00:00:00 → 00:00:02 หลากหลายคำถามจากผู้ชม
00:00:02 → 00:00:03 >> เรามาดูคำตอบกันค่ะ
00:00:04 → 00:00:13 >> พบกันในรายการวันใหม่ไกลโรคไก
00:00:13 → 00:00:17 >> สืบทอดภูมิปัญญาไทยใส่ใจคุณภาพยาร้าน
00:00:17 → 00:00:22 เจริญสุขโอสถนครปฐม
00:00:22 → 00:00:25 สวัสดีค่ะพบกันในรายการวันใหม่ไกลโรค่ะ
00:00:25 → 00:00:26 รายการที่จะพาทุกท่านไปเปิดมุมมองเกี่ยว
00:00:26 → 00:00:29 กับยาแผนไทยและสมุนไพรไทยเพื่อคนไทย
00:00:29 → 00:00:31 สุขภาพดีเพราะทุกวัยเริ่มใหม่ได้เสมอกับ
00:00:31 → 00:00:33 วันใหม่ไกลโลกนะคะวันนี้อยู่กับอาจารย์
00:00:33 → 00:00:35 รุ่งรวีค่ะอาจารย์คณะเพศาสตร์มหาวิทยาลัย
00:00:36 → 00:00:37 ธรรมศาสตร์ค่ะอาจารย์สวัสดีค่ะ
00:00:37 → 00:00:38 >> สวัสดีค่ะ
00:00:38 → 00:00:41 >> อาจารย์วันนี้จะเป็นตอนพิเศษค่ะหลากหลาย
00:00:41 → 00:00:44 คำถามจากผู้ชมนะคะ Q&A ที่ถามมาใน
00:00:44 → 00:00:46 คอมเมนต์ใน YouTube นะคะซึ่งบางคำถาม
00:00:46 → 00:00:48 เนี่ยก็ต้องบอกว่าอาจารย์เข้าไปตอบเรียบ
00:00:48 → 00:00:50 ร้อยแล้วเนาะบางคำถามก็เข้าไปตอบแล้วแต่
00:00:50 → 00:00:53 ว่าคำถามที่กรุ๊ปมาเนี่ยก็มีหลายๆอันที่
00:00:53 → 00:00:55 เราไม่อยากเข้าไปตอบแบบสั้นๆเนาะอาจารย์
00:00:55 → 00:00:59 เราอยากมาให้ความรู้ให้มันแบบเป็นมีข้อ
00:00:59 → 00:01:01 ให้ทุกคนเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้นก็เลยรวม
00:01:01 → 00:01:03 กันมาตอบในวันนี้นะคะเพราะฉะนั้นหัวข้อ
00:01:03 → 00:01:06 แรกค่ะที่จะนำมาคุยกันก็คือเรื่องของ
00:01:06 → 00:01:09 comมิค่ะพอเราทำคลิประบบย่อยไปเนี่ยคำถาม
00:01:09 → 00:01:11 มาเยอะมากเลยอาจารย์มีแนะนำอันนึงที่บอก
00:01:11 → 00:01:14 ว่าถ้าเกิดว่าคุณเป็นแผลในตรงหลอดอาหาร
00:01:14 → 00:01:18 ใช่มั้คะกดไหลย้อนให้ทานนมผสมขมิ้นคราว
00:01:18 → 00:01:20 นี้นมผสมขมิ้นเนี่ยก็มีหลายๆคนกังวลเพราะ
00:01:20 → 00:01:22 ว่าคนเป็นโรคกระเพาะเนี่ยก็จะมีแหละกินนม
00:01:22 → 00:01:26 มากๆแพ้นมท้องอืดพอนมผสมขมิ้่นจะไปใช้นม
00:01:26 → 00:01:28 อะไรดีอาจารย์ก็มีตอบไปว่านมถั่วก็ได้
00:01:28 → 00:01:31 กะทิก็ได้นะคะแต่คราวนี้มีคำถามนึงน่าสน
00:01:31 → 00:01:34 ใจค่ะอาจารย์ว่าขมิ้่นผสมกับนมเอ็นชัวร์
00:01:34 → 00:01:35 ได้มค่ะอาจารย์ค่ะ
00:01:35 → 00:01:38 >> ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่านมแอนชัวร์เนี่ย
00:01:38 → 00:01:41 จริงๆแล้วเรียกว่านมเอ็นชัวนะคะแต่โดย
00:01:41 → 00:01:44 วัตถุประสงค์ที่เขาสร้างขึ้นเนี่ยเ้าเป็น
00:01:44 → 00:01:47 ผลิตภัณฑ์ที่มีสารอาหารทุกชนิดครบถ้วนนะ
00:01:47 → 00:01:51 คะก็เอาไว้สำหรับเอ่อคนที่ทานอาหารไม่
00:01:51 → 00:01:54 ค่อยได้หรือคนที่มีปัญหาจะต้องจำกัดพวก
00:01:54 → 00:01:56 ปริมาณโปรตีนไขมันอะไรอย่างเงี้ยค่ะเพราะ
00:01:57 → 00:02:00 ฉะนั้นในเอชัวเนี่ยก็จะมีตั้งแต่เอ่อสาร
00:02:00 → 00:02:04 อาหารคือไขมันโปรตีนคาร์โบไฮเดรตนะคะแล้ว
00:02:04 → 00:02:05 ก็เกลือแร่และอื่นๆอีก
00:02:05 → 00:02:06 >> ครบเลย
00:02:06 → 00:02:09 >> ครบเลยค่ะทีนี้พอมันมีไขมันเนี่ยเวลาเรา
00:02:09 → 00:02:12 เอาขมิ้นเข้าไปละลายเนี่ยก็ละลายได้ค่ะ
00:02:12 → 00:02:15 แต่ปัญหาก็คือว่าเนื่องจากมันมีครบถ้วนนะ
00:02:15 → 00:02:18 คะสัดส่วนของไขมันก็จะมีน้อยดังนั้นเวลา
00:02:18 → 00:02:21 เอาขมิ้นละลายก็จะละลายได้น้อยค่ะมันก็จะ
00:02:21 → 00:02:23 แตกต่างกับการละลายนมอื่นนะคะเหมือนเรา
00:02:23 → 00:02:27 กินไป 1 แคปซูลเนี่ยแทนที่เราจะได้สาร
00:02:27 → 00:02:30 เคิมนอยจากขมิ้นเนี่ยเท่ากับการละลายนม
00:02:30 → 00:02:33 เนี่ยมันก็ไม่เท่าละมันก็จะลดลงนะคะถ้า
00:02:33 → 00:02:36 ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากก็พอใช้ได้นะคะพอใช้
00:02:36 → 00:02:38 ได้เพียงแต่ให้รู้ว่าการละลายมันลดลงแล้ว
00:02:38 → 00:02:41 ก็ไม่ต้องไปเอ่อไปเอาแบบ 2 แคปซูล 3
00:02:41 → 00:02:44 แคปซูลใส่เข้าไปเพิ่มเติมนะคะเพราะว่าไข
00:02:44 → 00:02:46 มันมันมีจำกัดเท่านั้นเพราะฉะนั้นมันก็
00:02:46 → 00:02:49 ละลายได้แค่นั้นน่ะค่ะนะฮะซึ่งละลายได้
00:02:49 → 00:02:51 แค่นั้นเนี่ยบางครั้งเวลาเรากินเข้าไป
00:02:51 → 00:02:54 เยอะๆเพราะเอชัวเต้องกินทีเลยพอสมควร
00:02:54 → 00:02:59 >> ค่ะก็อาจจะช่วยทำให้เอ่อเอ่อเกิดผลทางการ
00:02:59 → 00:03:01 รักษาได้เช่นเดียวกันนะคะเอ่อมันก็อาจจะ
00:03:02 → 00:03:05 น้อยไปนิดนึงนะคะเวลามันก็อาจจะยาวไปอีก
00:03:05 → 00:03:08 หน่อยนึงหลายคนก็อาจจะบอกว่าเอ๊ะถ้างั้น
00:03:08 → 00:03:10 เราไปละลายกับนมธรรมดาแหละมากินคู่กับ
00:03:11 → 00:03:11 เอ็นชัวได้มั้ย
00:03:11 → 00:03:12 >> อ
00:03:12 → 00:03:15 >> นะคะจริงๆในตามหลักเนี่ยมันได้อยู่แต่
00:03:15 → 00:03:18 ต้องไปดูเอ่อสภาวะของคนๆนั้นว่าการที่เขา
00:03:18 → 00:03:21 กินเอชัวจริงๆเขาต้องการควบคุมพวกปริมาณ
00:03:21 → 00:03:24 สารพวกนี้อยู่ด้วยหรือเปล่านะคะถ้าเขา
00:03:24 → 00:03:26 ต้องการควบคุมไขมันแล้วเราไปเอาไขมันในนม
00:03:26 → 00:03:30 มาเพิ่มเค้าก็มีปัญหานะฮะในการเอ่อควบคุม
