00:00:00 → 00:00:02 มันจะมีธาตุเด่นอยู่ธาตุนึงเสมอเลยไอ้คนเ
00:00:02 → 00:00:04 จะมีนิสัยแบบเนี้ยแล้วก็จะโหแก้ยากมากใคร
00:00:05 → 00:00:08 ที่เป็นธาตุดินก็จะตัวแข็งๆตัวแน่นๆหน่อย
00:00:08 → 00:00:11 จะมีลักษณะนิสัยแบบน้องหมาขี้หวงขี้หุง
00:00:11 → 00:00:14 ธาตุน้ำธาตุน้ำก็เหลวๆหน่อยก็จะเป็นคนที่
00:00:14 → 00:00:17 ขี้เกียจลมลมนี่ก็จะแบบเปลี่ยนแปลงเร็วๆ
00:00:17 → 00:00:19 ก็จะเป็นคนที่แบบว่าวันนี้เอาอย่างพวนี้
00:00:19 → 00:00:21 เอาอย่างใครมีเจ้านายเป็นธาตุลมก็ต้องทำ
00:00:21 → 00:00:24 ใจธาตุไฟธาตุไฟนี่ก็ชัดเจนนะธาตุไฟก็จะ
00:00:24 → 00:00:26 เป็นคนที่มีปัญญาเยอะเวลาอยู่ที่ไหนเนี่ย
00:00:26 → 00:00:29 เพื่อนจะน้อยหน่อยชอบสอนชอบไปสอนชาวบ้าน
00:00:29 → 00:00:30 ชาวช่องเค้าอะไรอย่างเงี้ยพอมีสติก็จะ
00:00:30 → 00:00:33 สามารถแก้ไขลักษณะนิสัยไม่ว่าคุณจะลักษณะ
00:00:33 → 00:00:37 นิสัยแบบไหนาตุอะไรแก้ได้หมดอ่ะถ้ามีสติ
00:00:37 → 00:00:42 นะผมมอนัใครไม่ป่วยยกมือขึ้นนะครับผมเป็น
00:00:42 → 00:00:45 Content creator นะอยากให้คนป่วยเนี่ย
00:00:45 → 00:00:48 ดูแลตัวเองเป็นนะแล้วก็อยากให้คนป่วยนะ
00:00:48 → 00:00:51 น้อยลงเรื่อยๆเรื่อยๆๆๆเนาแล้วก็อาชีพที่
00:00:51 → 00:00:54 2 นะครับจริงๆมันก็เป็นอาชีพที่ทำเงิน
00:00:54 → 00:00:55 ให้เรานะที่เราดูแลตัวเองนะครับก็คือเป็น
00:00:56 → 00:00:58 หมอนั่นเองนะครับการเป็นหมอก็ช่วยทำให้
00:00:58 → 00:01:00 เรามีประสบการณ์มากขึ้นมีความรู้มากข้น
00:01:00 → 00:01:02 ขึ้นแล้วก็เข้าใจคนป่วยมากขึ้นเราจะได้
00:01:02 → 00:01:05 เอาข้อมูลพวกเนี้ยมาเป็นคทนที่ดีว่าอย่าง
00:01:05 → 00:01:08 งั้นเถอะอค่ะแต่ว่าคนน่ะรู้จักในนามคุณ
00:01:08 → 00:01:10 หมอนัทอแต่จริงๆแล้วเนี่ยคุณหมอเนี่ยไม่
00:01:10 → 00:01:14 ได้จบหมอมาจบวิศวกรรมคอมพิวเตอร์มาแล้ว
00:01:14 → 00:01:17 กลายมาเป็นคุณหมอได้ยังไงค่ะจริงๆจบวิศวะ
00:01:17 → 00:01:20 ตอนเรียนมหาลัยนะครับพอจบมาสักพักนึง
00:01:20 → 00:01:22 เนี่ยคุณพ่อนะคุณพ่อเปิดคลินิกนี้อยู่
00:01:22 → 00:01:25 แล้วนะครับก็บังคับให้เราไปเรียนเอไป
00:01:25 → 00:01:27 เรียนซะไปเรียนที่วัดโพธินะตอนยุคที่ผม
00:01:27 → 00:01:29 เรียนเนี่ยยังต้องเรียนข้างโบดเลยนะเรียน
00:01:29 → 00:01:31 กับกระดานช็อกอ่ะเรียนข้างโบสถ์นะครับเรา
00:01:31 → 00:01:34 ก็ไปๆหยุดๆอะไรเงี้ยไม่ค่อยชอบหรอกนะคือ
00:01:34 → 00:01:36 ไปด้วยพ่อบังคับอะไรอย่าเงี้ยนะครับเรียน
00:01:36 → 00:01:39 ไปเรียนมาพอเรียนจบเรียนจบซะด้วยนะนะครับ
00:01:39 → 00:01:42 จริงๆยุคนั้นนมันเรียนไม่ยากเกินไปนะครับ
00:01:42 → 00:01:44 พอเรียนจบเนี่ยเอ่อคุณพ่อเนี่ยก็เหมือน
00:01:44 → 00:01:47 ป่วยพอดีมีอาการป่วยอ่ะนะครับแล้วคุณพ่อ
00:01:47 → 00:01:50 ก็ต้องหยุดเลยหยุดเป็นหมอทันทีเลยอือยัง
00:01:50 → 00:01:52 ไม่ได้สอนเราเลยเราอ่ะก็อยากให้คุณพ่อสอน
00:01:52 → 00:01:55 ก่อนนะแต่คุณพ่อแบบเออมันไม่ไหวจริงๆอะไร
00:01:55 → 00:01:57 เงี้ยก็ต้องหยุดเราก็เริ่มมาเป็นหมอนะ
00:01:57 → 00:02:00 ครับตอนช่วงที่เรียนอยู่เรียนแพทย์แผนไทย
00:02:01 → 00:02:03 อยู่นะคุณพ่อก็เขียนหนังสือใครไม่ป่วยยก
00:02:03 → 00:02:06 มือขึ้นเออนะครับผมก็มีโอกาสนะจบวิศวกร
00:02:06 → 00:02:09 คอมพิวเตอร์มานะก็ต้องพิมพ์อ่ะอือคุณพ่อ
00:02:09 → 00:02:12 เขียนมือผมก็ต้องพิมพ์แล้วก็ไปส่งสำนัก
00:02:12 → 00:02:14 พิมพ์อะไรประมาณนี้นะครับฉะนั้นน่ะความ
00:02:15 → 00:02:17 รู้เนี่ยมันก็มาจากการที่พิมพ์หนังสือให้
00:02:17 → 00:02:21 พ่อนะครับแล้วก็พอเรียนจบมาพอดีก็กลาย
00:02:21 → 00:02:24 เป็นหมอเออประมาณนั้นนะครับแล้วการศึกษา
00:02:24 → 00:02:27 ศาสตร์การรักษาแบบเนี้ยค่ะคุณหมอเริ่มต้น
00:02:27 → 00:02:29 ยังไงบ้างแล้วใช้เวลานานมั้ยกว่าที่จะแบบ
00:02:29 → 00:02:32 เข้าใจมันนานมากกว่าจะเข้าใจมันจริงๆนะ
00:02:32 → 00:02:34 เพราะว่าการเรียนจบแพทย์แผ่นไทยเนี่ยมัน
00:02:34 → 00:02:37 เหมือนเราเรียนมาแต่กระดานอ่ะแล้วก็
00:02:37 → 00:02:39 กระดาษอะไรอย่างงี้ใช่มั้ยเราไม่ค่อยเข้า
00:02:39 → 00:02:42 ใจหรอกแล้วเราก็คิดว่าเอ้ยเดี๋ยวพ่อก็สอน
00:02:42 → 00:02:44 เองอะไรอย่างี้ใช่มั้ยแต่พอเรียนจบมาจริง
00:02:44 → 00:02:47 ๆเนี่ยเออมันไม่มีใครสอนใช่มั้ยเราก็ต้อง
00:02:47 → 00:02:49 เอาจากคนไข้นี่แหละคนไข้ก็เป็นเหมือนครู
00:02:49 → 00:02:52 เราเออเป็นครูที่แบบมาสอนเราว่าเฮ้ยเา้า
00:02:52 → 00:02:54 ป่วยเป็นโรคนี้เป็นเพราะเหตุผลอะไรแล้ว
00:02:54 → 00:02:57 เราก็รักษาแก้ไขยังไงนะครับพี่ใช้เวลา
00:02:57 → 00:03:01 ประมาณ 3 ปีกว่าจะรู้อ่ะอ่ะว่าอ๋อโรคเบา
00:03:01 → 00:03:04 หวานรักษายังไงโรคกดละย้อนคืออะไรโรค
00:03:04 → 00:03:07 กระเพาะอาหารคืออะไรอะไรเงี้ยโรคต่างๆ
00:03:07 → 00:03:09 ต้องแก้ไขยังไงเงี้ยใช้เวลาประมาณ 3 ปี
00:03:10 → 00:03:12 อืออือประมาณ 3 ปีนั้นก็คือช่วงเวลาที่
00:03:12 → 00:03:14 เราก็ก็มีเคสให้เรารักษาแล้วก็เรียนรู้ไป
00:03:15 → 00:03:17 ด้วยใช่มั้ยคะใช่ๆๆแต่ว่าต้องบอกก่อนว่า
00:03:17 → 00:03:20 ไอ้ 3 ปีมันไม่ไม่ง่ายนะคือ 1 ไม่มีคนสอน
00:03:20 → 00:03:23 ถูกมั้ยเออ 2 ก็คือว่าเราต้องเรียนรู้
00:03:23 → 00:03:26 แล้วก็เราก็ต้องอ่านหนังสือเราก็ต้องค้น
00:03:26 → 00:03:27 คว้าหาข้อมูลอะไรอย่างเงี้ยพี่เคยได้ยิน
00:03:28 → 00:03:30 บ่อยๆนะไอ้ช่วงเวลาวิกฤตอ่ะวิิชีวิตอ่ะ
00:03:30 → 00:03:33 มันบนไม่ได้พูดไม่ได้เลยนะเออก็ต้องทำ
00:03:33 → 00:03:35 อย่างเดียวตอนนั้นเหมือนเขาเรียกกัน
00:03:35 → 00:03:38 เหมือนไถนาไถนาคือก้มหน้าทำอย่างเดียว
00:03:38 → 00:03:41 เป็นหมอเสร็จก็ไปสวดมนต์ด้วยนะทำสมาธิขอ
00:03:41 → 00:03:43 พรด้วยว่าเอออยากเป็นหมอได้ซักทีอะไร
00:03:43 → 00:03:45 อย่างเงี้ยนะครับทำอย่างเงี้ยจริงจังอยู่
00:03:45 → 00:03:48 ประมาณ 3 ปีกว่าจะได้นะครับเพราะว่าไอ้
00:03:48 → 00:03:51 ตอนที่คุณตอนที่คุณพ่อออกจากระบบเนี่ยนะ
00:03:51 → 00:03:54 ครับคุณพ่อดังมากนะคุณพ่อผมเชื่อคุณหมอ
00:03:54 → 00:03:56 แดงดังมากเป็นหมออยู่ประมาณ 8-9 ปีตอน
00:03:57 → 00:03:59 นั้นเนี่ยคนไข้ก็จะติดอ่ะติดเยอะมากเนี่ย
00:03:59 → 00:04:02 รองเท้าเนี่ยเต็มหน้าบ้านอ่ะเออคนเยอะมาก
00:04:02 → 00:04:04 วันนึงมีคนไข้ 20-3 คนอะไรอย่างเงี้ยนะ
00:04:04 → 00:04:06 ครับพอผมมาเป็นหมอทดแทนเนี่ยคนตกใจอ่ะ
00:04:06 → 00:04:08 เดินเข้ามาในห้องแล้วก็รู้สึกว่าเฮ้ยใคร
00:04:08 → 00:04:10 วะเนี่ยอะไรอย่างเงี้ยนะครับตอนนั้นพี่ก็
00:04:10 → 00:04:12 รู้สึกว่าเออมันเฟลมากนะแต่ว่ามันก็ทำ
00:04:12 → 00:04:14 อะไรไม่ได้ใช่มั้ยมันก็ต้องก้มหน้าแล้วก็
00:04:14 → 00:04:17 ทำไปอะไรอย่างเงี้ยมันก็เป็น 3 ปีของความ
00:04:17 → 00:04:20 ความทุกข์นะแล้วก็ความซัฟเฟอร์อ่ะแต่ว่า
00:04:20 → 00:04:22 ไอ้ความทุกข์นั้นน่ะมันทำให้เราเป็นหมอ
00:04:22 → 00:04:25 ที่ดีแล้วก็เป็นหมอได้รวดเร็วกว่าคนอื่น
00:04:25 → 00:04:27 เขาประมาณนั้นการที่มาเป็นหมอค่ะเหมือน
00:04:27 → 00:04:30 มันเริ่มมาจากการที่ว่าคุณพ่อก็ก็ก็อยาก
00:04:30 → 00:04:33 ให้เราเป็นด้วยอแล้วแล้วมันมีจุดไหนที่
00:04:33 → 00:04:36 คุณหมอนัทเนี่ยรู้สึกตกหลุ่มรักอาชีพหมอ
00:04:36 → 00:04:39 เองมีมั้ยคะจริงๆต้องบอกก่อนว่าแรกๆไม่
00:04:39 → 00:04:42 ชอบเลยรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่มันค่อนข้าง
00:04:42 → 00:04:44 แยกแต่ต้องบอกตรงๆนะเพราะว่าอะไรมั้ย
00:04:44 → 00:04:46 เพราะว่าทุกวันน่ะไม่มีใครเอาความสุขมา
00:04:46 → 00:04:50 ให้นะถูกมั้ยเออคนไข้ก็มีแต่เอาหมอโหนู
00:04:50 → 00:04:52 เป็นอย่างงี้คุณแม่เป็นอย่างงี้คุณพ่อ
00:04:52 → 00:04:54 เป็นอย่างงี้เี่มันมีแต่ความทุกข์แรกๆเรา
00:04:54 → 00:04:56 ก็รู้สึกงั้นแหละนะครับแต่พอทำเรื่อยๆ
00:04:56 → 00:04:58 เรื่อยๆเราเห็นคนป่วยที่เขาหายเนาะชีวิต
00:04:58 → 00:05:01 ดีขึ้นแล้วชีวิตเาดีขึ้นแบบที่เขาดูแลตัว
00:05:01 → 00:05:03 เองเป็นน่ะเออเราอันนี้เราเริ่มเห็นะอ๋อ
00:05:03 → 00:05:06 เออจริงๆแล้วเนี่ยการที่เรารักษาเขาก็
00:05:06 → 00:05:08 ส่วนนึงนะเออแต่ว่าการที่ทำให้เขาเป็นหมอ
00:05:08 → 00:05:11 ได้ด้วยตนเองอ่ะเฮ้ยอันเนี้ยเราแฮปปี้
00:05:11 → 00:05:13 แล้วก็รู้สึกว่ามีความสุขกับการทำเรื่อง
00:05:13 → 00:05:17 นี้มากๆเลยอืว่าเฮ้ยคนๆนึงเป็นหวัดก็รู้
00:05:18 → 00:05:21 วิธีดูแลตัวเองใช่มั้ยคนๆนึงปวดท้องหรือ
00:05:21 → 00:05:23 เป็นกดไหลย้อนอะไรอย่างเงี้ยก็รู้วิธีการ
00:05:23 → 00:05:25 ดูแลตัวเองโดยที่ไม่ต้องวิ่งไปหาหมอเพราะ
00:05:25 → 00:05:27 ว่าบางคนเนี่ยคุณคิดดูนะอย่างเราเนี่ย
00:05:27 → 00:05:29 อยู่ในเมืองใช่มั้ยเราก็ไปหาหมอง่ายใช่
00:05:29 → 00:05:33 มั้ยบางคนอยู่ป่าแต้วอ่ะอยู่น้องคายเงี้ย
00:05:33 → 00:05:35 เนาะแล้วก็อยู่ลึกเลยอะไรอย่างเงี้ยกว่า
00:05:35 → 00:05:38 จะไปหาหมอทีเสียทั้งค่ารถเสียทั้งค่านู่น
00:05:38 → 00:05:40 ค่านี่บางคนก็แก่มากแล้วอะไรอย่างเงี้ยนะ
00:05:40 → 00:05:43 ไอ้ความรักในอาชีพมันเกิดจากตรงนี้แหละทำ
00:05:43 → 00:05:45 ให้คนที่เขาอยู่ไกล้ๆสามารถดูแลตัวเอง
00:05:45 → 00:05:47 เป็นอะไรอย่างเงี้ยแล้วตอนนั้นน่ะค่ะที่
00:05:47 → 00:05:50 ศึกษามันก็ไม่ง่ายอย่างที่คุณหมอบอกแล้ว
00:05:50 → 00:05:53 หนูอยากรู้ว่าเราใช้ทักษะอะไรทักษะอะไร
00:05:53 → 00:05:55 เป็นทักษะที่จำเป็นที่แบบเราต้องใช้ในการ
00:05:55 → 00:05:57 เริ่มศึกษาศาสตร์วิชาใหม่ๆอ่ะค่ะโอ้โห
00:05:58 → 00:06:02 ง่ายๆเลยคำเดียวอดททนเพราะว่าถ้าไม่อดทน
00:06:02 → 00:06:04 นะมันก็จะไม่สามารถเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ
00:06:04 → 00:06:07 ได้เนาะต้องอดทนแล้วก็ต้องฝึกเรียนรู้
00:06:07 → 00:06:10 เรื่องใหม่ๆโดยที่เราอย่าไปอคติก่อนน่ะ
00:06:10 → 00:06:14 ว่าโอ๊ยเนี่ยแพทย์แผ่นไทยโบราณค่ำึคนแก่ๆ
00:06:14 → 00:06:15 เทำอะไรอย่างเงี้ยนะครับแรกๆพี่ก็เป็น
00:06:15 → 00:06:17 อย่างงั้นนะบอกตรงๆแต่พอต้องทำจริงๆอ่ะ
00:06:17 → 00:06:21 เราก็อดทนนะก็ทำไปทำไปทำไปปรากฏพออดทนทำ
00:06:21 → 00:06:24 ถึงระยะนึงอ่ะมันจะเห็นเองว่าอ๋อโอโหมัน
00:06:24 → 00:06:26 เป็นมันกว้างมากเลยแล้วตอนนั้นไม่มีใครทำ
00:06:26 → 00:06:28 นะคิดดูดิมันไม่มีใครทำแพทย์แผนไทยอ่ะพอ
00:06:28 → 00:06:30 พี่ไปถึงจุดๆนึงอ่ะมันเหมือนโอ้โหโลก
00:06:30 → 00:06:33 กว้างใหญ่เออแล้วเราก็มีความรู้เรื่อง
00:06:33 → 00:06:35 ไอทีเรื่องอะไรเงี้ยมันก็ง่ายขึ้นเยอะใน
00:06:35 → 00:06:39 การทำคทนอะไรเงี้ยก็เอามา adap รวมกันใช่
00:06:39 → 00:06:42 ๆๆก็คืองานคอมพิวเตอร์ใช่มั้ยค่ะกับ
00:06:42 → 00:06:45 เรื่องของแพทย์แผนไทยยุคนั้นนี่มีคนเดียว
00:06:45 → 00:06:48 เลยเออก็ง่ายหน่อยแนวคิดใครไม่ป่วยยกมือ
00:06:48 → 00:06:51 ขึ้นเนี่ยเอ่อมีที่มาจากอะไรคะที่มาใช่มย
00:06:51 → 00:06:55 จริงๆมันไม่ได้เอ่อสลักสลวยอะไรนะจริงๆ
00:06:55 → 00:06:57 คิดอยู่ตรงเนี้ยตรงหน้าห้องเยต้องส่ง
00:06:57 → 00:07:01 หนังสือให้สำนักพิมพ์ละนึกชื่อไม่ออกชื่อ
00:07:01 → 00:07:03 อะไรดีอะไรอย่างเงี้ยตอนนั้นก็คุยกับคุณ
00:07:03 → 00:07:06 แม่แล้วคุณแม่ก็บอกเอ๊ะชื่ออะไรดีนะอยาก
00:07:06 → 00:07:09 จะให้ให้คนเขาอ่ะรู้ว่าเราจะต้องดูแลตัว
00:07:09 → 00:07:12 เองนะเออก็เลยสุดท้ายก็คุยไปคุยมายังไง
00:07:12 → 00:07:15 ไม่รู้ละได้ใครไม่ป่วยยกมือขึ้นมาสมัย
00:07:16 → 00:07:20 นั้นเนี่ยมีเพลงของโโจอี้บอยใช่มั้ยเออเอ
00:07:20 → 00:07:22 ใครยกมือขึ้นน่ะเพลงยกมือขึ้นของเขาคอ่ะ
00:07:22 → 00:07:25 นะครับตอนนั้นน่ะก็เลยมันเลยดังขึ้นมา
00:07:25 → 00:07:28 เล่มแรกก็เลยโดดเด่นขึ้นมาเพราะว่ามันใช้
00:07:28 → 00:07:31 ศัพท์ที่ที่ค่อนข้างแปลกเห็นมเป็นกล้วย
00:07:31 → 00:07:33 เขียวๆนะแล้วก็มีคำว่าใครไม่ป่วยยกมือ
00:07:33 → 00:07:35 ขึ้นพอส่งสำนักพิมพ์อไปส่งสำนักพิมพ์นะ
00:07:35 → 00:07:38 สำนักพิมพ์บอกว่าฝากยามไว้ก่อนอันนี้
00:07:38 → 00:07:41 เรื่องจริงนะไม่ได้พูดโมนะเออฝากฝากรปพ
