00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับหลายคนนะครับคงเคยได้ยินคำ
00:00:03 → 00:00:06 กล่าวที่ว่าอาหารเช้านั้นเป็นอาหารมื้อ
00:00:06 → 00:00:09 ที่สำคัญที่สุดของเรานะครับเรื่องนี้
00:00:09 → 00:00:12 เนี่ยก็มีข้อถกเถียงมากมายกันเลยนะครับ
00:00:12 → 00:00:15 ว่าเออมันอาจจะไม่ใช่มื้อที่สำคัญที่สุด
00:00:15 → 00:00:17 หรือถ้าเราไม่กินเราก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร
00:00:17 → 00:00:20 เลยนี่บางคนก็บอกว่าการไม่กินมื้อเช้าไม่
00:00:20 → 00:00:22 ได้ทำให้เกิดโรคแต่ว่ามันช่วยในการรักษา
00:00:22 → 00:00:25 โรคนะครับช่วยเรื่องของสุขภาพของเราด้วย
00:00:25 → 00:00:28 นะครับเรื่องนี้ในความเห็นของผมมันมีเหตุ
00:00:28 → 00:00:31 ผลอย่างไรบ้างใช่ไม่ใช่อย่างไรวันนี้ผมก็
00:00:31 → 00:00:33 จะเล่าให้ทุกท่านฟังกันเลยนะครับพบกับผม
00:00:33 → 00:00:35 นะครับนายแพทย์ธานีธนียวันนะครับเป็น
00:00:35 → 00:00:37 อาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
00:00:37 → 00:00:39 เชี่ยวชาญโรคปอดการปลูกถ่ายปอดและวิกฤต
00:00:39 → 00:00:43 บำบัดนะครับต้องเริ่มอย่างนี้ก่อนนะครับ
00:00:43 → 00:00:47 ว่าอาหารของเราเนี่ยสมัยก่อนถ้าเราย้อนไป
00:00:47 → 00:00:50 ในช่วงที่มนุษย์ของเรายังต้องล่าสัตว์นะ
00:00:50 → 00:00:53 ครับแน่นอนว่าเราเนี่ยไม่มีทางได้กิน
00:00:53 → 00:00:57 อาหารที่มันตรงเวลาตรงมื้อเราเป๊ะๆหรอก
00:00:57 → 00:01:01 ครับนะฮะแล้วพอหลังจากที่มนุษย์เราเนี่ย
00:01:01 → 00:01:03 อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งและเราเริ่มมีการทำ
00:01:03 → 00:01:06 เกษตรมีการเลี้ยงสัตว์นะครับเราก็เริ่ม
00:01:06 → 00:01:09 สามารถที่จะทานมื้อที่มันอยู่ตรงเวลาได้
00:01:09 → 00:01:12 มากขึ้นนะครับเดี๋ยวเนี้ยก็มักจะมีคนย้อน
00:01:13 → 00:01:16 ไปใช้เหตุผลในสมัยก่อนว่าเออคนเราเนี่ย
00:01:16 → 00:01:21 เคยกินแบบสัตว์มาก่อนเคยกินแบบไม่เป็น
00:01:21 → 00:01:25 เวลามาก่อนนะครับดังนั้นเนี่ยเออเดี๋ยว
00:01:25 → 00:01:27 เนี้ยพอเราพูดกันถึงเรื่องของคนสมัยก่อน
00:01:27 → 00:01:30 เราก็มาบอกว่าเออคนสมัยก่อนอายุยืนกว่า
00:01:30 → 00:01:32 แข็งแรงกว่าโรคภัยไข้เจ็บไม่ค่อยมีแต่
00:01:32 → 00:01:35 เดี๋ยวดูเดี๋ยวนี้สิโรคเบาหวานโรคอ้วนไข
00:01:35 → 00:01:38 มันความดันมะเร็งอะไรเต็มไปหมดนะครับแล้ว
00:01:38 → 00:01:40 เราก็ใช้ตรรกะในตรงเนี้ยบอกว่าเนี่ยถ้า
00:01:40 → 00:01:43 เรากินแบบคนสมัยก่อนไม่ค่อยกินนะครับกิน
00:01:43 → 00:01:46 ไม่เป็นเวลามันน่าจะทำให้เราแข็งแรงนะ
00:01:46 → 00:01:48 ครับแต่ผมบอกเลยครับว่าตรรกะตรงเนี้ยมัน
00:01:48 → 00:01:51 เป็นตรรกะที่ใช้ไม่ได้เลยนะครับเหตุผล
00:01:51 → 00:01:54 เพราะว่าคนเราเนี่ยข้อแรกเลยนะครับมันมี
00:01:54 → 00:01:57 การวิวัฒนาการจากสมัยก่อนมาจนถึงสมัยนี้
00:01:57 → 00:01:59 ร่างกายของคนเราไม่เหมือนกับสมัยก่อนแล้ว
00:01:59 → 00:02:02 ครับอ่ะประการที่ 2 ท่านรู้ได้อย่างไรว่า
00:02:03 → 00:02:05 คนสมัยก่อนไม่มีโรคพวกนี้ทั้งๆที่สมัย
00:02:06 → 00:02:09 ก่อนการเก็บสถิติมันยังไม่ดีการตรวจก็ยัง
00:02:09 → 00:02:12 ไม่มีนะครับการดูแลเรื่องของสุขภาพร่าง
00:02:12 → 00:02:15 กายมีโรงพยาบาลมีหมอในยุคของมนุษย์ยุคหิน
00:02:15 → 00:02:19 มยไม่มีนะครับไม่มีการตรวจอะไรทั้งสิ้นมี
00:02:19 → 00:02:22 มะเร็งในสมัยก่อนท่านรู้ได้ไงว่ามันไม่มี
00:02:22 → 00:02:25 มะเร็งในสมัยก่อนนะครับนั้นอันนี้ก็บอก
00:02:25 → 00:02:28 ไม่ได้แล้วนะครับเรื่องของอายุที่บอกว่า
