 00:48:04 กำลังพูดถึงเรื่องของความดีเรื่องของการ
00:48:04 → 00:48:08 เอ่อเป็นเค้าเรียกว่าเป็นตัวเองอะไรอย่าง
00:48:08 → 00:48:11 เงี้ยแต่ว่าในขณะที่งานคือการที่เราต้อง
00:48:11 → 00:48:15 สวมบทเป็นคนอื่นอยู่ตลอดเวลาอือเออแต่ว่า
00:48:15 → 00:48:18 กลายเป็นเรื่องเนี้ยไม่ใช่ปัญหาไม่ใช่
00:48:18 → 00:48:21 คอนฟิกใดๆด้วยคือเมื่อใดก็ตามที่เราเข้า
00:48:21 → 00:48:25 ใจแก่นนะแก่นของตัวเองแก่นของธรรมชาติ
00:48:25 → 00:48:30 ชีวิตแก่นของวงการที่มันเป็นอือไม่มีอะไร
00:48:30 → 00:48:33 ที่น่ารังเกียจไม่มีอะไรที่ไม่สวยงามเลย
00:48:33 → 00:48:36 เนาะใช่ทุกอย่างมีความสวยงามเป็นของตัว
00:48:36 → 00:48:41 อย่างการแสดงอ่ะเรากลับรู้สึกว่าอาจจะนะ
00:48:41 → 00:48:43 ยังไม่แน่ใจแต่ว่าการแสดงอาจจะเป็นส่วน
00:48:43 → 00:48:46 นึงที่ทำให้
00:48:46 → 00:48:49 เราสนใจเรื่องการปฏิบัติธรรมแล้วก็เข้าใจ
00:48:49 → 00:48:52 มันได้ดีก็ได้อืเพราะว่ามันต้องดีลกับ
00:48:52 → 00:48:55 อะไรที่มันเป็นนามธรรมเยอะอ่ะอในอาชีพนัก
00:48:55 → 00:48:59 แสดงเนาะแล้วพอมาดีกับความนามธรรมในการ
00:48:59 → 00:49:02 ปฏิบัติธรรมอ่ะมันก็ทำให้เราเหมือนแบบ
00:49:02 → 00:49:06 สังเกตเห็นในสิ่งที่มันเกิดขึ้นน่ะอือือื
00:49:06 → 00:49:10 อืได้ชัดอะไรอย่างเงี้ยอือฟังดูเหมือน
00:49:10 → 00:49:14 ธรรมชาติเราอาจจะชอบอะไรที่ชัดเจนแต่ว่า
00:49:14 → 00:49:16 การที่จะต้องอยู่ตรงนี้กับสิ่งนี้ทำให้
00:49:16 → 00:49:19 เราเรียนรู้ความไม่ชัดเจนอืบ้างแล้วก็
00:49:19 → 00:49:22 ค่อยๆค่อยๆเห็นมันชัดขึ้นเรื่อยๆอคนคิด
00:49:22 → 00:49:25 ว่าเราเป็นคนดีแล้วแบบพอเราพูดสิ่งนี้ออก
00:49:25 → 00:49:28 ไปคนก็อาจจะแบบหึตก
00:49:28 → 00:49:31 เก้าอี้ทำไมเธอพูดแบบนี้อะไรเงี้ยหรือแบบ
00:49:31 → 00:49:34 ทำไมเธอกล้าพูดแบบสิ่งนี้ออกมาเพราะว่า
00:49:34 → 00:49:37 เราเราก็ยังเชื่อในเรื่องของการเคารพตัว
00:49:37 → 00:49:41 เองอ่ะว่าแบบเฮ้ยถ้าเราแบบเชื่อว่าสิ่ง
00:49:41 → 00:49:43 นี้มันถูกหรือสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ต้อง
00:49:43 → 00:49:45 พูดก็ต้องพูดอย่างเงี้ยที่เคยเล่าให้หมอ
00:49:45 → 00:49:47 เอิ้ลฟังว่าเมื่อก่อนอาจจะเป็นคนพูดแบบ
00:49:47 → 00:49:50 ขวัญผ่าซากอาจจะไม่รักษาน้ำใจคนอื่นเท่า
