00:00:00 → 00:00:02 สวัสดีครับคราวก่อนนะครับผมออกมาพูด
00:00:02 → 00:00:05 เรื่องของไขมันนะครับว่าเออถ้ามันไขมัน
00:00:05 → 00:00:07 สูงๆโดยเฉพาะถ้าไตรกีซาไลน์สูงเนี่ยนะ
00:00:07 → 00:00:11 ครับก็ให้หันไปลดปริมาณแป้งหรือ
00:00:11 → 00:00:14 คาร์โบไฮเดรตลงนะครับก็เลยเป็นที่มาของ
00:00:14 → 00:00:17 หลายๆคนก็สงสัยว่าเอ๊แล้วแป้งมันไม่ดียัง
00:00:17 → 00:00:20 ไงนะครับมันไม่ดีเสมอไปหรือเปล่านะฮะแล้ว
00:00:20 → 00:00:23 เรื่องของคาร์โบไฮเดรตอาจจะมีบางคนเคยได้
00:00:23 → 00:00:27 ยินเรื่องของอ่าดัชนีน้ำตาลนะครับไมิ
00:00:27 → 00:00:30 index นะครับหรือว่าอาหารบางประเภทคนเบา
00:00:30 → 00:00:32 หวานกินแล้วไม่ดีอย่างงั้นอย่างนี้นะครับ
00:00:32 → 00:00:34 มันมีที่มาที่ไปอย่างไรแล้วคาร์โบไฮเดรต
00:00:34 → 00:00:36 อะไรกินได้คาร์โบไฮเดรตอะไรไม่ควรกินนะ
00:00:36 → 00:00:38 ครับวันนี้ผมก็จะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังนะ
00:00:38 → 00:00:41 ครับพบกับผมนะครับนายแพทย์ธานีธนียวันนะ
00:00:41 → 00:00:42 ครับเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐ
00:00:42 → 00:00:45 อเมริกานะครับเชี่ยวชาญโรคปอดการปลูกถ่าย
00:00:45 → 00:00:48 ปอดและวิกฤตบำบัดนะครับก่อนอื่นเลยนะครับ
00:00:48 → 00:00:51 มันจะมีคำว่าดัชนีน้ำตาลหรือว่า gic
00:00:51 → 00:00:55 index นะครับคำนี้คืออะไรนะครับคำนี้ก็
00:00:55 → 00:00:57 เป็นการจริงๆมันเป็นคำที่คิดค้นขึ้นมา
00:00:58 → 00:01:00 สำหรับคนไข้เบาหวานโดยเฉพาะนะครับโดยเค้า
00:01:00 → 00:01:03 ดูที่อาหารชนิดต่างๆเนี่ยนะครับถ้าปริมาณ
00:01:03 → 00:01:07 เท่ากันเนี่ยนะฮะแล้วให้คนกินเข้าไปดูซิ
00:01:07 → 00:01:09 ว่าร่างกายจะตอบสนองโดยการเพิ่มน้ำตาล
00:01:09 → 00:01:11 ขึ้นไปได้เร็วมากน้อยแค่ไหนหรือเพิ่มได้
00:01:12 → 00:01:15 มากที่สุดเท่าไหร่นะครับยิ่งถ้าไมิ index
00:01:15 → 00:01:18 เนี่ยมันสูงมากๆนะครับก็พบว่าจะทำให้น้ำ
00:01:18 → 00:01:22 ตาลสูงได้มากนะครับนี้คือที่มาของไซม
00:01:22 → 00:01:24 index นะครับเช่นว่าถ้าเรากินน้ำตาลน้ำ
00:01:24 → 00:01:27 ตาลทรายเนี่ยเปล่าๆเข้าไปเลยน้ำตาลขึ้น
00:01:27 → 00:01:30 เร็วมากนะครับก็จะสูงนะฮะแต่ถ้าเรากินพวก
00:01:30 → 00:01:34 เอิ่มพวกหัวหัวเผือกอย่างเงี้ยนะครับกิน
00:01:34 → 00:01:36 หัวเผือกเข้าไปมันซึ่งมันเป็นแป้งเหมือน