00:02:28 → 00:02:30 คนสมัยก่อนนั้นอายุยืนกว่าคนสสมัยนี้อัน
00:02:30 → 00:02:32 นี้ก็ไม่จริงอยู่แล้วนะครับผมเคยเอาหลัก
00:02:32 → 00:02:34 ฐานมาให้ทุกท่านดูแล้วถ้าเกิดว่าคนไหนที่
00:02:34 → 00:02:36 จำไม่ได้เนี่ยสามารถย้อนกลับไปฟังเรื่อง
00:02:36 → 00:02:39 ของอายุของเราเนี่ยมันเปลี่ยนแปลงไปอย่าง
00:02:39 → 00:02:42 ไรบ้างนะครับคืออายุของคนเราเนี่ยมันมาก
00:02:43 → 00:02:45 ขึ้นนะครับมากขึ้นเรื่อยๆอาจจะมีเฉพาะบาง
00:02:45 → 00:02:47 บริเวณของโลกเราเท่านั้นแหละครับที่มัน
00:02:47 → 00:02:51 ไม่ได้มากตามไปด้วยนะครับดังนั้นท่านที่
00:02:51 → 00:02:54 ใช้เหตุผลตรงนี้นะครับว่าคนสมัยก่อนกิน
00:02:54 → 00:02:58 แบบนั้นแล้วแข็งแรงอายุยืนมาใช้กับคนสมัย
00:02:58 → 00:03:01 นี้มันใช้ไม่ได้หรครับนะฮะฮะทีนี้อ่ะเรา
00:03:01 → 00:03:03 มาเข้าเรื่องกันถึงเรื่องของอาหารเช้า
00:03:03 → 00:03:07 ก่อนนะครับสำหรับผมนะครับอาหารเช้านั้น
00:03:07 → 00:03:11 มันสำคัญสำหรับบางคนนะครับสำหรับบางคน
00:03:11 → 00:03:13 เนี่ยถือว่าสำคัญเลยทีเดียวนะครับคนไหน
00:03:13 → 00:03:17 บ้างที่ผมบอกว่าอาหารเช้านั้นสำคัญอ
00:03:17 → 00:03:21 ประการแรกเลยนะครับสำหรับเด็กตั้งแต่แรก
00:03:21 → 00:03:24 คลอดยันวัยรุ่นเลยนะครับอาหารเช้านั่น
00:03:24 → 00:03:26 เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะว่าในช่วงวัยนี้
00:03:26 → 00:03:29 เนี่ยจะมีการเจริญเติบโตของอวัยวะต่างๆ
00:03:29 → 00:03:32 ของร่างกายเยอะแยะไปหมดเลยนะครับโดยเฉพาะ
00:03:32 → 00:03:35 สมองนะครับความสูงของร่างกายการพัฒนาระบบ
00:03:35 → 00:03:38 ต่างๆของร่างกายก็ยังอยู่ในช่วงที่จะต้อง
00:03:38 → 00:03:41 มีการพัฒนาตลอดเวลาดังนั้นถ้าเราได้สาร
00:03:41 → 00:03:44 อาหารเข้าไปไม่เพียงพอนะครับร่างกายของ
00:03:44 → 00:03:46 เราเนี่ยมันก็จะไม่พัฒนาไปอย่างที่ควรจะ
00:03:46 → 00:03:49 เป็นนะครับแล้วก็จะมีผลเสียต่างๆตามมามาก
00:03:49 → 00:03:53 มายดังนั้นแล้วเนี่ยในช่วงวัยตั้งแต่แรก
00:03:53 → 00:03:57 คลอดจนถึงช่วงวัยรุ่นตอนปลายๆนี่แหละครับ
00:03:57 → 00:03:59 การรับประทานอาหารมื้อเช้าก็จะเป็นอันนึ
00:03:59 → 00:04:02 ซึ่งทำให้เราได้พลังงานเข้าไปต่อการพัฒนา
00:04:02 → 00:04:06 ของร่างกายอย่างเพียงพอนะครับอจแน่นอนมัน
00:04:06 → 00:04:08 ต้องมีคนมาเถียงนะครับว่าเอ้อเดี๋ยวเนี้ย
00:04:08 → 00:04:10 เด็กอ้วนก็มีเยอะแยะนะครับวัยรุ่นก็อ้วน
00:04:10 → 00:04:13 กันก็มีตั้งเยอะตั้งแยะคือต้องบอกก่อนนะ
00:04:13 → 00:04:15 ครับว่าพวกเนี้ยไม่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร
00:04:15 → 00:04:17 กับอาหารเช้าเลยนะครับมันเกี่ยวข้องกับ
00:04:17 → 00:04:19 การที่เา้ากินมากจนเกินไปกินอาหารที่มี
00:04:19 → 00:04:22 แคลอรี่สูงแต่ว่าไม่ได้ออกกำลังกายไม่ได้
00:04:22 → 00:04:24 เอาพลังงานตรงนั้นไปใช้นะครับดังนั้นคน
00:04:24 → 00:04:26 กลุ่มนี้จะโทษว่ามันเป็นเพราะอาหารเช้าก็
00:04:26 → 00:04:30 คงไม่ถูกต้องนะครับอ่างั้นในในคนที่เป็น
00:04:30 → 00:04:32 วัยรุ่นพวกเนี้ยจะมีความสำคัญละในเด็กก็
00:04:32 → 00:04:35 มีความสำคัญนะฮะคงไม่มีคนเถียงผมหรอกครับ
00:04:35 → 00:04:39 ว่าเอ๊ะถ้าบอกว่ามื้อเช้าไม่สำคัญนะครับ
00:04:39 → 00:04:41 ถ้าอย่างงั้นท่านลองให้ทารกที่แลกคลอดออก
00:04:41 → 00:04:43 มาเนี่ยทำ intermittent fasting ดีมั้
00:04:43 → 00:04:46 ครับทำ If ดีมยก็ไม่ดีนะครับนี้ก็เป็นคำ
00:04:46 → 00:04:50 ตอบง่ายๆนะครับอันที่ 2 คือผู้หญิงที่