00:49:50 → 00:49:53 ไหร่แต่มันก็มาจากการต้องเรียนรู้ใน
00:49:53 → 00:49:59 เรื่องของความพูดพูดตรงอือพูดจริงใจแต่มี
00:49:59 → 00:50:01 มารยาทด้วยอะไรอย่างเงี้ยมันก็ต้องเป็น
00:50:01 → 00:50:04 การแบบเรียนรู้ที่จะประสานสิ่งเหล่าเนี้ย
00:50:04 → 00:50:10 เให้มันเป็นศิลปะของการใช้ชีวิตน่ะอือื
00:50:10 → 00:50:12 เรื่องนี้น่าสนใจมากเพราะว่าจริงๆเราจะ
00:50:12 → 00:50:13 เจอคนอยู่ 2
00:50:13 → 00:50:16 แบบนะแบบนึงก็
00:50:16 → 00:50:21 คือคนดีที่มีความทุกข์คนที่บอกว่าเคารพ
00:50:21 → 00:50:25 ตัวเองแต่คนรอบข้างทุกข์อืเชอรรี่อยากให้
00:50:25 → 00:50:29 ข้อคิดยังไงตรงกลางของระหว่างการที่การ
00:50:29 → 00:50:32 ที่เราจะเป็นคนที่เคารพตัวเองกับการที่
00:50:32 → 00:50:35 เราจะเป็นคนดีที่ไม่แบกทุกข์อือืเรานะหมอ
00:50:35 → 00:50:40 เอิ้ลเหมือนเป็นคนที่ผ่านวิวัฒนาการมา
00:50:40 → 00:50:43 เพราะตอนเด็กอ่ะเป็นผัดวิวัฒนาการเลยนะ
00:50:43 → 00:50:47 เพราะว่าตอนเด็กอ่ะเราเป็นคนที่เอ่อถ้า
00:50:47 → 00:50:49 เด็กเลยอยู่ในครอบครัวจะเป็นคนที่กล้า
00:50:49 → 00:50:53 แสดงออกใช่มยอเออแล้วพอมาแบบเอ่อทำงาน
00:50:53 → 00:50:56 ตั้งแต่เด็กก็จะมีความเกรงใจไม่กล้าพูด
00:50:56 → 00:51:00 ไม่กล้าแบบเกรงใจอ่ะกลัวเ้าแบบเออเดือด
00:51:00 → 00:51:02 ร้อนกลัวเขาเสียใจหรือกลัวอะไรเงี้ยไม่
00:51:02 → 00:51:06 กล้าพูดแล้วตัวเองอ่ะทุกข์เพราะว่าแบบ
00:51:06 → 00:51:09 เฮ้ยสิ่งนี้เราไม่อยากทำพอเราทำไปอ่ะคน
00:51:09 → 00:51:12 ที่ทุกข์คือเราอะไรอย่างเงี้ยอเพราะว่า
00:51:12 → 00:51:14 มันคือจะเป็นสิ่งที่มันอยู่กับตัวเราตลอด
00:51:14 → 00:51:16 ไปนะสิ่งนั้นอะไรเงี้ยมันก็เกิดมาจาก
00:51:16 → 00:51:19 กระบวนการการเรียนรู้นี่แหละว่าไม่ได้ฉัน
00:51:19 → 00:51:22 จะต้องปกป้องตัวเองอันไหนที่ฉันไม่แฮปปี้
00:51:22 → 00:51:25 หรือฉันไม่อยากทำฉันต้อง stand up ขึ้น
00:51:25 → 00:51:29 มาเพื่อที่จะยืนหยัดให้ตัวเองว่าอันนี้
00:51:29 → 00:51:32 ไม่ทำเออแต่พอมันเข้าสู่กระบวนการเรียน
00:51:32 → 00:51:33 รู้อันเนี้ย
00:51:33 → 00:51:37 ไม่มีศิลปะในการที่จะสื่อสารก็พูดคิดว่า
00:51:37 → 00:51:40 นี่คือเราต้องปกป้องตัวเองแล้วเราต้องพูด
00:51:40 → 00:51:43 แล้วก็พูดโดยที่อาจจะทำร้ายจิตใจคนอื่น