00:03:30 → 00:03:34 ไอ้ตัวปริมาณนมตรงนั้นนะคะคำถามถัดมาก็
00:03:34 → 00:03:37 คือว่าเอ๊ะถ้ายังอยากกินอยู่จะทำยังไงนะ
00:03:37 → 00:03:38 คะ
00:03:38 → 00:03:40 >> เอ่อมันก็มี 2 ประเด็นค่ะ
00:03:40 → 00:03:43 >> ประเด็นที่ 1 ต้องการใช้ขมิ้นรักษาทาง
00:03:43 → 00:03:46 เดินอาหารรักษาแผลในทางเดินอาหารจริงหรือ
00:03:46 → 00:03:47 เปล่านะคะ
00:03:47 → 00:03:49 >> อวัตถุประสงค์ของการกินนมขมิ
00:03:49 → 00:03:53 >> ใช่ค่ะถ้าต้องการในการรักษาแผลในทางเดิน
00:03:53 → 00:03:56 อาหารซึ่งเราต้องการสารที่มันไปรักษาแผล
00:03:56 → 00:03:58 และให้ต้องสัมผัสแผลด้วยนะคะเราก็มีทาง
00:03:58 → 00:04:01 เลือกซึ่งเราก็ได้คุยกันไปแล้วแต่ว่าวัน
00:04:01 → 00:04:03 นี้มากล่าวย้ำอีกครั้งนะคะก็คือทางเลือก
00:04:03 → 00:04:05 อื่นๆมีอีก 3 ถังค่ะก็คืออาจจะใช้กล้วย
00:04:05 → 00:04:08 ดิบแทนซึ่งกล้วยดิบเนี่ยถ้าเป็นผงแล้ว
00:04:08 → 00:04:12 ละลายละลายน้ำธรรมดาเนี่ยก็สามารถที่จะลด
00:04:12 → 00:04:16 ไอ้ตัวการเกิดแผลหรือการเป็นแผลได้นะคะลด
00:04:16 → 00:04:19 การอักเสบอ่ามันมีสารที่ลดการอักเสบแล้ว
00:04:19 → 00:04:21 ก็เป็นสารที่ช่วยทำให้แผลหายได้เช่นเดียว
00:04:21 → 00:04:25 กันนะคะแต่ก็ข้อเสียของกล้วยดิบก็คือมัน
00:04:25 → 00:04:28 อาจจะทำให้เค้าท้องผูกหรือท้องอืดได้นะคะ
00:04:28 → 00:04:30 ถ้ากรณีที่เป็นอย่างนี้ได้ก็เลี่ยงกล้วย
00:04:30 → 00:04:33 ดิบเสียเพราะเรายังมีอีก 2 ตัวให้เลือกนะ
00:04:33 → 00:04:35 คะ 2 ตัวที่ให้เลือกก็มีเอ่อวุ้นว่านหาง
00:04:35 → 00:04:39 จระเข้กับเอ่อกระเจี๊ยบนะคะซึ่งทั้ง 2
00:04:39 → 00:04:41 อันเนี่ยกินไม่ยากนะคะก็ใช้แทนได้เหมือน
00:04:41 → 00:04:42 กัน
00:04:42 → 00:04:44 >> กระเจี๊ยบก็อย่างที่อาจารย์เคยเล่าว่าไป
00:04:44 → 00:04:45 ต้มแล้วก็มากินได้
00:04:45 → 00:04:48 >> อ่าก็เคี้ยวกินเลยหรือถ้าอยากจะปั่นก็ได้
00:04:49 → 00:04:52 เช่นเดียวกันนะคะปั่นแล้วก็กลืนเลยก็ได้
00:04:52 → 00:04:55 ปั่นกรองเอาแต่ตัวน้ำก็ได้อีกเหมือนกัน
00:04:55 → 00:04:55 >> อือื
00:04:55 → 00:04:59 >> นะคะไม่ได้แตกต่างคุณภาพพอๆกันอาจจะด้อย
00:04:59 → 00:05:02 กว่าขมินิดหน่อยแต่ก็ไม่นานเหมือนกันนะ
00:05:02 → 00:05:04 ค่ะเท่าที่เคยสังเกตแล้วก็ดูจากไอ้รายงาน
00:05:04 → 00:05:06 การวิจัยทั้งหลายนะคะ
00:05:06 → 00:05:08 >> แต่กระเจี๊ยบต้องเป็นฝักนะคะเป็นเขียวๆนะ
00:05:08 → 00:05:10 คะบางคนอาจจะรู้สึกว่าเอ้มันจะไปเข้าใจ
00:05:11 → 00:05:12 เป็นน้ำเป็นดอกแดงๆไม่ใช่เนาะ
00:05:12 → 00:05:14 >> อ๋อมันเป็นกระเจี๊ยบคนละชนิดกัน
00:05:14 → 00:05:17 >> นะคะกระเจี๊ยบอันที่เป็นฝักเขียวเราเรียก
00:05:17 → 00:05:19 ว่ากระเจี๊ยบเขียวหรือกระเจี๊ยบมอนหรือ
00:05:19 → 00:05:22 มะเขือมอนมันก็จะอยู่ในตลาดเป็นผักแต่ถ้า
00:05:22 → 00:05:26 เป็นกระเจี๊ยบแดงเนี่ยพวกนี้ก็จะมีสีแดงๆ
00:05:26 → 00:05:27 นะคะเป็นดอก
00:05:27 → 00:05:30 >> อ่าเป็นจริงๆมันคือกลีบเลี้ยงแล้วก็เอา
00:05:30 → 00:05:32 ตัวผลข้างในเนี่ยทิ้งไปแล้วพวกนั้นน่ะมี
00:05:32 → 00:05:35 ฤทธิ์ขับปัสสาวะแล้วก็มีสภาวะเป็นกรดจะ
00:05:35 → 00:05:37 ไม่มีฤทธิ์ในเรื่องของการรักษาแผลในทาง
00:05:37 → 00:05:38 เดินอาหาร
00:05:38 → 00:05:40 >> อืเพราะฉะนั้นก็เป็นกระเจี๊ยบเขียว
00:05:40 → 00:05:44 >> ค่ะคราวนี้เราก็ค้างอีกประเด็นนึงว่าถ้า
00:05:44 → 00:05:47 สมมุติต้องกินขมิ้นชันแต่ไม่ใช่เพื่อ
00:05:47 → 00:05:51 รักษาแผลนะคะแล้วก็ไม่สามารถมาละลายเอชัว
00:05:51 → 00:05:54 ได้เพราะว่ามีปัญหาเรื่องเรื่องไขมัน
00:05:54 → 00:05:59 เรื่องอะไรอื่นๆนะคะจะทำยังไงนะฮะก็มี
00:05:59 → 00:06:02 ผลิตภัณฑ์วิ้นชันประเภทนึงค่ะที่ช่วยทำ
00:06:03 → 00:06:06 ให้พวกสารเคลือคิมนอยเนี่ยสามารถที่จะดูด
00:06:06 → 00:06:08 ซึมเข้าไปในร่างกายนะฮะในกรณีที่เขาไม่
00:06:09 → 00:06:10 ต้องการรักษาแผลแต่เขาต้องการให้มันดูด
00:06:10 → 00:06:13 ซึมเข้าไปข้างในเพื่อรักษาอย่างเช่นเอ่อ
00:06:13 → 00:06:16 รักษาโรคนะฮะรักษาพวกโรคข้ออะไรต่างๆซึ่ง
00:06:16 → 00:06:20 อยู่ภายใต้การดูแลนะคะหรือเอ่อบางคนอาจจะ
00:06:20 → 00:06:23 ไปใช้รักษาอาการอักเสบที่เราเรียกว่า
00:06:23 → 00:06:26 อักเสบเรื้อรังนะฮะซึ่งมันจะเป็นนานแล้ว
00:06:26 → 00:06:29 ก็เป็นบ่อยๆแล้วก็มีคำแนะนำว่าให้ใช้พวก
00:06:29 → 00:06:33 นั้นก็ให้ไปใช้ผลิตภัณฑ์เอ่อขมิ้นชานเป็น
00:06:33 → 00:06:37 สารสกัดนะคะซึ่งมันจะเติมสารอีกตัวนึง
00:06:37 → 00:06:40 ช่วยให้มันดูดซึมได้ดีเราเรียกสารพวกนี้
00:06:40 → 00:06:43 ว่าbihanอซึ่งที่เราใช้ๆกันอยู่มันก็มี
00:06:43 → 00:06:46 พวกวิปรีนที่เราได้จากเอ่อพริกไทย
00:06:46 → 00:06:50 >> นะคะแต่การที่นำผงขมิ้นกับผงพริกไทยมาผสม
00:06:50 → 00:06:52 กันอันนี้ไม่ช่วยนะคะนะครับต้อง
00:06:52 → 00:06:52 >> เป็นสารสกัด
00:06:52 → 00:06:55 >> ต้องเป็นสารสกัดค่ะแต่นี้สารสากาศพวกนี้
00:06:55 → 00:06:57 มีแความแรงค่อนข้างเยอะนะคะเพราะฉะนั้น
00:06:57 → 00:07:01 ใช้จะต้องอยู่ในการดูแลนะคะของของแพทย์นะ
00:07:01 → 00:07:03 คะเพื่อให้ได้รู้ได้ควบคุมขนาดว่าไม่ให้