00:04:50 → 00:04:54 ตั้งครรภ์นะครับแล้วก็ให้นมบุตรเพราะว่า
00:04:54 → 00:04:57 เหล่าเนี้ยเราไม่ได้เลี้ยงแค่ 1 ชีวิตนะ
00:04:57 → 00:04:59 ครับเราเลี้ยงมากกว่า 1 ชีวิตบางคนอาจจะ
00:04:59 → 00:05:01 2-3 ชีวิตเลยด้วยซ้ำไปนะครับดังนั้นพลัง
00:05:01 → 00:05:04 งานที่ต้องการเนี่ยมันจะสูงกว่าปกติถ้า
00:05:04 → 00:05:07 เราได้ไม่เพียงพอการเจริญเติบโตของลูกใน
00:05:07 → 00:05:10 ท้องเราเนี่ยอาจจะมีปัญหาได้นะครับหรือ
00:05:10 → 00:05:12 ถ้าเกิดว่าเรากำลังให้นมบุตรอยู่แล้วเรา
00:05:12 → 00:05:15 มีภาวะทุกโภชนาการขาดสารอาหารเรากินเข้า
00:05:15 → 00:05:18 ไปไม่เพียงพอเราก็อาจจะไม่มีน้ำนมเพียงพอ
00:05:18 → 00:05:21 ให้ลูกนะครับน้ำนมที่ออกมาก็อาจจะคุณภาพ
00:05:21 → 00:05:24 ไม่ดีเท่าที่ควรลูกเราก็อาจจะมีปัญหาได้
00:05:24 → 00:05:27 นะครับอ่านั่นก็คือเป็นส่วนที่เราไม่ควร
00:05:27 → 00:05:30 จะต้องอ่าหยุดรับประทานอ่าเช้าในคนกลุ่ม
00:05:30 → 00:05:34 นี้นะครับแต่แน่นอนก็ต้องมีแม่บางคนนะ
00:05:34 → 00:05:38 ครับที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินแล้วก็พอ
00:05:38 → 00:05:40 คลอดลูกแล้วเนี่ยอยากจะให้หุ่นตัวเองกลับ
00:05:40 → 00:05:42 มาเป็นเหมือนเดิมนะครับก็ต้องการที่จะทำ
00:05:42 → 00:05:44 ทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ตัวเองเนี่ยน้ำ
00:05:44 → 00:05:47 หนักลดลงมานะครับหนึ่งในวิธีย่อดคิศก็คือ
00:05:47 → 00:05:50 การทำ If intermittent fasting เพื่อ
00:05:50 → 00:05:53 ที่จะให้น้ำหนักตัวเองลดลงมาดีๆนะครับอัน
00:05:54 → 00:05:56 นั้นน่ะท่านจะต้องคอยสังเกตตัวเองให้ดี
00:05:56 → 00:05:59 ด้วยนะครับว่าท่านมีพลังงานเพียงพอที่จะ
00:05:59 → 00:06:01 เลี้ยงลูกนะครับเพราะว่าไม่มฉะนั้นตัว
00:06:01 → 00:06:03 ท่านผอมลงมาหุ่นดีทุกอย่างนะครับแต่ว่า
00:06:03 → 00:06:07 ลูกของท่านนั้นกลับมีปัญหานะครับก็ไม่ดี
00:06:07 → 00:06:10 นะครับไม่ดีเช่นกันแต่แน่นอนก็ต้องมีคน
00:06:10 → 00:06:12 เถียงไปมากกว่านั้นอีกเช่นว่าอ้อ้เดี๋ยว
00:06:12 → 00:06:16 เนี้ยเรามีนมผงสำหรับเด็กซึ่งมีคุณภาพดี
00:06:16 → 00:06:19 มากเลยถ้าอย่างนั้นเราให้นมผมสำหรับเด็ก
00:06:19 → 00:06:21 นะครับแล้วตัวแม่เราเองก็ทำ intermittent
00:06:21 → 00:06:24 fasting ก็ได้อันนั้นน่ะแล้วแต่ตัวท่าน
00:06:24 → 00:06:27 เลยนะครับถ้าท่านคิดว่าการทำแบบนั้นทำให้
00:06:27 → 00:06:29 ท่านผอมลงมานะครับงดอาหารเช้าทำ
00:06:29 → 00:06:31 intermittent fasting นานๆนะครับแล้วก็
00:06:31 → 00:06:34 เลี้ยงลูกด้วยนมผงนะครับอ่าอันนี้สามารถ
00:06:34 → 00:06:37 ทำได้นะครับแต่ว่าแน่นอนว่าเรื่องของความ
00:06:37 → 00:06:39 ผูกพันระหว่างแม่กับลูกเนี่ยการดื่มนมจาก
00:06:39 → 00:06:41 เต้าเนี่ยนะครับมันก็เป็นสิ่งที่ให้ความ
00:06:41 → 00:06:44 ผูกพันได้มากกว่าการดื่มนมจากขวดนะครับ
00:06:44 → 00:06:47 หรือว่านมผงนั่นเองนะครับอ่ะก็เล่าให้
00:06:47 → 00:06:51 ประมาณเท่านี้นะคนอื่นที่อาหารเช้ามีส่วน
00:06:52 → 00:06:55 สำคัญมากๆก็คือคนที่ต้องรับประทานยาบาง
00:06:55 → 00:06:57 อย่างนะครับที่มันต้องทานหลังอาหารนะครับ
00:06:57 → 00:07:00 แล้วบางครั้งมันต้องทานยาอย่างเงี้ยวันละ
00:07:00 → 00:07:02 2-3 ครั้งถ้าท่านไม่มีอาหารอยู่ในท้อง
00:07:02 → 00:07:05 แล้วทานเข้าไปเนี่ยบางคนก็อาจจะเกิดอาการ
00:07:05 → 00:07:09 ปวดท้องนะครับคลื่นไส้อาเจียนท้องเสียได้
00:07:09 → 00:07:11 หรือบางคนเนี่ยตัวยามันต้องอาศัยอาหารใน
00:07:11 → 00:07:14 การดูดซึมเข้าไปถ้าท่านไม่มีอาหารยามันก็