00:07:41 → 00:07:43 ไว้ก่อนเพราะตอนนั้นเไม่ได้รับเลยเราก็
00:07:43 → 00:07:46 คิดว่าไม่ได้ไม่ได้ถ้าฝากยามเนี่ยมัน
00:07:46 → 00:07:48 เสร็จตรงนี้แน่เลยใช่มั้ยเราก็เลยกลับ
00:07:48 → 00:07:51 บ้านแล้วก็ไปใหม่อีกวันนึงเออว่าเฮ้ยเรา
00:07:51 → 00:07:54 อยากส่งให้กับบกจริงๆนะเล่มนี้เราตั้งใจ
00:07:54 → 00:07:56 อะไรอย่างเงี้ยนะครับแล้วตอนนั้นเนี่ยก็
00:07:56 → 00:07:58 ทำรายการด้วยทำรายการอยู่ที่ช่องเนชัก็
00:07:58 → 00:08:01 ใช้คำเดียวกันชื่อว่าใครไม่ป่วยยกมาขึ้น
00:08:01 → 00:08:03 เหมือนกันเออมันก็เลยได้ทั้งรายการ
00:08:03 → 00:08:06 โทรทัศน์แล้วก็หนังสือร่วมกันผ่านมา
00:08:06 → 00:08:09 ประมาณซักเกือบ 20 ปีเนาะเกือบ 20 ปีถึง
00:08:09 → 00:08:11 มั้ยเนี่ยไม่ถึงแล้วเนาะเอาประมาณ 10
00:08:11 → 00:08:13 กว่าปีแล้วกันนะเออทำให้เราเรียนรู้ว่า
00:08:13 → 00:08:16 เออไอ้คำเนี้ยมันทำให้คนเนี่ยตระหนักว่า
00:08:16 → 00:08:18 พอพูดว่าใครไม่ป่วยยุบขึ้นใช่มั้ยคุณจะ
00:08:18 → 00:08:21 ชะงักก่อนเฮ้ยเราป่วยมั้ยเฮ้ยเราป่วยมั้ย
00:08:21 → 00:08:24 เออหรือว่าเราไม่ป่วยตกลงเราจะยกหรือไม่
00:08:24 → 00:08:27 ยกดีไอ้สภาวะเนี้ยเขาเรียกว่าสภาวะภาวนา
00:08:27 → 00:08:30 ภาวนาคือดูตัวเองก่อนว่าดียังไม่ใช่แบบทู
00:08:30 → 00:08:32 ิอยากจะยกอย่างเดียวไม่ได้ก็ต้องถามตัว
00:08:32 → 00:08:34 เองก่อนเออมันเลยเป็นเหตุผลว่าคำว่าใคร
00:08:34 → 00:08:37 ไม่ปวดยกมาขึ้นน่ะมันเลยอยู่มายาวนาน
00:08:37 → 00:08:39 เพราะว่ามันเป็นสภาวะที่ทำให้เรียนรู้ตัว
00:08:39 → 00:08:42 เองอะไรประมาณเอือแล้วทำไมถึงใช้เป็น
00:08:42 → 00:08:44 กล้วยอ่ะคะเอ่ากล้วยเพราะว่ามันคำว่า
00:08:44 → 00:08:47 กล้วยๆมันเป็นกล้วย 2 ใบที่อยู่ในหนังสือ
00:08:47 → 00:08:49 อ่ะกล้วยๆคือเหมือนว่าการดูแลตัวเองอ่ะ
00:08:49 → 00:08:53 มันไม่ยากนะอืมันเป็นคำว่ากล้วยๆแล้วอัน
00:08:53 → 00:08:55 นี้ก็ส่งไปสำนักพิมพ์ด้วยนะสำนักพิมพ์ก็
00:08:55 → 00:09:00 เออซื้อเอาเออแล้วก็ใช้ได้แล้วสุขภาพร่าง
00:09:00 → 00:09:02 กายอ่ะค่ะมันมีความสัมพันธ์กับเรื่องของ
00:09:02 → 00:09:05 นิสัยยังไงบ้างค่ะเอาแบบดินน้ำลมไฟมั้ย
00:09:05 → 00:09:08 เออดินน้ำลมไฟนะสุขภาพร่างกายเอาธาตุดิน
00:09:08 → 00:09:11 ก่อนใครที่เป็นธาตุดินก็จะตัวแข็งๆตัว
00:09:11 → 00:09:14 แน่นๆหน่อยเออแล้วก็จะมีลักษณะนิสัยแบบ
00:09:14 → 00:09:17 น้องหมาหมาเขจะห่วงเจ้าของใช่มั้ยเออธาตุ
00:09:17 → 00:09:19 ดินก็จะยึดมั่นแน่นๆอะไรอย่างเงี้ยฉะนั้น
00:09:19 → 00:09:22 ก็จะกลายเป็นคนที่ขี้หวงขี้หึงเออนะครับ
00:09:22 → 00:09:25 แล้วก็ชอบยึดมั่นจะเสียอะไรไปนี่ไม่ยอม
00:09:25 → 00:09:28 สู้หัวเด็ดตินขาดหมามันไม่ยอมนะคุณไปแย่ง
00:09:28 → 00:09:31 ของเล่นมันน่ะอืมันกัดเอานะนึกนึกภาพมนี่
00:09:31 → 00:09:35 คือคนที่ลักษณะธาตุดินก็จะหวงของขี้หึง
00:09:35 → 00:09:38 ตัวแข็งกล้ามเนื้ออักเสบเพราะมันธาตุดิน
00:09:38 → 00:09:41 มันเยอะธาตุน้ำธาตุน้ำก็เหลวๆหน่อยก็จะ
00:09:41 → 00:09:44 เป็นคนที่ขี้เกียจขี้เกียจก็จะเป็นพวกโรค
00:09:44 → 00:09:48 เบาหวานโรคความดันเทศพวกไม่ค่อยออกกำลัง
00:09:48 → 00:09:50 กายถ้าผู้หญิงก็เป็นเซลลูไลท์อะไรอย่าง
00:09:50 → 00:09:52 เงี้ยนะก็จะมีทั้งความขี้เกียจผสมเข้าไป
00:09:52 → 00:09:55 เยอะหน่อยลมลมนี่ก็จะแบบเปลี่ยนแปลงเร็วๆ
00:09:56 → 00:09:58 ก็จะเป็นคนที่แบบว่าวันนี้เอาอย่างพว่ง
00:09:58 → 00:10:00 นี้เอาอย่างเออใครเป็นใครมีเจ้านายเป็น
00:10:00 → 00:10:03 ธาตุลมก็ต้องทำใจว่าเอ๊ะเขาคสั่งงานวัน
00:10:03 → 00:10:06 เนี้ยพรุ่งนี้เขาเอาอีกอย่างก็มองเ้าอ๋อ
00:10:06 → 00:10:10 ปกติเอ่อฉะนั้นคนที่เป็นธาตุลมก็จะสมองจะ
00:10:10 → 00:10:13 ไม่ค่อยดีนะครับแล้วก็ท้องเนี่ยจะไม่ค่อย
00:10:13 → 00:10:16 ดีลำ่งลำไส้ก็จะไม่ค่อยดีนะแล้วก็ธาตุไฟ
00:10:16 → 00:10:19 ธาตุไฟนี่ก็ชัดเจนนะธาตุไฟก็จะเป็นคนที่
00:10:19 → 00:10:22 มีปัญญาเยอะเวลาอยู่ที่ไหนเนี่ยเพื่อนจะ
00:10:22 → 00:10:25 น้อยหน่อยชอบสอนชอบไปสอนชาวบ้านชาวช่อง
00:10:25 → 00:10:27 เ้าอะไรอย่างเงี้ยแล้วก็ไม่ค่อยฟังใคร
00:10:27 → 00:10:31 ฉะนั้นก็จะมีปัญหาเรื่องอัตราสูงแล้วก็
00:10:31 → 00:10:34 ชอบชอบบ่นอ่ะชอบพูดชอบด่าชอบอะไรเงี้ยแต่
00:10:34 → 00:10:37 ก็กดกดง่ายหายเร็วนะเออนี้คือดินน้ำลมไฟ
00:10:37 → 00:10:41 ประมาณนั้นแล้วคือคนๆนึงอ่ะค่ะแบบเราจะมี
00:10:41 → 00:10:43 ธาตุนั้นเด่นๆอย่างเดียวหรือว่ามันผสมกัน
00:10:43 → 00:10:46 ริงผสมกันแต่ว่ามันจะมีธาตุเด่นอยู่ธาตุ
00:10:46 → 00:10:49 นึงเสมอเลยว่าไอ้คนเนี้ยจะมีนิสัยแบบ
00:10:49 → 00:10:51 เนี้ยแล้วก็จะโหแก้ยากมากมันเหมือนเป็น
00:10:51 → 00:10:54 สันดานใช่มั้ยเออขอขออนุญาตไปแล้วอ่ะอยู่
00:10:54 → 00:10:57 ในจิตใจไปแล้วอะไรแต่มันแก้ได้ใช่มั้ยคือ
00:10:57 → 00:11:00 เราสามารถเปลี่ยนธาตุได้อเปลี่ยนธาตุคง
00:11:00 → 00:11:03 ไม่ได้แต่ว่าเราจะมีสติแล้วก็รู้ได้สมมติ
00:11:03 → 00:11:05 ว่าเราเป็นคนขี้หึงมากแล้วเรามีสติรู้ทัน
00:11:05 → 00:11:08 น่ะเราก็จะรู้สึกว่าอ๋อโอเคอ๋อเรากำลังมา
00:11:08 → 00:11:12 ะหรือเราเป็นคนธาตุไฟไปละไป Enjoy กับ
00:11:12 → 00:11:14 เพื่อนน่ะ 10 คนเงี้ยเอาะไปสอนชาวบ้านะ
00:11:14 → 00:11:16 เอ้ยเนี่ย tiktok ก็ทำอย่างงี้ Facebook
00:11:17 → 00:11:18 ก็ทำอย่างงี้ YouTube ก็ทำอย่างงี้ชอบสอน
00:11:18 → 00:11:22 อ่ะเออเฮ้ยไม่วันนี้เรามาเที่ยวนี่หว่ะ
00:11:22 → 00:11:24 ไม่ต้องสอนฟังเพื่อนไป Enjoy กับเพื่อน
00:11:24 → 00:11:27 อะไรอย่างเงี้ยพอมีสติก็จะสามารถแก้ไข
00:11:27 → 00:11:29 ลักษณะนิสัยไม่ว่าคุณจะลักษณะนิสัยแบบแบบ
00:11:29 → 00:11:32 ไหนธาตุอะไรแก้ได้หมดอ่ะถ้ามีสตินะแต่คน
00:11:32 → 00:11:36 ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีสติอืใช่มค่ะอือแต่ทุก
00:11:36 → 00:11:39 คนจะมีสิ่งนี้ที่มันเด่นกว่าในแต่ละบุคคล
00:11:39 → 00:11:41 ออกมาใช่ๆๆไม่เกี่ยวกับพวกดูดวงใช่มั้ยคะ
00:11:41 → 00:11:43 ที่เขาบอกว่าคุณเป็นคนทาสอะไรอย่างเงี้ย
00:11:43 → 00:11:46 อ่าถ้าดูดวงก็จะเป็นแบบเกิดวันอะไรอย่าง
00:11:46 → 00:11:49 งี้ใช่มั้ยอย่างเช่นเอ่ออย่างเช่นเกิดวัน
00:11:49 → 00:11:51 เสาร์แล้วกันเกิดวันเสาร์อย่าแพนด้าเกิด
00:11:51 → 00:11:54 วันอะไนวันจันทร์ใชมวันจันทร์ก็เป็นวันอว
00:11:54 → 00:11:56 เสาร์ก่อนวันเสาร์เนี่ยก็จะเป็นเหมือน
00:11:56 → 00:11:58 ธาตุไฟหน่อยธาตุไฟผสมธาตุดินหน่อยก็จะ
00:11:58 → 00:12:00 เหมือนมันยักษ์อ่ะวันเสาร์คือยักษ์ใช่มั้
00:12:00 → 00:12:03 ก็จะรู้สึกว่าอยู่ในพื้นที่ของตัวเองชอบ
00:12:03 → 00:12:05 อยู่ในพื้นที่ตัวเองไม่อยากให้ใครมายุ่ง
00:12:05 → 00:12:07 ห้องนอนชันนี่อย่ามายุ่งนะอะไรอย่างเงี้ย
00:12:07 → 00:12:11 นึกออกมั้ยถ้าาถ้าน้ำอย่างเกิดวันจันทร์
00:12:11 → 00:12:14 อย่างเงี้ยก็แสดงว่าแบบอยู่กับใครอยู่กับ
00:12:14 → 00:12:16 ใครก็ได้ขี้เกียจหน่อยเพื่อนชวนไปออก
00:12:16 → 00:12:18 กำลังกายก็จะรู้สึกว่าวันหลังได้มั้ยเออ
00:12:18 → 00:12:20 วันหลังเอเดี๋ยวค่อยไปอะไรอย่างเงี้ยหรือ
00:12:20 → 00:12:23 แบบว่าอ่านหนังสือิชพัฒนาตัวเองก็ทำได้ 3
00:12:23 → 00:12:26 วัน 5 วันเดี๋ยวก็กลับไปที่เดิมเห็นมั้ย
00:12:26 → 00:12:28 ล่ะประมาณนั้นมั้ยเออันนี้ก็คือลักษณะของ
00:12:28 → 00:12:31 ที่เค้าดูดวงกันก็วันอะไรประมาณเนี้ย
00:12:31 → 00:12:34 เดือนอะไรอย่างเงี้ยก็ก็ใช้ได้ซึ่งเท่า
00:12:34 → 00:12:37 ที่พี่สังเกตแล้วกันนะก็มันก็เป็นประมาณ
00:12:37 → 00:12:40 นั้นแหละอืเออใช้ได้เหมือนกันไล่ให้หนู
00:12:40 → 00:12:42 ให้ครบ 7 วันเลยได้มั้ยคะโอโอเคโอเคโอ้โห
00:12:42 → 00:12:45 ี่คนอยากฟังนะเรื่องนี้วันจันทร์ใช่มั้ย
00:12:45 → 00:12:48 เออวันจันทร์ก็ธาตุน้ำวันอังคารนี่ก็จะ
00:12:48 → 00:12:50 เป็นคนที่เป็นแบบธาตุไฟหน่อธาตุไฟแล้วก็
00:12:50 → 00:12:53 ชอบวันวันอังคารเป็นคนที่อินดี้อินดี้
00:12:53 → 00:12:56 หน่อยเออแล้วก็จะแบบไม่ค่อยไปอยู่กับคน
00:12:56 → 00:12:58 เยอะๆอ่ะเออเป็นพวกศิลปินอ่ะเออฉะนั้นวัน
00:12:58 → 00:13:01 อังคารเนี่ยเวลาเราลด้วยเนี่ยก็ต้องลแบบ
00:13:01 → 00:13:04 ว่าเฮ้ยพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวบางแสนกันอ
00:13:04 → 00:13:07 แล้วแต่ไปไม่ไปแล้วแต่เอออย่าไปแบบเฮ้ย
00:13:07 → 00:13:10 ต้องไปนะอืเพื่อนไปเยอะอะไรอย่างเงี้ยเขา
00:13:10 → 00:13:12 จะรู้สึกว่าเฮ้ยนี่กำลัง Force ฉันอะไร
00:13:12 → 00:13:14 อย่างเงี้ยนึกออกป่ะฉะนั้นพอเราเข้าใจ
00:13:14 → 00:13:17 เค้าเนี่ยหรือเราเข้าใจตัวเองเราก็จะรู้
00:13:17 → 00:13:20 วิธีการดีกับตัวเองว่าอ๋อเราประมาณนี้ใช่
00:13:20 → 00:13:23 มยถ้าเป็นวันอังคารนะฉะนั้นเอ่อวันพุธต่อ
00:13:23 → 00:13:26 วันพุธเนี่ยก็จะเป็นคนที่แบบสไตล์แบบรัก
00:13:26 → 00:13:29 สบายหน่อยรักสบายชอบไปคาเฟ่ชอบไปกินอะไร
00:13:30 → 00:13:31 อร่อยๆอะไรอย่างเงี้ยฉะนั้นถ้าใครมี
00:13:32 → 00:13:35 เพื่อนวันพุธก็ต้องพาไปคาเฟ่พาไปแต่งตัว
00:13:35 → 00:13:38 สวยๆถ่ายรูปสติ๊กเกอร์อะไรอย่างเงี้ยเชอบ
00:13:38 → 00:13:40 ใช่มยแล้วก็คนที่วันพุธก็ต้องระวังเรื่อง
00:13:40 → 00:13:43 สุขภาพหน่อยเพราะว่าชอบกินชอบกินนู่นกิน
00:13:43 → 00:13:45 นี่อร่อยๆหน่อยอะไรอย่างเงี้ยนึกมั้ยวัน
00:13:45 → 00:13:48 พฤหัสบดีนี่ก็วันครูใช่มั้ยวันครูก็คือคน
00:13:48 → 00:13:51 ที่แบบชอบสอนอ่ะชอบสอนไปตรงไหนก็สอนๆๆ
00:13:51 → 00:13:53 เพื่อนไม่ค่อยมีลูกศิษย์เต็มลูกศิษย์เต็ม
00:13:53 → 00:13:56 ลูกศิษย์ 500 1000 นึงแต่เพื่อนไม่มีเออ
00:13:56 → 00:13:59 อันนี้ก็จะป่วยเพราะว่าเครียด
00:13:59 → 00:14:02 เวลามีปัญหาอะไรก็ไม่มีใครให้ระบายใช่
00:14:02 → 00:14:03 มั้ยมีแต่ลูกศิษย์อ่ะแล้วจะไประบายกลูก
00:14:04 → 00:14:06 ศิษย์เหรอลูกศิษย์ก็อ้าวแล้วอาจารย์สอนมา
00:14:06 → 00:14:08 ไม่ใช่เหรออะไรอย่างเงี้ยนึกออกมั้ยก็จะ
00:14:08 → 00:14:09 เป็นความเครียดที่อยู่คนเดียวอะไรอย่าง
00:14:09 → 00:14:11 เงี้ยอันนี้ต้องระวังเนาะคนวันพฤหัสบดี
00:14:11 → 00:14:13 วันศุกร์เนี่ยก็จะเป็นคนที่ชอบความสวย
00:14:13 → 00:14:15 ความงามความอะไรอย่างเงี้ยนะครับฉะนั้นก็
00:14:15 → 00:14:18 ชอบซื้อเสื้อผ้าชอบซื้อต่างหูชอบนู่นนี่
00:14:18 → 00:14:21 นั่นก็ระวังตังค์หมดใช่มั้ยแล้วก็เอ่อ
00:14:21 → 00:14:24 ระวังเรื่องของการที่เอาเอาแต่ใจตัวเอง
00:14:24 → 00:14:26 อะไรอย่าเงี้ยแล้วก็เอาความรักนำทางก็
00:14:26 → 00:14:29 ต้องระวังด้วยนะแบบมันหลงอ่ะเนอะพอความ
00:14:29 → 00:14:32 รักนำทางก็จะหลงอืประมาณนั้นนะวันเสาร์ก็
00:14:32 → 00:14:35 ว่าไปแล้วใช่เป็นยักษ์ก็จะรู้สึกว่าฉันดี
00:14:35 → 00:14:37 ฉันเด่นฉันเลิศอะไรอย่างเงี้ยแต่ก็ไม่สน
00:14:37 → 00:14:39 ใจคนอื่นนะคนอื่นดีหรือเปล่าไม่รู้นะแต่
00:14:39 → 00:14:42 ว่าฉันจะทำให้ตัวเองดีอะไรอย่าเงี้ยนี่
00:14:42 → 00:14:44 คือยักษ์วันเสาร์ถ้าวันอาทิตย์ก็คือแบบ
00:14:44 → 00:14:47 ว่าเอ่อคนที่เป็นเหมือนตาช่า่งอ่ะเขอัน
00:14:47 → 00:14:50 นี้ดีอันนี้ถูกอันนี้ผิดอันนี้ถูกใจอัน
00:14:50 → 00:14:53 นี้ถูกต้องอะไรที่ถูกใจไม่เอาเลยอ่า
00:14:53 → 00:14:55 ฉะนั้นเก็เครียดไงกินอาหารก็จะเครียดชอบ
00:14:55 → 00:14:59 กินแต่สลัดชอบกินไม่กินมื้อเย็นชอบทำ If
00:14:59 → 00:15:01 ต้องเป๊ะนะต้องอะไรอย่างเงี้ยพวกนี้ก็จะ
00:15:01 → 00:15:03 เป็น perfectionist ก็จะป่วยแบบคนวัน
00:15:03 → 00:15:06 อาทิตย์นะอือเออแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นน่ะก็
00:15:06 → 00:15:08 ไม่ใช่ 100% ที่เป็นแบบนี้นะเดี๋ยวคนฟัง
00:15:08 → 00:15:10 ฟังเอ้ยฉันไม่เห็นเป็นแบบนี้เลยเออก็ไม่
00:15:10 → 00:15:13 เป็นไรอือปัจจุบันเค่ะมีโรคอะไรที่คนสมัย
00:15:13 → 00:15:16 นี้เป็นกันเยอะมากๆเลยอ่ะหนักๆแล้วมี 3
00:15:16 → 00:15:19 โรคนะที่พี่เจอเยอะก็คือโรคกดลย้อนอันนี้
00:15:19 → 00:15:22 เจอเยอะที่สุดในคลินิกพี่นะอันที่ 2 คือ