00:51:43 → 00:51:47 พูดอาจจะจริงอาจจะตรงโดยที่มันมันซอตได้
00:51:47 → 00:51:51 กว่านั้นมิลปะในการพูดหรือมารยาทได้มาก
00:51:51 → 00:51:54 กว่านั้นมอะไรอย่างเงี้ยนึกออกมั้ยมันก็
00:51:54 → 00:51:56 จะเป็นการค่อยๆเรียนรู้ของเราผ่านกระบวน
00:51:56 → 00:52:01 การต่างๆมาอะไรเงี้ยอืกลับมาที่ข้อชี้แนะ
00:52:01 → 00:52:05 นี้นะเราว่าสิ่งสำคัญก็ต้องใช้การรู้ตัว
00:52:05 → 00:52:09 อยู่ดีอ่ะใช่การที่เราจะเป็นคนที่เคารพ
00:52:09 → 00:52:12 ตัวเองแบบไม่เห็นแก่ตัวอือหรือเราจะเป็น
00:52:12 → 00:52:15 คนดีที่ไม่ต้องแบกความทุกข์อือหัวใจสำคัญ
00:52:15 → 00:52:17 ก็คือการที่เราต้องมีสติแล้วการที่เรา
00:52:17 → 00:52:21 ต้องรู้ตัวอยู่เสมอแล้วก็ไม่ว่าเราจะเจอ
00:52:21 → 00:52:24 อะไรก็เรียนรู้กับมันไม่ว่าจะเจออารมณ์
00:52:24 → 00:52:26 อะไรไม่ว่าจะเป็นความกลัวไม่ว่าจะเป็น
00:52:27 → 00:52:31 ความกังวลการกลัวไม่การคนไม่ยอมรับกลัวคน
00:52:31 → 00:52:33 อื่นมองเราไม่ดีอะไรอย่างเงี้ยไม่ใช่
00:52:33 → 00:52:36 ปัญหาปัญหาคือการที่เรามองเห็นแล้วเราก็
00:52:36 → 00:52:39 ยอมรับแล้วก็เรียนรู้กับมันไปแล้วกลับมา
00:52:39 → 00:52:41 ตรงที่หมอเอิญพูดเลยว่าไม่เบียดเบียนตัว
00:52:41 → 00:52:43 เองแล้วไม่เบียดเบียนคนอื่นอันเนี้ยจะ
00:52:43 → 00:52:46 เป็นสิ่งสำคัญเลยที่ที่จะทำยังไงให้ถ้า
00:52:46 → 00:52:49 เกิดว่าเราเราไม่พูดเราก็คือเบียดเบียน
00:52:49 → 00:52:52 ตัวเองอันนี้ยกตัวอย่างแค่การพูดเนาะเออ
00:52:52 → 00:52:54 เราก็จะเบียดเบียนตัวเองแต่ว่าถ้าเราพูด
00:52:54 → 00:52:57 เราเบียดเบียนคนอื่นมยมันก็ต้องแบบเหมือน
00:52:57 → 00:53:00 ชั่งน้ำหนักอ่ะว่าอะไรที่ทำแล้วมันไม่
00:53:00 → 00:53:03 เบียดเบียนทั้งคู่ในระหว่างที่เราพูดถึง
00:53:03 → 00:53:05 เรื่องของการสูญเสียเรื่องของคุณพ่อคุณ
00:53:05 → 00:53:07 แม่เนี่ยเราจะพูดถึงคำว่าคิดว่าตัวเอง
00:53:07 → 00:53:11 เข้มแข็งคิดว่าตัวเองเข้มแข็งแล้วอย่าง
00:53:11 → 00:53:13 เงี้ยเออ
00:53:13 → 00:53:18 อยู่หลายครั้งพอที่จะแยกออกมั้ยว่าเวลา
00:53:18 → 00:53:20 ที่เราเข้ม
00:53:20 → 00:53:25 แข็งที่พยายามหาข้ออ้างหรือเราจะใช้คำว่า
00:53:25 → 00:53:28 เข้มแข็งปลอมนะเข้มแข็งเทียมอะไรอย่า
00:53:28 → 00:53:31 เงี้ยกับเวลาที่คนเราอยู่ในสภาวะว่าจิต
