00:00:03 → 00:00:06 ทุกคนตอนนี้ผมมีอุปกรณ์อะไรไม่รู้เต็มไป
00:00:06 → 00:00:10 หมดเลยติดอยู่ที่ตัวที่หัวมันคืออะไรครับ
00:00:10 → 00:00:14 คำถามแรกเลยอยากรู้ว่าจริงๆแล้วสมองของ
00:00:14 → 00:00:17 เราอ่ะมันเริ่มแก่ตอนเราอายุเท่าไหร่ครับ
00:00:17 → 00:00:20 โอ้โหจริงๆถ้าพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของ
00:00:20 → 00:00:23 สมองเนี่ยเกิดมาไม่นานก็เริ่มแก่แล้วนะ
00:00:23 → 00:00:26 ครับ 20 ก็ยังยังพอใช้ได้อยู่แต่ผมว่าถ้า
00:00:26 → 00:00:29 ซัก 30 40 นี่ผมว่ารู้สึกได้ชัดเจนเสร็จ
00:00:29 → 00:00:31 แล้วว่าอะไรนะขึ้นต้นด้วยอะไรนะบอกขึ้น
00:00:31 → 00:00:34 ต้นด้วยกไก่ปุ๊บเอ้ยอ๋อไอ้กิ๊กไงอ่านี้
00:00:34 → 00:00:37 แสดงว่าอความทรงจำจริงๆอ่ะอยู่อือค้นไม่
00:00:37 → 00:00:40 เจอซึ่งแบบนั้นก็ทำให้สมองเราแก่ช้าลงใน
00:00:40 → 00:00:44 ระยะยาวก็คือทำให้ขยะมันถูกกวาดทิ้งไปเพะ
00:00:44 → 00:00:46 นั้นผลระยะยาวของการเป็นสมองเสื่อมก็จะลด
00:00:46 → 00:00:50 ลงอื This is the standard podcast
00:00:50 → 00:00:53 eye open iting for your ears
00:00:53 → 00:00:57 top to พcastสุขภาพที่ใช้วิทยาศาสตร์ไข
00:00:57 → 00:01:01 ปัญหาตั้งแต่หัวจดเท้า
00:01:01 → 00:01:04 เวลาที่เราพูดถึงความแก่นะครับเชื่อว่า
00:01:04 → 00:01:07 หลายคนก็ไม่มีใครอยากแก่หรอกและก็มักจะ
00:01:07 → 00:01:10 ใส่ใจกับผิวหนังโดยเฉพาะผิวหน้านะครับว่า
00:01:10 → 00:01:12 ทำยังไงก็ได้ให้หน้าของเราเนี่ยดูเด็กดู
00:01:12 → 00:01:14 ไม่แก่แต่ในฐานะที่ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์
00:01:14 → 00:01:16 เนี่ยผมใส่ใจกับสมองมากที่สุดครับเพราะ
00:01:16 → 00:01:19 ว่าสมองเนี่ยมันคือบิ๊ก Boss ที่เป็นเจ้า
00:01:19 → 00:01:22 นายของทุกอวัยวะในร่างกายถ้าสมองไม่แก่
00:01:22 → 00:01:24 เนี่ยครับร่างกายของเราก็จะทำงานได้ดี
00:01:24 → 00:01:26 ฟังก์ชันดีเป็นปกตินะครับงั้นวันนี้เดี๋
00:01:26 → 00:01:28 เรามาคุยกันว่าทำยังไงที่เราจะดูแลสมอง
00:01:28 → 00:01:31 ให้แก่แก่ช้าที่สุดแล้วมันมีปัจจัยอะไร
00:01:31 → 00:01:34 บ้างที่ทำให้สมองเนี่ยเราแก่ไวขึ้นนะครับ
00:01:34 → 00:01:37 เพื่อที่ทุกคนจะได้ดูแลสมองได้ดีที่สุด
00:01:37 → 00:01:38 วันนี้เราอยู่กับคุณหมอแล้วก็นักวิจัย
00:01:38 → 00:01:41 ด้านสมองนะครับรองศาสตราจารย์นายแพทย์
00:01:41 → 00:01:44 ชัยพัฒน์ชุนหารัตน์หรือว่าหมอกิ๊กหมอกิ๊ก
00:01:44 → 00:01:45 สวัสดีครับสวัสดีครับสัดีครับสวัสดีครับ
00:01:45 → 00:01:47 ดร.ข้าวครับอยากคุยเรื่องสมองมานานแล้ว
00:01:47 → 00:01:49 โอ้ครับเพราะว่าเป็นคนที่แบบบ้าเรื่อง
00:01:49 → 00:01:53 สมองมากๆเลยอืครับผมก็ติดตามผลงานอยู่โอย
00:01:53 → 00:01:56 ขอบคุณครับคำถามแรกเลยอยากรู้ว่าจริงๆ
00:01:57 → 00:02:00 แล้วสมองของเราอ่ะมันเริ่มแก่ตอนเราอายุ
00:02:00 → 00:02:03 เท่าไหร่ครับโอ้โหจริงๆถ้าพูดถึงการ
00:02:03 → 00:02:06 เปลี่ยนแปลงของสมองเนี่ยเกิดมาไม่นานก็
00:02:06 → 00:02:09 เริ่มแก่แล้วนะครับจริงหรอใช่เพราะว่า
00:02:09 → 00:02:11 เอ่อการเติบโตเนี่ยของเนื้อสมองเนี่ยก็
00:02:11 → 00:02:14 เกิดมาพร้อมกับเนื้อสมองในส่วนมันจะมี
00:02:14 → 00:02:16 เนื้อสมองหลายส่วนนะครับบางส่วนก็จะเป็น
00:02:16 → 00:02:19 ส่วนที่เรียกว่าเป็นเนื้อสมองส่วนสีเท่า
00:02:19 → 00:02:22 ที่ว่าgrตหรือว่าสมองส่วนสีขาวที่ว่า
00:02:22 → 00:02:24 white matter นะครับอ่าดร.ข้าวได้พูด
00:02:24 → 00:02:26 ถึงไปแล้วในตอนเก่าๆให้ไปย้อนดูกันงั้น
00:02:26 → 00:02:29 ถามก่อนเนื้อสมองสีเทากับเนื้อสมองสีขาว
00:02:29 → 00:02:32 มันต่างกันยังไงครับจริงๆมันมาจากการที่
00:02:32 → 00:02:34 สมมุติว่าเราเอาเนื้อสมองมาดูเนี่ยสีมัน
00:02:34 → 00:02:37 ต่างกันจริงๆอืคือถ้าเกิดเอามีดกรีดลงไป
00:02:37 → 00:02:40 เนี่ยแล้วก็ดูตรงชั้นเนี่ยสีที่มันเข้มๆ
00:02:41 → 00:02:43 เราก็จะเรียกว่าเป็นสมองส่วนสีเทาภาษา
00:02:43 → 00:02:45 อังกฤษเรียกว่าgreย matter นะครับถ้าส่วน
00:02:45 → 00:02:47 ที่มันสีขาวๆเราก็เรียก white matter
00:02:47 → 00:02:50 ตรงตัวเลยถ้าเราซูมเข้าไปเราจะเห็นเลยว่า
00:02:50 → 00:02:52 เนื้อสมองส่วนสีเทาเนี่ยเป็นที่อยู่ของ
00:02:52 → 00:02:55 เซลล์สมองอือืในขณะที่ส่วนที่เป็นสีขาว
00:02:55 → 00:02:58 เนี่ยเป็นแค่ส่วนของการที่เป็นเส้นประสาท
00:02:58 → 00:03:01 ที่เชื่อมรอยกันนะครับนั้นก็แยกกันง่ายๆ
00:03:01 → 00:03:04 เลยก็คือเซลล์อยู่ที่ matter แล้วก็ตรง
00:03:04 → 00:03:05 white matter ก็เป็นแค่ทางเดินคือเซลล์
00:03:05 → 00:03:07 สมองมันจะเป็นเซลล์ที่มันค่อนข้างยาวๆใช่
00:03:07 → 00:03:10 มมันจะมีส่วนหัวกับส่วนที่เหมือนกับเป็น
00:03:10 → 00:03:14 หางใช่ใช่มหัวอยู่ที่สีเทาใช่หางอยู่ที่
00:03:14 → 00:03:16 สีขาวหางเป็นสีขาวใช่ครับแล้วมันก็จะหาง
00:03:16 → 00:03:19 มันก็จะวิ่งเชื่อมไปมันก็จะมีส่วนที่เป็น
00:03:19 → 00:03:21 เซลล์ที่มันอยู่ส่วนลึกก็มีเ้าเรียกว่า
00:03:21 → 00:03:22 เป็น deep grยอย่างเงี้ยครับก็จะมี
00:03:22 → 00:03:24 ซุเปอร์ Superficial gray deep gray
00:03:24 → 00:03:26 ก็คือส่วนสีเทาที่อยู่ผิวกับส่วนสีเทาที่
00:03:26 → 00:03:29 อยู่ลึกนะครับอนี้กลับมาที่ตรงพัฒนาการ
00:03:29 → 00:03:32 สมองใช่ถ้าเรานับจากว่าจำนวนของเซลล์
00:03:32 → 00:03:35 เนี่ยมันเริ่มเติบโตเต็มที่เมื่อไหร่ก็มี
00:03:35 → 00:03:38 การศึกษาพบว่าจริงๆตัวเซลล์สมองส่วนสีเทา
00:03:38 → 00:03:41 เนี่ยมันพีคประมาณสัก 6 ขวบมันก็มันก็ถึง
00:03:41 → 00:03:44 สุดของมันละเด็กมากเลยนะเด็กมากเสร็จแล้ว
00:03:44 → 00:03:46 หลังจากนั้นเนี่ยมันจะเริ่มพัฒนาแทนที่จะ
00:03:46 → 00:03:48 เป็นตัวเซลล์เนี่ยเซลล์มันจำนวนมันเหมือน
00:03:48 → 00:03:50 มันน้อยลงแต่ว่าส่วนที่เป็นถนนเนี่ยส่วน
00:03:50 → 00:03:52 ที่เป็นไม matter เนี่ยมันก็จะยังเติบโต
00:03:52 → 00:03:55 โตอยู่อฮะมีสัดส่วนที่ดูเหมือนจะเพิ่มมาก
00:03:55 → 00:03:58 ขึ้นเมื่อเทียบกับส่วนสีเทาแต่เสร็จแล้ว
00:03:58 → 00:04:00 มันก็เพิ่มไปไม่นานหรอกครับมันก็เสร็จ
00:04:00 → 00:04:02 แล้วสักพักนึงมันก็จะพีคเหมือนกันช่วงพีค
00:04:02 → 00:04:05 อ่ะ 20 30 อะไรเงี้ยมันก็จะเริ่มลงอีก
00:04:06 → 00:04:09 แสดงว่าเลยจพีมาแล้วผมเลยมานานแล้วครับ
00:04:09 → 00:04:11 ไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อนกันอ่าฮะโอเคครับสี
00:04:11 → 00:04:16 เทาตอน 6 ขวบอ่าสีขาวตอน 20-30 ใช่แล้ว
00:04:16 → 00:04:19 หลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นอ่ะหลังจาก
00:04:19 → 00:04:21 นั้นเนี่ยจำนวนเซลล์หรืออะไรเนี่ยมันจะ
00:04:21 → 00:04:24 ค่อนข้างคงนะครับแต่เราจะสังเกตว่าจริงๆ
00:04:24 → 00:04:26 มันไม่ใช่ว่าเอ้ยความฉลาดของเรามันหยุด
00:04:26 → 00:04:28 ที่อายุ 20 ซะเมื่อไหร่เพราะว่าหลังจาก 20
00:04:28 → 00:04:31 เราก็ยังเรียนรู้สิ่งใหม่แล้วก็ยังสามารถ
00:04:31 → 00:04:33 ทำนู้นทำนี้อะไรได้บางคนเพิ่งจะเริ่ม
00:04:33 → 00:04:35 เรียนภาษาใหม่หรือว่าเริ่มจะเรียนรู้สกิล
00:04:35 → 00:04:37 ใหม่ๆด้วยซ้ำนะครับเพราะว่าสมองเนี่ยมัน
00:04:38 → 00:04:40 ไม่ได้ทำงานอยู่แค่ว่าจำนวนเซลล์มีเท่า
00:04:40 → 00:04:43 ไหร่อือแต่มันอยู่ที่การเชื่อมร้อยของมัน
00:04:43 → 00:04:45 ว่ามันเชื่อมโยงกันแบบไหนอเพราะฉะนั้น
00:04:45 → 00:04:47 จริงๆอ่ะมันยังมีความสามารถในการที่จะ
00:04:48 → 00:04:50 สลับการเชื่อมโยงไปมาเพื่อทำให้เกิดการ
00:04:50 → 00:04:52 เรียนรู้สิ่งใหม่ได้เหมือนอารมณ์ว่าเรา
00:04:52 → 00:04:54 สับรางรถไฟอย่างงี้ป่ะอ่าจะคล้ายๆอย่าง
00:04:54 → 00:04:57 งั้นครับเพราะฉะนั้นก็สลับรางไปรูปแบบการ
00:04:57 → 00:05:00 เชื่อมร้อยที่แตกต่างไปก็จะสัมพันธ์กับ
00:05:00 → 00:05:02 เรื่องการเรียนรู้สกิลสิ่งใหม่เอ้ยงั้นขอ
00:05:02 → 00:05:04 ขยายประเด็นนี้ก่อนเพื่อให้คนเข้าใจมาก
00:05:04 → 00:05:08 ขึ้นสมมุติว่าเราอายุเนี่ย 40 ครับแล้ว
00:05:08 → 00:05:11 เราเริ่มเรียนรู้สกิลใหม่ๆอะไรเงี้ยไอ้
00:05:11 → 00:05:13 จังหวะที่เราเรียนรู้สิ่งใหม่เนี่ยมัน
00:05:13 → 00:05:15 เกิดอะไรขึ้นกับภายในสมองบ้างครับอ่าไอ
00:05:15 → 00:05:17 การเรียนรู้สิ่งใหม่เนี่ยมันก็จะมีการ
00:05:17 → 00:05:18 เชื่อมร้อยระหว่างเซลล์แบบใหม่ๆมันไม่ได้
00:05:18 → 00:05:20 งอกเซลล์ใหม่นะครับอ๋อเซลล์ไม่ได้เพิ่ม
00:05:20 → 00:05:21 ขึ้นเซลล์ไม่ได้เพิ่มขึ้นเซลล์ไม่ได้
00:05:21 → 00:05:24 เพิ่มขึ้นแต่ว่าพยายามที่จะเหมือนสลับ
00:05:24 → 00:05:26 สลับว่าเอออันนี้คุณจะไปอยู่ด้วยกันเพราะ
00:05:26 → 00:05:28 ว่าเดี๋ยวจะต้องใช้งานด้วยกันบ่อยๆก็จะ
00:05:28 → 00:05:31 เริ่มทำทางเหมือนทำถนนเอาไว้นะเพราะ
00:05:31 → 00:05:32 ฉะนั้นก็เกิดสมมุติว่าเกิดสกิลใหม่ก็