00:01:36 → 00:01:37 กันนะครับน้ำตาลอาจจะไม่ได้ขึ้นเยอะไม่
00:01:38 → 00:01:40 ได้ขึ้นเร็วขนาดนั้นนะครับแต่เดี๋ยวนี้
00:01:40 → 00:01:43 เนี่ยนะครับก็ทางการแพทย์เราก็ไม่ค่อยใช้
00:01:43 → 00:01:45 คำว่า gimic index เท่าไหร่แล้วนะครับ
00:01:45 → 00:01:47 ถ้าเกิดเป็นคนที่ติดตามข่าวสารซึ่งจริงๆเ
00:01:47 → 00:01:49 สิ่งนี้มันเปลี่ยนมาตั้งเป็น 10 ปีตั้ง
00:01:49 → 00:01:52 แต่สมัยผมเป็นนิสิตแพทย์แต่ก็ยังเห็นหลาย
00:01:52 → 00:01:54 ๆคนพูดถึง glycemic index กันอยู่นะฮะ
00:01:54 → 00:01:57 เอิ่มมันจะมีคำอีกคำนึงซึ่งถ้าท่านไม่ได้
00:01:57 → 00:01:59 อยู่ในวงการทางการแพทย์หรือว่าไม่ได้ติด
00:01:59 → 00:02:01 ตามเนี่ยนะฮะก็อาจจะไม่ทราบก็คือคำว่า
00:02:01 → 00:02:05 ไลซิกโหลดนะครับไลซิกโหลดนะคำนี้มันมาจาก
00:02:05 → 00:02:09 ไหนนะครับมันมาจากการที่ว่าตอนแรกที่มี
00:02:09 → 00:02:11 gic index ออกมาเนี่ยหลายๆคนก็จะไป
00:02:11 → 00:02:14 พยายามดูเลยว่าเอ๊ะไอ้อาหารชนิดไหนนะที่
00:02:15 → 00:02:17 ทำให้น้ำตาลมันขึ้นเร็วคือค่า gic index
00:02:17 → 00:02:20 มันสูงมากๆเนี่ยให้เราพยายามหลีกเลี่ยง
00:02:20 → 00:02:22 อย่าไปกินนะไม่อย่างงั้นน้ำตาลมันจะสูงนะ
00:02:22 → 00:02:24 ครับเค้าก็ไปทดลองนะครับหลังจากนั้นคือ
00:02:24 → 00:02:27 อาหารเหล่าเนี้ที่มีไลซิก index ที่แตก
00:02:27 → 00:02:29 ต่างกันทั้งหมดเนี่ยกินเข้าไปนะครับสุด
00:02:29 → 00:02:33 สุดท้ายน้ำตาลมันกลับเป็นเท่ากันน่ะฮะอ่า
00:02:33 → 00:02:36 ช่านกินน้ำตาลน้ำตาลทรายนี่แหละครับน้ำ
00:02:36 → 00:02:38 ตาลปี๊บกินเข้าไปแล้วก็ไปเทียบกับมัน
00:02:38 → 00:02:42 ฝรั่งนะฮะในปริมาณที่เท่ากันน่ะนะครับสุด
00:02:42 → 00:02:45 ท้ายมันก็คือจะทำให้น้ำตาลในเลือดของท่าน
00:02:45 → 00:02:48 เนี่ยมันสูงขึ้นไปเท่ากันอยู่ดีแต่ว่ามัน
00:02:48 → 00:02:51 อาจจะใช้เวลานานเวลาไม่นานก็แล้วแต่นะ
00:02:51 → 00:02:53 ครับเช่นถ้าน้ำตาลเปล่าๆเลยเนี่ยมันเข้า
00:02:53 → 00:02:55 ไปในร่างกายแล้วดูดซึมได้รวดเร็วก็จะทำ
00:02:55 → 00:02:57 ให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นแต่ถ้าเป็นน้ำตาล
00:02:57 → 00:03:00 ชนิดอื่นๆซึ่งมันเป็นโมเลกุลชิงซ้อนเนี่ย
00:03:00 → 00:03:02 มันจะต้องผ่านการย่อยหลายๆขั้นตอนก่อนที่
00:03:02 → 00:03:04 จะร่างกายจะดูดซึมไปได้นะครับแบบนี้มันก็
