00:00:00 → 00:00:02 [เพลง]
00:00:02 → 00:00:05 you Listening to พยาท Health facts
00:00:05 → 00:00:09 podcast สุขภาพจากโรงพยาบาลพญาไทยที่จะ
00:00:09 → 00:00:12 พาคุณไปรู้จักร่างกายตัวเองในแง่มุมที่
00:00:12 → 00:00:14 คุณอาจไม่เคยรู้เม
00:00:14 → 00:00:15 [เพลง]
00:00:15 → 00:00:17 [ปรบมือ]
00:00:17 → 00:00:21 [เพลง]
00:00:21 → 00:00:24 ก่อนสวัสดีครับขอต้อนรับเข้าสู่พญาไทย
00:00:24 → 00:00:26 podcast นะครับ podcast เพื่อสุขภาพจาก
00:00:26 → 00:00:28 โรงพยาบาลในเครือพญาไทยนะครับอยู่กับผมพั
00:00:28 → 00:00:30 นพัฒนะครับวันนี้ครับทุกคนเราจะมาคุยกัน
00:00:30 → 00:00:34 ในเรื่องของการกินผักเยอะๆแล้วมันจะทำให้
00:00:34 → 00:00:36 ท้องอืดท้องเฟ้อเนี่ยมันเป็นเรื่องจริง
00:00:36 → 00:00:38 หรือเปล่านะครับวันนี้พู้ดที่จะมาเล่า
00:00:38 → 00:00:40 เรื่องนี้ให้เราฟังนะครับก็ขอต้อนรับนะ
00:00:40 → 00:00:42 ครับนายแพทย์โชติเหลืองช่อสิริแพทย์เฉพาะ
00:00:42 → 00:00:45 ทางโรคระบบทางเดินอาหารและตับโรงพยาบาล
00:00:45 → 00:00:47 พยาไทย 2 นะครับคุณหมอสวัสดีครับสวัสดี
00:00:47 → 00:00:49 ครับสวัสดีครับผมสวัสดีครับนี่เวลาที่เรา
00:00:49 → 00:00:51 ไลฟ์กันทุกครั้งนะถ้าเกิดเห็นแน่กันนะแบบ
00:00:51 → 00:00:54 อย่างวันเนี้หลายๆคนอาจจะฟังผ่านพดแคสบาง
00:00:54 → 00:00:56 คนก็จะฟังผ่าน YouTube ใช่มั้ยครับผมตอน
00:00:56 → 00:00:58 เราไลฟ์กันทุกคนจะบทำไมคุณหมอหน้าตาดีจัง
00:00:59 → 00:01:01 เลยคุณหมอน่ารักคุณหมอหล่ออ่ะถ้าเกิดใคร
00:01:01 → 00:01:03 ที่ชื่นชอบคุณหมอนะครับก็ท้องอืดบ่อยๆ
00:01:03 → 00:01:04 แล้วก็ไปเจอคุณหมอได้ที่โรงพยาบาลบัญญา
00:01:04 → 00:01:08 ไทย 2 นะครับแซอาจจะไม่ดีครับผมจะไม่ดี
00:01:08 → 00:01:10 อ่ะก่อนอื่นให้คุณหมอพูดถึงเรื่องของการ
00:01:10 → 00:01:13 ทานผักหน่อยดีกว่าว่าจริงๆแล้วการทานผัก
00:01:13 → 00:01:17 เยอะๆมันมีผลเสียมครับผักเนี่ยผลดีมัน
00:01:17 → 00:01:19 เยอะกว่าแต่ผลเสียมันก็มีอยู่บ้างคือจริง
00:01:19 → 00:01:21 ๆแล้วตัวผักเองเราต้องเข้าใจว่าผักมัน
00:01:21 → 00:01:25 เป็นอ่าเซลลูโลสซึ่งร่างกายของคนเราเนี่ย
00:01:25 → 00:01:28 ย่อยไม่ได้ร่างกายเราไม่มีเอนไซมเซลลูเลส
00:01:28 → 00:01:30 ในการย่อยเซลลูโลสดังนั้นเนี่ยเนี่ยทาน
