00:00:00 → 00:00:03 [เสียงดนตรี]
00:00:03 → 00:00:06 You're listening to Mahidol Channel Podcast.
00:00:06 → 00:00:08 Listen for a better life.
00:00:08 → 00:00:11 ฟังเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
00:00:11 → 00:00:14 และนี่คือรายการพอดแคสต์ของช่อง Mahidol Channel
00:00:14 → 00:00:16 โดย มหาวิทยาลัยมหิดล
00:00:16 → 00:00:22 [เสียงดนตรี]
00:00:22 → 00:00:25 เพราะเป้าหมายของเราทุกคน คือการมีชีวิตที่ดี
00:00:25 → 00:00:28 มาพัฒนาตัวเราให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
00:00:28 → 00:00:33 กับรายการ Well-Being สุขภาพดี ชีวิตดี สร้างได้
00:00:34 → 00:00:36 กับผม อาจารย์เต้ ระพี บุญเปลื้อง
00:00:36 → 00:00:39 จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
00:00:39 → 00:00:42 [เสียงดนตรี]
00:00:42 → 00:00:45 คุณผู้ชมครับ ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
00:00:45 → 00:00:50 เรื่องของงาน เรื่องของสุขภาพ หลาย ๆ อย่าง เราเจออยู่ทุกวัน
00:00:50 → 00:00:51 มันนำไปสู่ความเครียด
00:00:52 → 00:00:54 บางคนอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป ว่าตัวเองกำลังเครียด
00:00:55 → 00:00:57 ความเครียดที่ว่านี้เราเจอทุกวัน
00:00:57 → 00:00:59 มันก็เริ่มสะสม สะสมไปเรื่อย ๆ
00:01:00 → 00:01:03 ความเครียดสะสมที่ว่านี้ อาจจะนำไปสู่โรคทางกาย เช่น
00:01:03 → 00:01:05 อาจจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร
00:01:06 → 00:01:08 อาจจะเป็นโรคนอนไม่หลับ
00:01:08 → 00:01:11 หรืออาจจะนำไปสู่โรคทางด้านจิตใจ เช่น โรคซึมเศร้าได้
00:01:12 → 00:01:17 เดี๋ยววันนี้เราจะมาลองดู วิธีในการที่จะลดความเครียดเหล่านั้นลง
00:01:17 → 00:01:19 โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5
00:01:19 → 00:01:23 รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสกัน
00:01:23 → 00:01:25 กับวันนี้ครับ วันนี้เราได้อาจารย์ป๊อบ
00:01:25 → 00:01:29 ผศ.ดร.ก.บ.ศุภลักษณ์ เข็มทอง
00:01:29 → 00:01:31 นักกิจกรรมบำบัดจิตสังคม
00:01:31 → 00:01:33 คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล
00:01:33 → 00:01:35 - สวัสดีครับอาจารย์ป๊อบ - สวัสดีครับ
00:01:35 → 00:01:37 อาจารย์ป๊อบครับ เริ่มก่อนเลย
00:01:37 → 00:01:40 ก่อนที่จะไปดูในการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5
00:01:40 → 00:01:44 เรามาดูคำว่า “ความเครียด” คำนิยามของมันคืออะไรก่อน
00:01:44 → 00:01:49 ความเครียดนี่นะครับอาจารย์เต้ มันคือภาวะที่ร่างกายพยายามปรับสมดุล
00:01:49 → 00:01:51 ถ้าอะไรมันมากเกินไป
00:01:51 → 00:01:52 ครับ
00:01:52 → 00:01:54 อะไรมันน้อยเกินไป ยกตัวอย่างเช่น
00:01:54 → 00:01:56 เราทำงานหนักจนเกินไป
00:01:56 → 00:01:58 ร่างกายเราก็อยากจะพักผ่อน
00:01:58 → 00:01:59 อืม
00:01:59 → 00:02:02 หรือเราอยากออกกำลังกายให้แข็งแรง
00:02:02 → 00:02:04 ถ้าออกกำลังกายมากจนปวดเมื่อย
00:02:04 → 00:02:06 ร่างกายก็บอกว่า ขอซ่อมแซมนะ
00:02:06 → 00:02:07 อ๋อ
00:02:07 → 00:02:09 ร่างกายออกกำลังกายพอดี ๆ นะ
00:02:09 → 00:02:12 นี่…มันคือภาวะสมดุลที่ร่างกายเขาจะเตือนเรา
00:02:13 → 00:02:15 อืม...ว่ามันเกินสมดุลไปแล้ว
00:02:16 → 00:02:18 เราต้องดึงกลับมาที่ตำแหน่งที่มันสมดุล
00:02:18 → 00:02:19 ใช่
00:02:19 → 00:02:22 อาจารย์ป๊อบครับ อย่างนี้ดูเหมือนว่า ทุกคนก็จะมีความเครียดเนอะ
00:02:22 → 00:02:25 แต่บางคนก็อาจจะเครียดมาก บางคนก็อาจจะเครียดน้อย
00:02:25 → 00:02:25 ครับ
00:02:25 → 00:02:27 เครียดมาก เครียดน้อยนี่ มันขึ้นอยู่กับอะไรบ้างครับ
00:02:27 → 00:02:29 มันจะมีอยู่ 3 ปัจจัยนะอาจารย์
00:02:29 → 00:02:31 ก็คือถ้าอายุมากขึ้น
00:02:31 → 00:02:33 แล้วเราเป็นคนแบบคิดลบเยอะ ๆ
00:02:33 → 00:02:34 อุ๊ย
00:02:34 → 00:02:41 อย่างนี้ก็จะเครียดลบ แล้วก็สะสม จนเราไม่สามารถที่จะขจัดมันออกได้
00:02:41 → 00:02:45 อีกอันหนึ่งก็คือสภาพร่างกายของเขา ร่างกายไม่แข็งแรง
00:02:45 → 00:02:46 จิตใจก็อ่อนแอ
00:02:47 → 00:02:50 ดังนั้นก็คือ แทนที่เราจะเครียดบวกเยอะ ๆ
00:02:50 → 00:02:52 ก็กลายเป็นเครียดลบเยอะ ๆ แทน
00:02:52 → 00:02:52 อืม
00:02:52 → 00:02:56 และสุดท้ายก็คือเป็นเรื่องของพื้นอารมณ์
00:02:56 → 00:02:56 อ๋อ
00:02:56 → 00:02:58 ถ้าบางคนเขาอ่อนไหวมาก ๆ
00:02:58 → 00:02:58 ครับ
00:02:58 → 00:03:01 แล้วก็ร้องไห้เยอะ ๆ
00:03:01 → 00:03:02 กังวลเยอะ ๆ
00:03:02 → 00:03:05 ตรงนี้ก็ขจัดความเครียดลบยากเหมือนกัน
00:03:05 → 00:03:05 อืม
00:03:05 → 00:03:09 อาจารย์ป๊อบพูดถึงคำว่า “เครียดลบ” กับ “เครียดบวก”
00:03:09 → 00:03:12 มันคืออะไร ช่วยอธิบายเพิ่มเติมสักนิดได้ไหม
00:03:12 → 00:03:14 พูดง่าย ๆ คือ ความเครียดบวกนี่
00:03:14 → 00:03:17 ก็คือมันจะทำให้สมองเราปิ๊งแว้บได้เร็ว