00:53:31 → 00:53:34 ที่เข้มแข็งจริงๆมันแตกต่างกันยังไงคือ
00:53:34 → 00:53:39 คิดว่าเวลาที่เราคิดว่าเราเข้มแข็งถ้าคิด
00:53:39 → 00:53:42 เร็วๆตอนนี้นะอาจจะมี 2 แบบคือคิดว่าตัว
00:53:42 → 00:53:45 เองเข้มแข็งแล้วแบบไม่ได้ดูตามความเป็น
00:53:45 → 00:53:48 จริงอ่ะว่าแบบภายในเราอาจจะมีความอ่อนแอ
00:53:48 → 00:53:50 หรือว่ายังเปราะบางกับเรื่องใดเรื่อง
00:53:50 → 00:53:52 หนึ่งอยู่แล้วเราไม่รู้ตัวอะไรอย่างเงี้ย
00:53:52 → 00:53:54 เอออันเนี้ยก็อาจจะเป็นอย่างนึงอีกอย่าง
00:53:55 → 00:53:57 นึงก็คือการคิดว่าตัวเองเป็นคนเข้มแข็ง
00:53:57 → 00:54:01 แล้วไปกดคนอื่นไปแบบต้องทำให้ตัวเอ็งตัว
00:54:01 → 00:54:04 ใหญ่อ่ะเพราะเราแบบเก่งและเข้มแข็งและ
00:54:04 → 00:54:07 เก่งมากอะไรอย่างเงี้ยแล้วทำให้เหมือน
00:54:07 → 00:54:09 ต้องไปทำตัวใหญ่ใส่คนอื่นแล้วทำให้คนอื่น
00:54:09 → 00:54:11 ตัวเล็กเพื่อให้เรารู้สึกเราเข้มแข็งอะไร
00:54:11 → 00:54:15 เงี้ยหรือใช้กำลังหรืออะไรก็ตามที่ที่มัน
00:54:15 → 00:54:18 มีเหตุของมันอยู่อะไรเงี้ยพอพออันเนี้ย
00:54:18 → 00:54:22 เป็น 2 อย่างข้างที่คิดว่าเป็นเข้มแข็ง
00:54:22 → 00:54:25 เทียมเนาะเข้มแข็งแท้อ่ะเรารู้สึกว่าจริง
00:54:25 → 00:54:31 ๆแล้วอ่ะมันเป็นอารมณ์ที่ลึกมากอยู่ภายใน
00:54:31 → 00:54:34 และมันเป็นแกนกลางเลยอ่ะที่เราจะไม่สั่น
00:54:34 → 00:54:37 ไหวไปกับเรื่องอะไรก็ตามมันจะเป็นแกนกลาง
00:54:37 → 00:54:41 ของเรื่องความเชื่ออย่างเช่นเราเชื่อใน
00:54:41 → 00:54:44 พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์จะไม่มีอะไรมาทำให้
00:54:44 → 00:54:47 เราไขว้เขวไปจากสิ่งนี้ได้อันนี้ก็เรียก
00:54:47 → 00:54:49 ความเข้มแข็งอันนี้เป็นทางความคิดเนาะ
00:54:49 → 00:54:51 หรือความเข้มแข็งทางจิตใจเวลาที่เราไป
00:54:52 → 00:54:55 ปฏิบัติธรรมแล้วแบบโหมันหนักหนาเหลือเกิน
00:54:55 → 00:54:58 10 วันนี้แบบขาจะไม่ไหวแล้วหลังจะไม่ไหว
00:54:58 → 00:55:01 แล้วเราสู้ต่อมั้แล้วทำมันต่อมั้ยไอ้ความ
00:55:01 → 00:55:04 เข้มแข็งภายในจิตใจเนี่ยแหละมันจะเป็นตัว
00:55:04 → 00:55:07 ส่งออกมาให้ร่างกายเรามันไปต่อได้นี่มัน
00:55:07 → 00:55:10 คล้ายๆความอดทนนะเออแต่ว่ามันมันเป็นความ