00:15:22 → 00:15:25 โรคกลุ่มภูมิแพ้เออภูมิแพ้ก็คันจมูกคัด
00:15:25 → 00:15:28 จมูกหายใจไม่ได้อย่างเงี้ยอันที่ 3 ก็คือ
00:15:28 → 00:15:30 มาไม่หลับนี้เริ่มเจอเยอะขึ้นเรื่อยๆนะ
00:15:30 → 00:15:33 ครับเอา 3 โรคเนี้ยที่เราเริ่มเจอเยอะ
00:15:33 → 00:15:35 ขึ้นเรื่อยๆนะครับโดยเฉพาะอัน 3 เนี่ย
00:15:35 → 00:15:38 อย่างเมื่อวานเนี่ยไปรักษาคนมา 50 กว่าคน
00:15:38 → 00:15:40 เนี่ยนอนไม่หลับไปครึ่งนึงครึ่งนึงอ่ะ
00:15:40 → 00:15:42 เป็นเป็นโรคนอนไม่หลับคิดดูแล้วกันโรคนอน
00:15:42 → 00:15:45 ไม่หลับมันเกิดจากอะไรแล้วแค่ไหนถึงจะตี
00:15:45 → 00:15:47 ได้ว่าเนี่ยคือเป็นโรคแล้วอ่ะค่ะคือนอน
00:15:47 → 00:15:51 ไม่หลับมันมี 2 แบบ 1 คือนอนยังไงก็ไม่
00:15:51 → 00:15:54 หลับซะทีเอออันนี้ก็แบบที่ 1 นะเคยเป็น
00:15:54 → 00:15:57 มั้ยนอนแล้วแบบสมองยังปั่นน่ะเอออันนี้ก็
00:15:57 → 00:15:59 แบบลักษณะหนึก็ทำให้นนนอนหลับยากกว่าจะ
00:15:59 → 00:16:01 นอนคือสมมุตินอน 23:00 นไปนอนกว่าจะหลับ
00:16:01 → 00:16:03 อีกทีก็ 3:00 นอะไรอย่าเงี้ยอันนี้แบบที่
00:16:03 → 00:16:06 1 แบบที่ 2 คือหลับๆตื่นๆหลับไปแล้วก็
00:16:06 → 00:16:09 ต้องลุกขึ้นมากลางคืนได้ยินเสียงนิดหน่อย
00:16:09 → 00:16:10 ก็สะดุ้งขึ้นมาอะไรอย่าเงี้ยอันนี้เหมือน
00:16:10 → 00:16:13 คนแก่คนแก่เป็นประมาณนี้ก็เป็นอีกลักษณะ
00:16:13 → 00:16:17 นึงเหมือนกันก็คือใครที่นอน 2300 นกว่าจะ
00:16:17 → 00:16:20 หลับ 2:00 นอันนี้แบบที่ 1 แบบที่ 2 คือ
00:16:20 → 00:16:23 หลับๆตื่นๆทั้งคืนแบบลุกขึ้นมา 2-3 ครั้ง
00:16:23 → 00:16:26 เล่นเสียงนิดนึงแล้วตื่นเนี่ยอันนี้ก็ถือ
00:16:26 → 00:16:28 ว่าเป็นรกได้แล้วนะอืต้องนอนไม่หลับเราลง
00:16:28 → 00:16:32 ดีทเว 3 โรคเนี้ยโรคกดไหล่ย้อนภูมิแพ้
00:16:32 → 00:16:35 แล้วก็นอนไม่หลับ 3 อันนี้คือมันมีวิธีดู
00:16:35 → 00:16:37 แลตัวเองเบื้องต้นยังไงบ้างค่ะกดไหลย้อน
00:16:37 → 00:16:39 เนี่ยมันคือโรคกระเพาะอาหารบวกกับความ
00:16:39 → 00:16:42 เครียดเออฉะนั้นเราก็ต้องแก้ที่กระเพาะ
00:16:42 → 00:16:44 ก่อนใช่มั้ยกินข้าวให้เป็นเวลาเช้าก้าง
00:16:44 → 00:16:48 วันเย็นขณะกินอาหารก็ไม่เร่งรีบเกินไป
00:16:48 → 00:16:50 เวลากินก็อย่าไปเล่นมือถือเยอะอ่ะเนาะ
00:16:50 → 00:16:53 เวลาเราเล่นมือถือเวลาเรารีบเกินไปก็จะทำ
00:16:53 → 00:16:56 ให้กระเพาะทำงานได้ไม่ค่อยดีใช่มั้ยแล้ว
00:16:56 → 00:16:58 ก็บวกกับความเครียดความเครียดก็คือในยุค
00:16:58 → 00:17:00 สมัยใหม่เนี่ยความเครียดเกิดจากการที่เรา
00:17:00 → 00:17:03 เร่งชีวิตอ่ะเช้ามาก็เร่งไปทำงานรีบกิน
00:17:03 → 00:17:05 ข้าวกลางวันแล้วก็เร่งไปเล่นเกมมือถือ
00:17:05 → 00:17:07 หรือว่าอะไรก็ตามอะไรเงี้ยฉะนั้นอย่าเร่ง
00:17:07 → 00:17:10 เกินไปแล้วก็อย่าเป็นคนที่เครียดเกินไป
00:17:10 → 00:17:13 อย่าเป็นคนที่เอาชนะนู่นนี่นั่นต่างๆมาก
00:17:13 → 00:17:15 เกินไปมองทุกเรื่องเป็นเรื่องที่ธรรมดา
00:17:15 → 00:17:18 บ้างทำให้โรคกดไหลย้อนดีขึ้นนะครับอันที่
00:17:18 → 00:17:21 2 ก็คือโรคภูมิแพ้ใช่มั้ยโรคภูมิแพ้
00:17:21 → 00:17:23 เนี่ยเกิดจากการที่ระบบหายใจไม่ค่อยดี
00:17:23 → 00:17:25 ส่วนใหญ่แล้วเนี่ยในยุคปัจจุบันเกิดจาก
00:17:25 → 00:17:28 การที่เราค่อนข้างหายใจเร็วอ่ะเนาะเอ่อ
00:17:28 → 00:17:30 บางคนชอบเล่นเกมนึเเวลาเล่นเกมอ่ะเราจะ
00:17:30 → 00:17:34 หายใจเร็วถูกมั้ยเวลาเราคิดอะไรเร็วๆเวลา
00:17:34 → 00:17:38 เราทำอะไรที่มันรวดเร็วเกินไปอ่ะลมหายใจ
00:17:38 → 00:17:39 เราจะเร็วเวลาลมหายใจเร็วเนี่ยสุดท้าย
00:17:39 → 00:17:43 ภูมิแพ้ก็จะกำเริบได้ง่ายเออแล้วก็เอ่อ
00:17:43 → 00:17:45 เรื่องของนอนไม่หลับนอนไม่หลับเนี่ยส่วน
00:17:45 → 00:17:48 ใหญ่เกิดจากการที่เราไม่สามารถคลายตัวเอง
00:17:48 → 00:17:51 ก่อนนอนได้นะเวลาจะนอนแล้วใช่มั้ยเราก็
00:17:51 → 00:17:54 ยังเล่นมือถืออยู่ยังทำงานอยู่ยังคิดว่า
00:17:54 → 00:17:57 พรุ่งนี้จะต้องทำอะไรอย่าเงี้ยตอนก่อนนอน
00:17:57 → 00:17:59 1 ช่มเนี่ยต้องพยายามคลายตัวเองละคลาย
00:18:00 → 00:18:03 ตัวเองเช่นอ่านหนังสือยืดเหยียดร่างกาย
00:18:03 → 00:18:06 ฟังธรรมะบ้างทำอะไรที่มันสบายๆบ้างอะไร
00:18:06 → 00:18:09 เงี้ยก็จะทำให้นอนนอนหลับง่ายขึ้นประมาณ
00:18:09 → 00:18:12 นั้นหนูก็เคยได้ยินมาว่าท้องเป็นสมองที่ 2
00:18:12 → 00:18:14 อ่าหนูเลยอยากถามคุณหมอว่ามันจริงมยคะ
00:18:14 → 00:18:17 เอ่อแรกๆเราก็ไม่ค่อยเชื่อนะแต่ว่าพอหลัง
00:18:17 → 00:18:21 ๆเนี่ยคนเข้ามาในคลินิกเนี่ยคลินิกเรา
00:18:21 → 00:18:23 เนี่ยรักษาโรคกดไลย้อนเป็นหลักใช่มยอแล้ว
00:18:23 → 00:18:26 เราสังเกตได้ว่าใครที่เป็นกดไหล่ย้อนอ่ะ
00:18:26 → 00:18:29 มักจะมีปัญหาเรื่องความเครียดด้วยเช่น
00:18:29 → 00:18:32 เป็นโรควิตกกังวลเป็นโรคเครียดง่ายเป็น
00:18:32 → 00:18:34 โรคแบบแพนิคอะไรพวกเนี้ยคือกดระย้อนกับ
00:18:34 → 00:18:36 แพนิคมันเหมือนคู่กันน่ะมาคู่กันอะไรอย่า
00:18:37 → 00:18:39 เงี้ยเราเริ่มเชื่อะว่าเออว่ะสงสัยไอ้
00:18:39 → 00:18:41 ท้องเนี่ยมันก็มีผลอะไรอย่างเงี้ยนะครับ
00:18:41 → 00:18:43 แต่ว่าถ้าใครก็ตามที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร
00:18:43 → 00:18:46 นะหรือโรคกดไหลย้อนอะไรก็ตามเนี่ยถ้าใคร
00:18:46 → 00:18:48 เคยเป็นจะรู้ดีว่าเราจะควบคุมอารมณ์ไม่
00:18:48 → 00:18:51 ได้คุณจะเป็นคนที่หงุดหงิดง่ายเป็นคนที่
00:18:51 → 00:18:53 ควบคุมอารมณ์ได้ไม่ค่อยเก่งอยู่แล้วนะ
00:18:53 → 00:18:56 แล้วก็เอ่อเราจะรู้สึกว่าเราคิดรบอ่ะใคร
00:18:57 → 00:18:59 ที่เป็นมีปัญหาเรื่องท้องนะฉะนั้นแล้ว
00:18:59 → 00:19:02 เนี่ยถ้าท้องไม่ดี 1 คิดลบนะแล้วก็เครียด
00:19:02 → 00:19:04 ง่ายแล้วก็สุดท้ายก็เป็นโรคซึมเศร้าโรค
00:19:04 → 00:19:07 แพนิคอะไรพวกนี้ได้ง่ายฉะนั้นก็ถือได้ว่า
00:19:07 → 00:19:10 เป็นสมองอันนึงได้เหมือนกันเนอะแล้วก็
00:19:10 → 00:19:13 ท้องเราเนี่ยมันรู้สึกได้นะเช่นเวลาคุณ
00:19:13 → 00:19:16 ขึ้นรถอ่ะขับเร็วๆอ่ะเออมันจะเสียวท้อง
00:19:16 → 00:19:19 น่ะเออมันรู้สึกได้ว่าจังหวะนี้ไม่ปลอด
00:19:19 → 00:19:21 ภัยเมื่อไหร่ก็ตามที่เราอยู่ในสภาวะไม่
00:19:21 → 00:19:23 ปลอดภัยอ่ะท้องเราจะปั่นปวดเออมันจะไม่
00:19:23 → 00:19:27 ใช่แค่เครียดไงงมันจะท้องมันจะแบบรัดตึง
00:19:27 → 00:19:30 อะไรอย่างเงี้ยอือืถ้าเป็นคนที่มีนิสัย
00:19:30 → 00:19:33 ขี้กลัวไม่มั่นใจนิสัยเนี้ยมันเกิดจาก
00:19:33 → 00:19:36 อะไรอ่ะค่ะอมันไม่ได้อยู่ดีปุ๊บแล้วมัน
00:19:36 → 00:19:40 เป็นนะมันเป็นเพราะว่าเราค่อยๆสะสมมาเออ
00:19:40 → 00:19:43 เช่นนะแพนด้านะบอกว่าพรุ่งเนี้ยแพนด้าจะ
00:19:43 → 00:19:46 ตื่น 5:00 นเออแล้วก็ตั้งนาฬิกาเลยนะ 5:00
00:19:46 → 00:19:50 นอแล้วปีงตื่นเลย 5:00 นแล้วทำไงสนุดสนุด
00:19:50 → 00:19:53 เออหรือกดอ่ะกดบอกว่าเอเดี๋ยวค่อยว่ากัน
00:19:53 → 00:19:56 เออทำวันนึงไม่เป็นไรนะแต่ถ้าคุณทำอย่าง
00:19:56 → 00:19:58 เงี้ยปีนึงเท่ากับคุณกำลังฝังไปในหัวบอก
00:19:58 → 00:20:01 ว่าไอ้มนุษย์คนเนี้ยไอ้ไอ้คนๆเนี้ยเป็นคน
00:20:01 → 00:20:05 ที่ไม่มีสัจจะทำอะไรไม่จริงจังไม่ตั้งใจ
00:20:05 → 00:20:07 ฉะนั้นเวลาคุณไปทำอะไรก็ตามอะไรอย่าง
00:20:07 → 00:20:10 เงี้ยคุณจะรู้สึกว่าฉันทำไม่สำเร็จหรอกก็
00:20:10 → 00:20:12 แค่ตื่นพรุ่งเนี้ยก็ตื่น 5:00 นทำมาปีนึง
00:20:12 → 00:20:14 ยังไม่ได้เลยอะไรอย่างเงี้ยนึกออกป่ะแต่
00:20:14 → 00:20:16 มันเป็นเพราะเราสะสมไปเรื่อยๆวันละนิดวัน
00:20:16 → 00:20:18 ละนิดไงโดยที่ไม่รู้ตัวสุดท้ายคุณจะเป็น
00:20:18 → 00:20:21 โรควิตกกังวลเป็นโรคขี้กลัวเป็นโรคที่คิด
00:20:21 → 00:20:24 ว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จเออฉะนั้นถ้า
00:20:24 → 00:20:26 ใครอยากจะเป็นคนหายขี้กลัวหายวิตกกังวล
00:20:26 → 00:20:28 น่ะมันต้องค่อยๆเติมความกล้าเข้าไปทีละ
00:20:28 → 00:20:31 นิดนะง่ายที่สุดก็คือพอตั้งนาฬิกา 18:00
00:20:31 → 00:20:35 นขึ้นมาอย่ากดสนูดนะตื่นเลยแล้วจะทำอะไร
00:20:35 → 00:20:38 ก็ได้จะไปแกว่งแข้นทำกับข้าวกินข้าวอะไร
00:20:38 → 00:20:40 ก็ได้ให้มีสัจจะต่อตัวเองอย่างน้อยเดือน
00:20:40 → 00:20:43 นึงแล้วความภาวะวิตกกังวลน่ะมันจะหายไป
00:20:43 → 00:20:45 มันก็จะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นมนุษย์คนใหม่
00:20:45 → 00:20:47 เออโดยที่ความวิตกกังวลก็จะค่อยๆหายแบบ
00:20:48 → 00:20:50 ธรรมชาติแล้วพฤติกรรมแบบไหนอ่ะคะที่มัน
00:20:50 → 00:20:52 สามารถนำไปสู่การเป็นภาวะแพนิคได้
00:20:53 → 00:20:55 พฤติกรรมเมันมีอยู่ 3 ประเภทที่เป็นแพนิค
00:20:55 → 00:20:58 นะ 1 ก็คือคนเป็นโรคกระเพาะเรื่อยๆโรคโรค
00:20:58 → 00:21:01 กระเพาะโรคกรดไหลย้อนเนี่ยเวลาเราเป็นโรค
00:21:01 → 00:21:03 กระเพาะโรคกรดไหลย้อนน่ะนะเราจะขาดสาร
00:21:03 → 00:21:06 อาหารสารอาหารคุณจะลดลงเรื่อยๆคือกินอะไร
00:21:06 → 00:21:08 เข้าไปมันก็จะสารอาหารจะลดลงไปเรื่อยๆใช่
00:21:08 → 00:21:10 มั้ยเวลาสารอาหารลดไปเรื่อยๆเนี่ยสมองจะ
00:21:10 → 00:21:13 บอกว่าซวยแล้วสารอาหารไม่มีอ่ะพอสารอาหาร
00:21:13 → 00:21:16 ไม่มีร่างกายจะคิดลบเสมอวิตกกังวลกลัว
00:21:16 → 00:21:19 นู่นกลัวนี่กลัวนั่นถ้าคุณระบบย่อยไม่ดี
00:21:19 → 00:21:22 ประมาณสักปีนึงมีปัญหาแน่มันก็จะมีปัญหา
00:21:22 → 00:21:25 เรื่องแพนิคขี้กลัวจะทำอะไรใหม่ๆก็ไม่
00:21:25 → 00:21:27 กล้าจะไปเที่ยวต่างจังหวัดก็ไม่เอาจะไป
00:21:27 → 00:21:29 กับเพื่อนเงี้ยไม่เอาเลยมันจะเกิดภาวะ
00:21:29 → 00:21:32 แพนิคนึกออกมอีกอันนึงก็คือเมื่อกี้ที่
00:21:32 → 00:21:34 เราคุยกันก็คือว่าคุณสะสมความกลัวเข้าไป
00:21:34 → 00:21:37 เองก็คือเติมเข้าไปเองอ่ะทำอะไรจะทำอะไร
00:21:37 → 00:21:40 ใหม่ๆก็ไม่เอาไม่เอาว่ากันก่อนนะจะนาฬิกา
00:21:40 → 00:21:43 ปลูก 5:00 นไม่เอาไม่เอาเออจะไปวิ่งค่อย
00:21:43 → 00:21:45 ว่ากันวันหลังอะไรอย่าเงี้ยคือมีข้อแม้
00:21:45 → 00:21:47 ให้ตัวเองตลอดเวลาแล้วเติมอย่างเงี้
00:21:47 → 00:21:50 ประมาณสักปีนึง 2 ปีสุดท้ายก็แพนิคก็มา
00:21:50 → 00:21:52 ได้เหมือนกันก็กลายเป็นคนที่วิตกกังวลได้
00:21:52 → 00:21:54 ง่ายหรือว่าอะไรอย่าเงี้ยนะครับอีกกลุ่ม
00:21:54 → 00:21:55 นึงอันเนี้ยเริ่มเจอเยอะนะคือคนที่เขา
00:21:56 → 00:21:58 ปฏิบัติธรรมมาเยอะมากๆอ่ะนะครับปฏิบัติ
00:21:58 → 00:22:01 ธรรมมาเยอะนั่งสมาธิมาเยอะมีจิตที่ตั้ง
00:22:01 → 00:22:03 มั่นได้ดีทำสติปัฏฐานมาเยอะอะไรอย่าง
00:22:03 → 00:22:04 เงี้ยอันนี้เค้าเรียกว่าจิตเค้ากำลัง
00:22:04 → 00:22:07 อัปเกรดอัปเกรดตัวเองอ่ะฉะนั้นเขาก็ต้อง
00:22:07 → 00:22:09 เป็นโรคแพนิคเหมือนข้อสอบอ่ะเหมือนเขา
00:22:09 → 00:22:12 กำลังจะ Entrance อ่ะเออว่าเก่งนักใช่
00:22:12 → 00:22:15 มั้ยได้เดี๋ยวเจอข้อสอบนี้ผ่านให้ได้นะ
00:22:15 → 00:22:18 มันก็จะกลายเป็นคนที่อยู่ดีๆนะเป็นคนที่
00:22:18 → 00:22:20 มีความสุขทุกอย่างเลยแต่อยู่ดีๆก็เปรี้ยง
00:22:20 → 00:22:22 เข้ามาเป็นโรคซึมเศร้าบ้างเป็นโรคแพนิค
00:22:22 → 00:22:25 บ้างอยู่ดีๆก็กลัวทุกอย่างทำลายทุกอย่าง
00:22:25 → 00:22:27 อะไรอย่างเงี้ยอประมาณนี้ก็มีเหมือนกัน
00:22:27 → 00:22:30 แล้วมันเกิดผ่านได้อมันมันเกิดจากอะไรอ่ะ
00:22:30 → 00:22:32 คะเกิดจากอะไรหมายถึงว่าแบบที่ 3 ใช่มั้ย
00:22:32 → 00:22:35 แบบที่ปฏิบัติธรรมมาเยอะๆแล้วอบอๆๆมันมัน
00:22:35 → 00:22:37 เป็นทางที่ดีใช่มั้ยคะกำลังจะอัปเกรดแต่
00:22:37 → 00:22:41 ว่าทำไมจู่ๆถึงต้องมาต้องมาเป็นแบบแพนิค
00:22:41 → 00:22:43 คือคนปฏิบัติธรรมอ่ะมันคือการที่เอาจิต
00:22:43 → 00:22:45 อยู่กับตัวเองอยู่ตลอดเวลานึกออกป่ะจิต
00:22:45 → 00:22:47 อยู่กเหมือนเหมือนเรานั่งคุยอย่างเงี้ย
00:22:47 → 00:22:49 เราให้จิตอยู่กับตัวเราอ่ะตลอดเวลาตลอด
00:22:49 → 00:22:52 เวลาอันนี้เเรียกว่าทำสติปัฏฐานเนาะพอทำ
00:22:52 → 00:22:56 เรื่อยๆเรื่อยๆใช่มยสมองนะหรือว่าร่างกาย
00:22:56 → 00:22:58 บอกว่าโอเคเก่งแล้วใช่มั้ยเดี๋ยวจะทำให้