00:05:33 → 00:05:36 พยายามจะสร้างถนนไปในซอยใหม่ๆไปในทิศทาง
00:05:36 → 00:05:39 ใหม่ๆซึ่งจะสัมพันธ์กับการทำงานใหม่ๆถ้า
00:05:39 → 00:05:41 ไปส่องดูเนี่ยก็จะพบว่าการเชื่อมต่อกัน
00:05:41 → 00:05:44 ของเซลล์มันแข็งแรงมากขึ้นมันหนาแน่นมาก
00:05:44 → 00:05:47 ขึ้นหรือเปลี่ยนรูปแบบในขณะที่จำนวนเซลล์
00:05:47 → 00:05:49 ไม่ต้องเพิ่มเฮ้ยเซลล์มันไม่ได้เพิ่มขึ้น
00:05:49 → 00:05:52 หรอตอนแรกคิดว่าโอเคตอนที่เราอายุมากขึ้น
00:05:52 → 00:05:55 น่ะเซลล์มันคงไม่ได้เพิ่มจำนวนได้ดี
00:05:55 → 00:05:57 เหมือนตอนที่เราเป็นเด็กๆหรอกแต่ก็คิดว่า
00:05:57 → 00:05:59 มันมันก็น่าจะเพิ่มเพราะมันต้องมีการซ่อม
00:05:59 → 00:06:01 แซมอะไรเกิดขึ้นในสมองบ้างหรือเปล่าครับ
00:06:01 → 00:06:04 มันมีมันมีแต่ว่าน้อยมากน้อยมากๆครับถ้า
00:06:04 → 00:06:06 เทียบกับความสามารถในการปรับตัวของมันน่ะ
00:06:06 → 00:06:08 อย่างเช่นตัวเซลล์ที่เขาพบว่ามันยังมีการ
00:06:08 → 00:06:10 งอกใหม่เนี่ยมันจะอยู่ในส่วนของ
00:06:10 → 00:06:12 ฮิปโปแคampัสแต่ว่าจริงๆแล้วการเปลี่ยน
00:06:12 → 00:06:14 แปลงของสมองนี่มันเกิดขึ้นนอกเหนือจากตรง
00:06:14 → 00:06:16 ส่วนนั้นได้เพราะว่ามันไม่จำเป็นที่จะ
00:06:16 → 00:06:18 ต้องงอกเซลล์ใหม่เพื่อสร้างฟังก์ชันใหม่
00:06:18 → 00:06:22 อืมันสามารถใช้เซลล์เดิมทำงานใหม่ได้งั้น
00:06:22 → 00:06:25 งั้นเดี๋ขอย้อนกลับไปนิดนึงครับถ้าสมมุติ
00:06:25 → 00:06:27 ว่าอ่ะในฐานะบางคนเป็นพ่อเป็นแม่เนาะแล้ว
00:06:27 → 00:06:30 ก็มีลูกเงี้ยถ้าเกิดว่าอยากจะดูแลสุขภาพ
00:06:30 → 00:06:34 ของสมองของลูกของคนสักคนนึงอ่ะมันจำเป็น
00:06:34 → 00:06:36 ต้องดูแลสุขภาพสมองตั้งแต่ตอนอายุน้อยๆ
00:06:36 → 00:06:39 เลยป่ะก็จะทำให้มีแต้มต่อสูงเพราะฉะนั้น
00:06:39 → 00:06:42 เรื่องของโภชนาการหรือเรื่องพัฒนาการใน
00:06:42 → 00:06:44 ช่วงเด็กสำคัญยังสำคัญมากอยู่นะครับก็ทำ
00:06:44 → 00:06:47 ให้แต้มต่อเยอะแต่ในขณะเดียวกันเนี่ยคน
00:06:47 → 00:06:48 ที่เลยจุดนั้นมาแล้วก็จะได้ไม่รู้สึกว่า
00:06:48 → 00:06:52 แบบเฮ้ยจบกันช้าไปแล้วไม่ใช่เราก็ยัง
00:06:52 → 00:06:55 สามารถพัฒนามันได้อยู่เพราะว่าการเชื่อม
00:06:55 → 00:06:57 ต่อความแข็งแรงของการเชื่อมต่อเนี่ยก็จะ
00:06:57 → 00:07:00 ทำให้เกิดการทนทานเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
00:07:00 → 00:07:02 เหมือนกันอ้าหรอจังหวะที่เซลล์มันต้อง
00:07:03 → 00:07:05 เชื่อมต่อกันน่ะในการเรียนรู้อะไรเงี้ย
00:07:05 → 00:07:07 มันต้องใช้สารอาหารอะไรเป็นพิเศษป่ะจริงๆ
00:07:07 → 00:07:09 ก็สารอาหารที่มันใช้ส่วนใหญ่สมองเนี่ยมัน
00:07:09 → 00:07:13 ใช้ตัวกลูโคสเป็นหลักนะครับแต่ว่ามันก็
00:07:13 → 00:07:16 พูดถึงมันนอกเหนือจากกลูโคสเนี่ยมันก็ยัง
00:07:16 → 00:07:18 มีเรื่องหลอดเลือดใช่มั้ฮะเพราะฉะนั้นการ
00:07:18 → 00:07:21 ทานอาหารให้สุขภาพหลอดเลือดดีมันก็จะทำ
00:07:21 → 00:07:25 ให้ตัวสารอาหารมันขึ้นไปถึงสมองได้ดีไป
00:07:25 → 00:07:27 นานๆเพราะมันไม่ไม่ใช่ว่าสมมุติเราไปกิน
00:07:27 → 00:07:29 อาหารอะไไปfastฟู้ดหรืออะไรอย่างเงี้ย
00:07:29 → 00:07:32 ซึ่งนเสียต่อเรื่องหลอดเลือดสุดท้ายมันจะ
00:07:32 → 00:07:34 กลับมาทำร้ายสมองอยู่ดีออ๋อคือถ้าหลอด
00:07:34 → 00:07:37 เลือดมันมีอะไรไปอุดตันเลือดก็ไม่วิ่งถึง
00:07:37 → 00:07:39 สมองใช่เพราะว่าในสมองมันไม่ได้มีเลือด
00:07:39 → 00:07:41 ถูกมั้ยไม่มีเนื้อสมองเองต้องมีอาศัยหลอด
00:07:42 → 00:07:44 เลือดมามันตัวเซลล์มันไม่ได้มีไม่ได้ผลิต
00:07:44 → 00:07:46 เลือดมาอ้าสมมุตินี่ผมอันนี้เป็นสมองผม
00:07:46 → 00:07:48 คือเลือดมันวิ่งไปแค่หลอดเลือดเนี่ยมันจะ
00:07:48 → 00:07:51 วิ่งจากหัวใจใช่มั้ฮะแล้วก็ขึ้นไปเลี้ยง
00:07:51 → 00:07:54 สมองเมันจะโอบล้อมตัวสมองเอาไว้แล้วก็มี
00:07:54 → 00:07:56 แทงหลอดเลือดเล็กๆเนี่ยเข้าไปเลี้ยงส่วน
00:07:56 → 00:08:00 ลึกอ๋อโอเคเพราะฉะนั้นสุขภาพหลอดเลือดก็
00:08:00 → 00:08:02 สำคัญมากๆเหมือนกันกับสุขภาพของสมองต่อ
00:08:02 → 00:08:05 สุขภาพสมองใช่เลยครับอโอเคงั้นสมมุติว่า
00:08:05 → 00:08:08 เราถึงจุดที่เกินอายุ 20 และอ่ามันจะ
00:08:08 → 00:08:12 เริ่มเกิดอะไรขึ้นบ้างกับสมองสมองมันจะ
00:08:12 → 00:08:14 เริ่มแก่ยังไงครับก็คือเรื่องของ
00:08:14 → 00:08:17 ประสิทธิภาพมันก็จะเริ่มถดถอยจริงๆ 20 ก็
00:08:17 → 00:08:21 ยังยังพอใช้ได้อยู่แต่ผมว่าถ้าซัก 30 ใช่
00:08:21 → 00:08:24 มั้ยฮะ 40 นี่ผมว่ารู้สึกได้ชัดเจนครับก็
00:08:24 → 00:08:27 ประสิทธิภาพการทำงานก็จะไม่รวดเร็วเหมือน
00:08:27 → 00:08:29 เก่าไม่รวดเร็วอ่าไม่รวดเร็วเหมือนเก่า
00:08:29 → 00:08:32 แล้วก็เรื่องของการคงสมาธิก็อาจจะทำได้
00:08:32 → 00:08:36 ยากขึ้นออเหรออืคงสมาธิก็ยากขึ้นจริงป่ะ
00:08:36 → 00:08:39 เนี่ยใช่แล้วก็เรื่องการสลับจากการทำ
00:08:39 → 00:08:41 อย่างนึงไปเป็นอีกอย่างนึง multitasking
00:08:42 → 00:08:45 ก็จะยากขึ้นอ่าฮะอ่าการเรียนรู้สิ่งใหม่
00:08:45 → 00:08:48 ก็จะยากขึ้นเริ่มมีหลายอย่างใช่
00:08:48 → 00:08:52 ในขณะที่การทำงานบางอย่างเนี่ยอาจจะมีผล
00:08:52 → 00:08:56 กระทบน้อยอือฮึอือย่างเช่นเรื่องของภาษา
00:08:56 → 00:08:58 เรื่องของอะไรที่ใช้การสั่งสมมาเป็นระยะ
00:08:58 → 00:09:01 เวลานานเนี่ยความจริงเเเเชื่อว่าการทำงาน
00:09:01 → 00:09:04 บางอย่างเนี่ยมีแนวโน้มดีขึ้นด้วยซ้ำ
00:09:04 → 00:09:06 เมื่ออายุมากขึ้นอ้าหรอโดยเฉพาะเนี่ย
00:09:06 → 00:09:08 เรื่องเรื่องภาษานี่เป็นตัวอย่างนึงที่
00:09:08 → 00:09:10 เขาพูดถึงเยอะแสดงว่าแม้ว่าเราจะอายุมาก
00:09:10 → 00:09:13 ขึ้นการเรียนรู้ภาษาใหม่ๆเป็นสิ่งที่น่า
00:09:13 → 00:09:17 จะทำได้คือการคงความสามารถด้านภาษาไว้
00:09:17 → 00:09:20 เนี่ยจะยังดีอยู่แต่อาจจะมีบางแง่มุมเช่น
00:09:20 → 00:09:23 การนึกคำอาจจะนึกคำยากขึ้นเมื่ออายุมาก
00:09:23 → 00:09:25 ขึ้นเงี้ยครับซึ่งเราอาจจะทุกคนผมว่าทุก
00:09:25 → 00:09:29 คนก็รู้สึกได้แหละถ้าลองอดนอนซัก 2-3 วัน
00:09:29 → 00:09:31 เนี่ยมันจะเหมือนเรานั่ง Time Machine
00:09:31 → 00:09:35 ไปในตัวเราในอนาคตสัก 10-20 ปีได้แก่ขึ้น
00:09:35 → 00:09:37 เร็วเลยแก่ขึ้นเลยก็คือการทำงานของสมอง
00:09:37 → 00:09:40 มันก็จะเหมือนล้ามากขึ้นออฮะอืแล้วมันมี
00:09:40 → 00:09:43 อะไรที่ทำให้สมองของเราเนี่ยมันแก่เร็ว
00:09:43 → 00:09:46 ขึ้นแบบไป speed up การแก่ของสมองมั้ย
00:09:46 → 00:09:49 ถ้าเราดูว่าปัจจัยใจที่มันมีผลต่อการทำ
00:09:49 → 00:09:51 งานของสมองเนี่ยผมว่าอย่างเช่นเรื่องหลอด
00:09:51 → 00:09:53 เลือดที่เราพูดไปเมื่อสักครู่เนี่ยถ้าเรา
00:09:53 → 00:09:56 ไม่ดูแลเรื่องสุขภาพหลอดเลือดก็คือการดู
00:09:56 → 00:09:59 แลให้หัวใจและหลอดเลือดเรามีการทำงานที่
00:09:59 → 00:10:01 เป็นปกติเนี่ยอันนี้ก็จะยิ่งทำให้เนื้อ
00:10:01 → 00:10:05 สมองเนี่ยเอ่อมีการชราเร็วขึ้นอายุเพิ่ม
00:10:06 → 00:10:08 ขึ้นอย่างเร็วนะครับแล้วก็ยังมีปัจจัยทาง
00:10:08 → 00:10:11 พันธุกรรมบางอย่างที่อาจจะทำให้ตัวเนื้อ
00:10:11 → 00:10:15 สมองเนี่ยถูกมีผลกระทบจากการที่มีของเสีย
00:10:15 → 00:10:18 สะสมมีส่วนนอกจากนั้นแล้วก็ยังมีเรื่อง
00:10:18 → 00:10:22 การขจัดของเสียหรือว่าการพยายามจะชะล้าง
00:10:22 → 00:10:25 สิ่งที่ไม่ดีนะครับซึ่งมันส่วนใหญ่ก็จะ
00:10:25 → 00:10:28 คือผ่านการแบบการพักผ่อนโดยเฉพาะการนอนนะ
00:10:28 → 00:10:31 ครับแล้วก็ยังมีเรื่องของความเครียดซึ่ง
00:10:31 → 00:10:34 จะมีผลทางอ้อมต่อเรื่องฮอร์โมนที่เกี่ยว
00:10:34 → 00:10:37 ข้องกับความเครียดนะครับคอร์ติอะไรต่างๆ
00:10:37 → 00:10:39 ก็จะมาเป็นส่งผลกระทบทำให้ตัวเนื้อสมอง
00:10:39 → 00:10:41 เนี่ยพบว่าคนที่มีความเครียดก็เนื้อสมอง
00:10:41 → 00:10:45 ก็จะหดเล็กลงอือันนี้ก็จะเป็นส่วนที่มีผล
00:10:45 → 00:10:48 สิเสียนะครับทั้งเรื่องของเนี่ย mental
00:10:48 → 00:10:51 health มีเรื่องของของคาร์ดวาสารหรือว่า
00:10:51 → 00:10:53 เรื่องหัวใจและหลอดเลือดนะครับมีเรื่อง
00:10:53 → 00:10:55 ของการนอนอย่างเงี้ยครับเป็นปัจจัยที่
00:10:56 → 00:10:59 หลักๆอืเมื่อกี้บอกว่าเนื้อสมองเล็กลง
00:10:59 → 00:11:01 ปริมาตรเล็กลงปริมาตรเล็กลงเลยซึ่งมัน
00:11:02 → 00:11:04 สัมพันธ์กับปริมาณจำนวนเซลล์สมองที่น้อย
00:11:04 → 00:11:07 ลงป่ะใช่ใช่ๆอ๋องั้นถามต่อเลยว่าตอนเนี้
00:11:07 → 00:11:09 สมมุติว่าอยากจะรู้ว่าสมองเราแก่ไม่แก่
00:11:09 → 00:11:12 เนี่ยมันวัดได้มั้ยก็มีวิธีการวัดนะครับ
00:11:12 → 00:11:17 จริงๆมันวัดได้เชิงการทำงานแล้วก็วัดได้
00:11:17 → 00:11:20 ในเชิงของตัวปริมาตรของสมองนั้นมันก็จะมี
00:11:20 → 00:11:24 การเอ่อถ่ายภาพถ่ายรังสีก็อาจจะพอมีภาพ
00:11:24 → 00:11:26 ถ่ายของสมองได้แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าภาพ