00:55:10 → 00:55:13 เข้มแข็งภายในจิตใจความอดทนอาจจะเป็น
00:55:13 → 00:55:16 สับเซตของความเข้มแข็งอ่ะแบบอย่างเช่นว่า
00:55:16 → 00:55:21 ถ้าเรามีความอดทนแต่อดทนแล้วเป็นจุดๆอ่ะ
00:55:21 → 00:55:23 ว่าเราต้องอดทนทำกับสิ่งเนี้ยแต่เข้มแข็ง
00:55:23 → 00:55:25 มันเหมือนเป็นร่มใหญ่ที่ครอบอยู่อ่ะเข้า
00:55:25 → 00:55:29 ใจป่ะว่าว่าเรามุ่งมั่นเรามีจิตจิตใจที่
00:55:29 → 00:55:33 เข้มแข็งกับสิ่งนี้เราจะไม่หวั่นไหวแม้
00:55:33 → 00:55:37 ไม่ว่าจะอะไรก็ตามเราจะกล้าที่จะเผชิญ
00:55:37 → 00:55:40 อย่างความเข้มแข็งเทียมเนี่ยเหมือนกับมัน
00:55:40 → 00:55:44 จะมีความอยากเป็นอยู่ในนั้นน่ะอยากเป็นคน
00:55:44 → 00:55:48 เข้มแข็งแล้วก็มีภาพของว่าคนเข้มแข็งจะ
00:55:48 → 00:55:53 ต้องเป็นยังไงการไม่ได้อนุญาตให้ตัวเอง
00:55:53 → 00:55:57 รู้สึกอย่างเช่นรู้สึกเหนื่อยรู้สึกท้อ
00:55:57 → 00:56:01 แท้รู้สึกแท้คือการที่เราอยู่กับ
00:56:02 → 00:56:06 บรรทัดฐานหรือความคิดของความเข้มแข็งนะ
00:56:06 → 00:56:11 หรืออันที่ 2 ก็คือเป็นความอยากมีตัวตน
00:56:11 → 00:56:16 หรือใช้คำว่าไปกดข่มคนอื่นงั้นทั้งทั้ง 2
00:56:16 → 00:56:19 ตัวเนี่ยก็คือมันเป็นความความอยากที่จะ
00:56:19 → 00:56:22 เป็นน่ะนะแล้วก็มีภาพของความเข้มแข็งใน
00:56:22 → 00:56:27 แบบนั้นความเข้มแข็งจริงๆเนี่ยกลายเป็น
00:56:27 → 00:56:31 ความที่เรากล้าหาญนะกล้าหาญต่อความตั้งใจ
00:56:31 → 00:56:36 ของเราใช่มั้ยกล้าหาญที่จะเผชิญและรับผิด
00:56:36 → 00:56:39 ชอบต่อความตั้งใจนั้นไม่ว่ามันจะเกิดอะไร
00:56:39 → 00:56:43 ขึ้นก็ตามสรุปแบบนี้ใช่ค่ะได้มั้คะใช่ค่ะ
00:56:43 → 00:56:47 ขอบคุณค่ะคำถามสุดท้ายคุณเฌอคิดว่าคุณ
00:56:47 → 00:56:51 เป็นคนเพเฟคมั้ยไม่เลยไม่เลยนี่ๆนี่คุณ
00:56:51 → 00:56:54 ตอบอย่างงี้ดิคือคนทั้งประเทศนี่คือแบบ
00:56:54 → 00:56:58 ตายเลยนะโอโหอันนี้ตอบแบบไม่ได้ถ่อมตัว
00:56:58 → 00:57:02 เลยนะเออไม่ใช่ตอบแบบเออตามมารยาทว่าถ่อม
00:57:02 → 00:57:03 ตัวหรืออะไรแต่ไม่เคไม่รู้สึกอย่างนั้น
00:57:03 → 00:57:06 จริงๆที่เคยเล่าให้หมอเอิ้นฟังอ่ะว่าเรา
00:57:06 → 00:57:08 เป็นคนที่ทำอะไรได้หลายอย่างแต่เราไม่รู้
00:57:08 → 00:57:11 สึกว่าเราทำอะไรได้ดีแบบดีที่สุดสักอย่าง
00:57:11 → 00:57:15 เลยอ่ะแล้วเราก็ถ้าในความหมายคำว่า
