00:00:01 → 00:00:06 ยังจำเมื่อ 2 เดือนก่อนได้ไหมที่หมอท้าลด
00:00:06 → 00:00:07 น้ำหนักในผู้สูงอายุ
00:00:08 → 00:00:13 8 กิโลใน 8 สัปดาห์มาดูกันว่าหมอทำ
00:00:13 → 00:00:16 สำเร็จไหมและหมอค้นพบอะไรในการลดน้ำหนัก
00:00:16 → 00:00:23 ครั้งนี้
00:00:23 → 00:00:26 สวัสดีครับทุกท่านเพจหมอทรัพย์ทางบาด
00:00:27 → 00:00:34 เดียวและ YouTube
00:00:34 → 00:00:38 ในเรื่องของคำถามทางบ้านนะครับที่เคยถาม
00:00:38 → 00:00:42 ทิ้งไว้แล้วก็เคยท้าทิ้งเอาไว้ว่าเอ๊ะใน
00:00:42 → 00:00:43 คนอายุ
00:00:43 → 00:00:48 สูงวัยสามารถลดน้ำหนักได้หรือเปล่านะครับ
00:00:48 → 00:00:52 นะแล้วถ้าลดควรจะลดวิธีไหนแล้วคนที่ออกมา
00:00:52 → 00:00:56 พูดเนี่ยหมอที่เขาออกมาพูดกันหรือแม้แต่
00:00:56 → 00:00:59 ฟิตเนสเทรนเนอร์อะไรก็แล้วแต่เนี่ยออกมา
00:00:59 → 00:01:01 พูดเกี่ยวกับการลดน้ำหนักเขาเคยใช้วิธี
00:01:01 → 00:01:04 การลดน้ำหนักอย่างที่เขาพูดไหมนะครับนะ
00:01:04 → 00:01:08 ตัวหมอเองนะอย่างที่บอกว่าในชีวิตนี้ไม่
00:01:08 → 00:01:10 เคยลดน้ำหนักเลยนะเกิดมาก็มีแต่น้ำหนัก
00:01:10 → 00:01:15 เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆมาครั้งนี้เป็น
00:01:15 → 00:01:18 ครั้งแรกที่ทำการลดน้ำหนักนะครับคลิปนี้
00:01:18 → 00:01:23 อาจจะยาวนิดนึงถ้าสมมุติว่าเราอดทนทำฟัง
00:01:23 → 00:01:27 ไม่เคลื่อนไหวก็เลื่อนไปที่ท้ายๆคลิปได้
00:01:27 → 00:01:31 เลยแต่ท่านจะคล้ายๆว่าเสียเสียโอกาสในการ
00:01:31 → 00:01:33 ที่จะรับรู้รายละเอียด
00:01:33 → 00:01:38 ปริศนาว่าทำไมเราสามารถลดน้ำหนักได้
00:01:38 → 00:01:43 มาฟังทางนี้การลดน้ำหนัก 8 กิโลใน 8
00:01:43 → 00:01:46 สัปดาห์เนี่ยด้วยกฎ 8 ข้อเนี่ยทำอย่างไร
00:01:46 → 00:01:50 นะครับนะเดี๋ยวหมอจะค่อยๆพูดให้ฟัง
00:01:50 → 00:01:54 อย่างที่บอกก่อนหน้านี้เมื่อ 8 สัปดาห์
00:01:54 → 00:01:57 ที่แล้วหรือ 2 เดือนที่แล้วเนี่ยหมอเคย
00:01:57 → 00:02:00 เท้าลดน้ำหนักว่าเราสามารถลดน้ำหนักได้
00:02:00 → 00:02:04 ไหมโดยวิธีการผสมผสานผสมผสานในที่นี้คือ
00:02:04 → 00:02:08 การทำ is นะครับแล้วก็บวกการที่คุม
00:02:08 → 00:02:11 แคลอรี่การทำ If หลายคนคงรู้อยู่แล้วล่ะ
00:02:11 → 00:02:13 ก็คือ
00:02:13 → 00:02:18 มีช่วงระยะเวลาในการกินสักช่วงหนึ่งแต่
00:02:18 → 00:02:21 ชั่วโมงบ้าง 4 ชั่วโมงบ้างและที่เหลือ
00:02:21 → 00:02:23 ทั้งวันก็
00:02:23 → 00:02:26 อาหารนะครับนะแต่หมอเนี่ยบวกในเรื่องของ
00:02:26 → 00:02:30 การคุมแคลอรี่เข้าไปด้วยเพราะหมอมองว่า
00:02:30 → 00:02:33 ความรู้ตั้งแต่ตอนที่เรียนมาตอนเด็กๆก็
00:02:33 → 00:02:36 คือว่า intake น้อย
00:02:36 → 00:02:39 output มากๆก็คือจะผอมลงเพราะฉะนั้นเรา
00:02:39 → 00:02:43 จะต้อง resist ก็คือคุมตัวแคลอรี่ไม่ใช่
00:02:43 → 00:02:47 ว่าเราทำ If แล้วเราจะกินได้เต็มที่ใน
00:02:47 → 00:02:49 ช่วงที่เขาปล่อยให้เรากินอันนั้นหมอมอง
00:02:49 → 00:02:53 ว่าไม่ถูกต้องนะเรากินได้ก็จริงแต่เราควร
00:02:53 → 00:02:56 จะกินเป็นมื้อมาดูกันต่อ
00:02:56 → 00:03:00 นะครับอย่างที่บอกว่า If คือการอดอาหารใน
00:03:00 → 00:03:04 ช่วงระยะเวลานะ 16 8 18 6 หรือ 24 ก็
00:03:04 → 00:03:08 แล้วแต่ช่วงกินก็ให้กินช่วงอดแต่ก็ให้อด
00:03:08 → 00:03:11 นะแต่หมออย่างที่บอกว่าทำ If บวกกับ
00:03:11 → 00:03:14 แคลอรี่และ section คือคุมอาหารคุมอาหาร
00:03:14 → 00:03:17 แบบไหนก็อย่างที่บอกว่ากินเฉพาะในมื้อไม่
00:03:17 → 00:03:21 กินจุกนะเขาให้กินเที่ยงก็กินเที่ยงให้