00:11:26 → 00:11:29 ถ่ายรังสีกับการทำงานเนี่ยอาจจะไม่ต้องไป
00:11:29 → 00:11:32 ด้วยกันเสมอไปนะครับเอาเป็นว่าคน 2 คนมี
00:11:32 → 00:11:35 ปริมาตรของเนื้อสมองเท่ากันน่ะไม่ได้แน่
00:11:35 → 00:11:38 ว่าจะต้องมีการทำงานของสมองเท่ากันอื
00:11:38 → 00:11:40 เพราะมันยังไปวัดกันที่ประสบการณ์ที่ผ่าน
00:11:40 → 00:11:42 มาว่ามีเนื้อสมองอยู่เท่าเนี้ยคุณใช้งาน
00:11:42 → 00:11:45 มันมายังไงคุณใช้งานมันมาแบบนึงอาจจะมี
00:11:45 → 00:11:49 การคงตัวไว้ได้สูงกว่าคนที่เนื้อสมองเท่า
00:11:49 → 00:11:52 กันอือืแต่ว่ามันก็ใช้เป็นเหมือนกับตัว
00:11:52 → 00:11:55 ชี้วัดคร่าวๆได้ดูจากปริมาตรสมองพอได้
00:11:55 → 00:11:59 อยู่อย่างมีการทดลองนึงที่เขา้าเอาคนมา
00:11:59 → 00:12:02 วัดปริมาตรสมองเนี่ยตามช่วงอายุต่างๆ
00:12:02 → 00:12:04 เสร็จแล้วเพยายามจะลากเส้นว่าเนี่ยแล้ว
00:12:04 → 00:12:07 ถ้างั้นค่ากลางของคนที่อายุสักประมาณ 25
00:12:07 → 00:12:10 คุณจะมีปริมาตรเนื้อสมองเท่าไหร่คนอายุ 40
00:12:10 → 00:12:12 ควรจะมีปริมาตรเนื้อสมองเท่าไหร่แล้ว
00:12:12 → 00:12:14 สมมุติว่าเราต้องฆ่าไปวัดบอกเฮ้ยได้อายุ
00:12:14 → 00:12:17 เท่านี้แล้วก็ข้าวมีปริมาตรสมองสูงกว่า
00:12:17 → 00:12:20 ที่ควรจะเป็นก็อาจกล่าวได้ว่าเฮ้ยอย่าง
00:12:20 → 00:12:22 งี้สมองเด็กเอ่อก็จะมีไอเดียเกี่ยวกับ
00:12:22 → 00:12:25 เรื่องว่าเฮ้ยเราไม่วัดอายุกันที่วัน
00:12:25 → 00:12:28 เดือนปีเกิดแล้วแหละอืมันวัดกันที่ว่า
00:12:28 → 00:12:30 เนื้อสมองคุณน่ะมันเท่ากับคนที่อายุ
00:12:30 → 00:12:33 ประมาณเท่าไหร่ใช่มั้ฮะแล้วเค้าก็พบว่าคน
00:12:33 → 00:12:37 ที่มีปริมาตรเนื้อสมองที่ดีกว่าอายุอ่ะนะ
00:12:37 → 00:12:39 พูดง่ายๆว่าดีกว่าอายุเนี่ยนะครับก็จะมี
00:12:39 → 00:12:43 สุขภาพโดยรวมที่ดีแล้วก็เลยเถิดไปจนถึง
00:12:43 → 00:12:47 ว่ามีอัตราตาการเสียชีวิตที่ลดลงอืมซึ่ง
00:12:47 → 00:12:49 มันเป็นอย่างนั้นมั้ยที่เขาพบคือเป็น
00:12:49 → 00:12:52 อย่างงั้นครับก็ตัวสุขภาวะที่ทางกายที่
00:12:52 → 00:12:54 เขาวัดเนี่ยก็อย่างเช่นเอ่อสปีดของการ
00:12:55 → 00:12:58 เดินความแรงของการแบบกำเอ่อมือขวาเนี่ยกำ
00:12:58 → 00:13:01 ได้แรงเท่าไหร่เงี้ยครับแล้วก็มีวัด
00:13:01 → 00:13:03 เรื่องของตัวท่าต่างๆที่อยู่ในเลือดว่า
00:13:03 → 00:13:07 โดยรวมแล้วเนี่ยมันเหมือนกับมีสุขภาวะมวล
00:13:07 → 00:13:09 รวมเนี่ยเป็นอย่างไรเนี่ยก็พบว่าคนที่มี
00:13:09 → 00:13:13 เนื้อสมองที่ดีกว่าอายุอ่ะมักจะสัมพันธ์
00:13:13 → 00:13:16 กับค่าต่างๆเหล่านี้ที่ดีขึ้นทุกตัวมันก็
00:13:16 → 00:13:19 คล้ายๆกับเวลาที่เราวัดอายุชีวภาพแบบ epic
00:13:19 → 00:13:22 age ถูกป่ะอ่าครับแต่ว่าเชื่อว่าคือตอน
00:13:22 → 00:13:23 นี้มันรู้แล้วว่าสามารถที่จะสแกนสมองอาจ
00:13:24 → 00:13:27 จะใช้อุปกรณ์เช่นอะไร MRI M ในการวัด
00:13:27 → 00:13:29 ซึ่งทุกคนมันอาจจะยากที่ทุกคนจะไปวัดถูก
00:13:29 → 00:13:32 มั้ยจริงๆค่อนข้างง่ายขึ้นนะครับถ้า
00:13:32 → 00:13:34 เที่ยวกับเทียบกับแต่ก่อนนะผมว่า MI
00:13:34 → 00:13:37 เนี่ยถือว่าเป็นอะไรที่มีในโรงพยาบาลส่วน
00:13:37 → 00:13:40 ใหญ่จะมีอาจจะแบบโรงพยาบาลถ้าโรงพยาบาล
00:13:40 → 00:13:42 ระดับชุมชนน่ะจะไม่มีแน่นอนใช่มั้ฮะแต่
00:13:43 → 00:13:45 ว่าผมว่าโรงพยาบาลใหญ่ๆโรงพาจังอย่าเงี้
00:13:45 → 00:13:47 ก็มีแต่ว่าเราไม่ได้ทำไม่ใช่ว่าเดินเข้า
00:13:47 → 00:13:49 ไปแล้วขอทำอาจจะไม่ได้ถึงขนาดนั้นยังไม่
00:13:49 → 00:13:52 ได้ถึงขนาดนั้นที่ใครก็เข้าถึงได้ใช่แต่
00:13:52 → 00:13:55 ว่าถ้าเกิดว่าเราวัดด้วยฟังก์ชันของมันใน
00:13:55 → 00:13:57 Performance ของมันในชีวิตประจำวันเนี้ย
00:13:57 → 00:14:00 มันพอจะบอกได้ถูกป่ะก็พอจะสัมพันธ์กัน
00:14:00 → 00:14:03 บ้างมันมีอีกเรื่องนึงเมื่อกี้ดร.เข้าชั
00:14:03 → 00:14:07 ว่ามันมีเรื่องของค่าอายุจากพันธุกรรมอ
00:14:07 → 00:14:09 ใช่มั้ครับซึ่งเปเปอร์นั้นน่ะความจริงเ้า
00:14:09 → 00:14:13 นอกเหนือจากการดูเรื่องของอายุสมองอ่ะเขา
00:14:13 → 00:14:15 ก็ไปดูปัจจัยอื่นๆด้วยว่ามีอะไรที่จะมา
00:14:16 → 00:14:18 ร่วมกันได้มยก็พบว่าจริงๆอ่ะพอมันมาดู
00:14:18 → 00:14:21 ร่วมกันกับ DNA metation ซึ่งเป็นดัชนี
00:14:22 → 00:14:23 ตัวนึงที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมนะครับ
00:14:23 → 00:14:25 แต่มันเป็นระดับของเหนือพันธุกรรมที่
00:14:25 → 00:14:27 เรียกว่าEpิติเนี่ยเพราะว่าถ้าเอา 2 ตัว
00:14:27 → 00:14:30 มารวมกันเนี่ยจะยิ่งสัมพันธ์กับไอ้ปัจจัย
00:14:30 → 00:14:32 เหล่านั้นมากขึ้นไปอีกยิ่งกว่าดูแค่เนื้อ
00:14:32 → 00:14:34 สมองอย่างเดียวั้นจริงๆมันก็มีการชราของ
00:14:34 → 00:14:37 ร่างกายในหลายๆระดับแล้วก็ในหลายๆระดับ
00:14:37 → 00:14:40 ยิ่งเอาข้อมูลมาประกอบกันก็จะยิ่งทำนาย
00:14:40 → 00:14:43 ได้แม่นยำขึ้นอืแล้วงี้เราจะรู้ได้ไงว่า
00:14:43 → 00:14:47 ตอนเนี้ยเรากำลังแก่เบอร์ไหนแล้วสมวัย
00:14:47 → 00:14:50 หรือเปล่าหรือว่าสมองเราตอนนี้มันแก่แบบอ
00:14:50 → 00:14:52 แก่เร็วกว่าที่ควรจะเป็นอะไรเงี้ยมันมี
00:14:52 → 00:14:55 วิธีในการในในปัจจุบันนะครับทางการแพทย์อ
00:14:55 → 00:14:57 ถ้าเกิดสวมหมวกทางการแพทย์เนี่ยเมื่อกี้
00:14:57 → 00:14:59 สำรวจเชิงวิจัยเนาะเราก็จะมีแบบโอ้โหใช้
00:14:59 → 00:15:02 เทคโนโลยีเข้ามาได้นะครับเครื่อง
00:15:02 → 00:15:04 ถ้าในทางการแพทย์ในปัจจุบันเนี่ยแนะนำว่า
00:15:05 → 00:15:06 เราจะมีเครื่องมือในการตรวจต้องไปตรวจที่
00:15:06 → 00:15:10 โรงพยาบาลเจะมีเหมือนเป็นแบบทดสอบซึ่ง
00:15:10 → 00:15:14 มาตรฐานแปลว่าเขาเก็บข้อมูลคนมาโอโหต่าง
00:15:14 → 00:15:16 ประเทศก็ไม่รู้ตั้งกี่คนแล้วมีค่ามาตรฐาน
00:15:16 → 00:15:20 ชัดเจนว่าค่ากลางจะต้องเท่านี้การกระจาย
00:15:20 → 00:15:23 ตัวแบบคนทั่วไปจะประมาณเท่าไหร่อะไรเงี้ย
00:15:23 → 00:15:25 แล้วเราเก็จะดูว่าของเราเนี่ยตกเกณฑ์หรือ
00:15:25 → 00:15:28 เปล่าแล้วก็จะไปทดสอบการทำงานสมองซึ่งมี
00:15:28 → 00:15:30 หลายด้านอเล่าให้ฟังสมมุติว่าผมอ่ะสงสัย
00:15:30 → 00:15:32 ว่าเอ้ยตอนเนี้ยคุณพ่อคุณแม่ผมอ่ะเป็นวัย
00:15:32 → 00:15:35 ที่แก่แล้วเนาะแล้วเขาจะมีความเสี่ยงที่
00:15:35 → 00:15:37 แบบสมองจะเสื่อมเร็วกว่าปกติมั้ยแล้วผมพา
00:15:37 → 00:15:40 เขาไปเจอหมอกิ๊กเงี้ยอ่าจะต้องทดสอบอะไร
00:15:40 → 00:15:42 บ้างคร่าวๆได้มั้อันดับแรกเนี่ยเราก็จะ
00:15:42 → 00:15:46 ถามก่อนว่าลักษณะอาการเนี่ยน่าเป็นห่วง
00:15:46 → 00:15:49 แบบที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยความชราปกติ
00:15:49 → 00:15:52 หรือเปล่านั้นแสดงว่าอย่างที่ดร.ข้าวบอก
00:15:52 → 00:15:55 คือคนเราเนี่ยเมื่อถึงอายุประมาณนึงเราก็
00:15:55 → 00:15:58 เนื้อสมองก็มีขนาดเล็กลงใช่มั้ฮะการทำงาน
00:15:58 → 00:16:00 ของสมองของเราก็เริ่มถดถอยเป็นเรื่อง
00:16:00 → 00:16:04 ธรรมดาปกติคำถามคือเราจะรู้ได้ยังไงว่า
00:16:04 → 00:16:06 อันนี้ธรรมดาหรือไม่ธรรมดาเอออันเนี้แหละ
00:16:06 → 00:16:10 เป็นประเด็นที่ผมว่าค่อนข้างมีความท้าทาย
00:16:10 → 00:16:13 นะหมอก็ต้องเดาว่าเฮ้ยอันนี้นี่อยู่ใน
00:16:13 → 00:16:16 เกณฑ์น่าเป็นห่วงหรือยังนะครับก็มีวิธีดู
00:16:16 → 00:16:18 อ่ายังไงวิธีดูก็คือว่าอาการที่มันมักจะ
00:16:18 → 00:16:21 มากับความเสื่อมเนี่ยที่เป็นเรื่องธรรมดา
00:16:21 → 00:16:24 เนี่ยมักจะคล้ายๆคนที่ไปอดนอนมาคล้ายๆอด
00:16:24 → 00:16:27 นอนอ่าเราเราจะจินตนาการได้เช่นว่าเฮ้ย
00:16:27 → 00:16:30 เรานึกคำไม่ออกหรือว่าคนนั้นน่ะคนนั้นน่ะ
00:16:30 → 00:16:33 ใครนะที่วันนั้นไปด้วยกันน่ะอ่ะแต่ว่าคือ
00:16:33 → 00:16:35 จะสังเกตว่าที่วันนั้นไปด้วยกันเนี่ยแปล
00:16:35 → 00:16:39 ว่าเนื้อหาสาระว่าจำไม่ได้คือเรายังรู้
00:16:39 → 00:16:42 เราไปไหนมาไหนด้วยกันอืเรารู้ว่าเราเคย
00:16:42 → 00:16:44 รู้จักคนนี้เหมือนมีเรื่องราวอะไรอยู่แต่
00:16:44 → 00:16:47 เรานึกชื่อเ้าไม่ออกอืมันเป็นปัญหาเรื่อง
00:16:47 → 00:16:49 นึกชื่อไม่ออกเสร็จแล้วก็อะไรนะขึ้นต้น
00:16:49 → 00:16:51 ด้วยอะไรนะบอกขึ้นต้นด้วยกไก่ปุ๊บเอ้ยอ๋อ
00:16:51 → 00:16:54 ไอ้กิ๊กไงอ่านี้แสดงว่าอความทรงจำจริงๆ
00:16:54 → 00:16:58 อ่ะอยู่อือค้นไม่เจออือฮึหรือที่เรียกว่า
00:16:58 → 00:17:00 retrieval failure ก็คือดึงความทรงจำ
00:17:01 → 00:17:03 คืนมาไม่ได้แต่ความทรงจำน่ะมันเข้าไปนะอ
00:17:03 → 00:17:06 อือฮึถ้าคุณพ่อคุณแม่ก็จะมีอารมณ์แบบว่า
00:17:06 → 00:17:09 เดินมาเอ๊ะมาทำอะไรนะอือเอ๊ะมาห้องนี้มา
00:17:09 → 00:17:11 ทำอะไรเดี๋ยวๆเมื่อกี้ทำอะไรนะอือวิธีทำ
00:17:11 → 00:17:15 ทำไงครับต้องเดินกลับไปห้องเดิมอืพอเดิน
00:17:15 → 00:17:17 กลับไปห้องเดิมอ๋อเมื่อกี้จะมาเอ๊ะทำไม