00:57:15 → 00:57:17 perfect ของเราอ่ะคนที่เพเfectอ่ะมันคือ
00:57:17 → 00:57:20 ต้อง the best the best the best ใน
00:57:20 → 00:57:24 ทุกช่องอ่ะเข้าใจป่ะซึ่งเรามองว่าเราเป็น
00:57:24 → 00:57:28 คนกลางๆกลางๆแบบมาเรื่อยๆอะไรอย่างเงี้ย
00:57:28 → 00:57:31 อืมอย่างนั้นมากกว่าแล้วก็แต่ถามว่าเรา
00:57:31 → 00:57:35 เป็นคนที่เวลาทำอะไรอ่ะเรา perfectionist
00:57:35 → 00:57:40 มเราเป็นพอสมควรแบบว่าจะทำสิ่งนี้แล้ว
00:57:40 → 00:57:44 อยากทำให้มันดีที่สุดแล้วความละเอียดของ
00:57:44 → 00:57:48 สายตาที่ไปเห็นอะไรที่มันแบบมันบ่ใช่อะไร
00:57:48 → 00:57:50 อย่างเงี้ยเออออกทางรูขลุมขนเลยทีเดียว
00:57:50 → 00:57:52 อ่ามันก็จะออกทางรูขุมขนอีกแล้วอะไรเงี้ย
00:57:52 → 00:57:54 มันก็จะมีแต่อันนั้นน่ะความเป็น
00:57:54 → 00:57:56 perfectionist ไม่ได้หมายความว่าเราเป็น
00:57:56 → 00:57:59 คนเพเฟคแต่เราแค่อยากจะทำในสิ่งที่เราทำ
00:57:59 → 00:58:02 ให้มันดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้อะไร
00:58:02 → 00:58:04 เงี้ยมากกว่าเรามีเรื่องที่อยากจะบอก
00:58:04 → 00:58:08 เชอรรี่เนี่ยต้องบอกต่อหน้ากล้องด้วยหรอ
00:58:08 → 00:58:11 เราไปบอกกันส่วนตัว 2 คนได้มั้ล่ะหะบอก
00:58:11 → 00:58:13 เลยบอกเลยบอกได้เราคุยกับคนน่ะอย่างลึก
00:58:13 → 00:58:17 ซึ้งมาเป็นหมื่นๆคนว่ามันมีไม่กี่ครั้งใน
00:58:17 → 00:58:21 ชีวิตหรือว่าเป็นคนที่เราแทบจะนับที่เรา
00:58:21 → 00:58:24 จะกล้าบอกว่าแบบเฮ้ยคุณเป็นคนดีด้วยจิต
00:58:24 → 00:58:27 วิญญาณของคุณน่ะ
00:58:27 → 00:58:32 เออสิ่งที่จะบอกฉันหรอโอโถขอบคุณนะโอยิ่ง
00:58:32 → 00:58:37 กว่าบอกรักเนาะโอตารื้นเลยอ่ะ
00:58:37 → 00:58:42 เออแต่คืออันนี้คือจริงๆนะจริงๆนะคือ
00:58:42 → 00:58:45 เหมือนเธอเคยถามเราว่าแบบที่คนมองเราหรือ
00:58:45 → 00:58:50 ว่าเนี้ยเราเราดีเองหรือว่ามันคือสิ่งที่
00:58:50 → 00:58:53 หรือเรากำลังหลงกลเป็นไปตามความดีที่คน
00:58:53 → 00:58:57 อื่นเขาเมองมองอยู่ไอ้สิ่งที่คนอื่นมอง
00:58:57 → 00:59:00 มันก็ดันเป็นสิ่งที่ตัวเธอเป็นนะมันมีไม่
00:59:00 → 00:59:03 มากนะกับคนที่การที่เรามองตัวเองแล้วเรา
00:59:03 → 00:59:07 ศรัทธาในตัวเองแล้วเรารู้จักตัวเองเฮ้ย