00:03:05 → 00:03:07 เลยใช้เวลานานกว่าที่น้ำตาลจะขึ้นไปทำ
00:03:07 → 00:03:11 เท่าเท่าน้ำตาลแบบกินนะครับอก็เลยมีที่มา
00:03:11 → 00:03:15 ของคำคำนึงคือไิโหลด gic โหลดคืออะไรนะ
00:03:15 → 00:03:18 ครับไลซิกโลดเนี่ยเขาจะเอาเรื่องของ
00:03:18 → 00:03:20 ปริมาณอาหารชนิดนั้นๆที่เรากินเข้ามา
00:03:21 → 00:03:23 เกี่ยวข้องด้วยนะครับเช่นว่าถ้าน้ำตาล
00:03:23 → 00:03:25 เนี่ยเรารู้ว่าไิ index มันสูงแต่คงไม่มี
00:03:25 → 00:03:28 ใครหรอกครับกินน้ำตาลเข้าไป 1 แก้วเต็มๆ
00:03:28 → 00:03:31 ถูกมั้ยฮะก็จะกินเป็นชร้อนชาเอาไปผสมกับ
00:03:31 → 00:03:34 อะไรซะมากกว่านะครับส่วนถ้าท่านกินมัน
00:03:34 → 00:03:37 สำปะหลังหรือกินเผือกเนี่ยนะครับคงไม่มี
00:03:37 → 00:03:39 ใครกินเผือกเท่ากับ 1 ช้อนชาหรอกครับเค
00:03:39 → 00:03:42 กินกันไปทั้งลูกถูกมั้ยฮะเค้าก็เลยเอาตัว
00:03:42 → 00:03:46 ปริมาณของเนี่ยของสิ่งที่รับประทานเข้ามา
00:03:46 → 00:03:49 มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็คือไลซิกโหดคือ
00:03:49 → 00:03:52 ไลซิก index นะครับที่เมื่อตะกี้พูดนะฮะ
00:03:52 → 00:03:55 เอามาคูณด้วยปริมาณที่ปกติคนเากินกันนะฮะ
00:03:55 → 00:03:58 เพื่อจะดูว่าตัวไหนมันสูงตัวไหนมันไม่สูง
00:03:58 → 00:04:00 นะครับดังนั้นไกลซีมิกโหลดเนี่ยจะเป็น
00:04:00 → 00:04:03 อาหารกลุ่มที่ถ้ายิ่งสูงมันยิ่งไม่ดีนะ
00:04:03 → 00:04:05 ครับเราก็จะดูกันที่ไลซิกโหลดเพราะะนั้น
00:04:05 → 00:04:08 มันจะแม่นกว่าไซม index นะฮะอ่านี้เป็น
00:04:08 → 00:04:11 คร่าวๆนะครับทีนี้ปัญหาอยู่ที่ตรงนี้ครับ
00:04:11 → 00:04:14 ก็มีการศึกษาต่ออีกเหมือนกันว่าแค่เนี้ย
00:04:14 → 00:04:17 มันมันได้เหรอนะครับแล้วคาร์โบไฮเดรตมัน
00:04:17 → 00:04:19 ไม่ดีจริงๆเหรอเพราะว่าถ้าไม่อย่างงั้นคน
00:04:19 → 00:04:21 เราจะกินเข้าไปทำไมถึงมั้ยถ้ามันไม่ดีถูก
00:04:21 → 00:04:24 มั้ยครับแล้วทำไมสัตว์ถึงกินเข้าไปทั้งๆ
00:04:24 → 00:04:26 ที่ถ้ามันไม่ดีมันก็ควรจะไม่กินถูกมยฮะ
00:04:26 → 00:04:30 มันก็มีเรื่องราวเพิ่มขึ้นนะครับอย่างนี้
00:04:30 → 00:04:33 ในคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดที่มีอยู่บนโลก
00:04:33 → 00:04:35 เนี้ยนะครับมันจะมีไฟเบอร์ปนอยู่ในนั้น
00:04:35 → 00:04:37 ด้วยนะครับเค้าก็จะนับอยู่ที่ปริมาณ