00:17:17 → 00:17:20 เดินกลับไปห้องเดิมแล้วมันอันล็อได้อือฮึ
00:17:20 → 00:17:22 เป็นเพราะว่าพอเดินกลับไปห้องเดิมได้เห็น
00:17:22 → 00:17:24 ของแบบเดิมอยู่ในสถานการณ์แบบเดิมมัน
00:17:24 → 00:17:26 เขี่ยความทรงจำนั้นขึ้นมาได้เหมือนมี
00:17:26 → 00:17:29 กุญแจที่คอยไปเขี่ยขึ้นมาได้ว่ามี Q
00:17:29 → 00:17:32 retrieval ก็คือมีไอ้ตัวกุญแจอะไรบาง
00:17:32 → 00:17:34 อย่างที่ไปดึงความทรงจำให้กลับขึ้นมาได้
00:17:34 → 00:17:37 ลักษณะแบบเนี้ยอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้าง
00:17:37 → 00:17:41 เป็นปกติได้นะครับเป็นปกติได้อแล้วก็อาจ
00:17:41 → 00:17:44 จะเป็นในแนวนอกจากนึกคำไม่ออกแต่ว่ายังมี
00:17:44 → 00:17:46 content ของความจำนะครับไปเขียดความทรง
00:17:46 → 00:17:49 จำกลับขึ้นมาได้ก็จะเป็นการเรื่องของทำ
00:17:49 → 00:17:52 อะไรช้าลงอือฮึอ่าทำอะไรช้าลงแบบที่เล่า
00:17:52 → 00:17:54 ให้ฟังเมื่อกี้นี้อยู่ในเกณฑ์ได้หมดเลย
00:17:54 → 00:17:56 แต่ถ้าเกิดมันเป็นปัญหาของสิ่งที่ไม่ควร
00:17:56 → 00:17:59 จะมีปัญหาเช่น
00:17:59 → 00:18:04 ภาษาถ้าเกิดใช้คำสลับแปลกๆจะเรียกสิ่งนึง
00:18:04 → 00:18:06 ไปเรียกเป็นอีกสิ่งนึงเหมือนโดยเฉพาะถ้า
00:18:06 → 00:18:09 เขาเข้าใจเลยว่าสิ่งนั้นมันคือเป็นอีก
00:18:09 → 00:18:12 สิ่งนึงไปเลยอันเนี้ยจะไม่เกิดในคนที่
00:18:12 → 00:18:15 เป็นตามอายุธรรมดาเหรออย่างเช่นอะไรอ่ะ
00:18:15 → 00:18:17 เรียกโต๊ะว่าแมวเงี้ยเหรออย่างเช่นแบบ
00:18:17 → 00:18:19 เอ่อเห็นกุญแจอย่างเงี้ยอาจจะเรียกเป็น
00:18:19 → 00:18:23 อย่างอื่นไปเลยอ่าหรือไม่เข้าใจว่าไอ้นี่
00:18:23 → 00:18:26 คือใช้ยังไงอือ่าเสียเหมือนเสียองค์ความ
00:18:26 → 00:18:28 รู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นไปเลยครับอย่างเงี้ย
00:18:28 → 00:18:31 ไม่ได้ละอืนะหรือว่ามีปัญหาเกี่ยวกับ
00:18:32 → 00:18:34 เรื่องพฤติกรรมอารมณ์เช่นเป็นคนที่อยู่ดี
00:18:34 → 00:18:37 ๆเอ่อเปลี่ยนแปลงไปอย่างหน้ามือเป็นหลัง
00:18:37 → 00:18:39 มือเอาจริงๆเอ่อผู้สูงอายุเขาก็จะมีการ
00:18:39 → 00:18:40 เปลี่ยนแปลงตามร่างกายแล้วก็จะมีความ
00:18:40 → 00:18:43 กังวลบ้างนะครับเพราะฉะนั้นจริงๆเรื่อง
00:18:43 → 00:18:46 ความกังวลความใจร้อนขี้น้อยใจเนี่ยมี
00:18:46 → 00:18:48 เพิ่มขึ้นได้นะครับแต่ถ้าเกิดสมมุติว่า
00:18:49 → 00:18:50 เปลี่ยนแปลงไปเลยโดยเฉพาะถ้าเปลี่ยนแปลง
00:18:51 → 00:18:54 ไปในแบบประหลาดๆเช่นปกติเป็นคนไม่พูดจา
00:18:54 → 00:18:57 ตลกอะไรขนาดนี้ต่อหน้าสาธารณะอยู่ดีเอ้ย
00:18:57 → 00:19:00 เป็นคนทำไมพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอันนี้ก็
00:19:00 → 00:19:02 อาจจะประหลาดใช่อันนี้อาจจะเป็นสัญญาณควร
00:19:02 → 00:19:07 จะห้ามใจได้เช่นของเนี่ยอยากได้นะแต่ว่า
00:19:07 → 00:19:08 ถ้าเป็นแต่ก่อนเราก็จะรู้ว่าเอ้ยมันไม่
00:19:08 → 00:19:10 ใช่ของเราเออมันก็ดีนะอยากได้อะไรอย่าง
00:19:10 → 00:19:13 เงี้ยแต่ถ้าเกิดแบบหยิบเลยอยากได้ปุ๊บ
00:19:13 → 00:19:16 หยิบเลยอือย่างงี้ไม่ได้ละก็จะมีการ
00:19:16 → 00:19:19 เปลี่ยนแปลงของลักษณะอาการบางอย่างที่
00:19:19 → 00:19:21 เป็น no เลยไม่ได้ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง
00:19:21 → 00:19:23 ตามอายุกับอีกแบบนึงคือเปลี่ยนแปลงตาม
00:19:23 → 00:19:27 อายุทีนี้ถ้าอันที่ 1 คือดูก่อนว่าลักษณะ
00:19:27 → 00:19:31 มันไว้ใจได้มั้ยอันที่ 2 คือดูว่าความ
00:19:31 → 00:19:34 เร็วอ่ะไว้ใจได้มั้ยไว้ใจได้ความเร็วของ
00:19:34 → 00:19:36 การเปลี่ยนแปลงถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงของ
00:19:36 → 00:19:39 การทำงานสมองเนี่ยเปลี่ยนแปลงเร็วมากแบบ
00:19:39 → 00:19:42 นี้ก็ไว้ใจไม่ได้นะจะต้องไปหาว่ามีเหตุ
00:19:42 → 00:19:44 อะไรที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเนี่ยมันรวด
00:19:44 → 00:19:47 เร็วกว่าที่คิดไว้มั้ยคือต่อให้เหมือนกับ
00:19:47 → 00:19:48 การเปลี่ยนแปลงตามอายุแต่ถ้าเปลี่ยนแปลง
00:19:48 → 00:19:51 เร็วเกินไปอือฮึก็ควรมาตรวจอืเพราะมันอาจ
00:19:51 → 00:19:54 จะมีเหตุผลบางคนก็อาจจะเป็นปัญหาเรื่อง
00:19:54 → 00:19:57 การนอนอือฮึบางทีอาจจะเป็นเรื่องการใช้ยา
00:19:57 → 00:19:58 บางอย่างที่มีผลอะไรเงี้ยอาจจะไม่ต้อง
00:19:58 → 00:20:01 เป็นโรคสมองเสื่อมก็ได้อือแต่ประเด็นก็
00:20:01 → 00:20:03 คืออย่างที่ดร.ข้าวบอกก็คือการเปลี่ยน
00:20:03 → 00:20:05 แปลงของของสมองเนี่ยความจริงถ้าอายุถึง
00:20:06 → 00:20:07 ระดับนึงเนี่ยไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะมา
00:20:07 → 00:20:11 ตรวจผมว่าเราทุกคนน่ะเวลาเราไปหาหมอเราก็
00:20:11 → 00:20:13 ไม่ได้ไปเพราะว่าเราอยากจะรู้ว่าเราเป็น
00:20:13 → 00:20:16 โรคอะไรแต่เราไปเพราะอยากจะมีสุขภาพดีไป
00:20:16 → 00:20:19 นานๆใช่มั้ครับเราไปเจาะเรื่องน้ำตาลก็
00:20:19 → 00:20:21 เพราะว่าเราไม่อยากเป็นเบาหวานมันไม่ใช่
00:20:21 → 00:20:24 ว่าเราอยากรู้ว่าเป็นเบาหวานหรือยังใช่
00:20:24 → 00:20:27 มั้ฮะจริงๆเรื่องการทำงานสมองก็ควรจะเป็น
00:20:27 → 00:20:30 หนึ่งในการคัดกรองโดยเฉพาะผู้สูงอายุนะ
00:20:31 → 00:20:33 ครับซึ่งถ้าเป็นตัดง่ายๆก็เช่นเกิน 55
00:20:33 → 00:20:36 หรือเกิน 60 เนี่ยผมว่าควรจะควรจะตรวจไว้
00:20:36 → 00:20:41 บ้างนะครับอืแล้วอย่างอายุจะแตะเลข 4
00:20:41 → 00:20:43 อย่างเงี้ยเราต้องระวังตัวเองยังไงอีก
00:20:43 → 00:20:46 มั้ยเพื่อป้องกันไม่ให้แบบมันเสื่อมเดียว
00:20:46 → 00:20:49 คือจริงๆการทำงานสมองที่ลดลงเนี่ยเมื่อ
00:20:49 → 00:20:52 กี้เราพูดถึงเรื่องของเอ่อตามอายุทีนี้ใน
00:20:52 → 00:20:57 ผู้สูงอายุเนี่ยจะมีอีกชนิดนึงซึ่งซึ่ง
00:20:57 → 00:21:00 ไม่ใช่เป็นตามอายุเนี่ยคือเป็นโรคนะครับ
00:21:00 → 00:21:02 โรคสมองเสื่อมคือต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ว่า
00:21:03 → 00:21:04 ทุกคนที่การทำงานสมองลดลงเนี่ยเป็นโรค
00:21:05 → 00:21:09 สมองเสื่อมโรคสมองเสื่อมเนี่ยเป็นชื่อที่
00:21:09 → 00:21:12 ค่อนข้างจำเพาะลงไปเลยว่าเกิดอะไรบาง
00:21:12 → 00:21:17 อย่างในเนื้อสมองที่จะดำเนินไปเรื่อยๆละ
00:21:17 → 00:21:20 อย่างไม่หยุดยั้งนะครับเพราะฉะนั้นไอ้ตัว
00:21:20 → 00:21:23 ภาวะเนี้ยคือเป็นโรคที่อันตรายกว่าการ
00:21:23 → 00:21:27 เปลี่ยนแปลงของสมองโดยทั่วไปนะครับซึ่ง
00:21:27 → 00:21:31 จริงๆแล้วเนี่ยมันแสดงอาการตอนอายุ 65 ก็
00:21:31 → 00:21:34 จริงนะประมาณ 65 หรืออะไรขึ้นไปก็จริงแต่
00:21:34 → 00:21:38 จริงๆแล้วน่ะมันสะสมกองกำลังปัญหามาตั้ง
00:21:38 → 00:21:41 แต่ก่อนท่านั้นแล้วจริงๆที่ดร.ข้าวบอก
00:21:41 → 00:21:45 เนี่ยคือจริงๆ 40 เนี่ยอาจจะเริ่มแล้วอื
00:21:45 → 00:21:48 เริ่มนับ 1 แล้วเพียงแต่ว่ามันช้ามากกว่า
00:21:48 → 00:21:51 จะไปแสดงอาการโผล่พ้นน้ำขึ้นมาน่ะคือ 65
00:21:52 → 00:21:54 แต่ว่าจริงๆน่ะมันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
00:21:54 → 00:21:57 แล้วนั้นเราควรที่จะไม่ควรจะนิ่งนอนใจ
00:21:57 → 00:22:01 อายุสัก 40 เนี่ยควรจะป้องกันเมื่อกี้บอก
00:22:02 → 00:22:04 ว่าสะสมอะไรมันสะสมอ่ะอเค้าเรียกว่าเป็น
00:22:04 → 00:22:06 โปรตีนปกติเนี่ยร่างกายเราต้องสร้าง
00:22:06 → 00:22:09 โปรตีนอยู่แล้วนะครับวิธีการก็คือถ้า
00:22:09 → 00:22:11 สมมุติว่าเราได้รหัสพันธุกรรมกรรมมาร่าง
00:22:11 → 00:22:14 กายเราต้องการจะสร้างฟังก์ชันสร้างการทำ
00:22:14 → 00:22:16 งานอะไรบางอย่างเนี่ยเราต้องสร้างโปรตีน
00:22:16 → 00:22:18 มาเพราะโปรตีนเนี่ยเป็นตัวที่ไปทำงานนะ
00:22:18 → 00:22:20 ครับโปรตีนเนี่ยเวลาเขาสร้างมันเป็นสาย
00:22:20 → 00:22:23 โปรตีนเวลาสายโปรตีนมันออกมาเป็นยาวๆ
00:22:23 → 00:22:26 เนี่ยมันจะพับตัวพอมันพับตัวอยู่ในลักษณะ
00:22:26 → 00:22:28 แบบนึงเนี่ยมันถึงถึงมีฟังก์ชันแต่ว่าไอ้
00:22:28 → 00:22:33 การกระบวนการพับตัวเนี่ยบางทีมันเสียอื
00:22:33 → 00:22:35 มันก็พับตัวแบบแปลกๆเเรียกว่าการพับตัว
00:22:35 → 00:22:37 แบบแปลกๆของสายโปรตีนหรือที่เรียกว่า
00:22:37 → 00:22:41 Misfolded โปรteครับอือมันกลายเป็นสิ่ง
00:22:41 → 00:22:45 ที่เอาไปทำลายทิ้งไม่ได้กลายเป็นขยะอืขยะ
00:22:45 → 00:22:48 จริงๆสะสมอยู่ในเนื้อสมองในเนื้อสมองสะสม
00:22:49 → 00:22:52 มากๆเข้าเนี่ยบางทีดูด้วยตาเปล่าเห็นส่อง
00:22:52 → 00:22:56 ดูเนี่ยคือเห็นเลยว่ามีขยะสะสมอยู่นะครับ
00:22:56 → 00:22:58 ส่องด้วยกล้องจุรทัศ์อ่ะเนาะอเห็นเลยก็คน
00:22:58 → 00:23:01 ในโบราณเก็เลยบรรยายไว้เลยว่าโอ้โหมันมี
00:23:01 → 00:23:03 สิ่งที่เรียกว่าเป็นเหมือนกับเป็นแผลหรือ
00:23:03 → 00:23:07 เป็นพลักเป็นตะกรันสะสมอยู่ในเนื้อสมอง
00:23:07 → 00:23:09 ซึ่งจริงๆมีที่มาจากไอ้ตัวสายโปรตีนที่
00:23:09 → 00:23:13 มันบิดตัวผิดปกติเนี่ยนะครับอือซึ่งเป็น