00:03:18 → 00:03:19 สมองเราจดจำได้ง่าย
00:03:20 → 00:03:23 แล้วก็สามารถที่จะคิดอะไรใหม่ ๆ ดี ๆ ได้
00:03:23 → 00:03:25 ส่วนถ้าเป็นเครียดลบนี่
00:03:25 → 00:03:29 มันก็คือสมองจะเริ่มหลง ๆ ลืม ๆ
00:03:29 → 00:03:32 ใครพูดมา ตินิดนึงก็...สมองก็เริ่มมีแผลเป็น
00:03:32 → 00:03:34 [เสียงหัวเราะ]
00:03:34 → 00:03:37 ฟังดูเหมือนว่าเราต้องการเครียดแบบบวก
00:03:37 → 00:03:39 ในการที่จะทำให้งานที่อยู่ตรงหน้าของเรา
00:03:39 → 00:03:42 มันสำเร็จเสร็จสิ้นไปได้ถูกไหม
00:03:42 → 00:03:45 - และให้ชีวิตมีความสุขด้วย
00:03:45 → 00:03:45 - ใช่ - โอเค
00:03:46 → 00:03:48 - ดูเหมือนคีย์เวิร์ดมันจะอยู่ที่มีความสุข
00:03:48 → 00:03:51 ทีนี้ถ้าเราบอกว่า เครียดบวกเป็นสิ่งที่ดี
00:03:51 → 00:03:53 เราควรที่จะเก็บมันไว้
00:03:53 → 00:03:56 ตัวเครียดลบ มันไม่ดีอย่างไร
00:03:56 → 00:03:59 ตัวเครียดลบนี่ พอมันสะสมไปเรื่อย ๆ นะครับอาจารย์
00:03:59 → 00:04:02 มันเหมือนกับร่างกายมันเริ่มสึกหรอเยอะ ๆ
00:04:02 → 00:04:04 มันไม่มีตัวมาซ่อมแซม
00:04:04 → 00:04:06 มันก็ทำให้เริ่มที่...หัวใจเลยนะครับ
00:04:07 → 00:04:11 หัวใจนี้เริ่มเต้นแบบ…เร็ว แรง อยู่ตลอดเวลา
00:04:11 → 00:04:11 อืม
00:04:11 → 00:04:12 ตื่นตัว
00:04:12 → 00:04:14 พอหัวใจเต้นแรงตลอดเวลา
00:04:14 → 00:04:16 ปอดมันทำงานไม่ทัน
00:04:16 → 00:04:18 มันก็เริ่มไม่ค่อยส่งออกซิเจนแล้ว
00:04:18 → 00:04:20 ออกซิเจนในร่างกายเหลือน้อย
00:04:20 → 00:04:22 คาร์บอนไดออกไซด์มาก เยอะขึ้น
00:04:22 → 00:04:23 สมองก็เริ่มเสื่อม
00:04:23 → 00:04:24 ครับ
00:04:24 → 00:04:25 สมองเสื่อมแล้ว
00:04:25 → 00:04:29 ก็ทำให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ ในร่างกาย ไม่มีชีวิตชีวา อ่อนแอง่าย
00:04:29 → 00:04:32 แล้วถ้าเครียดลบไปนาน ๆ มันจะยิ่งแย่ลง ถูกไหมครับ
00:04:32 → 00:04:35 คำว่า นาน ๆ นี่ มันต้องนานสักเท่าไหร่
00:04:35 → 00:04:38 จริง ๆ แล้วเราดูใน 3 วันครับอาจารย์
00:04:38 → 00:04:42 3 วัน ถ้าเราแบบ…ปล่อยให้ตัวเราเครียดลบ สะสมเยอะ ๆ นะ
00:04:42 → 00:04:44 เอาเรื่องเลยครับ
00:04:44 → 00:04:47 เอาเรื่องคือนอนไม่หลับ ฉันไม่อยากทำงาน
00:04:47 → 00:04:48 ไม่มีจิตใจทำ
00:04:49 → 00:04:50 สาม ไม่อยากคุยกับใคร
00:04:50 → 00:04:51 อืม
00:04:51 → 00:04:52 สี่ก็คือ เริ่มกินไม่ได้
00:04:53 → 00:04:53 อืม
00:04:53 → 00:04:54 หรือบางทีกินมากไป
00:04:54 → 00:04:55 อุ๊ย
00:04:55 → 00:04:56 อะไรอย่างนี้ครับ
00:04:56 → 00:04:57 ครับ
00:04:57 → 00:05:01 ถ้าเป็นไปได้ เครียดลบ อย่าให้มันลบยาวเกิน 3 วันใช่ไหม
00:05:01 → 00:05:01 3 วัน
00:05:01 → 00:05:04 ตอนนี้เรารู้แล้วว่าความเครียดลบสะสมนี่
00:05:04 → 00:05:06 มันไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายครับ
00:05:07 → 00:05:10 ประเด็นที่สำคัญคือ แล้วเราจะลด ความเครียดลบสะสมนี้ได้อย่างไร
00:05:11 → 00:05:15 เราก็จะลดความเครียดนี้ โดยใช้ระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 ครับ
00:05:15 → 00:05:18 [เสียงดนตรี]
00:05:18 → 00:05:23 - เริ่มจากประสาทสัมผัสแรกก็คือ รูป ใช่ไหม - ใช่
00:05:23 → 00:05:25 รูปนี่ครับ ก็คือให้เรามองว่า
00:05:25 → 00:05:28 รูปอะไรนะที่ทำให้เรามีความสุข
00:05:28 → 00:05:30 - ความสุขของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันใช่ไหม - ใช่
00:05:31 → 00:05:33 แล้วก็โดยทั่วไป มันก็จะมีอยู่ 5 รูปครับอาจารย์
00:05:33 → 00:05:34 ครับ
00:05:34 → 00:05:36 รูปที่ 1 นะ รูปที่ 1 นี่
00:05:36 → 00:05:39 มันก็จะเป็นรูปจากที่เราอ่านหนังสือ
00:05:40 → 00:05:43 จากที่เราเห็นภาพในแม็กกาซีน
00:05:43 → 00:05:46 หรืออะไรที่เราเห็นแล้วเรารู้สึกสบายใจ
00:05:46 → 00:05:47 อาจารย์เต้มีไหมครับ
00:05:47 → 00:05:50 มีครับ แต่ผมไม่กล้าบอกว่าเป็นประเภทไหน
00:05:50 → 00:05:51 ครับ
00:05:51 → 00:05:55 ก็รูปเหล่านั้นนี่ เรามองเฉย ๆ ไม่พอนะครับ
00:05:55 → 00:05:56 มันจะเกิดความคิดแบบ...
00:05:56 → 00:05:58 เฮ้ย...มันสอนอะไรเรา
00:05:58 → 00:06:00 ได้คติชีวิตเรา
00:06:00 → 00:06:01 มันรู้สึกดี
00:06:02 → 00:06:06 อ๋อ ก็คือเป็นรูปเมื่อเรามองแล้ว มันจะนำไปสู่การคิดบวกของเรา
00:06:06 → 00:06:08 - ถูกต้องครับ - โอเค
00:06:08 → 00:06:11 รูปที่ 2 ครับ น่าสนใจมากทั่วโลกเกือบครึ่งโลกเลย
00:06:11 → 00:06:13 เขาสนใจรูปก้อนเมฆ
00:06:13 → 00:06:16 - อ๋อ หมายถึงว่าก้อนเมฆที่อยู่บนฟ้า - ใช่
00:06:16 → 00:06:19 พอเรามองไป แล้วจะเกิด ความรู้สึกบวกขึ้นมาทันทีเลยหรือ
00:06:19 → 00:06:21 แน่นอน เพราะว่ามันเกิดการจินตนาการ
00:06:21 → 00:06:22 อาจารย์เคยมองไหมครับ
00:06:22 → 00:06:25 รูปนี้มองนาน ๆ เป็นรูปแบบ…หัวใจ
00:06:25 → 00:06:29 รูปนี้มองนาน ๆ เป็นรูปแบบ…นกกระจอกเต้นรำ
00:06:29 → 00:06:29 อา...