00:07:14 → 00:07:17 ไม่ดูดซึมเข้าไปนะครับอ่านั้นก็ต้องไปดู
00:07:17 → 00:07:20 ว่าท่านทานยาตัวไหนอยู่ที่มันจำเป็นจะ
00:07:20 → 00:07:22 ต้องทานหลังอาหารหรือเปล่านะครับเพราะไม่
00:07:22 → 00:07:25 ฉะนั้นถ้าท่านทานดอนท้องว่างก็อาจจะมี
00:07:25 → 00:07:28 ปัญหาต่างๆตามมาได้เช่นกันนะครับคนที่มี
00:07:28 → 00:07:30 เบาหวานแล้วแล้วมันคุมไม่ค่อยได้นะครับ
00:07:30 → 00:07:34 ตรงเนี้ยมันเป็นสิ่งซึ่งมีการถกเถียงกัน
00:07:34 → 00:07:37 ในระหว่าง influencer ต่างๆแล้วก็ทางหมอ
00:07:37 → 00:07:41 พอสมควรนะครับรวมทั้งในเรื่องของศาสนา
00:07:41 → 00:07:44 อิสลามซึ่งจะต้องมีเดือนรอมฎอนที่เขาจะ
00:07:44 → 00:07:47 ต้องมีการอดอาหารนะครับตรงเนี้ยจะทำยังไง
00:07:47 → 00:07:50 ดีนะครับในเรื่องของเดือนรอมฎอนนั้นผมเคย
00:07:50 → 00:07:52 ได้พูดไปแล้วนะครับว่าถ้าคนที่เป็นเบา
00:07:52 → 00:07:54 หวานในเรือนรอมฎอนเนี่ยจะต้องมีการ
00:07:54 → 00:07:57 ปฏิบัติตัวอย่างไรก็ถ้าจำไม่ได้ก็ย้อน
00:07:57 → 00:08:00 กลับไปฟังคลิปนั้นนะครับแต่ถ้าเป็นเรื่อง
00:08:00 → 00:08:04 ของคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการถือศีลอด
00:08:04 → 00:08:08 นะครับและมีเรื่องของเบาหวานอยู่ด้วยในคน
00:08:08 → 00:08:11 ที่เบาหวานควบคุมยากนั้นนะครับเรามีความ
00:08:11 → 00:08:14 จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทานยาให้มันตรง
00:08:14 → 00:08:16 เวลานะครับหรือว่าการใช้อินซูลินให้มัน
00:08:16 → 00:08:18 ตรงเวลาเพื่อที่จะให้น้ำตาลของเราเนี่ย
00:08:18 → 00:08:21 มันได้ระดับที่นิ่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไป
00:08:21 → 00:08:24 ได้นะครับการที่น้ำตาลของเราขึ้นครึ่งลงๆ
00:08:24 → 00:08:26 นั่นนะครับมันจะทำให้เรามีปัญหาได้นะครับ
00:08:26 → 00:08:29 อันนี้ก็เป็นสิ่งนึงซึ่งเราจะต้องเรา
00:08:29 → 00:08:31 ระวังไว้อย่างยิ่งนะครับส่วน influencer
00:08:31 → 00:08:33 บางท่านที่บอกว่าเออการทำ intermittent
00:08:33 → 00:08:37 fasting การอ่างดอาหารบางอย่างนะครับการ
00:08:37 → 00:08:40 กิน Carnival Diet การกินคีโตนะครับมัน
00:08:40 → 00:08:42 จะทำให้เรื่องของเบาหวานเราควบคุมได้ดี
00:08:42 → 00:08:44 ขึ้นนะครับอันนั้นก็เป็นส่วนที่ถูกต้องนะ
00:08:44 → 00:08:47 ครับแต่ว่าแน่นอนอย่างที่บอกไปนะครับการ
00:08:47 → 00:08:50 ทำระยะยาวมันก็มีปัญหาได้นะครับแล้วก็สุด
00:08:50 → 00:08:53 ท้ายถ้าท่านยังทำแบบนั้นต่อไปท่านก็จะ
00:08:53 → 00:08:55 เกิดปัญหาอย่างอื่นขึ้นมาแทนนะครับนั่น
00:08:55 → 00:08:59 แปลว่ามันเป็นแค่การแก้ไขปัญหาระยะสั้นๆ
00:08:59 → 00:09:02 เท่านั้นนะครับถ้าท่านทำระยะยาวก็จะเกิด
00:09:02 → 00:09:05 ปัญหาอย่างอื่นตามมานะครับแต่ถ้าท่านทำ
00:09:05 → 00:09:07 ระยะสั้นพอท่านหยุดทำท่านก็จะมีปัญหา
00:09:07 → 00:09:09 เรื่องของเบาหวานที่จะต้องมาควบคุมกัน
00:09:09 → 00:09:12 ใหม่เหมือนกันนะครับเพราะว่าทุกครั้งที่
00:09:12 → 00:09:15 เรามีการเปลี่ยนแปลงการกินอาหารนะครับการ
00:09:15 → 00:09:17 ปรับยาเบาหวานของเรามันก็จะต้องโดนปรับ
00:09:17 → 00:09:20 ใหม่นะครับดังนั้นเรื่องพวกนี้คนที่มีเบา
00:09:20 → 00:09:22 หวานเนี่ยอาจจะต้องระวังในแง่ของการรับ
00:09:22 → 00:09:25 ประทานอาหารเช้านิดนึงต้องทานให้สม่ำเสมอ
00:09:25 → 00:09:29 นะครับนอกเหนือจากนี้อาหารเช้าเนี่ยมัน
00:09:29 → 00:09:33 ยังไงต่อนะครับอันที่สำคัญอย่างนึงก็คือ
00:09:33 → 00:09:36 คนที่จำเป็นจะต้องใช้พลังงานนะครับใช้