00:04:37 → 00:04:40 ไฟเบอร์ด้วยเพราะว่าการที่มีไฟเบอร์เนี่ย
00:04:40 → 00:04:42 มันไม่ใช่เป็นแค่กากใยอย่างเดียวเปล่าๆนะ
00:04:42 → 00:04:45 ครับกากใยพวกนี้เนี่ยมันมีประโยชน์หลายๆ
00:04:45 → 00:04:47 อย่างอย่างแรกก็คือมันอย่างที่คนเข้าใจ
00:04:47 → 00:04:50 กันนะครับช่วยในแง่ของการทำให้เราท้องไม่
00:04:50 → 00:04:52 ผูกให้อุจจาระออกมาได้ง่ายขึ้นนะครับถ้า
00:04:52 → 00:04:54 เราดื่มน้ำเพียงพอมันก็จะออกมาได้ง่าย
00:04:54 → 00:04:55 ขึ้นแต่ถ้าเราไม่ลืมน้ำเพียงพอแล้วเรากิน
00:04:55 → 00:04:58 กากใยเข้าไปอันนี้ท้องผูกนะฮะนี่ประการ
00:04:58 → 00:05:01 แรกนะครับประการที่ 2 กากใหญ่พวกนี้เนี่ย
00:05:01 → 00:05:03 มันจะช่วยในแง่ของการป้องกันการดูดซึมของ
00:05:03 → 00:05:05 คาร์โบไฮเดรตเข้าไปอย่างรวดเร็วเกินไปนะ
00:05:05 → 00:05:07 ครับทำให้น้ำตาลของท่านไม่ได้สูงขึ้นจน
00:05:07 → 00:05:09 ปีดปาสอะไรมากมายนะครับอันนี้ก็เป็นตัว
00:05:09 → 00:05:13 ที่ 2 นะครับตัวที่ 3 มันไม่ใช่เป็นกากใย
00:05:13 → 00:05:15 เดี่ยวๆปกติไอ้กากใยพวกนี้เนี่ยมันจะมี
00:05:15 → 00:05:18 ส่วนประกอบอย่างอื่นปนโดยเฉพาะพวกวิตามิน
00:05:18 → 00:05:21 ต่างๆเลยนะครับนี่จึงเป็นที่มาของการที่
00:05:21 → 00:05:24 ถ้าเราทานคาร์โบไฮเดรตชนิดที่ไม่ได้ไป
00:05:24 → 00:05:27 ปรุงแต่งอะไรมันมากมายแล้วมันมีพวกอ่า
00:05:27 → 00:05:30 เปลือกหรืออะไรพวกนี้ติดอยู่นะครับอ่าก็
00:05:30 → 00:05:31 จะทำให้เราได้วิตามินเข้าไปด้วยนะครับ
00:05:31 → 00:05:34 ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีนะฮะยกตัวอย่างเช่น
00:05:34 → 00:05:37 อะไรถ้าท่านทานข้าวสีกับข้าวข้าวสีที่
00:05:37 → 00:05:39 เป็นสีขาวครับสีเอาเปลือกออกไปหมดกับข้าว
00:05:39 → 00:05:42 กล้องนะฮะข้าวกล้องของท่านเนี่ยก็จะมี
00:05:42 → 00:05:44 ส่วนที่มันมีกากใหญ่อยู่นะครับแล้วท่านก็
00:05:44 → 00:05:47 จะได้วิตามินเข้าไปด้วยทั้งๆที่เอ่อมันดู
00:05:47 → 00:05:49 แล้วมันอาจจะกินแล้วไม่อร่อยนะครับต่าง
00:05:49 → 00:05:51 จากข้าวขาวซึ่งมันขัดทุกอย่างอไปหมดแล้ว
00:05:51 → 00:05:53 นะฮะก็จะไม่ค่อยมีกากใยอยู่ในนั้นนะฮะมี
00:05:53 → 00:05:56 แต่คาร์โบไฮเดรตเพียวๆเลยนะครับแล้วก็ไม่
00:05:56 → 00:05:58 ค่อยมีวิตามินมากเท่ากับข้าวกล้องอ่า
00:05:58 → 00:06:01 อย่างนี้เป็นต้นตนนะครับหรือถ้าท่านไปทาน