00:22:58 → 00:23:00 มันหนักกว่านี้ก็คือพอเป็นแพนิคเนี่ยมัน
00:23:00 → 00:23:02 กลายเป็นว่าความรู้สึกที่คุณรู้สึกอ่ะมัน
00:23:02 → 00:23:05 ไม่ใช่ 1 วินาทีต่อ 1 เรื่องมันกลายเป็น
00:23:05 → 00:23:07 10 เรื่องใน 1 วินาทีฉะนั้นคุณจะรู้สึก
00:23:08 → 00:23:10 ตกกระใจอ่ะแบบเฮ้ยๆมันมันเร็วเกินไปเอ่อ
00:23:10 → 00:23:12 ผมชอบพูดกับคนไข้บ่อยๆว่าเหมือน
00:23:12 → 00:23:15 สไปเดอร์แมนเออก็คือจากปีเตอร์ปอร์ใช่
00:23:15 → 00:23:17 มั้ยปีเตอร์ปากเกอร์มันก็ทำอะไรไปเรื่อย
00:23:17 → 00:23:20 ใช่มั้ยแต่วันนึงพอมันเป็นสไปเดอร์แมนอ่ะ
00:23:20 → 00:23:22 มันเร็วอ่ะใจมันเร็วมากแล้วก็ความรู้สึก
00:23:23 → 00:23:25 มันเร็วเกินไปพอมันเร็วเกินไปเนี่ยมันก็
00:23:25 → 00:23:28 จะกลัวเฮ้ยมันเร็วเกินไปควบคุมไม่ได้อะไร
00:23:28 → 00:23:30 เนี่ยเกิดคิดความคิดลบและควบคุมไม่ได้
00:23:30 → 00:23:33 อะไรอย่างเงี้ยมันจะวุ่นวายแต่ว่าสุดท้าย
00:23:33 → 00:23:35 สไปเดอร์แมนก็ควบคุมตัวเองได้เออนั่นแหละ
00:23:36 → 00:23:39 ก็แสดงว่าเาสามารถเปลี่ยนตัวเองได้และจิต
00:23:39 → 00:23:41 เขาก็จะมั่นคงขึ้นฉะนั้นโลกแพนิคจริงๆมัน
00:23:41 → 00:23:44 ไม่หายนะแต่ว่ามันเป็นเพราะว่าคุณควบคุม
00:23:44 → 00:23:47 จิตของตัวเองได้แล้วต่างหากแบบนั้นน่ะมัน
00:23:47 → 00:23:50 ก็จะกลายเป็นคนที่เค้าเก่งโดยที่เป็นเก่ง
00:23:50 → 00:23:52 แบบธรรมชาติอ่ะคุณเคยเห็นเคยมีเพื่อนมั้ย
00:23:52 → 00:23:55 มันไม่อ่านหนังสือเลยเว้ยแล้วมันสอบได้
00:23:55 → 00:23:57 ตลอดเลยอ่ะเคยมีมั้ยเออมีมั้ยมันทำได้ไง
00:23:57 → 00:24:01 วะเออแล้วอยู่บางคนนะเป็นอัจฉริยะคิดนู่น
00:24:01 → 00:24:03 คิดนี่ออกได้อย่างมากนั่นน่ะคือจิตที่
00:24:03 → 00:24:06 พัฒนาแล้วคือจิตที่มันเร็วมากอ่ะเรียนรู้
00:24:06 → 00:24:08 นิดหน่อยรู้เรื่องและเรียบร้อยนั่นน่ะ
00:24:08 → 00:24:11 นั่นคือจิตที่พัฒนาแล้วซึ่งการเป็นแนิอ่ะ
00:24:11 → 00:24:14 จะทำให้จิตคุณน่ะสามารถพัฒนาจากจิตปกติ
00:24:14 → 00:24:16 อ่ะกลายเป็นจิตที่พิเศษขึ้นมาได้แต่อัน
00:24:16 → 00:24:19 นี้คือแพนิคในกรณีที่ 3 ที่ 3 ใช่ๆๆไม่
00:24:19 → 00:24:21 ไม่ไม่เกี่ยวกับแนิอย่างอื่นที่ใช่ๆไม่
00:24:21 → 00:24:23 ใช่เพราะขี้กลัวนะไม่ใช่เพราะขี้กลัวไม่
00:24:23 → 00:24:25 ใช่เพราะเป็นกฎย้อนไม่ใช่อันนั้นกูต้องไป
00:24:25 → 00:24:29 แก้ตัวเองอเดี๋ยวเข้าใจผิดคิดว่าโอดีเออ
00:24:29 → 00:24:31 ใช่ๆแต่ถามว่าเวลาเราเป็นแพนิคอ่ะสมมุติ
00:24:32 → 00:24:34 เราเป็นกดไลย้อนแล้วเป็นแพนิคอ่ะสุดท้าย
00:24:34 → 00:24:36 นิสัยคุณก็จะเปลี่ยนนะคุณก็จะกลายเป็นคน
00:24:36 → 00:24:37 ที่กล้ามากขึ้นเพราะว่ายังไงก็ต้อง
00:24:37 → 00:24:41 เปลี่ยนแล้วเวลาที่เรารู้สึกโกรธไม่พอใจอ
00:24:41 → 00:24:43 หรือว่ากำลังรู้สึกอยากพ่นไฟใส่คนอื่น
00:24:43 → 00:24:45 แล้วอย่างเงี้ยเราควรจะจัดการตัวเองยังไง
00:24:45 → 00:24:48 ดีคะอคือถ้าพ่นไปแล้วเนี่ยยังไงซะก็ต้อง
00:24:48 → 00:24:50 ขอโทษเ้านะขอโทษคนที่เราพ่นไปแล้วนะแต่
00:24:50 → 00:24:52 ถ้าสมมุติว่ายังไม่ได้พ่นแล้วเรารู้ตัว
00:24:52 → 00:24:55 เองก่อนเฮ้ยสติมารู้ตัวเองนะให้เราเอา
00:24:55 → 00:24:58 ความรู้สึกไว้ตามร่างกายเช่นสมมุตว่าเรา
00:24:58 → 00:25:00 กำลังพ่นจะพ่นไฟใช่มั้ยความร้อนมันจะเกิด
00:25:00 → 00:25:03 ขึ้นเช่นความร้อนที่หัวใจจะเกิดใช่มั้ย
00:25:03 → 00:25:05 ฉะนั้นเราก็ดูความร้อนที่หัวใจร้อนจังเลย
00:25:05 → 00:25:09 หัวใจเราเต้นเร็วตึ๊บๆๆๆๆๆเนี่ยก็ดูไปมัน
00:25:09 → 00:25:12 ร้อนเว้ยมันเร็วมากเลยเว้ยก็ดูไปแล้วก็
00:25:12 → 00:25:16 สักพักมันก็เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป
00:25:16 → 00:25:20 แบบเห็นๆเลยนะเออฉะนั้นการเกิดขึ้นตั้ง
00:25:20 → 00:25:22 อยู่ดับไปของความร้อนพอเราเห็นบ่อยๆใช่
00:25:22 → 00:25:25 ป่ะเราก็จะรู้สึกว่าเอ๊เราก็ไม่เห็นต้อง
00:25:25 → 00:25:28 มีความร้อนแบบนี้บ่อยๆนี่นะหรือถ้ามีมัน
00:25:28 → 00:25:30 ก็เป็นเป็นเรื่องเฉยๆเราก็ไม่ต้องใช้วิธี
00:25:30 → 00:25:33 การเอาความร้อนไปเหวี่ยงใส่คนอื่นซะหน่อย
00:25:33 → 00:25:36 เออประมาณนี้นะครับอืแล้วการเอาชนะอ่ะคะ
00:25:36 → 00:25:38 หมายถึงว่าแล้วถ้าสมมุติว่าเมื่อกี้มัน
00:25:38 → 00:25:42 เกิดขึ้นอ่าเรารู้ตัวอออือแล้วเราก็มัน
00:25:42 → 00:25:44 อาจจะกำลังดับไปก็ได้แต่มันอาจจะมีอัตรา
00:25:44 → 00:25:45 หรือว่ามีอะไรที่เรารู้สึกว่าไม่ได้เรา
00:25:45 → 00:25:48 ต้องเอาชนะอ่าอย่างงี้ทำยังไงดีอ่ะค่ะเอา
00:25:48 → 00:25:51 ชนะตัวเองหรือว่าเอาชนะเอาชนะคนคู่คู่
00:25:51 → 00:25:54 กรณีเราอย่างเงี้ยอ๋อโอเคอันนี้ก็เป็น
00:25:54 → 00:25:57 เรื่องปกตินะคือมนุษย์เราเนี่ยมันถูก
00:25:57 → 00:26:00 สร้างมาเพื่อให้เอาเอาชนะอยู่ปกติฉะนั้น
00:26:00 → 00:26:02 ให้มองเป็นเรื่องปกติก่อนว่าเอออันเนี้ย
00:26:02 → 00:26:05 ปกติและที่คุณพยายามจะเอาชนะคนนู้นคนนี้
00:26:06 → 00:26:08 คนนั้นแต่ว่าพอเรามองเป็นเรื่องปกติใช่
00:26:08 → 00:26:11 มั้ยเราก็พยายามทำตัวให้มันเป็นกลางๆเวลา
00:26:11 → 00:26:14 เรามีเมตตาอยู่ทั้งวันนะเช่นเราเห็นน้อง
00:26:14 → 00:26:17 หมาน้องแมวเราก็เอออย่างน้อยก็เออๆน่า
00:26:17 → 00:26:19 สงสารจังเลยไปลูบหัวมันหน่อยอะไรอย่าง
00:26:19 → 00:26:20 เงี้ยนะครับหรือว่าเราเจอใครที่กำลัง
00:26:20 → 00:26:22 ทุกข์ใจเราก็ตบบ่าเ้าหน่อยอะไรอย่างเงี้ย
00:26:22 → 00:26:25 นะครับไอ้การทำแบบเนี้ยจะเป็นการเติมธาตุ
00:26:25 → 00:26:28 น้ำให้เราบ่อยๆฉะนั้นน่ะตัวเราเราเองอ่ะ
00:26:28 → 00:26:31 จะไม่มีพลังธาตุไฟที่มันกำเริบขึ้นมาบ่อย
00:26:31 → 00:26:34 ๆฉะนั้นก็เราควบคุมด้วยเมตตาก็จะช่วยให้
00:26:34 → 00:26:37 เราเนี่ยไม่ได้อยู่ในภาวะเอาชนะตลอดเวลา
00:26:37 → 00:26:39 ความโกรธไปแล้วแล้วความเศร้าล่ะคะความ
00:26:39 → 00:26:42 เศร้าเนี่ยจริงๆมันมันคืออะไรคะความเศร้า
00:26:42 → 00:26:45 เนี่ยก็คือการที่เราต้องเค้าเรียกว่า
00:26:45 → 00:26:47 ทำลายอะไรบางอย่างทิ้งอะไรบางอย่างเออกไป
00:26:48 → 00:26:51 เช่นทิ้งแฟนที่เคยรักมากอะไรอย่าเงี้ย
00:26:51 → 00:26:53 ทิ้งของรักของหวงอะไรอย่างเงี้ยทิ้งความ
00:26:54 → 00:26:56 รู้นะความรู้เนี่ยเอาออกยากมากนะเราเคยมี
00:26:56 → 00:26:59 ความรู้เนี่ยโหหนักมากเลยแต่พอเราไปเจอคน
00:26:59 → 00:27:02 ๆเนี้ยหหมันโคตรเก่งเลยเว้ยแล้วเราก็ยัง
00:27:02 → 00:27:05 หวงความรู้เราอ่ะแล้วเราก็จะไม่ยอมใช่มั้
00:27:05 → 00:27:06 เฮ้ยเราต้องเก่งกว่าอะไรอย่าเงี้ยไอ้
00:27:06 → 00:27:09 สภาวะเนี้ยสุดท้ายจะเราจะเจอความเศร้าก็
00:27:09 → 00:27:12 คือว่าเราไม่สามารถทิ้งความรู้เก่าๆแล้ว
00:27:12 → 00:27:14 ก็ไปดำเนินให้เป็นความรู้ใหม่ๆได้อะไร
00:27:14 → 00:27:17 อย่าเงี้ยฉะนั้นความเศร้าส่วนใหญ่เกิดจาก
00:27:17 → 00:27:20 การที่เราไม่ยอมทิ้งของเก่าๆแล้วก็ไป
00:27:20 → 00:27:23 เริ่มใหม่อะไรอย่างเงี้ยอือเหมือนยึด
00:27:23 → 00:27:26 เหมือนยึดเอาไว้ใช่ๆแล้วจริงๆแล้วเนี่ย
00:27:26 → 00:27:29 ความเศร้ามันมีข้อดีบ้างมคะความเศร้าทำ
00:27:29 → 00:27:32 ให้เราลดอัตราเราลดความยึดติดเราเพราะถ้า
00:27:32 → 00:27:35 เราไม่เศร้าเลยเนี่ยเราก็จะมีของเต็มบ้าน
00:27:35 → 00:27:40 เลยใช่มั้ยเออเราจะมีคนล้อมรอบกายเต็มไป
00:27:40 → 00:27:42 หมดวุ่นวายไปหมดเลยอะไรอย่างเงี้ยแล้วเรา
00:27:42 → 00:27:44 ก็จะหวงของอยู่อย่างงั้นน่ะแต่ถ้าเรา
00:27:44 → 00:27:46 เศร้าเป็นใช่มั้ยเราก็เออเอออันนี้มันไม่
00:27:46 → 00:27:50 ใช่ของของเราแล้วนะก็ปล่อยไปเออความรู้
00:27:50 → 00:27:53 นี้มันเก่าไปแล้วะปล่อยไปเห็นมเอ่อแฟนเรา
00:27:53 → 00:27:56 เค้าไม่รักเราแล้วนะก็ปล่อยไปนะอันนี้คือ
00:27:56 → 00:27:58 ความเศร้าพอมันจบแล้วเนี่ยเราจะจะได้ความ
00:27:58 → 00:28:01 สุขกลับคืนมาแล้วเราก็จะกลับมามีความสุข
00:28:01 → 00:28:05 แบบใหม่ๆได้ง่ายเา้าชอบพูดกันว่าเมื่อ
00:28:05 → 00:28:09 ประตูนึงอ่ะปิดประตูนึงอ่ะมันจะเปิดทันที
00:28:09 → 00:28:12 ทันทีเลยนะเออฉะนั้นไอ้ประตูปิดแล้วก็
00:28:12 → 00:28:15 เปิดเนี่ยสภาวะเนี้ยเราจำเป็นจะต้องผ่าน
00:28:15 → 00:28:18 ความเศร้ามันผ่านความดีใจไม่ได้ความดีใจ
00:28:18 → 00:28:20 ไม่สามารถปึ๊บอย่างเงี้ยขึ้นมาได้อะไเงี้
00:28:20 → 00:28:22 เพราะฉะนั้นมันทำให้เราเข้าใจว่าทุกๆ
00:28:22 → 00:28:24 อารมณ์ที่มันเกิดขึ้นกับเรามันก็มีโอกาส
00:28:24 → 00:28:26 เกิดขึ้นได้อือแล้วถ้าเราเข้าใจมันมันก็
00:28:26 → 00:28:29 อาจจะนำไปสู่ทางที่มันดีขึ้นคือเราจะโต
00:28:29 → 00:28:32 ขึ้นครับใช่ๆครับคือช่วงหลังๆมาเนี้ยค่ะ
00:28:32 → 00:28:35 เราจะเห็นว่าคนน่ะอือเป็นโรคซึมเศร้ากัน
00:28:35 → 00:28:37 เยอะมากเห็นแบบในโซเชียลหรือว่าเวลาเกิด
00:28:37 → 00:28:40 เหตุอะไรก็ตามมาจะบอกว่าเรามีปัญหาเรื่อง
00:28:40 → 00:28:42 โรคซึมเศร้าก็เลยอยากรู้ว่าโรคซึมเศร้า
00:28:42 → 00:28:44 เนี่ยจริงๆมันเป็นกันง่ายขนาดนั้นเลยมั้ย
00:28:44 → 00:28:47 คะคือถ้าเป็นยุคคุณพ่อคุณแม่เราเนี่ยเค้า
00:28:47 → 00:28:50 ไม่มีเวลามาพิจารณาตัวเองแบบยุคปัจจุบัน
00:28:50 → 00:28:52 เนาะเคก็มีหน้าที่หาเงินทำงานมีลูกใช่
00:28:52 → 00:28:55 มั้ยแล้วก็วนหลูปอย่างเงี้ยมาเรื่อยๆจริง
00:28:55 → 00:28:58 ๆโลกเราก็เป็นอย่างงี้มาตลอดนะเออจะมียุค
00:28:58 → 00:29:00 เราเนี่ยมันมีเครื่องอำนวยความสะดวกสะดวก
00:29:00 → 00:29:02 เยอะใช่มั้ยเออมีทั้ง AI มีทั้งเครื่อง
00:29:02 → 00:29:06 ดูดฝุ่นออโต้ใช่มั้ยเออแล้วก็คนอยู่คอนโด
00:29:06 → 00:29:08 แล้วไม่ต้องมากวาดบ้านถูบ้านคนมีลูกน้อย
00:29:08 → 00:29:11 ลงด้วยอะไรอย่าเงี้ยคนจึงมีเวลาในการ
00:29:11 → 00:29:14 พิจารณาตัวเองเยอะขึ้นมีเวลาในการที่รู้
00:29:14 → 00:29:16 สึกว่าเอ๊ะตอนนี้เรารู้สึกเศร้าป่ารู้สึก
00:29:16 → 00:29:20 เซ็งแล้วเ่ารู้สึกว่าเอ้ยทำไมคนๆนี้ทำกับ
00:29:20 → 00:29:22 เราแบบนี้อะไรอย่างเงี้ยมันเป็นมีเวลาใน
00:29:22 → 00:29:24 การที่จะเรียนรู้กับเรื่องพวกนี้ฉะนั้นใน
00:29:24 → 00:29:28 ยุคปัจจุบันคนจึงมีภาวะเกี่ยวกับอารมณ์ก็
00:29:28 → 00:29:30 ค่อนข้างเยอะนะอันนี้อันที่ 1 นะอันที่ 2
00:29:30 → 00:29:32 ก็คือว่าชีวิตปัจจุบันเนี่ยมันค่อนข้าง
00:29:32 → 00:29:35 เร็วไปหน่อยพอมันเร็วปุ๊บเนี่ยสติตามไม่
00:29:35 → 00:29:38 ทันพอสติมันตามไม่ทันเนี่ยมันก็พอรู้สึก
00:29:38 → 00:29:41 ว่าเศร้าก็ไม่รู้จะทำไงก็โอเคซึมเศร้าอื
00:29:41 → 00:29:44 พอรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกเอ้ยเราคิดลบจัง
00:29:44 → 00:29:46 เลยอ่ะเนี่ย 2-3 วันเนี้ยเราก็รู้สึกแล้ว
00:29:46 → 00:29:49 เออนี่ภาวะซึมเศร้าเอหรือเรารู้สึกว่า
00:29:49 → 00:29:51 ช่วงนี้มันดิ่งมากเลยอ่ะเนี่ยดิ่งมาเดือน
00:29:51 → 00:29:53 นึงแล้วไม่กล้าออกจากบ้านอะไรอย่างเงี้ย
00:29:53 → 00:29:55 ก็กลับไปที่ซึมเศร้าได้อะไรอย่าเงี้ย
00:29:55 → 00:29:58 ฉะนั้นมันก็คำว่าซึมเศร้ามันค่อนค่อนข้าง
00:29:58 → 00:30:01 จะกว้างในยุคปัจจุบันนะคนก็เลยบอกว่าฉัน
00:30:01 → 00:30:03 เป็นโรคซึมเศร้าได้แต่จริงๆแล้วเนี่ยทั้ง
00:30:03 → 00:30:06 หมดทั้งหลายทั้งมวลเนี่ยมันก็คือภาวะที่
00:30:06 → 00:30:09 เรากำลังทำลายไอ้สิ่งที่เรากำลังยึดถือ
00:30:09 → 00:30:13 อยู่ทำลายเอ่ออาชีพเก่าๆทำลายชื่อเสียง
00:30:13 → 00:30:16 เก่าๆทำลายความคิดเก่าๆแนวคิดเก่าๆอะไร
00:30:16 → 00:30:18 อย่างเงี้ยนะครับคนที่อยู่ในสภาวะเนี้ย
00:30:18 → 00:30:21 เป็นเรื่องปกติดีแล้วอ่ะคือมันต้องทำลาย
00:30:21 → 00:30:24 เนาะถ้าไม่ทำลายแล้วจะเริ่มใหม่ได้ยังไง
00:30:24 → 00:30:26 ฉะนั้นแล้วเนี่ยในในยุคปัจจุบันที่คนเป็น
00:30:26 → 00:30:29 โรคซึมเศร้าเนี่ยผมก็จะอยากบอกทุกท่านน่ะ
00:30:29 → 00:30:32 นะบอกว่าอยากให้ดีใจนะว่าเออเนี่ยคือภาวะ
00:30:32 → 00:30:36 ที่คุณกำลังเริ่มของใหม่ทำลายของเก่าแล้ว
00:30:36 → 00:30:38 ก็จะได้เปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ๆซะทีอะไร