00:03:21 → 00:03:25 กินเย็นก็กินเย็นช่วงใช้เวลาระหว่างนั้น
00:03:25 → 00:03:28 ไม่กินเลยนะครับถ้าหิวก็กินน้ำเอานะครับ
00:03:28 → 00:03:30 โดยจำกัด
00:03:30 → 00:03:35 แคลอรี่แต่ละวันอย่างที่บอกว่าเคยเคยพูด
00:03:35 → 00:03:39 ไปแล้วว่าเราจะต้องคำนวณก่อนว่าเราจะ
00:03:39 → 00:03:43 ใช้แคลอรี่ต่อวันเนี่ยเท่าไหร่อย่าง
00:03:43 → 00:03:46 สมมุติหมอเคยคำนวณไว้แล้วแคลอรี่ของหมอ
00:03:46 → 00:03:50 เนี่ยใช้ 2,100 กิโลแคลอรี่ต่อวันหมอก็ทำ
00:03:50 → 00:03:55 การจำกัดแคลอรี่ลงคือลดแคลอรี่ลง 1 ใน 3
00:03:55 → 00:03:58 1 ใน 3 ก็คือวันหนึ่งหมอก็จะเหลือแค่
00:03:58 → 00:04:00 1,400 กิโลแคลอรี่
00:04:00 → 00:04:03 1,400 กิโลแคลอรี่หมอก็จะแบ่งเป็น 2
00:04:03 → 00:04:07 มื้อง่ายๆเลยมื้อกลางวัน 700 กิโลแคลอรี่
00:04:07 → 00:04:12 มื้อเย็น 700 กิโลแคลอรี่นะครับนะ
00:04:12 → 00:04:17 เกิดอะไรขึ้นสรุปผลงานการลดน้ำหนักนะ
00:04:17 → 00:04:21 อย่างที่บอกว่าหมอเคยเท้าไว้ใครที่ลดน้ำ
00:04:21 → 00:04:25 หนักสำเร็จทำภาพนี้มาส่งได้เลย
00:04:25 → 00:04:29 หมอเริ่มน้ำหนักนะครับวันที่ 29 นะเดือน 9
00:04:29 → 00:04:33 จากน้ำหนัก 76.2 กิโลกรัมนะครับนะมาในวัน
00:04:33 → 00:04:36 ที่ 15 เดือน 11 คือจริงๆก็อย่างที่บอก
00:04:36 → 00:04:39 ว่า 8 สัปดาห์จริงๆ 7-8 สัปดาห์เนี่ยลด
00:04:39 → 00:04:40 ได้
00:04:40 → 00:04:44 68.6 ก็คือโดยรวมแล้วเฉลี่ยนะก็คือเกือบ
00:04:44 → 00:04:47 8 กิโลกรัมก็แล้วกัน 8 กิโลกรัมจริงๆตอน
00:04:47 → 00:04:51 นี้วันนี้วันที่ 27 ก็ 8 กิโลกรัมเป็น
00:04:51 → 00:04:53 แล้วล่ะนะครับนะ
00:04:53 → 00:04:58 โดยมีข้อสังเกตคือจริงๆมันไม่ได้ลด
00:04:58 → 00:05:01 กิโลกรัมละ 1 สัปดาห์นะมันไม่ใช่อย่าง
00:05:01 → 00:05:04 นั้นนะเวลาลดจริงๆมันกลายเป็นว่าช่วงแรก
00:05:04 → 00:05:07 เนี่ย 2 สัปดาห์แรกหมอลดได้ 4 กิโลกรัม
00:05:07 → 00:05:12 แต่พอในช่วงถัดมาเนี่ยในช่วงสัปดาห์ที่
00:05:12 → 00:05:15 2-3 เดือนที่ 6 เนี่ยโอ๊ยกว่าจะลดลงได้
00:05:15 → 00:05:21 ยากมากเลยนะครับนะ 2 กิโลเอง 2 กิโลใน 1
00:05:21 → 00:05:23 เดือนและ
00:05:23 → 00:05:26 หลังจากผ่านไอ้แนวต้านมาแล้วเนี่ยก็จะได้
00:05:26 → 00:05:28 2 กิโลกรัมใน 2 สัปดาห์
00:05:29 → 00:05:33 มันมีอะไรหมอบอกอย่างนี้นะคือในช่วง 4
00:05:33 → 00:05:35 กิโลกรัมแรกเนี่ยหมอมองว่ามันจะมี 1
00:05:35 → 00:05:37 กิโลกรัมแรกเนี่ยเป็น
00:05:38 → 00:05:42 กิโลที่คล้ายๆว่าไม่ constant หมายความ
00:05:42 → 00:05:46 ว่าเรากินอะไรเข้าไปก็แล้วแต่หรือไม่ถ่าย
00:05:46 → 00:05:51 ท้องผูกกินเยอะน้ำหนักมันก็ขึ้นแต่ถ้าได้
00:05:51 → 00:05:55 ถ่ายกินน้อยลงหรือว่าปัสสาวะออกไปน้ำหนัก
00:05:55 → 00:05:57 มันก็จะลดเพราะฉะนั้นเนี่ยไอ้หนึ่งกิโล
00:05:57 → 00:05:59 แรกหมอมองว่ามันไม่ constant ไม่คงที่
00:05:59 → 00:06:02 หลังจากนั้นน้ำหนักที่ลงเป็นน้ำหนักที่
00:06:03 → 00:06:06 แท้จริงคล้ายๆอย่างนั้นนะแต่คราวนี้มันก็
00:06:06 → 00:06:09 จะมาติดในช่วงอย่างที่บอกว่าช่วงสัปดาห์
00:06:09 → 00:06:12 ที่ 2 ถึงสัปดาห์ที่ 6 ก็คือเดือนนึงน่ะ
00:06:12 → 00:06:15 กว่าจะลดลงได้เนี่ย 2 กิโลเนี่ยยากมากเลย
00:06:15 → 00:06:19 ก็คือเฉลี่ยลดลงได้
00:06:19 → 00:06:23 ครึ่งกิโลกรัมต่อ 1 สัปดาห์นะครับนะมัน
00:06:23 → 00:06:25 เกิดอะไรขึ้น
00:06:25 → 00:06:28 หมอเรียนรู้อะไรก็คืออย่างที่บอกว่าครึ่ง
00:06:28 → 00:06:30 กิโลกรัมเนี่ยใน
00:06:30 → 00:06:34 1 สัปดาห์หรือ 2 กิโลกรัมใน 1 เดือนหมอ