00:07:03 → 00:07:06 มันเกินไปไม่ให้ระยะเวลามันยาวเกินไปด้วย
00:07:06 → 00:07:06 ค่ะ
00:07:06 → 00:07:09 >> อืเพราะฉะนั้นเหมือนกะต้องเอาให้ชัดก่อน
00:07:09 → 00:07:12 เนาะว่าเราจะกินขมิ้่นเพื่ออะไรถ้าหวังผล
00:07:12 → 00:07:14 เพื่อเคลือบทางเดินอาหารอันเนี้ยต้องผสม
00:07:14 → 00:07:16 กับนมนั่นแหละเพราะว่ามันเป็นของเหลวกิน
00:07:16 → 00:07:18 เข้าไปมันจะได้เคลือบเนอะแต่ถ้าเราอยาก
00:07:18 → 00:07:20 กินขมิ้นเพื่ออย่างที่อาจารย์บอกว่าเป็น
00:07:20 → 00:07:23 อาการอื่นน่ะต้านการอักเสบอะไรก็แล้วแต่
00:07:23 → 00:07:25 อันนั้นต้องเป็นแคปซูลเป็นสารสกัดต้องเอา
00:07:25 → 00:07:27 ให้ชัวร์ก่อนเนาะคราวนี้ก่อนที่จะข้ามไป
00:07:27 → 00:07:29 อีกคำถามนึงที่บอกว่ากินขมิ้่นนานๆจะเป็น
00:07:29 → 00:07:31 อะไรมั้นะคะมันจะมีอีกคำถามนึงก็คือว่านม
00:07:31 → 00:07:35 ขมิ้่นค่ะอาจารย์ทำไมต้องรอให้มันตกตะกอน
00:07:35 → 00:07:36 >> เสียดายอ่ะ
00:07:36 → 00:07:38 >> ทำไมต้องกินแต่ไอ้ชั้นที่มันเป็นนมอ่ะใช่
00:07:38 → 00:07:40 ๆจริงๆแล้วเนี่ยเราใส่เข้าไปเนี่ยมันสกัด
00:07:41 → 00:07:43 ไม่หมดจริงๆค่ะไอ้ตัวผงที่ออกมามันยังมี
00:07:43 → 00:07:46 สีเหลืองนิดๆนะคะหลายคนก็เสียดายที่จริง
00:07:46 → 00:07:49 การติดตะกอนลงไปมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร
00:07:49 → 00:07:52 เพียงแต่ว่าปัญหาก็คือว่าบางครั้งเวลามัน
00:07:52 → 00:07:55 มีตะกอนเข้าไปเนี่ยตัวตะกอนน่ะค่ะมันจะไป
00:07:55 → 00:07:58 แตะอยู่ที่ตามแผลนะคะแล้วมันก็ทำให้เกิด
00:07:58 → 00:08:01 การระคายเคืองแผลดังนั้นเนี่ยสิ่งที่เรา
00:08:01 → 00:08:03 จะเลี่ยงก็คือเราไม่ต้องการให้แผลที่มัน
00:08:03 → 00:08:05 เกิดขึ้นตามทางเดินไม่ว่าจะเป็นไอ้ตรง
00:08:05 → 00:08:08 หลอดอาหารหรือว่าในตัวกระเพาะอาหารนะคะ
00:08:08 → 00:08:10 เอ่อเราไม่ต้องการให้มันสัมผัสกับอะไรที่
00:08:10 → 00:08:12 ระคายเคืองเพราะว่าพอยิ่งระคายเคืองมัน
00:08:12 → 00:08:13 ยิ่งหายช้า
00:08:13 → 00:08:14 >> ออ
00:08:14 → 00:08:16 >> นะฮะเพราะฉะนั้นก็เลยบอกว่าตัดใจทิ้งมัน
00:08:16 → 00:08:19 ไว้ไม่เป็นไรค่ะนิดเดียวนะฮะเอ่อถ้าเทียบ
00:08:19 → 00:08:22 กับการกินขมิ้นทั้งแคปซูลเข้าไปเนี่ยเรา
00:08:22 → 00:08:24 สูญเสียน้อยกว่าด้วยซ้ำไปนะคะเพราะฉะนั้น
00:08:25 → 00:08:28 ใช้เฉพาะตัวที่เป็นของเหลวเป็นนมที่เป็น
00:08:28 → 00:08:31 สีเหลืองเท่านั้นนะคะแล้วทิ้งไปค่ะ
00:08:31 → 00:08:33 >> อาจารย์มีอีกคำถามนึงค่ะคุณเฮงๆกับ
00:08:33 → 00:08:36 หม่ามี้นะคะบอกว่าอยากทราบว่านมอุ่นผสม
00:08:36 → 00:08:39 ขมิ้นครั้งเดียวทาน 3 มือได้มั้คะ
00:08:39 → 00:08:43 >> เอ่อไม่แนะนำไม่แนะนำเพราะว่าตัวขมิ้น
00:08:43 → 00:08:46 เนี่ยเวลามันละลายสารเคลือคิมนอยละลายออก
00:08:46 → 00:08:49 มาแล้วเนี่ยเวลามันเผชิญกับอากาศอะไร
00:08:49 → 00:08:50 เงี้ยความที่มันมีฤทธิ์ที่เราเรียกว่า
00:08:50 → 00:08:53 แอนตี้ออกซidantนหรือต้านการเอ่อ
00:08:53 → 00:08:57 ออกซิเดชันะคะมันเวลามันเจออากาศนานๆเข้า
00:08:57 → 00:09:00 เนี่ยมันก็จะสลายตัวเ้าเรียกว่าเปลี่ยน
00:09:01 → 00:09:03 แปลงสภาพเพราะมันไปทำปริยากับออกซิเจนใน
00:09:03 → 00:09:06 อากาศเพราะฉะนั้นเวลาทำเนี่ยจริงๆแนะนำ
00:09:06 → 00:09:10 ว่าให้ละลายเป็นมื้อต่อมื้อค่ะถ้าคิดว่า
00:09:10 → 00:09:13 วันนึงจะกินแค่แคปซูลแคปซูลเดียวแล้วเอา
00:09:13 → 00:09:17 ไม่หมดก็แบ่งทีละอันทีละนั่นก็ได้ค่ะ
00:09:17 → 00:09:19 เพราะว่าเราไม่ได้จำเป็นต้องกินเท่ากัน
00:09:19 → 00:09:23 ตลอดใช่มั้ยคะก็วันนึงก็ถ้าจะกินแบบรักษา
00:09:23 → 00:09:27 แผลเนี่ยก็ประมาณซักเอ่อไม่ 1 กรัมนะฮะก็
00:09:27 → 00:09:29 คือ 500 มกรัม 2 ครั้งหรืออาจจะไม่ถึง 1
00:09:30 → 00:09:32 กรัมก็ได้ประมาณ 800 ก็ยังได้อยู่ค่ะ
00:09:32 → 00:09:33 >> อื
00:09:33 → 00:09:33 >> นะคะ
00:09:33 → 00:09:35 >> โอเคกินเป็นครั้งๆดีกว่า
00:09:35 → 00:09:37 >> ค่ะทำเป็นครั้งแล้วที่สำคัญอีกอันนึงก็
00:09:38 → 00:09:42 คือว่าการละลายในนมเนี่ยมันละลายได้ดีใน
00:09:42 → 00:09:45 นมอุ่นพอทิ้งเอาไว้เนี่ยบางส่วนมันก็ไม่
00:09:45 → 00:09:45 ออกมาละ
00:09:45 → 00:09:47 >> โอเคค่ะเพราะฉะนั้นถ้าถ้าจะให้ได้ผลก็
00:09:48 → 00:09:49 อย่างที่อาจารย์บอกว่าเป็นครั้งอุ่นนม
00:09:49 → 00:09:52 เนาะแล้วก็แกะแคปซูลออกมาเราก็แบ่งส่วน
00:09:52 → 00:09:55 นึงพอมันละลายเสร็จปุ๊บให้มันตกตะกอนเรา
00:09:55 → 00:09:57 ก็กินเฉพาะส่วนที่เป็นเป็นนมที่ขมิ้นมัน
00:09:57 → 00:09:59 ละลายออกมาแล้วนะคะไอ้ที่เป็นตะกอนก็ทิ้ง
00:09:59 → 00:10:02 ไปนะคะคราวนี้อีกคำถามนึงค่ะอาจารย์พอรู้
00:10:02 → 00:10:05 สึกว่ามันดีปุ๊บกินขมิ้นนานๆได้ไหม
00:10:05 → 00:10:07 >> ค่ะมีหลายคนคิดว่า 1 มันมีฤทธิ์ด้านต้าน
00:10:07 → 00:10:11 อนุมูลอิสระ 2 มันมีฤทธิ์ต้านการอักเสบดู
00:10:11 → 00:10:13 ดีมากเลยอ่ะอยากกินแล้วก็เจอหลายคนด้วย
00:10:13 → 00:10:17 ว่ากินยาวนะคะคราวนี้เรามาดูกันก่อนว่า
00:10:17 → 00:10:21 จริงๆแล้วเนี่ยเราเคยเจอปัญหามั้ยถ้ากมิ