00:06:29 → 00:06:31 - อาจารย์เคยมองไหมครับ - ผมเห็นเป็นของกิน
00:06:31 → 00:06:33 มันก็ได้ มันเป็นอาหารโปรด
00:06:33 → 00:06:37 เพราะมันจะมารูปที่ 3 ก็คือ รูปอาหารโปรด
00:06:37 → 00:06:41 ผมก็ผมคิดว่าพอดูรูปอาหารโปรดแล้ว จะนำไปสู่ความหิวเลย
00:06:41 → 00:06:43 มันจะรู้สึกหิว รู้สึกอยากกินใช่ไหมครับ
00:06:43 → 00:06:46 แล้วก็ต่อมาซึ่งอาหารโปรดนี่ มันก็จะเป็นธรรมชาติ
00:06:46 → 00:06:50 นอกจากอาหารโปรด ก็จะมีรูปเกี่ยวกับภาพธรรมชาติ
00:06:50 → 00:06:50 ภาพธรรมชาติ
00:06:51 → 00:06:52 ต้นไม้ น้ำตก
00:06:52 → 00:06:56 รูปต่าง ๆ ที่เป็น…รู้สึกสบายใจในธรรมชาติ
00:06:56 → 00:06:57 - อันนี้มองเฉย ๆ นะครับ - มองเฉย ๆ
00:06:57 → 00:07:00 ต่อมาก็จะเป็นภาพของคนที่เรารัก
00:07:00 → 00:07:03 ภาพแห่งความทรงจำ ภาพหมู่นักเรียน อาจารย์เคยไหมครับ
00:07:03 → 00:07:06 ในสมัยเราเรียนนี่ เราถ่ายรูปเนอะ
00:07:06 → 00:07:06 ครับ
00:07:06 → 00:07:08 กับคุณพ่อคุณแม่อย่างนี้ครับ
00:07:08 → 00:07:08 ครับ
00:07:08 → 00:07:10 มันเป็นความรู้สึกดีมากเลย
00:07:10 → 00:07:11 อืม จริงครับ จริง ๆ
00:07:11 → 00:07:15 พอเราดูภาพ แล้วมันก็จะย้อนนึกไปถึง ช่วงที่เรามีความสุขเนอะ
00:07:15 → 00:07:16 ถูกต้อง
00:07:16 → 00:07:18 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงจะต้องเลือกรูปหน่อย
00:07:18 → 00:07:21 เพราะผมกำลังคิดว่า ถ้าเผื่อเอารูปแฟนเก่าขึ้นมาดูนี่
00:07:21 → 00:07:22 แล้วมันจบไม่สวยนี่
00:07:22 → 00:07:22 ใช่
00:07:22 → 00:07:24 ความคิดของเรา มันจะลบทันทีใช่ไหม
00:07:24 → 00:07:25 ก็ตอนเลือกรูปนี่
00:07:26 → 00:07:28 เลือกรูปที่มีความทรงจำดี ๆ แล้วรีบใส่กรอบเลย
00:07:28 → 00:07:29 [เสียงหัวเราะ]
00:07:29 → 00:07:31 อาจารย์จะได้ไม่ต้องไปเปิด ๆ ดู
00:07:31 → 00:07:35 - อ๋อ จะได้อยู่ใกล้มือ ใกล้ตา - อยู่ใกล้มือ ใกล้ตา แล้วก็ใกล้หัวใจเรา
00:07:35 → 00:07:36 อา...เข้าใจแล้ว
00:07:36 → 00:07:39 และสุดท้ายก็คือ เวลาอาจารย์ไปเที่ยวที่ที่ไหนนี่
00:07:39 → 00:07:43 สถานที่ที่แบบ โอ้โฮ…มันเป็นความทรงจำ เป็นความสุขมากเลย
00:07:43 → 00:07:46 อันนี้เก็บประสบการณ์รูปนี้ไว้
00:07:46 → 00:07:47 อืม
00:07:47 → 00:07:50 ตอนนี้ผมกำลังพยายามที่จะเอาทั้ง 5 รูปนี้ มารวมกันอยู่ในรูปเดียว
00:07:50 → 00:07:51 นี่
00:07:51 → 00:07:52 ผมไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม
00:07:52 → 00:07:55 ผมจะถ่ายรูปอาหาร กับคนที่ผมมีประสบการณ์ที่ดีด้วย
00:07:55 → 00:07:55 นี่
00:07:55 → 00:07:58 รวมถึง…อะไรล่ะนี่ มีต้นไม้ด้วย
00:07:58 → 00:07:59 มีธรรมชาติด้วย
00:07:59 → 00:08:01 - แล้วก็มีก้อนเมฆ - มีก้อนเมฆ
00:08:01 → 00:08:03 มีท้องฟ้า ผมมองรูปเดียวจบเลย
00:08:03 → 00:08:06 มันคือรูปใหญ่ ๆ ของอาจารย์ ติดบนบ้านได้เลย
00:08:06 → 00:08:08 งั้นก็นั่งจ้องไป 2 ชั่วโมง ให้รู้สึกดีขึ้นเลย
00:08:08 → 00:08:09 1 นาทีพอ
00:08:09 → 00:08:13 โอ้โฮ องค์ประกอบเยอะขนาดนั้น ให้จ้องแค่ 1 นาที
00:08:13 → 00:08:15 เพราะอย่างน้อยเราจะได้ไม่เมื่อย
00:08:15 → 00:08:18 ตาเราก็จะแบบ…สบายตาด้วย
00:08:18 → 00:08:19 จ้องมาก ๆ เราไม่ทำอย่างอื่นเลย
00:08:19 → 00:08:22 งั้นก็คือถ้าสมมุติ 5 รูป อย่างที่อาจารย์ป๊อบว่านี่ก็คือ
00:08:23 → 00:08:26 มองรูปแรกไปก่อน 1 นาที
00:08:26 → 00:08:27 แล้วก็มองรูปต่อไป 1 นาที
00:08:27 → 00:08:29 หรือว่ามองกันทั้ง 5 รูปนี่ภายใน 1 นาที
00:08:29 → 00:08:30 ได้หมด แล้วแต่เรา
00:08:30 → 00:08:34 เพราะว่าเพียงแค่มองนี่ สมองก็หลั่งโดพามีน
00:08:34 → 00:08:36 โดพามีนก็คือรู้สึกดี
00:08:36 → 00:08:38 เป็นตัวที่ทำให้เรารู้สึกดี
00:08:38 → 00:08:39 ใช่ ๆ
00:08:39 → 00:08:42 [เสียงดนตรี]
00:08:42 → 00:08:44 รูปไปแล้ว ต่อไปเป็นเรื่องของรสครับ
00:08:44 → 00:08:45 อืม
00:08:45 → 00:08:47 เรื่องของรสนี่น่าสนใจมาก
00:08:47 → 00:08:50 เพราะว่าเป็นระบบประสาทที่เรามักจะไม่ชิน
00:08:51 → 00:08:53 ยกตัวอย่างเช่น เวลาเรารับประทานอะไรอร่อย ๆ
00:08:53 → 00:08:54 ครับ
00:08:54 → 00:08:56 เราก็เคี้ยวเร็วเกินไป
00:08:56 → 00:08:56 อุ๊ย
00:08:56 → 00:08:58 ก็มันอร่อย ก็อยากกินเยอะ ๆ
00:08:58 → 00:09:02 คราวนี้ต่อมน้ำลายมันจะช่วยคลุกเคล้าอาหาร
00:09:02 → 00:09:04 แล้วก็มันจะทำให้เรามีสตินะอาจารย์
00:09:04 → 00:09:08 สมองส่วนที่คอยแบบ...คอยโฟกัสนะ
00:09:08 → 00:09:08 ครับ
00:09:08 → 00:09:13 คอยแบบ…คอยค่อย ๆ ละเลียด น้ำลายค่อย ๆ ไหลออกมา
00:09:13 → 00:09:17 มันจะกลายไปสู่ความทรงจำของ เรื่องของจินตนาการ
00:09:18 → 00:09:19 ว่าเรากำลังทานอะไร
00:09:19 → 00:09:22 เคยทานอาหารนี้เป็นอาหารโปรดของเราไหม
00:09:22 → 00:09:22 โอ้โฮ
00:09:22 → 00:09:26 มันก็จะไประลึกได้กับความทรงจำที่มีอยู่
00:09:26 → 00:09:29 สงสัยผมต้องกลับไปเปลี่ยนวิธีการ ในการกินอาหารของผมแล้ว
00:09:29 → 00:09:29 อืม
00:09:29 → 00:09:30 ว่าให้เคี้ยวให้ช้าลง
00:09:30 → 00:09:34 เคี้ยวช้า ๆ แล้วค่อย ๆ ดูว่า นี่อาหารรสมือแม่เรา