00:06:34 → 00:06:37 มองว่ามันแรงต้านหมอจะขอใช้ความรู้ basic
00:06:37 → 00:06:41 พื้นฐานก่อนคือเวลาเราเกิดปัญหานะเราก็จะ
00:06:41 → 00:06:44 กลับไปคิดถึง basic ที่เราเรียนมาก่อนคือ
00:06:44 → 00:06:48 พลังงานของร่างกายเนี่ยก็คือน้ำตาล
00:06:48 → 00:06:52 พลังงานของรถก็คือน้ำมันใช่ไหมมันคือน้ำ
00:06:52 → 00:06:54 เหมือนกันเพราะฉะนั้นเนี่ยอย่างที่บอกว่า
00:06:54 → 00:06:58 ถ้าเรารับประทานน้ำตาลเข้าไปเนี่ยร่างกาย
00:06:58 → 00:07:01 จะเอาน้ำตาลไปเป็นพลังงานน้ำตาลส่วนที่
00:07:01 → 00:07:04 เกินนะครับนะร่างกายจะผลิต
00:07:04 → 00:07:07 อินซูลินออกมาคืออินซูลินเนี่ยจะหลั่งออก
00:07:07 → 00:07:10 จากตับอ่อนนะดูภาพตามนะหลังออกจากตับอ่อน
00:07:10 → 00:07:15 เพื่อเก็บสะสมตัวน้ำตาลเป็นพลังงานชนิด
00:07:15 → 00:07:19 หนึ่งก่อนพลังงานที่ใช้ง่ายๆเขาเรียกว่า
00:07:19 → 00:07:23 ไกลโคเจนและถ้ามันเหลือขึ้นไปอีกเขาก็จะ
00:07:23 → 00:07:28 สะสมมันในรูปของไขมันมันเข้าใจแล้วนะและ
00:07:28 → 00:07:31 เมื่อภาวะที่น้ำตาลในร่างกายมันต่ำมันจะ
00:07:31 → 00:07:34 มีฮอร์โมนอีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่ากูคาก้อน
00:07:34 → 00:07:38 จำชื่อนี้ไว้เลยนะกูขากั้นหลั่งออกมาจาก
00:07:38 → 00:07:41 แผ่นเคสเหมือนกันแต่คนละเซลล์กันนะครับนะ
00:07:41 → 00:07:46 มาสลายแก่โคเจนที่เคยเก็บสะสมไว้ในตับนะ
00:07:46 → 00:07:51 และสลายไขมันมาใช้เป็นพลังงานจากนั้นถ้า
00:07:51 → 00:07:55 ยังไม่พอก็จะขนาดสลายไกลโคเจนจากกล้าม
00:07:55 → 00:07:58 เนื้อเป็นลำดับท้ายๆคือสรุปง่ายๆว่า
00:07:58 → 00:08:02 น้ำตาลที่เราทานเข้าไปเนี่ยมันจะถูกสะสม
00:08:02 → 00:08:07 เป็นเขาเรียกว่าสะสมเป็นใจคอลเจนในส่วน
00:08:07 → 00:08:12 ของกล้ามเนื้อและในส่วนที่ต่ำนะสะสมใน
00:08:12 → 00:08:16 ส่วนที่ตับประมาณสัก 1 ส่วนสะสมในส่วนของ
00:08:16 → 00:08:20 กล้ามเนื้อ 4 ส่วนแล้วจากนั้นค่อยสะสม
00:08:20 → 00:08:25 เป็นไขมันใกล้เล่นเป็นส่วนที่นำมาใช้ได้
00:08:25 → 00:08:30 ง่ายกว่าไขมันก็แล้วกันนึกออกไหมอันนี้จำ
00:08:30 → 00:08:33 ตรงนี้ให้ดีๆนะ
00:08:33 → 00:08:37 เมื่อกี้นี้หมอลืมพูดไปบอกว่าเอ้ยในเมื่อ
00:08:37 → 00:08:40 เรารู้แล้วว่าเรากินอาหารเข้าไปแล้วอาหาร
00:08:40 → 00:08:42 เนี่ยมันกลายเป็นกลูโคสมันเป็นน้ำตาล
00:08:42 → 00:08:46 เนี่ยเราก็ควรที่จะศึกษาว่าน้ำตาลเนี่ย
00:08:46 → 00:08:49 มันเปลี่ยนแปลงอย่างไรเรากินอะไรเข้าไป
00:08:49 → 00:08:52 แล้วน้ำตาลมันเพิ่มขึ้นลดลงเวลาไหนมันก็
00:08:52 → 00:08:56 จะมีความสำคัญแต่แน่นอนว่าคงจะไม่มีใคร
00:08:56 → 00:08:59 บ้าที่จะมาตรวจระดับน้ำตาลในเลือดตลอด 24
00:08:59 → 00:09:03 ชั่วโมงใช่ไหมแต่หมอเนี่ยบ้าพอ
00:09:03 → 00:09:07 ซึ่งตรงนี้อย่างที่บอกว่าคุณไม่สามารถหา
00:09:07 → 00:09:10 ได้จากคลิปไหนเลยนะว่าจะมีหมอคนไหนจะมา
00:09:10 → 00:09:14 สามารถติดตามลำดับน้ำตาลในเลือดได้ตลอด 24
00:09:14 → 00:09:15 ชั่วโมงมา
00:09:15 → 00:09:20 อันนี้การติดตามนะระดับน้ำตาลในเลือดตลอด
00:09:20 → 00:09:23 24 ชั่วโมงโดยที่ไม่ต้องเจาะเพราะอย่าง
00:09:23 → 00:09:25 ที่บอกก็คือว่า
00:09:25 → 00:09:29 จะเจาะเลือดที่ไปนิ้วมันก็ทรมานตัวเองก็
00:09:29 → 00:09:31 ไม่ได้เป็นเบาหวานนะจะมานั่งเจาะเลือดที่
00:09:31 → 00:09:34 ปลายนิ้วให้เจ็บตัวทำไมแต่หมอมีวิธี
00:09:34 → 00:09:40 เดี๋ยวขอขอให้ดูคลิปนี้ก่อนนิดนึง
00:09:40 → 00:09:45 อันนี้จะให้ดูอุปกรณ์ใช้คำว่าอุปกรณ์นะ
00:09:45 → 00:09:48 ที่สามารถตรวจระดับน้ำตาลในเลือดได้