00:01:30 → 00:01:33 ยังไงเราก็ถ่ายออกมาอย่างงั้นอ้าเหรอใช่
00:01:33 → 00:01:35 อ้าที่เขาบอกว่ากินผักเะเยอะช่วยในระบบ
00:01:35 → 00:01:37 ของการขับถ่ายแบบเนี้ยใช่ก็คือมันย่อย
00:01:37 → 00:01:40 แล้วก็ขับถ่ายออกมาเลยเราทานผักเข้าไปก็
00:01:40 → 00:01:43 มีการย่อยแล้วก็กำจัดเป็นสิ่งปฏิกูลออกไป
00:01:43 → 00:01:46 แต่ไม่มีการดูดซึมอ๋ออ้างถ้าเกิดว่าพูด
00:01:46 → 00:01:48 ถึงข้อดีของผักมันคืออะไรครับคุณหมอก็คือ
00:01:48 → 00:01:51 1 คือได้วิตามินอวิตามินหลายๆอย่างมาจาก
00:01:51 → 00:01:53 ผักเลยนะครับเราคงได้ยินว่าเวลาเราทานผัก
00:01:53 → 00:01:55 สดกับผักต้มแล้วหรือผักที่สุกแล้วเนี่ย
00:01:55 → 00:01:58 วิตามินก็แตกต่างกันแล้วก็มีเรื่องของการ
00:01:58 → 00:02:01 ที่ช่วยในการขับถ่ายการเคลื่อนที่ของลำ
00:02:01 → 00:02:03 ไส้เนี่ยต้องอาศัยการ movement ของสิ่ง
00:02:03 → 00:02:06 ปฏิกูลต่างๆเช่นสมมุติว่าเราทานเนื้อ
00:02:06 → 00:02:09 สัตว์ 1 ขีด 100 กรัมเนี่ยอาจจะเป็นกากใย
00:02:09 → 00:02:13 ให้ขับถ่ายออกมาแค่ 10% แต่กลับกันถ้าเรา
00:02:13 → 00:02:15 ทานผัก 100 กรัมเนี่ยจะเป็นกากใยให้เรา
00:02:15 → 00:02:18 ออกมาตั้ง 40% ดังนั้นเนี่ยการที่เราจะ
00:02:18 → 00:02:20 อุจจาระมาได้ก้อนนึงเราก็ต้องมีการสะสม
00:02:20 → 00:02:23 ของที่เรารับประทานเข้าไปผักก็จะได้ vol
00:02:23 → 00:02:26 ได้ปริมาณที่เยอะกว่าอ๋อสมมุติกินเข้าไป
00:02:26 → 00:02:29 เท่ากันผักเมันออกมาได้เยอะกว่าใช่ก็จะทำ
00:02:29 → 00:02:31 ให้ลำไส้มันมีการเคลื่อนที่บีบตัวขยับได้
00:02:31 → 00:02:33 ง่ายขึ้นอะไรอย่างเงี้ยครับแล้วเมื่อกี้
00:02:33 → 00:02:35 ที่คุณหมอบอกว่าผักกินเข้าไปเท่าไหร่มัน
00:02:35 → 00:02:37 ก็ออกมาเท่านั้นแต่เมื่อกี้คุหมอกว่าสุด
00:02:37 → 00:02:38 ท้ายมันเหลือแค่ 40% นี่มันคือยังไงครับ
00:02:38 → 00:02:40 ใช่เพราะว่าในผักที่เราทานเข้า้ไป 1 1
00:02:40 → 00:02:42 จำนวน 1 พชั่นเนี่ยมันไม่ได้เป็นแค่
00:02:42 → 00:02:44 เซลลูโลสหมดเลยมันมีเรื่องของน้ำเรื่อง
00:02:44 → 00:02:47 ของอะไรด้วยอย่างเช่นแตงกวา 1 1 ผลเนี่ย
00:02:47 → 00:02:50 เป็นน้ำหนักของน้ำถึง 90% เป็นน้ำหนักผัก
00:02:50 → 00:02:52 จริงๆไฟเบอร์แค่ 10% แค่นั้นเองนะครับ
00:02:52 → 00:02:54 แล้วเมื่อกี้เราคุยกันเรื่องข้อเสียะ
