00:00:00 → 00:00:03 This is Thai PBS podcast vi the
00:00:03 → 00:00:06 world by the voice.
00:00:06 → 00:00:08 สารสำคัญที่อยู่ในตัวมัดฉาหรือชาเขียว
00:00:08 → 00:00:11 เนี่ยตัวนึงเนี่ยซึ่งเป็นสารต่อต้าน
00:00:11 → 00:00:14 อนุมูลอิสระสูงแล้วอีกตัวนึงมีฤทธิ์เพิ่ม
00:00:14 → 00:00:17 คลื่นสมองalฟ่าเวฟแต่มันก็มีสิ่งที่ต้อง
00:00:17 → 00:00:20 พึงระวังด้วยนะเพราะบางคนเอามัฉะไปใส่น้ำ
00:00:20 → 00:00:25 ตาลใส่นมน้ำตาลเองเนี่ยมันจะไปบล็อกการ
00:00:25 → 00:00:28 ออกฤทธิ์ของมัจฉะทำให้ออกฤทธิ์น้อยลงนม
00:00:28 → 00:00:31 เหมือนกันครับบางคนบอกว่าอาจารย์งั้นใส่
00:00:31 → 00:00:33 นมเข้าไปสิโปรตีนตัวนึงที่อยู่ในนมเรา
00:00:33 → 00:00:37 เรียกว่าเคซีนมันจะไปจับกับสาร EGCG ใน
00:00:37 → 00:00:40 มัชฉะแล้วทำให้มัฉะออกฤทธิ์ลดลงครับดีที่
00:00:40 → 00:00:41 สุดคือกินแบบ
00:00:41 → 00:00:42 >> เพียว
00:00:42 → 00:00:45 >> ถูกต้องเลย 100%
00:00:45 → 00:00:49 >> ฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคภัยฟังราย
00:00:49 → 00:00:52 การโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงษ์สถิตพรค่ะ
00:00:52 → 00:00:55 >> This is Thai PBS Podcast
00:00:55 → 00:00:58 >> คุณผู้ฟังเราจะมาคุยกันกับเรื่องของ
00:00:58 → 00:01:01 เครื่องดื่มสุดฮิตนะคะโอ้โหตอนนี้ฮิตมาก
00:01:01 → 00:01:03 สิ่งเนี้ยจะอยู่ในเครื่องดื่มหลากหลาย
00:01:03 → 00:01:05 ประเภทนะคะแม้กระทั่งขนมหวาน
00:01:05 → 00:01:08 นะอาหารบางอย่างนี้ก็เอามาผสมกันนะคะก็
00:01:08 → 00:01:11 คือมัจฉะนั่นเองนะคะโอ้โหฮิตมากเดี๋ยวนี้
00:01:11 → 00:01:13 ไปไหนก็มัจฉะมัฉะก็บอกว่าเพื่อสุขภาพเอ๊ะ
00:01:13 → 00:01:17 จริงหรือเปล่าแล้วมัฉะกับชาเขียวเอ๊ะยัง
00:01:17 → 00:01:19 ไงเหมือนกันมยนะคะคุยกับผู้ช่วย
00:01:19 → 00:01:22 ศาสตราจารย์ดร.เอกราชบำรุงพืชจากวิทยาลัย
00:01:22 → 00:01:24 การแพทย์บูรณาการมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต
00:01:24 → 00:01:26 ค่ะสวัสดีค่ะอาจารย์คะ
00:01:26 → 00:01:27 >> สวัสดีครับผม
00:01:27 → 00:01:31 >> โอ้โหตอนนี้ฮิตมากค่ะอาจารย์ทั้งมัฉะชง
00:01:31 → 00:01:36 แบบไม่ผสมอะไรเลยมัจฉะนมเป็นเครื่องดื่ม
00:01:36 → 00:01:40 เนาะถามอาจารย์นิดนึงเพราะมันมีข้อสงสัย
00:01:40 → 00:01:41 มัฉะกับชาเขียว
00:01:42 → 00:01:43 >> มันอันเดียวกันมั้ยคะ
00:01:43 → 00:01:46 >> อ่าจริงๆแล้วเนาะต้องบอกก่อนเลยว่ามัจฉะ
00:01:46 → 00:01:48 เนี่ยมันก็คือชาเขียวนี่แหละครับ
00:01:48 → 00:01:48 >> อื
00:01:48 → 00:01:52 >> ทำมาจากใบชาเขียวเขียวแล้วก็เอามาผ่าน
00:01:52 → 00:01:55 กระบวนการอาจจะไปนึ่งแล้วก็ไปทำให้มัน
00:01:55 → 00:01:59 แห้งนะครับแล้วก็มาบดเป็นผงละเอียดอย่าง
00:01:59 → 00:02:02 ที่เราเห็นแล้วก็เอามาประยุกต์ใช้ใน
00:02:02 → 00:02:05 >> อุตสาหกรรมอาหารต่างๆอย่างที่คุณรีบอกไม่
00:02:05 → 00:02:06 ว่าจะเป็นเมนูเครื่องดื่มต่างๆหรือ
00:02:06 → 00:02:11 ไอศครีมช็อกโกแลตนะคือโอ้โหสารพัดเมนูที่
00:02:11 → 00:02:14 >> เรียกว่ากระแสมัฉะฟีเวอร์อ
00:02:14 → 00:02:16 >> นะครับมาสักช่วงนึงแล้วแหละนะจริงๆแล้ว
00:02:16 → 00:02:18 มันก็คือชาเขียวนี่แหละที่เอามาผ่าน
00:02:18 → 00:02:21 กระบวนการบดเป็นผงละเอียดแล้วก็เอามาใช้ง
00:02:21 → 00:02:24 ดื่มเลยก็ได้นะหรือในเมนูต่างๆส่วนไอ้จา
00:02:24 → 00:02:27 เขียวที่เราพูดถึงส่วนใหญ่เนี่ยมาจากใบชา
00:02:27 → 00:02:29 เขียวเหมือนกันแต่ว่ามันอาจจะไปตากแห้งอบ
00:02:29 → 00:02:33 แห้งใดๆก็ตามแต่แล้วก็มาเป็นใบชาที่อยู่
00:02:33 → 00:02:34 ในซอง
00:02:34 → 00:02:37 >> นึกออกใช่มั้ยครับอ่าที่เราเอามาแช่น้ำ
00:02:37 → 00:02:41 ร้อนนะครับหรือบางทีเนี่ยเอาไปผ่านกระบวน
00:02:41 → 00:02:45 การต่างๆแล้วเอาไปชงเรียบร้อยแล้วเป็นชา
00:02:45 → 00:02:46 เขียวสำเร็จรูปพร้อมดื่ม
00:02:46 → 00:02:47 >> ออ
00:02:47 → 00:02:50 >> นะฮะพวกนั้นเนี่ยสารสำคัญหรือสารออกฤทธิ์
00:02:50 → 00:02:53 มันจะไม่เข้มข้นเท่ากับมัจฉะ
00:02:53 → 00:02:55 >> แล้วมัจฉะเวลาใช้เนี่ยปริมาณเนี่ยนิด
00:02:55 → 00:02:58 เดียวมันก็มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ในการต่อ
00:02:58 → 00:03:02 ต้านอนุมูลอิสระเนี่ยสูงกว่าพวกชาเขียว
00:03:02 → 00:03:06 ที่เราแช่น้ำนะเป็นซองๆนะหรือยิ่งเป็นชา
00:03:06 → 00:03:08 เขียวที่เป็นพร้อมดื่มอันนั้นเนี่ยสาร
00:03:08 → 00:03:10 สำคัญมันก็อาจจะถูกเจือจางไป
00:03:10 → 00:03:13 >> แต่ว่าก่อนหน้าที่จะมามัฉาเนี่ยก่อนหน้า
00:03:13 → 00:03:15 นู้นชาเขียวก็โอ้โหฮิตเหมือนกันนะคะซ
00:03:15 → 00:03:16 >> ฮิตเลยครับผม
00:03:16 → 00:03:19 >> ฮิตมากเอะอะชาเขียวเอะชาเขียวเขียวนะคะ
00:03:19 → 00:03:22 แล้วก็มีแบบมาเป็นแบบพร้อมดื่มแต่ผสมความ
00:03:22 → 00:03:23 หวานเยอะไปหน่อย
00:03:23 → 00:03:26 >> ใช่ครับผมอันเนี้ยจะต้องพึงระวังพอมัน
00:03:26 → 00:03:29 เป็นผงมัฉาปุ๊บที่มันเป็นแบบความเข้มข้น
00:03:29 → 00:03:30 สูงเนาะ
00:03:30 → 00:03:33 >> มันก็สามารถที่จะเอาไปดื่มได้โดยตรงโดย
00:03:33 → 00:03:35 ที่เราให้สารสำคัญเนี่ยออกฤทธิ์เนี่ย
00:03:35 → 00:03:37 สำคัญเนี่ยในมัจฉะหรือชาเขียวเนี่ย
00:03:37 → 00:03:40 >> เข้มข้นเลยนะครับซึ่งสารสำคัญที่อยู่ใน
00:03:40 → 00:03:43 ตัวมัจฉะเองเนี่ยนะครับหรือชาเขียวเนี่ย
00:03:43 → 00:03:45 มันจะมีอยู่ 2 ตัวด้วยกันนะเปรียบประดุจ
00:03:45 → 00:03:49 ดังพระเอกนางเอกอ่าสารตัวนึงเนี่ยอยู่ใน
00:03:49 → 00:03:52 กลุ่มของฟาวนอยนะครับอ่าเราเรียกว่า
00:03:52 → 00:03:53 แคติชิน
00:03:53 → 00:03:56 >> นะซึ่งไอ้เจ้าแคติชินตัวเนี้ยมันมีสารใน
00:03:56 → 00:03:59 กลุ่มเนี้ยอีกเยอะมากเลยบางคนเคยได้ยินคำ
00:03:59 → 00:04:00 ว่า
00:04:01 → 00:04:03 >> นะหรืออภิแกโลแคติชิน