00:09:36 → 00:09:38 พลังงานในที่นี้มี 2 อย่างด้วยกันที่จะ
00:09:38 → 00:09:40 ต้องใช้พลังงานพลังงานทางสมองและพลังงาน
00:09:40 → 00:09:44 ทางร่างกายนะครับบางคนเนี่ยเวลาอดอาหาร
00:09:44 → 00:09:47 เช้าเนี่ยครับจะมีปัญหาที่ว่ามันคิดอะไร
00:09:48 → 00:09:51 ไม่ค่อยออกสมาธิไม่มีรู้สึกปวดหัวนะครับ
00:09:51 → 00:09:54 หัวมันหนักๆตื้อๆเวียนหัวง่ายนะครับแล้ว
00:09:54 → 00:09:57 ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรแต่พอลองดูสิ
00:09:57 → 00:10:00 ครับวันนึงท่านไปกินอาหารเช้านะครับแล้ว
00:10:00 → 00:10:02 หลังจากนั้นเนี่ยความคิดโลดแล่นสมองก็
00:10:02 → 00:10:05 แจ่มใสขึ้นมานะครับนั่นมันแปลว่าท่านเป็น
00:10:05 → 00:10:08 คนที่ขาดพลังงานในตอนเช้าท่านจะต้องเติม
00:10:08 → 00:10:11 มันเข้าไปนะครับอีกอย่างนึงก็คือทางด้าน
00:10:11 → 00:10:14 ร่างกายเพราะว่าการที่เราทานน้ำตาลอะไร
00:10:14 → 00:10:16 พวกนี้เข้าไปนะครับหรือว่าทานอาหารที่มัน
00:10:16 → 00:10:20 ไปทำให้เรามีไกลโคเจนในกล้ามเนื้อในตับ
00:10:20 → 00:10:22 พวกนี้นะครับมันจะช่วยทำให้เราสามารถเอา
00:10:22 → 00:10:24 พลังงานตรงนั้นมาใช้ได้อย่างฉับพลันนะ
00:10:24 → 00:10:28 ครับจะไม่เหมือนพลังงานจากไขมันจากโปรตีน
00:10:28 → 00:10:30 ซึ่งมันใช้เวลาในการเอามันออกมาดังนั้นคน
00:10:30 → 00:10:32 ไหนที่เป็นนักกีฬานะครับต้องใช้แรงงาน
00:10:32 → 00:10:35 เยอะนะครับต้องออกกำลังกายเรื่อยๆนะครับ
00:10:35 → 00:10:39 การงดอาหารเช้านั้นอาจจะมีผลต่อร่างกาย
00:10:39 → 00:10:42 ของท่านในการพัฒนาร่างกายก็ได้นะครับและ
00:10:42 → 00:10:44 จริงๆมันก็มีเยอะซะด้วยนะครับเราจะไม่
00:10:44 → 00:10:46 ค่อยเห็นหรอกครับว่านักเพาะกายในช่วงที่
00:10:47 → 00:10:49 กำลังเพิ่มกล้ามเนี่ยกินอาหารวันละมื้อ
00:10:49 → 00:10:51 ไม่มีหรอกครับเค้ากินอาหารวันละหลายมื้อ
00:10:51 → 00:10:54 ด้วยซ้ำไปกินพลังงานเพิ่มขึ้นกว่าคนปกติ
00:10:54 → 00:10:56 ด้วยซ้ำไปนะครับแต่อาจจะมีการลดปริมาณ
00:10:56 → 00:11:01 อาหารนะครับลดแคลอรี่ในช่วงวที่มีการลดไข
00:11:01 → 00:11:03 มันของร่างกายนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ
00:11:03 → 00:11:06 ครับดังนั้นเนี่ยเท่าที่เราฟังมาถึงตรง
00:11:06 → 00:11:09 นี้เนี่ยอาหารเช้าเนี่ยมันมีความสำคัญใน
00:11:09 → 00:11:12 บางกรณีนะครับแต่ไม่ได้แปลว่าทุกคนจำเป็น
00:11:12 → 00:11:16 จะต้องทานอาหารเช้านะครับถ้าเป็นคนที่ไม่
00:11:16 → 00:11:18 ได้อยู่ในสิ่งที่ผมกล่าวไปก็คือไม่ได้
00:11:18 → 00:11:21 เป็นช่วงวัยที่เรากำลังเจริญเติบโตแม่ที่
00:11:21 → 00:11:23 ให้นมบุตหรือแม่ที่ตั้งครรภ์นะครับไม่ได้
00:11:23 → 00:11:25 มีโรคประจำตัวอะไรที่จำเป็นจะต้องรับ
00:11:25 → 00:11:27 ประทานยาหลังอาหารนะฮะไม่มีอะไรที่ต้อง
00:11:27 → 00:11:31 ใช้พลังงานเยอะๆนะครับครับหรือว่าเราไม่
00:11:31 → 00:11:33 ได้มีเบาหวานอะไรที่มันคุมไม่ได้นะครับ
00:11:33 → 00:11:36 ที่เหลือเนี่ยนะครับอาหารเช้าอาจจะไม่ได้
00:11:36 → 00:11:39 มีความสำคัญมากขนาดนั้นสำหรับท่านนะครับ
00:11:39 → 00:11:42 ท่านจะไม่ทานก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรสำหรับ
00:11:42 → 00:11:44 ท่านที่กำลังลดน้ำหนักทำ independent
00:11:44 → 00:11:46 fasting นะครับท่านก็อาจจะบอกว่าเออเรา
00:11:46 → 00:11:48 งดอาหารเช้าไปทานอาหารเที่ยงหรืออาหาร
00:11:48 → 00:11:51 เย็นมันก็จะทำให้ท่านอดอาหารได้นานขึ้นนะ
00:11:51 → 00:11:53 ครับผลจาก independent fasting มันก็จะ