00:30:38 → 00:30:41 อย่างเงี้ยนะครับอืแต่ก็ต้องมีสติรู้ตัว
00:30:41 → 00:30:45 ด้วยใช่ๆๆเพราะว่าบางทีถ้าเป็นแล้วสติตาม
00:30:45 → 00:30:47 ไม่ทันมันก็อาจจะอพลิกไปในเส้นทางที่ไม่
00:30:47 → 00:30:50 ดีได้ใช่ๆๆผมอ่ะเป็นโรคซึมเซร้ามาแล้วนะ
00:30:50 → 00:30:54 เออแล้วก็เคยพูดกับแฟนอะไรเงี้ยจะไปตอน
00:30:54 → 00:30:56 เป็นซึมเศร้านั้นก็ต้องไปจะต้องตายแล้ว
00:30:56 → 00:30:58 เดี๋ยวนี้อะไรเงี้ยเราเข้าใจแล้วนะคนที่
00:30:58 → 00:31:00 เป็นซึมเศร้ามันเศร้าขนาดไหนอะไรอย่าง
00:31:00 → 00:31:03 เงี้ยแต่สุดท้ายพอผ่านตนั้นมาได้เข้าใจ
00:31:03 → 00:31:05 ได้แล้วเนี่ยเรารู้สึกว่าเออโชคดีจริงๆ
00:31:05 → 00:31:09 อ่ะที่เป็นพอเป็นปุ๊บเข้าใจเวลาวันหน้านะ
00:31:09 → 00:31:12 ที่เราเป็นใหม่นะเราไม่กลัวละอืเราเฉยๆ
00:31:12 → 00:31:15 อ่ะเพราะเราจัดการกับมันได้ถูกต้องถูอื
00:31:15 → 00:31:18 ค่ะใครที่ติดตามเพจเานิสายอตรายอยู่นะคะ
00:31:18 → 00:31:20 พลาดไม่ได้เลยเพราะว่าตอนนี้เ่าออก
00:31:20 → 00:31:23 หนังสือเล่มแรกแล้วนะคะ How to กชีวิต
00:31:23 → 00:31:25 ให้ดีกว่าเดิมหนังสือ S help ที่ไม่ได้
00:31:25 → 00:31:27 มาจากการเรียนคอร์สต่างประเทศแล้วมาสอนคน
00:31:27 → 00:31:29 ไทยนะคะแต่เกิดจากภูมิปัญญาคนไทยนี่ล่ะ
00:31:29 → 00:31:32 ค่ะที่ได้ศึกษาฝึกฝนอบรมตนเองมากว่า 30
00:31:32 → 00:31:35 ปีแล้วยังจะเอาไปสอนชาวต่างชาติอีก 200
00:31:35 → 00:31:38 ประเทศทั่วโลกด้วยค่ะมันจึงเป็นการรวบรวม
00:31:38 → 00:31:41 เคล็ดลับการกราวแบบอินเตอร์เพื่อให้เรา
00:31:41 → 00:31:44 เป็น Better Version ในแต่ละวันค่ะถ้าสน
00:31:44 → 00:31:46 ใจนะคะอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมก็ไปดู
00:31:46 → 00:31:49 ที่คลิปของกรารีวิวได้นะคะหรือว่าถ้าเิด
00:31:49 → 00:31:52 อยากจะกราอีแนวก็สั่งซื้อได้เลยตามร้า
00:31:52 → 00:31:55 หนังสือชั้นนำทั่วประเทศ
00:31:55 → 00:31:58 ค่ะเมื่อกี้คุณหมอพูดถึงเรื่องการใช้ชีวิ
00:31:58 → 00:32:01 แบบเร่งๆหนูก็เลยอยากรู้ว่าการใช้ชีวิต
00:32:01 → 00:32:03 แบบเหยียบคันเร่งมันคืออะไรอ่ะคะอคำว่า
00:32:03 → 00:32:05 เหยียบคันเร่งก็คือเรามองแต่เป้าหมาย
00:32:05 → 00:32:08 อย่างเดียวแล้วเราก็ไม่เอาปัจจุบันเลยเออ
00:32:08 → 00:32:11 บอกว่าเราจะต้องมีเงินเดี๋ยวนี้นะวัยรุ่น
00:32:11 → 00:32:13 นะชอบทำนะ 30 ล้านภายใน 1 เดือนอะไรอย่าง
00:32:13 → 00:32:15 เงี้ยเนี่ยเคยเคยเห็นนะเคยได้ยินใช่มั้ย
00:32:15 → 00:32:17 เออแบบต้องทำให้ได้ 1 ล้านต่อวันหรือว่า
00:32:17 → 00:32:19 อะไรก็ตามอย่างเงี้ยใครก็ตามที่เราเอา
00:32:19 → 00:32:22 เป้าหมายหนักๆเป็นเป็นที่ตั้งแบบเนี้ยนะ
00:32:22 → 00:32:24 ครับคุณจะรู้สึกสุขก็ต่อเมื่อคุณถึงอ่ะ
00:32:24 → 00:32:26 ถูกป่ะเออฉะนั้นระหว่างทางอ่ะคุณจะไม่มี
00:32:26 → 00:32:28 ความรู้สึกความรู้สึกอ่ะความรู้สึกเช่น
00:32:28 → 00:32:30 สมมุตินะระหว่างทางในเดือนเนี้ยที่คุณ
00:32:30 → 00:32:32 ตั้งไว้ 30 ล้านน่ะแล้วคุณไปเที่ยวทะเล
00:32:32 → 00:32:33 กับเพื่อนไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนน่ะเพื่อน
00:32:33 → 00:32:37 ก็เฮฮาไปเที่ยวทะเลมีความสุขคุณไม่รู้สึก
00:32:37 → 00:32:40 สุขกับทะเลเลยนะเออไม่รู้สึกกับน้ำที่มา
00:32:40 → 00:32:43 โดนขาอากาศดีๆเที่ยวกับเพื่อนเพื่อนเล่น
00:32:43 → 00:32:45 มุกกันเนี่ยคุณไม่รู้สึกอะไรเลยนะคุณรู้
00:32:45 → 00:32:48 สึกแค่ว่าถึง 30 ล้านเมื่อไหร่ฉันถึงจะ
00:32:48 → 00:32:50 เรียกว่ามีความสุขได้ฉะนั้นไอ้ภาวะเร่ง
00:32:50 → 00:32:53 รีบอ่ะมันคือภาวะที่ตัดความรู้สึกตัวเอง
00:32:53 → 00:32:57 ทิ้งแล้วก็เอาแต่ความคิดเป็นที่ตั้งแบบ
00:32:57 → 00:33:00 นี้อันตรายมากเวลาคุณเจอภาวะแบบเอ่อดิ่ง
00:33:00 → 00:33:02 อ่ะดิ่งก็คือว่าไม่เป็นอย่างที่คุณคิดอ่ะ
00:33:02 → 00:33:04 คุณพังเลยนะเพราะว่าคุณไม่เหลือความสุข
00:33:04 → 00:33:06 เลยไงเพราะความสุขคุณมีอย่างเดียวถูกมั้ย
00:33:06 → 00:33:10 ต้องถึงเท่านั้นถ้าไม่ถึงก็ทุกข์ใช่มั้ย
00:33:10 → 00:33:12 แต่ถ้าเราบอกว่าโอเคเราจะทำให้ดีเรื่อยๆ
00:33:12 → 00:33:15 โอเคมีเป้าน่ะมีเป้าเอาเป้าที่มันพอจะ
00:33:15 → 00:33:17 เป็นไปได้นะครับเอาเป้าที่มันเป็นไปได้
00:33:17 → 00:33:19 ระหว่างทางเรามีความสุขไปด้วยฉะนั้นทุก
00:33:19 → 00:33:21 วันที่คุณมีความสุขอ่ะเท่ากับคุณเก็บ
00:33:21 → 00:33:23 เกี่ยวความสุขใช่ป่ะความสุข 1 ที่ไป
00:33:23 → 00:33:26 เที่ยวทะเลกับเพื่อนความสุข 2 ได้กินข้าว
00:33:26 → 00:33:28 กับคุณพ่อคุณแม่อร่อยๆความสุข 3 ได้ทำกับ
00:33:29 → 00:33:31 ข้าวอะไรเงี้ยเท่ากับระหว่างทางในเดือน
00:33:31 → 00:33:33 นั้นน่ะคุณเก็บความสุขไว้ะปรากฏว่าคุณได้
00:33:33 → 00:33:36 ยอดไม่ถึงอ่ะคุณรู้สึกเฉยๆไม่มีหรอกเพราะ
00:33:36 → 00:33:39 คุณรู้สึกว่าก็ต้องโหมีความสุขเก็บมาตั้ง
00:33:39 → 00:33:41 เยอะแล้วะไอ้นั่นมันนิดเดียวเองไม่เป็นไร
00:33:41 → 00:33:44 แก้ไขได้นะฉะนั้นใครก็ตามที่เร่งรีบเกิน
00:33:44 → 00:33:47 ไปอ่ะจะมีปัญหาคือเราจะใช้ชีวิตอยู่กับ
00:33:47 → 00:33:50 ความคิดแล้วก็จะทุกข์ได้ค่อนข้างสาสากรนะ
00:33:50 → 00:33:53 ทีเนี้ยมันจะมีทุกวันเนี้ยคนเราอ่ะชอบทำ
00:33:53 → 00:33:56 อะไรแบบหลายๆอย่างอืหรือที่เขาเรียกกัน
00:33:56 → 00:33:58 ว่า multitasking ครับๆซึ่งมันอยู่ในไอ้
00:33:58 → 00:34:01 นี่ด้วยนะเวลารับสมัครรับสมัครคนน่ะค่ะ
00:34:01 → 00:34:03 รับสมัครงานคือเขียนไว้เลยว่าอยากได้คน
00:34:03 → 00:34:06 ที่มาจริงใช่ซึ่งคุณหมอมีมีมุมมองยังไง
00:34:06 → 00:34:09 กับการการเป็น multitasking บ้างคโอเคคือ
00:34:09 → 00:34:12 multitasking ไม่ใช่ไม่ดีนะแต่ถ้าคุณทำ
00:34:12 → 00:34:16 ด้วยสติอ่ะอันนี้เวิร์คมากเอคือ multitask
00:34:16 → 00:34:18 อ่ะทำหลายอย่างได้แต่คุณสามารถมีสติกับ
00:34:18 → 00:34:21 ทุกอย่างที่คุณทำได้นะอันนี้โอ้โหสุดยอด
00:34:21 → 00:34:25 คุณเป็นพนักงานที่ระดับโลกเออถือว่าดีแต่
00:34:25 → 00:34:28 ถ้าสมมุติว่าคุณทำมัติสแต่ว่าสติไม่มีอ่ะ
00:34:28 → 00:34:31 เอาแค่เสร็จพอแค่เสร็จอ่ะเสร็จส่งเจ้านาย
00:34:31 → 00:34:34 อ่ะเออหรือเสร็จส่งสังคมอะไรว่ากันไปนะ
00:34:34 → 00:34:36 เออแบบเนี้ยพอทำเรื่อยๆๆๆนะคุณจะรู้สึก
00:34:37 → 00:34:39 ว่า burn Out อ่ะอือไม่มีความสุขแต่ถ้า
00:34:39 → 00:34:42 คุณรู้สึกว่าทุกๆงานที่คุณทำอ่ะแหละแม้
00:34:42 → 00:34:45 ว่ามันจะเป็นมิสนะทำแต่ว่าทำด้วยสตินะทำ
00:34:45 → 00:34:49 ด้วยสติมีความสุขกับการกระทำสนุกไปกับมัน
00:34:49 → 00:34:51 นะแบบเนี้ยมันจะไม่ burn Out ต่อให้งาน
00:34:51 → 00:34:53 มันเยอะก็ตามนะมันก็จะไม่เบิรนเอาหนูจะ
00:34:53 → 00:34:56 ถามว่าความคิดลบซึ่งเมื่อกี้คุณหมอพูดไป
00:34:56 → 00:34:58 แล้วด้วยมีแต่แตะมาแล้วว่าความคิดลบมัน
00:34:58 → 00:35:00 เกิดขึ้นจากก็ร่างกายเราด้วยอ่าหนอยากถาม
00:35:00 → 00:35:03 อีกครั้งนึงว่าความคิดลบเนี่ยมันมันเกิด
00:35:03 → 00:35:07 ขึ้นได้ยังไงที่ถามเพราะว่าหลายๆคนน่ะอาจ
00:35:07 → 00:35:10 จะรู้ตัวว่าเราเป็นคนคิดลบหรืออาจจะมีคน
00:35:10 → 00:35:13 บอกว่าเธอเป็นคนคิดลบอย่างเงี้ยซึ่งหนู
00:35:13 → 00:35:15 อยากให้เารู้ว่าจริงๆมันมันแก้ไขได้คือ
00:35:15 → 00:35:18 ความคิดลบเนี่ยเป็นเรื่องปกติสำหรับ
00:35:18 → 00:35:21 มนุษย์นะเพราะว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อเอาตัว
00:35:21 → 00:35:24 รอดนึกออกมั้ยการเอาตัวรอดเนี่ยสมมุติว่า
00:35:24 → 00:35:27 เราอยู่ในถ้ำกับเพื่อน 2 คนแล้วอาาหารมี
00:35:27 → 00:35:29 อยู่ชิ้นเดียวอ่ะคุณจะถ้าคุณคิดบวกก็คือ
00:35:29 → 00:35:33 ไม่เป็นไรเอาไปสุดท้ายคุณตายเออฉะนั้น
00:35:33 → 00:35:35 แล้วเนี่ยมนุษย์ถูกสร้างมาให้คิดลบคุณ
00:35:35 → 00:35:38 ต้องนี่อาหารของฉันเธอตายซะอันนี้คือเป็น
00:35:38 → 00:35:40 เรื่องปกตินะต้องบอกก่อนนะแต่ว่าถ้ามัน
00:35:40 → 00:35:43 ปกติมากกว่าคือให้มีเมตตาเฮ้ยอาหารชิ้น
00:35:43 → 00:35:46 นั้นน่ะแบ่งเหอะอืนะไม่ต้องไม่ต้องคุณคน
00:35:46 → 00:35:49 เดียวให้แบ่งฉะนั้นน่ะถ้าเรามีเมตตาอยู่
00:35:49 → 00:35:52 เสมอกับทุกเรื่องนะมันก็จะกลายเป็นว่า
00:35:52 → 00:35:57 โอเคความคิดลบมาได้แต่เราก็จะแก้ไขมันได้
00:35:57 → 00:35:59 อย่าอย่างราบรื่นอ่ะเอออย่างเช่นในที่ทำ
00:35:59 → 00:36:01 งานที่ประชุมกันเนี่ยทุกคนเข้ามาด้วยค
00:36:01 → 00:36:04 พลังลบอ่ะเออแต่ถ้าคุณเข้าไปในห้องที่ทำ
00:36:04 → 00:36:07 งานนะคุณแจกขนมก่อนเลยเออขนมเออนู่นนี่
00:36:07 → 00:36:10 นั่นนะเฮ้ยวันนี้เบาๆหน่อยนะพี่นะอะไร
00:36:10 → 00:36:12 อย่างเงี้ยนึกออกป่ะความลบของเขาอ่ะมันก็
00:36:12 → 00:36:16 ลดลงไปถูกมั้ยแทนที่เราจะพูดด้วยภาษาที่
00:36:16 → 00:36:18 ไม่สุภาพอ่ะพูดด้วยภาษาสุภาพจริงๆมันก็
00:36:18 → 00:36:20 คือการเอาชนะอะไรบางอย่างนึกออกป่ะแต่ว่า
00:36:20 → 00:36:23 ถ้าคุณพูดเพราะใช่มั้ยคุณมีเมตตาอยู่ใช่
00:36:23 → 00:36:26 มั้ยคุณก็จะดำรงชีวิตได้ด้วยการที่ยัง
00:36:26 → 00:36:28 เป็นภาวะที่เป็นมนุษย์อยู่ที่ยังต้องคิด
00:36:28 → 00:36:31 ลบอยู่อนะด้วยเมตตาฉะนั้นภาวะเมตตาเนี่ย
00:36:32 → 00:36:34 จะทำให้เราเนี่ยเเรียกว่าจิตอ่ะมันสูง
00:36:34 → 00:36:36 ขึ้นเรื่อยๆเนแล้วเราก็สามารถดำรงชีวิต
00:36:36 → 00:36:39 อยู่เป็นที่รักของคนอื่นแล้วก็มีชีวิตที่
00:36:39 → 00:36:41 ดีขึ้นทุกวันทุกวันอะไรอย่าเงี้ยได้นอก
00:36:41 → 00:36:44 จากความคิดลบแล้วอือมันจะมีเรื่องนึงที่
00:36:44 → 00:36:47 หลายๆคนชอบพูดซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจริงหรือ
00:36:47 → 00:36:49 ไม่เกิดขึ้นจริงก็ไม่รู้แต่เราพูดแล้วคือ
00:36:49 → 00:36:51 เวลาเราเจออะไรบางอย่างแล้วเราบอกว่าเรา
00:36:51 → 00:36:54 ตั้งกำแพงไว้สูงภาวะการตั้งกำแพงหรือ
00:36:54 → 00:36:56 อันเนี้ยมันมันคืออะไรจริงๆแล้วเนี่ยคือ
00:36:56 → 00:36:59 มนุษย์เราเนี่ยนะมันจะต้องตั้งกตั้งกำแพง
00:37:00 → 00:37:03 ให้ตัวเราก่อนใช่มยเออว่าเฮ้ยฉันน่ะจะ
00:37:03 → 00:37:07 ต้องเรียนจบวิศวกรอะไรอย่าเงี้ใช่มยเรียน
00:37:07 → 00:37:10 จบหมอถึงจะมีชีวิตที่ดีได้อะไรอย่าเงี้
00:37:10 → 00:37:13 ใช่มเมื่อไหร่ก็ตามที่เราตั้งไอ้พวกกลุ่ม
00:37:13 → 00:37:15 กำแพงพวกเไว้สูงเนี่ยเท่ากับความสุขของ
00:37:15 → 00:37:18 คุณมันจะยากขึ้นยากขึ้นเรื่อยๆนึกออกม
00:37:18 → 00:37:21 แล้วพอคุณสมมุตินะคุณเรียนจบวิชากรหรือจบ
00:37:21 → 00:37:24 แพทย์นะคุณจะไม่พอใจแค่นี้ถูกป่ะเออคุณก็
00:37:24 → 00:37:28 จะต้องมีเงินเดือนเยอะใช่มยมีฟแฟนที่ดี
00:37:28 → 00:37:30 ฉะนั้นกำแพงคุณน่ะไม่มีทางเท่าเดิมนะ
00:37:30 → 00:37:33 เหมือนกันเลยเวลาเรามีกำแพงแบบนี้เกิด
00:37:33 → 00:37:36 ขึ้นกับตัวเรานะเราก็จะมีกำแพงแบบนี้กับ
00:37:36 → 00:37:40 คนอื่นด้วยเหมือนกันฉะนั้นแล้วเนี่ยกำแพง
00:37:40 → 00:37:42 ไม่ใช่สิ่งดีที่จะเกิดขึ้นฉะนั้นแล้ว
00:37:42 → 00:37:45 เนี่ยเวลาเราทำอะไรก็ตามนะให้เราเอาความ
00:37:45 → 00:37:48 สุขอ่ะมาอยู่ที่ต้นเหตุเราเรียนหมอเพราะ
00:37:48 → 00:37:51 ว่าเราอยากรักษาโรคคนนะไม่ได้ไม่ได้บอก
00:37:51 → 00:37:54 ว่าอยากเรียนหมอเพื่อจะได้มีหน้ามีตาใน
00:37:54 → 00:37:57 สังคมอยากเรียนวิศวกรเพื่อที่จะได้มีมี
00:37:57 → 00:37:59 เงินเดือนเยอะอย่างเดียวไม่ใช่ก็คือว่า
00:37:59 → 00:38:03 เราตั้งเหตุที่ดีพอเราจะมีแฟนสักคนใช่
00:38:03 → 00:38:06 มั้ยเราดูที่นิสัยเเค้าดีมั้ยเ้าไปเที่ยว
00:38:06 → 00:38:08 กับเราเช่วยเหลือเราไมั้ยอะไรอย่าเงี้ย
00:38:08 → 00:38:12 ใช่มทำเหตุที่ดีเดี๋ยวผลมันดีเองถ้าใครทำ
00:38:12 → 00:38:15 แบบนี้นะจะไม่มีไอ้พวกภาวะกำแพงอ่ะมามา
00:38:15 → 00:38:17 ยุ่งแต่ภาวะกำแพงนี่แหละที่ทำให้คนเนี่ย
00:38:17 → 00:38:19 มันทุกข์อ่ะนึกออกมั้ยเพราะว่ากว่าที่จะ
00:38:19 → 00:38:21 มีความสุขสักอย่างนึงอ่ะกว่าจะข้ามกำแพง
00:38:21 → 00:38:24 ได้อ่ะเหนื่อยอ่ะฉะนั้นแล้วนะพยายามทำ