00:23:13 → 00:23:15 สาเหตุของโรคสมองเสื่อมนั่นเองอมันมี
00:23:15 → 00:23:17 สาเหตุอะไรที่โปรตีนที่ถูกสร้างในสมองมัน
00:23:17 → 00:23:21 ฟอร์มผิดรูปจนมันใช้งานไม่ได้อ่ามันก็มี
00:23:21 → 00:23:23 ที่มาถ้าเกิดคิดง่ายๆคือมันอาจจะสร้าง
00:23:23 → 00:23:25 เยอะอย่างนึงมันคือมันทำลายน้อยลงแล้วมัน
00:23:25 → 00:23:28 ก็จะมีปัจจัยที่ทำให้เกิดการสะสมหรือการ
00:23:28 → 00:23:31 มีโอกาสที่จะบิดตัวได้ผิดปกติได้มากขึ้น
00:23:31 → 00:23:33 เพราะฉะนั้นปัจจัยนึงก็อาจจะเป็นปัจจัย
00:23:33 → 00:23:35 ทางพันธุกรรมอ่ะนะครับอือฮึแต่ปัจจัยทาง
00:23:35 → 00:23:37 พันธุกรรมเนี่ยไม่ใช่เหตุหลักในคนส่วน
00:23:37 → 00:23:42 ใหญ่นะครับมันจะมีบางกรณีที่เป็น
00:23:42 → 00:23:44 พันธุกรรมเป็นส่วนใหญ่เนี่ยอันนี้จะมักจะ
00:23:44 → 00:23:46 มองเห็นได้อย่างเช่นเป็นตั้งแต่อายุยัง
00:23:46 → 00:23:50 ไม่เยอะนะครับอืถ้าก่อนอายุ 60 แล้วเริ่ม
00:23:50 → 00:23:53 มีสภาวะสมองเสื่อมอันนี้จะคิดถึงว่า
00:23:53 → 00:23:56 สาเหตุน่าจะมาจากพันธุกรรมนะครับอหรือมี
00:23:57 → 00:23:59 ประวัติในครอบครัวที่ชัดเจนมีมาหลายหลาย
00:23:59 → 00:24:01 รุ่นนะครับถ้าเป็นอย่างเนี้ยก็มีโอกาสที่
00:24:01 → 00:24:04 จะมีปัจจัยมาจากพันธุกรรมส่วนหนึ่งนะครับ
00:24:04 → 00:24:07 แต่ส่วนใหญ่แล้วอ่ะมันไม่ได้เกิดจาก
00:24:07 → 00:24:09 พันธุกรรมอย่างเดียวมันเหมือนเป็นเอ้ย
00:24:09 → 00:24:11 พันธุกรรมมีแค่บางส่วนนิดนึงแล้วมันก็จะ
00:24:11 → 00:24:15 มีอย่างอื่นมาทับๆๆมันต้องสะสมสะสม
00:24:15 → 00:24:18 สติ๊กเกอร์กว่าจะแลกรางวัลน่ะเยอะนานนิด
00:24:18 → 00:24:21 นึงใช่มั้ฮะมันถึงไปมีอายุตอนเยอะขึ้น
00:24:21 → 00:24:24 เพราะสะสมยังไม่ครบอ่ะกว่าจะสะสมครบนี่
00:24:24 → 00:24:26 คือมาแลกรางวัลก็คือตอนอายุเยอะแล้วซึ่ง
00:24:26 → 00:24:30 ไอ้ตัวสิ่งที่สะสมมาเนี่ยมาหลายที่เลยสัก
00:24:30 → 00:24:32 คร่าวก็จะเป็นเรื่องเนี่ยหลอดเลือดที่ไม่
00:24:32 → 00:24:38 ดีนะการอักเสบนะฮะจริงๆเรื่องมลภาวะ
00:24:38 → 00:24:42 ความเครียดอ่าการนอนอก็มีส่วนทำให้เกิด
00:24:42 → 00:24:45 การสะสมของขยะได้เยอะอือย่างการนอนนี่
00:24:45 → 00:24:48 เป็นตัวอย่างนึงเลยว่าเพบเลยว่าถ้านอนไม่
00:24:48 → 00:24:52 ดีเนี่ยขยะจะเอาหนูนะครับมา 2 กลุ่มนึง
00:24:52 → 00:24:55 แกล้งไม่ให้นอนอีกตัวนึงได้นอนเนี่ยกลุ่ม
00:24:55 → 00:24:58 ที่ถูกแกล้งไม่ให้ได้หลับนอนเนี่ยโอ้ขยะ
00:24:58 → 00:25:03 เพิ่มขึ้นอนะถ้าไปศึกษาตอนนอนก็จะเห็นว่า
00:25:03 → 00:25:07 ขยะเนี่ยถูกโกยไปทิ้งในตอนนอนอือืนั้น
00:25:07 → 00:25:10 จริงก็เอ่อเรื่องนี้ก็สำคัญแสดงว่ากันนอน
00:25:10 → 00:25:13 สำคัญมากสำคัญมากๆจริงๆก็มีปัญหาอยู่นะ
00:25:13 → 00:25:16 วัยทำงานอ่ะผมว่าเนี่ยถ้ายิ่งอายุ 40 อ่ะ
00:25:16 → 00:25:20 ผมว่าปัจจัยนึงเลยนะคือเรื่องนอนอืนอนนี่
00:25:20 → 00:25:24 ผมว่าเป็นสิ่งที่มีปัญหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
00:25:24 → 00:25:27 ในคนยุคปัจจุบันอืคือผมว่าอย่างหลอดเลือด
00:25:27 → 00:25:31 เนี่ยผมว่าคนส่วนนึงก็ดูแลตัวเองดีอ่ะอือ
00:25:31 → 00:25:35 ก็จะออกกำลังกายและทานอาหารที่ดีก็จะดีไป
00:25:35 → 00:25:37 แต่ว่าผมว่าเรื่องการนอนเนี่ยยังเป็นยัง
00:25:37 → 00:25:41 เป็นจุดที่พัฒนาได้เมื่อกี้หมอกี๊บอกว่า
00:25:41 → 00:25:44 ปัจจัยหลักๆที่ส่งผลต่อความแก่ของสมองมี
00:25:44 → 00:25:46 เรื่องของหลอดเลือดใช่มั้ยกับอีกอันนึง
00:25:46 → 00:25:48 ที่ดูเน้นมากคือเรื่องขยะทั้งการสร้างขยะ
00:25:48 → 00:25:50 แล้วก็กำจัดขยะซึ่งอีเนี่ยมันเกี่ยวกับ
00:25:50 → 00:25:54 การนอนถูกป่ะก็การนอนที่ดีก็จะกำจัดขยะ
00:25:54 → 00:25:57 อือได้ดีแล้วทำยังไงเราถึงจะนอนดีอ่ะการ
00:25:57 → 00:26:00 นอนดีก็ต้องเป็นการนอนที่มีคุณภาพนะครับ
00:26:00 → 00:26:03 อือฮึจริงก็ผมชอบเล่าให้ฟังว่าคนที่นอน
00:26:03 → 00:26:06 หลับอ่ะเราจะรู้สึกเหมือนกับว่าเหมือนเรา
00:26:06 → 00:26:10 พักผ่อนในอารมณ์เหมือนกับเราปิดคอมอืแต่
00:26:10 → 00:26:12 จริงๆมันไม่ใช่มันไม่ใช่เหมือนปิดคอม
00:26:12 → 00:26:15 เพราะจริงๆถ้าไปดูการทำงานของเนื้อสมองใน
00:26:15 → 00:26:18 ตอนนอนน่ะมันยังไม่ปิดอืสิ่งที่ปิดมีแค่
00:26:18 → 00:26:21 อย่างเดียวคือเราไม่รู้สึกตัวแต่จริงๆ
00:26:22 → 00:26:25 แล้วอ่ะเราไม่รู้สึกตัวตั้งหลายอย่างที่
00:26:25 → 00:26:28 สมองเราทำงานอยู่คือตลอด 24 ชั่วโมงสมอง
00:26:28 → 00:26:30 เราทำงานตลอดตลอดไม่ต่างกับหัวใจเนาะตลอด
00:26:30 → 00:26:33 ไม่ต่างกับหัวใจอืเพียงแต่ว่ามันมีช่วง
00:26:33 → 00:26:35 ที่ไม่ต้องรับข้อมูลจากข้างนอกมาแล้วนะ
00:26:35 → 00:26:38 อ่าฮะเพราะมันจะทำอย่างอื่นเออเราก็เลย
00:26:38 → 00:26:41 ไม่รู้สึกตัวแต่ไม่ได้แปลว่าเราเลิกทำงาน
00:26:41 → 00:26:43 อ่าฮะเพราะฉะนั้นจริงๆตอนนอนมันทำงานอยู่
00:26:43 → 00:26:46 สังเกตได้มีหลักฐานชัดเจนก็คือว่าถ้าเรา
00:26:46 → 00:26:50 เอาคลื่นไฟฟ้าคลื่นไปวัดคลื่นไฟฟ้าสมองใน
00:26:50 → 00:26:53 ตอนตื่นกับตอนนอนเนี่ยอืจะแตกต่างกัน
00:26:53 → 00:26:56 อย่างชัดเจนนั่นข้อที่ 1 และคลื่นไฟฟ้า
00:26:56 → 00:27:00 สมองของคนที่สมมุติว่าเป็นโรคทางสมองจน
00:27:00 → 00:27:03 กระทั่งไม่ได้สติกับคนนอนหลับเนี่ยคลื่น
00:27:03 → 00:27:07 ไฟฟ้าสมองก็ไม่เหมือนกันอือืคนที่ไปกิน
00:27:07 → 00:27:10 เหล้าเมาแล้วนอนเนี่ยคลื่นไฟฟ้าสมองจะไม่
00:27:10 → 00:27:13 เหมือนคลื่นไฟฟ้าสมองของการนอนปกติเฮ้ย
00:27:13 → 00:27:16 การนอนปกติมันมีคลื่นไฟฟ้าสมองที่เป็น
00:27:16 → 00:27:19 signนatเจอร์ของมันอือฮึแล้วยังมีลักษณะ
00:27:19 → 00:27:22 การท่วงทำนองที่เป็นท่วงทำนองคลาสสิคของ
00:27:22 → 00:27:25 มันอท่วงทำนองคลาสสิคของมันก็คือมันจะ
00:27:25 → 00:27:28 เริ่มต้นอารัมพบทจากแบบเบาๆก่อนแล้วมันก็
00:27:28 → 00:27:31 จะแบบโหมเพลงแรงขึ้นใช่มั้เป็น EP sleep
00:27:31 → 00:27:33 เสร็จแล้วมันก็จะขึ้นเอาขึ้นมาแบบเพเบา
00:27:33 → 00:27:35 แล้วมันก็ลงไปโหมไปอีกอช่วงแรกอ่ะจะต้อง
00:27:35 → 00:27:39 แบบลงลึกหน่อยช่วงหลังลงตื้นหน่อยช่วง
00:27:39 → 00:27:42 หลังจะเริ่มมีแบบตดึๆๆๆมีแบบเหมือนกับตา
00:27:42 → 00:27:45 แบบขยับๆมีช่วงเร็มแบบมาแทรกเยอะขึ้นช่วง
00:27:46 → 00:27:48 แรกเป็นแบบนอนเร็มช่วงหลังเป็นแบบเร็มัน
00:27:48 → 00:27:50 มีชนิดของมันอยู่คือเวลาเราวัดอ่ะมันจะ
00:27:50 → 00:27:53 เห็นชัดเลยเห็นชัดเลยตลอดคืนเนี่ยจะเห็น
00:27:53 → 00:27:56 ทำนอง symphony ของสมองโออยากเล่นน่ะอยาก
00:27:56 → 00:28:00 วัดเพราะว่าผมเคยเห็นมันจะมี variable
00:28:00 → 00:28:03 device แหละที่แบบเอามาใส่เหมือนกับเป็น
00:28:03 → 00:28:05 training device สำหรับฝึกฝึกการฝึกการ
00:28:05 → 00:28:08 นั่งสมาธิครับแล้วก็แบบฝึกเรื่องแบบให้
00:28:08 → 00:28:10 ลองใส่ตอนนอนอะไรเงี้ยมันก็วัดได้อย่าง
00:28:10 → 00:28:12 นั้นเลยใช่ป่ะก็วัดได้จริงๆถ้าจะละเอียด
00:28:12 → 00:28:15 เนี่ยจริงๆถ้าเราไปโรงพยาบาลแล้วเราทำ
00:28:15 → 00:28:17 เรื่อง Sleep Test นะครับเรื่องการนอน
00:28:17 → 00:28:20 เนี่ยเขาจะวัดทั้งร่างกายเลยคือเนอกจากจะ
00:28:20 → 00:28:22 วัดคลื่นไฟฟ้าสมองเนี่ยเขาจะวัดลมหายใจ
00:28:22 → 00:28:27 ที่ผ่านจมูกอืเขาจะวัดเขาจะมีสายคาดอกดู
00:28:27 → 00:28:30 ว่าการหายใจจังหวะการหายใจเป็นยังไงนะฮะ
00:28:30 → 00:28:32 เพราะว่ามันจะมีช่วงที่แบบสมมุติว่ามีการ
00:28:32 → 00:28:35 อุดกั้นเนี่ยลมไม่ออกแต่อาจจะมีแรงดันจาก
00:28:36 → 00:28:37 หน้าอกแล้วอะไรอย่างเงี้ยเพราะฉะนั้นก็จะ
00:28:37 → 00:28:40 ได้ดูได้ว่าอากาศมัน flow เป็นยังไงเอ่อ
00:28:40 → 00:28:43 สมองมันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นยังไงนึกก็จะ
00:28:43 → 00:28:46 ครบชุดกว่าแต่ว่าก็ถ้าเป็นแบบ commercial
00:28:46 → 00:28:48 product ก็อาจจะมีการวัดแค่เฉพาะบางส่วน
00:28:48 → 00:28:50 เี่ก็มีเหมือนกันความพยายามที่จะเ่อเทียบ
00:28:50 → 00:28:54 เคียงตัวสแตนารดนั้นใช่เราลองวัดได้มั้ย
00:28:54 → 00:28:57 ได้วันนี้มีการเตรียมมาให้วัดแต่ว่าเอ่อ
00:28:57 → 00:29:00 ต้องบอกก่อนว่าการวัดคลื่นไฟฟ้าสมองเนี่ย
00:29:00 → 00:29:03 กว่าจะเข้าสู่การนอนต้องนอนจริงๆนะเพราะ
00:29:03 → 00:29:06 ฉะนั้นดร.ข้าวอันนี้อาจจะต้องวัดจนหลับ
00:29:06 → 00:29:09 เลยม.แต่ว่าถึงจะไม่ยังไม่ถึงจุดนั้น
00:29:09 → 00:29:11 เนี่ยเราจะแสดงให้เห็นว่าการวัดคลื่นไฟ
00:29:11 → 00:29:13 ฟ้าสมองเนี่ยคือมันเป็นเรื่องหัศจรรย์นะ
00:29:13 → 00:29:16 ว่าสมองเรามันอยู่ในกะโหลกเราอืแล้วอยู่
00:29:16 → 00:29:19 ดีๆเราเอาไอ้ขั้วไฟฟ้าเนี่ยไปแปะอยู่ตรง
00:29:19 → 00:29:21 ผิวสมองเราคิดว่าจะไปวัดคลื่นไฟฟ้าออกมา
00:29:21 → 00:29:24 ได้จริงหรอคือคือถ้าไม่มีใครเคยทำมาก่อน