00:04:03 → 00:04:05 แกเลตท่านผู้ฟังอาจจะแบบโอ้โหอาจารย์
00:04:05 → 00:04:06 >> นะ
00:04:06 → 00:04:07 >> ไม่ต้องไม่จำก็ได้
00:04:07 → 00:04:09 >> อ่าไม่จำก็ได้แต่ง่ายๆเลยว่าเฮ้ยชาเขียว
00:04:09 → 00:04:12 เนี่ยมันมี EGCG ซึ่งเป็นสารต่อต้าน
00:04:12 → 00:04:14 อนุมูลอิสระสูง
00:04:14 → 00:04:17 >> นะชะลอความเสื่อมความแก่การตายของเซลล์
00:04:18 → 00:04:20 เซลล์การกลายพันธุของเซลล์ได้ดีนะครับ
00:04:20 → 00:04:24 อันเนี้คือ EGCG ที่อยู่ในมัฉะนะครับหรือ
00:04:24 → 00:04:27 ชาเขียวนะแล้วอีกตัวนึงเป็นกรดอะมิโนที่
00:04:27 → 00:04:29 อยู่ในชาเขียวเหมือนกัน
00:04:29 → 00:04:31 >> เขาเรียกว่าLอนีน
00:04:32 → 00:04:33 >> กรดอะมิโนตัวเนี้ย
00:04:33 → 00:04:36 >> จะมีฤทธิ์โดดเด่นในแง่ของการไป
00:04:36 → 00:04:38 >> เพิ่มคลื่นสมองalฟ่าเวฟ
00:04:38 → 00:04:38 >> โอ
00:04:38 → 00:04:42 >> ทำให้เรารู้สึกสงบผ่อนคลายลดความเครียด
00:04:42 → 00:04:45 ความวิตกกังวลทีนี้ชาเขียวมันก็มีอยู่
00:04:45 → 00:04:46 หลายรูปแบบ
00:04:46 → 00:04:46 >> ใช่
00:04:46 → 00:04:50 >> มัจฉะเป็นรูปแบบที่โหมันมีสารสำคัญเนี่ย
00:04:50 → 00:04:51 เข้มข้นเลย
00:04:51 → 00:04:54 >> นะแล้วกระบวนการที่เก็บนะครับอย่างที่ต้น
00:04:54 → 00:04:56 ตำรับเลยประเทศญี่ปุ่นเนี่ยเค้าก็จะมี
00:04:56 → 00:04:59 วิธีการของเขาว่าเช่นก่อนที่จะเก็บเนี่ย
00:04:59 → 00:05:03 ก็ใช้อารมณ์ประมาณเหมือนกลางมุ้งอ่ะครับ
00:05:03 → 00:05:03 >> อื
00:05:03 → 00:05:08 >> อ่าให้ใช่ใช่ครับผมเพื่อกันแดดนะให้แสง
00:05:08 → 00:05:09 แดดเนี่ย
00:05:09 → 00:05:11 >> มันส่องแบบลำไล
00:05:11 → 00:05:16 >> อ่าซัก 15% นะ 20% อะไรอย่างเงี้ยครับ
00:05:16 → 00:05:20 เพื่อให้มันมีสารสำคัญในกลุ่มของแtีน
00:05:20 → 00:05:22 เนี่ยกรดอะมิโนตัวเนี้ย
00:05:22 → 00:05:23 >> นะครับ
00:05:23 → 00:05:24 >> สูงขึ้น
00:05:24 → 00:05:28 >> แล้วก็ไปเก็บนะเก็บเอาเฉพาะยอดใบอย่างที่
00:05:28 → 00:05:30 เราเคยเห็นมั้เพื่อคัดใบชาออกมาแล้วมีสาร
00:05:30 → 00:05:31 สำคัญสูง
00:05:32 → 00:05:34 >> นะครับมันก็จะมีมูลค่าสูง
00:05:34 → 00:05:34 >> ค่ะ
00:05:34 → 00:05:37 >> อ่าเพราะมันมีคุณค่าเนี่ยสูงมาก
00:05:37 → 00:05:38 >> อื
00:05:38 → 00:05:40 >> นะต่อในแง่ของโภชนาการ
00:05:40 → 00:05:43 >> โอแค่พิถีพิฐานการเก็บก็ส่วนนึงแล้วนะ
00:05:43 → 00:05:46 >> ใช่อ่ามันไม่เหมือนแบบเฮ้ยเราเอาใบรองของ
00:05:46 → 00:05:50 ยอดชาเราเอาใบอื่นๆอย่างเงี้ยครับแล้วเอา
00:05:50 → 00:05:53 มาใช้บางทีมันมีหลายเกรดถ้าเกรดพิธีการ
00:05:53 → 00:05:55 เลยของมัชฉะนะคงเคยได้ยินใช่มั้คุณคงเคย
00:05:55 → 00:05:58 ได้ยินเกรดพิธีการแบบมาจากญี่ปุ่นเลยใช้
00:05:58 → 00:06:01 ในงานพิธีการชนชั้นสูงบริโภคราคาก็จะสูง
00:06:01 → 00:06:04 มากเพราะสารสำคัญเข้มข้นสารออกฤทธิ์สำคัญ
00:06:04 → 00:06:05 เข้มข้น
00:06:05 → 00:06:08 >> แต่พอมาแบบเกรดธรรมดาหน่อยมันก็จะแี่กัน
00:06:08 → 00:06:13 ไปโดยเฉพาะในบ้านเราถ้าใช้ในอุตสาหกรรม
00:06:13 → 00:06:16 เครื่องดื่มบางทีเครื่องดื่มทั่วไปนะที่
00:06:16 → 00:06:19 เราเห็นกันอยู่ที่เป็นชาเขียวพร้อมดื่ม
00:06:19 → 00:06:19 >> ค่ะ
00:06:19 → 00:06:22 >> อันนั้นเนี่ยสารแอนตี้ออกซิดนหรือสารต้าน
00:06:22 → 00:06:24 อนมูอิสระเนี่ยก็จะมีอยู่น้อยครับเพราะ
00:06:24 → 00:06:27 ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นน้ำตาลฟุกโตสฟุกโตส
00:06:27 → 00:06:28 คอนไซลับ
00:06:28 → 00:06:30 >> นึกออกมั้ครับที่เราเห็นขวดต่างๆเนี่ย
00:06:30 → 00:06:34 สารพัดยี่ห้อเลยนะอันนั้นเนี่ยสารสำคัญ
00:06:34 → 00:06:36 มันก็จะน้อยมันก็ไม่เหมือนกับ
00:06:36 → 00:06:39 >> เป็นซองอย่างที่คุณลีบริโภคอยู่เป็นซองชง
00:06:39 → 00:06:42 ใช่มั้ยครับอ่าอันนั้นมันก็มีสารสำคัญ
00:06:42 → 00:06:42 อยู่นะ
00:06:43 → 00:06:44 >> อ่าในระดับนึง
00:06:44 → 00:06:47 >> ในระดับนึงอ่าแต่ถ้าจะเอาแบบเข้มข้นเลยก็
00:06:47 → 00:06:50 จะเป็นมัจฉะนี่แหละอ
00:06:50 → 00:06:54 >> แต่แบบว่าคือหลายคนก็อาจจะแบบมีวิธีในการ
00:06:54 → 00:06:56 ที่จะกินมัฉะแตกต่างกันไปเพราะอย่าง
00:06:57 → 00:06:58 อาจารย์บอกว่าถ้าแบบในพิธีการที่เราจะ
00:06:58 → 00:07:00 เห็นกว่าจะชงชา
00:07:00 → 00:07:06 >> ใช่ครับน้ำร้อนลวกแกลของน้ำนู่นนี่นั่น
00:07:06 → 00:07:09 >> เยอะมากเพราะกระบวนการเนี่ยจริงๆแล้ว
00:07:09 → 00:07:11 เนี่ยอาจารย์บอกเลยว่ากว่าจะถึงมือผู้
00:07:11 → 00:07:12 บริโภคเนาะ
00:07:12 → 00:07:13 >> ตั้งแต่ต้นน้ำเลยครับ
00:07:13 → 00:07:19 >> อืต้นน้ำเนี่ยคือดินฟ้าอากาศอุณหภูมิ
00:07:19 → 00:07:23 กระบวนการเพาะปลูกนะต่างๆมีผลต่อสารออก
00:07:23 → 00:07:26 ฤทธิ์สำคัญที่อยู่ในมัฉหรือฉาเขียว
00:07:26 → 00:07:27 >> อื
00:07:27 → 00:07:30 >> อ่าแล้วกระบวนการผลิตต่างๆจนมาถึงมือผู้
00:07:30 → 00:07:34 บริโภคเองวิธีการชงก็ส่งผลอ่าฮะ
00:07:34 → 00:07:38 >> นะว่าอุณหภูมิความร้อนของน้ำนะคือ
00:07:38 → 00:07:42 >> หลายสิ่งมากนะจนรับเข้าสู่ร่างกายของเรา
00:07:42 → 00:07:44 เนี่ยกว่าจะได้คุณประโยชน์จากมันแล้วมัน
00:07:44 → 00:07:48 มีมันมีงานวิจัยอันนึงที่นักศึกษาปริญญา
00:07:48 → 00:07:50 ทโวของที่หลักสูตรวิทยาการชะลอวัยและฟื้น
00:07:50 → 00:07:51 ฟูสุขภาพ
00:07:51 → 00:07:53 >> เนาะที่จะเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรอยู่
00:07:53 → 00:07:55 เนี่ยทำการศึกษาวิจัยเอามัจฉะเนี่ยครับ
00:07:56 → 00:07:59 ที่ขายอยู่ในประเทศไทยมาเปรียบเทียบนะ
00:07:59 → 00:08:02 ศึกษาฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระในห้อง
00:08:02 → 00:08:06 ปฏิบัติการซึ่งเขาเรียกค่านี้ว่าค่าโกคนะ
00:08:06 → 00:08:10 ครับคือคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