00:09:34 → 00:09:40 หรืออาหารรสมือแบบคนอื่น ๆ ที่เราเพิ่งจะ มาทาน เชลล์ชวนชิมอะไรประมาณนี้
00:09:40 → 00:09:44 ทีนี้แล้วอาหารในรสอื่น ๆ น่ะครับ
00:09:44 → 00:09:48 อย่างเช่นถ้าสมมุติพูดถึงเผ็ดอย่างนี้ อาหารที่มันเผ็ดนี่
00:09:48 → 00:09:51 มันจะมีผลอย่างไรกับอารมณ์ หรือว่าความเครียดของเราไหมครับ
00:09:51 → 00:09:54 รสเผ็ดนี่มันเป็นการกระตุ้นสมองอ่อน ๆ
00:09:54 → 00:09:57 เพราะว่าในรสเผ็ดนี่ มีสารแคปไซซิน
00:09:57 → 00:10:01 จะทำให้สมองเรานี่ พอได้รับรสเผ็ดแล้วนะ จื๊ดแล้ว
00:10:01 → 00:10:02 เอนดอร์ฟินจะหลั่ง
00:10:03 → 00:10:07 เอนดอร์ฟินนี่ มันจะหลั่งเล็ก ๆ เพื่อให้สมอง ลืมความเจ็บปวด
00:10:07 → 00:10:09 ลืมความคิดลบอะไรประมาณนี้อาจารย์
00:10:09 → 00:10:10 อา…เข้าใจแล้ว
00:10:10 → 00:10:13 เผ็ดนี่พอจะมองออกแล้วว่าเผ็ดนี่จะช่วย
00:10:13 → 00:10:16 ผมจะนึกถึงหวาน เพราะหลาย ๆ คนบอกว่า เอ๊ย...อารมณ์ไม่ดี
00:10:16 → 00:10:18 หาของหวานกินอะไรอย่างนี้ มันจะช่วยไหมครับ
00:10:18 → 00:10:22 หวานมากไปนี่ เคยได้ยินไหมครับ หวานมากเป็นลม
00:10:22 → 00:10:23 หวานเป็นลม
00:10:23 → 00:10:24 ก็คือสมองเรานี่
00:10:25 → 00:10:29 มันจะใช้ของหวานน้อย ๆ ถ้าเราได้ออกแรง
00:10:29 → 00:10:32 แต่สมองเราไม่ได้ออกแรงตลอดเวลา มันต้องการพัก
00:10:32 → 00:10:35 คราวนี้หวานเป็นลมก็คือ มัน... สมองไม่ได้ใช้
00:10:35 → 00:10:37 มันก็จะเป็น...ทำให้สมองอักเสบแทน
00:10:37 → 00:10:38 อืม
00:10:38 → 00:10:39 มันจะเป็นลม
00:10:39 → 00:10:41 - ก็คือหวานมากไม่ดี - ใช่
00:10:41 → 00:10:42 หวานมากไม่ดี
00:10:42 → 00:10:45 แต่มันมีหวานแบบนึงที่เราเรียกว่าหวานจี๊ด
00:10:45 → 00:10:46 หวานจี๊ด
00:10:46 → 00:10:47 ทีเดียวอยู่
00:10:47 → 00:10:49 - ยังไงครับ - ดาร์กช็อกโกแลต
00:10:49 → 00:10:51 ดาร์กช็อกโกแลตนี่ผมว่ามันขมนะ
00:10:51 → 00:10:52 มันอย่างนี้ครับอาจารย์
00:10:52 → 00:10:55 มันจะหวานปรี๊ด แล้วก็มาขมทีหลัง
00:10:55 → 00:10:57 อ๋อ เหรอ ผมก็ไม่เคยสังเกต
00:10:57 → 00:11:00 คือปุ่มรสความหวานนี่กับขมนี่มันใกล้กัน
00:11:00 → 00:11:03 ดังนั้น สมองจะตื่นเต้น
00:11:03 → 00:11:05 พอตื่นเต้นอะไรหลั่งครับ เอนดอร์ฟิน
00:11:05 → 00:11:08 อืม กลับมาที่เอนดอร์ฟินอีกแล้วครับ
00:11:08 → 00:11:10 งั้นก็เหมือนกับบอกว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา
00:11:10 → 00:11:15 ขมที่ว่านั้นก็คือ ดาร์กช็อกโกแลต ก็อยู่ในความขมที่ว่านี้ใช่ไหมครับ
00:11:15 → 00:11:16 หวานปรี๊ด แล้วก็ขมเลย
00:11:16 → 00:11:19 ถ้าอย่างนี้ใครอกหัก แล้วอยากกินช็อกโกแลต ก็อาจจะช่วยหรือเปล่า
00:11:19 → 00:11:20 ดาร์กช็อกโกแลต ใช่
00:11:21 → 00:11:23 ใช่ ลืมความเจ็บปวดชั่วขณะ
00:11:23 → 00:11:27 หลายคนก็บอกว่า…ตอนนี้ปวดหัว เพราะไม่ได้กินกาแฟ
00:11:28 → 00:11:30 กาแฟมันมีส่วนช่วย เรื่องของความเครียดหรือเปล่า
00:11:30 → 00:11:31 มันได้นะอาจารย์
00:11:31 → 00:11:33 เพราะว่ามันเหมือนกับเติมพลังเนอะ
00:11:33 → 00:11:39 แล้วยิ่งเป็นกาแฟขม ๆ ที่เมื่อกี้ ก็คือ Dark Coffee อย่างนี้
00:11:39 → 00:11:40 อ๋อ แบบ Black Coffee เลย
00:11:40 → 00:11:43 Black Coffee เลย ใส่น้ำตาลน้อย ๆ หรือไม่ใส่เลยจะดีมาก
00:11:44 → 00:11:46 ชา กาแฟ ทำให้เราตื่นตัว
00:11:46 → 00:11:48 อาจจะทำให้ความเครียดของเราลดลง
00:11:48 → 00:11:49 มีอาหารประเภทอื่นอีกไหมครับ
00:11:49 → 00:11:52 ก็เป็นอาหารที่มันมีกากใยเยอะ ๆ
00:11:52 → 00:11:56 เช่น ธัญพืชจากถั่วต่าง ๆ นี่ล่ะครับ
00:11:56 → 00:11:58 พอเราเคี้ยวแล้วมันจะกรุบ ๆ เนอะ
00:11:58 → 00:12:01 แล้วมันก็จะค่อย ๆ ให้เอนไซม์ในน้ำลายหลั่งออกมา
00:12:01 → 00:12:02 อ๋อ
00:12:02 → 00:12:04 เป็นน้ำลายที่ใส ๆ นะอาจารย์ ถ้าอาจารย์สังเกตดู
00:12:04 → 00:12:05 อ๋อ ไม่เคยสังเกตเลย
00:12:05 → 00:12:08 น้ำลายใส ๆ นี่มีประโยชน์
00:12:08 → 00:12:08 อ๋อ เหรอ
00:12:08 → 00:12:13 คือมันเป็นเอนไซม์ที่ทำให้ แบคทีเรียลดลงด้วยในตัวนะอาจารย์
00:12:13 → 00:12:16 แล้วก็ทำให้สมองเรานี่มันได้ออกซิเจน
00:12:16 → 00:12:18 เติมเข้าไปขณะเราเคี้ยวช้า ๆ
00:12:18 → 00:12:22 [เสียงดนตรี]
00:12:22 → 00:12:24 ทีนี้มาถึงประสาทสัมผัสที่ 3
00:12:24 → 00:12:25 นั่นคือกลิ่นครับ
00:12:25 → 00:12:27 วันนี้ผมมีกลิ่นให้อาจารย์ด้วยครับ นี่
00:12:27 → 00:12:29 นี่ นี่อาจารย์ นี่นะ
00:12:29 → 00:12:31 นี่คืออะไรครับนี่
00:12:31 → 00:12:32 อันนี้อาจารย์ลองดูนะครับ
00:12:32 → 00:12:35 แล้วก็วิธีการคือเราแค่... อย่างนี้ครับอาจารย์
00:12:35 → 00:12:36 อาจารย์ได้กลิ่นไหม
00:12:36 → 00:12:38 - รอให้กลิ่นมันระเหย - อ๋อ เริ่มได้กลิ่นแล้วครับ
00:12:38 → 00:12:40 มันจะระเหยประมาณ 20 วินาทีครับอาจารย์
00:12:40 → 00:12:41 รู้สึกสดชื่น
00:12:42 → 00:12:44 - กลิ่นนี้ กลิ่นลาเวนเดอร์ใช่ไหมครับ - ใช่เลยครับ
00:12:44 → 00:12:48 ลาเวนเดอร์นี่นะครับอาจารย์ มันจะทำให้หลังเซโรโทนิน
00:12:48 → 00:12:49 เซโรโทนิน เป็น...