00:02:54 → 00:02:57 ท็อปปิกของเราวันนี้คือกินผักเยอะเกินไป
00:02:57 → 00:02:59 มันก็ไม่ได้แปลว่าดีมันก็ไม่ได้แปลว่าดี
00:02:59 → 00:03:01 เพราะว่าอย่างที่บอกแล้วว่าการที่ทานผัก
00:03:01 → 00:03:04 เนี่ยการย่อยมันไม่ได้หมด 100% ไม่เหมือน
00:03:04 → 00:03:06 กับทานเนื้อสัตว์ต่างๆที่เราสามารถย่อย
00:03:06 → 00:03:09 แล้วดูดซึมโปรตีนไปได้หมดเลยแต่ว่าผัก
00:03:09 → 00:03:11 เนี่ยทานแล้วก็จะกลายเป็นกากใยเต็มไปหมด
00:03:11 → 00:03:13 ดังนั้นเนี่ยเวลาทานเยอะเกินไปของที่มัน
00:03:13 → 00:03:16 เยอะเกินไปก็ทำให้เกิดอาการอืดแน่นท้องลม
00:03:16 → 00:03:19 เยอะแล้วก็เกิดแก๊สตามมาครับครับแล้วแบบ
00:03:19 → 00:03:22 เนี้ยผักแบบไหนที่เราต้องกินได้หรือว่า
00:03:22 → 00:03:24 กินไม่ได้เพราะว่าผมจำได้ว่าหลายๆท่านก็
00:03:24 → 00:03:26 เคยมีมีคอมเมนต์มาในเพจของเรานะบอกว่ากิน
00:03:26 → 00:03:29 ผักสลัดแล้วมันทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อหรือ
00:03:29 → 00:03:31 ว่าจริงๆมันนผักอะไมันก็เป็นเหมือนกันหมด
00:03:31 → 00:03:33 ครับมันก็จะเป็นแต่ว่ามันก็จะมีผักที่มี
00:03:33 → 00:03:36 คาร์โบไฮเดรตแตกต่างกันไปมีลักษณะของ
00:03:36 → 00:03:38 เซลลูโลสที่แตกต่างกันไปทำให้แต่ละชนิด
00:03:38 → 00:03:42 เนี่ยมีความอืดแน่นท้องแตกต่างกันก็ต้อง
00:03:42 → 00:03:44 เข้าใจคำว่าเวลาปกติเราทานผักเข้าไปเนี่ย
00:03:44 → 00:03:47 จริงอยู่ร่างกายเราย่อยไม่ได้แต่ว่าข้าง
00:03:47 → 00:03:50 ในลำไส้ของเรานี่มีแบคทีเรียหลายๆชนิดเลย
00:03:50 → 00:03:51 ซึ่งที่เราเรียกว่าเป็นโปรไบโอติก
00:03:51 → 00:03:53 แบคทีเรียเหล่าเนี้ยเขาสามารถย่อย
00:03:54 → 00:03:56 เซลลูโลสได้แต่กระบวนการย่อยของเขาเนี่ย
00:03:56 → 00:03:59 เป็นการหมักไม่เหมือนการย่อยของร่างกาย
00:03:59 → 00:04:01 ที่สมบูรณ์แบบเลยของแบคทีเรียนี่เป็นการ
00:04:01 → 00:04:03 หมักดังนั้นเมื่อมีการหมักเกิดขึ้นก็จะ
00:04:03 → 00:04:06 เกิดแก๊สเกิดขึ้นงั้นผักบางชนิดที่มี
00:04:06 → 00:04:08 คาร์โบไฮเดรตบางอย่างซึ่งเหมาะสมกับตัว
00:04:08 → 00:04:10 แบคทีเรียเมื่อแบคทีเรียมันย่อยเกิดแก๊ส
00:04:10 → 00:04:13 เราก็จะมีการ ting มีอืดมีแน่นมีแก๊สเยอะ
00:04:14 → 00:04:16 ขึ้นท้องป่องมากขึ้นอย่างงั้นถ้าเกิดเรา