00:11:53 → 00:11:56 เยอะขึ้นเช่นฝนทางด้านของ autophagy ฝนใน
00:11:56 → 00:12:00 ด้านของการลดน้ำตาลลดไขไขมันในร่างกาย
00:12:00 → 00:12:03 ต่างๆก็จะดีมากขึ้นนะครับอ่าพวกนี้ก็จะมี
00:12:03 → 00:12:05 ส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนกันว่าเออท่าน
00:12:05 → 00:12:08 อาจจะงดอาหารเช้าแล้วก็ช่วยในเรื่องของ
00:12:08 → 00:12:10 พวกนั้นนะครับอย่างไรก็ตามท่านจะต้อง
00:12:10 → 00:12:13 สังเกตตัวเองเสมอนะครับเพราะว่าบางคน
00:12:13 → 00:12:15 เนี่ยไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าตัวเองเนี่ยมี
00:12:15 → 00:12:18 ภาวะขาดพลังงานและน้ำตาลมันเริ่มมีปัญหา
00:12:18 → 00:12:22 นะครับอย่างผมสมัยที่ผมเรียนหมออยู่เนี่ย
00:12:22 → 00:12:24 ครับผมก็มีปัญหาเหมือนกันเพราะว่าหลาย
00:12:24 → 00:12:26 ครั้งที่ผมทานอาหารเช้าไม่ค่อยทันนะครับ
00:12:26 → 00:12:30 ก็ต้องไปทำงานเลยนะฮะแต่มันมีอยู่วันนึง
00:12:30 → 00:12:33 ที่ผมพอมีเวลาตอนเช้าผมดูแลคนไข้เสร็จ
00:12:33 → 00:12:36 ปุ๊บก็ลงไปทานอาหารเช้าและหลังจากทาน
00:12:36 → 00:12:39 อาหารนี่แหละครับหายง่วงเลยนะครับหายง่วง
00:12:39 → 00:12:42 มีกำลังวังชามีความคิดที่โลดแล่นผมก็รู้
00:12:42 → 00:12:44 เลยนะครับว่าเออไอ้ที่ผ่านๆมาที่ผมไม่ได้
00:12:44 → 00:12:47 สังเกตตัวเองเนี่ยคิดว่าตัวเองไหวตัวเอง
00:12:47 → 00:12:49 ทนได้เนี่ยครับเฮ้ยจริงๆมันไม่ได้แฮะแต่
00:12:49 → 00:12:51 พอเราได้อาหารเข้าไปเนี่ยเรารู้สึก
00:12:51 → 00:12:54 กระปรี้กระเป๋าขึ้นมาทันทีนะครับดังนั้น
00:12:54 → 00:12:56 เรื่องของการสังเกตตัวเองเนี่ยมันเป็น
00:12:56 → 00:12:58 สิ่งที่สำคัญมากนะ
00:12:58 → 00:13:00 ครับนอกเหนือจากนี้สิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญ
00:13:00 → 00:13:04 มากกว่านั้นอีกก็คือเราทานอะไรเป็นอาหาร
00:13:04 → 00:13:07 เช้าล่ะครับถูกมั้ยครับถ้าคนไหนที่ทาน
00:13:07 → 00:13:10 อาหารเช้าแต่เลือกทานอาหารที่มันมีแต่
00:13:10 → 00:13:14 แป้งนะครับมีน้ำตาลสูงบางคนกินเนชโสกิน
00:13:14 → 00:13:16 ซีเรียลที่น้ำตาลเยอะๆเครับไอ้อย่างนี้ก็
00:13:16 → 00:13:19 อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับมันอาจจะส่ง
00:13:19 → 00:13:21 ผลทำให้เราน้ำหนักเกินก็ได้ทำให้เป็นโรค
00:13:21 → 00:13:24 อ้วนนะครับก็ได้นะครับอาหารเช้าที่มัน
00:13:24 → 00:13:27 สำคัญอีกอย่างนึงก็คือบางคนเนี่ยนะครับ
00:13:27 → 00:13:29 ถ้าไม่ทานอาหารเช้าเนี่ยจะมีมีความรู้สึก
00:13:29 → 00:13:32 อยากจะทานอาหารมื้ออื่นๆเพิ่มขึ้นหรือที่
00:13:32 → 00:13:34 เราเรียกภาษาอังกฤษว่า Over eating นะ
00:13:34 → 00:13:36 ครับคือกินเข้าไปแหลกเลยกินแหลกเลยแต่พอ
00:13:36 → 00:13:39 มาทานอาหารเช้าเนี่ยมันทำให้ลดความอยากใน
00:13:39 → 00:13:42 การกินของพวกนั้นลงไปได้ทำให้เราไม่ได้
00:13:42 → 00:13:45 กินเยอะขึ้นนะครับแล้วก็มาถึงประเด็นสุด
00:13:46 → 00:13:48 ท้ายที่ผมคิดว่ามันน่าจะมีความสำคัญก็คือ
00:13:48 → 00:13:52 คนที่เป็นโรคกระเพาะการไม่กินอาหารเช้าทำ
00:13:52 → 00:13:55 ให้ท่านเป็นโรคกระเพราะจริงหรือไม่นะครับ
00:13:55 → 00:13:57 สำหรับผมแล้วมันไม่จริงนะครับโรคกระเพราะ
00:13:57 → 00:13:59 เนี่ยส่วนใหญ่แล้วนะครับครับมันเกิดขึ้น
00:13:59 → 00:14:01 จากเชื้อแบคทีเรียตัวนึงเรียกว่า
00:14:01 → 00:14:04 helicobacter pite นะครับ helicobacter
00:14:04 → 00:14:06 pite ก็จะเป็นแบคทีเรียอันนึงซึ่งมัน
00:14:06 → 00:14:09 อยู่ในกระเพาะของเราแล้วมันติดต่อมาจาก