00:09:48 → 00:09:53 นี่มันคล้ายๆนาฬิกาแต่คุณอย่าไปซื้อ
00:09:53 → 00:09:57 นาฬิกาตามท้องตลาดนะมันไม่ใช่นะไอ้นั่น
00:09:57 → 00:10:01 น่ะหลอกลวงแต่ไอ้เนี่ยของจริงนะครับนะหมอ
00:10:01 → 00:10:04 ทดสอบมาแล้วนั่นก็คือมันเป็นอุปกรณ์วัด
00:10:04 → 00:10:06 ระดับน้ำตาลในเลือดโดยที่เราไม่ต้องเจาะ
00:10:06 → 00:10:10 เลือดนะครับนะอันนี้เขาพิสูจน์ว่าเออเขา
00:10:10 → 00:10:13 ก็จะลองเจาะเลือดดูแหละที่ปลายนิ้วนะครับ
00:10:13 → 00:10:17 นะว่าเฮ้ยอุปกรณ์ตัวนี้มันวัดระดับน้ำตาล
00:10:17 → 00:10:20 ในเลือดได้จริงหรือเปล่าเท่ากันไหมนะครับ
00:10:20 → 00:10:24 นะซึ่งผลลัพธ์ Amazing และตัวตัวหมอเอง
00:10:24 → 00:10:28 เนี่ยก็พิสูจน์แล้วว่าเอ้ยมันวัดได้จริง
00:10:28 → 00:10:32 และค่อนข้าง accuracy คือค่อนข้างตรงมากๆ
00:10:32 → 00:10:35 ด้วยจริงๆเนี่ยอุปกรณ์ชนิดนี้มันดีกับ
00:10:35 → 00:10:37 ความการวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเดียว
00:10:37 → 00:10:40 นะจริงๆมันวัดอย่างอื่นได้ด้วยนะวัดระดับ
00:10:40 → 00:10:43 ยูริก Asics ในร่างกายก็ได้นะ
00:10:43 → 00:10:47 ตะกี้นี้เราก็ได้เห็นแล้วว่าอุปกรณ์ชนิด
00:10:47 → 00:10:50 นั้นนะมันวัดระดับน้ำตาลในเลือดได้ยังไง
00:10:50 → 00:10:54 นะอันนี้คือกราฟที่มันต่อเข้ากับตัวมือ
00:10:54 → 00:10:58 ถือหมอจะให้ดูอะไรก็คือคือตอนช่วงที่หมอ
00:10:58 → 00:11:01 น้ำหนักตัวไม่ลงเนี่ยหมอว่าทำไมมันน้ำ
00:11:01 → 00:11:05 หนักตัวลงช้ามากๆหมอก็เลยวัดระดับน้ำตาล
00:11:05 → 00:11:07 ในเลือดแล้วมันค้นพบอะไรบ้างคืออย่างที่
00:11:07 → 00:11:10 บอกว่าเรารู้อยู่แล้วล่ะว่าถ้าสมมุติเรา
00:11:10 → 00:11:13 กินอาหารเข้าไปอย่างนึงเนี่ยประมาณสัก 1-2
00:11:13 → 00:11:16 ชั่วโมงนะตามเนื้อหาระดับน้ำตาลในเลือด
00:11:16 → 00:11:18 เราจะขึ้นแต่
00:11:18 → 00:11:22 มันมีช่วงที่เราทำ fasting ใช่ไหมช่วงที่
00:11:22 → 00:11:25 ของงดอาหารตั้งแต่ 2 ทุ่มเนี่ยจนถึงตอน
00:11:25 → 00:11:28 ช่วงเที่ยงเนี่ยเราไม่ได้กินอะไรเข้าไป
00:11:28 → 00:11:32 แต่ระดับน้ำตาลในเลือดเรากลับสูงขึ้นถ้า
00:11:32 → 00:11:35 ดูจากกราฟเนี่ยจะเห็นว่าหมอนรองวัดระดับ
00:11:35 → 00:11:38 น้ำตาลในเลือดตอนสักเที่ยงคืนซึ่งผ่านจาก
00:11:39 → 00:11:43 อาหารมื้อสุดท้ายหมอตอนทุ่มนึงมาเกือบ 5-6
00:11:43 → 00:11:45 ชั่วโมงแล้วระดับน้ำตาลในเลือดเหมาะสูง
00:11:45 → 00:11:48 ขึ้นซึ่งตอนนั้นเนี่ยหมอรู้สึกว่าหมอหิว
00:11:48 → 00:11:51 นะรู้สึกหิวแต่ไม่อยากกินแต่ไม่กล้ากิน
00:11:51 → 00:11:55 ปรากฏว่าพอเราท้องร้องปุ๊บร่างกายเรามี
00:11:55 → 00:11:59 การพยายามหลั่งน้ำตาลแห่งพยายามเขาเรียก
00:11:59 → 00:12:01 ว่าหลัง
00:12:01 → 00:12:05 ออกมากูคาก้อนก็คือสารที่จะไปฮอร์โมนที่
00:12:05 → 00:12:08 จะไปสลายไกลโคเจนให้กลายเป็นน้ำตาลใช่ไหม
00:12:08 → 00:12:12 คือกลายเป็นว่าระดับน้ำตาลตอนเที่ยงคืนนะ
00:12:12 → 00:12:15 กลับก่อนเที่ยงช่วงที่เราจะหิวเนี่ยมัน
00:12:15 → 00:12:18 สูงขึ้นโดยที่เราไม่ได้กินอาหารแปลกมั้ย
00:12:18 → 00:12:20 ล่ะใช่มั้ย
00:12:20 → 00:12:22 มาดูอันนี้
00:12:22 → 00:12:25 อันนี้เป็นกลไกอธิบายทั้งหมดเลยของร่าง
00:12:25 → 00:12:28 กายนะครับสำคัญมากๆ
00:12:28 → 00:12:31 โลกูโคสเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดเราต่ำนะ
00:12:31 → 00:12:35 หรือเราตัดแว่นตาในเลือดเราต่ำปุ๊บเนี่ย
00:12:35 → 00:12:39 พอร่างกายจะหลั่งกูขับก้อนออกมากูคาก้อน
00:12:39 → 00:12:42 คือพระเอกของเรื่องนี้เลยคือกูคากอนเนี่ย