00:04:16 → 00:04:18 กินผักเเยอะแล้วเราก็กินนมเปรี้ยวตามเข้า
00:04:18 → 00:04:20 ไปมันก็อาจจะช่วยได้ส่วนนึงแต่ว่าในส่วน
00:04:20 → 00:04:23 นึงก็คือด้วยปริมาณของเ่อไฟเบอร์ที่มัน
00:04:23 → 00:04:25 เยอะก็จะมีการอืดแน่นท้องตามมาแล้วมีแก๊ส
00:04:25 → 00:04:28 ตามมาได้อผมถามแบบซื่อๆนะคุณหมอครับไอ้
00:04:29 → 00:04:31 พวกแก๊สพวกที่พอมันหมักปุ๊บเนี่ยอ้ามันจะ
00:04:31 → 00:04:33 มีกลิ่นมั้ยครับตอนมันออกมาขึ้นอยู่กับ
00:04:33 → 00:04:35 อาหารที่เราทานเข้าไปผักบางชนิดก็จะไม่
00:04:35 → 00:04:37 ค่อยมีกลิ่นบางครั้งเนี่ยเราก็เป็นไผลม
00:04:37 → 00:04:39 เป็นกลิ่นธรรมดาไม่ได้มีกลิ่นอะไรแต่บาง
00:04:39 → 00:04:41 ครั้งถ้าเกิดเราทานของที่มันมีการหมักโมม
00:04:42 → 00:04:43 มากๆเป็นพวกเนื้อสัตว์ต่างๆเนี่ยสัตว์
00:04:43 → 00:04:46 เนื้อแดงพวกเนี้ยกลิ่นจะค่อนข้างเหม็นผิด
00:04:46 → 00:04:48 ปกติแต่ว่าจะบวกลบด้วยเรื่องของท้องผูก
00:04:48 → 00:04:51 ด้วยนะถ้าเป็นคนที่ถ่าทุกวันลมออกมามันก็
00:04:51 → 00:04:53 จะไม่ได้มีกลิ่นมากมายนักแต่ถ้าเป็นเ่าคน
00:04:53 → 00:04:56 ที่ท้องผูกอุจจาระข้าง้างเยอะแน่นอนมันจะ
00:04:56 → 00:04:58 มีกลิ่นของอุจจาระออกมาด้วยก็จะเป็นกลิ่น
00:04:58 → 00:05:00 ที่ค่อนข้างจะจะไม่พรึงประสงค์เท่าไหร่
00:05:00 → 00:05:03 แล้วแบบนี้เราต้องกินผักแบบไหนถึงจะดี
00:05:03 → 00:05:06 ครับคุณหมอครับผมเอ่อถ้าไปเสิร์ชใน Google
00:05:07 → 00:05:10 เราจะเสิร์ชคำว่า for Map f o
00:05:10 → 00:05:14 dmap ซึ่งตัว fodmap เนี่ยมันเป็นน้ำตาล
00:05:14 → 00:05:17 โมเลกุลย่อยน้ำตาลโมเลกุลเล็กๆซึ่ง
00:05:17 → 00:05:19 แบคทีเรียชอบมันมากเลยพอแบคทีเรียชอบมัน
00:05:19 → 00:05:21 มากเขาก็จะหมักได้เยอะพอหมักเยอะก็จะเกิด
00:05:21 → 00:05:25 แก๊สเยอะดังนั้นอาหารที่มี for Map สูงๆ
00:05:25 → 00:05:27 เราควรจะหลีกเลี่ยงถามว่าอาหารประเภทไหน
00:05:27 → 00:05:30 ที่ for Map มันสูงก็เช่นถ้าเป็นพวกผัก
00:05:30 → 00:05:33 ผลไม้ก็อ่าเช่นตระกูลผักที่หวานๆผลไม้ที่
00:05:33 → 00:05:37 หวานๆเช่นแตงโมมะม่วงนะครับหรือว่าผักที่
00:05:37 → 00:05:40 เป็นพวกผักกะหล่ำผักกาดแอสปารากัสอะไรพวก
00:05:40 → 00:05:43 เนี้ยจะมีปริมาณของ Fat Map สูงซึ่งทาน