00:10:21 → 00:10:25 กินยาวๆนะคะก็เลยไปลองค้นดูก็พบว่าจริงๆ
00:10:25 → 00:10:27 แล้วเนี่ยตัวขมิ้นเนี่ยนะเวลากินนะฮะ
00:10:28 → 00:10:29 ลักษณะของการกินเนี่ยเขาบอกว่าถ้ากิน
00:10:29 → 00:10:32 ลักษณะผงเนี่ยเให้กินวันนึงไม่เกิน 1
00:10:32 → 00:10:35 กรัมนะคะถ้าเป็นผงนะฮะวันนึงไม่เกิน 1
00:10:35 → 00:10:38 กรัมจริงๆแล้วก็จะนานได้ที่รายงานเค้าเจอ
00:10:38 → 00:10:42 ก็เป็นปีนะคะ 1 กรัมเนี่ยในส่วนตัวนะใน
00:10:42 → 00:10:45 ส่วนตัวก็ยังบอกว่ามันก็ดูเยอะไปนะฮะใน
00:10:45 → 00:10:48 กรณีที่กินติดต่อกันทุกวันเนี่ยถึง 1 ปี
00:10:48 → 00:10:51 เพราะตามประสบการณ์นะถ้ามองว่าขมิ้นคือ
00:10:51 → 00:10:54 สารต้านอนุมูลอิสระคมิ้นคือสารต้านการ
00:10:54 → 00:10:57 อักเสบนะคะเอ่ออนุมูลอิสระหรือว่าเอ่อการ
00:10:58 → 00:11:01 ออกซิเดชเนี่ยเป็นเรื่องที่มีทั้งดีและ
00:11:01 → 00:11:03 ไม่ดีนะคะเหมือนกับการอักเสบเหมือนกันมี
00:11:03 → 00:11:05 ทั้งดีและไม่ดีเพราะโดยพื้นฐานพวกเนี้ย
00:11:05 → 00:11:08 มันเกิดขึ้นเพื่อปรับให้ร่างกายเราเนี่ย
00:11:08 → 00:11:10 มันสามารถทำงานได้
00:11:10 → 00:11:12 >> อือักเสบเหมือนเป็นสัญญาณใช่มั้คะอาจารย์
00:11:12 → 00:11:15 >> ค่ะถ้าถ้าพูดถึงเรื่องออกซิเชออกซิเดช
00:11:15 → 00:11:17 เนี่ยในกระบวนการเราเนี่ยมีสิ่งที่เรา
00:11:17 → 00:11:20 เรียกว่า Metabolism นะคะก็คือว่ามีการ
00:11:20 → 00:11:23 เค้าเรียกว่าเผาผลาญไอ้กระบวนการเผาผลาญ
00:11:23 → 00:11:25 เนี่ยแหละค่ะมันทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้น
00:11:25 → 00:11:27 มาทำให้เกิดพลังงานขึ้นมาถ้าเราไปใช้สาร
00:11:27 → 00:11:31 ที่มันต้านอ่าอนุมูลอิสระหรือต้านการทำ
00:11:31 → 00:11:34 งานพวกเนี้ยมันทำให้การเผาผลาลดลงค่ะ
00:11:34 → 00:11:36 เพราะฉะนั้นพลังงานเราก็ลดลง
00:11:36 → 00:11:40 >> นะฮะเคยเจอคนที่กินขมิ้นนานๆแล้วมีความ
00:11:40 → 00:11:43 รู้สึกเหมือนกับเค้าเซึมลงเ้าตื้อลงอะไร
00:11:43 → 00:11:46 ลักษณะอย่างนั้นน่ะที่เคยเห็นนะคะนั่นคือ
00:11:46 → 00:11:48 ประเด็นนึงและอีกประเด็นนึงก็คือว่า
00:11:48 → 00:11:50 เรื่องของการอักเสบกระบวนการอักเสบอักเสบ
00:11:50 → 00:11:53 ที่ที่เมื่อกี้หมอแดงบอกว่ามันมีสัญญาณนะ
00:11:53 → 00:11:55 คะกระบวนการอักเสบนี่มันเป็นกระบวนการที่
00:11:55 → 00:11:59 เ้าเรียกว่าตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งที่
00:11:59 → 00:12:01 เข้ามาสู่ร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่าง
00:12:01 → 00:12:04 เช่นเรากระแทกหรือเอ่อเรามีปัญหาสุขภาพ
00:12:04 → 00:12:07 ต่างๆเนี่ยมันก็บางครั้งมันมีการอักเสบนะ
00:12:07 → 00:12:09 คะแล้วก็ส่งสัญญาณพอส่งสัญญาณเี่มันก็จะ
00:12:09 → 00:12:12 ไปหาภูมิคุ้มกันไปหาตัวต้านการอักเสบเข้า
00:12:12 → 00:12:14 มาเพื่อจะมาแก้ไขปัญหาตรงนี้
00:12:14 → 00:12:15 >> เป็นธรรมชาติด้วย
00:12:15 → 00:12:17 >> อ่าเป็นธรรมชาติของเขาพอเราไปกินเข้า
00:12:17 → 00:12:20 เนี่ยมันก็คือไประงับสัญญาณธรรมชาตินะบาง
00:12:20 → 00:12:23 ครั้งเนี่ยการระงับสัญญาณธรรมชาติเนี่ย
00:12:23 → 00:12:25 มันก็ดูว่าเออมันไม่อักเสบนะมันไม่อะไรนะ
00:12:25 → 00:12:28 แต่ว่าไอ้ตัวที่มันกระตุ้นยังอยู่ค่ะ
00:12:28 → 00:12:30 >> อ่าเราไม่ได้ไปแก้ต้นเหตุอะไรเลย
00:12:30 → 00:12:32 >> ใช่ไม่ไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรเลยเพราะตัว
00:12:32 → 00:12:34 กระตุ้นมันอยู่ไอ้สุขภาพตรงนั้นหรือปัญหา
00:12:34 → 00:12:36 ตรงนั้นมันก็ยังอาจจะขยายลุกรามได้ด้วย
00:12:36 → 00:12:40 เพราะว่าไม่มีเอ่อกลุ่มศาลทั้งหลายเข้ามา
00:12:40 → 00:12:42 coverเวอร์ตรงนี้แล้วไม่ได้แก้ไขปัญหาตรง
00:12:42 → 00:12:43 นี้แล้ว
00:12:43 → 00:12:46 >> นะคะในระยะยาวก็อาจจะเป็นปัญหาได้
00:12:46 → 00:12:48 >> โอเคเพราะฉะนั้นก็ไม่ควรเนาะอาจารย์ที่จะ
00:12:48 → 00:12:51 กินติดต่อกันไปเป็นปีโดยที่มองว่ามันมี
00:12:51 → 00:12:52 แต่ประโยชน์อย่างเดียวเพราะจริงๆอย่างที่
00:12:52 → 00:12:54 บอกว่าอักเสบมันก็เป็นการส่งสัญญาณอย่าง
00:12:54 → 00:12:58 นึงอใช่ค่ะคราวนี้คงต้องบอกว่ามีบางคนที่
00:12:58 → 00:13:01 กินเยอะๆแล้วกินยาวเกิดอะไรขึ้นมีความ
00:13:01 → 00:13:03 เสี่ยงต่ออะไรนะคะเพราะนอกจากเรื่องที่
00:13:04 → 00:13:07 พูดกันเนี่ยมันมีชัดเจนเลยที่เขา้ารายงาน
00:13:07 → 00:13:10 มานะคะอันที่ 1 คือความเสี่ยงต่อปัญหาทาง
00:13:10 → 00:13:12 เดินอาหารมันมีความเสี่ยง 5 ข้อนะคะอัน
00:13:12 → 00:13:14 นี้กินเยอะและกินนาน
00:13:14 → 00:13:16 >> อ่าอันนี้เราพูดถึงกินเยอะและกินนานเนาะ
00:13:16 → 00:13:18 ความเสี่ยง 5 ข้ออันที่ 1 คือปัญหาทาง
00:13:18 → 00:13:20 เดินอาหารเพราะว่าขมิ้นเนี่ยส่วนหนึ่งจะ
00:13:20 → 00:13:23 ทำให้ท้องผูกเพราะฉะนั้นทางเดือนอาหารคุณ
00:13:23 → 00:13:25 จะรวนถ้าคุณท้องผูกบ่อยๆแล้วคุณไปแก้
00:13:25 → 00:13:27 ปัญหาท้องผูกโดยคุณไม่รู้ว่าต้นเหตุมัน
00:13:27 → 00:13:27 คือขม
00:13:27 → 00:13:29 >> อืเพราะมันฝาดใช่มั้คะอาจารย์
00:13:29 → 00:13:32 >> มันฝาดค่ะแล้วก็ในยาไทยเนี่ยเขาใช้ขมิ้น