00:12:42 → 00:12:45 จะไปสลายตัวไกลโคเจนและสลายไขมันใช่ไหม
00:12:45 → 00:12:50 เพื่อให้กายเป็นกลูโคสดูดูเขาเรียกยังไง
00:12:50 → 00:12:56 ลูกศรสีเขียวอันล่างนะเห็นไหมกูคาก้อนไป
00:12:56 → 00:12:59 ที่ไกลโคเจนและเปลี่ยนไกลโคเจนให้เป็น
00:12:59 → 00:13:03 กลูโคสเป็นพลังงานกูขับก้อนอยู่ทั้งในตับ
00:13:03 → 00:13:06 และอยู่ในถังของกล้ามเนื้อแต่มันจะเลือก
00:13:06 → 00:13:10 สลายที่ตับก่อนเพราะว่ามันอยู่ใกล้กับตับ
00:13:10 → 00:13:14 อ่อนใช่ไหมจะไปสลายตัวกล้ามเนื้อไกลโคเจน
00:13:14 → 00:13:17 ในกล้ามเนื้อก็ต่อเมื่อมันสลายไขมันแล้ว
00:13:17 → 00:13:21 นะครับนะไกลโคเจนอีกลูกศรนึงที่เลือกขึ้น
00:13:21 → 00:13:26 ไปก็คือใจสลายตัวเซลล์ไขมันให้ออกมาเป็น
00:13:26 → 00:13:29 fatty Acid กับ ketone Body หลายคนคง
00:13:29 → 00:13:33 จะคุ้นกับคำว่าคีโตนใช่ไหมที่โต๊ะในที่
00:13:33 → 00:13:36 นี้เมื่อมันหลังออกมามันจะทำให้เราร่าง
00:13:36 → 00:13:39 กายรู้สึกอิ่ม
00:13:39 → 00:13:41 เพราะฉะนั้นอย่างที่บอกว่าบางคนรู้สึกว่า
00:13:41 → 00:13:45 หิวไปนานๆแต่พอไม่กินแล้วมันอิ่มเองอัน
00:13:45 → 00:13:47 นี้คือเป็นตัวที่บอกว่าเมื่อคีโตนหลั่ง
00:13:48 → 00:13:51 ออกมาก็จะทำให้เรารู้สึกอิ่มไม่หิวแล้วนะ
00:13:51 → 00:13:54 ครับนะเพราะฉะนั้นอย่างที่บอกว่า
00:13:54 → 00:13:57 กลูโคสเป็นพลังงานนะคีโตนบอดี้ก็เป็นพลัง
00:13:57 → 00:14:00 งาน fatty assist ก็เป็นพลังงานที่ร่าง
00:14:00 → 00:14:04 กายสามารถนำไปใช้ได้เข้าใจนะเพราะฉะนั้น
00:14:04 → 00:14:08 ความหิวมันจึงมีความจำเป็นกับร่างกายของ
00:14:09 → 00:14:14 เราเข้าใจไหมเพื่อให้เราสมองเราเนี่ยไป
00:14:14 → 00:14:18 กระตุ้นการหลั่งไกลโคเจนออกมากระแสนะ
00:14:18 → 00:14:22 ไกลโคเจนจะไปสลายเพื่อ
00:14:23 → 00:14:28 เพื่อให้สมองเราหลังกลูคากอนออกมาและ
00:14:28 → 00:14:31 กลูคากอนจะไปสลายไกลโคเจนให้กลายเป็น
00:14:31 → 00:14:32 กลูโคส
00:14:32 → 00:14:38 กูคากอนไปสลายไขมันให้เป็นคีโตนและเป็น
00:14:38 → 00:14:42 Factory Acid มาใช้เป็นพลังงานคีโตน
00:14:42 → 00:14:46 หลังออกมาแล้วทำให้รู้สึกหิวๆอยู่แล้วก็
00:14:46 → 00:14:46 อิ่ม
00:14:47 → 00:14:51 โอเคดูต่อ
00:14:51 → 00:14:54 กูคาก้อนมาเกี่ยวอะไรกับตอนกลางคืนยัง
00:14:54 → 00:14:56 เมื่อกี้เนี่ยที่หมอบอกว่าหมอเจาะเลือด
00:14:57 → 00:15:01 ตอนกลางคืนแล้วปรากฏว่าระดับน้ำตาลใน
00:15:01 → 00:15:03 เลือดมันสูงขึ้น
00:15:03 → 00:15:06 ระดับน้ำตาลเม็ดเลือดในสูงขึ้นจะพูดย้อน
00:15:06 → 00:15:09 กลับไปในยุคดึกดำบรรพ์มนุษย์เนี่ยมันถูก
00:15:09 → 00:15:12 ดีไซน์มาก็คือว่าตอนกลางวันให้หาอาหารใช่
00:15:12 → 00:15:17 ไหมบางคนหาอาหารเมื่อหาอาหารกินอาหารเข้า
00:15:17 → 00:15:18 ไป
00:15:18 → 00:15:21 อินซูลินก็จะหลั่งออกมาอินซูลินออกมา
00:15:21 → 00:15:24 เพื่อเก็บเหมาะสมอาหารส่วนเกินหรือน้ำตาล
00:15:24 → 00:15:28 ส่วนเกินเพื่อมาเก็บถนอมเอาไว้ในภาวะที่
00:15:28 → 00:15:30 เราหาอาหารไม่ได้
00:15:30 → 00:15:34 ดังนั้นอินซูลินมักจะหลั่งตอนกลางวันถูก
00:15:34 → 00:15:38 ไหมแต่ตอนกลางคืนอย่างที่บอกว่าพอตอนกลาง
00:15:38 → 00:15:41 คืนเราหลับไหลไม่ได้หาอาหารร่างกายยัง
00:15:41 → 00:15:45 ต้องทำงานต่อไปกูคาก้อนจึงออกฤทธิ์ตอน
00:15:45 → 00:15:46 กลางคืน
00:15:46 → 00:15:50 กูค่อยๆออกฤทธิ์ตอนกลางคืนเพื่อมาสลายใจ
00:15:50 → 00:15:53 คอลเจนให้กลายเป็นกลูโคสในช่วงที่เราไม่
00:15:53 → 00:15:57 ได้หาอาหารหรือตอนที่เราหลับอยู่อันนี้