00:05:43 → 00:05:46 แล้วท้องจะอืดมากกว่าผักชนิดอื่นๆครับ
00:05:46 → 00:05:50 แล้วแบบนี้ระหว่างผักสดกับผักต้มผักลวก
00:05:50 → 00:05:51 แบบเนี้ยอันไหนมันจะทำให้ท้องอืดได้มาก
00:05:52 → 00:05:55 กว่ากันคุณหมอผมปริมาณมันจะแปรผลตามที่
00:05:55 → 00:05:59 เราย่อยแล้วเช่นสมมุติว่าเราพูดถึงผัก 5
00:05:59 → 00:06:01 กรัมเราต้องคุยกันว่าเวลาเราทานผักเร่าง
00:06:01 → 00:06:04 กายคนเราวันนึงต้องการผลักประมาณซัก 25-30
00:06:04 → 00:06:07 กรัมมันจะประมาณไหนครับผมอ่า 25-3 กรัม
00:06:07 → 00:06:09 นี่ประมาณไหนเราก็จะดูว่า 5 กรัมแค่ไหน
00:06:09 → 00:06:11 อ่ามันจะได้เห็นภาพง่ายขึ้นไอ้ 5 กรัม
00:06:11 → 00:06:13 เนี่ยถ้าเกิดว่าเป็นผักที่ต้มแล้วเช่น
00:06:13 → 00:06:17 คะน้าคะน้า 1 ถ้วยตวง 5 กรัมได้ไฟเบอร์ 5
00:06:17 → 00:06:19 กรัมแต่ถ้าเกิดว่าเป็นคะน้าที่ยังไม่ต้ม
00:06:19 → 00:06:21 ต้องใช้ 5 ถ้วยตวงงั้นถ้าเกิดต้มมันก็ดี
00:06:21 → 00:06:24 กว่าต้มมันก็จะได้ปริมาณที่น้อยลงเวลา
00:06:24 → 00:06:27 ต้องการน้อยลงอ่าใช่ๆก็คือทานปริมาณที่
00:06:27 → 00:06:30 น้อยลงนะครับนะแต่ว่าผักเราใส่ถ้วยตวง
00:06:30 → 00:06:32 เนี่ยเวลาผักมันจะพองๆตัวพอเราต้มมันจะ
00:06:32 → 00:06:34 เหี่ยวเลยนิดเดียวอือ่ามันก็ทำให้ปริมาณ
00:06:34 → 00:06:37 ของไฟเบอร์ดูเหมือนมันเยอะขึ้นถ้าเป็นพวก
00:06:37 → 00:06:40 เม็ดเชีย์ Seed ก็คือ 2 ช้อนชา SE คือ
00:06:40 → 00:06:43 อะไรบเียเชีย Seed ก็คืออ่าที่เขาทานพวก
00:06:43 → 00:06:46 ธัญพืชมันจะมีพวกข้าวโอ๊เชียซีสข้าวอะไร
00:06:46 → 00:06:49 พวกนี้ฮะเชีย์ซีสตัก 2 2 ช้อนชาเท่ากับ
00:06:49 → 00:06:53 อ่าไฟเบอร์ประมาณ 5 กรัมอือ่าถ้าเราทาน
00:06:53 → 00:06:56 แอปเปิลขนาดกลางไม่ได้ไม่ใช่ลูกโตมากลูก
00:06:56 → 00:06:59 ประมาณกลางเนี่ย 1 ผลประมาณ 5 กรัมถ้า
00:06:59 → 00:07:02 เป็นพวกกล้วยน้ำำว้าก็ประมาณ 1 ผลประมาณ 4
00:07:02 → 00:07:06 กรัมของผักอือ่าดังนั้นถ้าเราต้องการเอ่อ
00:07:06 → 00:07:09 ไฟเบอร์ประมาณ 25-30 กรัมถ้าเราจะทาน
00:07:09 → 00:07:11 กล้วยอย่างเดียวเลยเราก็ต้องทานกล้วย
00:07:11 → 00:07:14 ประมาณ 5-6 ลูกแล้วระหว่างกินผักผลไม้
00:07:14 → 00:07:17 หลายๆอย่างกับผมชอบกินกล้วยน้ำว้ามากเลย
00:07:17 → 00:07:20 กล้วยหอมมากเลยกินๆๆอย่างเดียวมันแตกต่าง