00:08:10 → 00:08:13 ในรูปแบบของออกซิเจนที่เป็นฟรี radical
00:08:13 → 00:08:15 หรือเป็นอนุมูลอมูลอิสระเพราะคนเราทุกคน
00:08:15 → 00:08:18 เนี่ยตราบใดที่ดินไม่กบหน้าเราจะมีอนุมูล
00:08:18 → 00:08:21 อิสระเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลานึกออกมั้ครับ
00:08:21 → 00:08:25 คือเราหายใจอ่ะทุกครั้งที่เราหายใจนะล้วน
00:08:25 → 00:08:27 แล้วแต่มีการสันดาบของ
00:08:27 → 00:08:29 >> สารอาหารต่างๆที่เราได้รับเข้าไปกินเข้า
00:08:29 → 00:08:32 ไปเพื่อให้ได้พลังงานอาจารย์เปรียบชีวิต
00:08:32 → 00:08:33 คนเราเนี่ยครับ
00:08:33 → 00:08:33 >> อ
00:08:33 → 00:08:35 >> เหมือนกับรถยนต์
00:08:35 → 00:08:36 >> ค่ะ
00:08:36 → 00:08:38 >> ที่สตาร์ทอยู่ตลอดเวลานะครับ
00:08:38 → 00:08:40 >> ติดเครื่องอยู่ตลอดเวลา
00:08:40 → 00:08:40 >> ค่ะ
00:08:40 → 00:08:42 >> อ่าไม่มีวันดับนะ
00:08:42 → 00:08:43 >> ต่อให้เราหลับเป็นไงครับ
00:08:44 → 00:08:45 >> มันก็ยังคับเคลื่อน
00:08:45 → 00:08:47 >> ถูกต้องเราไม่ได้เหยียบคันเร่งนี่เราออก
00:08:47 → 00:08:49 มาทำงานทุกวันเนี้ยเหมือนเหยียบคันเร่งนะ
00:08:49 → 00:08:51 เคลื่อนไหวร่างกายถูกมั้ยเกิดการเผาผ่าน
00:08:51 → 00:08:52 เยอะขึ้น
00:08:52 → 00:08:53 >> แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่ได้เหยียบคันเร่ง
00:08:53 → 00:08:54 >> อื
00:08:54 → 00:08:56 >> จอดไว้เฉยๆเรายังสตาร์ทเครื่องอยู่นะ
00:08:56 → 00:08:57 >> ค่ะ
00:08:57 → 00:08:59 >> อ่าเหมือนร่างกายของเราอ่ะหลับแล้วก็ยัง
00:08:59 → 00:09:02 หายใจอ่ะการทำงานต่างๆของร่างกายของเรา
00:09:02 → 00:09:05 มันก็ยังมีการใช้พลังงานมันก็เกิดการเผา
00:09:05 → 00:09:06 ผลาญ
00:09:06 → 00:09:07 >> ไอ้พลังงาน
00:09:07 → 00:09:09 >> จากอาหารที่เรากินก็เหมือนน้ำมันที่เรา
00:09:09 → 00:09:12 เติมเข้าไปในรถแล้วเกิดการสันดาบเผาผลาญ
00:09:12 → 00:09:14 แล้วมันมีทอดอ้อยเสียเห็นมั้ยครับอ่าของ
00:09:14 → 00:09:14 เสีย
00:09:14 → 00:09:16 >> อ่ามันก็เหมือนกับของเสียนี่แหละอนุมูล
00:09:16 → 00:09:18 อิสระเนี่ยก็เป็นของเสียที่ร่างกายเนี่ย
00:09:18 → 00:09:22 มันผลิตขึ้นซึ่งมีความเป็นพิษต่อเซลล์
00:09:22 → 00:09:24 เพราะมันทำให้เซลล์ของเราเนี่ยเสื่อมแก่
00:09:24 → 00:09:26 ตายแล้วกายพันธุ์เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ
00:09:26 → 00:09:27 เกิดขึ้นแล้ว
00:09:27 → 00:09:30 >> แล้วสารต้านอนุอิสระก็คือจากอาหารที่เรา
00:09:30 → 00:09:34 กินวิตามิน A C E อะไรต่างๆเหล่านี้รวม
00:09:34 → 00:09:38 ไปถึงกลุ่มของแอนตี้ออกซิดนที่อยู่ในชา
00:09:38 → 00:09:40 เขียวที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระก็คือพวก
00:09:40 → 00:09:41 แคติชิน
00:09:41 → 00:09:41 >> อค่ะ
00:09:41 → 00:09:44 >> อ่าพวกนี้แหละครับหรือ EGCG นี่แหละที่
00:09:44 → 00:09:47 กำจัดอนุมูลอิสระทีนี้พอไปทดลองในห้อง
00:09:47 → 00:09:50 ปฏิบัติการเนี่ยโอหเราจะเห็นเลยเก็บมานัก
00:09:50 → 00:09:52 ศึกษาเก็บตัวอย่างมา 10 ยี่ห้อที่ขายอยู่
00:09:52 → 00:09:55 ตามร้านสะดวกซื้อนะครับให้ผลในการต่อต้าน
00:09:55 → 00:09:57 อนุมูลอิสระเนี่ยสูงมาก
00:09:57 → 00:09:58 >> อ๋อ
00:09:58 → 00:10:01 >> อ่าค่าที่วัดออกมาเนี่ยสูงมากเมื่อเทียบ
00:10:01 → 00:10:04 กับงานวิจัยที่วัดผลด้วยค่าเดียวกันก็คือ
00:10:04 → 00:10:08 เอาชาเขียวพร้อมดื่มที่เราเห็นขวดขวดๆ
00:10:08 → 00:10:11 ทั้งหลายแหล่ขวดน้ำที่อยู่ในขวดแช่อยู่
00:10:11 → 00:10:13 ตามตู้เย็นต่างๆตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ
00:10:13 → 00:10:15 หรือซุเปอร์มาร์เก็ตต่างๆเนี่ยก็เก็บมา
00:10:15 → 00:10:16 ค่ะ
00:10:16 → 00:10:18 >> ผลเนี่ยมันต่างกันเยอะมากเลยนะ
00:10:18 → 00:10:21 >> มัชฉะเนี่ยมีค่าโอคเนี่ยหลักร้อยยี่ห้อ
00:10:21 → 00:10:24 ที่สูงเนี่ยเป็นพันเลยก็มีถามว่าเอ้ยของ
00:10:24 → 00:10:26 ไทยเราเองเนี่ยค่าก็หลายร้อยมากในการต่อ
00:10:26 → 00:10:27 ต้านอนุมูลอิสระ
00:10:27 → 00:10:28 >> ก็ได้อยู่
00:10:28 → 00:10:31 >> ได้อยู่เพราะในขวดพร้อมดื่มเนี่ยค่าเนี่ย
00:10:31 → 00:10:33 มันอยู่แค่หลักสิบ
00:10:33 → 00:10:36 >> อ่าฉะนั้นแล้วเนี่ยมันจะต่างกันเยอะนะ
00:10:36 → 00:10:40 แล้วถ้าเรากินมัฉะอันเนี้ยฤทธิ์ในการ
00:10:40 → 00:10:43 >> ต่อต้านอนุอิสระเนี่ยที่เราจะได้รับเนี่ย
00:10:43 → 00:10:46 มันสูงกว่าที่เป็นชาเขียวพร้อมดื่มสำเร็จ
00:10:46 → 00:10:49 รูปพร้อมดื่มนะพวกนั้นส่วนใหญ่มันก็จะ
00:10:49 → 00:10:52 เป็นพวกฟลุกโต๊ดนะน้ำตาลฟรุกโต๊ดคอนไซลับ
00:10:52 → 00:10:55 นะแล้วมันก็มีกลิ่นรสของชาเขียวปรุงแต่ง
00:10:55 → 00:10:58 ขึ้นมานะมีถามว่ามีชาเขียวอยู่มั้ยก็มี
00:10:58 → 00:11:02 แหละแต่มันถูกเจือจางไปมันก็น้อยแล้วคนก็
00:11:02 → 00:11:04 จะมาฮิตกินแบบเฮ้ยเนี่ยมัฉะแบบ
00:11:04 → 00:11:05 >> เพียวๆ
00:11:05 → 00:11:07 >> เข้มข้นเลยเพียวๆเลยเพราะฤทธิ์เนี่ยในการ
00:11:07 → 00:11:11 ต่อต้านอนุมูลอิสระมันสูงแล้วประโยชน์ของ
00:11:11 → 00:11:14 มัฉะหรือชาเขียวเนี่ยมันไม่ใช่แค่เป็น
00:11:14 → 00:11:17 แอนตี้ออกซิดนะต่อต้านความเสื่อมชราของ
00:11:17 → 00:11:19 เซลล์เนาะไอ้สารต้านอนุิสระมันก็ช่วยชะลอ
00:11:20 → 00:11:22 ความเสื่อมของเซลล์ไม่เพียงเท่านั้นนะจาก
00:11:22 → 00:11:25 การศึกษาวิจัยเนี่ยนะอันนี้อาจารย์บอกเลย
00:11:25 → 00:11:27 ว่าเยอะมากที่มีการศึกษาวิจัยทางคลินิก
00:11:27 → 00:11:31 หรือการศึกษาวิจัยในมนุษย์ถึงสารสำคัญนะ
00:11:31 → 00:11:33 EGCG ที่อยู่ในชาเขียวเนี่ย
00:11:33 → 00:11:36 >> โดยเฉพาะมัจฉะเนี่ยมันช่วยเพิ่มกระบวนการ
00:11:36 → 00:11:38 เผาผลาญไขมันของร่างกาย
00:11:38 → 00:11:39 >> อุย
00:11:39 → 00:11:42 >> ก็มีผลในการช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้