00:38:24 → 00:38:28 เหตุให้ดีเดี๋ยวผลดีเองภาวะการทำลายตัว
00:38:28 → 00:38:31 เองที่คุณหมอพูดถึงมาหลายๆครั้งอ่ะค่ะ
00:38:31 → 00:38:32 จริงๆแล้วสภาวะการทำลายตัวเองเนี่ยมันคือ
00:38:32 → 00:38:35 อะไรค่ะออือสภาวะการทำลายตัวเองจริงๆมัน
00:38:35 → 00:38:39 ก็คือภาวะปกติของโลกมนุษย์นะจริงๆจักรวาล
00:38:39 → 00:38:42 เนี่ยนะมันก็มีเกิดขึ้นใช่มั้ยเกิดขึ้น
00:38:42 → 00:38:46 ตั้งอยู่พักนึงพักนึงแล้วมันก็ดับไปแล้ว
00:38:46 → 00:38:49 ก็ขึ้นใหม่ๆก็คือเป็นกราฟอย่าง
00:38:49 → 00:38:53 เงี้ยอืไม่ว่าอะไรก็ตามบนจักรวาลเยนะเป็น
00:38:53 → 00:38:55 อย่างนี้หมดเลยมันหลีกหนีไม่พ้นน่ะฉะนั้น
00:38:55 → 00:38:58 น่ะมนุษย์เราเนี่ยพอเรามีชีวิตที่ดีขึ้น
00:38:58 → 00:39:02 ใช่มั้ยเอ่อทำงานได้ดีมีเงินทองใช้มีความ
00:39:02 → 00:39:05 สุขมีความสามารถมากขึ้นก็คุณกำลังขึ้นถูก
00:39:05 → 00:39:09 มั้ยพอถึงจุดๆหนธรรมชาติบอกว่าเต็มละไป
00:39:09 → 00:39:12 ต่อไม่ได้ละมันเต็มอ่ะมันเป็นน้ำเต็มแก้ว
00:39:12 → 00:39:14 เติมของใหม่ก็ไม่เข้าแลรู้สึกมีความสุข
00:39:14 → 00:39:18 เหลือเกินใช่มยเดี๋ยวจัดให้เขาก็จะทำลาย
00:39:18 → 00:39:22 ทิ้งนะทำลายคืออยู่ดีๆนะมีนักร้องหลาย
00:39:22 → 00:39:26 ท่านเห็นมยโอเนี่ยแฟนคลับเต็มเลยเออวัน
00:39:26 → 00:39:30 นึงเกลียดตัวเองซะนึกออกมั้เออเกลียดโอย
00:39:30 → 00:39:32 ไม่ชอบเลยไม่ชอบที่ออกไปอยู่ในสังคมไม่
00:39:32 → 00:39:34 ชอบให้ใครชมเลยใครชมมานี่ร้องเลยอะไร
00:39:34 → 00:39:37 อย่างเงี้ยนะครับนั่นน่ะคือเขาเรียกว่า
00:39:37 → 00:39:39 สภาวะเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วเขากำลังจะดับ
00:39:40 → 00:39:43 ไปเออเขคกำลังดับไปสภาวะดับไปเนี่ยเขา
00:39:43 → 00:39:46 เรียกว่าทำลายตัวตนเก่าซึ่งดีแล้วนะเาก็
00:39:46 → 00:39:49 จะรู้สึกว่าเฮ้ยเาเริ่มเกลียดตัวเองเริ่ม
00:39:49 → 00:39:51 เกลียดความสามารถเก่าๆแล้วเก็จะเริ่มเป็น
00:39:52 → 00:39:54 ไงเริ่มพัฒนาความสามารถใหม่ๆเอ้ยอย่าง
00:39:54 → 00:39:57 งั้นไม่ต้องเป็นนักร้องก็ได้วะไปทำธุรกิจ
00:39:57 → 00:40:00 ดีกว่าเออไปขายนู่นขายนี่ขายนั่นไปเปิด
00:40:00 → 00:40:03 ร้านอาหารใช่มั้ยก็พัฒนาชีวิตใหม่ๆขึ้นมา
00:40:03 → 00:40:05 ดันขึ้นใหม่โอ้คราวนี้ก็กลายเป็นทำทั้ง
00:40:05 → 00:40:08 ธุรกิจด้วยเป็นทั้งนักร้องที่ดีก็ได้
00:40:08 → 00:40:10 เหมือนกันอะไรอย่างเงี้ยฉะนั้นแล้วเนี่ย
00:40:10 → 00:40:14 การเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเนี่ยทำให้ชีวิต
00:40:14 → 00:40:17 คุณน่ะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆแต่สภาวะที่
00:40:17 → 00:40:20 ทำลายตัวเองเนี่ยที่เขาเรียกสภาวะดิ่งอ่ะ
00:40:20 → 00:40:23 เออสภาวะเนี้ยเป็นเรื่องที่จำเป็นจะต้อง
00:40:23 → 00:40:26 มีเพื่อที่จะได้ทำลายไอ้อัตราเก่าๆของเรา
00:40:26 → 00:40:30 อ่ะนะครับถ้ายิ่งทำลายได้เร็วนะโรคแพนิค
00:40:30 → 00:40:34 โรคเอ่อซึมเศร้าอะไรพวกเนี้ก็จะหายได้ไว
00:40:34 → 00:40:37 ทีนี้เพะเมื่อกี้เป็น Loop ที่มีเกิดขึ้น
00:40:37 → 00:40:39 ตั้งอยู่ระดับไปอ่าทีนี้มันก็จะต้องเกิด
00:40:39 → 00:40:42 Loop ใหม่ขึ้นมาเหมือนที่คุณหมอใช่ๆๆๆ
00:40:42 → 00:40:45 เราจะดำเนินชีวิตกับหลูปใหม่ยังไงดีที่
00:40:45 → 00:40:48 ไม่ให้มันเจ็บเท่าเดิมอีกแล้วอะไรอ๋อโอเค
00:40:48 → 00:40:52 เวลาเราเกิดขึ้นตั้งอยู่เราดับไปโอ้โห
00:40:52 → 00:40:54 โคตรทุกข์เลยทุกข์มากไม่ไหวแล้วจริงๆอะไร
00:40:54 → 00:40:56 อย่าเงี้ยไอ้ตอนชีวิตใหม่เนี่ยที่เรารู้
00:40:57 → 00:40:59 สึกได้คนส่วนใหญ่จะเป็นงงี้นะอพอมีชีวิต
00:40:59 → 00:41:02 ใหม่ที่เกิดขึ้นน่ะมันจะละเอียดขึ้นมันจะ
00:41:02 → 00:41:05 ละเอียดขึ้นมันจะเห็นพ่อเห็นแม่มากขึ้น
00:41:05 → 00:41:08 มันจะเห็นเพื่อนมากขึ้นอือมันจะกินข้าว
00:41:08 → 00:41:11 แล้วรู้สึกว่าเออกับข้าวข้างทางก็อร่อย
00:41:11 → 00:41:13 นึกออกป่ะฉะนั้นไอ้ชีวิตใหม่อ่ะให้เป็น
00:41:13 → 00:41:17 ชีวิตที่มีความสุขในระหว่างวันอย่าเป็น
00:41:17 → 00:41:19 ชีวิตที่มีความสุขได้ยากอ่ะเหมือนเดิมอีก
00:41:19 → 00:41:21 ใช่มั้ยความสุขในการกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง
00:41:21 → 00:41:24 ความสุขที่ได้เม้ามอยกับเพื่อนได้ไลนคุย
00:41:24 → 00:41:27 กับคุณพ่อคุณแม่ได้ทำอะไรที่มันน่ารักน่า
00:41:27 → 00:41:30 รักตลกๆอะไรอย่างเงี้ยให้มีความสุขที่มัน
00:41:30 → 00:41:34 ง่ายๆละเอียดๆนะแต่ก่อนฟังเพลงก็รู้สึก
00:41:34 → 00:41:37 เฉยๆเดี๋ยวพอคนที่เป็นแพนิคนะแล้วหายนะ
00:41:37 → 00:41:39 หายใหม่ๆนะจะรู้สึกได้เลยหูเดี๋ยวนี้ฟัง
00:41:39 → 00:41:43 เพลงเพราะขึ้นได้ยินทั้งความหมายของเพลง
00:41:43 → 00:41:46 ได้ฟีลลิ่งที่คนน่ะเวลาเาร้องอ่ะแต่ก่อน
00:41:46 → 00:41:49 น่ะถ้าคนที่ไม่ได้เป็นแพนิคจะไม่เข้าใจนะ
00:41:49 → 00:41:51 คนที่เป็นแพนิคหายใหม่ๆนะเวลาฟังเพลงนะโห
00:41:51 → 00:41:55 อยากจะร้องไห้เนอะทำไมเพลงนี้เาสื่อสาร
00:41:55 → 00:41:57 ออกมาได้ดีขนาดนี้อะไรอย่าเงี้ยอประมาณ
00:41:57 → 00:42:00 นั้นอันนึงที่หนูเจอแล้วคุณหมอก็เคยพูด
00:42:00 → 00:42:03 เอาไว้ในคลิปของคุณหมอด้วยก็คือบอกว่าอ
00:42:04 → 00:42:07 ต่อไปที่เราจะอยู่กับมันได้ก็คือให้เรา
00:42:07 → 00:42:11 กรรทุกอย่างอย่างหลวมๆเออใช่ๆๆการกรมทุก
00:42:11 → 00:42:14 อย่างอย่างหลวมๆคืออะไรคืออะไรใช่มั้ยไอ้
00:42:14 → 00:42:17 ก่อนหน้าเนี้ยไอ้ก่อนที่เราเป็นซึมเศร้า
00:42:17 → 00:42:19 เนาะหรือไม่ก็แพนิคหรืออะไรก็ตามอะไร
00:42:19 → 00:42:21 อย่างเงี้นะก่อนหน้าเน่ะเราไม่หลวมะใช่
00:42:21 → 00:42:24 มั้ยเราก็กำแน่นเลยโอ้ฉันมีคลินิกนี้
00:42:24 → 00:42:28 อย่างดีอะไรอย่างเงี้ยนะฉะนั้นมันจะต้อง
00:42:28 → 00:42:31 พังไปไม่ได้ใช่มยตอนโควิดอ่ะผมว่าหลายคน
00:42:31 → 00:42:34 เป็นนะเออโอโหมีธุรกิจอย่างดีมีชีวิตดี
00:42:34 → 00:42:37 หมดเลยะเจอโควิดเข้าไปเปรี้ยงใช่มยทุก
00:42:37 → 00:42:40 อย่างต้องเปลี่ยนไปจากต้องเอ่อไม่เคยทำ
00:42:40 → 00:42:42 ออนไลน์ก็ต้องทำออนไลน์ต้องขายออนไลน์
00:42:42 → 00:42:44 ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอะไรอย่างเงี้ย
00:42:44 → 00:42:46 ฉะนั้นแล้วนะเมื่อไหร่ก็ตามที่เรากำอะไร
00:42:46 → 00:42:49 ไว้แน่นเวลาโดนอะไรเข้าไปมันจะเจ็บมากแต่
00:42:49 → 00:42:52 ถ้าเรากำดาบไว้ลมหลมๆนะแล้วเาเวาเราฟัน
00:42:52 → 00:42:55 อะไรก็ตามอ่ะมันจะไม่เจ็บมือมากเออฉะนั้น
00:42:55 → 00:42:59 น่ะเวลาเราจะคิดจะทำอะไรก็ตามนะให้แบบ 70
00:42:59 → 00:43:03 30 ตั้งใจ 70 นะอีก 30 เผื่อไว้เผื่อไว้
00:43:03 → 00:43:05 ให้เจ็บตัวฉะนั้นอีก 30 อาจจะต้องทำอื่นๆ
00:43:05 → 00:43:08 เผื่อไว้สักนิดสักหน่อยอะไเงี้ยเผื่อใจ
00:43:08 → 00:43:11 ไว้บ้างนะการทำอะไรหลวมๆแต่ไม่ใช่แบบว่า
00:43:11 → 00:43:13 ไม่ตั้งใจนะตั้งใจนี่แหละนะครับแต่ว่า
00:43:13 → 00:43:17 ตั้งใจแบบสนุกๆอ่ะเออตั้งใจแบบสนุกๆก็คือ
00:43:17 → 00:43:21 การทำอะไรแบบหลวมๆจะได้ไม่เจ็บตัวมากไม่
00:43:21 → 00:43:25 เจ็บมือมากเวลามันพังลงไปเวลามันไม่เป็น
00:43:25 → 00:43:28 แบบที่เราคิดอะไรอย่างเงี้ยอืออืตลอดการ
00:43:28 → 00:43:32 คุยกันมาแล้วก็อหลายๆสื่อหลายๆที่รวมถึง
00:43:32 → 00:43:35 ที่คุณหมอเอ่อตอบคำถามทุกเพจอย่าเงี้ยก็
00:43:35 → 00:43:39 จะบอกว่าอให้รักษาสมดุลแล้วสมดุลมันคือ
00:43:39 → 00:43:43 อะไรเอออืสมดุลก็คือเอาเข้าเอาออกให้มัน
00:43:43 → 00:43:47 เท่าๆกันถ้าคนจีนเ้าเรียกหยินหยางใช่มั้ย
00:43:47 → 00:43:49 อือย่างเมื่อกี้เราคุยกันเรื่องอะไรนะคน
00:43:49 → 00:43:52 ธาตุไฟอ่ะคนธาตุไฟเป็นไงชอบอะไรชอบสอนอ่ะ
00:43:52 → 00:43:55 เออชอบสอนฉะนั้นแล้วเนี่ยคนธาตุไฟเวลาไป
00:43:55 → 00:43:57 ที่ไหนก็ชอบสอนคนนู้นคนนี้คนนั้นอะไร
00:43:57 → 00:43:59 อย่างเงี้ยอันนี้คือเอาออกอย่างเดียวใช
00:43:59 → 00:44:02 มั้เอาจากเราออกอย่างเดียวถ้าเป็นคนสมดุล
00:44:02 → 00:44:05 ก็คือต้องฟังเยอะหน่อยฟังบ้างนะครับเป็น
00:44:05 → 00:44:07 คนทำฟังบ้างฉะนั้นใครก็ตามที่เป็นคนธาตุ
00:44:07 → 00:44:11 ไฟแล้วเป็นคนที่ฟังมากขึ้นสอนบ้างใช่มั้ย
00:44:11 → 00:44:15 มันก็จะสมดุลดีไม่ป่วยเออคนธาตน้ำเนี่ย
00:44:15 → 00:44:17 แบบคุณน่ะธาตุน้ำใช่มั้ยไม่ค่อยอะไรกับ
00:44:17 → 00:44:21 ใครอ่ะนะแล้วก็นิ่งๆปล่อยตัวสบายๆนะก็อัน
00:44:22 → 00:44:25 นี้รออย่างเดียวรอรอคนมาเติมเต็มอย่าง
00:44:25 → 00:44:27 เดียวอันนี้คุณก็ต้องแอชบั่งอ่ะนั้นก็
00:44:27 → 00:44:30 ต้องหาอะไรทำเนเออไปออกกำลังกายเนี่ยคน
00:44:31 → 00:44:33 วันจันทร์ต้องทำงนเออมันก็กลายเป็นคนที่
00:44:33 → 00:44:36 เป็นคนธาตุน้ำขี้เกียจก็ต้องหาอะไรทำให้
00:44:36 → 00:44:38 มันแอชมากขึ้นคนที่เป็นคนธาตุไฟก็ต้อง
00:44:38 → 00:44:43 ผ่อนตัวเองลงมาฟังคนมากขึ้นอือฮึเมื่อกี้
00:44:43 → 00:44:46 พูดถึงว่าเอาเข้าเอาออกอ่าแล้วหนูเลยอยาก
00:44:46 → 00:44:48 รู้ว่าแล้วแล้วมันใช้มาตอะไรวัดอ่ะคะ
00:44:48 → 00:44:51 เพราะว่าสมดุลของแต่ละคนน่ะอมันย่อมไม่
00:44:51 → 00:44:54 เท่ากันแน่ๆโอเคจริงๆมันก็ไม่มีตัววัดชัด
00:44:54 → 00:44:56 เจนนะแต่อย่างน้อยเนี่ยเรื่องสุขภาพวัด
00:44:56 → 00:45:00 ได้นะเมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายเราเริ่ม
00:45:00 → 00:45:04 ไม่สมดุลนะมันจะคันคันตามเนื้อตามตัวเป็น
00:45:04 → 00:45:06 โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันน่ะเอ่อคคุ้มกัน
00:45:06 → 00:45:09 เช่นโอผู้หญิงนะหลายท่านนะมีปัญหาตื่นมา
00:45:09 → 00:45:15 เป็นไงหน้าบวมหน้าบวมแขนบวมใช่มยขาเนี่ย
00:45:15 → 00:45:18 บวมไปหมดเลยไอ้สภาวะเนี้ยเขเรียกว่าเริ่ม
00:45:18 → 00:45:21 ไม่สมดุลละเออแสดงว่าคุณคุณเอาเข้ามาก
00:45:21 → 00:45:23 เกินแล้วคุณก็ต้องเอาออกอ่ะเช่นออกกำลัง
00:45:24 → 00:45:26 กายอะไรประมาณนั้นฉะนั้นแล้วเนี่ยมันดู
00:45:26 → 00:45:29 จากร่างกายได้บางคนเอาออกมากเกินก็มีนะทำ
00:45:29 → 00:45:32 งานแบบ 7 วันไม่พักอ่ะสภาพจะเป็นไงอ่ะให้
00:45:32 → 00:45:35 คุณทยซมเหรอคะใช่มั้ยเออมันก็ชัดเจนถูก
00:45:35 → 00:45:38 ป่ะฉะนั้นแล้วเนี่ยถ้าทำมากไปก็ต้องพัก
00:45:38 → 00:45:42 บ้างถ้าทำน้อยก็ต้องมากขึ้นทำมากขึ้นอะไร
00:45:42 → 00:45:45 เงทั้งนี้ทั้งนั้นก็คือเราต้องสังเกต
00:45:45 → 00:45:47 สังเกตตัวเองแล้วก็รู้จักตัวเองใช่่ๆใช่
00:45:47 → 00:45:51 ถูกต้องครับแล้วการนอนอ่าจริงๆคุณหมอพูด
00:45:51 → 00:45:53 ไปแล้วนิดนึงแต่ว่าหนูอยากให้ขยายความว่า
00:45:53 → 00:45:55 คุณหมอเนี่ยมีวิธีการเตรียมตัวนอนยังไง
00:45:55 → 00:45:57 ให้เราเนี่ยหลับดี
00:45:57 → 00:46:00 แล้วก็ตื่นเช้ามาเนี่ยสดชื่นเจ็มใสอือๆ
00:46:00 → 00:46:04 ใช่คือการนอนเนี่ยเราจะต้องปรับคลื่นสมอง
00:46:04 → 00:46:07 ก่อนคลื่นสมองเราเจากคลื่นที่มันเร็วๆ็ๆๆ
00:46:07 → 00:46:10 ๆเนี่ยมันต้องให้มันช้าลงช้าลงช้าลงจน
00:46:10 → 00:46:13 กระทั่งรู้สึกว่าเออฉันพร้อมที่จะหลับ
00:46:13 → 00:46:15 แล้วอะไรอย่างเงี้ยนะครับเวลานอนก็คือ
00:46:15 → 00:46:18 ก่อนนอน 1 ชมงให้คุณเลี่ยงการเล่นมือถือ
00:46:18 → 00:46:20 อ่ะนะหรือทำอะไรก็ตามที่มันเร็วๆอย่าง
00:46:20 → 00:46:23 เงี้ยสมมุติว่าชอบดูซีรีส์ใช่มั้ยชอบมาก
00:46:23 → 00:46:25 เลยนะไม่ไหวจริงๆต้องดูนะต้องดูอะไรที่
00:46:25 → 00:46:28 มันตลกๆอ่ะแบบซีรีที่มันติ๊งต๊องิ๊อ่ะไม่
00:46:28 → 00:46:31 ได้เอาอะไรกับชีวิตอะไรอย่าเงี้ยแบบนี้ก็
00:46:31 → 00:46:34 จะหลับได้ง่ายแต่ให้ดีกว่าคือว่า 1 ชมง
00:46:34 → 00:46:38 ก่อนนอนคือไม่ดูอะไรเลยนะทำสมาธิก่อนนอน
00:46:38 → 00:46:42 ยืดเหยียดก่อนนอนแล้วก็สวดมนต์อะไรเงี้ย
00:46:42 → 00:46:44 ก็ก็ยิ่งดีนะนะครับถ้าทำ 1 ชั่วโมงนั้นนะ
00:46:45 → 00:46:47 ถ้ามีคุณทำได้คุณภาพดีนะคลื่นสมองคุณน่ะ
00:46:47 → 00:46:51 มันจะไปถึงธีต้าคลื่นสมองธีต้านะคลื่น
00:46:51 → 00:46:54 สมองนี้นะเวลาคุณหลับนะมันจะหลับได้ค่อน
00:46:54 → 00:46:57 ข้างลึกมันก็จะกลายเป็นคลื่นสมองเดลต้า