00:07:20 → 00:07:22 กันมยครับผลลับไฟเบอร์ต่างๆมันก็เพียงพอ
00:07:22 → 00:07:24 ครับผมแต่ว่ามันคงจะแตกต่างในแง่ของ
00:07:24 → 00:07:26 วิตามินต่างๆที่เราจะได้ซึ่งวิตามินของ
00:07:26 → 00:07:28 ผักของผลไม้เกลือแรกแต่ละอย่างมันก็แตก
00:07:28 → 00:07:31 ต่างกันไปอืแล้วก็รวมถึงน้ำตาลที่ได้ด้วย
00:07:31 → 00:07:33 นะครับเนาะครับผมเพราะฉะนั้นนี่ก็เป็น
00:07:33 → 00:07:38 วิธีการกินอย่างไรให้ถูกหลักใช่ที่ไม่ใช่
00:07:38 → 00:07:39 กินแต่ผักอย่างเดียวไม่ได้กินแต่ผลไม้
00:07:39 → 00:07:41 อย่างเดียวใช่ครับผมก็ต้องมีให้มันครบ 5
00:07:41 → 00:07:43 หมู่แหละแล้วก็ถามว่าทำยังไงดีที่เราจะ
00:07:43 → 00:07:47 ทานผักแล้วมันไม่ท้องอืดเราใช้ง่ายสุดคือ
00:07:47 → 00:07:51 การใช้เ่าแี่เนื่องจากว่าผักแต่ละอย่าง
00:07:51 → 00:07:54 เนี่ยให้พลังงานให้ไฟเบอร์ให้เรื่องของ
00:07:54 → 00:07:57 เอ่อเซลลูโลสที่แตกต่างกันไปความอืดท้อง
00:07:57 → 00:08:00 ก็แตกต่างกันให้ไปกดดู Google ไปกดดู
00:08:00 → 00:08:02 หนังสือมันก็จะอธิบายแตกต่างกันไปซึ่งทำ
00:08:02 → 00:08:04 ให้เรางงว่าสรุปกินตัวไหนได้ง่ายสุดเลย
00:08:05 → 00:08:06 ย้อนกลับไปในช่วงวันนี้ที่เราทานเช่นวัน
00:08:06 → 00:08:09 นี้เราทานผักกะหล่ำเนาะวันนี้เราก็จดเลย
00:08:09 → 00:08:11 ว่าเราทานกะหล่ำมีอาการมั้ยถ้ามีติ๊กถูก
00:08:11 → 00:08:14 ไม่มีอาการไม่ต้องติ๊กอ่าแล้วเราก็จดทุก
00:08:14 → 00:08:16 วันทุกวันทำอย่า 2-3 อาทิตย์เราจะได้
00:08:16 → 00:08:19 ไดรี่ซึ่งเราสังเกตได้ว่าเวลาเราทานอาหาร
00:08:19 → 00:08:22 แล้วผักชนิดไหนสำหรับเราทำให้เกิดอาการ
00:08:22 → 00:08:25 มากขึ้นอย่างเช่นตัวผมเนี่ยผมจะรู้เลยว่า
00:08:25 → 00:08:29 ถ้าผมทานสลัดนะแล้วผมใช้หอมแดงหอมแขกผมทา
00:08:29 → 00:08:31 แล้วกดไลย้อนผมจะกำเริบผมจะอืดท้องแน่น
00:08:31 → 00:08:34 ท้องอันนี้ผมจะรู้ละผมก็จะหลีกเลี่ยงมัน
00:08:34 → 00:08:36 ดังนั้นในแต่ละคนถ้าเราจดแี่เราก็จะรู้
00:08:36 → 00:08:39 ว่าเราทานอะไรได้ปริมาณแค่ไหนเยอะน้อยยัง
00:08:39 → 00:08:42 ไงบ้างครับก็แปลว่าแต่ละคนก็จะมีอาการที่
00:08:42 → 00:08:45 มันแตกต่างกันผมผมนึว่าสิ่งที่มากระตุ้น
00:08:46 → 00:08:48 ให้เกิดอาการเแตกต่างกันออกไปใช่เพราะ
00:08:48 → 00:08:50 อย่างที่บอกแล้วครับว่าผักผลไม้เป็นส่วน