00:13:32 → 00:13:34 สำหรับเอ่อรักษาโรคท้องเสีย
00:13:35 → 00:13:35 >> อือ
00:13:35 → 00:13:38 >> นะคะแล้วเใช้ในเป็นน้ำกับสายด้วยนะคะแสดง
00:13:38 → 00:13:41 ว่าฤทธิ์มันก็แรงพอสมควรนะฮะแล้วก็มีผล
00:13:41 → 00:13:44 ต่อไอ้การทำงานของทางเดินอาหารพอสมควรอัน
00:13:44 → 00:13:46 นี้คือความเสี่ยงข้อแรกความเสี่ยงข้อที่ 2
00:13:46 → 00:13:51 ก็คือเรื่องของการที่เลือดไหลหยุดไหลยาก
00:13:51 → 00:13:54 นะคะเพราะขมิ้นเนี่ยมันมีฤทธิ์ในการต้าน
00:13:54 → 00:13:56 การจับตัวของเกล็ดเลือดซึ่งตามปกติเวลา
00:13:56 → 00:13:59 เรามีดบาตรเราอะไรเงี้ยทำการอะไรก็ตาม
00:13:59 → 00:14:01 เนี่ยแล้วมีเลือดออกมาหรือแม้กระทั่งใน
00:14:01 → 00:14:04 ตัวเราเนี่ยบางทีมันมีการหลอดเลือดมันมัน
00:14:04 → 00:14:06 ฉีกขาดมีอะไรเงี้ยนะคะซึ่งมันจะซ่อมแซม
00:14:06 → 00:14:08 โดยธรรมชาติโดยใช้ไอ้เกล็ดเลือดพวกนี้
00:14:08 → 00:14:11 เข้าไปรวมตัวแล้วก็เป็นปลั๊กอุดเอาไว้นะ
00:14:11 → 00:14:11 คะ
00:14:11 → 00:14:15 >> พอขมิ้นไปอย่างี้ปั๊บมันเกิดการต้านทานพอ
00:14:15 → 00:14:18 เกิดการความการต้านทานขึ้นมามันก็ทำให้
00:14:18 → 00:14:21 เลือดเนี่ยมันไหลไม่หยุดไหลไม่แข็งตัวนะ
00:14:21 → 00:14:23 คะบางคนนี่ก็จะเกิดการเรียกว่าเลือดออกใน
00:14:23 → 00:14:26 ไปในจุดที่เราไม่ต้องการเช่นเลือดออกที่
00:14:26 → 00:14:28 สมองเลือดออกตามปลายทั้งหลายอะไรอย่าง
00:14:28 → 00:14:31 เงี้ยแล้วมันก็เกิดปัญหารุนแรงตามมา
00:14:31 → 00:14:33 >> โดยที่บางทีเราก็ไม่รู้เอทำไมเราเป็นแบบ
00:14:33 → 00:14:33 นี้
00:14:33 → 00:14:37 >> ใช่ค่ะอันนี้คือจุดเสี่ยงโดยเฉพาะผู้สูง
00:14:37 → 00:14:41 อายุนะคะข้อที่ 3 ก็คือเรื่องของถุงน้ำดี
00:14:41 → 00:14:44 นะคะเพราะว่าขมิ้นเนี่ยกระตุ้นทำให้น้ำดี
00:14:44 → 00:14:47 เนี่ยหลั่งอยู่ฉะนั้นนั้นมันก็อาจจะมี
00:14:47 → 00:14:51 ปัญหาทำให้มีเ่อถุงน้ำดีทำงานเยอะมีการ
00:14:51 → 00:14:55 หลับมากมายแล้วก็ตับก็ทำงานเยอะขึ้นนะคะ
00:14:55 → 00:14:59 แล้วก็ข้อที่ 4 ขมิ้นมีปัญหาต่อการดูดซึม
00:14:59 → 00:15:00 ธาตุเหล็ก
00:15:00 → 00:15:03 >> ออตรงนี้ไงคะอาจารย์นะคะซึ่งตรงนี้เนี่ย
00:15:03 → 00:15:06 คนที่มีปัญหาคือ 1 คนที่เอ่อเป็นโรคโลหิต
00:15:06 → 00:15:09 จางนะคะซึ่งต้องการธาตุเหล็กอยู่พอกิน
00:15:09 → 00:15:13 เข้าไปมันก็ลดการดูดซึมก็แย่ลงนะคะก็ไม่
00:15:13 → 00:15:15 สามารถจะทำงานได้จะให้ยาให้ยาเท่าไหร่
00:15:15 → 00:15:16 เท่าไหร่แต่ก็ไม่ดีขึ้น
00:15:16 → 00:15:19 >> เหมือนอยากกินยาบำรุงเลือดอะไรแต่บางทีหา
00:15:19 → 00:15:21 รู้มั้ว่าเอ้ยเรากินขมิ้นทุกวันมัน
00:15:21 → 00:15:21 >> ไม่ได้
00:15:22 → 00:15:25 >> นะคะความเสี่ยงข้อ 5 ก็คือเรื่องของการทำ
00:15:25 → 00:15:27 งานของตับซึ่งจริงๆแล้วเนี่ยมันก็เกี่ยว
00:15:27 → 00:15:30 เนื่องกับถุงน้ำดีนั่นแหละแต่มันมากกว่า
00:15:30 → 00:15:32 นั้นนะคะก็คือมันกระตุ้นการทำงานของตับ
00:15:32 → 00:15:35 ทั้งหมดซึ่งเรื่องนี้เนี่ยถ้าตามหลักการ
00:15:35 → 00:15:37 แพทย์แผนไทยเนี่ยมันก็ใช่เพราะว่ามันมี
00:15:37 → 00:15:40 ตัวสส่วนนึงมันมีตัวร้อนอยู่ที่กระตุ้น
00:15:40 → 00:15:44 การทำงานของตับด้วยนะคะเอ่อในในแง่ของ
00:15:44 → 00:15:47 ความเป็นจริงเนี่ยเราก็เจอเจอกรณีของคน
00:15:47 → 00:15:52 ไข้ที่กินขมิ้นในขนาดสูงแล้วก็นานนะฮะพบ
00:15:52 → 00:15:56 ว่าเกิดปัญหาค่าตับมันเพิ่มขึ้นแต่ไม่ได้
00:15:56 → 00:15:58 ไม่ไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยนะคะมีที่อิตาลี
00:15:58 → 00:16:01 กับที่อเมริกานะคะที่เราเจอแล้วก็มีราย
00:16:01 → 00:16:04 งานออกมาแต่พวกเนี้ยจะเกิดขึ้นกับคนที่
00:16:04 → 00:16:08 กินกลุ่มผลิตภัณฑ์ขมิ้นที่ผสมพวกสารที่มา
00:16:09 → 00:16:10 จากพริกไทยที่เราเรียกพิปรีนที่เราพูดจาก
00:16:10 → 00:16:13 ตอนต้นน่ะนะคะที่เรียกว่าbihanอซึ่งพวก
00:16:13 → 00:16:17 เนี้ยมันทำให้มีการดูดซึมตัวสารเคมีนอย
00:16:17 → 00:16:20 เข้าไปในตัวเยอะนะคะเพราะฉะนั้นมันก็จะมี
00:16:20 → 00:16:22 ปัญหาทำให้ตับต้องทำงานเยอะขึ้นนะคะแล้ว
00:16:22 → 00:16:24 ก็มีต้องมีปัญหากับตับทีละ
00:16:25 → 00:16:28 >> อืโออันนี้อันนี้สำคัญเลยนะคะอาจารย์
00:16:28 → 00:16:30 เพราะว่ายิ่งว่ามันเป็นเม็ดด้วยเป็นสาร
00:16:30 → 00:16:32 สกัดด้วยยิ่งกินสะดวกด้วยยิ่งเราเชื่อว่า
00:16:32 → 00:16:35 เขาดีด้วยแล้วกินติดต่อกันนานๆ
00:16:35 → 00:16:38 >> เนี่ย 5 อย่างเนี้ยขนาดสูงต้องระวัง
00:16:38 → 00:16:42 >> ค่ะนี้จิ้งๆต้องเตือนนิดนึงก็คือว่าจริงๆ
00:16:42 → 00:16:44 แล้วคมิ่งไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนไม่ใช่
00:16:44 → 00:16:48 ว่าใครใครก็กินขมิ้นได้ถึงแม้ขนาดต่ำนะคะ
00:16:48 → 00:16:52 มีคนบางคนที่จะต้องยกเว้นไม่ควรกินขมิ้น
00:16:52 → 00:16:55 นะคะใครมั่งที่ไม่ควรกินขมิ้นนะอันที่ 1
00:16:55 → 00:16:57 คนที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี
00:16:57 → 00:16:59 >> นะคะอันนี้เจอบ่อยค่ะตอนหลังเราก็เจอว่า
00:16:59 → 00:17:02 เอ่อมีคนไทยจำนวนนึงเลยเป็นนิ่วในถุง