00:15:57 → 00:16:01 เข้าใจตรงกันแล้วนะเพราะฉะนั้นกูคากอนตาม
00:16:01 → 00:16:04 หลักคือหลังตอนกลางคืนอินซูลินหลังตอน
00:16:04 → 00:16:07 กลางวันและเป็นอย่างนี้มาช้านานตั้งแต่
00:16:07 → 00:16:10 ดึกดำบรรพ์แล้วนะครับนะนี่
00:16:10 → 00:16:15 หมอจึงบอกว่าอินซูลินเป็นซันกูคากอนเป็น
00:16:15 → 00:16:19 มูลเห็นไหมเอาหนังเกาหลีมาเลยนะครับนะและ
00:16:19 → 00:16:22 อย่างที่บอกว่าไอ้นี่ก็คือ
00:16:22 → 00:16:26 ภาพนี้ที่ให้ดูก็คือเขาเรียกว่า Caribian
00:16:26 → 00:16:29 Little มันเป็นวงจรชีวิตหรือนาฬิกาชีวิต
00:16:29 → 00:16:33 ที่ดำเนินมาตั้งแต่ 80000 ปีที่แล้วและ
00:16:33 → 00:16:36 ยังเป็นอย่างนี้ต่อดังนั้นคนที่อดหลับอด
00:16:36 → 00:16:40 นอนตอนกลางคืนเม็ดแต่บริซึมเลยพังเพราะ
00:16:40 → 00:16:43 ว่าอะไรเพราะว่าร่างกายแทนที่ตอนกลางคืน
00:16:43 → 00:16:46 เราหลับไหลแล้วกูขับก้อนมันจะล้างออกมา
00:16:46 → 00:16:49 มันไม่ได้หลับเข้าใจไหมเมื่อมันไม่ได้
00:16:49 → 00:16:54 หลั่งแทนที่ว่ามันจะสลายไขมันได้มันก็ไม่
00:16:54 → 00:16:57 ได้สลายไขมันแล้วจับใช้อินซูลินอยู่ตลอด
00:16:57 → 00:17:01 เวลา
00:17:01 → 00:17:05 และคราวนี้เรารู้แล้วว่ากูขาดมันเป็นตัว
00:17:05 → 00:17:08 ที่ทำให้เราผอมใช่ไหมเพราะมันสลายไขมัน
00:17:08 → 00:17:12 แล้วเราจะทำอย่างไรจะล่อมันยังไงให้มัน
00:17:12 → 00:17:16 หลั่งออกมาแบบฉลาดๆนะบางคนก็บอกว่าอด
00:17:16 → 00:17:20 อาหารไปเลยสิใช่ไหมทหารไปเลยให้น้ำตาลใน
00:17:20 → 00:17:23 เลือดมันต่ำแบบนั้นทำแบบนั้นให้ฉลาดมันจะ
00:17:23 → 00:17:26 ต้องมีวิธีการที่ฉลาดกว่านั้นนะที่ยังดู
00:17:26 → 00:17:30 แลสุขภาพได้ดีบางคนอย่างที่บอกว่าเด็กบาง
00:17:30 → 00:17:34 คนบอกว่าเฮ้ย If ไปเลย 20/4 เกิดปัญหา
00:17:35 → 00:17:39 เกิดปัญหาร่างกายพังพินาศนะ
00:17:39 → 00:17:43 หลักการล่อให้กูคากอนมาออกฤทธิ์มากๆตอน
00:17:43 → 00:17:47 กลางคืนก็คือยังไงอย่างที่บอกก็คือหมอทำ
00:17:47 → 00:17:49 If ตอนเที่ยงกับตอน
00:17:49 → 00:17:54 เขาเรียกทำ If ตอนช่วง
00:17:54 → 00:17:58 2 ทุ่มจนถึงเที่ยงนั่นคือช่วง
00:17:58 → 00:18:01 intermittent fasting นะและกินตอน
00:18:01 → 00:18:05 เที่ยงกับตอนหนุ่มทุ่มนะห้ามกินจุกจริงๆ
00:18:05 → 00:18:08 ห้ามกินระหว่างมื้อนะแต่นี้สำคัญ
00:18:08 → 00:18:12 ทานอาหารเท่ากันไหมต้องบอกว่าถ้าเรา
00:18:12 → 00:18:15 ต้องการให้กูขับปั้นมันออกมากตอนกลางคืน
00:18:15 → 00:18:19 เนี่ยเราต้องทานอาหารมื้อเย็นให้น้อยกว่า
00:18:19 → 00:18:23 มื้อกลางวันเข้าใจไหมเพราะก็อย่างที่บอก
00:18:23 → 00:18:27 ว่าถ้าน้ำตาลในเลือดเราต่ำใช่ป่ะแต่ตอน
00:18:27 → 00:18:30 กลางคืนเราไม่ได้ใช้พลังงานแล้วใช่ป่ะเรา
00:18:30 → 00:18:33 ก็ต้องการให้น้ำตาลในเลือดมันต่ำกูขับ
00:18:33 → 00:18:37 ก้อนจะได้ออกมาเยอะๆเพื่อเปลี่ยนใจคอลเจน
00:18:37 → 00:18:39 ให้กลายเป็นกลูโคสน้ำตาลในเลือดมันก็จะ
00:18:39 → 00:18:43 ได้สูงใช่ไหมแต่ถ้าเราไปกินมื้อเย็นเยอะๆ
00:18:43 → 00:18:47 พอเรากินมื้อเย็นเยอะๆมันก็สะสมเป็นไขมัน
00:18:47 → 00:18:50 สิถูกตามอินซูลินก็จะหลั่งออกมาแล้วก็จะ
00:18:50 → 00:18:53 ไปสะสมกลูโคสให้กลายเป็นไขมันซึ่งเราไม่
00:18:53 → 00:18:56 ต้องการนะครับตอนคือเราใช้พลังงานน้อย
00:18:56 → 00:18:58 อยู่แล้วนะ
00:18:58 → 00:19:03 คราวนี้ทุกคนก็จะสงสัยว่าแล้วอย่างนี้หมอ
00:19:03 → 00:19:08 ทานแต่ละมื้ออย่างไรมาดูกัน
00:19:08 → 00:19:11 นี่คือสิ่งที่หมอทานเลยในช่วงที่อย่างที่