00:29:24 → 00:29:27 เนี่ยผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่แบบฮะเรา
00:29:27 → 00:29:29 โอเคแต่สมองสร้างกระแสไฟฟ้าก็เรื่องนึง
00:29:29 → 00:29:32 เอาคั้วไฟฟ้าไปแปะไว้บนผิวแล้ววัดสัญญาณ
00:29:32 → 00:29:35 ออกมาได้นี่มันเป็นเรื่องแปลกผมคิดว่า
00:29:35 → 00:29:38 สมมุติว่านักวิทยาศาสตร์สมัยก่อนมีคนนึง
00:29:38 → 00:29:40 สมมุติคิดเรื่องนี้ขึ้นมาเชื่อ
00:29:40 → 00:29:43 ฮบเบอร์เกอร์คือเป็นคนที่คิดเรื่องไอ้
00:29:43 → 00:29:46 เครื่องวัดขึ้นมาสมองเไปแปะคนแรกที่เห็น
00:29:46 → 00:29:48 น่ะเขาจะไปบอกเพื่อนว่าเฮ้ยดูดินี่สัญญาณ
00:29:48 → 00:29:51 สมองอ่ะอือเรู้ได้ไงว่านี่สัญญาณสมองอือ
00:29:51 → 00:29:53 มันต้องมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงอะไรบาง
00:29:53 → 00:29:56 อย่างที่พบในคนส่วนใหญ่อือเพราะฉะนั้น
00:29:56 → 00:29:59 เดี๋ยววันนี้เราอาจจะมาให้ดูกันว่าไอ้เวฟ
00:29:59 → 00:30:00 ที่มันเป็นในคนส่วนใหญ่เนี่ยมันมี
00:30:00 → 00:30:03 คาแรคเตอร์แบบไหนเราถึงรู้ว่าเอ้ยอันนี้
00:30:03 → 00:30:06 มันคือเวฟปกติอ้าอยากอ๋อครับเคยพูดแบบไม่
00:30:06 → 00:30:09 เคยได้ทดลองกับหัวอนี้เดี๋ยวเดี๋ยวมาลอง
00:30:10 → 00:30:13 มาลองดูสัญญาณสมองดร.ข้าวว่าเป็นยังไงมา
00:30:13 → 00:30:18 ลองดูครับขอรบกวนมาติดให้หน่อย
00:30:18 → 00:30:25 [เพลง]
00:30:25 → 00:30:28 ทุกคนตอนนี้ผมมีอุปกรณ์อะไรไม่รู้เต็มไป
00:30:28 → 00:30:32 หมดเลยติดอยู่ที่ตัวที่หัวมันคืออะไรครับ
00:30:32 → 00:30:35 หมอกิ๊กสิ่งนี้เรียกว่า EEG ครับ
00:30:35 → 00:30:39 อโตราฟyครับเป็นเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง
00:30:39 → 00:30:41 แต่เห็นว่าตอนนี้เนี่ยมันมีติดลงไปจนถึง
00:30:41 → 00:30:44 ดวงตาด้วยเราก็จะติดเรื่องของการกรอกตา
00:30:44 → 00:30:47 ด้วยตรงนั้นก็จะมีชื่อเหมือนกันชื่อ EOG
00:30:47 → 00:30:51 อืนะฮะอิเล็กโตออคโลแกรมก็คือดูเรื่องการ
00:30:51 → 00:30:54 กรอกตาเราวัดคลื่นสมองไปทำไมอ่าคลื่นไฟ
00:30:54 → 00:30:57 ฟ้าสมองเนี่ยเราวัดได้มีที่ใช้หลากหลายนะ
00:30:57 → 00:30:59 ครับในทางการแพทย์เราก็อาจจะวัดดูว่ามี
00:30:59 → 00:31:02 คลื่นไฟฟ้ารั่วหรือเปล่านะฮะอย่างเช่นโรค
00:31:02 → 00:31:05 ลมชักอ่าก็จะอาจจะมีคลื่นไฟฟ้าที่มันผิด
00:31:05 → 00:31:08 ปกติรั่วออกมานะครับแต่ในคนปกติเนี่ยเรา
00:31:08 → 00:31:11 ก็จะสามารถเอาไปศึกษาการเปลี่ยนแปลงของ
00:31:11 → 00:31:14 สมองที่เป็นปกติเช่นตอนหลับตอนตื่นครับ
00:31:14 → 00:31:16 เอาไปทำ sleep test อย่างเงี้ยก็จะมีการ
00:31:16 → 00:31:20 วัดคลื่นไฟฟ้าสมองอในทางวิจัยก็เอาคลื่น
00:31:20 → 00:31:23 ไฟฟ้าสมองมาวัดเพื่อมาดูความสัมพันธ์กับ
00:31:23 → 00:31:25 เรื่องประสิทธิภาพการทำงานสมองอือย่าง
00:31:25 → 00:31:27 เช่นว่าคลื่นไฟฟ้าสมองเนี่ยสามารถเอาไป
00:31:27 → 00:31:30 บอกได้มั้ยว่าคนกำลังเพ่งความสนใจไปที่
00:31:30 → 00:31:33 ไหนอยู่ถ้าทำได้ก็แสดงว่าในสัญญาณเนี้ย
00:31:33 → 00:31:36 มันมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องความสนใจอยู่
00:31:36 → 00:31:38 ในนั้นอะไรอย่างเงี้ยเรามักจะสัมพันธ์กับ
00:31:38 → 00:31:41 ความสนใจที่ดีกว่าปกติในทำนองนั้นแต่ตอน
00:31:41 → 00:31:43 นี้เรากำลังจะโฟกัสมาคุยกันเรื่องเกี่ยว
00:31:43 → 00:31:45 กับการนอนถูกมั้ยใช่ที่ผ่านมาเราเพิ่งคุย
00:31:45 → 00:31:48 กันว่าวิธีนึงในการที่จะดูแลสมองนี่ก็คือ
00:31:48 → 00:31:52 เรื่องการนอนนะครับซึ่งการนอนที่ดีอ่ะมัน
00:31:52 → 00:31:56 ไม่ใช่นอนไปได้กี่ชั่วโมงมันมีเรื่องตลก
00:31:56 → 00:31:58 ที่ว่าบางคนจะรู้สึกว่าโอ๊ยเรื่องนอนไม่
00:31:58 → 00:32:01 มีปัญหานอนดีนอนที่ไหนก็ได้เนี่ยนั่งแป๊บ
00:32:01 → 00:32:03 เดียวเดี๋หลับละซึ่งอันเนี้ยผมจะบอกว่า
00:32:03 → 00:32:06 ไม่ดีละอ่าถามว่าเอ้ยเข้านอนกี่โมงเข้า
00:32:06 → 00:32:09 นอน 21:00 น.ตื่นกี่โมง 7:00 น.อืเที่ยง
00:32:09 → 00:32:12 นอนมั้ยนอนนี้ไม่ดีละอะไรนอนตั้งแต่ 21:00
00:32:12 → 00:32:15 น.จนถึง 7:00 น.นี่มันกี่ชั่วโมงแล้วอ
00:32:15 → 00:32:18 ทำไมยังมีอาการง่วงนอนอยู่แสดงว่าคุณภาพ
00:32:18 → 00:32:21 การนอนอาจจะไม่ดีโอเคทีนี้พอจะบอกว่า
00:32:21 → 00:32:24 คุณภาพการนอนเป็นยังไงเนี่ยจริงๆถ้าระดับ
00:32:24 → 00:32:26 ทั่วไปเราอาจจะสังเกตว่าตื่นมาแล้วสดชื่น
00:32:26 → 00:32:29 มก็ได้แต่ถ้าจะเอาเชิงลึกเลยอ่ะเราจะต้อง
00:32:29 → 00:32:33 ไปดู symphony ของสมองในตอนนอนซึ่ง
00:32:33 → 00:32:35 symphony เนี้ยก็ดูได้จากการติดคลื่นไฟ
00:32:35 → 00:32:37 ฟ้าสมองเนี่ยครับวันนี้ก็เลยลองลองมาติด
00:32:37 → 00:32:41 ให้ดร.ข้าวมาอ่าทีนี้ตอนนี้ก็เป็นตัว
00:32:41 → 00:32:43 อย่างของการติดเนี่ยตอนนี้เซตที่เราติด
00:32:43 → 00:32:45 เนี่ยนะครับมีทั้งหมด 64 ขั้วถ้าใครอยาก
00:32:46 → 00:32:48 จะนับมันจำนวน 64 ขั้วที่อยู่บนผิวสมอง
00:32:48 → 00:32:52 เนี่ยนะครับมีชื่อต่างๆกันไปก็ถือได้ว่า
00:32:52 → 00:32:55 เหมือนกับไปวัดค่าต่างๆมาจากสมองบริเวณ
00:32:55 → 00:32:58 แตกต่างกันนะครับซึ่งสมองบริเวณแตกต่าง
00:32:58 → 00:33:01 กันก็จะมีการรับสัญญาณจากการทำงานที่ไม่
00:33:01 → 00:33:04 เหมือนกันนะครับเพราะฉะนั้นตัวคลื่นที่
00:33:04 → 00:33:06 ออกมาก็จะไม่เหมือนกันอืทีนี้ความยากของ
00:33:07 → 00:33:09 ตัวการอ่านคลื่นไฟฟ้าเนี่ยเนี่ยคือเราจะ
00:33:09 → 00:33:12 รู้ได้ไงว่าคลื่นเนี้ยมันเป็นคลื่นที่ใช้
00:33:12 → 00:33:16 ได้แล้วใช่มั้ฮะกันที่ 2 คือแล้วมันนอก
00:33:16 → 00:33:18 จากสมองเนี่ยมันไม่วัดอย่างอื่นด้วยเหรอ
00:33:18 → 00:33:21 ที่มันอยู่แวดล้อมมันก็จะมีกระบวนการใน
00:33:21 → 00:33:23 การที่ต้องเอาสัญญาณเนี่ยไปปรุงก่อนไม่
00:33:23 → 00:33:26 สามารถเอาสัญญาณดิบไปใช้ได้เลยนะครับแต่
00:33:26 → 00:33:28 วันนี้เนี่ยเราอาจจะมาให้ดูว่าสมมุติว่า
00:33:28 → 00:33:31 เราจินตนาการว่าเราเป็นมนุษย์คนแรกที่คิด
00:33:31 → 00:33:34 ค้นจะทำสิ่งนี้ขึ้นมาเราดูไปบนคลื่นไฟฟ้า
00:33:34 → 00:33:37 หยึกๆที่อยู่บนหน้าจอเนี่ยเรารู้ได้มั้
00:33:37 → 00:33:40 ว่าเฮ้ยนี้แหละคลื่นไฟฟ้าสมองนะครับ
00:33:40 → 00:33:42 อันดับแรกที่เขาให้สังเกตเนี่ยนะครับก็
00:33:42 → 00:33:47 คือว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงตามการท่าทาง
00:33:47 → 00:33:49 และการทำงานของเรานะครับอันนี้ก็ยกตัว
00:33:49 → 00:33:52 อย่างนะครับอันนี้เป็นอุยแป๊บนึงนะทุกคน
00:33:52 → 00:33:55 ไม่เห็นหน้าจอตนี้คือพอผมขยับตัวปุ๊บอ่ะ
00:33:55 → 00:33:57 คลื่นมันแบบเปลี่ยนเลยเปลี่ยนเลเทปไปหมด
00:33:57 → 00:33:59 เลยอ่ะผมต้องนั่งผมต้องนั่งเฉยๆเลยใช่มั้
00:33:59 → 00:34:02 ใช่ใช่คือจริงๆมันคือขั้วไฟฟ้าธรรมดาครับ
00:34:02 → 00:34:05 ถ้าเราเอาเอาขั้วมันมาสะบัดอ่ะสัญญาณมัน
00:34:05 → 00:34:07 ก็เปลี่ยนถูกมั้ยฮะเพราะฉะนั้นเออแต่วิธี
00:34:07 → 00:34:10 นึงในการที่จะบอกได้ว่าสัญญาณนี้มาจาก
00:34:10 → 00:34:12 สมองหรือเปล่าเนี่ยเขาจะใช้วิธีการดูอยู่
00:34:12 → 00:34:16 ในช่วงความถี่ที่เขาสนใจเท่านั้นเขาก็จะ
00:34:16 → 00:34:18 มีข้อสังเกตว่าเอ้ยถ้าเป็นสมองจริงๆเนี่ย
00:34:18 → 00:34:21 มันช้ากว่านี้ไม่ได้มันเร็วกว่านี้ไม่ได้
00:34:21 → 00:34:23 นั้นก็จะมีการกรองความถี่เนี่ยให้อยู่ใน
00:34:24 → 00:34:27 ช่วงที่เราสนใจนะครับหลังจากนั้นเนี่ยเรา
00:34:27 → 00:34:28 ก็จะมาดูว่าในแต่ละตำแหน่งเนี่ยมันมีการ
00:34:28 → 00:34:30 เปลี่ยนแปลงแบบที่ควรจะเป็นหรือเปล่า
00:34:30 → 00:34:32 อย่างถ้าดูหน้าจอตอนนี้เนี่ยจะเห็นว่ามี
00:34:32 → 00:34:35 อย่างน้อย 2 เส้นเนี่ยที่มีภูเขาลูกใหญ่
00:34:35 → 00:34:37 นะครับเปลี่ยนแปลงเป็นระยะนะครับเปลี่ยน
00:34:37 → 00:34:40 แปลงใหญ่มากนะฮะซึ่งถ้าเกิดลากมาดูตรง
00:34:40 → 00:34:43 ด้านซ้ายเนี่ยก็จะเห็นว่ามันตรงกับขั้วไฟ
00:34:43 → 00:34:46 ฟ้าที่ชื่อเนี่ยบอกตำแหน่งว่าอยู่ทางด้าน
00:34:46 → 00:34:50 หน้าใช่แล้วนะฮะซึ่งคลื่นเนี้ยเป็นคลื่น
00:34:50 → 00:34:52 ที่ต้องเห็นในทุกๆคนเพราะมันเป็นการ
00:34:52 → 00:34:55 เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง
00:34:55 → 00:34:59 ตำแหน่งของดวงตาอืเช่นถ้าเราหลับตาลืมตา
00:34:59 → 00:35:03 มองซ้ายมองขวามันก็จะเปลี่ยนแปลงด้วยอ่า
00:35:03 → 00:35:06 ทีนี้ก็อยากให้เข้าลองดูก็คือไหนลอง
00:35:06 → 00:35:07 กระพริบตา
00:35:07 → 00:35:10 3 ครั้งติดกันสิครับอ่านี่เราก็จะเห็น
00:35:10 → 00:35:13 เวฟมา 3 ครั้งติดกันเลยอ่าเป็นภูเขา 3
00:35:13 → 00:35:16 ลูกตึเป็นภูเขา 3 ลูกติดกันถูกต้องครับที
00:35:16 → 00:35:19 นี้ถ้ามองซ้ายมองขวาอ่าเราก็จะเห็นการ
00:35:19 → 00:35:20 เปลี่ยนแปลงเหมือนกันแต่หน้าตาไม่เหมือน
00:35:21 → 00:35:24 เดิมอ่าเห็นมั้ฮะซ้ายขวาสลับกันปึ๊บๆเออ