00:06:01 → 00:06:04 ผลไม้นะครับผลไม้เนี่ยถ้าท่านทานพวก
00:06:04 → 00:06:06 เปลือกพวกกากใยหมนเข้าไปด้วยเนี่ยมันก็จะ
00:06:06 → 00:06:08 มีเรื่องของวิตามินเข้ามาเกี่ยวข้องดัง
00:06:08 → 00:06:10 นั้นของพวกนั้นก็ยังถือว่ามีประโยชน์อยู่
00:06:10 → 00:06:13 นะครับอ่าคาร์โบไฮเดรตมันก็ไม่ใช่ของไม่
00:06:13 → 00:06:15 ดีซะทีเดียวนะครับเพราะว่ามันให้พลังงาน
00:06:15 → 00:06:17 กับเราได้แล้วคาร์โบไฮเดรตเนี่ยมันเป็น
00:06:17 → 00:06:19 พลังงานในรูปแบบที่ร่างกายเราเอามาใช้ได้
00:06:19 → 00:06:22 ทันทีเลยไม่จำเป็นจะต้องรอนะครับเช่นถ้า
00:06:22 → 00:06:24 ผมไปวิ่งออกกำลังกายเนี่ยครับในช่วง
00:06:24 → 00:06:26 ประมาณครึ่งชั่วโมงแรกเนี่ยร่างกายผมจะ
00:06:26 → 00:06:29 เผาผลาญคาร์โบไฮเดรตก่อนเลยอันดับแรกจะ
00:06:29 → 00:06:32 ไม่เผาผันไขมันนะฮะจะใช้คาร์โบไฮเดรตก่อน
00:06:32 → 00:06:34 นะครับเพราะว่าร่างกายของเราเนี่ยจะเก็บ
00:06:34 → 00:06:37 คาร์โบไฮเดรตส่่วนเกิมไว้ในรูปของตัวนึง
00:06:37 → 00:06:40 ซึ่งเรียกว่าไกลโคเจนนะฮะมันก็จะสลายออก
00:06:40 → 00:06:43 มากลายเป็นน้ำตาลให้ร่างกายเราได้ใช้ก่อน
00:06:43 → 00:06:45 นะครับอ่าไกลโคเจนคือคาร์โบไฮเดรตนะครับ
00:06:45 → 00:06:48 แล้วพอเลย 30 นาทีไปมันถึงต้องมันก็ค่อย
00:06:48 → 00:06:51 เอาน้ำไขมันมาใช้นะครับเอิ่มอาจจะมีข้อยก
00:06:51 → 00:06:54 ไว้นิดหน่อยสำหรับคนที่เป็นนักกีฬาที่
00:06:54 → 00:06:56 วิ่งมาราธอนหรือว่าทำอะไรที่มันต้องใช้
00:06:56 → 00:06:59 เวลานานๆแอโรบิยาวๆนานๆพวกเนี้ยร่างกายเา
00:06:59 → 00:07:02 จะกลับมาใช้เอ่อไขมันก่อนตั้งแต่แรกได้นะ
00:07:02 → 00:07:04 ครับออันนั้นเป็นข้อยกเว้นธรรมดานะครับ
00:07:04 → 00:07:06 แต่ว่าสำหรับคนทั่วไปไม่เป็นเช่นนั้นนะ
00:07:06 → 00:07:08 ครับไม่ใช่ว่าท่านไปวิ่งแค่ 10 นาทีแล้ว
00:07:08 → 00:07:11 จะเอาไขมันมาใช้มันไม่เป็นแบบนั้นนะฮะอ่า
00:07:11 → 00:07:14 ดังนั้นเรื่องของคาร์โบไฮเดรตเนี่ยมันก็
00:07:14 → 00:07:15 ไม่ได้มีข้อไม่ดีเสมอไปนะครับคือมันเป็น
00:07:15 → 00:07:18 แหล่งพลังงานชั้นชั้นยอดเลยนะครับกินเข้า
00:07:18 → 00:07:20 ไปแล้วก็มีแรงเดี๋ยวนั้นเลยนะฮะอันที่ 2
00:07:20 → 00:07:23 ก็คือว่าถ้าท่านเล่นกล้ามหรือเป็นคนที่
00:07:23 → 00:07:26 ประกวดนะฮะจะสังเกตว่าในช่วงที่ท่าน
00:07:26 → 00:07:30 ต้องการประกวดเนี่ยท่านจะต้องงดแรี่งดมัน