00:19:11 → 00:19:14 บอกว่าน้ำหนักน้ำหนักน้ำหนักมันตันไปไม่
00:19:14 → 00:19:18 เป็นก็คือหมอกินก็คือต้องกินคาร์โบไฮเดรต
00:19:18 → 00:19:22 น้อยๆใช่ไหมกินคาร์โบไฮเดรตน้อยๆ
00:19:22 → 00:19:25 มันเปลี่ยนเป็นกลูโคสได้ง่ายเพราะฉะนั้น
00:19:25 → 00:19:28 เรากินน้อยหน่อยกินพอประมาณแต่ไม่ใช่ห้าม
00:19:28 → 00:19:33 กินนะเราต้องกินนะเราต้องกินนะแต่กินน้อย
00:19:33 → 00:19:36 ๆแต่ถ้าถามว่าอุ๊ยจำกัดกี่มิลลิกรัมกี่
00:19:36 → 00:19:40 กรัมหมอไม่สนใจเลยก็คือกินข้าวอ่ะจานนึง
00:19:40 → 00:19:43 หรือครึ่งจานเท่านั้นเองนะ
00:19:44 → 00:19:47 คราวนี้อย่างที่บอกว่ามื้อเที่ยงหมอจะกิน
00:19:47 → 00:19:52 เขาเรียกเนื้อสัตว์เยอะหน่อยนะกินผัก 1
00:19:52 → 00:19:56 ส่วนกินข้าว 1 ส่วนนะถ้ามื้อเย็นนะบอกว่า
00:19:56 → 00:20:00 จะกินผักเยอะหน่อยกินเนื้อสัตว์ลดลงเห็น
00:20:00 → 00:20:03 ไหมมื้อเย็นกินเนื้อหนึ่งผักสองข้าวหนึ่ง
00:20:03 → 00:20:08 เพราะอะไรกินผักเยอะหน่อยเพื่อที่ว่าผัก
00:20:08 → 00:20:10 เนี่ยมันเป็นไฟเบอร์เพื่อให้เราได้ถ่าย
00:20:10 → 00:20:14 ได้เราไม่อยากท้องผูกใช่ไหมกินอาหารเข้า
00:20:14 → 00:20:22 ไปแล้วเนี่ยมันต้องมีสมดุลนะ
00:20:22 → 00:20:25 วันทั้งวันทั้งคืนไม่ใช่นะครับนะหมอสลับ
00:20:25 → 00:20:30 กินแบบนี้กินก็หายโปรตีนตอนกลางวันแล้วก็
00:20:30 → 00:20:35 ลงโปรตีน low Cub ตอนเย็นและกินผักเยอะๆ
00:20:35 → 00:20:39 คราวนี้บางคนบอกว่ากินคีโตนได้ไหมพันธุ์
00:20:39 → 00:20:42 ลีโอได้ไหมแอบกินได้ไหมหมอมองอย่างนี้
00:20:42 → 00:20:46 ต้องบอกว่าถ้าเรารู้กลไกอ่ะเราก็จะสงสัย
00:20:46 → 00:20:50 นะกินคีโตก็คือเขาบอกว่ากินไขมันให้มัน
00:20:50 → 00:20:53 เยอะเพื่อที่จะให้เรารู้สึกอิ่มแล้วพอเรา
00:20:53 → 00:20:56 อิ่มแล้วร่างกายเราเห็นน้ำตาลน้อยจะได้
00:20:56 → 00:20:58 เอามาใช้เป็นพลังงาน
00:20:58 → 00:21:01 แล้วไอ้พลังไอ้ไขมันที่เรากินเข้าไปมันจะ
00:21:01 → 00:21:04 หายไปไหนมันไม่ได้ถ่ายออกมันก็มันยังสะสม
00:21:04 → 00:21:08 หรือเปล่านึกออกไหมแต่เข้าใจหลักการเข้า
00:21:08 → 00:21:11 หาว่าคือให้คีโตนมันหลั่งออกมาแต่ว่าคิด
00:21:11 → 00:21:13 โดนออกมาก็จะให้เรารู้สึกอิ่มใช่ไหมแต่
00:21:13 → 00:21:18 ว่าของหมอก็ใช้ได้นะอย่าง pario ก็กินแบบ
00:21:18 → 00:21:22 ก็อย่างที่บอกว่ากินผักอย่างที่หมอกินผัก
00:21:22 → 00:21:26 ได้ไหมแล้วกินผักแบบโปรตีนกินใช้โปรตีน
00:21:26 → 00:21:29 เป็นโปรตีนเป็นผักแทน
00:21:29 → 00:21:33 เราก็มองว่าก็ไม่ต้องตึงถึงขนาดนั้นนะกิน
00:21:33 → 00:21:36 ผักอะไรก็กินได้สำหรับหมอๆมองว่ากินให้
00:21:36 → 00:21:40 มันง่ายเข้าว่าหากินง่ายๆไม่ต้องเรทติ๊ก
00:21:40 → 00:21:41 ไม่ต้องไป
00:21:41 → 00:21:47 ซื้อมากนะครับนะสรุปเลยอย่างที่บอกว่าแนะ
00:21:47 → 00:21:50 นำวิธีการลดน้ำหนัก 8 ข้อแบบหมอเฉพาะทาง
00:21:50 → 00:21:53 บาดเดียวคือ 1 ทานอาหาร 2 มื้อให้เลือก
00:21:53 → 00:21:56 มื้อเที่ยงกับมื้อเย็นนะครับนะไม่ทาน
00:21:56 → 00:22:00 อาหารระหว่างมื้อจำกัดปริมาณแคลอรี่ลดลง 1
00:22:00 → 00:22:04 ใน 3 ของความต้องการพลังงานต่อวันทานมื้อ
00:22:04 → 00:22:07 เที่ยงให้มากกว่ามื้อเย็นนะโดยคุณก็แบ่ง
00:22:07 → 00:22:11 เอาก็แล้วกันว่ามื้อนี้เที่ยงคุณอาจจะกิน
00:22:11 → 00:22:14 พันนึงก็ได้หรือเย็นคุณจะกิน 400 ก็ได้
00:22:14 → 00:22:19 น้ำตาลคือตัวร้ายในการที่ทำให้น้ำหนัก
00:22:19 → 00:22:22 เพิ่มเพราะฉะนั้นให้จำเสมอว่า
00:22:22 → 00:22:24 อะไรที่เป็นน้ำตาลอะไรที่เป็นของหวานให้