00:35:24 → 00:35:26 อยากรู้ว่าภูเขามันจะลูกเดียวกันมั้ยฮะ
00:35:26 → 00:35:29 ไม่เหมือนกันจริงอ่าเพราะว่าเออไม่เหมือน
00:35:29 → 00:35:32 กันดวงตาของเรามันมีขั้วไฟฟ้าอยู่นะครับ
00:35:32 → 00:35:35 ไอ้ตรงกระจกตาของเราเป็นขั้วบวกเวลาเรา
00:35:35 → 00:35:37 หลับตาเนี่ยขั้วขั้วบวกมันจะกรอกขึ้นมัน
00:35:37 → 00:35:39 ก็จะหันขั้วบวกเข้าหาขั้วไฟฟ้ามันก็จะมี
00:35:39 → 00:35:41 การเปลี่ยนแปลงสัญญาณเราสามารถบอกได้เลย
00:35:41 → 00:35:44 ว่าตำแหน่งดวงตาเป็นแบบไหนจากตัวคลื่นไฟ
00:35:44 → 00:35:47 ฟ้านี้ออแบบผมแบบมองบนงี้มันก็จะเป็นมอง
00:35:47 → 00:35:49 บนบอกได้สมมติพูดผมพูดไปแล้วแบบเฮ้ยทำไม
00:35:49 → 00:35:52 คลื่นไฟฟ้าแบบนี้ดร.ข้าวมองบนใส่ผมอย่าง
00:35:52 → 00:35:56 งี้ก็จะบอกได้ใช่สามารถบอกได้อ่าทีนี้อีก
00:35:56 → 00:35:58 อย่างนึงที่ผมว่าจะค่อนข้างเห็นชัดนะครับ
00:35:58 → 00:36:02 จะเห็นว่าแต่ละเส้นเนี่ยมันมีความเป็นป่า
00:36:02 → 00:36:05 ไม่เท่ากันนะจะเห็นว่ามีคลื่นความถี่แบบ
00:36:05 → 00:36:07 เร็วกับคลื่นความถี่แบบช้าด้านหน้าเนี่ย
00:36:07 → 00:36:09 จะมีไอ้ตัวคลื่นสูงเนี่ยที่เปลี่ยนแปลง
00:36:09 → 00:36:11 นานๆครั้งแต่ว่าจะเห็นบางจุดเนี่ยมีการ
00:36:11 → 00:36:14 เปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างเร็วเป็นแบบอ่า
00:36:14 → 00:36:17 เป็นเหมือนกับเป็นเป็นอะไรดีกว่าเป็นหญ้า
00:36:17 → 00:36:19 สนามหญ้าเหมือนสนามหญ้านะครับซึ่ง
00:36:19 → 00:36:21 อันเนี้ยถ้านับจำนวนคลื่นที่อยู่ในช่วง
00:36:21 → 00:36:24 เวลา 1 วินาทีก็จะเปลี่ยนแปลงเร็วมากนะฮะ
00:36:24 → 00:36:26 เรียกว่าเป็น Fast Frequency ซึ่งเป็น
00:36:26 → 00:36:29 ที่มาของการที่นักวิทยาศาสตร์ก็พยายามจะ
00:36:29 → 00:36:31 แบ่งกลุ่มของตัวคลื่นเนี่ยออกมาเป็นช่วง
00:36:31 → 00:36:35 ของความถี่นะครับก็มีคลื่นความถี่แบบที่
00:36:35 → 00:36:38 เร็วนะครับเอมากกว่า 13 ครั้งต่อวินาที
00:36:38 → 00:36:41 ถือว่าเร็วเรียกว่าเบต้านะครับกับช้ามากๆ
00:36:41 → 00:36:44 ที่แบบเปลี่ยนแค่แบบ 2-4 ครั้งเรียกว่า
00:36:44 → 00:36:46 delต้าอย่างี้เป็นต้นแล้วก็มีอยู่ตรงกลาง
00:36:46 → 00:36:49 นะครับนี้ตัวที่มันเป็นคลื่นความถี่ที่
00:36:49 → 00:36:50 เร็วมากๆเนี่ยจริงๆนี่มันเร็วเร็วยิ่ง
00:36:50 → 00:36:52 กว่าเบต้าอีกนะถ้าวัดไปเนี่ยผมดูแล้ว
00:36:52 → 00:36:55 เนี่ยน่าจะแบบเร็วจัดเลยนะครับถ้าเร็ว
00:36:55 → 00:36:58 ขนาดนี้เนี่ยมันมักจะบอกแล้วว่ามันไม่น่า
00:36:58 → 00:37:01 จะเกิดจากสัญญาณสมองเพราะว่าสัญญาณสมอง
00:37:01 → 00:37:03 นี่จริงๆมันเร็วได้แต่ว่ากว่าจะผ่าน
00:37:03 → 00:37:06 กะโหลกขึ้นมาเนี่ยมันมักจะช้าลงตรงนี้น่า
00:37:06 → 00:37:08 จะเป็นกล้ามเนื้อเพราะว่ากะโหลกของเรา
00:37:08 → 00:37:11 เนี่ยมันมีส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อด้วยโดย
00:37:11 → 00:37:14 เฉพาะกล้ามเนื้อการกัดนั้นก็เราลองกัดฟัน
00:37:14 → 00:37:17 ถ้ากัดฟันปุ๊บมาเลยนี่ความถี่ก็จะเร็วมาก
00:37:17 → 00:37:20 ถ้าเราปล่อยปึ๊บอ้าเอ้ยไม่เหมือนกันเลย
00:37:20 → 00:37:23 อ่ะไม่เหมือนเลยนะฮะลองกัดฟันอ่าเนี่ย
00:37:23 → 00:37:26 ครับก็จะมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด
00:37:26 → 00:37:30 อยู่ตรงขั้วไฟฟ้าที่บริเวณที่อยู่กับตัว
00:37:30 → 00:37:32 กล้ามเนื้อเนี่ยก็จะเห็นว่าเราก็สามารถดู
00:37:32 → 00:37:35 ได้เลยว่ากัดฟันไม่กัดฟันนะครับหลับตาลืม
00:37:35 → 00:37:37 ตาทีนี้สิ่งที่น่าสนใจมากๆเลยที่นัก
00:37:37 → 00:37:41 วิทยาศาสตร์เขาเจอเนี่ยคือถ้าให้ดร.ข้าว
00:37:41 → 00:37:45 หลับตานะครับอืหลับตาหลับตาปุ๊บเนี่ยจะ
00:37:45 → 00:37:48 เห็นว่าจะมีคลื่นชนิดใหม่เนี่ยเกิดขึ้นมา
00:37:48 → 00:37:52 ตรงบริเวณขั้วไฟฟ้าที่ตรงกับตัว O นะครับ
00:37:52 → 00:37:55 ซึ่งบ่งว่าอยู่ด้านหลังของสมองนะครับซึ่ง
00:37:55 → 00:37:59 ตัว O ที่เป็นความถี่เนี่ยมีการขึ้นลง
00:37:59 → 00:38:03 ขึ้นลงเป็นระยะด้วยนะครับยิ่งถ้าเกิดเรา
00:38:03 → 00:38:06 สามารถปิดความสนใจของเราออกจากโลกภายนอก
00:38:06 → 00:38:08 ได้เท่าไหร่เนี่ยคลื่นตรงนี้ก็จะสูงมาก
00:38:08 → 00:38:11 ขึ้นนะครับพอลืมตาปั๊บ
00:38:11 → 00:38:15 คลื่นก็กลับไปเตี้ยอีกพอหลับตาปุ๊บสูง
00:38:15 → 00:38:19 ขึ้นเลยอืนะฮะตัวนี้เนี่ยมันเป็นสัญญาณ
00:38:19 → 00:38:22 ถ้านับจำนวนไอ้ตัวลูกภูเขาเนี่ยโหซึ่งโห
00:38:22 → 00:38:26 สวยงามมากนะครับจะได้ประมาณ 8-13 ครั้ง
00:38:26 → 00:38:29 ต่อวินาทีสิ่งนี้เรียกว่าalฟ่าตอนที่
00:38:29 → 00:38:32 ฮบเกอร์คนที่คิดค้นไอ้ตัวการวัดเนี่ยก็
00:38:32 → 00:38:35 ได้บรรยายสิ่งนี้ไว้แล้วตั้งชื่อว่า
00:38:35 → 00:38:38 จังหวะทรง A นะครับจังหวะทรง A ก็คือ
00:38:38 → 00:38:43 Alpha RHึอ๋อเอ้alฟ่าก็คือกไก่อ่ะเออrึม
00:38:43 → 00:38:47 ก็คือจังหวะครับจังหวะแรกที่เขาค้นพบก็
00:38:47 → 00:38:50 เป็นตัวอักษร A เเรียกว่าเป็น Alpha Rึม
00:38:50 → 00:38:53 ซึ่งเป็นที่มาว่าทำไมมันอยู่ที่ 8-13
00:38:53 → 00:38:57 โอเคเพื่ออธิบายให้คนดูค่อยๆตามก่อนคือ
00:38:57 → 00:39:00 สมองมันทำงานเป็นมันใช้ไฟฟ้าในการทำงาน
00:39:00 → 00:39:03 ถูกมแล้วอีเนี่ยมันก็คือวัดความแคtiveของ
00:39:03 → 00:39:07 สมองแต่ละจุดใช่ป่ะครับซ่ามันเป็นคืนเป็น
00:39:07 → 00:39:11 หญ้าที่มันแบบอยู่กันถี่มากๆอืคือสมองมัน
00:39:11 → 00:39:14 ก็จริงๆมัน active active หมดแต่ว่าการ
00:39:14 → 00:39:16 ทำงานร่วมกันเนี่ยมันจะมีการเหมือนกับการ
00:39:17 → 00:39:19 ที่มันเห็นเป็นคลื่นที่มันซ้ำๆเนี่ยเป็น
00:39:19 → 00:39:22 เพราะว่ามันมันฟอร์มตัวกันเป็นวงจรออือ
00:39:22 → 00:39:26 ซึ่งบางวงจรเนี่ยมันฟอร์มตัวกันใกล้ๆ
00:39:26 → 00:39:29 เพราะฉะนั้นวงนึงมันจะกลับมาเร็วบางวงจร
00:39:29 → 00:39:31 มันฟอร์มตัวกันแบบไกลๆอือฮึเพราะฉะนั้นวง
00:39:31 → 00:39:34 จรนึงกว่าจะกลับมามันช้าอ่าเพราะฉะนั้น
00:39:34 → 00:39:38 เนี่ยมันบ่งถึงว่ามันเป็นการร่วมมือกัน
00:39:38 → 00:39:42 ของกลุ่มประชากรนิวรอนเซลล์สมองอ่ะที่
00:39:42 → 00:39:45 อยู่บริเวณไหนและรวมตัวกันอย่างใกล้ๆหรือ
00:39:45 → 00:39:49 ว่ารวมคุยกันไกลๆทีนี้ปกติเนี่ยถ้ามัน
00:39:49 → 00:39:52 เป็นการตื่นเนี่ยมันมักจะคุยกันแบบใกล้ๆ
00:39:52 → 00:39:55 อือฮึเพราะว่ามันจะได้ไม่ต้องไปรบกวน
00:39:55 → 00:39:57 ตำแหน่งต่างๆตำแหน่งต่างๆก็ทำหน้าที่ของ
00:39:57 → 00:39:59 เขาไปตำแหน่งนี้จะเรื่องการได้ยินตำแหน่ง
00:39:59 → 00:40:01 นี้จะเรื่องการมองเห็นตำแหน่งนี้เรื่อง
00:40:01 → 00:40:04 การตัดสินใจก็ทำงานต่างคนต่างกันทำไป
00:40:04 → 00:40:06 เพราะฉะนั้นก็จะคุยกันถ้าเป็นในออฟฟิศก็
00:40:06 → 00:40:09 คือคุยกันในในทีมดูวุ่นวายอ่าดูวุ่นวาย
00:40:09 → 00:40:12 ใช่ดูวุ่นวายแต่พอหลับปั๊บทั้งประชากรน่ะ
00:40:12 → 00:40:16 จะทำเป็นจังหวะประชากรที่พร้อมเพียงกันอื
00:40:16 → 00:40:19 เพราะมันเปลี่ยนไปเป็นทั้งออฟฟิศเนี่ยมี
00:40:19 → 00:40:22 คดักเตอร์คนเดียวที่ที่คอยควบคุมเ้าอยู่
00:40:22 → 00:40:25 เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงของการทำงานดู
00:40:25 → 00:40:28 จากคลื่นเนี่ยว่าคลื่นมันเร็วหรือมันช้า
00:40:28 → 00:40:30 มันเกิดขึ้นเฉพาะตำแหน่งอย่างกรณีนี้
00:40:30 → 00:40:31 alฟ่าเนี่ยมันเกิดขึ้นเฉพาะในสมองบาง
00:40:32 → 00:40:34 ตำแหน่งเห็นมั้ฮะแต่ถ้าเกิดตอนนอนเนี่ย
00:40:34 → 00:40:38 มันจะเกิดการลุกฮือคลื่นจะช้าลงเป็น
00:40:38 → 00:40:40 จังหวะสอดประสานกันมากขึ้นและเกิดขึ้น
00:40:40 → 00:40:43 ทั่วสมองอือฮึเพราะฉะนั้นตำแหน่งก็จะเห็น
00:40:43 → 00:40:46 ได้เลยว่าโอเนี่ยช่วงทำนองของการทำงาน
00:40:46 → 00:40:48 เนี่ยมันมันเปลี่ยนไปแล้วก็คือดูอันเนี้ย
00:40:48 → 00:40:51 รู้เลยว่าตอนเนี้สมองเราอยู่ในสภาวะที่
00:40:51 → 00:40:54 ใช้งานหนักหรือว่าผ่อนคลายแบบว่าสกอสage
00:40:54 → 00:40:56 สageมันอยู่ในช่วงที่มันทำงานร่วมกันหรือ
00:40:56 → 00:40:59 ว่ามันทำงานต่างคนต่างทำงานวุ่นวายอย่าง
00:40:59 → 00:41:02 งั้นถูกต้องครับอโอเคช่วงความฝันเนี่ยก็
00:41:02 → 00:41:04 จะมีลักษณะที่วุ่นวายคล้ายๆช่วงตอนตื่น
00:41:04 → 00:41:06 อือแต่ว่าร่างกายจะไม่ขยับตัวอะไรอย่าง
00:41:06 → 00:41:09 เงี้ยเพราะนั้นก็จะมีการแบบเอ่อแบ่งแยก
00:41:09 → 00:41:11 ประเภทของคลื่นไฟฟ้าสมองว่านี่เป็นช่วง
00:41:11 → 00:41:15 ที่กำลังอยู่ในช่วงความฝันหรือว่าเรมเรม
00:41:15 → 00:41:17 sleep อย่างเงี้ยนะครับก็จะมีลักษณะที่
00:41:17 → 00:41:19 คล้ายๆตอนตื่นแต่ว่าตาก็จะกรอกไปมาเพราะ
00:41:19 → 00:41:21 ฉะนั้นแล้วถ้าข้าวก็จะเห็นว่าไอ้สัญญาณตา
00:41:21 → 00:41:23 เนี่ยกรอกไปกรอกมาอย่างเร็วเลยไอ้ที่เรา
00:41:23 → 00:41:25 มองเห็นเหมือนหลับตาลืมตาเนี่ยมันกรอก