00:08:50 → 00:08:52 หนึงแต่ว่าปัจจัยเรื่องของความสมบูรณ์ของ
00:08:52 → 00:08:55 แบคทีเรียในลำไส้คือโปรไบโอติกของเราใน
00:08:55 → 00:08:58 แต่ละคนก็แตกต่างกันการ movement ของลำ
00:08:58 → 00:09:00 ไส้แต่ละคนก็แตกต่างต่างกันบางคน 5 วัน
00:09:01 → 00:09:04 ถ่ายครั้งนึงบางคนถ่ายวันละ 2-3 ครั้งพวก
00:09:04 → 00:09:05 นี้มันก็เป็นเรื่องของ movement การขยับ
00:09:05 → 00:09:08 ตัวของลำไส้แต่ละคนที่แตกต่างกันไปซึ่ง
00:09:08 → 00:09:11 ส่งผลให้การรับประทานผักแล้วอืดแน่นท้อง
00:09:11 → 00:09:13 แตกต่างกันเหมือนกันคุณหมอบอกคุณหมอกิน
00:09:13 → 00:09:15 ผักอะไรบ้างในแต่ละวันเผื่อหลายๆท่านเอา
00:09:15 → 00:09:18 ไปกอปี้ตามผมทานเยอะเลยจริงๆแล้วผมก็ทาน
00:09:18 → 00:09:20 สลัดค่อนข้างบ่อยอยู่แล้วในแต่ละวันเ่ะนะ
00:09:20 → 00:09:23 ครับนะแต่ว่าช่วงประมาณสัก 4 เดือนเนี้ย
00:09:23 → 00:09:25 สิ่งที่เกิดขึ้นคือน้ำหนักผมขึ้นเยอะ
00:09:25 → 00:09:29 เพราะว่าผมทานของหวานเยอะขึ้นอ่าอันนี้
00:09:29 → 00:09:31 ตามใจตัวเองนิดนึงซึ่งไม่ถูกต้องปรากฏว่า
00:09:31 → 00:09:32 พอทานของหวานมากขึ้นเนี่ยน้ำหนักผมขึ้น
00:09:32 → 00:09:35 ประมาณ 6 กกพอน้ำหนักมันขึ้นเร็วสิ่งที่
00:09:35 → 00:09:38 เกิดขึ้นตามมาคือตับอักเสบเป็นไขมันเกาะ
00:09:38 → 00:09:40 ตับอ่าอ่าพอเป็นไขมันเกาะตับสิ่งที่เรา
00:09:40 → 00:09:42 ต้องเปลี่ยนแปลงก็คือว่าทำยังไงดีให้เรา
00:09:42 → 00:09:45 น้ำหนักลดลงอย่างเหมาะสมอือ่าสิ่งที่เรา
00:09:45 → 00:09:49 ทำคือมื้อเย็นผมสลิทานข้าวเหมือนเดิมแต่
00:09:49 → 00:09:52 ครึ่งนึงเราทานสลัดก่อนผมมีสลัด 1 โบว
00:09:52 → 00:09:54 ก่อนพอทานสลัด 1 โบว์เสร็จปุ๊บค่อยทาน
00:09:54 → 00:09:57 ข้าวอ่างั้นปริมาณของอาหารมันจะน้อยลง
00:09:57 → 00:10:00 แล้วเราก็จะได้พลังงานจากตัวผักด้วยแต่ผม
00:10:00 → 00:10:02 ก็ไม่ได้เริ่มสลัด 1 โบว์ทันทีเลยเพราะ
00:10:02 → 00:10:05 ว่าไม่งั้นท้องอืดแน่นอนวิธีการคือทานที
00:10:05 → 00:10:08 ละนิดอ่าเราใช้อาจจะครึ่งถ้วยก่อนแล้วเรา
00:10:08 → 00:10:10 พอรู้สึกว่าครึ่งถ้วย 2-3 วันเราไม่อืด
00:10:10 → 00:10:13 ไม่แน่นท้องเราขยับเพิ่มจำนวนขึ้นและบวก
00:10:13 → 00:10:15 ด้วยการดื่มน้ำที่มากขึ้นและมีการ