00:22:24 → 00:22:29 งดจำไว้เลยมันจะได้ไม่ต้องคิดยากนึกออก
00:22:29 → 00:22:29 ป่ะ
00:22:29 → 00:22:34 5 อาหาร 5 ผลไม้ในการลดน้ำหนักห้ามกิน
00:22:34 → 00:22:37 อะไรอย่างนี้ต้องบอกเลยว่าอะไรที่คุณรู้
00:22:37 → 00:22:39 ว่ามันเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ง่ายคุณไม่
00:22:39 → 00:22:41 ต้องกินนะ
00:22:41 → 00:22:45 บางทีที่ง่ายที่สุดในการคุมแคลอรี่ก็คือ
00:22:45 → 00:22:48 เรื่องอาหารแช่แข็งมันจะมีจำนวนจำนวน
00:22:48 → 00:22:51 แคลอรี่คำนวณอยู่แล้วที่ตัวเขาเรียกอะไร
00:22:51 → 00:22:57 หีบห่อนะอาหารอบนึ่งดีกว่าทอดที่มีน้ำตาล
00:22:57 → 00:23:01 อันนี้แน่นอนอบนึ่งนะดีกว่าเพราะฉะนั้น
00:23:01 → 00:23:05 หมอในช่วงที่ผ่านมากินอาหารกับอบนึ่งหมู
00:23:05 → 00:23:09 อบบ้างนะไก่อบบ้างนะครับนะและสุดท้ายคุณ
00:23:09 → 00:23:13 ต้องออกกำลังกายนะเพื่อเผาผลาญแคลอรี่การ
00:23:13 → 00:23:15 ออกกำลังกาย
00:23:15 → 00:23:19 69 หรือ 30 หรือ 45 นาทีเนี่ยมันไม่ได้
00:23:19 → 00:23:23 เยอะหรอกมันเผาผลาญแคลอรี่ไม่ได้มากนะหมอ
00:23:23 → 00:23:25 ไม่ได้ออกกำลังกายฟิตบอกโอ้โหออกมาเป็น
00:23:25 → 00:23:28 กล้ามเน้นๆนะไอ้ประเภทนั้นน่ะถ้าคุณออก
00:23:28 → 00:23:31 กำลังกายเยอะเกินไปเนี่ยร่างกายมันจะต้อง
00:23:31 → 00:23:36 ไปสลายตัวไกลโคเจนในตัวกล้ามเนื้อแล้วคุณ
00:23:36 → 00:23:39 จะเกิดภาวะกล้ามเนื้อสลายแต่ถ้าสมมติคุณ
00:23:39 → 00:23:41 ทำแบบหมอเนี่ยคุณจะไม่เกิดภาวะกล้ามเนื้อ
00:23:41 → 00:23:45 สลายเดี๋ยวสรุปเดี๋ยวลืมทิ้งท้ายอย่างที่
00:23:45 → 00:23:49 บอกอันนี้อุปกรณ์ที่ใส่อยู่ก็คือเรื่อง
00:23:49 → 00:23:53 ของอุปกรณ์วัดระดับน้ำตาลในเลือดเดี๋ยวจะ
00:23:53 → 00:23:56 มาพูดเน้นๆอีกทีนึงว่าเอ้ยทำยังไงแบบนี้
00:23:56 → 00:24:00 ไม่ต้องเจาะเลือดอีกต่อไปแล้วนะวัดได้มาก
00:24:00 → 00:24:04 กว่า 15 ฟังก์ชันนะครับนะอีกเรื่องคือก็
00:24:04 → 00:24:09 คือเรื่องหนังสือนะเป็นหนังสือญี่ปุ่น
00:24:09 → 00:24:12 ซื้อมาเป็น 10 ปีแล้วมีจะมีโอกาสได้พูดก็
00:24:12 → 00:24:14 คราวนี้แหละก็คือหนังสือเรื่องเอดส์ก็คือ
00:24:14 → 00:24:18 อย่างที่บอกว่าน้ำตาลเป็นตัวปัญหาในการ
00:24:18 → 00:24:22 ที่จะเขาเรียกว่าอะไรล่ะลดน้ำหนักและทำ
00:24:22 → 00:24:25 ให้แก่ง่ายด้วยหนังสือเล่มนี้
00:24:25 → 00:24:27 เขาจะบอกว่า
00:24:27 → 00:24:32 อาหารอะไรมีทั้งแคลอรี่สูงและก็จะมีค่า
00:24:32 → 00:24:35 ตัวเอดส์สูงด้วยเพราะฉะนั้นยิ่งกินน้ำตาล
00:24:35 → 00:24:40 จึงยิ่งแก่นะมันจะอย่างนี้สุดท้ายก็คือ
00:24:40 → 00:24:45 ถ้าใครสามารถทำได้นะ 8 กิโลกรัมใน 8
00:24:45 → 00:24:49 สัปดาห์อย่างที่หมอทำส่งผลมานะครับนะหมอ
00:24:49 → 00:24:52 ก็จะแจกโปรไบโอติกที่เพื่อนหมอที่เป็น
00:24:52 → 00:24:56 เภสัชเนี่ยเข้าไปเขาเรียกยังไง
00:24:56 → 00:25:00 แกะสูตรออกมาจาก Paper เพื่อกินแล้วแก้ไข
00:25:00 → 00:25:02 ปัญหาไม่ว่าจะเป็น
00:25:02 → 00:25:06 immunity ไม่ดีถ่ายไม่ดี
00:25:06 → 00:25:10 หลอดเลือดไม่ดีอะไรพวกนี้นะเดี๋ยวเราก็จะ
00:25:10 → 00:25:13 แจกกันก็ไปทดลองกินกันก็แล้วกันนะเดี๋ยว
00:25:13 → 00:25:16 หมอก็จะทดลองด้วยโอเคสาระความรู้ดีๆจาก
00:25:16 → 00:25:18 เพจหมอเส้าทางบาดเดียวและยูทูปชาแนลของ
00:25:18 → 00:25:21 ช่องทางบัตรเดียวเอ้ยสุดท้ายฝากติดตาม
00:25:21 → 00:25:24 สั่นกระดิ่งด้วยนะถ้าครบ 100,000
00:25:24 → 00:25:27 Subscribe จะเล่าเรื่องลึกหลักเรื่องลึก
00:25:27 → 00:25:29 ลับเรื่องที่ 2 นะครับนะโอเคครับสวัสดี
00:25:29 → 00:25:32 ครับ