00:59:07 → 00:59:10 มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นมอง
00:59:10 → 00:59:13 เราเธอดีโดยธรรมชาติฉันไม่เคยเจอใครที่
00:59:13 → 00:59:19 ธรรมชาติเท่าเธอเลย
00:59:20 → 00:59:23 ก็ขอบคุณที่เราได้เจอกันขอบคุณมากๆเลยไม่
00:59:23 → 00:59:25 ควรจะซับน้ำตาซะ
00:59:25 → 00:59:26 นิด
00:59:26 → 00:59:30 นึงจริงป่ะเนี่ยจริงหรือฉันแบบไอ้เนี่ย
00:59:30 → 00:59:35 แสบตาไปป่าบทสรุปของการจูนใจครั้งนี้แล้ว
00:59:35 → 00:59:40 กันเชอรรี่ได้เรียนรู้อะไรในตัวเองมาก
00:59:40 → 00:59:43 ขึ้นมยแล้วได้ข้อสรุปในเรื่องของการจูนใจ
00:59:43 → 00:59:47 ยังไงบ้างเราว่ามันไม่มีข้อสรุปอืการจูน
00:59:47 → 00:59:51 ใจเป็นอะไรที่ไม่มีบทสรุปไม่มีที่สิ้นสุด
00:59:51 → 00:59:56 มันต้องจูนไปเรื่อยๆมันไม่เหมือนไมโครโฟน
00:59:56 → 00:59:59 ที่แบบต้องจูนให้เข้ากับ
00:59:59 → 01:00:03 ลำโพงไปเรื่อยเลยเออแต่ว่ามันคือการจูน
01:00:03 → 01:00:07 ที่มันแบบต้องทำไปเรื่อยๆเพราะว่าสิ่งรอบ
01:00:07 → 01:00:10 ตัวมันมีความเปลี่ยนแปลงตลอดแม้กระทั่ง
01:00:10 → 01:00:13 ภายในเราก็เปลี่ยนแปลงตลอดเพราะฉะนั้นน่ะ
01:00:13 → 01:00:16 พอมันพลวัตขนาดเนี้ยอือมันก็เลยต้องเกิด
01:00:16 → 01:00:20 การจูนตลอดเวลาอืเพราะฉะนั้นถ้าการจูนใจ
01:00:20 → 01:00:23 ที่จะทำให้ดีก็คือต้องหมั่นกลับมาสำรวจ
01:00:23 → 01:00:24 ตัวเองแล้ว
01:00:24 → 01:00:28 ก็สังเกตพูดคุยกับตัวเองอือรู้ให้จริง
01:00:28 → 01:00:30 เกี่ยวกับตัวเองอะไรเงี้ยอืออืออันนี้ก็
01:00:30 → 01:00:33 อาจจะเป็นอันนึงที่ทำให้จูนใจได้แล้วก็
01:00:33 → 01:00:38 อย่าคิดว่าตัวเองรู้หมดทุกอย่างแล้วอ่ะอื
01:00:38 → 01:00:41 เพราะว่าการไม่รู้มันก็เป็นข้อดีของการ
01:00:42 → 01:00:45 ที่จะทำยังไงให้รู้แล้วก็หาความรู้ได้
01:00:45 → 01:00:48 อย่าเป็นน้ำเต็มแก้วอ่ะแหละอือุ้ยอันนี้
01:00:48 → 01:00:52 อันนี้ตันนี้ต้องเอาไว้เลยนะ
01:00:52 → 01:00:55 ขอบคุณค่ะขอบคุณขอบคุณมากๆเลยหมอเอิ้ลอื
01:00:55 → 01:01:00 ขอบคุณเจอรรี่ด้วยค่ะยินดีมากๆ
01:01:00 → 01:01:02 ขอบคุณค่ะ
01:01:02 → 01:01:05 ถ้าจูนใจพcสเป็นประโยชน์กับใจคุณและเพื่อ
01:01:05 → 01:01:09 ความยั่งยืนของจูนใจฝากสนับสนุนด้วยการกด
01:01:09 → 01:01:11 ไลค์กดแชร์กด Subscribe และกดกระดิ่ง
01:01:11 → 01:01:15 กลิ้งๆด้วยนะคะ