00:12:49 → 00:12:53 ใช่ เซโรโทนินเป็นสารเคมีในสมอง ทำให้เราหายเศร้า
00:12:53 → 00:12:54 อืม
00:12:54 → 00:12:57 ทำให้เรารู้สึกเคลียร์ โล่ง
00:12:57 → 00:13:00 แล้วก็มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน
00:13:00 → 00:13:03 อ๋อ ถ้างั้นผมก็เอานี่เลย น้ำมันหอยระเหยที่ว่านี่มาป้ายจมูกเลยได้ไหม
00:13:03 → 00:13:04 โอ้โฮ
00:13:04 → 00:13:06 มันก็จะมีข้อเสียอาจารย์
00:13:06 → 00:13:08 เพราะว่ามันเหมือนกับกลิ่นมันจะแรงมาก
00:13:08 → 00:13:09 อ๋อ แรงเกินไป
00:13:09 → 00:13:11 เยื่อโพรงจมูกเรานี่อักเสบได้ง่าย
00:13:11 → 00:13:14 ถ้าเราสูดใกล้ ๆ ตั้งใจเลยนะ
00:13:14 → 00:13:16 อืม ถ้างั้นเอาไว้ห่าง ๆ
00:13:16 → 00:13:17 ห่าง ๆ ได้
00:13:17 → 00:13:19 ให้มันค่อย ๆ ระรินมา ละเลียดมา
00:13:19 → 00:13:20 ใช่ ละเลียดมา
00:13:20 → 00:13:23 ถ้างั้นเราก็ตั้งวางไว้อย่างนี้ทั้งคืนเลย
00:13:23 → 00:13:25 เราจะได้รู้สึกดีทั้งคืนอย่างนี้ได้ไหมครับ
00:13:25 → 00:13:26 จริง ๆ มันก็จะนานไป
00:13:27 → 00:13:31 จมูกเราก็จะแบบ…คล้าย ๆ รับกลิ่นเดิม ๆ
00:13:31 → 00:13:32 สมองไม่ชอบอะไรเดิม ๆ อาจารย์
00:13:32 → 00:13:34 มันอาจจะมีกลิ่นอย่างอื่นบ้าง
00:13:34 → 00:13:37 กลิ่นเปปเปอร์มินต์ กลิ่นส้ม
00:13:37 → 00:13:40 กินอะไรที่มันแบบ…โอ้โฮ ชวนให้มันแบบ… สดชื่น หลากหลายอย่างนี้
00:13:40 → 00:13:41 อ๋อ เข้าใจแล้ว
00:13:41 → 00:13:44 แสดงว่าถ้าเผื่อเราอยู่กับสิ่งนี้นาน ๆ มันก็จะเริ่มชินใช่ไหม
00:13:44 → 00:13:44 ใช่
00:13:44 → 00:13:46 ถ้าเราเปลี่ยนกลิ่นปุ๊บ
00:13:46 → 00:13:47 มันก็จะตื่นเต้นขึ้นมาทันที
00:13:47 → 00:13:49 ตื่นเต้น มันไม่เบื่อไง
00:13:49 → 00:13:50 อ๋อ
00:13:50 → 00:13:52 - นี่คือกลิ่นลาเวนเดอร์ - ครับ
00:13:52 → 00:13:54 เมื่อตะกี้อาจารย์ป๊อบพูดถึง กลิ่นเปปเปอร์มินต์
00:13:54 → 00:13:56 มันมีกลิ่นอย่างอื่นอีกไหม
00:13:56 → 00:13:57 กลิ่นตามธรรมชาติอาจารย์
00:13:57 → 00:13:59 กลิ่นตามธรรมชาติ
00:13:59 → 00:14:04 เวลาอาจารย์อยู่ท่ามกลางต้นไม้ สายลม น้ำตก
00:14:04 → 00:14:06 อาจารย์สูดกลิ่นแล้วรู้สึกไหมครับ
00:14:06 → 00:14:10 รู้สึก เออ...รู้สึกสดชื่นเนอะ เวลาที่ฝนเพิ่งตกมานี่
00:14:10 → 00:14:12 กลิ่นดินนี่แบบหอมเลย
00:14:12 → 00:14:14 คราวนี้ตอนกลางคืนเวลาอยู่ธรรมชาติ มียุงอย่างนี้
00:14:14 → 00:14:16 อาจารย์ใช้กลิ่นอะไร
00:14:16 → 00:14:17 กลิ่นตะไคร้
00:14:17 → 00:14:19 อ๋อ ใช้ตะไคร้หอม
00:14:19 → 00:14:23 มันก็จะแบบ…ได้ทั้งกลิ่น คลายเครียด แล้วก็ยุงก็ไม่กัดเรา
00:14:23 → 00:14:29 ทีนี้ ถ้าบอกว่ากลิ่นนี้ นี่คือกลิ่นที่มันจะทำให้เราคิดไปในเชิงบวก
00:14:29 → 00:14:31 - คลายเครียด
00:14:31 → 00:14:33 เราจะอยู่กับมันนานสักเท่าไหร่
00:14:33 → 00:14:36 จริง ๆ แล้วกลิ่นมีคุณลักษณะพิเศษสำหรับสมอง
00:14:36 → 00:14:39 คือมันจะคงความทรงจำได้ 12 สัปดาห์
00:14:39 → 00:14:42 โอ้โฮ 12 สัปดาห์
00:14:42 → 00:14:45 เพียงแต่ว่าอย่างวันนึง เราอาจจะเป็นวันละ 2 ครั้งนะอาจารย์
00:14:45 → 00:14:46 2 กลิ่นอย่างนี้
00:14:47 → 00:14:48 กลิ่นนึงก็สัก 20 วินาที
00:14:48 → 00:14:49 อืม
00:14:49 → 00:14:51 ก็พอดี ๆ ไม่เยอะเกิน
00:14:51 → 00:14:55 [เสียงดนตรี]
00:14:55 → 00:14:57 เรามาถึงประสาทสัมผัสที่ 4 นั่นคือ
00:14:57 → 00:14:58 - เสียงครับ - เสียง
00:14:58 → 00:15:01 เสียงนี่มันจะเป็นแบบ 2 เสียงนะอาจารย์
00:15:01 → 00:15:06 เสียงตามธรรมชาติ แล้วก็เสียงที่เราได้จากดนตรี
00:15:06 → 00:15:08 โอเค เอาเสียงธรรมชาติก่อน
00:15:08 → 00:15:11 เสียงธรรมชาติก็คือจะเป็นเสียงที่ อย่างนี้เป็นเสียงเรา
00:15:11 → 00:15:13 ก็เป็นเสียงธรรมชาติ
00:15:13 → 00:15:16 หรือสิ่งที่เราได้ยินตามธรรมชาติ
00:15:16 → 00:15:19 เช่น เสียงลม
00:15:19 → 00:15:22 เสียงต้นไม้กำลังแบบ...สั่น