00:11:42 → 00:11:43 >> ออ
00:11:43 → 00:11:47 >> อ่าแต่ไม่ใช่ว่าหูคุณลีฟาดมัชะดื่มมัชฉะ
00:11:47 → 00:11:48 ไปทุกวันทุกวันแล้ว
00:11:48 → 00:11:49 >> อย่างเดียวเลย
00:11:49 → 00:11:52 >> อย่างเดียวเลยโดยที่อาหารฉันไม่คุมกำลัง
00:11:52 → 00:11:54 กายฉันไม่ออกหรือเคลื่อนไหวร่างกายฉันไม่
00:11:54 → 00:11:57 เคลื่อนย้ายใดๆเลยนึกออกมั้ครับคือแบบ
00:11:57 → 00:11:59 เดินฉันก็ไม่เดินนะไม่เดิน
00:11:59 → 00:12:01 >> เออกำลังจะถามอยู่เพราะว่าถ้าเกิดกินอัน
00:12:01 → 00:12:02 นี้ไปแล้วอ่ะแต่ว่าเรายังใช้ชีวิตเหมือน
00:12:02 → 00:12:03 เดิมนะ
00:12:03 → 00:12:07 >> อ่านั่งๆนอนเ้าเรียกไสลหรือพฤติกรรมนวย
00:12:07 → 00:12:07 นิ่ง
00:12:07 → 00:12:12 >> เออก็อยากจะให้มัจฉะได้ช่วยผลาญ
00:12:12 → 00:12:15 >> ก็ได้แต่ว่ามันเกินต้าน
00:12:15 → 00:12:17 >> นึกออกมั้ยพฤติกรรมเราแบบว่าเนยนิ่งเกิน
00:12:17 → 00:12:21 ไปนะเราก็จะต้องควบคุมอาหารร่วมด้วยเพื่อ
00:12:21 → 00:12:23 ประสิทธิผลที่ดีอย่าลืมว่าพวกเนี้ยมัน
00:12:23 → 00:12:25 เหมือนเป็นตัวช่วยเสริม
00:12:25 → 00:12:27 >> นะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอ
00:12:27 → 00:12:27 >> อ่า
00:12:27 → 00:12:30 >> แต่ตัวหลักของเราเนี่ยเราต้องคุมอาหาร
00:12:30 → 00:12:30 >> ค่ะ
00:12:30 → 00:12:32 >> นะเราก็จะต้องมีการเคลื่อนไหวร่างกายบาง
00:12:33 → 00:12:35 คนบอกออกกำลังกายพอพูดออกกำลังกายปุ๊บแค่
00:12:35 → 00:12:37 พูดก็คิดก็เหนื่อยแล้วอาจารย์
00:12:37 → 00:12:40 >> ไม่ต้องอะไรมากเลยคุณแค่แค่ลุกขึ้นมาเดิน
00:12:40 → 00:12:41 หลังมื้ออาหาร
00:12:41 → 00:12:41 >> ค่ะ
00:12:41 → 00:12:44 >> คุณจะเผาผ่านไขมันเผาผ่านน้ำตาลหลังมื้อ
00:12:44 → 00:12:46 เนี่ยแล้วเพิ่มความไวของอินซูลินเนี่ยได้
00:12:46 → 00:12:49 ดีขึ้นเนี่ยไม่ต่ำกว่า 10-20% และ
00:12:49 → 00:12:49 >> อ
00:12:49 → 00:12:52 >> นะคุณควบคุมน้ำตาหลังมื้ออาหารได้ดีขึ้น
00:12:52 → 00:12:54 >> คุณลีเดินหลังมื้ออาหารแค่ 10 นาที -1
00:12:54 → 00:12:56 นาทีวันนึง 3 มื้อเลยอ่ะ
00:12:56 → 00:12:57 >> เดิน
00:12:57 → 00:12:58 >> เดินไปได้ 45 นาทีแหละ
00:12:58 → 00:12:59 >> อ่า
00:12:59 → 00:13:02 >> อ่าโดยเราแทรกพฤติกรรมเหล่าเนี้ยในชีวิต
00:13:02 → 00:13:03 ประจำวันของเรา
00:13:03 → 00:13:03 >> ค่ะ
00:13:03 → 00:13:06 >> เราไม่ต้องไปหาเวลาว่าเฮ้ยเดี๋ยวฉันต้อง
00:13:06 → 00:13:08 มีเวลาฉันไม่มีเวลาเลยเช้ามาก็ต้องรีบ
00:13:08 → 00:13:11 ตื่นอื่นไปทำงานรีบไปส่งลูกรีบไปประชุม
00:13:11 → 00:13:11 >> อือ
00:13:11 → 00:13:14 >> นะเจ้านายเรียกตามตัวนู่นนี่นั่นแล้วพอ
00:13:14 → 00:13:16 เย็นมาโอ้ยเหนื่อยฉันไม่มีอะไรออกกำลัง
00:13:16 → 00:13:19 >> เราก็ต้องพยายามที่จะสอดแทรกเข้าไป
00:13:19 → 00:13:19 >> อื
00:13:19 → 00:13:22 >> ในการเคลื่อนไหวร่างกายให้เข้ากับ
00:13:22 → 00:13:24 >> วิถีชีวิตของเรานี่แหละ
00:13:24 → 00:13:27 >> นะมีการเดินมันก็โอเคแล้วนะทุกวันเนี้ย
00:13:27 → 00:13:28 เมื่อก่อนเราแนะนำเดิน 19,000 ใช่มั้ย
00:13:28 → 00:13:29 ครับ
00:13:29 → 00:13:30 >> อ่า
00:13:30 → 00:13:33 >> มันมีงานวิจัยออกมาล่าสุดว่าเฮ้ยเดินแค่
00:13:33 → 00:13:35 4-5,900 เนี่ยขึ้นไปต่อวัน
00:13:35 → 00:13:36 >> อ้าว
00:13:36 → 00:13:37 >> ก็มีประโยชน์
00:13:37 → 00:13:39 >> ก็เพียงพอกับสุขภาพร่างกายของเราแล้ว
00:13:39 → 00:13:42 >> ใช่เพราะว่าเคอ่าใช้นาฬิกาวัดในการเดิน
00:13:42 → 00:13:45 ตลอดนี่แหละค่ะแล้วแบบวันไหนแบบ
00:13:45 → 00:13:47 >> ไม่ถึง 19,000 เนี่ยรู้สึกแบบเอาอีกแล้ว
00:13:47 → 00:13:50 ไม่ถึงแต่คือปกติวิสัยในชีวิตประจำวันมัน
00:13:50 → 00:13:51 ไม่ถึงไงคะ
00:13:51 → 00:13:53 >> ใช่คนปกติทั่วไปเราเดินไม่ถึงอยู่แล้ว
00:13:53 → 00:13:56 ยิ่งหนุ่มสาวชาวออฟฟิศไม่ถึงเลย
00:13:56 → 00:13:59 >> นั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ต่างๆเนี่ย
00:13:59 → 00:14:01 อาจารย์บอกเลยว่ามันไม่ถึง
00:14:01 → 00:14:02 >> ไม่ถึงใช่
00:14:02 → 00:14:04 >> ต่อให้ออกไปประชุมเดินห้องนู้นห้องนี้ยัง
00:14:04 → 00:14:06 ไงก็ไม่ถึงแต่อย่างน้อยเนี่ยอาจารย์ว่า
00:14:06 → 00:14:08 ให้สัก 5,900 กำลังโอเค
00:14:08 → 00:14:11 >> ถูกต้องครับเราก็ยังลดอัตราการตายเนี่ย
00:14:11 → 00:14:13 ไม่ต่ำกว่า 4-50% และ
00:14:13 → 00:14:16 >> อ่าแล้วมันมีการเคลื่อนไหวร่างกาย
00:14:16 → 00:14:19 >> เนาะมันก็มันก็ช่วยได้ร่วมกับไอ้ตัวมัฉะ
00:14:19 → 00:14:20 นี่แหละ
00:14:20 → 00:14:21 >> ที่เราอ
00:14:21 → 00:14:23 >> ดื่มๆเข้าไปเนี่ยเพิ่มการเผาผ่านไขมันใน
00:14:23 → 00:14:24 ร่างกาย
00:14:24 → 00:14:26 >> คือนั่นจะหมายความว่ามัจฉะเนี่ยไม่ใช่
00:14:27 → 00:14:29 เป็นตัวที่จะมาช่วยลดความอ้วนนะอันนี้บอก
00:14:29 → 00:14:30 ไว้ก่อนเออ
00:14:30 → 00:14:33 >> ก็แค่เอ่อเค้าเรียกอะไรคุณสมบัติเขาก็
00:14:33 → 00:14:34 ช่วยในเรื่องการเผาผลา
00:14:34 → 00:14:36 >> เผาผลาถูกต้องครับเน้นที่การเผาผลาทีนี้
00:14:36 → 00:14:39 มันจะทำให้คุณน้ำหนักลดได้หรือไม่คุณก็
00:14:39 → 00:14:40 ต้องผสานกับการ
00:14:40 → 00:14:41 >> ควบคุมการกิน
00:14:41 → 00:14:44 >> ควบคุมอาหารเพิ่มกิจกรรมทางกายนะมีการ
00:14:44 → 00:14:47 เคลื่อนไหวร่างกายถ้าคุณไม่อยาก exercise
00:14:47 → 00:14:49 คุณก็เคลื่อนไหวร่างกายเนาะก็คือเดินเอา
00:14:49 → 00:14:52 ง่ายๆนะหรือจะเดินเร็วก็ได้เดินเร็วเนี่ย
00:14:52 → 00:14:56 อุ๊ยอาจารย์แค่ไหน 1 นาทีมันมี 60 วินาที
00:14:56 → 00:14:58 ใช่มั้ครับคุณต้องเดินให้ได้ 80-19 ใช่
00:14:58 → 00:15:00 อ่ะก็เพิ่มสเต็ปความเร็วขึ้นหน่อย
00:15:00 → 00:15:03 >> นิดนึงคุณก็ได้แล้ว 89 ก็เดินเร็วไปแล้ว