00:41:25 → 00:41:27 อย่างเร็วในขณะที่ตัวคลื่นไฟฟ้าสมองอื่น
00:41:27 → 00:41:28 ก็เฮ้ยเหมือนมันเหมือนมันตื่นอยู่อย่าง
00:41:29 → 00:41:31 เงี้ยนะครับอแต่ในขณะที่ถ้าเป็นช่วงนอน
00:41:31 → 00:41:34 หลับลึกเนี่ยก็จะไม่เห็นการกรอกตาแต่จะ
00:41:34 → 00:41:37 เห็นการหลุกฮือของสมองไว้จังหวะแล้วอย่าง
00:41:37 → 00:41:40 งี้ถ้าเราอยากจะให้คุณภาพการนอนของเรามัน
00:41:40 → 00:41:44 ดีมันมีวิธีในการทำอะไรได้มั้ยรูทีในการ
00:41:44 → 00:41:46 นอนที่มันจะช่วยแล้วมันสามารถจะวัดได้เลย
00:41:46 → 00:41:48 มั้ยใช่คือจะเห็นว่าการนอนเนี่ยมันการ
00:41:48 → 00:41:51 เปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของสมองซึ่งร่าง
00:41:51 → 00:41:53 กายเนี่ยที่มันเกิดอย่างนี้ได้เนี่ยเป็น
00:41:53 → 00:41:56 เพราะว่ามันมีrึมของมันจริงๆมันมีrึมที่
00:41:56 → 00:42:00 เป็นเอ่อนาฬิกากลางด้วยนะครับคือการ
00:42:00 → 00:42:03 เปลี่ยนจากตอนหลับกับตอนตื่นเนี่ยอันดับ
00:42:03 → 00:42:05 แรกก่อนเลยต้องบอกว่าในตอนที่เราไม่รู้
00:42:05 → 00:42:07 สึกตัวเนี่ยตกลงว่าสมองเราทำงานอยู่นะ
00:42:07 → 00:42:09 เพราะจะเห็นว่าสมองเราไม่เหมือนกับตอนที่
00:42:09 → 00:42:11 เราเป็นโคม่าหรือว่าไม่เหมือนกับตอนที่
00:42:11 → 00:42:13 เราตายแล้วนะมันมีการทำงานทำงานมากด้วย
00:42:13 → 00:42:16 ความจริงการใช้งานทำงานมากด้วยงั้นการที่
00:42:16 → 00:42:19 มันเปลี่ยนโหมดจากการที่ตื่นไปหลับตื่นไป
00:42:19 → 00:42:22 หลับเนี่ยมันมีคนที่คอยสับสวิตช์ว่าถึง
00:42:22 → 00:42:24 เวลาต้องนอนถึงเวลานั้นต้องตื่นนะครับ
00:42:24 → 00:42:26 ซึ่งเซลล์นั้นมันเป็นเซลล์ที่อยู่ในสมอง
00:42:26 → 00:42:29 นี่แหละนะครับทำหน้าที่เหมือนเป็นนาฬิกา
00:42:29 → 00:42:32 เรียกว่า circan rตึมนะครับงั้นcircึม
00:42:32 → 00:42:34 เนี่ยต้องการความสม่ำเสมอนั้นถ้าเกิดจะ
00:42:34 → 00:42:37 ให้ดีที่สุดเนี่ยเนี่ยเราควรจะมีสุขนิสัย
00:42:37 → 00:42:40 ในการเข้านอนที่เป็นประจำสม่ำเสมอเหมือน
00:42:40 → 00:42:42 เซ็ตร่างกายไว้ผมว่าหลายๆคนก็คงจะรู้สึก
00:42:43 → 00:42:45 ได้ว่าบางวันไม่ได้เซ็ตนาฬิกาปลุกเราตื่น
00:42:45 → 00:42:48 เองเวลาเดิมทำไมเราถึงตื่นเวลาเดิมทำไม
00:42:48 → 00:42:50 เราถึงง่วงเวลาเดิมเพราะว่าร่างกายมันมี
00:42:50 → 00:42:54 ไซเคิลของมันอยู่อืงั้นการที่เข้านอนแล้ว
00:42:54 → 00:42:57 ก็ตื่นเป็นเวลาทำแบบเดิมทุกครั้งก็จะดี
00:42:57 → 00:43:00 นอกจากนั้นก็พยายามตัดเตรียมร่างกายให้
00:43:00 → 00:43:03 สภาพทางกายเหมาะกับการนอนนะครับเขาน้ำให้
00:43:03 → 00:43:06 เรียบร้อยอย่าไปกินอาหารตอนใกล้ๆนะครับ
00:43:06 → 00:43:08 อย่าไปออกกำลังกายเพื่อทำให้ร่างกายมัน
00:43:08 → 00:43:10 เหมือนตื่นตัวเกินไปใช่มั้ฮะแล้วก็
00:43:10 → 00:43:13 อุณหภูมิต้องเหมาะสมเค้าก็ว่าอุณหภูมิ
00:43:13 → 00:43:16 ต้องต่ำเพียงพอเปิดแอร์เย็นฉ่ำนะฮะแล้วก็
00:43:17 → 00:43:20 ลดสิ่งรบกวนซึ่งก็คือพวกแสงพวกเสียงนะ
00:43:20 → 00:43:23 ครับโทรศัพท์ต้องอยู่ไกลๆตัวว่าให้ปิดไว้
00:43:23 → 00:43:26 แบบ 2 ช่โมงก่อนหน้าเข้าห้องนอนอะไรเงี้ย
00:43:26 → 00:43:29 แล้วก็เรื่องของ mental ก็คือพยายามชะ
00:43:29 → 00:43:31 ล้างให้ไม่คิดเรื่องงานตอนใกล้นอนเพราะ
00:43:31 → 00:43:33 ว่าไม่งั้นมันจะไม่ได้นอนอย่างแท้จริง
00:43:33 → 00:43:35 อะไรเงี้เมื่อกี้สิ่งที่เรียนรู้อย่างนึง
00:43:35 → 00:43:39 คือพอปิดตาปึ๊บมันก็จะเห็นชัดเจนว่าสัญญา
00:43:39 → 00:43:42 เปลี่ยนเลยใช่เปลี่ยนเลยใช่ป่ะใช่ถาม
00:43:42 → 00:43:45 อย่างนึงสุดท้ายแล้วคือทุกวันเนี้ยพยายาม
00:43:45 → 00:43:48 ฝึกตัวเองเพราะว่ารู้สึกว่าปีเนี้ยเป็นปี
00:43:48 → 00:43:51 ที่ค่าจะใส่ใจเรื่องการนอนมากขึ้นพยายาม
00:43:51 → 00:43:53 ฝึกว่าฝึกรูทีนก่อนนอน่ะแล้วสิ่งที่
00:43:53 → 00:43:57 พยายามฝึกอยู่คือฝึกการหายใจก่อนที่จะนอน
00:43:57 → 00:43:58 คล้ายๆอารมณ์นั่งสมาธิแต่ว่าเป็น
00:43:58 → 00:44:00 breathing exercise อมันจะเห็นมยถ้า
00:44:01 → 00:44:03 สมมุติว่าเราทำตัวให้มันรีxอ่ะข้าวจะเห็น
00:44:03 → 00:44:05 alpha wave อ่ะขึ้นมาชัดเลยป่ะเห็นได้
00:44:05 → 00:44:07 มั้คือ Alpha Wave ก็จะเห็นชัดเวลาที่
00:44:07 → 00:44:09 เราได้พักผ่อนใช่เพราะว่า Alpha Wave
00:44:09 → 00:44:11 เนี่ยเป็นตัวนึงที่เปลี่ยนแปลงตามอ่า
00:44:11 → 00:44:14 สรีระวิทยาการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายจริงๆ
00:44:14 → 00:44:17 ถ้าเราเพ่งความสนใจไปที่ข้างนึงเช่นเพ่ง
00:44:17 → 00:44:20 เพ่งความสนใจไปที่โลกข้างซ้ายไอ้ Alpha
00:44:20 → 00:44:23 Wave ของสมองด้านขวาเนี่ยจะหดเล็กลง
00:44:23 → 00:44:25 เพราะมันทำงานเยอะใช่มั้ฮะมันทำงานเยอะ
00:44:25 → 00:44:28 ถูกกวนในขณะที่ข้างที่ไม่ได้เพ่งความสนใจ
00:44:28 → 00:44:30 มันจะหลุกฮือขึ้นคือมันแม้กระทั่งการ
00:44:30 → 00:44:32 เปลี่ยนว่าตำแหน่งของความสนใจเราไปอยู่
00:44:32 → 00:44:35 ตรงไหนก็มีผลต่อ alpha wave ได้อืงั้น
00:44:35 → 00:44:38 ถ้าเราพยายามเพ่งไปที่ความรู้สึกภายใน
00:44:38 → 00:44:41 เหมือนเราตัดโลกภายนอกออกได้เนี่ย alpha
00:44:41 → 00:44:43 มันก็จะยิ่งชัดขึ้นครับคนก็เชื่อ alpha
00:44:44 → 00:44:46 เนี่ยมันเป็นสัญญาณของการที่เราไม่ได้ถูก
00:44:46 → 00:44:50 รบกวนจากโลกภายนอกมากเท่ากับตอนที่ alpha
00:44:50 → 00:44:52 มันทำงานเยอะอะไรเงี้ยซึ่งถ้าเกิดว่าเรา
00:44:53 → 00:44:55 ช่วงเวลาที่เราก่อนจะนอนสักครึ่งชั่วโมง 1
00:44:55 → 00:44:58 ชั่วโมงเลือกทำกิจกรรมที่มันจะทำให้ร่าง
00:44:58 → 00:45:01 กายเราแหละแล้วก็เป็นalฟเนี่ยจะช่วยให้
00:45:01 → 00:45:03 เราหลับมีคุณภาพมากขึ้นป่ะเพราะทำให้มัน
00:45:03 → 00:45:05 เป็นเหมือนกับเป็นดัชนีตัวนึงที่บอกว่า
00:45:06 → 00:45:09 เออสมองเราอยู่ในภาวะที่เอ่อไม่วุ่นวาย
00:45:09 → 00:45:13 มากนักอืครับก็จะช่วยให้หลับได้เร็วขึ้น
00:45:13 → 00:45:16 ซึ่งราแบบนั้นก็ทำให้สมองเราแก่ช้าลงใช่
00:45:16 → 00:45:18 เพราะว่าการนอนที่ดีก็จะทำให้มันมีผลทั้ง
00:45:18 → 00:45:21 ระยะสั้นก็คือพรุ่งนี้ตื่นมาสดชื่นใครพูด
00:45:21 → 00:45:24 อะไรจำได้อันนี้ระยะสั้นระยะกลางๆก็คือ
00:45:24 → 00:45:26 ว่าไอ้ความทรงจำที่มาตอนอีตอนกลางวัน
00:45:27 → 00:45:28 เนี่ยถ้านอนแล้วมันจะถูกเปลี่ยนเป็นความ
00:45:28 → 00:45:30 ทรงจำระยะยาวเพราะฉะนั้นไอ้ความทรงจำมัน
00:45:30 → 00:45:33 ก็อยู่นานขึ้นนี่ระยะกลางอืออือในระยะยาว
00:45:33 → 00:45:37 ก็คือทำให้ขยะมันถูกกวาดทิ้งไปนั้นผลระยะ
00:45:37 → 00:45:40 ยาวของการเป็นสมองเสื่อมก็จะลดลงอืแล้ว
00:45:40 → 00:45:43 มันมีผลทั้งสั้นกลางยาวคนชอบคิดว่าเอ้ย
00:45:43 → 00:45:45 เดี๋วันนี้ไม่นอนแล้วพรุ่งนี้ก็ค่อยไปใช้
00:45:45 → 00:45:47 คืนใช้หนี้อืออันนี้แสดงว่าเข้าใจว่าการ
00:45:48 → 00:45:50 นอนมีผลแค่เฉพาะระยะสั้นจริงๆมันไม่ใช่
00:45:50 → 00:45:54 มันมีผลระยะกลางระยะยาวด้วยอืโอเคครับผม
00:45:54 → 00:45:56 วันนี้สนุกมากนี่เหมือนกับว่าฝันที่เป็น
00:45:56 → 00:46:00 จริงอ่ะเรียนมาฝันถึงเรื่องนี้คืออยากใส่
00:46:00 → 00:46:03 มาตั้งแต่ตอนที่เรียนมหาลัย
00:46:03 → 00:46:08 อ๋อใส่โอกาสได้ใส่ขอบคุณมากครับเดี๋มอบรถ
00:46:08 → 00:46:10 เข็นให้
00:46:10 → 00:46:13 สุดท้ายครับในฐานะที่เป็นทั้งหมอแล้วก็
00:46:13 → 00:46:16 เป็นนักวิจัยด้านสมองอะไรเงี้ยหมอกิ๊ก
00:46:16 → 00:46:20 อยากจะฝากอะไรถึงคนดูเพื่อให้เขาดูแลสมอง
00:46:20 → 00:46:23 แล้วก็ให้สมองแก่ช้าลงครับก็ผมว่าสั้นๆ
00:46:23 → 00:46:26 เลยก็คือว่าการที่เราจะดูแลสมองให้แก่ช้า
00:46:26 → 00:46:28 เนี่ยคุณจะเริ่มให้เร็วที่สุดเท่าที่จะ
00:46:28 → 00:46:30 เป็นไปได้นะครับแล้วก็นอกเหนือจากการที่
00:46:30 → 00:46:32 ดูแลเรื่องสุขภาพโดยทั่วไปสุขภาพหลอด
00:46:32 → 00:46:35 เลือดอะไรอย่างที่ว่าเนี่ยถ้าพูดถึงสมอง
00:46:35 → 00:46:37 เป็นพิเศษเนี่ยก็น่าจะมีเรื่องของการนอน
00:46:37 → 00:46:41 นะครับก็การนอนให้มีคุณภาพทั้งปริมาณและ
00:46:41 → 00:46:44 คุณภาพที่ดีนี่สำคัญมากอันที่ 2 ก็คือ
00:46:44 → 00:46:46 เรื่องของการออกกำลังกายและการควบคุม
00:46:46 → 00:46:48 เรื่องสุขภาพหลอดเลือดให้เหมือนสูบฉีดได้
00:46:48 → 00:46:50 ดีนะครับนั้นก็จะรวมถึงเรื่องของการออก
00:46:50 → 00:46:53 กำลังกายเรื่องการกินอาหารให้ดีแล้วก็สุด
00:46:53 → 00:46:55 ท้ายก็คงเป็นเรื่องของการพยายามทำให้ความ
00:46:55 → 00:46:58 เครียดการจัดการกับความเครียดหรือว่า
00:46:58 → 00:47:01 เรื่องของของstrสเพราะมันจะมีผลต่อเรื่อง
00:47:01 → 00:47:04 สุขภาพการนอนก็ดีหรือว่ามีผลโดยตรงต่อ
00:47:04 → 00:47:08 เรื่องสมองด้วยนะครับก็คงฝากไว้เท่า
00:47:08 → 00:47:10 นี้
00:47:10 → 00:47:13 Top The Standard Podcast I open
00:47:13 → 00:47:16 it for your ears