00:15:22 → 00:15:24 - อ๋อ ใบเสียดสีกัน - ใบเสียดสีกัน
00:15:25 → 00:15:27 เสียงที่เป็นคลื่นทะเล
00:15:27 → 00:15:30 มันผ่อนคลายมาก ก็คือเราจะเบา รู้สึกเบาสบาย
00:15:30 → 00:15:33 แล้วระบบประสาทที่เราเรียกว่าพาราซิมพาเทติก
00:15:33 → 00:15:38 ก็คือเป็นระบบประสาทที่ เจอเสียงนี้ปุ๊บ ผ่อนคลายปั๊บทันที
00:15:38 → 00:15:41 แต่มันก็อาจจะมีเสียงประเภทที่ พอได้ยินแล้ว มันทำให้อารมณ์เสียได้ไหม
00:15:41 → 00:15:45 เช่น เสียงแบบจราจรนี่ โอ้ย เสียงแตรนี่บีบกันใส่
00:15:45 → 00:15:49 หรือว่าแม้แต่เสียงที่มันอยู่ในหัวของเรา
00:15:49 → 00:15:52 ที่เราพูดกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา แล้วเราตำหนิตัวเองตลอดเวลา
00:15:52 → 00:15:54 เสียงเหล่านี้เราควรจะจัดการกับมันอย่างไร
00:15:54 → 00:15:57 เสียงแบบนี้ก็คือ ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง
00:15:57 → 00:15:57 อืม
00:15:57 → 00:16:01 ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องมีเสียงอื่นทดแทน เช่น เสียงดนตรี
00:16:01 → 00:16:01 อืม
00:16:02 → 00:16:05 เพราะว่าจังหวะหรือความถี่ของเสียงดนตรี
00:16:06 → 00:16:11 มันจะนำพาให้สมองเราดึงเข้าไป เร็วกว่าเสียงเป็นพิษเมื่อกี้
00:16:11 → 00:16:15 แต่เวลาเสียงดนตรี มันก็จะมีดนตรีหลายประเภท หลายแนวเนอะ
00:16:15 → 00:16:18 บางประเภทนี่ก็ โอ๊ย โยกกันหัวสั่นหัวคลอน
00:16:18 → 00:16:20 บางประเภทก็ฟังแล้ว 2 นาทีแล้วหลับ
00:16:20 → 00:16:24 แล้วบางประเภทก็จะมีเสียงร้อง หรือว่าเนื้อร้องด้วย
00:16:24 → 00:16:27 ควรจะเลือกประเภทไหน อย่างไรดีครับ
00:16:27 → 00:16:30 ในประมาณ 20 นาทีแรกนี่ครับ
00:16:30 → 00:16:33 เขาบอกว่าถ้าสมองจะผ่อนคลายจริง ๆ
00:16:33 → 00:16:35 ต้องเป็นลักษณะแบบ Soft Pop นะครับ
00:16:35 → 00:16:36 Soft Pop
00:16:36 → 00:16:36 ใช่
00:16:36 → 00:16:39 อาจจะประกอบไปด้วยดนตรีคลาสสิกนะครับ
00:16:39 → 00:16:45 การเล่นเครื่องดนตรีที่มีจังหวะ ที่มันสบาย ผ่อนคลาย
00:16:45 → 00:16:47 เช่น เสียงเปียโน อย่างนี้ครับ
00:16:47 → 00:16:50 เสียงดนตรีพวกดีด สี ตี เป่า อะไรอย่างนี้
00:16:50 → 00:16:52 เป็นจังหวะแยก ๆ กันนะครับ
00:16:52 → 00:16:52 ครับ
00:16:52 → 00:16:56 ก็เขาก็บอกว่า เขาสามารถใช้อย่างละ 7 นาทีก็ได้เนอะ
00:16:56 → 00:16:58 จนถึง 20 นาทีก็ได้
00:16:58 → 00:16:59 หรือว่าครึ่งชั่วโมงก็ดี
00:16:59 → 00:17:04 อย่างนี้ครับ แล้วแต่เรา เรารู้สึกตรงไหนผ่อนคลาย ก็ฟังได้เลย
00:17:04 → 00:17:07 อันนี้ก็คงจะขึ้นอยู่กับ ความชอบของแต่ละคนถูกไหม
00:17:07 → 00:17:08 ใช่
00:17:08 → 00:17:10 อย่างเช่น ถ้าเผื่อผมฟังดนตรีนี่
00:17:10 → 00:17:12 แล้วมันมีเนื้อร้องนี่
00:17:12 → 00:17:13 แทนที่ผมจะนอนหรือผ่อนคลาย
00:17:14 → 00:17:16 ผมก็จะร้องไปกับเนื้อเพลงนั้นด้วยอย่างนี้
00:17:16 → 00:17:18 อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับคน ถูกไหม
00:17:18 → 00:17:18 ใช่
00:17:18 → 00:17:20 ว่าอาจจะชอบดนตรีคลาสสิก
00:17:20 → 00:17:23 อาจจะชอบดนตรีไทย อาจจะชอบเพลงลูกทุ่ง
00:17:23 → 00:17:23 ครับ
00:17:23 → 00:17:27 คราวนี้มีเนื้อร้องก็จริง แต่ว่าดูอารมณ์เราด้วย
00:17:27 → 00:17:31 ถ้าเกิดเป็นเนื้อร้องที่เราพอใจเนอะ
00:17:31 → 00:17:35 ไม่ใช่เป็นเนื้อร้องที่อารมณ์เรากำลัง เศร้าโศก หรืออกหักอะไรอย่างนี้
00:17:35 → 00:17:38 อันนี้มันจะกระตุ้นไปทางตึงเครียด
00:17:38 → 00:17:42 แต่ก็มีคนหลายคนเนอะ พออกหัก เขาก็อยากจะฟังเพลงที่มันเศร้า ๆ
00:17:42 → 00:17:44 เหมือนกับแบบ เฮ้ย…มันจะได้แบบเศร้าสุด ๆ
00:17:44 → 00:17:47 ไปแบบ…ไปเดินเตะกระป๋องน้ำอัดลมอยู่ปากซอย
00:17:47 → 00:17:52 แล้วก็เข้ามาในห้องน้ำ เปิดฝักบัวให้มัน... มันทดแทนน้ำตาที่กำลังไหล
00:17:52 → 00:17:53 อันนั้นมันจะช่วยไหม
00:17:53 → 00:17:55 มันเป็นการหนีมากกว่าสู้
00:17:55 → 00:17:56 อา...