00:15:03 → 00:15:06 ก็เก็บสะสมแต้มไปในแต่ละวันอย่างเงี้ย
00:15:06 → 00:15:08 ครับอแล้วอ่ะ
00:15:08 → 00:15:12 >> นะแล้วก็นอนไม่ให้ดึกนะแค่เนี้ยเราก็
00:15:12 → 00:15:14 มัจฉะก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดีแทนที่จะ
00:15:14 → 00:15:16 กินน้ำหวานน้ำอรมชานมไข่มุก
00:15:16 → 00:15:17 >> อือ
00:15:17 → 00:15:20 >> เราปรับไปเป็นมัฉะมันก็จะเกิดประโยชน์กับ
00:15:20 → 00:15:23 สุขภาพร่างกายเรามากขึ้นดีต่อระบบหัวใจ
00:15:23 → 00:15:25 และหลอดเลือดด้วยเพราะมันควบคุมน้ำตาลควบ
00:15:25 → 00:15:29 คุมไขมันได้ด้วยอ่าเพิ่มการเผาผลาญของ
00:15:29 → 00:15:31 ร่างกายแล้วช่วยในการเสริมภูมิคุ้มกัน
00:15:31 → 00:15:32 ต้านมะเร็งได้อีก
00:15:32 → 00:15:35 >> อืคุณสมบัติเยอะขนาดนี้
00:15:35 → 00:15:36 >> เยอะคนเลยฮิตมาก
00:15:36 → 00:15:39 >> เดี๋ยวกลัวว่าจะแบบว่าไปเน้นกินจะมัดฉะ
00:15:39 → 00:15:41 มัฉะมัฉะกันอย่างเดียวคือ
00:15:41 → 00:15:44 >> เอาที่สะดวกใจสบายใจกระเป๋าสตางค์ด้วยนะ
00:15:44 → 00:15:45 เพราะว่าถูกต้อง
00:15:45 → 00:15:48 >> บางทีบางอย่างบางบางยี่ห้อบางร้านที่เขา
00:15:48 → 00:15:52 ใช้อ่ะนะมันก็มีราคาสูงอยู่
00:15:52 → 00:15:54 >> ถูกต้องใช่เลยครับบางทีแบบโอราคาสูงแล้ว
00:15:54 → 00:15:56 โหเข้าไม่ถึงแล้ว
00:15:56 → 00:15:58 >> กลุ่มชาวบ้านทั่วไปล่ะอาจารย์แล้วจะไปกิน
00:15:58 → 00:16:01 มัชฉะได้ยังไงนะคุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้อง
00:16:01 → 00:16:03 แบบขนาดนั้นก็ได้ไม่จำเป็นต้องแบบอุยเกรด
00:16:03 → 00:16:07 แบบพิธีการ G F G มันก็มีค่ะ
00:16:07 → 00:16:09 >> อ่า Food G ก็มี
00:16:09 → 00:16:12 >> อ้อแสดงว่าอย่างงั้นมันก็ต้องมีเป็นเป็น
00:16:12 → 00:16:12 หลายเกรดเลย
00:16:13 → 00:16:14 >> ถูกต้องใช่ครับ
00:16:14 → 00:16:17 >> มีเกรดสูงเกดกลางเกรดธรรมดาธรรมดาคือใช้
00:16:17 → 00:16:18 ในอุตสาหกรรมอาหาร
00:16:18 → 00:16:21 >> แต่ถามว่าเกรดธรรมดาเนี่ยค่าจากการศึกษา
00:16:21 → 00:16:24 วิจัยแล้วเนี่ยสกรีนดูแล้วมันก็ยังมี
00:16:24 → 00:16:26 ฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระดีอยู่
00:16:26 → 00:16:28 >> อ่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีก็
00:16:28 → 00:16:31 >> และดีกว่าพวกที่เป็นชาเขียวพร้อมดึง
00:16:31 → 00:16:32 >> สำเร็จรูป
00:16:32 → 00:16:34 >> ถูกต้องสำเร็จรูปยังอยู่ในหลักร้อยอ่ะอ่ะ
00:16:34 → 00:16:37 >> เพราะฉะนั้นก็คืออันเนี้ยก็บริโภคได้บ่อย
00:16:37 → 00:16:41 ครั้งมากขึ้นเพราะว่ามันเป็นแบบเกรดมัน
00:16:41 → 00:16:41 >> ราคาได้อยู่แล้ว
00:16:41 → 00:16:44 >> ใช่ใช่ถูกต้องครับแล้วมันไม่ใช่แค่มีสาร
00:16:44 → 00:16:46 แคตชินอย่างเดียวที่อาจารย์บอก EGCG
00:16:46 → 00:16:49 เนี่ยมันยังมีแอนีนที่เป็นกรดอะมิโนที่ทำ
00:16:49 → 00:16:51 ให้เราลดความเครียดความวิตกกังวลหลังๆเ
00:16:51 → 00:16:55 อาจารย์เจอเยอะขึ้นคนค่อยๆงดกาแฟเพราะ
00:16:55 → 00:16:57 กาแฟเนี่ยมันมีคาเฟอีนเข้มข้นใช่มั้ครับ
00:16:57 → 00:17:00 กว่าชาแล้วเรากินกาแฟเนี่ยเพื่อให้ร่าง
00:17:00 → 00:17:03 กายเนี่ยตื่นตัวไม่ง่วงนะแต่พอกาแฟหมด
00:17:03 → 00:17:03 ฤทธิ์ปุ๊บเป็นไงครับ
00:17:04 → 00:17:04 >> อง่วงค่ะ
00:17:04 → 00:17:07 >> โอ้โหตอบเลยแต่ชาเขียวเนี่ยมันจะไม่ใช่
00:17:07 → 00:17:08 อย่างงั้น
00:17:08 → 00:17:09 >> มันจะค่อยๆปรับ
00:17:09 → 00:17:10 >> อื
00:17:10 → 00:17:13 >> อ่าทำให้เรารู้สึกเนี่ยมีสมาธิมันจะไม่
00:17:13 → 00:17:16 ใช่แบบอุ้ยขึ้นมาแล้วแบบขึ้นมาเลยทันทีคน
00:17:16 → 00:17:19 ก็ค่อยๆใช้มัจฉะแทนที่กาแฟกันมากขึ้นนะ
00:17:19 → 00:17:23 อาจารย์เห็นหลายเคสเลยแต่มันก็ต้องมีสิ่ง
00:17:23 → 00:17:24 ที่ต้องพึงระวังด้วยนะ
00:17:24 → 00:17:24 >> ค่ะ
00:17:24 → 00:17:29 >> อ่าเพราะบางคนเอามัฉะไปใส่น้ำตาลใส่นม
00:17:29 → 00:17:31 เข้มข้นเลย
00:17:31 → 00:17:33 >> ใช่ตอนนี้คือแบบว่าถ้าใครที่แบบว่ากิน
00:17:33 → 00:17:36 เพียวๆไม่ได้อ่ะต้องใส่นมใส่อะไรก็น้ำตาล
00:17:36 → 00:17:39 ถูกต้องอันเนี้ยอาจารย์บอกว่าได้ไม่คุ้ม
00:17:39 → 00:17:40 เสีย
00:17:40 → 00:17:41 >> อ้า
00:17:41 → 00:17:43 >> ไม่เจ๊าก็เจ๊งนึกออกมั้ยครับ
00:17:43 → 00:17:46 >> คือเรารู้ว่าสารสำคัญในมัจฉะมันดีนะแต่พอ
00:17:46 → 00:17:47 เราไปใส่น้ำตาลปุ๊บเนี่ย
00:17:47 → 00:17:51 >> น้ำตาลเองเนี่ยมันจะไปบล็อกการออกฤทธิ์
00:17:51 → 00:17:54 ของมัจฉะทำให้ออกฤทธิ์น้อยลง
00:17:54 → 00:17:56 >> อันเนี้มันมีการศึกษาวิจัยที่น่าสนใจในคน
00:17:56 → 00:18:00 ในมนุษย์เนี่ยเขาพบว่าสาร EGCG ในมัจฉะ
00:18:00 → 00:18:03 หรือชาเขียวเนี่ยมันสามารถลดการดูดซึมน้ำ
00:18:03 → 00:18:06 ตาลได้นะครับเพียวๆนะในขณะเดียวกันน้ำตาล
00:18:06 → 00:18:08 มันสู้กับอ
00:18:08 → 00:18:08 >> อื
00:18:08 → 00:18:11 >> คือเธอมาลดการดูดซึมฉันใช่มั้ยฉันแก้แค้น
00:18:11 → 00:18:15 เธอโดยฉันน่ะทำให้เธอออกฤทธิ์ลดลง
00:18:15 → 00:18:16 >> อ๋อมาต้านการออกฤทธิ์
00:18:16 → 00:18:19 >> ถูกต้องมันก็จองเวรจองกันไม่จดไม่สิ้น
00:18:19 → 00:18:21 แล้วเราอยากที่จะตัดภพจัดชาติไม่ให้มัน
00:18:21 → 00:18:24 จองเวรจองกรรมกันเราก็อย่าไปให้มันเจอกัน
00:18:24 → 00:18:24 >> เออ
00:18:24 → 00:18:26 >> กินชาเขียวเพียวๆไม่ต้องใส่น้ำตาล
00:18:26 → 00:18:27 >> ค่ะ
00:18:27 → 00:18:29 >> นมเหมือนกันครับบางคนบอกว่าอาจารย์งั้น
00:18:29 → 00:18:34 ใส่นมเข้าไปสิอ้ามีประโยมพเนยนมอ่า 0%
00:18:34 → 00:18:37 >> ส่วนใหญ่คนชอบนมวัวเพราะอะไรมัน
00:18:37 → 00:18:40 >> หวานมันนะคุณจะพร่องมันเนยหรือไขมันต่ำ
00:18:40 → 00:18:43 หรือใดๆก็ตามแต่โปรตีนตัวนึงที่อยู่ในนม
00:18:43 → 00:18:48 เราเรียกว่าเคซีนมันจะไปจับกับสาร EGCG
00:18:48 → 00:18:51 ในมัจฉะแล้วทำให้มัจฉะออกฤทธิ์ลดลงครับ