00:17:02 → 00:17:05 นับดีแล้วพวกนี้ไม่เราไม่รู้ตัวนะคะอย่าง
00:17:05 → 00:17:08 ที่เคยเล่าให้ฟังว่าตอนแรกๆเนี่ยถ้าพอกิน
00:17:08 → 00:17:10 ขมิ้นไปปั๊บจะรู้สึกว่าแทนนี้รู้สึกดีจะ
00:17:10 → 00:17:13 รู้สึกแย่ลงเพราะว่าพอถุงน้ำดีอุดตันพวก
00:17:13 → 00:17:15 นี้กระตุ้นพอยิ่งกระตุ้นมันยิ่งเพิ่มแรง
00:17:15 → 00:17:18 ดันเพราะนั้นอาจจะป่วนมากขึ้นนะคะหรือว่า
00:17:18 → 00:17:20 ถ้ายังไม่ทันไม่ไม่รู้ตัวให้สังเกตก่อน
00:17:20 → 00:17:23 ว่าตอนนี้เรากินไขมันแล้วมันย่อยยากหรือ
00:17:23 → 00:17:23 เปล่า
00:17:23 → 00:17:25 >> อ่าใช่อันนี้อาการเบื้องต้นเลยของคนเป็น
00:17:25 → 00:17:26 นิ้วในถุงน้ำดี
00:17:26 → 00:17:30 >> ค่ะอันที่ 2 ก็คือคนที่มีภาวะผิดปกติใน
00:17:30 → 00:17:32 เรื่องของการแข็งตัวของเลือดพวกนี้ก็ไม่
00:17:32 → 00:17:35 ควรทานก็อย่างที่พูดกันตอนแรกนะฮะเรื่อง
00:17:35 → 00:17:37 ว่ามันต้านการจับตัวของเกล็ดเลือดแล้วก็
00:17:37 → 00:17:39 คนที่ใช้ยาที่เกี่ยวข้องกับภาวะการแข็ง
00:17:40 → 00:17:42 ตัวของตรงนี้ก็ใช้ไม่ได้
00:17:42 → 00:17:44 >> อย่างงี้คนที่เขาเป็นโรคหัวใจหรือว่าเป็น
00:17:44 → 00:17:46 โรคความดันที่เกินยาอยู่แล้วอันนี้ก็อาจ
00:17:46 → 00:17:47 จะไม่ไม่ต้อง
00:17:47 → 00:17:49 >> ไม่ได้ไม่ได้ค่ะให้ให้ปรึกษาเลยถ้าเอา
00:17:49 → 00:17:52 เป็นรบหัวใจหรือกลุ่มคนที่ล้างไต
00:17:52 → 00:17:52 >> อื
00:17:52 → 00:17:54 >> นะคะเพราะฉะนั้นจะต้องปรึกษาเพราะว่า
00:17:54 → 00:17:57 กลุ่มคนที่ล้างไต่เนี่ยเอ่อเขาจะฉีดยาตัว
00:17:57 → 00:17:59 นึงที่ละลายพวกลิ่มเลือดพวกนี้ซึ่งอาจจะ
00:17:59 → 00:18:01 ทำให้เกิดการเสริมฤทธิ์ขึ้นมาได้ถ้า
00:18:01 → 00:18:04 จำเป็นต้องกินจริงๆก็ควรจะต้องอยู่ในความ
00:18:04 → 00:18:05 ดูแลของแพทย์
00:18:05 → 00:18:07 >> ถ้ายังไม่ถึงกับล้างไตคะอาจารย์มันมีหลาย
00:18:07 → 00:18:09 ระยะมากเลยสมมุติระยะต้นๆอย่างเงี้ยยัง
00:18:09 → 00:18:10 ควรจะกินมั้คะ
00:18:10 → 00:18:13 >> เอ่อเลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะคะเพราะว่าพวกนี้
00:18:13 → 00:18:16 ถ้ากินจริงๆถ้าจำเป็นต้องกินจริงๆอ่ะต้อง
00:18:16 → 00:18:20 ไปคุมขนาดคุมค่าต่างๆซึ่งจะต้องดูแลเยอะ
00:18:20 → 00:18:24 นะคะกลุ่มอีก 2 อันก็คือสตรีมคันนะคะอัน
00:18:24 → 00:18:27 นี้แน่นอนรายงานเราไม่ได้ชัดเจนว่าเค้ามี
00:18:27 → 00:18:30 ปัญหาอะไรนะคะเพราะว่าเมื่อไหร่ที่สำหรับ
00:18:30 → 00:18:32 กลุ่มสติคันทั้งหมดตัวไหนที่ไม่มีรายงาน
00:18:32 → 00:18:34 ว่ามันปลอดภัยเราไม่ให้เกียรติ
00:18:34 → 00:18:35 >> นะคะ
00:18:35 → 00:18:38 >> แล้วก็กลุ่มที่มียาในโรคเรื้อรังหลายๆ
00:18:38 → 00:18:39 หลายๆอย่าง
00:18:39 → 00:18:40 >> อ่ากินยาอยู่หลายๆขนาด
00:18:40 → 00:18:43 >> อ่าที่เมื่อกี้เราคุยกันเนี่ยนะคะก็ให้
00:18:43 → 00:18:45 ปรึกษาปรึกษาก่อนนะคะพิษากรแล้วก็ปรึกษา
00:18:45 → 00:18:45 ก่อน
00:18:45 → 00:18:50 >> อืก็เคลียร์คัดเลยนะคะถามมาประมาณ 2-3 คำ
00:18:50 → 00:18:52 ถามแต่ว่าเนี่ยแหละค่ะเป็นความสำคัญที่
00:18:52 → 00:18:54 ทำไมเราถึงอยากเอามาตอบเป็นคลิปเนาะไม่
00:18:54 → 00:18:57 สามารถตอบเป็นสั้นๆในในข้อความได้เพราะ
00:18:57 → 00:18:59 มันมีรายละเอียดค่ะแล้วยิ่งถ้าเราเข้าใจ
00:18:59 → 00:19:02 ว่ามันดีนะแต่มันมีข้อควรระวังอะไรควรจะ
00:19:02 → 00:19:05 กินประมาณไหนกินเพื่อวัตถุประสงค์อะไรเรา
00:19:05 → 00:19:08 ก็จะกินยาอย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้นเนาะ
00:19:08 → 00:19:10 แล้วก็อาจจะปรับมาใช้อาหารเป็นยาได้ด้วย
00:19:10 → 00:19:12 นะคะเพราะฉะนั้นอาจารย์มีอะไรจะฝากเพิ่ม
00:19:12 → 00:19:14 เติมมั้คะสุดท้ายเกี่ยวกับพวกขมิ้น
00:19:14 → 00:19:16 >> เอ่อก็คงไม่มีอะไรมากแล้วค่ะเพราะว่าเรา
00:19:16 → 00:19:19 พูดกันเยอะแล้วนะคะเพียงแต่ให้รู้ว่าก่อน
00:19:19 → 00:19:22 กินเนี่ยให้กินให้ระมัดระวังเช็คสุขภาพ
00:19:22 → 00:19:25 ก่อนนะคะว่าตัวเองมีปัญหาตรงไหนตัวเอง
00:19:25 → 00:19:29 อยู่ในประเภทที่กินได้มยนะคะอันที่ 2 ก็
00:19:29 → 00:19:33 คือเอ่อพอจะกินแล้วก็ดูขนาดนะคะอันที่ 3
00:19:33 → 00:19:36 ก็ดูวัตถุประสงค์ตัวเองว่าอยากได้อะไรนะ
00:19:36 → 00:19:38 คะอยากกินอะไรกับขมิ้นแล้วก็ที่สำคัญก็
00:19:38 → 00:19:41 คืออยากกินขนาดสูงและติดต่อกันนาน
00:19:41 → 00:19:44 >> กับอีกอันนึงค่ะที่จะขาดไปไม่ได้เลยมันมา
00:19:44 → 00:19:47 คู่กันนะคะขิงกับขมิ้นมีคำถามนึงบอกว่า
00:19:47 → 00:19:50 จากคุณเจนนี่โมเมนะคะขอบคุณมากค่ะได้ความ
00:19:50 → 00:19:53 รู้รบกวนถามค่ะไม่ทราบว่าขิงสกัดกับผง
00:19:54 → 00:19:56 ขมิ้นชันกินนานต่อเนื่องได้มั้คะคุณหมอ
00:19:56 → 00:19:58 อันนี้มีขิงเข้ามาแล้วค่ะอาจารย์
00:19:58 → 00:20:02 >> ตอนนี้กินกันเยอะนะคะก็ให้รู้ก่อนว่าขนาด
00:20:02 → 00:20:06 ของขิงเนี่ยที่สามารถกินได้นะคะก็คือ 1-2
00:20:06 → 00:20:09 กรัมต่อวันนะคะแต่ก็บอกไม่ได้ว่านานเท่า
00:20:09 → 00:20:13 ไหร่นะฮะทีนี้เอ่อถ้ากินแล้วรักษาโรคอะไร
00:20:13 → 00:20:16 ก็ตามกินแล้วหายแล้วก็เลิกกันนะคะอีก