00:46:57 → 00:47:00 ใช่มเช้ามาก็รู้สึกเฮ้ยสดชื่นดีอะไรอย่าง
00:47:00 → 00:47:02 เงี้ยนะครับแต่ถ้าใครก็ตามที่ไม่ได้ปรับ
00:47:02 → 00:47:04 คลื่นสมองก่อนนอนใช่มยสัญลักษณ์คือคุณจะ
00:47:04 → 00:47:08 ฝันเยอะมันจะฝันฝันอุตลุดฝันเรื่องที่เรา
00:47:08 → 00:47:10 รู้นั่นแหละฝันเรื่องที่เราไปเจออะไรมา
00:47:10 → 00:47:13 อะไรอย่างเงี้ยแล้วก็มันก็จะูวุ่นวายไป
00:47:13 → 00:47:16 หมดในหัวอันนี้แบบที่ 1 นะแบบที่ 2 คือคน
00:47:16 → 00:47:19 ที่ทำอะไรเยอะๆระหว่างวันเนี่ยคุณถ่ายราย
00:47:19 → 00:47:21 การเจอคนนู้นคนนี้คนนั้นเยอะๆอะไรอย่าง
00:47:21 → 00:47:24 เงี้ยเราต้องเอาความรู้สึกที่มันค้างใน
00:47:24 → 00:47:27 ตัวออกไปเพราะว่าถ้าไม่เอาความรู้สึกค้าง
00:47:27 → 00:47:29 ออกไปนะคุณจะนอนหลับแล้วนอนหลับไม่สนิท
00:47:29 → 00:47:31 หรอกมันก็จะปวดเนื้อปวดตัวหงุดหงิดตื่นมา
00:47:31 → 00:47:34 รู้สึกอึดอัดอะไรอย่างเงี้ยการทำกดิก็คือ
00:47:34 → 00:47:37 การระบายอะไรที่มันรัดตึงให้มันออกไปนะ
00:47:37 → 00:47:41 วิธีการเช่นนะเอาเท้าแช่ในน้ำอุ่นอะไรก็
00:47:41 → 00:47:43 ตามนะใส่เกลือเล็กน้อยอะไรอย่างเงี้ยบอก
00:47:43 → 00:47:46 โอ้ยอ๋อยากอ่ะน้ำอุ่นไม่ไหวไม่มีที่บ้าน
00:47:46 → 00:47:49 อะไรอย่างเงี้ยนะครับก็ฟังเพลงก็ได้ฟัง
00:47:49 → 00:47:53 เพลง OVA นะเปิดเพลงติ๊งตงติ๊งๆเบาๆอย่าง
00:47:53 → 00:47:56 เงี้ยแล้วเราก็ปล่อยอารมณ์นะให้ตามเพลง
00:47:56 → 00:47:57 เลย
00:47:57 → 00:47:59 ให้เอาความรู้สึกที่มันรัดตึงข้างในอ่ะ
00:47:59 → 00:48:02 ให้หลายไปตามเพลงโดยที่ไม่มีตัวเราอยู่
00:48:02 → 00:48:06 ให้รู้สึกเหมือนคุณกำลังอาบน้ำแล้วพาน้ำ
00:48:06 → 00:48:09 ไหลเอาความรู้สึกที่มันค้างอยู่ในตัวทิ้ง
00:48:09 → 00:48:12 ไปทำทุกวันเลยพอทำแบบนี้ทุกวันทุกวันใช่
00:48:12 → 00:48:14 มั้ยมันไม่มีอะไรค้างอ่ะฉะนั้นเวลาคุณ
00:48:14 → 00:48:16 หลับนะคุณจะหลับสบายเพราะว่ามันไม่มีอะไร
00:48:16 → 00:48:19 ค้างในตัวนี้คือการ gring ซึ่งแบบเผมแนะ
00:48:19 → 00:48:21 นำนะเพราะว่าคนในยุคปัจจุบันน่ะมัน
00:48:21 → 00:48:25 วุ่นวายไงมันมีอะไรต่างๆมากมายเงี้ยอือฮึ
00:48:25 → 00:48:28 เรื่องความฝันเออจริงๆการที่เราฝันเนี่ย
00:48:28 → 00:48:31 มันมันมันไม่ดีใช่มั้ยคะหรือว่ายมันมันมี
00:48:31 → 00:48:34 ทั้งดีและไม่ดีดีกว่างี้ดีกว่าสมมุตินะ
00:48:34 → 00:48:37 ว่าคุณทำอะไรเยอะแยะมากมายระหว่างวันนะ
00:48:37 → 00:48:39 แบบโหตั้งใจสุดๆอะไรอย่างเงี้ยคุณจำเป็น
00:48:39 → 00:48:43 จะต้องฝันเพราะความฝันคือการทิ้งความ
00:48:43 → 00:48:46 วุ่นวายอทิ้งความวุ่นวายที่คุณเก็บมาทั้ง
00:48:46 → 00:48:48 วันน่ะแล้วก็ต้องคุณต้องฝันบ้าไปเลยอ่ะ
00:48:48 → 00:48:52 ฝันแบบเป็นอะไรก็ไม่รู้อ่ะอันเนี้ยดี
00:48:52 → 00:48:55 เพื่อให้มันแบบแเอาไปเอออันนี้คือดีมาก
00:48:55 → 00:48:57 อะไรอย่างเงี้ยแต่ถ้าสมมุติว่าคุณฝัน
00:48:57 → 00:49:00 เพราะว่าคุณดูซีรีส์เยอะอันนี้ไม่ดีแหละ
00:49:00 → 00:49:02 เออแบบเฮ้ยดูซีรีส์ก่อนนอนแล้วเอาเก็บไป
00:49:02 → 00:49:04 ฝันอย่าเงี้ยแสดงว่าคุณหลับไม่สนิทอันนี้
00:49:04 → 00:49:08 ไม่โอเคเออก็มีทั้งดีแล้วก็ไม่ดีอีกฝัน
00:49:08 → 00:49:10 นึงก็ฝันเพราะกินเยอะอันนี้ไม่ดีแสดงว่า
00:49:10 → 00:49:13 คุณกินเยอะไปตอนก่อนนอนอะไรเงี้ก็ต้อง
00:49:13 → 00:49:17 ระวังในในคลิปคลายที่คุณหมอทำอ่าก็จะมี
00:49:17 → 00:49:20 เรื่องฮอร์โมนความรักอืฮอร์โมนความรัก
00:49:20 → 00:49:23 เนี่ยจริงๆมันคืออะไรอ่ะคะฮอร์โมนความรัก
00:49:23 → 00:49:26 เนี่ยถ้าภาษาปัจจุบันน่ะเขาเรียกว่า
00:49:26 → 00:49:29 ออกซิโทซินนะออกซิโทซินเนี่ยมันคือ
00:49:29 → 00:49:33 ฮอร์โมนที่เวลาเรารักใครเวลาเรามีเมตตา
00:49:33 → 00:49:35 ต่อใครอะไรก็ตามเลยอย่างเงี้ยนะครับ
00:49:35 → 00:49:37 ฮอร์โมนพวกนี้มันจะออกมาแล้วจะทำให้ตัว
00:49:37 → 00:49:41 เราอ่ะรู้สึกว่าอุ้ยเราอยู่บนโลกเนี้ยดี
00:49:41 → 00:49:45 จังดีจังแฮปปี้จังมีความสุขในการอยู่บน
00:49:45 → 00:49:47 โลกใบนี้อะไรอย่างเงี้ยนะครับฉะนั้นวิธี
00:49:47 → 00:49:50 การง่ายๆนะง่ายๆนะเวลาคุณเข้าที่ทำงาน
00:49:50 → 00:49:52 เงี้ยเนี่ยเจอเพื่อนร่วมงานอะไรอย่าเงี้ย
00:49:52 → 00:49:55 นะครับคุณทักทายด้วยความน่ารักอ่ะจริงใจ
00:49:55 → 00:49:59 โอ้ควันนี้พี่แต่งตัวน่ารักจังเลยเออวัน
00:49:59 → 00:50:02 นี้พี่ทำผมน่ารักจังเลยเออเป็นไงบ้างพี่
00:50:02 → 00:50:04 เมื่อวานพี่ป่วยมยเหอวันนี้ดีขึ้นยังอัน
00:50:04 → 00:50:07 นี้คือการแผ่เมตตาให้ถูกปะก็เอ้ยอย่าง
00:50:07 → 00:50:10 เงี้ยออกซิโทซินมาแน่นอนมันไม่ยากอ่ะมัน
00:50:10 → 00:50:13 ไม่ต้องแบบแบบโอโหต้องไปนวดต้องไปสปาต้อง
00:50:13 → 00:50:16 ไปอะไรอย่างเงี้ยก็คือเราทำกับคนรอบข้าง
00:50:16 → 00:50:19 ได้เลยใช่มยเราเจอสมมุติบ้านใครเลี้ยงหมา
00:50:19 → 00:50:21 เลี้ยงแมวก็ลูกหัวข้าวนอยอะไรอย่างเงี้ย
00:50:21 → 00:50:24 เอาอาหารให้เค้ากินันเงี้ยแค่เนี้ยเราก็
00:50:24 → 00:50:26 จะได้ฮอร์โมนออกซิโทซิน
00:50:26 → 00:50:28 ซึ่งฮอร์โมนเนี้ยจะทำให้เราไม่ค่อยคิดแง่
00:50:28 → 00:50:33 ลบจะทำให้เรารู้สึกว่าโลกเนี้ยน่าอยู่เออ
00:50:33 → 00:50:36 ก็ทำไปเรื่อยๆทุกวันน่ะทำได้ทุกวันอือฮึ
00:50:36 → 00:50:38 เมื่อกี้ที่คุณหมอพูดถึงว่าฮอร์โมนแห่ง
00:50:38 → 00:50:41 ความรักคือเหมือนการแผ่เมตตาอือๆๆมันคือ
00:50:41 → 00:50:44 การให้หรือเปล่าคะเออมันคือการให้โดยที่
00:50:44 → 00:50:48 เรารู้สึกไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน่ะนะเออก็
00:50:48 → 00:50:51 คือจริงๆก็เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขานั่น
00:50:51 → 00:50:53 แหละนะครับถ้ารวมๆกันนะแต่จริงๆก็คือการ
00:50:54 → 00:50:56 ให้โดยที่เรารู้สึกว่าเขาจะรู้สึกรู้สึก
00:50:57 → 00:50:59 ดีอ่ะเออจริงๆวันนี้เอาจจะแบบอย่างสภาพผม
00:50:59 → 00:51:01 วันนี้ไม่ค่อยดีนะดูป่วยๆหน่อยอะไรเงี้
00:51:01 → 00:51:04 ใช่มั้ยถ้าใครมาแซวผมอ่ะบอกว่าเฮ้ยโอ้โห
00:51:04 → 00:51:07 ดำจังเลยหมอวันนี้ผมก็คงแย่เลยใช่มั้ยเออ
00:51:07 → 00:51:10 ถ้าแต่ถ้ามีคนมาบอกว่าเฮ้ยหมอสู้ๆนะเฮ้ย
00:51:10 → 00:51:13 วันนี้โอเคหมอไว้นเดี๋ยวหนูช่วยเองอะไร
00:51:13 → 00:51:15 อย่างเงี้ยการทำแบบเมันคือคุณก็ไม่ได้
00:51:15 → 00:51:18 อะไรตอบแทนอะไรนักหนักหนักหนาหเนาะแต่ว่า
00:51:18 → 00:51:20 อย่างน้อยผมรู้สึกดีแล้วเอ้ยรู้สึกมี
00:51:20 → 00:51:23 กำลังใจในการใช้ชีวิตต่อในการที่จะทำงาน
00:51:23 → 00:51:26 อะไรอย่างเงี้ยนะครับคือการให้โดยที่ไม่
00:51:26 → 00:51:31 ได้หวังผลน่ะนะเออการใช้คำสุภาพการไม่พูด
00:51:31 → 00:51:35 เพอเจอการยิ้มให้กันพวกเนี้ยได้หมดเลยนะ
00:51:35 → 00:51:37 การยิ้มนี่ก็ไม่ได้รับตไม่ได้รับตอบแทน
00:51:37 → 00:51:41 เยอะนัก่ะนะแต่ว่าทำแล้วดีเสมอการยิ้มอ่ะ
00:51:41 → 00:51:44 นะอืเมื่อกี้มันคือโมนความรักที่เราเป็น
00:51:44 → 00:51:48 คนให้เอแล้วเราอ่ะจะสามารถเติมเต็มความ
00:51:48 → 00:51:51 รักให้กับตัวเราเองได้ยังไงบ้างเติมเต็ม
00:51:51 → 00:51:54 ความรักนะจริงๆแล้วเนี่ยการที่เราดูแลตัว
00:51:54 → 00:51:58 เองเ่ะเป็นหลักนะเช่นตื่นเช้ามาเราไปเดิน
00:51:58 → 00:52:02 ออกกำลังกายเรากินอาหารที่ดีใช่มยเราไม่
00:52:02 → 00:52:05 กินอาหารที่มันแบบจังฟอะไรเยอะๆอะไรอย่าง
00:52:05 → 00:52:08 เงี้ยนะแล้วก็เราไม่ไปนอนดึกเกินไปแบบนี้
00:52:08 → 00:52:12 ก็ถือว่ารักตัวเองมากๆแล้วนะเออแล้วก็
00:52:12 → 00:52:15 ตื่นมาแทนที่เราจะคว้ามือถือปึ๊บๆอย่า
00:52:15 → 00:52:18 เงี้ยเออตื่นมาเรานั่งสมาธิสักแป๊บนึง
00:52:18 → 00:52:20 แล้วดูซิว่าเฮ้ยมีอะไรบ้างที่เราจะต้อง
00:52:20 → 00:52:23 จัดการให้เสร็จภายในครึ่งวันเช้าเนี่ยเออ
00:52:23 → 00:52:26 อันนี้ก็ถือว่าเรารักตัวเองมากๆแล้วนะอื
00:52:26 → 00:52:29 ก็หลักๆแล้วเนี่ยก็คือมีความสุขให้ง่ายก็
00:52:29 → 00:52:31 แล้วกันถ้าเรารักตัวเองนะมีความสุขกับการ
00:52:31 → 00:52:34 กินมีความสุขกับการนอนมีความสุขกับในการ
00:52:34 → 00:52:37 เจอผู้คนอันนี้พี่ว่ามันก็น่าจะง่ายที่
00:52:37 → 00:52:41 สุดอืค่ะทีนี้เมื่อกี้เราพูดถึงการมีความ
00:52:41 → 00:52:44 สุขง่ายๆไปแต่ว่ามันก็จะมีบางคนที่เขามี
00:52:44 → 00:52:46 ภาระเยอะหรือมีความทุกข์หรือมีสิ่งที่
00:52:46 → 00:52:48 ต้องรับผิดชอบเยอะแล้วเารู้สึกว่าเขาไม่
00:52:48 → 00:52:50 สามารถที่จะมีความสุขได้เพราะเมื่อไหร่ก็
00:52:50 → 00:52:52 ตามที่เขามีความสุขเขาจะรู้สึกผิดอ่าที
00:52:52 → 00:52:55 นี้เราเขาจะสามารถทำยังไงให้มันรู้สึกดี
00:52:55 → 00:52:57 ขึ้นได้ค่ะครับผมอันนี้ผมมีคนไข้ที่เป็น
00:52:57 → 00:53:00 แบบเยอะเยอเลยก็คือเขาเนี่ยเป็นคน
00:53:00 → 00:53:03 productive อ่ะเออก็คือว่าต้องทำงานให้
00:53:03 → 00:53:06 เสร็จถึงมีความสุขเออต้องมีเงินเท่านี้
00:53:06 → 00:53:09 ถึงมีความสุขลูกต้องเรียนโรงเรียนนี้ถึง
00:53:09 → 00:53:11 จะนู่นนี่นั่นมีความสุขอะไรประมาณเนี้ย
00:53:11 → 00:53:14 คือเขาเอาความสุขของเขาอ่ะไปไว้ที่ผล
00:53:14 → 00:53:16 ลัพธ์เสมอเลยฉะนั้นเวลาเขาไปเที่ยวเขาจะ
00:53:16 → 00:53:19 รู้สึก Bad กับตัวเองอ่ะเออแบบเนี้ย
00:53:19 → 00:53:21 อันเนี้ยผมว่าคนเป็นกันเยอะนะแล้วก็
00:53:21 → 00:53:24 ประเทศไทยถูกสอนมาแบบนี้คุณต้องประสบความ
00:53:24 → 00:53:27 สำเร็จคุณต้องมีเงินคุณต้องเก่งกว่าข้าง
00:53:27 → 00:53:31 บ้านถึงจะเรียกว่าดีมีความสุขเจ๋งอะไร
00:53:31 → 00:53:33 อย่างเงี้ยนะครับอันเนี้ยพอมันฝังเข้าไป
00:53:33 → 00:53:36 ในจิตสำนึกนะคุณจะรู้สึกว่ามีความสุขได้
00:53:36 → 00:53:40 ยากมากๆเออสัญลักษณ์คืออะไรรู้มั้ยคุณจะ
00:53:40 → 00:53:42 มีความสุขกับปัจจุบันไม่เป็นเลยคุณจะมี
00:53:42 → 00:53:45 ความสุขรอแต่ความคิดอยู่เสมอเลยว่าเมื่อ
00:53:45 → 00:53:47 ไหร่จะมีเงินเท่านี้เมื่อไหร่จะเป็นอะไร
00:53:47 → 00:53:49 อย่างเงี้ยนะครับฉะนั้นแล้วเนี่ยวิธีการ
00:53:49 → 00:53:52 แก้ไม่ยากนะคือกลับมามีความรู้สึกใน
00:53:52 → 00:53:55 ปัจจุบันไม่ว่ามันจะทุกข์หรือว่ามันจะสุข
00:53:55 → 00:53:58 นะให้มีความรู้สึกเช่นสมมตินะณวันเคุณ
00:53:58 → 00:54:00 กำลังไปกินก๋วยเตี๋ยวอยู่กินก๋วยเตี๋ยว
00:54:00 → 00:54:05 อยู่แล้วคุณกินนะอร่อยก็โอเคไม่อร่อยก็
00:54:05 → 00:54:08 โอเคมันเป็นความรู้สึกอ่ะเออนี่คือการคิด
00:54:08 → 00:54:11 ก๋วยเตี๋ยวนะนี่คือการฟังเพลงนะฟังเพลง
00:54:11 → 00:54:14 ฮิปฮอปฟังเพลงอันนี้แล้วรู้สึกดีฟังเพลง
00:54:14 → 00:54:16 อันนี้แล้วรู้สึก sad จังเลยไปตามเพลง
00:54:16 → 00:54:18 อะไรเงี้ยพอเรามีความรู้สึกไปกับสิ่งต่าง
00:54:18 → 00:54:21 ๆใช่มนี่คือการที่เราอยู่กับปัจจุบันการ
00:54:21 → 00:54:24 ที่เราทำแบบนี้นะเราจะเริ่มมีความสุขกับ
00:54:24 → 00:54:27 ปัจจุบันเป็นโดยที่ไม่ต้องรออนาคตว่าเฮ้ย
00:54:27 → 00:54:30 เมื่อไหร่จะมีเงินเท่านี้เมื่อไหร่จะเก่ง
00:54:30 → 00:54:32 กว่าข้างบ้านเนี่ยพอดู Facebook คนไป
00:54:33 → 00:54:35 เที่ยวต่างประเทศทำไมเราไม่ได้ไปสักทีนะ
00:54:35 → 00:54:38 เราสามารถมีความสุขได้เลยอือสัญลักษณ์นึง
00:54:38 → 00:54:41 คืออะไรรู้มั้ยอันนี้ตลกดีนะเออใครที่มี
00:54:41 → 00:54:44 ความสุขกับปัจจุบันไม่เป็นนะเวลาคุณโพสต์
00:54:44 → 00:54:47 Facebook อ่ะคุณจะคิดแคปชั่นไม่ออกอืนึ
00:54:47 → 00:54:49 ภ้าออกมั้ยเออสมมติว่าคุณถ่ายรูปนะถ่าย
00:54:49 → 00:54:54 รูปทะเลอ่ะแปงโพสตลงไปเราควรจะรู้สึกไง
00:54:54 → 00:54:56 กับภาพนี้วะงงป่ะอืเออเพราะว่าอะไรรู้
00:54:57 → 00:54:58 มั้ยเพราะว่าเค้าไม่มีความรู้สึกไงเพราะ
00:54:59 → 00:55:00 ว่าเค้าเป็นมนุษย์ที่ไม่มีความรู้สึกไป
00:55:00 → 00:55:03 แล้วอ่ะมันกลายเป็นความสุขฉันต้องรอให้
00:55:03 → 00:55:05 อย่างงู้นอย่างงี้อย่างงั้นเอฉะนั้นใครก็
00:55:05 → 00:55:08 ตามที่โพสต์ Facebook นะแล้วต้องไปเสิร์ช
00:55:08 → 00:55:11 หาแคปชั่นอ่ะจากชาวบ้านอ่ะมาไว้อ่ะแสดง