00:18:51 → 00:18:52 >> ดีที่สุดคือกินแบบ
00:18:53 → 00:18:53 >> เพี้ยว
00:18:53 → 00:18:55 >> ถูกต้องเลย 100%
00:18:55 → 00:18:56 >> โอ้โหแต่ว่า
00:18:56 → 00:18:59 >> ทุกวันนี้ก็มีแบบว่าพอแค่แค่คำว่ามัฉาเรา
00:18:59 → 00:19:01 ก็รู้สึกว่าเอ้ยมันมีประโยชน์แหละอย่าง
00:19:01 → 00:19:03 ที่อาจารย์บอกมาเมื่อสักครู่เนี้ยแต่แบบ
00:19:03 → 00:19:07 มันอยู่ในขนมอยู่ในเบอรี่อะไรพวกเนี้ย
00:19:08 → 00:19:11 จริงแล้วเจะพยายามที่จะใช้ต้านฤทธิ์เช่น
00:19:11 → 00:19:14 เ้าไปอยู่ในขนมเบอร์เกอรี่เพื่ออะไรเพราะ
00:19:14 → 00:19:17 มันบล็อกการดูดซึมน้ำตาลไงน้ำตาลมันส่งผล
00:19:17 → 00:19:20 ไม่ดีกับสุขภาพเขาก็ไปลดว่าเฮ้ยไม่ให้น้ำ
00:19:20 → 00:19:22 ตาลเนี่ยที่ส่งผลเสียเนี่ย
00:19:22 → 00:19:24 >> มันส่งผลเสียกับสุขภาพเยอะ
00:19:24 → 00:19:25 >> อ๋อ
00:19:25 → 00:19:28 >> เหมือนเรากินสะเดาน้ำปลาหวานที่อาจารย์
00:19:28 → 00:19:30 บอกอ่ะเรากินน้ำปลาหวานโอ้โหน้ำตาลสูงใช่
00:19:30 → 00:19:30 มั้ยครับ
00:19:31 → 00:19:35 >> สะเดามันมีสารพฤกษเคมีไฟโตicalที่ช่วย
00:19:35 → 00:19:37 บล็อกการดูดซึมน้ำตาลอย่างเงี้ย
00:19:37 → 00:19:41 >> อ่ามันเหมือนลดผลกระทบของสิ่งเหล่านั้น
00:19:41 → 00:19:44 อ่าถ้าฝรั่งเนี่ยเขาใช้ซินามอนหรืออบเชย
00:19:44 → 00:19:45 >> อือๆ
00:19:45 → 00:19:47 >> ที่อยู่ในเบเกอรี่เพราะมันมีฤทธิ์ควบคุม
00:19:48 → 00:19:48 น้ำตาล
00:19:48 → 00:19:48 >> อ๋อ
00:19:49 → 00:19:51 >> แต่แค่ว่าคุณใส่ไปเฉพาะวิญญาณหรืออะไร
00:19:51 → 00:19:54 หรือเปล่าเหมือนกันมัฉะเพื่ออะไรเพื่อลด
00:19:54 → 00:19:57 การดูดซึมน้ำตาลหรือผลกระทบที่ไม่ดีเขาก็
00:19:57 → 00:19:59 ไปใส่ในน้ำตาลในไอศกรีมอะไรต่างๆ
00:19:59 → 00:20:01 >> แต่ถ้าดีที่สุดปุ๊บเนี่ยพวกเนี้ยมันพลัง
00:20:01 → 00:20:04 งานสูงไงคุณอีรีถูกมั้ยอ่าความหวานจัดน้ำ
00:20:04 → 00:20:06 ตาลเยอะไขมันสูงอ
00:20:06 → 00:20:06 >> ค่ะ
00:20:06 → 00:20:08 >> เราเราเลี่ยง
00:20:08 → 00:20:11 >> ไม่ใส่เลยดีกว่าอ่าแต่ถ้าอยากเราอยากกิน
00:20:12 → 00:20:15 เฮ้ยมันมีใส่มันก็ส่งผลกระทบกับสุขภาพ
00:20:15 → 00:20:17 น้อยกว่าดีกว่าเรากินเพียวๆเลยถูกมั้ครับ
00:20:17 → 00:20:18 ถ้าเรากินชานมเพียวๆเลยอ่ะ
00:20:18 → 00:20:19 >> ออฮึ
00:20:19 → 00:20:22 >> อันเนี้ยคือร้ายกาดสุด
00:20:22 → 00:20:22 >> อ่า
00:20:22 → 00:20:26 >> อ่าอันเนี้ยก็พูดง่ายๆว่ามันร้ายนะแต่มัน
00:20:26 → 00:20:28 ร้ายน้อยลงแต่ยัง
00:20:28 → 00:20:29 >> ยังร้ายอยู่นะอย่าลืม
00:20:29 → 00:20:32 >> นึกออกมั้ครับว่าน้ำตาลถ้าไม่ไม่ใส่ได้ดี
00:20:32 → 00:20:34 ที่สุดถ้าใส่ก็อ่ะใส่เล็กน้อยอย่างเงี้ย
00:20:34 → 00:20:37 อย่างอย่างดีก็ต้องให้ประโยชน์เนี่ยมัน
00:20:37 → 00:20:41 มากกว่าสิ่งที่มันไม่ดีกับร่างกายแล้วบาง
00:20:41 → 00:20:43 คนกินมัจฉาปุ๊บอุ๊ยขม
00:20:43 → 00:20:45 >> นะอุ้ยขมๆนั่นน่ะ
00:20:45 → 00:20:47 >> รู้สึกว่าเออมันมีสารสำคัญเยอะจริงๆแล้ว
00:20:47 → 00:20:51 อาจารย์จะบอกเลยว่าความขมเนี่ยในชาส่วน
00:20:51 → 00:20:53 ใหญ่เนี่ยมันคือสารแทนนิน
00:20:53 → 00:20:54 >> สารแทนนิน
00:20:54 → 00:20:57 >> ที่มีรสฝาดรสขมซึ่งสารแทนินเนี่ยมันเป็น
00:20:57 → 00:21:00 ผลมันมีผลกระทบที่ไม่ดีกับสุขภาพคือถ้า
00:21:00 → 00:21:02 ได้กเยอะ 1 ทำให้ท้องผูก
00:21:03 → 00:21:03 >> อ๋อ
00:21:03 → 00:21:07 >> 2 คือไปขัดขวางการดูดซึมของแร่ธาตุ
00:21:07 → 00:21:11 >> เช่นแคลเซียมเอยเหล็กเอยแล้วถ้าเรากินชา
00:21:11 → 00:21:15 เขียวหรือมัฉะที่มีรสฝาดรสขมปุ๊บเนี่ยไม่
00:21:15 → 00:21:16 โอเคและ
00:21:16 → 00:21:16 >> อ้าว
00:21:16 → 00:21:19 >> ถ้ากินหลังมื้ออาหารจะไปลดการดูดซึมพวก
00:21:19 → 00:21:20 แคลเซียมธาตุเหล็ก
00:21:20 → 00:21:21 >> ค่ะ
00:21:21 → 00:21:23 >> แร่ธาตุหลังมื้ออาหารที่เรากิน
00:21:23 → 00:21:23 >> ั้นแล้วเนี่ย
00:21:24 → 00:21:24 >> อ
00:21:24 → 00:21:27 >> ถ้าให้ดีไม่ควรที่จะมีรสฝาดรสขมอาจารย์ไป
00:21:28 → 00:21:31 ญี่ปุ่นล่าสุดโอ้โหเค้าเสิร์ฟบนสายการบิน
00:21:31 → 00:21:31 ของญี่ปุ่น
00:21:31 → 00:21:32 >> ค่ะ
00:21:32 → 00:21:35 >> โหทำไมชาเขียวเนี่ยมันไม่ใส่น้ำตาลเลยนะ
00:21:35 → 00:21:37 มันหวานจากธรรมชาติมันมีพวกกรด
00:21:37 → 00:21:38 อะมิโนแอทิโอนีนอยู่สูง
00:21:38 → 00:21:39 >> อืละมุนเลยใช่มั้
00:21:40 → 00:21:43 >> ใช่ครับฮะแล้วเนี่ยมันก็จะแบบโอหละมุน
00:21:43 → 00:21:46 >> นะอันเนี้ยคือสิ่งที่เราต้องพึงระวังนะ
00:21:46 → 00:21:49 แล้วเราต้องลองเทสก่อนว่าฝาดหรือเปล่าขม
00:21:49 → 00:21:50 หรือเปล่า
00:21:50 → 00:21:52 >> แล้วหวานเป็นลมขมเป็นยาไม่ใช่แล้วใช่มั้
00:21:52 → 00:21:54 >> ไม่ใช่เสมอไป
00:21:54 → 00:21:56 >> อ่าไม่ใช่เสมอไปเป็นยาเหมือนกันแทนิน
00:21:56 → 00:21:58 เนี่ยเป็นยาไว้
00:21:58 → 00:22:00 >> ลดอาการท้องเสียท้องร่วง
00:22:00 → 00:22:02 คือมันทำให้ท้องผูกไงแล้วคนที่ท้อง
00:22:02 → 00:22:03 >> ท้องเสีย
00:22:03 → 00:22:06 >> ท้องเสียท้องร่วงมันก็ไปผูกท้องไว้ไม่ให้
00:22:06 → 00:22:09 ร่วงอันนี้คือประโยชน์ของแทนนินที่เขามัก
00:22:09 → 00:22:12 สกัดมาจากพวกเอ่อใบฝรั่งอ่ะถ้าภูมิปัญญา
00:22:12 → 00:22:14 ชาวบ้านเนี่ยมันฝาดมากอ่ะ
00:22:14 → 00:22:18 >> อ่าเขาก็เอาแทนินเนี่ยไปลดอาการท้องผูก
00:22:18 → 00:22:20 ท้องเสียเพราะมันมีฤทธิ์ต้านพวกเอ่อการ
00:22:20 → 00:22:24 เจริญเติบโตของจุลินทรีย์ของเชื้อโรคต่าง
00:22:24 → 00:22:27 ๆแล้วมันก็ทำให้ท้องผูกแต่คนปกติถ้าได้
00:22:27 → 00:22:28 รับแทนินสูงมากก็ไม่ดี
00:22:29 → 00:22:31 >> ค่ะนะครับแล้วเนี่ยมันก็ไม่ควรฝาดมากแล้ว
00:22:31 → 00:22:34 คาเฟอีนก็ต้องพึงระวังบางคนกินมัฉะอย่า
00:22:34 → 00:22:36 ลืมนะมันก็ยังมีคาเฟอีนอยู่หลัง 15:00 น.