00:07:30 → 00:07:32 ทุกอย่างจน้าจนกระทั่งแบบค่าไขมันในร่าง
00:07:32 → 00:07:34 กายเนี่ยมันต่ำมากๆจนผิวหนังของท่านเนี่ย
00:07:34 → 00:07:38 มันมีเปอร์เซ็นต์ไขมันต่ำสุดๆนะฮะแต่ถ้า
00:07:38 → 00:07:41 ท่านไปประกวดทั้งๆแบบนั้นเนี่ยสิ่งที่
00:07:41 → 00:07:44 เกิดขึ้นกับท่านก็คือท่านจะดูกล้ามมันไม่
00:07:44 → 00:07:46 เต็มอ่ะฮะจะดูแบบเหมือนเป็นบ๊วยบ๊วยเค็ม
00:07:46 → 00:07:49 บ๊วยแห้งอ่ะนะฮะจะดูไม่มีสง่าราศีเลยนะ
00:07:49 → 00:07:52 ครับงั้นถ้าเกิดว่าก่อนที่ขึ้นไปประกวด
00:07:52 → 00:07:54 แล้วท่านทานข้าวเข้าไปเยอะๆเงี้ยข้าวพวก
00:07:54 → 00:07:57 เยมันจะกลายไปเป็นไกลโคเจนตามไขตามตามตัว
00:07:57 → 00:07:59 กล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้อของเรามันดูพอง
00:07:59 → 00:08:02 ขึ้นมาจะดูตัวใหญ่ขึ้นนะครับอ่าอันนี้ก็
00:08:02 → 00:08:04 เป็นเป็นหลักการอย่างนึงซึ่งถ้าเป็นคนที่
00:08:04 → 00:08:07 อ่าเล่นกล้ามสายประกวดเนี่ยเค้าจะทราบดี
00:08:07 → 00:08:10 นะครับว่าถ้าทำแบบนี้มันจะช่วยนะฮะอ่าแต่
00:08:10 → 00:08:12 ผมก็คุยไปเล่นๆแล้วกันเรื่องนี้ถ้าคนทั่ว
00:08:12 → 00:08:15 ไปคงไม่ได้มีความสลักสำคัญแต่อย่างใดว่า
00:08:15 → 00:08:18 จะต้องทานข้าวก่อนไปทำอะไรนะฮะแต่ทานข้าว
00:08:18 → 00:08:20 มันจะให้พลังงานทันทีนะครับทานไขมันมัน
00:08:20 → 00:08:22 ได้ให้พลังงานทันทีนะครับต่างกันตรงนี้นะ
00:08:22 → 00:08:25 ครับแล้วอ่าจะพูดถึงคีโตนิดนึงนะครับคีโต
00:08:26 → 00:08:28 เจนิ Diet หรือทานอาหารกเเพทที่มีไขมัน
00:08:28 → 00:08:30 สูงๆอย่างเดียวเลยนะครับไขมันสูงๆอย่าง
00:08:30 → 00:08:33 เดียวเนี่ยมันมักจะมีปัญหาในแง่ของกากใย
00:08:33 → 00:08:35 นะครับเพราะว่าอาหารที่มีไขมันและมีกากใย
00:08:35 → 00:08:37 พร้อมๆกันเนี่ยมันไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่นะ
00:08:37 → 00:08:39 ครับแล้วอันที่ 2 ก็คือเรื่องของวิตามิน
00:08:39 → 00:08:41 ซึ่งมันมักจะขาดได้ถ้าเราทานอาหารที่มีไข
00:08:41 → 00:08:44 มันสูงๆอย่างเดียวเนี่ยวิตามินเราอาจจะ
00:08:44 → 00:08:46 ไม่ค่อยพอเราก็อาจจะต้องไปหาทานเสริมอะไร
00:08:46 → 00:08:49 เพิ่มเติมทำให้มันก็มีปัญหาเรื่องเสีย
00:08:49 → 00:08:52 เงินเพิ่มขึ้นอีกนะฮะนั้นก็แล้วแต่นะครับ
00:08:52 → 00:08:54 สุดท้ายแล้วผมก็ยังเชื่ออยู่ในแง่ของการ