00:55:11 → 00:55:14 ว่าคุณเริ่มมีปัญหาแล้วนะอืคือคุณไม่รู้
00:55:14 → 00:55:16 ไม่รู้ว่าตัวเองมีความทุกข์หรือความสุข
00:55:16 → 00:55:19 อยู่อ่ะประมาณนั้นนะอือฮึซึ่งกรณีเมื่อ
00:55:19 → 00:55:23 กี้มันก็ก็ก็อาจจะโยงกับการที่ต้องเซิร์ฟ
00:55:23 → 00:55:26 คนอื่นอหมายถึงว่าใช่ๆๆอือเออเราจะเราจะ
00:55:27 → 00:55:29 พิมพ์ยังไงให้เาเห็นว่าเรากำลังโอเคดีอ่า
00:55:29 → 00:55:32 ใช่ๆๆยังไงให้มันดูเท่อ่ะเออแคปชั่นอะไร
00:55:32 → 00:55:35 มันมันเก๋ไคาเฟ่นี่อะไรอย่าเงี้ยจริงๆคน
00:55:35 → 00:55:38 อยากรู้เ่าวะว่าคุณรู้สึกยังไงมากกว่าถูก
00:55:38 → 00:55:41 ป่ะมากกว่าการที่คุณไปเอาแคปชั่นเท่ๆโดนๆ
00:55:41 → 00:55:43 มาถูกป่ะฉะนั้นแล้วลองดูวิธีการแก้ง่ายๆ
00:55:43 → 00:55:46 โพสต์ Facebook อ่ะโพสต์ภาพอ่ะวันละรูป
00:55:46 → 00:55:48 แล้วเขียนความรู้สึกตัวเองลงไปอันนี้คือ
00:55:48 → 00:55:51 วิธีการแก้ไขสำหรับคนที่ชอบ productive
00:55:51 → 00:55:54 นักอ่ะนะชอบแบบต้องอย่างงั้นต้องอย่างงี้
00:55:54 → 00:55:57 เนี่ยลองดูโพสต์วลรูปไม่ต้องโพสต์ให้ใคร
00:55:57 → 00:56:00 ดูก็ได้โพสต์ให้ตัวเองอ่านก็ยังได้หรือ
00:56:00 → 00:56:02 ถ้าไม่โพสต์เราก็เขียนไดอารี่เขียน
00:56:02 → 00:56:05 ไดอารี่ใช่ๆๆอีกเรื่องนึงที่หนูว่าสำคัญ
00:56:05 → 00:56:08 มากก็คืออการที่เมื่อกี้ที่เราต้อง
00:56:08 → 00:56:12 โปรดักทีฟอยู่ตลอดเวลาเพราะว่าเราบางคน
00:56:12 → 00:56:14 อาจจะรู้สึกว่าการที่เราไม่ได้ทำอะไรไม่
00:56:14 → 00:56:16 ได้สำเร็จหรือไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
00:56:16 → 00:56:19 น่ะเท่ากับเราไม่มีคุณค่าออือๆอ่าทีเนี้ย
00:56:19 → 00:56:21 คุณหมอมีมุมมองยังไงกับการที่เราต้องตาม
00:56:21 → 00:56:24 หาคุณค่าอยู่ตลอดเวลาค่ะอันนี้เราก็แก้
00:56:24 → 00:56:29 ด้วยตัวเองอยู่นะเราก็ยังรู้สึกว่าเรา
00:56:29 → 00:56:32 อยากจะมีค่าในสายตาคนอื่นน่ะมีค่าในสายตา
00:56:32 → 00:56:36 พ่อแม่มีค่าในสายตาคนไข้หรืออะไรก็ตามอะ
00:56:36 → 00:56:38 นะในสังคมอะไรอย่างเงี้ยนะครับยิ่งใครที่
00:56:38 → 00:56:41 เป็น influencer Content creator เนี่ย
00:56:41 → 00:56:44 ผมว่าโดนทุกคนอ่ะใช่มยก็จะรู้สึกว่าทำไม
00:56:44 → 00:56:47 ไม่มีคนไลฟ์วะทำไมไม่มีคนแชร์อะไรอย่าง
00:56:47 → 00:56:51 เงี้นะเอ่อมีอยู่พักนึงผมมีปัญหาเลยนอน
00:56:51 → 00:56:55 ไม่ได้ถ้าไม่อ่านคอมเมนต์อ่ะเออนะต้อง
00:56:55 → 00:56:57 อ่านคอมเมนต์ก่อนเพราะเพคอมเมนต์ผมอ่ะโชค
00:56:57 → 00:57:00 ดีที่เป็นหมอนะคอมเมนต์ผมเนี่ยมีแต่คำชม
00:57:00 → 00:57:03 เกือบ 100% 100% เป็นคำชมอ่ะอผมต้องอ่าน
00:57:03 → 00:57:07 ก่อนแฮปปี้ะนอนเอออะไรอย่างเงี้ยแต่พอมา
00:57:07 → 00:57:10 วันนึงนะเป็นแพนิคปรากฏว่าไอ้คำพวกเนี้ย
00:57:10 → 00:57:13 ไม่ช่วยผมเลยนะไม่ได้ช่วยให้ผมมีความสุข
00:57:13 → 00:57:16 เลยเออแบบเฮ้ยอ่านให้ตายก็ไม่ได้มีความ
00:57:16 → 00:57:18 สุขเลยอะไรอย่างเงี้ยนะครับนั่นน่ะคือวัน
00:57:18 → 00:57:20 ที่ผมเรียนรู้ว่าอ๋อความสุขไม่ได้มาจากคำ
00:57:20 → 00:57:23 ชมคนอื่นนี่หว่าความสุขมันมาจากตัวเรามี
00:57:23 → 00:57:26 ความสุขหรือเปล่าในปัจจุบันน่ะว่าคุณรู้
00:57:26 → 00:57:28 สึกสนุกไปกับมันหรือเปล่าเช่นผมรักษาคน
00:57:28 → 00:57:31 ไข้อยู่ใช่มยผมพูดดีกับเค้าหรือเปล่าผม
00:57:31 → 00:57:34 ตั้งใจพูดหรือเปล่าเนแล้วเดี๋ยวพอคนไข้คน
00:57:34 → 00:57:36 เนี้ยออกจากห้องแล้วนะผมก็เอาความสุขผมไป
00:57:36 → 00:57:40 อยู่กับคนไข้คนต่อไปเออฉะนั้นพูดง่ายๆคือ
00:57:40 → 00:57:43 มุ่งกระทำปัจจุบันน่ะให้ดีก็พอะส่วนผล
00:57:43 → 00:57:46 ลัพธ์อ่ะมันจะดีไม่ดีมันอยู่ที่งานที่คุณ
00:57:46 → 00:57:49 ทำอ่ะถ้ามันดีเดี๋ยวคนก็ชอบเองอะไรอย่าง
00:57:49 → 00:57:51 เงี้ยนะครับอืแต่ที่พูดไปเนี่ยผมก็ยังทำ
00:57:51 → 00:57:55 ไม่ได้ 100% นะก็ต้องบอกก่อนอืทีนี้คุณ
00:57:55 → 00:57:57 หมอเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่าเมื่อนานนาน
00:57:57 → 00:58:00 แล้วแหละหนูว่านานมากคุณหมอเคยพูดว่าถ้า
00:58:00 → 00:58:02 เราหาความสุขทางใจไม่เป็นเราจะวิ่งหาความ
00:58:02 → 00:58:06 สุขทางกายแบบมหาศาลอ่าๆๆๆแล้วหนูอยากรู้
00:58:06 → 00:58:09 ว่าคุณหมอเนี่ยมีวิธีหาความสุขทางใจยังไง
00:58:09 → 00:58:13 อ่ะค่ะความสุขทางใจณตอนนี้นะมันอาจจะดู
00:58:13 → 00:58:16 แปลกๆหน่อยแล้วกันนะเอาของพี่นะของพี่รู้
00:58:16 → 00:58:19 สึกว่าพี่อยากหาคำตอบให้ชีวิตอ่ะว่าเช่น
00:58:19 → 00:58:22 นะอยากรู้ว่าคนเกิดมาทำไมเกิดมาเพื่ออะไร
00:58:22 → 00:58:24 ตายแล้วไปไหนอันนี้อยากรู้จริงๆนะอันนี้
00:58:24 → 00:58:27 พูดตลกๆเลยอยากรู้ว่าเฮ้ยถ้าเราตายไปแล้ว
00:58:27 → 00:58:29 มันจะอยู่ทรงไหนอะไรอย่างเงี้ยหรือแม้แต่
00:58:29 → 00:58:31 ตอนที่เป็นเป็นโรคซึมเศร้านะผมเป็นทั้ง
00:58:31 → 00:58:33 โรคซึมเศร้าและเป็นแพนิคเลยนะต่อกันเลย
00:58:33 → 00:58:36 ตอนเป็นโรคซึมเศร้าเนี่ยอยากตายแต่ไอ้
00:58:36 → 00:58:38 สมองอีกฝั่งนึงก็บอกว่าเฮ้ยยตายไม่ได้
00:58:39 → 00:58:42 เพราะถ้าถ้าวันเนี้ยถ้าจะถ้าตายแล้วนะไม่
00:58:42 → 00:58:44 มีใครช่วยคุณแล้วนะเออเพราะว่าเราก็ไม่
00:58:44 → 00:58:46 รู้ด้วยว่าจะตายแล้วไปไหนอะไรประมาณเนี้ย
00:58:46 → 00:58:50 ฉะนั้นก่อนที่จะตายหาข้อมูลก่อนว่าตาย
00:58:50 → 00:58:52 แล้วไปไหนให้เรียบร้อยก่อนแล้วถ้าตายค่อย
00:58:52 → 00:58:54 ว่ากันอะไรอย่างเงี้ยเออก็ตลกๆดีฉะนั้นณ
00:58:54 → 00:58:57 วันนี้ความสุขของผมนะที่ทำให้เรารู้สึกมี
00:58:57 → 00:59:00 ความสุขทางใจคือว่าเรียนรู้ธรรมชาติอ่ะ
00:59:00 → 00:59:03 ว่าเฮ้ยมันเป็นยังไงอะไรอย่างเงี้ยทำไมคน
00:59:03 → 00:59:06 เราถึงป่วยเป็นโรคประเภทนี้ทำไมคนๆนี้ถึง
00:59:06 → 00:59:08 เป็นโรค S sle อย่างเงี้ยเป็นโรคที่มัน
00:59:08 → 00:59:11 ยากๆอ่ะทำไมไม่หายักทีอ๋อเค้ามีลักษณะ
00:59:11 → 00:59:14 นิสัยนี้เวลาผมเรียนรู้พวกเนี้ยผมจะรู้
00:59:14 → 00:59:16 สึกว่าอย่างน้อยเราเอามาดูแลตัวเองได้ดู
00:59:16 → 00:59:19 แลคนรอบข้างได้อะไรอย่างเงี้ยอือือด้วย
00:59:19 → 00:59:21 ความที่ปัจจุบันเนี่ยทุกอย่างมันมันรวด
00:59:21 → 00:59:24 เร็วมากแล้วถ้าเราตามมันไม่ทันน่ะมันก็
00:59:24 → 00:59:27 อาจจะก่อให้เกิดโรคแพซึมเศร้าหรือใดๆก็
00:59:27 → 00:59:30 ตามที่เราคุยกันมาทีนี้หนูอยากได้เคล็ด
00:59:30 → 00:59:33 ลับค่ะว่าพอจะมีมที่จะทำยังไงให้เรากลับ
00:59:33 → 00:59:37 มาโฟกัสกับปัจจุบันได้เอโอเคในเร็วๆอ่ะ
00:59:37 → 00:59:40 ค่ะเร็วๆเลยใช่มั้ยโอเคสิ่งที่เราต้อง
00:59:40 → 00:59:42 ตั้งจิตไว้เลยนะสมมุติตื่นนอนขึ้นมานะ
00:59:42 → 00:59:44 พรุ่งนี้เช้าน้องแพนด้าทีมงานอะไรอย่าง
00:59:44 → 00:59:47 เงี้ยนะครับตั้งจิตไว้เลยเราต้องเรียนรู้
00:59:47 → 00:59:49 ทั้งชีวิตถ้าคุณตั้งแบบนี้นะมันจะไม่
00:59:50 → 00:59:52 พานิกมันจะไม่พานิกมากยกเว้นว่าต้องเป็น
00:59:52 → 00:59:54 จริงๆนะอีกเรื่องนึงนะเออฉะนั้นเมื่อไหร่
00:59:54 → 00:59:57 ก็ตามที่คุณเจอความทุกข์เจอความรู้สึกไม่
00:59:57 → 01:00:01 พอใจเจอเพื่อนด่าเจอทีมงานไม่อะไรเงี้ยนะ
01:00:01 → 01:00:04 ครับคุณจะรู้สึกว่าอ๋อทุกอย่างคือการ
01:00:04 → 01:00:06 เรียนรู้หมดอ่ะนะครับถ้ารู้สึกว่าทุก
01:00:06 → 01:00:07 อย่างคือการเรียนรู้นะคุณจะรู้สึกว่าคุณ
01:00:07 → 01:00:09 จะไม่ทุกข์เกินไปคุณจะรู้สึกว่าเออมัน
01:00:09 → 01:00:13 ทุกข์นะแต่รับได้ผ่านได้แน่เพราะว่าเรา
01:00:13 → 01:00:16 เกิดมาเพื่อเรียนรู้ตลอดเวลาแต่ถ้าเรารู้
01:00:16 → 01:00:18 สึกว่าเราเกิดมาเพื่อรับนะถ้าคุณบอกว่า
01:00:18 → 01:00:20 ฉันเกิดมาเพื่อรับอย่างเดียวนะคุณทุกข์
01:00:20 → 01:00:22 ทั้งชีวิตอ่ะนึกออกป่ะเพราะว่าคุณไม่มี
01:00:22 → 01:00:25 ทางได้รับทั้งชีวิตแน่นอนใช่มั้ยคุณก็จะ
01:00:25 → 01:00:27 รู้สึกว่าวันนี้ยังไม่ได้เลยพรุ่งนี้จะ
01:00:27 → 01:00:30 ได้มฉะนั้นถ้าคีย์เวิร์ด 1 นะก็คือต้อง
01:00:31 → 01:00:34 เรียนรู้สม่ำเสมออืแล้วคุณหมอมีเอ่อนิสัย
01:00:34 → 01:00:36 อะไรที่คุณหมออยากแนะนำให้ทุกคนมีไว้
01:00:36 → 01:00:39 เพื่อที่จะไม่ป่วยมคะอข้อแรกเลยนะก็คือ
01:00:39 → 01:00:43 ว่าผมชอบพูดบ่อยๆหมอที่ดีที่สุดก็คือตัว
01:00:43 → 01:00:46 เราเองใช่มยฉะนั้นแล้วเนี่ยเราควรจะ
01:00:46 → 01:00:48 เปลี่ยนแปลงตัวเราอ่ะให้กลายเป็นหมอมาก
01:00:48 → 01:00:51 กว่าการที่ปวดหัวก็ไปหาหมอเป็นหวัดก็ไปหา
01:00:51 → 01:00:54 หมอปวดท้องปวดอะไรคิดแต่หมอเออนะครับว่า
01:00:54 → 01:00:57 หมอต้องช่วยฉันได้อะไรเงี้ยนะครับไอ้ไอ้
01:00:57 → 01:00:59 แนวคิดแบบเเนี่ยมันจะทำให้สังคมพังนะอัน
01:00:59 → 01:01:02 นี้พูดตรงๆเลยเพราะว่าสุดท้ายหมอไม่มี
01:01:02 → 01:01:05 เวลากินข้าวนะใช่มั้ยเวลาไปโรงพยาบาลที
01:01:05 → 01:01:08 เนี่ยโอ้โหหมอรับคนไข้วันนึง 50 100 คน
01:01:08 → 01:01:10 อย่างเงี้ยมันไม่มีทางเลยที่ชีวิตหมอจะดี
01:01:10 → 01:01:13 ได้อ่ะูกมั้ยแล้วก็คนไข้ก็วิ่งกรูกันเข้า
01:01:13 → 01:01:15 ไปสุดท้ายแล้วเนี่ยผลิตหมอเท่าไหร่ก็ไม่
01:01:15 → 01:01:17 พอคนไข้ก็จะเพิ่มขึ้นทุกวันเวลาเป็นแบบ
01:01:17 → 01:01:20 นี้สุดท้ายนะสาธารณสุขบ้านเรานะคือการ
01:01:20 → 01:01:22 รักษาโรคต่างๆเนี่ยยังไงมันก็พังเออ
01:01:22 → 01:01:24 ฉะนั้นแล้วนะสิ่งที่เราต้องทำก่อนทำตัว
01:01:24 → 01:01:27 เองก่อนคือเราเราต้องเป็นหมอให้ตนเองถ้า
01:01:27 → 01:01:30 เราทำได้นะคนก็ไปหาหมอน้อยลงและหมอก็มี
01:01:30 → 01:01:32 เวลาในการพูดคุยเออเฮ้ยคนนี้เป็นแบบนี้
01:01:32 → 01:01:35 เพราะแบบนี้รักษาแบบนี้ใช่มยหมอทำงานได้
01:01:35 → 01:01:39 ดีขึ้นใช่มยคุณก็ดูแลตัวเองได้ดีขึ้นแถม
01:01:39 → 01:01:41 คุณพ่อคุณแม่คุณก็ไม่ต้องพาไปหาหมอบ่อย
01:01:42 → 01:01:44 ตังค์คุณก็เหลือมากขึ้นถ้าคุณเป็นหมอให้
01:01:44 → 01:01:47 ด้วตนเองก่อนนะจะทำให้รอบๆตัวเนี่ย
01:01:47 → 01:01:50 เศรษฐกิจก็ดีขึ้นมีความสุขง่ายขึ้น
01:01:50 → 01:01:55 อือเป็นวงกว้างเลยเนาะใช่ๆอสุดท้ายค่ะเรา
01:01:55 → 01:01:57 สามารถพูดได้ได้มคะว่าถ้าเราอยากแก้นิสัย
01:01:57 → 01:02:00 เนี่ยให้เรากลับมาเริ่มแก้ที่ร่างกายของ
01:02:00 → 01:02:03 เราก่อนคือร่างกายเราเนี่ยมันเป็น
01:02:03 → 01:02:06 สัญลักษณ์อยู่แล้วว่าคุณมีนิสัยยังไงเออ
01:02:06 → 01:02:09 เช่นถ้าคุณมีนิสัยขี้เกียจอแน่นอนนะตัว
01:02:09 → 01:02:12 คุณก็จะบวมๆหน่อยอ้วนๆหน่อยถ้าคุณมีนิสัย
01:02:12 → 01:02:16 แบบเป็นคนขี้โมโหอ่ะตับคุณก็จะร้อนใช่
01:02:16 → 01:02:18 มั้ยปากเปิกเนี่ยร้อนไปหมดเนี่ยแลบลิ้น
01:02:18 → 01:02:20 ออกมาเนี่ยลิ้นเป็นสีดำเลยนะบางคนนะอัน
01:02:20 → 01:02:22 นี้ก็คือตับไม่ดีอะไรอย่างเงี้ยฉะนั้น
01:02:22 → 01:02:24 แล้วเนี่ยร่างกายเราเนี่ยมันเป็นตัวบอก
01:02:24 → 01:02:27 อยู่แล้วว่าคุณมีนิสัยยังไงใช่มั้ยฉะนั้น
01:02:27 → 01:02:29 การสังเกตร่างกายบ่อยๆเช่นตื่นเช้าขึ้นมา
01:02:29 → 01:02:32 สังเกตผมเผ้าเป็นยังไงวะร่างกายเป็นยังไง
01:02:32 → 01:02:34 บ้างอะไรเงี้ยข้อต่อติดขัดมั้มันเป็นตัว
01:02:34 → 01:02:38 บอกนิสัยนะเออเช่นสมมุติว่าเฮ้ยโอนิ้ว
01:02:38 → 01:02:40 ล็อคมากเลยนิ้วล็อคแขนเขินติดขัดมากเลย
01:02:40 → 01:02:42 ตื่นนอนขึ้นมาแสดงว่าคุณมีปัญหาเรื่อง
01:02:42 → 01:02:45 ธาตุดินมีความรัดตึงในชีวิตเยอะเกินไปคุณ
01:02:45 → 01:02:48 ก็ต้องกลับมาคิดเอ๊ะเราเราคิดอะไรมากเกิน
01:02:48 → 01:02:51 ไปหรือเปล่าเราไปยึดติดกับสิ่งต่างๆอะไร
01:02:51 → 01:02:54 มากเกินไปหรือเปล่าไปยึดถือเรื่องนี้ให้
01:02:54 → 01:02:56 มันเป็นตัวเราเป็นอัตราตัวเรามากเกินไป
01:02:56 → 01:02:59 หรือเปล่าพอเราคลายนะนิ้วก็ไม่ล็อกตัวก็
01:02:59 → 01:03:02 ผ่อนคลายได้ดีอะไรอย่างเงี้ยนะครับฉะนั้น
01:03:02 → 01:03:06 การสังเกตร่างกายก็คือสังเกตอารมณ์แล้วก็
01:03:06 → 01:03:09 สังเกตนิสัยไปด้วยนั่นแหละอืทำไมเราไม่
01:03:09 → 01:03:24 เกลาตนเองก่อนที่เราจะไปเกลาคน
01:03:24 → 01:03:28 อื่นอ