00:22:36 → 00:22:38 ไม่ควรกินและเพราะเดี๋ยวเกิดนอนไม่หลับ
00:22:38 → 00:22:41 ขึ้นมาล่ะอ่าเราก็ควรจะต้องระมัดระวังใน
00:22:42 → 00:22:45 กลุ่มเหล่าเนี้ยน้ำตาลนมเอ่อแทนินคาเฟอีน
00:22:45 → 00:22:50 หรือสารปนเปื้อนที่มันอาจจะมีตกค้างเราก็
00:22:50 → 00:22:52 ควรจะเลือกออร์แกนิคนะเพราะบางทีเนี่ยมัน
00:22:52 → 00:22:55 มีพวกยาฆ่าแมลงสารเคมีตกค้าง
00:22:55 → 00:22:58 >> กลายเป็นว่าเราอ่ะอยากจะได้สารต้านอนุมูล
00:22:58 → 00:23:02 อิสระแต่อาจจะมีสารก่อมะเร็งปนเปื้อนมาก็
00:23:02 → 00:23:04 ต้องเลือกแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือไม่ใช่
00:23:04 → 00:23:06 เฮ้ยมัจฉะเหมือน
00:23:06 → 00:23:09 แต่ถูกอ่ะบางทีนำเข้ามาปลูกที่ไหนก็ไม่
00:23:09 → 00:23:11 รู้มาเป็นตันๆเลยแล้วก็มาขายแบบ
00:23:12 → 00:23:14 >> ถูกๆอันเนี้ยเราก็ต้องเลือกแหล่งที่มี
00:23:14 → 00:23:16 คุณภาพน่าเชื่อถือได้เนาะมันก็จะทำให้เรา
00:23:17 → 00:23:18 เนี่ยได้ประโยชน์
00:23:18 → 00:23:22 >> อนะฮะแล้วมีกลุ่มคนที่ไม่ควรกินมั้ยคะ
00:23:22 → 00:23:22 ต้องระวัง
00:23:22 → 00:23:25 >> กลุ่มคนที่ไม่ควรกินส่วนใหญ่เนาะคนที่
00:23:25 → 00:23:29 เอ่อมีโรคประจำตัวกินยาอยู่นะกลุ่มโรคหัว
00:23:29 → 00:23:32 จงหัวใจอะไรต่างๆเพราะบางทีเนี่ย
00:23:32 → 00:23:35 >> ไอ้พวกเหล่าเอ่อสารอาหารต่างๆเนี่ยนะโดย
00:23:35 → 00:23:38 เฉพาะเพราะพวกกลุ่มของสมุนไพรพืชสมุนไพร
00:23:39 → 00:23:41 ต่างๆหรือวิตามินบางตัวนะหรืออาหารเสริม
00:23:41 → 00:23:42 เนี่ย
00:23:42 → 00:23:44 >> คือต้องพิจารณาเลยในเรื่องของปฏิสัมพันธ์
00:23:44 → 00:23:48 ระหว่างเอ่อสารที่อยู่ในพืชผักสมุนไพร
00:23:48 → 00:23:50 หรืออาหารเสริมที่เรากินเนี่ยนะจะมี
00:23:50 → 00:23:52 ปฏิสัมพันธ์กับยาได้
00:23:52 → 00:23:55 >> แล้วคนที่มีโรคประจำตัวแล้วรับประทานยา
00:23:55 → 00:23:56 อยู่
00:23:56 → 00:23:57 >> นะก็ต้องพึงระวัง
00:23:57 → 00:23:58 >> อื
00:23:58 → 00:24:01 >> อ่าเพราะบางทีสารบางอย่างเนี้ยมีฤทธิ์ใน
00:24:01 → 00:24:03 การต้านการแข็งตัวของเลือด
00:24:03 → 00:24:04 >> อย่างเงี้ย
00:24:04 → 00:24:06 >> มันช่วยสลายสายลิ่มเลือดแล้วแล้วผู้ป่วย
00:24:06 → 00:24:10 เช่นโรคหัวใจกินยาในกลุ่มของเอ่อยาที่
00:24:10 → 00:24:15 ช่วยสายนะพวกวัฟเฟอรินนะหรือเอ่อแอสไพin
00:24:15 → 00:24:18 อะไรพวกเนี้ยนะครับในการที่ต้านการแข็ง
00:24:18 → 00:24:19 ตัวของเลือดแล้ว
00:24:19 → 00:24:23 >> กินพวกสารจากธรรมชาติจากหหงอาหารอะไร
00:24:23 → 00:24:25 อย่างเงี้ยบางทีเรามองว่าก็มันธรรมชาติไง
00:24:25 → 00:24:27 >> แต่ยาคุณก็กินแล้วมันออกฤทธิ์อ
00:24:27 → 00:24:28 >> ต้านกัน
00:24:28 → 00:24:31 >> อ่าหรือบางทีเสริมกันเสริมกันก็ไม่ดีนะ
00:24:31 → 00:24:31 ครับ
00:24:31 → 00:24:32 >> อค่ะ
00:24:32 → 00:24:35 >> เกิดเลือดออกมาปุ๊บข้าง
00:24:35 → 00:24:38 มันก็หยุดยากมันก็มีปัญหาอีกและนะครับนะ
00:24:38 → 00:24:41 แล้วเนี่ยก็ต้องพึงระวังนะใช้อย่างเหมาะ
00:24:41 → 00:24:44 สมแต่ถ้าเราบริโภคเป็นอาหารเนี่ยมีความ
00:24:44 → 00:24:47 ปลอดภัยสูงกว่าในก่อกว่าพวกเป็นเม็ดเป็น
00:24:47 → 00:24:50 แคปซูลเพราะพวกนั้นเนี่ยมันสกัดมามีความ
00:24:50 → 00:24:51 เข้มข้น
00:24:51 → 00:24:53 >> นะค่อนข้างแบบสูงกว่าปกติ
00:24:53 → 00:24:57 >> อืก็ต้องระวังคืออ่าอาหารบางอย่างดี
00:24:57 → 00:24:58 >> ใช่
00:24:58 → 00:24:59 >> แต่มันอาจจะมี
00:24:59 → 00:25:01 >> มีปฏิสัมพันธ์กับยา
00:25:01 → 00:25:01 >> เออ
00:25:01 → 00:25:05 >> แต่ถ้าเกิดว่าเราดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ
00:25:05 → 00:25:07 อย่างที่บอกก่อนที่จะไปกินยา
00:25:07 → 00:25:07 >> ค่ะ
00:25:07 → 00:25:11 >> เรากินอาหารเหล่าเนี้ยมันช่วยในการที่จะ
00:25:12 → 00:25:16 ชะลอหรือป้องกันอ่าแบบเฮ้ยบางคนเริ่มไข
00:25:16 → 00:25:19 มันเริ่มสูงนะอ่าน้ำตาลเริ่มขึ้นอย่าง
00:25:19 → 00:25:21 เงี้ยครับคืออยู่ในภาวะปริ่มน้ำแล้วอ่ะ
00:25:21 → 00:25:24 คุณรู้มั้คือคือปริ่มน้ำแล้วอ่ะฉันยังไม่
00:25:24 → 00:25:27 กินยานะสิ่งเหล่าเนี้ยอาจารย์ว่ามันมี
00:25:27 → 00:25:32 หลักฐานการศึกษาวิจัยที่ช่วยในการชะลอ
00:25:32 → 00:25:34 หรือช่วยในการบำบัดได้เบื้องต้น
00:25:34 → 00:25:35 >> อื
00:25:35 → 00:25:37 >> อ่าเช่นไขมันฉันเริ่มสูงและ
00:25:37 → 00:25:37 >> ค่ะ
00:25:37 → 00:25:44 >> อ่าเราออกกำลังเอ่อควบคุมอาหารนะแล้วก็
00:25:44 → 00:25:47 แทนที่จะไปกินน้ำหวานน้ำอัดลมเราดื่มมัฉะ
00:25:47 → 00:25:50 มันก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดี
00:25:50 → 00:25:52 >> ร่วมกับการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือวิถี
00:25:52 → 00:25:53 ชีวิตของเรา
00:25:53 → 00:25:56 >> นะก่อนที่เราจะไปกินยาส่วนคนที่กินยาแล้ว
00:25:56 → 00:26:00 >> ก็อย่าไปคาดหวังว่าเฮ้ยเนี่ยเดี๋ยวมันจะ
00:26:00 → 00:26:02 ทำให้ฉันหายจากโรค
00:26:02 → 00:26:04 >> เพราะอาหารมันคืออาหารนี่แหละต่อให้มันจะ
00:26:04 → 00:26:07 ใช้ในลักษณะของยาก็ตามแต่นั่นคือคุณต้อง
00:26:07 → 00:26:10 อยู่ในภาวะที่พึ่งเริ่ม
00:26:10 → 00:26:10 >> อื
00:26:10 → 00:26:13 >> อ่าเล็กน้อยปิ่มๆแต่ถ้าเกิดว่ามันเกิน
00:26:13 → 00:26:15 ป้ายไปไกลแล้วอย่างเงี้ยบางคนไขมันสูง
00:26:15 → 00:26:17 ปรี๊ดแล้วคุณจำเป็นต้องกินยา
00:26:17 → 00:26:19 >> แต่คุณจะมาหวางผึ้งมัฉะ
00:26:19 → 00:26:19 >> อือ
00:26:19 → 00:26:20 >> ก็ไม่ใช่แล้ว
00:26:20 → 00:26:21 >> ใช้ยาเถอะ