00:20:16 → 00:20:19 ประเภทนึงคือสารสกัดนะคะซึ่งตอนหลังเนี่ย
00:20:19 → 00:20:22 เข้ามาเยอะเลยสารสกัดขิงเนี่ยให้ดูฉลาก
00:20:22 → 00:20:25 ค่ะถ้าเป็นสารสกัดขิงให้อ่านข้างฉลากว่า
00:20:25 → 00:20:29 เขาควบคุมสารอะไรสารที่ต้องระวังก็คือจิง
00:20:29 → 00:20:32 อันนี้ไม่ใช่ต้องระวังนะฮะเป็นเป็นสารออก
00:20:32 → 00:20:35 ฤทธิ์นะคะซึ่งจะต้องควบคุมขนาดเนี่ยเขาจะ
00:20:35 → 00:20:41 ให้ใช้ประมาณ 50-1 มกรัต่อวันนะคะประมาณ
00:20:41 → 00:20:44 เท่าเนาะคราวนี้แล้วตั้งงั้นจะรู้ได้ไง
00:20:44 → 00:20:46 จิงจอกจะเท่าไหร่ก็ต้องไปดูว่าเ้ามี
00:20:46 → 00:20:48 จิงจalกี่เปอร์เซ็นต์นะอย่างบริษัทนึงบอก
00:20:48 → 00:20:52 ว่าจิงจอ 5% ก็คำนวณจาก 5% นั้นล่ะค่ะว่า
00:20:52 → 00:20:56 เ่อเขาให้กินในแคปซูลนั้นน่ะมีสารสกัด
00:20:56 → 00:20:58 เท่าไหร่สมมุติว่าแคปซูลนั้นมีเอ่อ 100
00:20:58 → 00:21:01 มลกรัมหรือว่า 500 มกัอ่ะสมมุติ 500
00:21:01 → 00:21:02 >> มกร 500 มกรั
00:21:02 → 00:21:06 >> อ่าถ้าเป็น 500 มกรัเนี่ยจริง 5% ก็คือ 25
00:21:06 → 00:21:10 มกัถูกมั้คะถ้ากิน 2 แคปซูลก็คือ 50 มกั
00:21:10 → 00:21:14 นั่นก็แปลว่าทั้งวันกินได้แค่ 2 แคปซูล
00:21:14 → 00:21:14 >> อื
00:21:14 → 00:21:18 >> นะคะแล้วเอ่อถ้าสมมุติจะกินมากกว่านั้นก็
00:21:18 → 00:21:21 ดูตามฉลากแต่ไม่ให้กินยาวล่ะระยะที่จะกิน
00:21:21 → 00:21:25 ยาวได้แล้วก็ปลอดภัยพอสมควรก็คือประมาณมี
00:21:25 → 00:21:28 จริงจะว่าประมาณ 50-1 มิลกรัมหลายคนอาจจะ
00:21:28 → 00:21:30 สงสัยเรื่องมิลลิกรัมปกรัมนะอยากอธิบาย
00:21:30 → 00:21:34 นิดนึงเพราะว่าคนงงเวลาแคปซูลเนี่ยก็จะ
00:21:34 → 00:21:36 เขียนเป็นกรัมบางครั้งก็เขียนเป็นกรัม
00:21:36 → 00:21:38 เอ่อ 1 กรัมเนี่ยมีค่าเท่ากับ 1000
00:21:38 → 00:21:39 มิลลกรั
00:21:39 → 00:21:42 >> นะคะเพราะฉะนั้นแค่แคปซูลเวลาเขียนข้างๆ
00:21:42 → 00:21:44 ฉลาบางทีก็จะเขียนว่า 1 กรัมหรือ 500
00:21:44 → 00:21:47 มลกรัหรืออะไรเงี้ยให้รู้ว่าถ้า 500
00:21:47 → 00:21:49 มลกรัคือครึ่งกรัมนั่นเอง
00:21:49 → 00:21:52 >> เพราะฉะนั้นก็ตอบคำถามนี้นะอะไรที่เป็น
00:21:52 → 00:21:55 สกัดนะคะพูดเลยว่ามันเข้มข้นสุดๆเพราะ
00:21:55 → 00:21:58 ฉะนั้นวัตถุประสงค์คุณต้องชัดว่าคุณกิน
00:21:58 → 00:22:00 เพื่ออะไรนะคะสามารถปรับเป็นแค่เบเๆอาหาร
00:22:01 → 00:22:03 เป็นยาได้มยนะคะถ้าวัตถุประสงค์ชัดอ่ะเรา
00:22:03 → 00:22:05 จะเลือกถูกว่าอันเนี้แค่อาหารอันนี้แค่ยา
00:22:05 → 00:22:07 แล้วกินยาวนานแค่ไหนนะคะ
00:22:07 → 00:22:11 >> ถ้าพูดถึงเรื่องขิงว่ากินนานๆแล้วมีปัญหา
00:22:11 → 00:22:14 ไหมนะคะขิงถ้ากินนานๆเนี่ยมีปัญหาอยู่อัน
00:22:14 → 00:22:18 นึงที่ใหญ่มากกว่าขมิ้นก็คือเรื่องของการ
00:22:18 → 00:22:20 ต้านการจับตัวของเกิดเลือดเพราะขิงมี
00:22:20 → 00:22:22 คุณสมบัติในการต้านการจับตัวของเกิดเลือด
00:22:22 → 00:22:24 เนี่ยเยอะกว่าค่ะ
00:22:24 → 00:22:26 >> เพราะมันกระจายเนาะอาจารย์เนาะมันเหมือน
00:22:26 → 00:22:30 ช่วยมันร้อนกว่าขมิ้นนะฮะอันถ้าพูดถึงแผน
00:22:30 → 00:22:32 ไทยมันร้อนกว่าขมิ้นแล้วพูดถึงเรื่องทาง
00:22:32 → 00:22:34 หลักการวิจัยเนี่ยเขาก็พบว่าความแรงมัน
00:22:34 → 00:22:39 เยอะกว่านะคะแล้วก็เอ่อมีอุบัติการหลาย
00:22:39 → 00:22:42 อย่างพี่บอกชัดเจนเลยค่ะว่าอาการข้าง
00:22:42 → 00:22:45 เคียงของขิงเนี่ยมันมีปัญหากับเรื่อง
00:22:45 → 00:22:49 เนี้ยเยอะกว่าเพราะฉะนั้นอะไรที่เอ่อ
00:22:49 → 00:22:51 เกี่ยวข้องกับเรื่องของการการจับตัวของ
00:22:51 → 00:22:53 เกล็ดเลือดหรือคนที่มีปัญหาเรื่องเลือด
00:22:53 → 00:22:56 เนี่ยก็การกินขิงก็จะเป็นเรื่องที่เสี่ยง
00:22:56 → 00:23:00 มากกว่าแล้วก็ในกรณีที่จะต้องมีการผ่าตัด
00:23:00 → 00:23:03 ขิงเนี่ยต้องหยุดนานถึง 1 เดือนนะคะเพราะ
00:23:03 → 00:23:06 ว่าเวลาผ่าตัดลงมีดไปทีนึงนั่นคือเลือด
00:23:06 → 00:23:09 มันไหลเยอะแล้วถ้าเกิดเลือดไม่สามารถที่
00:23:09 → 00:23:12 จะกดให้หยุดได้เนี่ยมันก็ยิ่งทำให้เกิด
00:23:12 → 00:23:14 ความเสี่ยงมากขึ้นนะคะเพราะฉะนั้นเอ่อคน
00:23:14 → 00:23:17 ที่กินขิงเป็นประจำนะคะแจ้งแพทย์นะคะไม่
00:23:17 → 00:23:19 ว่าเ้าจะถามหรือไม่ถามรีบแจ้งเค้าก่อนเลย
00:23:19 → 00:23:21 นะคะเพราะว่าเอ่อจริงๆแล้วตอนนี้เค้าก็
00:23:21 → 00:23:23 เริ่มมีเช็คลิสต์เหมือนกันนะคะถามว่าคุณ
00:23:23 → 00:23:26 กินสมุนไพรอะไรนะคะเพราะฉะนั้นบอกให้หมด
00:23:26 → 00:23:28 ทุกอย่างที่เรากินนะคะถึงแม้จะเป็นชื่อ
00:23:28 → 00:23:31 การค้าอะไรก็ไปเอาไอ้ฉลากอะไรมาให้ดูด้วย
00:23:31 → 00:23:34 นะคะเพื่อที่ให้เกิดความปลอดภัยกับตัวคุณ
00:23:34 → 00:23:37 เองนะคะเพราะงั้นเพราะว่าเวลาหมอผ่าตัด
00:23:38 → 00:23:39 โดยที่ไม่รู้เนี่ยเนี่ยความเสียหายมัน
00:23:39 → 00:23:42 เกิดขึ้นที่เรานะคะค่ะคือนอกนอกจากนั้น
00:23:42 → 00:23:45 เนี่ยนะคะขิงอาจจะทำให้เกิดปัญหานิ่วใน
00:23:45 → 00:23:48 ถุงน้ำดีได้อันนี้มีรายงานนะคะแต่ว่าก็
00:23:48 → 00:23:52 ยังไม่ค่อยเกิดเจออุบัติการที่มากนัก