00:14:09 → 00:14:11 การกินอาหารร่วมกับคนอื่นนี่แหละครับบาง
00:14:11 → 00:14:12 คนก็มีอยู่ในร่างกายโดยที่เราไม่รู้ตัว
00:14:13 → 00:14:15 ด้วยซ้ำไปนะครับแล้วก็จะเกิดปัญหาเรื่อง
00:14:15 → 00:14:18 ของท้องเราเนี่ยมันก็จะมีแผลในกระเพาะได้
00:14:18 → 00:14:22 แล้วคนพวกนี้เนี่ยเวลาที่แผลในกระเพาะมัน
00:14:22 → 00:14:24 จะเป็นก็คือช่วงที่เราหลั่งกรดนะครับถ้า
00:14:24 → 00:14:26 เราหลั่งกรดแล้วเราไม่มีอาหารให้มันย่อย
00:14:26 → 00:14:29 มันก็ย่อยอะไรครับย่อยตัวเองนัละครับก็จะ
00:14:29 → 00:14:30 เกิดเป็นโรคกระเพาะต่างๆขึ้นมาแลไอ้
00:14:30 → 00:14:32 แบคทีเรียของเราเนี่ยตัวเนี้ยนะครับมันจะ
00:14:32 → 00:14:35 ทำให้มีปัญหาตรงนี้ได้บ่อยมากขึ้นนะครับ
00:14:35 → 00:14:38 แต่ถ้าท่านไม่ได้มีแบคทีเรียตัวนี้นะครับ
00:14:38 → 00:14:40 ท่านก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องของโรคกระเพาะ
00:14:40 → 00:14:42 เท่าไหร่นะครับยกเว้นทุกคนที่กินยาที่มัน
00:14:42 → 00:14:44 กัดกระเพาะหรือมีโรคบางชนิดที่ทำให้กรด
00:14:44 → 00:14:46 มันหลั่งเยอะกว่าปกติอันนั้นก็อีกเรื่อง
00:14:46 → 00:14:49 นึงครับไม่นับในกรณีแบบนี้นะครับคือโรค
00:14:49 → 00:14:51 กรดเอ่อโรคกระเพาะเนี่ยไม่ได้เกิดจาก
00:14:51 → 00:14:54 สาเหตุที่ท่านคิดการกินอาหารไม่ตรงเวลา
00:14:54 → 00:14:58 หรอกครับนะปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับเออจริง
00:14:58 → 00:15:00 ๆจริงๆการกินอาหารไม่ตรงเวลาเกี่ยวข้อง
00:15:00 → 00:15:02 กับรก็เพราะมันมีความเกี่ยวข้องกันบ้างนะ
00:15:02 → 00:15:04 ครับเพราะว่าร่างกายของเรามันเรียนรู้ว่า
00:15:04 → 00:15:08 ช่วงเวลาไหนเราควรจะได้มีการหลั่งกดออกมา
00:15:08 → 00:15:10 เพื่อที่จะย่อยอาหารนะครับถ้าเรากินกิน
00:15:10 → 00:15:12 แล้วเปลี่ยนเวลาไปเรื่อยๆอันเนี้ยไม่ค่อย
00:15:13 → 00:15:15 ดีเท่าไหร่นะครับเพราะว่ามันจะทำให้ระบบ
00:15:15 → 00:15:18 ร่างกายของเราเนี่ยรวนนะครับคือในช่วงที่
00:15:18 → 00:15:20 ร่างกายเรามันคิดว่าเฮ้ยอาหารมันควรจะ
00:15:20 → 00:15:23 ต้องมาะแต่มันยังไม่มาหลั่งกรดออกมาแล้ว
00:15:23 → 00:15:26 กรดมันมันออกมาแต่มันไม่ได้ย่อยอะไรมัน
00:15:26 → 00:15:28 ย่อยอะไรครับย่อยท้องเรานี่แหละครับก็จะ
00:15:28 → 00:15:30 เกิดเป็นแผล่กระเพาะอาหารได้แล้วไม่ใช่
00:15:30 → 00:15:33 แค่นั้นการที่เราเปลี่ยนวิธีการกิน
00:15:33 → 00:15:35 เปลี่ยนช่วงเวลาการกินไปเรื่อยๆนะครับมัน
00:15:35 → 00:15:37 ก็จะมีปัญหาอย่างอื่นตามมาก็คือว่าเราอาจ
00:15:37 → 00:15:40 จะมีปัญหาทางด้านของระบบอื่นๆของร่างกาย
00:15:40 → 00:15:42 เช่นระบบการนอนระบบการขับถ่ายระบบอะไรพวก
00:15:42 → 00:15:46 เนี้ยเต็มไปหมดเลยนะครับดังนั้นร่างกาย
00:15:46 → 00:15:48 ของเราเนี่ยมันปรับตัวได้แต่ท่านก็ต้อง
00:15:48 → 00:15:50 พยายามอย่าให้มันปรับบ่อยจนเกินไปเพราะ
00:15:50 → 00:15:52 ไม่ฉะนั้นเนี่ยจะเกิดความไม่สมดุลขึ้นมา
00:15:52 → 00:15:54 ในร่างกายของเราได้นะครับดังนั้นเรื่อง
00:15:55 → 00:15:58 เนี้ยก็เป็นความสำคัญนะครับถ้าท่านไหนที่
00:15:58 → 00:16:01 คิดว่าเออเออเราไม่ทานอาหารเช้าได้มนะ
00:16:01 → 00:16:04 ครับเราอยากฝึกไม่ทานอาหารเช้ามันสามารถ
00:16:04 → 00:16:06 ทำได้นะครับแต่ท่านไม่ใช่ว่าเออเนี่ยไป
00:16:06 → 00:16:09 ฟังกูรูคนนึงมาแล้วบอกว่าทำ in fasting
00:16:09 → 00:16:12 แล้วท่านปกติกิน 3 มื้อแล้วเอ้ยเดี๋ยววัน
00:16:12 → 00:16:13 พรุ่งนี้ลองกินเหลือมื้อเดียวอันนี้ไม่
00:16:13 → 00:16:15 ได้นะครับท่านทำไปได้แป๊บเดียวแต่วรับรอง