00:08:54 → 00:08:57 ใช้ทางสายกลางอยู่ดีนะครับกินอะไรมากไป
00:08:57 → 00:08:59 หรือกินน้อยไปมันก็ไม่ดีทั้งนั้นล่ะครับ
00:08:59 → 00:09:02 นะฮะถ้าเรากินคีโตโอเคมันอาจจะช่วยเรื่อง
00:09:02 → 00:09:04 ของเ่อน้ำหนักของเรานะครับเรื่องของการ
00:09:04 → 00:09:06 คุมเบาหวานพวกเนี้ยแต่มันทำไปตลอดไม่ไม่
00:09:06 → 00:09:09 ดีนะฮะมันก็อาจจะต้องมีสลับบ้างกับเป็น
00:09:09 → 00:09:13 ปกติหรือบางคนทานคีโตกับทำ intermittent
00:09:13 → 00:09:16 fasting ทำ If นะฮะแล้วพอได้พอเห็นผลผล
00:09:16 → 00:09:19 คือที่เห็นอะไรครับเห็นน้ำหนักลดลงอะไร
00:09:19 → 00:09:21 ทุกอย่างดีหมดแต่ท่านลองไปดูคนที่ทำแบบ
00:09:21 → 00:09:25 สุดๆสิครับ If แบบเต็มที่นะครับแล้วก็เ่อ
00:09:25 → 00:09:28 กินคีโตแบบเต็มที่อ่ะเค้าจะดูผอมเหมือนคน
00:09:28 → 00:09:32 ไม่มีสุขภาพที่ดีเลยนะครับจะดูไม่มีสง่า
00:09:32 → 00:09:34 ราศีเลยคือดูผอมแบบน่าเกลียดเหมือนกันนะ
00:09:34 → 00:09:37 ผมเคยเห็นมาแล้วนะฮะว่าทำแบบเต็มที่แล้ว
00:09:37 → 00:09:39 มันมันไม่ค่อยดีขนาดนั้นจริงๆเนี่ยพวกนี้
00:09:39 → 00:09:42 มันก็ไม่ได้เอ่อไม่ได้ถือว่าดีหรอกครับ
00:09:42 → 00:09:44 ที่ควรจะทำนะครับท่านควรจะต้องอย่างน้อย
00:09:44 → 00:09:47 ก็มีการสมดุลของสิ่งที่รับประทานเข้าไป
00:09:47 → 00:09:49 บ้างนะครับคาร์โบไฮเดรตมันก็มีประกอบไป
00:09:49 → 00:09:51 ด้วยกากใยพวกนี้เราอาจจะต้องทานหน่อยนะ
00:09:51 → 00:09:54 ครับถ้าเราทานเราก็เลือกอันที่มีไกลซีมิค
00:09:54 → 00:09:56 โหลดต่ำๆหน่อยนะครับถ้าเป็นไกลซีมิคโหลด
00:09:57 → 00:10:00 สูงๆนี้ก็จะมีปัญหานะฮะแล้วก็ทานถ้าพวก
00:10:00 → 00:10:02 ผลไม้ที่มีกากใยมีเรื่องของวิตามินเกแร่
00:10:03 → 00:10:04 ผสมด้วยเนี่ยก็มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่ท่าน
00:10:05 → 00:10:06 จะได้รับเข้าไปนะครับจากการทาน
00:10:06 → 00:10:09 คาร์โบไฮเดรตนั่นเองนะฮะอ่าแต่ทานเยอะไป
00:10:09 → 00:10:12 ก็อย่างที่บอกมันไม่ดีมันกลายไปเป็นไขมัน
00:10:12 → 00:10:15 ไิรในร่างกายนะครับแล้วก็ทำให้เกิดไขมัน
00:10:15 → 00:10:17 พอกปับหรือว่าอะไรก็แล้วแต่เยอะแยะไปหมด
00:10:17 → 00:10:20 นะครับโอเคใครมีข้อสงสัยเรื่องนี้ก็สอบ
00:10:20 → 00:10:22 ถามมาได้นะครับวันนี้เท่านี้นะครับขอบคุณ
00:10:22 → 00:10:25 มากครับสวัสดีครับ