00:26:21 → 00:26:24 >> อ่าอันนี้ยก็ฝากไว้ว่าเฮ้ยใช้ยาแล้วค่อยๆ
00:26:24 → 00:26:26 ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมเพราะอนาคต
00:26:26 → 00:26:29 >> คุณก็สามารถที่จะลดยาได้โดยอยู่ภายใต้การ
00:26:29 → 00:26:33 ควบคุมดูแลของแพทย์อืนะคะเห็นมั้ยคะว่ามี
00:26:33 → 00:26:36 ประโยชน์มากแหละฟังดูแล้วเดี๋ยวว่าคงได้
00:26:36 → 00:26:39 ไปหามาอีกแน่ๆฟังอะไรก็ไปหามาตลอดเลยนะคะ
00:26:39 → 00:26:41 เพื่อสุขภาพที่ดีนั่นเองแต่ต้องปรับ
00:26:41 → 00:26:42 เปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองเหมือนกันเพราะว่า
00:26:42 → 00:26:45 ค่อนข้างจะเหนื่อยนิ่ง
00:26:45 → 00:26:46 อย่างที่อาจารย์บอกนะคะขอบคุณอาจารย์
00:26:47 → 00:26:48 เอกราชค่ะที่มาให้ความรู้กับเราในวันนี้
00:26:48 → 00:26:50 ค่ะขอบคุณค่ะ
00:26:50 → 00:26:51 >> สวัสดีค่ะ
00:26:51 → 00:26:54 >> หมดเวลาแล้วค่ะคุณผู้ฟังเราจะกลับมาพบกัน
00:26:54 → 00:26:56 ใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอทาง Thai
00:26:56 → 00:26:58 PBS Podcast นะคะวันนี้ลาไปก่อนสวัสดี
00:26:58 → 00:26:59 ค่ะ
00:26:59 → 00:27:02 >> This is Thai PBS Podcast
00:27:02 → 00:27:05 >> ไวรรัฐ HIV มาจากสัตว์ชนิดใดทำลายร่างกาย
00:27:05 → 00:27:08 ของเราได้อย่างไร HIV ต่างจากเอดอย่างไร
00:27:08 → 00:27:10 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.จันทวิภาดีลก
00:27:10 → 00:27:12 สัมพันธ์ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์และ
00:27:12 → 00:27:15 ครอบครัวมาเล่าให้ฟังครับ
00:27:15 → 00:27:18 >> HIV เนี่ยมันคือชื่อของเชื้อโรคต้น
00:27:18 → 00:27:21 กำเนิดของไวรัสตัวเนี้ยมันเป็นไวรัสที่มา
00:27:21 → 00:27:25 จากลิงชื่อว่า SIV
00:27:25 → 00:27:28 SIV เนี่ยมันเป็นไวรัสที่มีอยู่ในลิง
00:27:28 → 00:27:31 หลายสายพันธุ์เลยนะฮะโดยเฉพาะทางแอฟริกา
00:27:31 → 00:27:34 เป็นไวรัสอยู่ในตัวลิงแต่ลิงเ้าไม่ได้
00:27:34 → 00:27:36 เป็นอันตรายจากไวรัสส่วนนี้มันอยู่ในลิง
00:27:36 → 00:27:39 ของมันดีๆอ่ะค่ะมันก็ไม่เป็นไรแต่ปรากฏ
00:27:39 → 00:27:41 ว่ามันเข้ามาอยู่ในคนพอมันเข้ามาในคนแล้ว
00:27:41 → 00:27:45 เนี่ยมันแปลงตัวค่ะจาก SIV ของลิงกลาย
00:27:45 → 00:27:47 เป็น HIV ในคน
00:27:47 → 00:27:50 >> ก็คงสงสัยว่าเอ๊ะมันเข้ามาในจากลิงมาคน
00:27:50 → 00:27:53 ได้ไงล่ะในขณะที่เกิดการล่าเนี่ยลิงก็อาจ
00:27:53 → 00:27:56 จะมากัดขวนหรือจะอะไรก็แล้วแต่แล้วเชื้อ
00:27:56 → 00:27:58 ไวรัสพวกเนี้ยมันก็จะอยู่ในสารคัดหลังของ
00:27:59 → 00:28:03 ลิงเช่นน้ำลายนะฮะในเลือดในน้ำมูกในอะไร
00:28:03 → 00:28:05 พวกเนี้ยมันก็เลยผ่องถ่ายเข้าสู่กระแส
00:28:05 → 00:28:08 เลือดของคนได้แต่ที่ประหลาดที่สุดเลยก็
00:28:08 → 00:28:11 คือคนที่เป็นโรคจิตแล้วมีเซ็ก์กับลิงมัน
00:28:11 → 00:28:14 ก็เลยเริ่มที่จะเกิดการโยงถ่ายจากลิงไป
00:28:14 → 00:28:18 สู่คนเนี่ยประมาณศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา
00:28:18 → 00:28:20 เนี่ยแล้วก็กระจายไปทั่วโลกซึ่งเข้าสู่
00:28:20 → 00:28:23 ประเทศไทยเราเนี่ยประมาณปี 2527 พอมัน
00:28:23 → 00:28:26 เข้ามาในร่างกายคนเราแล้วเนี่ยมันจะเข้า
00:28:26 → 00:28:30 ไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันโรคของเราค่ะมันจะ
00:28:30 → 00:28:33 ทำให้ไอ้เม็ดเลือดขาวตัวสำคัญของเราเนี่ย
00:28:33 → 00:28:37 นะคะเขาเรียกว่า CD4 ลดลงทำให้ภูมิต้าน
00:28:37 → 00:28:40 ทายของร่างกายต่ำลงเรื่อยๆก็เลยรับโรค
00:28:40 → 00:28:42 เนี่ยได้ง่ายกว่าคนอื่นเค้าจะเทียบ
00:28:42 → 00:28:45 อย่างี้ค่ะ HIV นี่คือเชื้อโรคแต่ถ้าคน
00:28:45 → 00:28:48 ที่รับเชื้อ HIV เข้าไปแล้วภูมิต้านทาน
00:28:48 → 00:28:50 หรือเจ้า CD4 เนี่ยมันต่ำลงเรื่อยๆเรื่อย
00:28:50 → 00:28:53 ๆจนกระทั่งเกิดโรคอื่นที่เราเรียกว่าโรค
00:28:53 → 00:28:57 ฉวยโอกาสตรงนี้แหละเขาจึงจะให้นิยามของคน
00:28:57 → 00:28:59 ๆนี้ว่าเป็นอ
00:28:59 → 00:29:02 >> มีหลายแบบหลายอย่างมากเลยแตกต่างกันไป
00:29:02 → 00:29:05 แล้วแต่ว่าเราป่วยด้วยโรคฉวยโอกาสอะไรมัน
00:29:05 → 00:29:08 ก็มีวิธีการติดต่อที่สำคัญสำคัญเพราะจริง
00:29:08 → 00:29:10 ๆเราทราบอยู่แล้วว่าเชื้อเนี่ยมันจะมี
00:29:10 → 00:29:14 ตั้งแต่ในน้ำลายน้ำมูกนะคะในเลือดในสาร
00:29:15 → 00:29:17 คัดหลังช่องคลอดในน้ำอสุจิในน้ำนมมันมี
00:29:17 → 00:29:20 หมดแต่ปริมาณของเชื้อในแต่ละจุดไม่เท่า
00:29:20 → 00:29:23 กันที่มากที่สุดที่จะทำให้เกิดการติด
00:29:23 → 00:29:25 เชื้อได้มากที่สุดก็คือการมีเพศสัมพันธ์
00:29:25 → 00:29:27 โดยไม่มีการป้องกันคือไม่สมถุงยางอนามัย
00:29:27 → 00:29:30 เพราะว่าทั้งน้ำคัดหลังทางทวันหนักหรือใน
00:29:30 → 00:29:33 ช่องคลอดไม่ว่าจะเป็นเซ็ก์ระหว่างชายกับ
00:29:33 → 00:29:36 ชายหญิงกับหญิงหรือชายกับหญิงนะคะโอกาส
00:29:36 → 00:29:38 ติดเชื้อเหมือนกันหมดเพราะฉะนั้นเราพบว่า
00:29:39 → 00:29:43 คนที่ติดเชื้อ HIV เนี่ยส่วนใหญ่ 80% ค่ะ
00:29:43 → 00:29:46 ที่มาจากการมีเพศสัมพันธ์
00:29:46 → 00:29:48 [เพลง]
00:29:48 → 00:29:52 This is Thai PBS Podcast
00:29:52 → 00:29:55 ติดตามรายการของ Thai PBS Podcast ได้
00:29:55 → 00:29:57 ทางเว็บไซต์ www.thaipspodcast.com
00:29:57 → 00:30:00 thaippbspodcast.com
00:30:00 → 00:30:03 แอปพลิเคช Thai PBBS Podcast รวมถึงฟัง
00:30:03 → 00:30:08 ผ่านพcastช่องทางอื่นๆ Spotify YouTube
00:30:08 → 00:30:11 Apple Podcast และ Soundcloud เ้า
00:30:11 → 00:30:14 [เพลง]