00:16:15 → 00:16:18 ว่าท่านทนไม่ไหวอาจจะมีอาการไมเกรนกำเริบ
00:16:18 → 00:16:20 นะครับปวดท้องได้หรือมีอาการกระสับ
00:16:20 → 00:16:23 กระส่ายนะครับหงุดหงิดอะไรเยอะแยะเต็มไป
00:16:23 → 00:16:25 หมดแล้วก็สุดท้ายก็จะเกิดปัญหาต่างๆตาม
00:16:25 → 00:16:28 ร่างกายขึ้นมาถ้าท่านยังคงฝืนทำมันไปอยู่
00:16:28 → 00:16:30 นะครับถ้าท่านจะไม่กินอาหารเช้าจริงๆต้อง
00:16:30 → 00:16:33 ค่อยๆปรับทีละนิดนะครับเช่นเลื่อนเวลาที่
00:16:33 → 00:16:36 เราทานอาหารเช้าไปทีละชั่วโมง 2 ชั่วโมง
00:16:36 → 00:16:38 อย่างนี้บ้างนะครับไม่ใช่ว่าเลื่อนที
00:16:38 → 00:16:40 เดียว 7-8 ชั่วโมงเลยอันนี้ก็ไม่ไหวนะ
00:16:40 → 00:16:43 ครับหรืออีกวิธีนึงที่ดีก็คือการเลือกรับ
00:16:43 → 00:16:45 ประทานอาหารที่มันมีประโยชน์มากหน่อยนะ
00:16:45 → 00:16:49 ครับอ่าดังนั้นพวกนี้ก็เป็นสิ่งนึงซึ่งผม
00:16:49 → 00:16:53 คิดว่าคำตอบของว่าอาหารเช้ามันจำเป็นหรือ
00:16:53 → 00:16:55 ไม่เป็นมื้อที่สำคัญที่สุดหรือเปล่ามัน
00:16:55 → 00:16:57 ขึ้นอยู่กับว่าท่านคือใครต่างหากล่ะครับ
00:16:57 → 00:17:02 นะฮะงั้นโดยสรุปแล้วนะครับอาหารเช้าสำคัญ
00:17:02 → 00:17:04 สำหรับเด็กวัยที่กำลังเจริญเติบโตวัยรุ่น
00:17:05 → 00:17:07 นะครับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์อยู่มีให้นม
00:17:07 → 00:17:10 บุตรอยู่คนที่มีภาวะธูปโภชนาการนี้ก็ต้อง
00:17:10 → 00:17:14 ทานให้ครบนะครับคนที่เอ่อจำเป็นจะต้องใช้
00:17:14 → 00:17:17 แรงทางร่างร่างกายเยอะๆใช้สมองเยอะๆนะ
00:17:17 → 00:17:19 ครับพวกนี้อาจจะต้องมีการรับประทานอาหาร
00:17:19 → 00:17:22 เช้าเข้าไปนะครับคนที่ทานอาหารทานยาที่
00:17:22 → 00:17:25 มันต้องทานหลังอาหารนี่ก็มีความสำคัญหรือ
00:17:25 → 00:17:27 คนที่มีโรคเบาหวานที่มันคุมแล้วลำบาก
00:17:27 → 00:17:29 หน่อยอันเนี้ยอาจจะต้องทานอาหารให้มัน
00:17:29 → 00:17:31 สม่ำเสมอนะครับเพราะว่าการปรับยามันขึ้น
00:17:31 → 00:17:33 อยู่กับการทานอาหารของท่านแต่ถ้าท่านไม่
00:17:33 → 00:17:36 ได้เข้าขายตรงนี้เลยทั้งหมดเนี่ยแล้วก็
00:17:36 → 00:17:38 ท่านไม่ได้ทานอาหารเช้ามาเป็นระยะเวลาสัก
00:17:38 → 00:17:40 พักนึงแล้วเนี่ยนะครับชินแล้วอันนั้นไม่
00:17:40 → 00:17:42 ได้เป็นอันตรายต่อร่างกายท่านมันไม่ได้ทำ
00:17:42 → 00:17:45 ให้ท่านป่วยไม่ได้ทำให้ท่านเกิดปัญหาอะไร
00:17:45 → 00:17:47 ขึ้นมาแต่อย่างใดเลยนะครับอ่าท่านลองคิด
00:17:47 → 00:17:51 ดูถ้าอาหารเช้ามันสำคัญมากขนาดนั้นจริงๆ
00:17:51 → 00:17:53 เนี่ยเวลาที่ท่านนั่งเครื่องบินไปประเทศ
00:17:53 → 00:17:55 อื่นเนี่ยมันเป็นเวลาเช้าของประเทศไทยและ
00:17:55 → 00:17:57 เป็นเวลากลางคืนของอีกประเทศนึงอะไรอย่าง
00:17:57 → 00:17:59 เงี้ยนะครับท่านก็อาจจะเอ้ยมันต้องปรับ
00:17:59 → 00:18:02 เวลาเป็นของอีกประเทศนึงนะครับท่านก็สลับ
00:18:02 → 00:18:05 วิธีการกินไปอีกแบบนึงนะฮะร่างกายของท่าน
00:18:05 → 00:18:07 มันสามารถปรับได้ครับมันไม่ได้แปลว่ามื้อ
00:18:07 → 00:18:10 เช้าตามเวลาเดิมมันสำคัญตลอดของร่างกาย
00:18:10 → 00:18:13 ท่านนะครับอ่ะก็เล่าให้ฟังเพียงเท่านี้นะ
00:18:13 → 00:18:15 ครับถ้าเกิดว่าใครมีอะไรเสริมหรือจะถาม
00:18:15 → 00:18:18 อะไรก็สอบถามมาได้นะครับผมอาจจะพูดแล้ว
00:18:18 → 00:18:20 มันตรงกันข้ามกับคนอื่นบ้างนะครับแต่ว่า
00:18:20 → 00:18:23 ก็เป็นสิ่งนึงที่ผมคิดมาแบบนี้ตั้งแต่
00:18:23 → 00:18:25 เด็กจนปัจจุบันนะครับโอเคเท่านี้นะครับ
00:18:25 → 00:18:29 ขอบคุณมากครับสวัสดีครับ