00:17:56 → 00:17:59 ใช่ มันต้องฟังที่แบบ…ให้กำลังใจ ฮึกเหิม
00:17:59 → 00:18:02 แล้วก็สู้กับวันพรุ่งนี้ ไม่ได้จมอยู่กับอดีต
00:18:02 → 00:18:04 ถ้าเผื่อเศร้าอยู่เพราะอกหัก
00:18:04 → 00:18:09 อาจจะลองเลี่ยงจากเพลงที่ ตอกย้ำเรื่องของความไม่สมหวังในความรัก
00:18:09 → 00:18:13 ไปสู่เพลงที่อาจจะมีเมโลดี้ที่มันเบาลงหน่อย
00:18:13 → 00:18:14 เสียงเต้นรำ
00:18:14 → 00:18:17 เสียงมีคนกำลังเต้นรำ หรือชวนให้เราเต้นรำไปด้วย
00:18:17 → 00:18:21 มันก็จะทำให้เราเปลี่ยนความรู้สึกดี ๆ ได้
00:18:21 → 00:18:23 เสียงเต้นรำที่อาจารย์ป๊อปหมายถึง
00:18:23 → 00:18:25 หมายถึงเสียงเท้า ที่เขากระทบอยู่บนพื้นอย่างนี้หรือ
00:18:26 → 00:18:29 ใช่ หรือแบบเสียงกำลังที่แบบ...เล่นดนตรี ตีกลอง
00:18:30 → 00:18:32 มันมีการขยับเสียงของร่างกายด้วย
00:18:32 → 00:18:36 [เสียงดนตรี]
00:18:36 → 00:18:38 มาถึงประสาทสัมผัสที่ 5 ครับ นั่นคือ
00:18:38 → 00:18:39 ก็คือสัมผัสนั่นเอง
00:18:39 → 00:18:41 ง่ายสุดคือการนวด
00:18:41 → 00:18:43 นวดนิ้วมือเรานี่อาจารย์
00:18:43 → 00:18:45 - นวดตัวเอง สัมผัสตัวเอง - ใช่
00:18:45 → 00:18:46 เขาเรียกนวดนิ้วมือเราเลยนะ
00:18:46 → 00:18:48 นี่เป็นศาสตร์ของญี่ปุ่น
00:18:48 → 00:18:48 ครับ
00:18:48 → 00:18:50 นี่อาจารย์นวดนิ้วมือเรา
00:18:50 → 00:18:50 ครับ
00:18:50 → 00:18:54 นวดนิ้วโป้งนะ นวดนิ้วชี้
00:18:54 → 00:18:58 เพราะเราใช้มือมันมาก แต่เราไม่เคยใส่ใจในการดูแลเขา
00:18:58 → 00:18:58 ครับ
00:18:59 → 00:19:00 นวดแต่ละนิ้วเลยอาจารย์
00:19:00 → 00:19:01 เราจะนวดแบบนี้ครับ
00:19:01 → 00:19:03 นวดโดยวนไปเรื่อย ๆ เราไม่ดึงไง
00:19:03 → 00:19:04 อ๋อ ไม่ดึง
00:19:04 → 00:19:06 นี่คือการนวดที่แป๊บเดียว
00:19:07 → 00:19:10 นวดแป๊บเดียวนี่คือ การพูดถึงหน่วยเป็นนาทีหรือครับ
00:19:11 → 00:19:11 1 นาที
00:19:11 → 00:19:12 1 นาที เท่านั้นพอ
00:19:13 → 00:19:17 นวดไป 1 นาที แล้วมันช่วยผ่อนคลายความเครียดอย่างไร
00:19:17 → 00:19:19 แล้วอาจารย์รู้ไหมครับว่าตรงกลางสมองเรานี่
00:19:19 → 00:19:22 พื้นที่ของนิ้วต่าง ๆ นี่ มันอยู่ตรงนี้
00:19:22 → 00:19:24 คราวนี้พอเราไปนวดปุ๊บก็จะกระตุ้นตรงนี้
00:19:25 → 00:19:25 โอเค
00:19:25 → 00:19:27 พื้นที่ส่วนใหญ่ของสมองมันถูกผ่อนคลาย
00:19:28 → 00:19:28 อืม
00:19:28 → 00:19:31 เส้นประสาทมันแปลบ ๆ ๆ หายเครียดเลยอาจารย์
00:19:31 → 00:19:32 อืม
00:19:32 → 00:19:36 แสดงว่าตอนนี้สมองส่วนที่ตีความ เรื่องของการรับสัมผัส
00:19:36 → 00:19:37 กำลังวุ่นวายกันเลย
00:19:38 → 00:19:40 เราเลยไม่มีพื้นที่หรือเวลา ในการที่จะไปคิดเรื่องลบ
00:19:40 → 00:19:41 ใช่
00:19:41 → 00:19:43 - อ๋อ โดยอัตโนมัติเลย - อัตโนมัติด้วย
00:19:43 → 00:19:48 เบื่อมือแล้ว ไปนวดตรงอื่น อย่างอื่น ๆ บริเวณอื่น
00:19:48 → 00:19:49 ได้ไหมใช่ไหมครับ
00:19:49 → 00:19:50 กอดตัวเอง
00:19:50 → 00:19:51 โอ้โฮ
00:19:51 → 00:19:52 อาจารย์กอดยังไงครับ
00:19:52 → 00:19:53 กอดตัวเอง ก็กอดอย่างนี้
00:19:54 → 00:19:55 อา...ไม่ได้ครับ
00:19:55 → 00:19:56 [เสียงหัวเราะ]
00:19:56 → 00:19:57 กอดขึ้นไปข้างบน
00:19:57 → 00:19:58 อ๋อ ไม่เป๊ะ นี่กอดต่ำด้วย
00:19:58 → 00:19:59 ใช่ อันนี้กอดอก
00:19:59 → 00:20:01 อันนี้กอดอก จะทำให้ดูปิดไปเนอะ
00:20:01 → 00:20:03 มันไม่ข้ามหัวใจ
00:20:03 → 00:20:03 โอ้
00:20:04 → 00:20:05 โอ้โฮ
00:20:05 → 00:20:06 เพราะการกอดแบบนี้
00:20:06 → 00:20:07 ครับ
00:20:07 → 00:20:10 สารเคมีในตัวสมองตัวหนึ่งชื่อว่าออกซิโตซิน
00:20:10 → 00:20:10 ออกซิโตซิน
00:20:10 → 00:20:11 ใช่
00:20:11 → 00:20:14 สมัยก่อนเราก็ได้ออกซิโตซิน โดยเรากินนมแม่อย่างนี้ครับ
00:20:14 → 00:20:17 แต่ตอนนี้คือเราโตแล้ว เราก็กอดตัวเอง
00:20:17 → 00:20:18 กอดตัวเอง
00:20:18 → 00:20:18 ใช่
00:20:18 → 00:20:19 ให้กำลังใจตัวเองหรือ
00:20:19 → 00:20:22 ให้กำลังใจ แต่ส่วนใหญ่เราก็จะกอด แล้วเราก็นิ่ง ๆ
00:20:22 → 00:20:24 เพียงแต่ว่าขอให้เงียบ ๆ
00:20:24 → 00:20:25 ไม่ลูบไม่คลำ
00:20:26 → 00:20:28 ใช่ บางคนเขาลูบเขาคลำไปด้วย
00:20:28 → 00:20:29 มันไม่ดียังไงครับ
00:20:29 → 00:20:31 เพราะว่าปกติเวลาที่เห็นใครกอดใคร
00:20:31 → 00:20:34 หลาย ๆ คนเขามักจะลูบหลังขึ้นลง
00:20:34 → 00:20:35 อาจารย์ลองดู แค่เราลูบเอง
00:20:36 → 00:20:37 อาจารย์ลองลูบสิ
00:20:38 → 00:20:39 ถ้าอาจารย์ไม่ลูบ
00:20:42 → 00:20:44 สมองจะโฟกัสมากกว่า
00:20:44 → 00:20:46 สมองจะนิ่ง
00:20:46 → 00:20:50 ระบบประสาท พาราซิมพาเทติกจะผ่อนคลายมากกว่า
00:20:50 → 00:20:52 เช่นกัน สมมุติว่าถ้าอาจารย์ ไปกอดคนอื่นนะครับ
00:20:52 → 00:20:54 เราก็กอดคนที่เรารักได้นะครับ
00:20:54 → 00:20:56 กอดคนที่เรารู้สึกดีด้วย
00:20:56 → 00:21:01 ก็ให้กอดนิ่ง ๆ 20 วินาทีเลยนะครับ ถ้าเราไปกอดคนอื่นนะ
00:21:01 → 00:21:02 อืม
00:21:02 → 00:21:03 ไม่ลูบไม่คลำ
00:21:03 → 00:21:06 อันนี้จะมีพลังมาก ออกซิโตซินมันออกมาเยอะเลย
00:21:06 → 00:21:12 การกอดตัวเองหรือการกอดผู้อื่น มันจะเป็นการส่งพลังบวกด้วยไหม
00:21:12 → 00:21:15 แน่นอน ส่งพลังอบอุ่น ความรู้สึกที่อบอุ่น
00:21:15 → 00:21:18 รู้สึกเป็นความรักที่แบบ…เป็นเพื่อน
00:21:18 → 00:21:21 หรือคุณพ่อคุณแม่ หรือคนที่เรารัก
00:21:21 → 00:21:21 อืม
00:21:21 → 00:21:24 อีกอันหนึ่งน่าสนใจมากอาจารย์ เราเรียก Hand Under Hand
00:21:24 → 00:21:25 Hand Under Hand ยังไงครับ
00:21:27 → 00:21:30 อ๋อ คล้าย ๆ มันเป็นเชคแฮนด์ แต่ว่าเราพลิกมาอีกด้านหนึ่ง
00:21:30 → 00:21:32 อยู่ที่ว่าใครจะกอดก่อนนะครับ
00:21:32 → 00:21:34 เราเรียกกอดมือ แต่ว่า...