00:23:52 → 00:23:55 เหมือนกับไอ้การอ่าเหมือนกับขมิ้นแล้วก็
00:23:56 → 00:23:58 ไม่เหมไม่เหมือนกับไอ้ฤทธิ์ต้านการจับตัว
00:23:58 → 00:24:01 ของเกล็ดเลือดนะคะมีเอ่อรายงานของฝรั่งเ
00:24:01 → 00:24:04 บอกว่าอาจจะเกิดอาการแพ้เกิดผื่นนะกิน
00:24:04 → 00:24:07 เยอะๆนานๆอาจจะเกิดผื่นแต่จริงๆถ้าอธิบาย
00:24:07 → 00:24:10 ตามหลักแผนไทยเนี่ยเนี่ยตัวขิงเนี่ยมันมี
00:24:10 → 00:24:13 คุณสมบัติคือทำให้ร่างกายร้อนขึ้นทำให้
00:24:13 → 00:24:15 เลือดเนี่ยอุ่นขึ้นนะคะเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:24:15 → 00:24:17 การเกิดผื่นเนี่ยเกิดเนื่องจากว่าเลือด
00:24:18 → 00:24:19 มันร้อนเกินไป
00:24:19 → 00:24:19 >> อื
00:24:19 → 00:24:22 >> ตามภาวะของแพทย์แผนไทยเเราบอกเมื่อไหร่
00:24:22 → 00:24:25 เลือดร้อนมันก็จะกระจายมันจะขึ้นบนนะคะ
00:24:25 → 00:24:25 >> คลายความร้อน
00:24:26 → 00:24:29 >> อ่าคลายความร้อนออกมันก็ขึ้นที่บนหัวขึ้น
00:24:29 → 00:24:33 บนเอ่อตามผิวต่างๆนะคะแล้วก็แล้วก็ไม่ใช่
00:24:33 → 00:24:35 แค่นั้นเนาะเราก็จะพบว่าคนที่กินขิงเนี่ย
00:24:35 → 00:24:38 ให้สังเกตนะคะถ้ายิ่งกินนานมากเท่าไหร่จะ
00:24:38 → 00:24:41 รู้สึกว่าตัวเองเนี่ยหัวร้อนขึ้นนะคะมง
00:24:41 → 00:24:42 ง่ายขึ้น
00:24:42 → 00:24:45 >> อ่าแล้วก็นเบาะก็คือร้อนในเป็นแผลในปาก
00:24:45 → 00:24:48 อันเนี้ยให้เห็นว่าระบบประจำตัวของเรา
00:24:48 → 00:24:51 เนี่ยเริ่มมีปัญหาแล้วค่ะ
00:24:51 → 00:24:53 >> อือันนี้ก็เป็นข้อควรระวังเนาะจริงๆขิง
00:24:54 → 00:24:55 อย่างที่บอกประโยชน์สารพัดเลยแต่ว่าถ้า
00:24:55 → 00:24:58 เกิดกินนานเกินไปก็จะไม่ดีนะคะสุดท้าย
00:24:58 → 00:25:00 อาจารย์มีอะไรอยากจะฝากทิ้งท้ายเกี่ยวกับ
00:25:00 → 00:25:02 ขิงกับขมิ้นมั้คะเพราะว่าคำถามเนี่ยมันมา
00:25:02 → 00:25:04 เยอะจริงๆเวลาที่เราจะกินสมุนไพรคำถามยอด
00:25:04 → 00:25:07 ที่เลยกินนานๆได้มั้ยเป็นอะไรมยอยากให้
00:25:07 → 00:25:08 อาจารย์ทิ้งทายตรงนี้ค่ะ
00:25:08 → 00:25:11 >> ก็ก็คือว่าทั้งขิงและขมิ้นเนี่ยจริงๆแล้ว
00:25:11 → 00:25:14 ก็เป็นสมุนไพรที่ที่ดีนะแต่ไม่ควรกินนาน
00:25:14 → 00:25:17 นะคะประเด็นที่ 1 ก็คือให้กินในขนาดที่
00:25:17 → 00:25:20 ไม่สูงและก็กินไม่นานให้ดูว่า
00:25:20 → 00:25:24 วัตถุประสงค์อยากอยากทำอะไรแล้วก็ดูว่าผล
00:25:24 → 00:25:26 ลัพธ์มันเป็นไงได้ตามที่ต้องการแล้วก็
00:25:26 → 00:25:29 เลิกนะคะแล้วนอกจากนี้เนี่ยคนที่มีโรค
00:25:29 → 00:25:32 ประจำตัวก็ให้ปรึกษาก่อนนะคะว่ามันจะมี
00:25:32 → 00:25:35 ปัญหากับยาแผนปัจจุบันมั้ยนะคะโดยเฉพาะ
00:25:35 → 00:25:38 อย่างยิ่งยาที่เกี่ยวข้องกับการจับตัวของ
00:25:38 → 00:25:43 เกล็ดเลือดนะคะหรือยาที่เอ่อทำให้เลือด
00:25:43 → 00:25:46 มันไหลดีขึ้นนะคะอย่างเช่นแอสเปอีนนะคะ
00:25:46 → 00:25:50 หรือพวกไอ้อะไรอ่ะวัฟฟลินเอ่อโพิโดเกล
00:25:50 → 00:25:53 อะไรเงี้ยซึ่งกลุ่มพวกเนี้ยรู้สึกว่าเออ
00:25:53 → 00:25:55 มันมันไม่รู้จักไม่รู้ว่าเราจริงๆเราใช้
00:25:55 → 00:25:56 หรือเปล่า
00:25:56 → 00:25:59 >> ก็ให้ปรึกษาไปใส่ก่อนนะคะจริงๆแล้วกลุ่ม
00:25:59 → 00:26:01 ยาต้านการอักเสบอย่างพวกเอเซตทั้งหลาย
00:26:01 → 00:26:04 เนี่ยก็อาจจะมีส่วนที่จะมีปฏิกิริยากับ
00:26:04 → 00:26:06 ทั้งขิงและขมิ่งได้นะคะ
00:26:06 → 00:26:09 >> อือืเพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ต้องใช้ยาแล้ว
00:26:09 → 00:26:12 เมื่อไหร่อยากใช้สมุนไพรก็ให้มาดูนะคะ
00:26:12 → 00:26:15 ยิ่งสมุนไพรตัวไหนที่มันฮิตฮิที่ใช้เยอะๆ
00:26:15 → 00:26:17 เนี่ยก็ให้ตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนก่อน
00:26:17 → 00:26:19 ที่จะเริ่มรับประทานค่ะ
00:26:19 → 00:26:22 >> อันนี้สำคัญสำคัญจริงๆค่ะเพราะว่ายาหลายๆ
00:26:22 → 00:26:25 อย่างเนี่ยบางทีมันออกฤทธิ์เสริมกันโดย
00:26:25 → 00:26:27 ที่เราก็คิดว่ามันดีแต่เราไม่รู้ว่ามัน
00:26:27 → 00:26:29 เสริมแล้วมันอาจจะพอดีมากเกินไปมันก็ไม่
00:26:29 → 00:26:31 ดีแล้วนะคะมันก็คือเกินสมดุลนั่นเองเนาะ
00:26:31 → 00:26:33 เพราะฉะนั้นวันนี้ก็หวังว่าทุกคนจะได้ข้อ
00:26:33 → 00:26:36 มูลกันอย่างเต็มที่เลยนะคะสำหรับทางขมิ้น
00:26:36 → 00:26:38 แล้วก็ทั้งขิงแล้วก็จริงๆใหม่รวมถึง
00:26:38 → 00:26:41 สมุนไพรอื่นๆด้วยเนาะกินมากไปก็ไม่ดีนะคะ
00:26:41 → 00:26:43 ก็เดี๋ยวคลิปต่อไปก็ยังจะมีคำถามที่ทุกคน
00:26:43 → 00:26:46 ฝากไว้นะคะเดี๋เราจะทยอยมาตอบนะคะเพราะ
00:26:46 → 00:26:49 ว่าในแต่ละอันก็ค่อนเราเราอยากลึกจริงๆ
00:26:49 → 00:26:51 เนาะอาจารย์เนาะคือเราแบบว่า 1 คำถามของ
00:26:51 → 00:26:53 คุณน่ะสั้นๆน่ะแต่ว่าอาจารย์หาข้อมูลมา
00:26:53 → 00:26:55 เยอะมากนะคะแล้วก็อยากให้เป็นประโยชน์กับ
00:26:55 → 00:26:56 ทุกคนจริงๆเพราะฉะนั้นคลิปต่อไปเดี๋ยวเรา
00:26:56 → 00:26:58 มาดูว่า Q&A เราจะเลือกอันไหนมาเราก็มา
00:26:58 → 00:27:01 ตอบกันนะคะวันนี้แดงกับอาจารย์ก็ขอลาไป
00:27:01 → 00:27:03 ก่อนนะคะพบกันใหม่ในคลิปต่อไปค่ะบ๊ายบาย
00:27:03 → 00:27:10 ค่ะ
00:27:10 → 00:27:20 [เพลง]