00:10:15 → 00:10:18 movement ให้มากการขับถ่ายมันก็จะรันไป
00:10:18 → 00:10:20 ตาม Flow พอเรามีกากเข้ามาลำไส้ทำงานดี
00:10:20 → 00:10:23 เราขับถ่ายออกไปทุกอย่างก็จะ Flow เป็น
00:10:23 → 00:10:25 เป็นเป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นอย่าเงี้ครับ
00:10:25 → 00:10:27 เรามาสรุปกันดีกว่านะครับเพราะฉะนั้นการ
00:10:27 → 00:10:32 ที่เราอยากจะมีสุขภาพของระบบขับถ่ายต่างๆ
00:10:32 → 00:10:34 ท้องไ้อืดท้องไเฟ้อเนี่ยมันก็ขึ้นอยู่กับ
00:10:34 → 00:10:35 หลายอย่างเหมือนกันทั้งเรื่องของการกิน
00:10:35 → 00:10:38 ใช่กินผักผลไม้กินเนื้อสัตว์ต่างๆก็ต้อง
00:10:38 → 00:10:41 ให้มันถูกปริมาณที่ถูกต้องประมาณนั้นแล้ว
00:10:41 → 00:10:43 ก็มีเรื่องของน้ำด้วยใช่ที่สำคัญการ
00:10:43 → 00:10:46 Moving ของลำไส้คือว่าการออกกำลังกายแบบ
00:10:46 → 00:10:48 นี้ก็สำคัญเช่นเดียวกันสำคัญกับสุขภาพของ
00:10:48 → 00:10:50 เรามากๆอืนะครับโอ้โหวันนี้เราคุยกันมา
00:10:50 → 00:10:52 เรียกว่าผมว่าได้ความรู้เยอะมากเลยนะไว้
00:10:52 → 00:10:55 มีโอกาสอยากจะทำ EP แยกที่เกี่ยวข้องกับ
00:10:55 → 00:10:57 เรื่องของอุจจาระเพราะว่ามันเป็นเรื่อง
00:10:57 → 00:10:58 ที่มันสำคัญมากเหมือนกันใช่อยู่กับเราทุก
00:10:58 → 00:11:00 วันวันนี้คุณหมอมีอะไรอยากจะฝากทิ้งท้าย
00:11:00 → 00:11:03 ไว้บ้างไมั้ยครับก็เอ่ออยากจะบอกว่าการ
00:11:03 → 00:11:05 ทานผักยังไงก็มีประโยชน์อยู่ละถึงแม้มัน
00:11:05 → 00:11:07 จะมีเรื่องอืดแน่นท้องบ้างแต่ว่าก็อย่าไป
00:11:07 → 00:11:10 กังวลมากนักทำไดอารี่ของเราไว้เราจะได้
00:11:10 → 00:11:12 รู้ว่าอ่าเป็นยังไงบ้างนะครับแล้วก็สำคัญ
00:11:12 → 00:11:15 สุดคือการออกกำลังกายการดื่นะการทานอาหาร
00:11:15 → 00:11:17 ให้ครบ 5 หมู่นะครับก็จะมีประโยชน์กับ
00:11:17 → 00:11:19 ร่างกายเราอย่างมากเลยครับผมครับผมถ้า
00:11:19 → 00:11:21 เกิดจะำไม่ได้กลับไปย้อนฝังอีกรอบนึงกับ
00:11:21 → 00:11:23 EP นี้นะครับต้องขอขอบคุณคุณหมอโชตด้วย
00:11:23 → 00:11:26 นะครับก็ไปเจอคุณหมอได้ที่โรงพยาบาลพญา
00:11:26 → 00:11:28 ไทยสรครับวันนี้พญาไทย He FA นะครับหมด
00:11:28 → 00:11:30 เวลาแล้วนะครับคุณหมอขอบคุณครับสวัสดี
00:11:30 → 00:11:32 ครับสวัสดี
00:11:32 → 00:11:39 [เพลง]
00:11:39 → 00:11:42 ครับ