00:21:34 → 00:21:36 อันนี้ผมกอดอาจารย์เต้ก่อน
00:21:36 → 00:21:36 อ๋อ
00:21:36 → 00:21:38 อาจารย์เต้ลองบ้าง
00:21:38 → 00:21:41 - โอเค อย่างนี้ผมก็จะอยู่ทางด้าน... - ใช่ อาจารย์รู้สึกยังไงครับ
00:21:42 → 00:21:44 และสบตาสัก 3 วินาที
00:21:45 → 00:21:46 ใช่ไหม
00:21:47 → 00:21:50 คือ ตอนนี้แค่สัมผัส ผมก็รู้สึกว่ามีการสัมผัสเนอะ
00:21:50 → 00:21:53 การสัมผัสนี่ มันก็ดึงโฟกัสไปอยู่ที่สัมผัส
00:21:53 → 00:21:53 ใช่
00:21:53 → 00:21:55 แล้วถ้ามีการสบตา
00:21:55 → 00:21:58 โฟกัสของเขา ก็จะอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งด้วยเหมือนกัน
00:21:58 → 00:21:59 - มันจะเหมือนเป็นการ… - รู้สึกเห็นอกเห็นใจ
00:21:59 → 00:22:04 [เสียงดนตรี]
00:22:04 → 00:22:07 จากกิจกรรมที่อาจารย์ป๊อปได้แนะนำมา
00:22:07 → 00:22:07 ครับ
00:22:08 → 00:22:09 เราทำทุกวันไหม
00:22:09 → 00:22:11 ทำทุกวินาทีที่เรารู้สึกดี
00:22:11 → 00:22:12 เหมือนเราคิดบวก
00:22:12 → 00:22:13 อืม
00:22:13 → 00:22:14 1-2 วินาที ทำเถอะ
00:22:14 → 00:22:18 เพราะว่าคือถ้าเราตั้งใจทำ แล้วเรารู้สึกดี
00:22:18 → 00:22:21 สมองก็จะแบบ...โอ้ คลายเครียดเต็มที่เลย
00:22:21 → 00:22:23 วันนี้ผมได้เทคนิคไปหลายอย่าง
00:22:23 → 00:22:26 ทั้งเรื่องของการใช้ประสาทสัมผัส
00:22:27 → 00:22:31 รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ในการที่จะผ่อนคลายตัวเอง
00:22:31 → 00:22:31 อืม
00:22:31 → 00:22:33 ในการที่จะลดความเครียด
00:22:33 → 00:22:33 ครับ
00:22:34 → 00:22:36 ลดความเครียดสะสมซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ
00:22:36 → 00:22:37 ใช่
00:22:37 → 00:22:39 เพราะความเครียดสะสม มันจะนำไปสู่ปัญหาหลาย ๆ อย่าง
00:22:39 → 00:22:40 มากมาย
00:22:40 → 00:22:43 อยากเชิญชวนทุกท่านว่า ความเครียดนี่ มันมีทั้งบวกและลบ
00:22:44 → 00:22:48 ชีวิตของเรานี่ จะไปข้างหน้าได้ยาวนาน ยั่งยืน
00:22:48 → 00:22:49 และมีสุขภาพดี
00:22:50 → 00:22:52 ก็จงเครียดบวก วันละนิด จิตแจ่มใสครับ
00:22:52 → 00:22:53 [เสียงหัวเราะ]
00:22:53 → 00:22:58 เครียดบวก วันละนิด จิตแจ่มใส นั่นเป็น Key Message ของวันนี้เลยนะครับ
00:22:58 → 00:23:03 ในวันนี้สนุกมากที่ได้คุยกับอาจารย์ป๊อบ ผศ.ดร.ก.บ.ศุภลักษณ์ เข็มทอง
00:23:04 → 00:23:06 อาจารย์นักกิจกรรมบำบัดจิตสังคม
00:23:06 → 00:23:08 คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล
00:23:08 → 00:23:09 ที่มาพูดคุยกับเรานะครับ
00:23:09 → 00:23:11 - ขอบคุณมาก ๆ ครับ อาจารย์ป๊อบครับ - ขอบคุณมากครับ
00:23:11 → 00:23:15 หวังว่าเราคงจะได้พบกันอีก แล้วก็คุยกันอีก สนุกทุกครั้งที่เจออาจารย์ป๊อบ
00:23:15 → 00:23:18 คุณผู้ชมครับ รายการ Well-Being สุขภาพดี ชีวิตดีสร้างได้
00:23:18 → 00:23:24 จะกลับมาพบกับคุณผู้ชมใหม่ในครั้งต่อไป ผ่านทุกช่องทางของ Mahidol Channel
00:23:24 → 00:23:28 เราจะกลับมาพบกันในเรื่องของอะไรนั้น ต้องติดตามนะครับ
00:23:28 → 00:23:29 จนกว่าจะพบกันใหม่ครับ
00:23:29 → 00:23:31 วันนี้ผมอาจารย์เต้และอาจารย์ป๊อบ สวัสดีครับ
00:23:32 → 00:23:33 สวัสดีครับ
00:23:33 → 00:23:38 พบกับ Well-Being สุขภาพดี ชีวิตดีสร้างได้
00:23:38 → 00:23:40 ทุกวันจันทร์เวลา 18:00 น.
00:23:40 → 00:23:42 ที่ Mahidol Channel Podcast
00:23:42 → 00:23:45 ผ่านช่องทาง Facebook Mahidol Channel
00:23:45 → 00:23:46 YouTube Mahidol Channel
00:23:46 → 00:23:48 Apple Podcasts
00:23:48 → 00:23:49 Spotify
00:23:49 → 00:23:50 Anchor
00:23:50 → 00:23:51 Joox
00:23:51 → 00:23:53 [เสียงดนตรี]
00:23:53 → 00:23:57 ดำเนินรายการโดยอาจารย์เต้ ระพี บุญเปลื้อง
00:23:57 → 00:24:01 [เสียงดนตรี]